Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
11 May 2024, 14:40:33

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,661 Posts in 12,477 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  เรื่องเล่าจากความทรงจำที่หาฟังยาก  |  นวนิยายเรื่อง แผลเก่า -ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้ เมืองเดิม)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง แผลเก่า -ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้ เมืองเดิม)  (Read 358 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« on: 15 May 2022, 10:32:13 »

นวนิยายเรื่อง แผลเก่า -ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้ เมืองเดิม)


https://vajirayana.org/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%B2



แผลเก่า
ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๗๙ (ดั้งเดิม)

๑ ลูกสัตรู
๒. คู่สาบาล
๓ อ้ายขวัญฝากลาย
๔ สายน้ำเก่า
๕ เจ้าพ่อบรรดาล
๖ อวสานต์อ้ายลูกทุ่ง

-------------------------------------------------


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #1 on: 15 May 2022, 10:35:02 »


๑ ลูกสัตรู

​คลองปลายน้ำสุดฟากข้างทางซ้ายของทุ่งบางกะปิ เปนคลองเล็กแคบแต่น้ำไหลลึกมีน้ำเดินตลอดปี สองฝั่งราบรื่นไปด้วยเงาต้นไม้ใหญ่ ซุ้มเซิงของเถาวัลย์และพงอ้อพงแขมมีอยู่บ้างห่างๆ เมื่อพ้นไปเปนทุ่งหญ้าเวิ้ง บางแห่งเปนนามีเข้าชูรวงเหลือง สำแดงว่าหน้าเกี่ยวกำลังจะมาถึง

ตวันคล้อยหัวเพิ่งจะบ่าย แต่แดดยังจ้า ความร้อนยังอบอ้าวคุกคามอยู่เหนือท้องทุ่ง แม้จะมีลมพัดมาบ้างเปนครั้งคราวก็คงร้อนระอุเพราะเปนลมหอบแดด

เจ้าหนุ่มร่างงามล่ำสันผิวคล้ำหน้าตาซื่อคมคาย นั่งร้องเพลงเอื่อยๆ มาบนหลังควายอย่างไม่กังวลถึงความร้อนที่เผาอยู่บนหัว นางผู้หญิงนั่ง​ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เอียงคอฟังอยู่บนหลังควายที่เดินคู่กันมาอีกตัวหนึ่ง ตัดทุ่งโฉมหน้าเข้าสู่ฟากคลอง

เพราะน่าเกี่ยวกำลังจะมาถึง เพราะเข้ากล้าปลาดีและมาด้วยกันลำพังสองต่อสองกับคนรักจึงทำให้เจ้าขวัญหนุ่มบ้านทุ่งเพลิดเพลินอิ่มใจนักหนาเตรียมซักซ้อมเพลงกลอนไว้เมื่อน่าเกี่ยว แต่แล้วเจ้าขวัญก็ด้นกลอนสดมาเกี้ยวเอาเจ้าเรียมที่มาด้วยกันดื้อ ๆ

พื้นของเจ้าเรียมเปนคนแสนงอน ถึงแม้จะรู้ว่าหนุ่มคนรักว่าเพลงเกี้ยวพาราศีเพราะความปลาบปลื้มคนองใจแต่เมื่อเจ้าเรียมว่าเพลงแก้ไม่ตกก็เกิดโมโห ค้อนปราด ๆ มา ๓-๔ วง

พอดีมาถึงฟากคลอง อีเกเห็นน้ำเปี่ยมฝั่งกำลังร้อนแทบจะยอไม่หยุด สบัดขาฟิดฟัดเบิงแล้วเบิ่งเลาจะโผลงน้ำให้ได้

“เอ้อ-อีเก, มึงฮิ๊มึง จะคอยซักประเดี๋ยวไม่ทันใจเลย เห็นน้ำยังกะเห็นแก้ว มึงน่ะมันน่าจะเปนปลามากกว่าเปนควายเสียละกระมัง?”

เจ้าขวัญหัวเราะก๊ากใหญ่ รู้ดีว่าเจ้าเรียมพาลรีพาลขวางกับอีเกเพราะอะไร และตามธรรมดาของเจ้าขวัญพอลืมตาขึ้นก็ชอบยั่วมนุสส์อยู่ตลอดวัน ยิ่งสำหรับเจ้าเรียมเจ้าขวัญชอบใหญ่ เพราะแสนงอนของเจ้าเรียมนั่นดูงามขึ้นอีกเปนกอง

อ้ายเรียวที่ขี่มากำลังกระสับกระส่าย เมื่อเห็นน้ำเยี่ยงเดียวกับอีเกจึงเปนช่องทางให้เจ้าขวัญได้พูดขึ้นมั่ง

“จะเอาอย่างเขามั่งเร๊อะมึง อ้ายเรียว ควายน่ะมันอยู่ในคอก ปลาน่ะมันอยู่ในน้ำนามึงนา เรามันเปนผู้ชายจะทำอะไรให้มันดูสมัยเขามั่ง จะเสือกแล่นโด่งไปก่อนน่ะผู้หญิงเขาจะติเอา”

โมโหก็โมโห แต่อดขำใจไม่ได้ เพราะเจ้าขวัญสั่งสอนอ้ายเรียวให้ทันสมัย เจ้าขวัญมันคงไม่เกิดมาสำหรับอย่างอื่นนอกจากยั่วเย้าคนไปชั่ววันๆ เท่านั้น

เจ้าเรียมฝืนสีหน้าแล้วถามไปตรงๆ

“อ้อ_นั้นพี่ขวัญก็เปนควายเหมือนอ้ายเรียวด้วยเรอะ เออแน่”

“คนย่ะ” ตอบทันใจ แล้วพูดอมๆยิ้ม “แต่ท่ะว้า อ้ายเรียวกับ​ฉันมันหัวอกอันเดียวกันเท่านั้นหรอกแม่เอ๊ย”

“ถูกละย่ะพ่อคนฝีปากดี เมื่อรู้ว่าหัวอกอันเดียวกันก็พูดกันไปเถอะ อย่ามาพูดกับฉันอีกเลย”

“นิ่งเขาฮิ๊อ้ายเรียว” เจ้าหนุ่มเย้าอีก “ทำไงได้เล่ามึงเอ๋ยเรามันเกิดมามีกรรมก็ต้องทนๆ เอาหน่อยซี นังเบเขาเห็นใจเมื่อไหร่เอ็งก็สบายเมื่อนั่นแหละ” แล้วก็หัวเราะงอชอบอกชอบใจ

“อย่ายั่วข้านักนา พี่ขวัญจะบอกให้ เกิดโมโหเต็มทนแล้วประเดี๋ยวก็จะหนีกลับเสียเท่านั้น”

“อ๊ะ จะทำใจน้อยไปยังงั้นเทียวหรือ ฝีตีนอีเกของแม่เรียมน่ะ จะหนีอ้ายเรียวพ้นเชียวรึ - ว่าน่ะ”

“โอ๊_ _ _” นางผู้หญิงหัวเราะอย่างดูถูก “ถ้าอ้ายเรียวของพี่ขวัญวิ่งเร็วได้อย่างม้าฉันก็จะยอมหรอกแต่นี่ฉันก็เห็นอ้ายเรียวยังโดนตะพดอยู่ทุกๆ วันเมื่อหน้าไถนี่เอง ฝีตีนมันก็คงไม่เกินควายไปได้”

“ก็ถูกละแม่เอ๊ย” เจ้าขวัญตอบเสียงลอยลมแล้วก็พูดกับอ้ายเรียวเปนเชิงท้าเจ้าเรียม ‘อ้ายเรียว ข้าจะบอกเองให้รู้เสียก่อนน่ะว่าถึงเอ็งจะไม่ใช่ม้าก็เถอะ แต่ถ้าลงนางเกเขาหนีแล้วเอ็งขับไม่ทันล่ะก้อ ข้าเปนขายเองส่งไปเมืองมินพรุ่งนี้และ ให้แขกไถนาเสียให้เข็ดมันอยากแพ้ฝีตีนเขา’ เมื่อพูดกับควายแล้วจึงกราดตามองมาพบเจ้าเรียมกำลังค้อนควัก เจ้าเรียมเปนคนตาแหลม ใครๆที่ถูกเจ้าเรียมค้อนก็เท่ากับเห็นปลายเข็มกำลังพุ่งเข้าหัวใจ

ในคลองน้ำกำลังขึ้นเจิ่งเต็มฝั่งทำให้เจ้าเรียมนึกอยากลองดีนายขวัญหนุ่มลูกผู้ใหญ่เขียนนัก อีเกแม้จะวิ่งไม่เร็วบนบกแต่ในน้ำแล้วมันว่ายเร็วและทนทานเปนหนึ่ง จึงอยากจะดูน้ำมะหน้าเจ้าขวัญว่ามันจะขายอ้ายเรียวจริงหรือไม่จริง จึงเปรยขึ้นบ้างว่า

“อ้ายเรียวมันยังมีเขาและถูกไถนาอยู่ทุกๆวันอย่างควายบ้านเรา เมื่ออีเกมึงยอมให้เขาขับทันได้ ข้าก็ต้องขายแขกพรุ่งนี้เหมือนกัน”

​“ก็ลองซีแม่เอ๊ย” เจ้าขวัญตอบด้วยความร่าเริงรำพอง

ไม่ทันให้ท้าเปนคำสอง นางเกก็ถูกกระทุ้งเตือนสนตะพายก็รู้สึกผ่อนเพราเบาลงจึงเผ่นออก ตะโพงไปอย่างสุดกำลังเพียงสามสี่วาก็โครมลงไปในคลองน้ำแหวกกระจายและว่ายเร็วรี่ไปตามกระแสน้ำ

อ้ายเรียวก็รู้ไม่หยอก พอถูกตบที่แผงคอเบาะๆก็ออกตะโพงแล่นตามนางเรียวอย่างไม่ละเหมือนรู้ใจเจ้าขวัญ การแข่งควายในน้ำจึงเกิดหนีเกิดไล่กันอย่างสนุกสนาน แม้อีเกจะว่ายน้ำเก่งก็ยังเปนรองเจ้าเรียวอยู่นั่นเองเพราะเจ้าขวัญไม่ยอมขี่อุส่าห์ทนว่ายน้ำเอา โดยเกรงเจ้าเรียวจะไล่ไม่ทัน หนำซ้ำร้องกระทุ้งตะเพิดเสียงสนั่นหวั่นไหว

เสียงหายใจพรืดๆใล่หลังไกล้เข้ามาทุกทีทำให้เจ้าเรียมขวัญเสีย อีกแขนกว่าๆ เท่านั้นเขาอ้ายเรียวก็จะชนท้ายอีเก และก็เปนแน่ละที่เจ้าขวัญจะต้องเยาะเย้ยใหญ่ในเมื่อมันจับได้ อ้ายข้อที่ร้ายยิ่งก็คือมันจะต้องเรียกเบี้ยปรับตามวิสัยของคนชะนะ

จะเร่งสักเท่าไหร่นางเกก็คงอืดอาดอยู่เช่นเคย เมื่อไม่เห็นลู่ทางใดๆอีก เรียมจึงสละจากหลังอีเกโผนโผลงน้ำเพื่อเอาตัวรอดแล้วว่ายเร็วเฉียบเปนปลาเข็มมุ่งตัดขึ้นหน้านางเกพอได้ระยะก็ดำหายไป

เจ้าหนุ่มลูกทุ่งยิ้มแย้มนึกแต่ในใจว่า_ชิ๊ชะเจ้าเรียม อ้ายกุ้งอ้ายปลาน่ะมันไม่อยู่ในน้ำหรอกหรือพอน้ำใหม่มาทีไรข้าก็เอากินเสียทุกที ประสาอะไรกะมนุสส์อยู่บกด้วยกัน อย่างจะดำอึดก็คงไม่ได้ครึ่งข้ากระมัง

แล้วก็รีบสาวแขนปราดๆจนขึ้นหน้าอีเกไปอีกไกลจึงลอยตัวคอยดูอยู่ว่าเมื่อไหร่เจ้าเรียมจะโผล่ แต่ก็เงียบ แม้น้ำก็ไม่มีวนเลยจนนึกเอะใจเข้าค้นตามข้างตลิ่ง พงอ้อกอข้าวถูกแหวกกระจาย สาหร่ายและสายบัวถูกเจ้าขวัญทึ้งขาดลอยเปนแพ เพื่อค้นหาเจ้าเรียมคนเดียว

เรียมมิได้ดำไปไกลหรืออดทนอะไร นอกจากดำดิ่งลงน้ำลึกแล้วย้อนทวนขึ้นทางเก่า จนโผล่ขึ้นเกาะท้ายอ้ายเรียวพอเปนที่กำบังแอบดูเจ้าขวัญกำลังคลั่ง​ถอนกอเข้าและพงอ้อชายน้ำแทบตลิ่งจะพัง ขำเจ้าคนเก่งจะแกล้งให้หาเสียให้ตาย พอเจ้าขวัญเหลียวมาก็ดำซ่อนเสียสักครู่

เมื่อนานจนผิดสังเกตุกว่าอึดใจธรรมดาก็ทำให้เจ้าขวัญนึกเฉลียวว่า ทำไงเสียนางเรียมคงเล่นฉลาดตลบหลังเปนแน่ ครั้นจะเหลียวดูก็เกรงเสียรอยทำให้เจ้าเรียมรู้ตัว จึงทำไม่รู้ไม่ชี้ดำผลุบหายลงตรงนั้นแล้วย้อนตลบมาเอาแบบเจ้าเรียมบ้าง พอเต็มอึดใจจึงโผล่ขึ้นค่อยๆระวังมิให้น้ำกระเพื่อม คล้อยหลังอ้ายเรียวเพียง ๒-๓ ชั่วตัว

นั่นเองแม๋ะล่ะ นังเรียมเกาะอ้ายเรียวผลุบโผล่อยู่นั่นเอง อารามดีใจจะจับให้ได้จึงโผและว่ายสุดๆแขน เปนเหตุให้เจ้าเรียมรู้ผละท้ายอ้ายเรียวจะดำก็ไม่ทันจึงว่ายล่องตามน้ำไปอย่างรวดเร็วชำนิชำนาญ เจ้าขวัญก็ไม่ลดละกวดจี๋จนเลี้ยวเข้าคุ้งนางผู้หญิงก็อ่อนแรงแทบจะกระเดือกไม่ไหวอีกจึงมุ่งเข้าฝั่ง คว้าได้เถาไทรย้อยพอจะพยุงตัวขึ้นเจ้าเสือน้ำก็ว่ายแหวกมาถึงพุ่งปราดเข้ารั้งแขน เปนเหตุให้เถาไทรขาดหล่นตูมลงมาอีกทั้งสองคน

น้ำใกล้ตลิ่งพอหยั่ง แต่ถึงงั้นเจ้าเรียมก็ยืนไม่อยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย เจ้าขวัญจึงพยุงไว้และพากระเดือกเข้าฝั่ง เจ้าขวัญเองก็อ่อนใจเหมือนกันเมื่อพยุงเจ้าเรียมมาถึงเกาะรากไทรข้างตลิ่งก็แทบหมดแรง

“ฉันเหนื่อยเหลือเกินพี่ขวัญ” เจ้าเรียมหอบฮักๆสายหน้า “นานๆได้ว่ายสักที เหนื่อยแทบขาดใจตาย”

เจ้าขวัญออกสงสารมองแล้วมองอีก รักกันมาร่วมปีก็เพิ่งจะวันนี้และที่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกกกอดเจ้าเรียมเต็มมือ แม้จะขาดใจเสียกลางสายน้ำนี้ก็ตามเถิด

“พักเหนื่อยให้สบายเถิดแม่เรียม ฉัน_เออ ฉันจะทนอุ้มแม่เรียมไว้เอง” เสียงของเจ้าขวัญบ้านทุ่งตื่นๆไม่เต็มปาก

เกาะรากไทรมือหนึ่ง โอบอุ้มเจ้าเรียมไว้มือหนึ่ง รัดเจ้าเรียมไว้แน่นเหมือนเกรงสายน้ำจะพัดเจ้าหลุดมือลอยไป ความมุ่งหมายที่เก็บมาแรมปีวิ่งพลุก​พล่านอยู่ในหัวใจ ความรักกำลังก้าวออกจากสายตาเจ้าขวัญหนุ่มทุกๆ ขณะ

ในน้ำซึ่งน่าจะเนื้อเย็น แต่เจ้าเรียมหน้าตาร้อนผ่าวๆ รู้สึกจนกระทั่งว่าช่วงแขนของเจ้าขวัญ หน้าอกหนาๆของเจ้าขวัญที่แช่น้ำอยู่ด้วยกันก็ยังร้อนอบอุ่นไปด้วยความเผลอไผล เหมือนต้องอำนาจมนต์ดลจิตต์ผีครอบผีอำ

อึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง พอมีสติก็จะผละ แต่เจ้าขวัญรัดไว้และมองด้วยสายตาที่เร่งเร้า เหมือนหนึ่งจะให้แม่เรียมเข้าใจในปัญหาแรมปี

“พักเสียก่อนเถิด แม่เรียมพักเสียให้หายเหนื่อยแล้ว ฉันอุ้มส่งขึ้นตลิ่งเอง” เสียงเจ้าขวัญอ่อนโยนผิดเคย หน้าตาซื่อสัตย์ยิ่งขึ้นประหนึ่งจะเปนเพื่อนตายของเจ้าเรียมทุกขณะ

“พี่ขวัญ”

“จ๋า เรียม”

“อ้า_ปล่อยเถิดจ้ะ ปล่อยฉันยืนมั่งเถิด”

“อย่าเลย เลนทั้งนั้นแขยงตีนเปล่าๆ อยู่เฉยๆเช่นนี้เปนไรไปเล่าเรียมเอ๋ย”

“อึดอัดจ้ะพี่ขวัญ โธ่แล้วนี่ถ้าใครพายเรือผ่านมาเห็นเข้าฉันจะทำยังไรล่ะนี่” เจ้าเรียมรุ่นสำนึกตัวหลบหลีกสายตาไม่ให้พบกับเจ้าขวัญ

“เงยหน้าหน่อยเถิดเรียม ฉันจะพูดอะไรด้วยสัก ๒-๓ คำ”

กระแสเสียงเจ้าขวัญบอกจะพูดเรื่องอะไร เรียมจึงรู้ตัวว่าเจ้ากำลังชะตาคับขันเกิดใจคอหวั่นไหวตกประหม่า

เจ้าหนุ่มบ้านใกล้ปล่อยมือที่เกาะตลิ่งแล้วเชยคางขึ้นเห็นเรียมหลับตาสนิท ความสมบูรณ์และทีท่าบ่ายเบี่ยงเอี่ยงอายของเจ้า แทบจะบดหัวใจของเจ้าขวัญให้ละลายไปกับน้ำ

“เรียม-แม่เรียมเอ๋ย เออ_ขอให้ฉันได้ตายกับแม่เรียมในลำน้ำนี้เถิด-รักจริง รักนัก เรียมข้ารักเจ้านัก”

เจ้าขวัญมิได้พูดอะไรอีก จูบลงไป จูบเสีย เหมือนอย่างจะจงใจเคี่ยวเข็ญให้เนื้อเจ้าเรียมนั่นแหลกเหลว ทั้งแก้มคางคิ้วคอเจ้าขวัญมิได้เว้น การดิ้นรนบ่ายเบี่ยงของเรียมเหมือนลมพัดกองเพลิงในอกเจ้าขวัญให้คุยิ่งขึ้น มันจูบซ้ำจูบเติมอย่างไม่เบื่อ

​แม้จะต้องว่ายน้ำอีกสัก ๗-๘ คุ้งก็ยังดีกว่า เพราะเวลานี้เจ้าเรียมไม่รู้สึกตัวว่าตัวเปนอะไร ชาวนาหรือชาวไร่ หญิงบ้านอกหรือบางกอกก็ลืม รู้อยู่แต่ว่าจมูกของเจ้าขวัญกำลังเขย่าอยู่บนอก -ทำให้หัวใจครื้นเครงกระฉอกกระฉอนเหมือนลูกละลอกเล็กๆ วิ่งไล่กันเข้าชนตลิ่งแล้วกระท้อนกลับทุ่งหญ้า แสงแดดส่องในนาตอนเช้า รวงเข้าที่สุกเหลืองเปนทอง ปลาในน้ำตัวเล็กตัวใหญ่ว่ายเปนหมู่ๆ ตามกอเข้า สิ่งเหล่านี้เหลืออยู่ในความ​จำของเจ้าเรียมเพียงครึ่งๆ กลางๆ ลางเลือนคล้ายฝัน

“พี่ขวัญ” เสียงเจ้าคลุมเครืออย่างจะร้องไห้ “หยุดเสียมั่งเถอะ สงสารฉันและหยุด หยุดทีเถอะ”

‘สงสารสิเรียม’ เจ้าขวัญเงยขึ้นมองดูหน้า “ฉันสงสารแม่เรียม ฉันรักแม่เรียมเหมือนดวงใจ”

“อย่าเพิ่งพูดเลยพี่ขวัญ ปล่อยฉันก่อนเถอะ”

“จะไปไหนเล่า เออแน่ะ, ไม่เชื่อหรือว่าฉันรักแม่เรียมนักหนาไม่มีอะไรเปรียบ”

“ก็เปนแต่เวลานี้หรอกพี่ขวัญ ถึงฉันยังไม่มีผัว ก็พอจะรู้อยู่มั่งเพราะแม่แกเคยพูดอยู่เสมอๆว่า_”

“ว่าอะไร แม่แกพูดว่าอะไรน่ะแม่เรียม” เจ้าขวัญรีบถาม

เรียมนึกอายๆแต่เพื่อจะดักคอและปรามๆหัวใจเจ้าคนรักไว้ครั้งหนึ่ง จึงตอบว่า

“แม่แกว่าผู้ชายน่ะเหมือนปลา พอน้ำใหม่มามันก็ไปกับน้ำใหม่ ฉันจึงกลัวนัก เอ้อ” เจ้าส่ายหน้าปรับทุกข์กับตัวเอง “อ้ายฉันยิ่งกลัวมันมากแล้วมันจะมาได้กับอกฉันเองเสียกระมัง”

เจ้าผู้ชายนึกฉงน ยิ่งเห็นเรียมน้ำตาคลอหน่วย ก็ยิ่งเพิ่มการไม่เข้าใจหนักขึ้น คิดเขวไปต่างๆ แต่แล้วก็จับเค้าได้ว่า เจ้าเรียมกลัวจะไม่รักจริง

อ๋อ_เรียม ก็จริงของแกอยู่บ้างหรอก แต่ใจฉันน่ะเห็นว่า น้ำใหม่มันก็น้ำเก่า อ้ายน้ำเก่ามันก็ไหลมาเปนน้ำใหม่ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในคลองเดียวกันน่ะแหละ เรียมเอ๋ยอย่ากลัวเลย พี่ไม่ใช่ปลารักน้ำอย่างว่าหรอก หัวใจพี่เติบ หัวใจพี่ใหญ่อย่างตะเฆ่รักวัง ถึงน้ำเก่าจะไปน้ำใหม่มันมา หรือน้ำมันแห้งจนขอดพี่ก็ต้องตายคาวัง พี่ต้องตายอยู่กับเรียมคนเดียวจริงๆ” แล้วเจ้าขวัญก็รัดแขนทั้งสองแน่นขึ้นเปนการยืนยันในคำมั่นสัญญา

เจ้าเรียมร้องไห้กระซิกๆอยู่หว่างอก เพราะหัวใจเจ้ากำลังคิดไปในเหตุต่างๆร้อยแปด คิดไปถึงเจ้าเริญพี่ชายซึ่งไม่ถูกกับเจ้าขวัญ คิดไปถึง​พ่อของตัวซึ่งไม่ถูกกับผู้ใหญ่เขียนเพราะแพ้ความเรื่องรุกที่นา และจนทุกวันนี้ตาเรืองพ่อเจ้าเรียมกับผู้ใหญ่เขียนพ่อของเจ้าขวัญและตัวเจ้าขวัญเองกับเจ้าเริญก็ยังอาฆาตมาทร้ายกันอยู่เสมอ แต่เจ้าขวัญกับเจ้าเรียมกำลังรักกันเหมือนจะกลืน และมันจะเปนผลสำเร็จกันไปได้อย่างไร

ทอดตามองดูสายน้ำไหลแล้วถอนใจ สอื้นไปคิดไปถึงความหลังๆและการข้างหน้า ไม่รู้ว่าอะไรมันมาจุกประดังอยู่ที่คอหอยจนพูดไม่ออก คนเหล่านั้นโกรธเกลียดอาฆาตกัน แต่เรารักกันแล้วใครจะเห็นใจเรา นอกจากเราเห็นกันเอง เมื่อต่อไปข้างหน้ามิต้องยึดสายน้ำนี้เปนที่พบปะลอบรักกันหรือ แล้วอีกสักกี่ปีกี่ชาติเล่าจึงจะสมรักอย่างเขาอื่น แต่_ที่เจ้าเรียมกระวนกระวายใจกลัวหนักหนาก็คือ เจ้าขวัญกับหล่อนจะต้องค้างคอยลอบรักกันไปจนกว่าน้ำจะแห้งคลองจะเขิน แล้วก็หลับตาสิ้นอายุไปด้วยกันทั้งรักๆ

“แล้วเราจะทำยังไงเล่าจ๊ะ พี่ขวัญ เพราะพ่อกับท่านผู้ใหญ่แกก็เปนสัตรูกัน หนำซ้ำพี่เริญก็ไม่ถูกกับพี่ขวัญเสียด้วย เฮ้อ_ฉันกลุ้มเสียจริง”

เจ้าขวัญก็กำลังจนปัญญาในข้อนี้ หัวใจเรรวนพูดไม่ถูก เจ้าเรียมกับมันกำลังคิดตรงกัน

แข็งใจตอบไปว่า “ค่อยคิดค่อยอ่านเถอะเรียม เราค่อยชลอๆดูเขาไปก่อนดีกว่า ไม่ช้าเขาก็ดีกันเองเพราะเราใช่อื่นไกล ผืนนาก็อยู่ติดๆกัน บ้านใกล้เรือนเคียงจะโกรธกันไปถึงไหน”

“ไม่เห็นเลยพี่ขวัญ ฉันมองไม่เห็นจริงๆ” แล้วเจ้าเรียมก็ถอนใจอีก “นี่ฉันก็นับว่าเปนลูกนอกคอก นอกคำพ่อคำแม่อย่างตกนรกทีเดียว แกห้ามนักห้ามหนาเพราะรู้จากพี่เริญว่าเรารักกันมานานแล้ว แกว่าถ้าไม่เชื่อคำแกก็อย่าอยู่ดูผีดูไข้กันเลย”

ความกระอักกระอ่วนของเจ้าขวัญถึงที่สุด ไม่รู้จะหาคำใดมาปลอบเจ้าเรียมอีกได้ เพราะอะไรมันก็จริงของเจ้าทั้งสิ้น ตลอดย่านปลายน้ำตลอดทุ่งเวิ้งบางกะปิและแสนแสบทั้งสองฟากเจ้าขวัญไม่กลัวไม่พรั้นใคร ผีสางนาง​ไม้นักเลงทุกๆรุ่น และหนุ่มคะนองกำลังแตกเปลี่ยวไม่ว่าหน้าไหนบางไหน เมื่อออกชื่อเจ้าขวัญลูกบ้านทุ่งปลายน้ำบางกะปิแล้วต้องรู้จักดี หลีกหมด. เมื่อไม่หลีกก็เจอกันเท่านั้นเอง แต่นี่ล่ะ ตาเรืองเอย อ้ายเริญเอย ล้วนแต่สังคะญาติที่สำคัญๆ ของเจ้าเรียมทั้งสิ้นจะทำลงไปยังไง

เหม่อมองไปอีกฟากหนึ่ง อีเกกับอ้ายเรียวกำลังคลอคู่ลอยฟ่องอยู่กลางน้ำ มันเปนควายเดรฉานก็ยังรู้รักรู้ปลื้มกันตามประสา หันมามองเจ้าของ-เออ เจ้าเรียมกำลังร้องไห้อยู่หว่างอกร่ำรำพรรณถึงทุกข์ยากที่จะต้องประจัญในข้างหน้า ตลอดคลองนี้ไม่มีใครสรวยล้ำไปกว่าเจ้าเรียมจนหนุ่มๆติดกรอแต่เจ้าเรียมไม่เล่นกับใคร อุส่าห์ถนอมตัวมามอบรักกับเจ้าขวัญ

เหลือที่เจ้าขวัญจะใจแข็งอีกต่อไป ก็ซบหน้าลงกับหัวเจ้าเรียม น้ำตาไหลหยดลงเส้นผม เจ้าเรียมเมื่อรู้ว่าขวัญร้องไห้เจ้าก็ยิ่งร้องใหญ่ เจ้าขวัญก็คิดแค้นในวาสนาอาภัพไปต่างๆ นี่มันเปนครั้งแรกคนแรกจริงๆ ที่เห็นน้ำตาอ้ายขวัญอ้ายหนุ่มตัวยงลูกทุ่งปลายน้ำ

“พี่ขวัญร้องไห้ พี่ขวัญยังเคืองพ่อกับพี่เริญหรือ อย่าเลยพี่ขวัญอย่าคิดอาฆาตแกเลยนึกว่าเห็นแก่ฉันเถอะ”

“เปล่าหรอกเรียม พี่เจ็บใจวาสนาของเรา พี่ไม่อาฆาตแกหรอก เพราะแกก็เท่ากับพ่อของพี่เหมือนกัน ถึงอ้ายเริญก็เถอะ พี่อโหสิให้มันแล้วเพราะเห็นแก่เจ้า”

“จริงหรือพี่ขวัญ” เจ้าเรียมคยั้นคยอไม่ค่อยจะเชื่อ เพราะเคยรู้ฤทธิ์รู้คมเจ้าขวัญมาดี “ถ้างั้นพี่ขวัญก็รักฉันมากเหลือเกินใช่ไหมจ๊ะพี่”

“ใช่แท้เทียวเรียมเอ๋ย พี่ไม่เห็นว่าอะไรจะน่ารักไปกว่าเรียมของพี่จริงๆ” เจ้าลูกผู้ใหญ่บ้านยืนยัน “พี่คิดถึงวันหน้าแล้วก็อยากจะร้องไห้เสียงดังๆ พอได้โล่งใจ พี่คิดเผลอไปว่าถ้าผู้ใหญ่เขาดีกันแล้ว พี่จะให้พ่อแกไปสู่ขอเจ้า แล้วต่อไปเราคงเปนศุขมากทีเดียวเรียม นาของพ่อแกมีถึง ๕๐ ไร่ และพี่ก็เปนลูกคนเดียวต้องได้หมดทั้งห้าสิบ เช้าไปนาเย็นกลับบ้าน ​เราเห็นหน้ากันก็เปนศุขจริงๆ หัวใจของพี่ไม่แส่หาอะไรมากมาย ในน้ำมีปลาในนามีเข้าและที่บ้านมีเรียมอยู่พี่ก็แสนสบาย เมื่อพ้นหน้าเกี่ยวหน้าลานแล้วเราก็มีเงินซื้อทองไว้แต่งเที่ยวงานวัด หรือเข้าบางกอกพออวดเพื่อนๆเขาได้ แต่ว่า_เอ๊อเจ้าก็รู้ก็เห็นอยู่ยังงี้ และจะให้พี่ทำยังไง ดีกว่าร้องไห้เล่าเรียมเอ๋ย”

แต่เกิดมาครั้งนี้เปนครั้งแรกที่ต้องใช้ความคิด สติปัญญาและความรอบรู้ของเจ้าขวัญก็เพียงอ่านหนังสือแตกเขียนไม่ค่อยคล่อง แต่เจ้าเรียมได้แต่อ่านออก หากจะเขียนก็ตู่ตัวเต็มทน ฉะนั้นงานนี้จึงเปนงานใหญ่ที่หนักอกสำหรับความคิดของเจ้ารักเจ้างามทั้งคู่

กอดรัดจูบซ้ายจูบขวากันอยู่อีกครู่ใหญ่ เจ้าเรียมก็ระลึกได้ว่าบอกกับพ่อว่าจะพาอีเกมาอาบน้ำเพียงครู่เดียวเท่านั้น จึงชวนขึ้น

“เรากลับกันทีหรือพี่ เพราะนี่มันนานนักแล้ว เดี๋ยวพ่อแกให้พี่เริญมาตามพบเข้าจะเกิดความใหญ่ พรุ่งนี้เราถึงมากันใหม่ และบางทีฉันจะเลยไปที่ศาลจ้าวพ่อด้วย”

“ก็ดีเหมือนกัน” เจ้าขวัญคล้อยตาม มองหน้าสาวตลึงตไลเสียดายที่จะต้องจากกัน “พี่ไม่อยากห่างเรียมเลย เพราะคืนนี้ทั้งคืนจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ ดูมันนานราวกะสักปีหนึ่งทีเดียว-เอาไปก็ไป เรียมเกาะหลังเถอะพี่จะว่ายไปเอง”

แล้วเจ้าขวัญก็ผละตลิ่งโผออก วาดแขนแหวกน้ำสุดๆแร้ ข้อลำและกล้ามเนื้อที่สร้างขึ้นด้วยหางไถ ว่ายน้ำและผ่าฟืนก็วาดไปวักไป อย่างชำนิชำนาญไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอะไรเลย ในการที่มีหญิงยอดชีวิตของมันเกาะหลังพ่วงไปทั้งคน พอถึงตลิ่งและขึ้นฝั่งได้ ก็พบอ้ายเรียวกับอีเกกำลังเอื้องหญ้าอ่อนอยู่อย่างเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินใกล้ๆ กัน


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #2 on: 15 May 2022, 10:38:09 »


๒. คู่สาบาล

ไทรใหญ่ยืนต้นตระหง่านห่างฝั่งคลองเพียง ๓-๔ วา เปน​ไทรใกล้น้ำที่ทรงสาขางอกงามอายุนาน มีแพรแดงผืนใหญ่ห่มอยู่รอบต้น ที่หน้าศาลเทพารักษ์มีเครื่องบนบวงต่างๆ ทั้งตุ๊กตาไทยกับเข้าของกินเครื่องเส้นเสียกระบาน ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของไทรต้นนี้ ชาวบ้านจึงขนานนามกันว่าศาลเจ้าพ่อไทร

กำลังเที่ยงซึ่งเปนเวลาไล่ๆกับเมื่อวันวาน อ้ายเรียวคงยังฟ่องฟอดอยู่ในลำน้ำ แต่เจ้าของๆมันคือเจ้าขวัญ เจ้าหนุ่มลูกตาเขียนผู้ใหญ่บ้านของทุ่งแสนแสบ หรือปลายลำน้ำบางกะปิกำลังยืนลับๆล่อๆชะเง้อชะแง้คอยเจ้าเรียมลูกตาเรืองมหาสัตรู

เมื่อรู้สึกเมื่อยที่ยืนชะเง้อชะงกคอยป้องหน้าเบิ่งไปหาร่างเจ้าเรียมสาวงามกลางทุ่ง เจ้าขวัญก็ซุดกายลงนั่งพักเอนหลังลงใกล้ศาล ในใจก็พร่ำบนบวงภาวนาขอให้เจ้าเรียมมาเสียเร็วๆ เถิด เพราะการคอยหายทำให้เจ้าขวัญมีหัวใจนึกหวาดไป นึกว่าเจ้าเรียมจะลืมนัดเสียบ้าง ขี้เกียจมาหรือมาไม่ได้บ้าง

เจ้าหนุ่มลูกทุ่งต้องผงะขึ้นทั้งหงาย นั่งทรงตัวเหลียวไปรอบๆ เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าคนและเสียงจามแรงๆ ของควายใกล้เข้ามา

เจ้าเรียมกำลังจูงอีเกเลี้ยวคุ้งไผ่โน้นมา และตะโกนอย่างดีเนื้อดีใจ

“พี่ขวัญ”

“เออ_เรียม” เจ้าขวัญขานรับ “ทำไมช้านักล่ะ ฉันมาคอยตั้งแต่ก่อนเพนนึกว่าจะลืมเสียแล้ว นั่นเอาอีเกมาด้วยทำไมเล่า อ้ายเรียวก็อยู่ในน้ำไม่เห็นหรือ?”

“เปล่า” เจ้าเรียมตอบพอดีเดินมาถึง “ฉันไม่เห็นอ้ายเรียวก็นึกว่าพี่ขวัญจะยังไม่มาน่ะซี แหมที่เริญทำพิษใหญ่ วันนี้เขาอยู่บ้านทั้งวันเพราะพ่อจ้อยมาเลยรั้งฉันไว้ด้วย รำคาญเหมือนอกจะแตก”

พอได้ยินชื่อพ่อจ้อย เจ้าขวัญหน้าผิดสี เพราะใครๆก็รู้ว่าเจ้าจ้อยเปนคนมีอัฐ และติดพันเจ้าเรียมมานานนักหนา นัยว่าทั้งตาเรืองและเจ้าเริญก็ออกจะเต็มใจอยู่ด้วย ขัดแต่เจ้าเรียมคนเดียวจึงยังไม่สำเร็จ

​“อ้ายจ้อยเขาพูดว่าไรมั่ง” เจ้าขวัญถามระแวงๆ

“เขาก็พูดไปตามเรื่องของเขากับพี่เริญ ลงท้ายก็เลี้ยงเหล้ากันฉันรำคาญเลยรีบหลบมาเสียก่อน”

“บ๊ะ แดดร้อนตวันเที่ยงยังงี้มันยังจะดวดกันอีกหรือ ?” แล้วเจ้าขวัญก็แค่นหัวเราะออกมาดังๆ

เจ้าเรียมไม่ตอบว่ากระไร ตะเพิดอีเกลงน้ำแล้วกลับมานั่งที่เก่าใกล้ๆ เจ้าขวัญ ถามว่า

“พี่ขวัญมีไม้ขีดมั่งไหม?”

“มี เจ้าจะเอาทำไม”

“จุดธูปบูชาเจ้าพ่อสักหน่อย”

เจ้าขวัญพอจงะรู้แต่ยังไม่แน่ใจ จึงถามว่า

“จะบนอะไรจ๊ะเรียม หรือว่าเสี่ยงทายความในใจเรื่องไรก็จงบอกให้รู้มั่ง” ถามเปนนัยแล้วก็เอนกายชะโงกมาให้ตรงหน้าเจ้าเรียม

นึกอายเพราะถูกเจ้าขวัญล้วงใจดำ ก้มหน้าลงคุ้ยเขี่ยดินอย่างจนแต้ม เจ้าขวัญเห็นเปนทีเลยรั้งตัวนอนบนตัก จูบเจ้าเสียอย่างสมรักที่ทำให้คอยนาน

“เอ๊ พี่ขวัญ ช่างไม่นึกอายผีสางเทวดามั่งเลย”

“เราอยู่ด้วยกันเท่านี้จะอายใครอื่นอีกเล่าเรียมเอ๋ย”

“เจ้าพ่อน่ะซี” เรียมว่า

“ท่านอยู่ส่วนท่านหรอกเรียม และเราสองคนก็เคยถวายตัวเปนลูกท่านมาแต่เล็กๆด้วยกันท่านจะว่ากระไร”

นับว่าเปนครั้งที่สองซึ่งเจ้าเรียมถูกชายต้อง อกใจระทึกตกประหม่าไม่ผิดกับเมื่อวันวาน เจ้าขวัญก็ทั้งจูบทั้งกอดกำลังบ้ามุทะลุด้วยฤทธิ์รัก

“เจ้าจะบนอะไรฮึ๊แม่เรียม บอกให้พี่รู้มั่งซีจะได้ช่วยกันภาวนาให้สำเร็จ?”

“เรื่องของเราซีจ๊ะพี่ขวัญ”

“เรื่องของเรา” เจ้าขวัญท่องซ้ำ “เรียมจะบนเจ้าพ่อให้ท่านดลใจผู้ใหญ่ของเราให้แกดีกันแล้ว เรื่องของเราจะได้สำเร็จงั้นน่ะหรือ”

“ฉันก็อยากจะให้เปนยังว่าหรอกแต่น่ากลัวมันจะไม่สำเร็จแหละจ้ะ”

“งั้นเจ้าจะบนให้เปนอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”

​เจ้าเรียมตอบอายๆ “บนให้เรารักกันยั่งยืนต่อไปน่ะซีพี่ขวัญ”

เจ้าหนุ่มปลายน้ำมองสาวอย่างงงงวย “นี่เรียมยังนึกว่าเรารักกันเล่นๆอยู่อีกหรือๆว่าเจ้ากินแหนงแคลงใจอะไรในพี่อีกก็บอกมาเถิดจะสาบาลให้ต่อหน้าเจ้าพ่อนี่และ”

สมคิดของเจ้าที่ตรองมาแต่เมื่อคืน เรียมกระวีกระวาดลุกนั่งหยิบซองธูปเทียนที่ซ่อนมาแล้วรับไม้ขีดไฟจากเจ้าขวัญ

“ถ้าทำได้ยังงั้นก็เห็นใจว่าพี่ขวัญรักฉันจริง เพราะเราสองคนจะต้องครองตัวกันไปอีกสักกี่ปีกี่ชาติก็ยังไม่รู้ ถ้าพ่อแกไม่ดีกันเราก็ต้องคอยกันไปยังงี้กว่าแกหรือเราจะตายจากกันไป จริงไหมพี่ขวัญ เพราะงั้นแหละฉันจึงตั้งใจมาหาเจ้าพ่อท่านขอบนบานสารกล่าวให้ท่านช่วยเรามั่งแลพี่ขวัญก็เต็มใจสาบาลให้ฉันต่อหน้าเจ้าพ่อไม่ใช่หรือ”

“แน่ละซี” เจ้าลูกผู้ใหญ่บ้านรับทันคำ เสียงวอนว่าของเจ้าเรียมคนรักทำให้สงสารจับใจ พลันความเดือดดื้อมุทะลุในนิสัยก็พลุ่งๆขึ้นมาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ มือกระชากมีดซุยที่ติดมากับเอวออกชูร่า “อย่าพูดกันด้วยปากเลยเจ้าเรียม ตัวพี่ก็เปนชายเมื่อลั่นปากว่ารักแล้วก็ต้องรักจนวันตาย นี่แน่ะเจ้า ข้าคิดว่าคำพูดคำสาบาลของข้าน่ะคงไม่ทำให้เจ้าเห็นความศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่หรอก_ เลือดเถอะ_ เลือดข้าดีกว่า ข้าจะเอาเลือดข้าออกเส้นความรักของข้าเสียต่อหน้าเจ้าพ่อนี่และ แล้วเจ้าก็นึกเอาเองเถอะว่าข้ารักเจ้าเท่าไร”

เจ้าขวัญเงื้อมีดขึ้นสุดแร้ ตั้งใจจะจ้ำแขนของมันเองให้เลือดพุ่งฉูด เอาเลือดรักอุ่นๆออกเส้นเจ้าพ่อเพื่อให้เรียมเห็นใจของมัน

เรียมตกใจถลาเข้ารั้งแขน

“อย่าเลยจ้ะพี่ขวัญ อย่าทำยังงี้เลยฉันเสียวไส้จริงๆ เราจุดธูปเทียนบนด้วยปากเปล่าก็ได้ หัวใจเราตรงกันรักกันก็พอถมไป อย่าเลยจ้ะเชื่อฉันเถอะ” แล้วเจ้าก็แกะมือแย่งเอามีดโยนไปทางหนึ่ง

​เจ้าขวัญน้ำตาคลอ ความรักทำให้หัวใจมันเปนบ้ามุทะลุไม่รู้จะทำท่าไรดีเจ้าเรียมจึงจะเชื่อว่ารักจริง นอกจากจะเฉือนฉะเอาเลือดรักออกสาบาล

เจ้าเรียมจุดเทียนติดไว้ที่หน้าศาลแบ่งธูปให้เจ้าขวัญ แล้วตัวเองนั่งคุกเข่าจุดธูปปักไว้

เจ้าขวัญทำตาม เมื่อปักธูปคู่กับเจ้าเรียมแล้วก็ถามว่า

“เจ้าจะให้พี่สาบาลว่าไรก็จงบอกมาเถิดเรียม พี่จะว่าตามทุกอย่าง”

เรียมมองดูหน้าเจ้าหนุ่มใจซื่อเศร้าๆ มันจะซื่ออยู่งี้ตลอดไปหรือจะชั่วแล่นก็ยังไม่แน่ใจข้าเลย

“ต่างคนต่างอธิษฐานเถอะพี่ขวัญ ขอแต่ให้เรารักกันยืดๆ หัวใจซื่อต่อกันก็แล้วกัน”

“พื่อยากสาบาลให้เจ้าฟังดีกว่า จะอธิษฐาน”

“ก็แล้วแต่พี่ซี”

เจ้าขวัญพยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นฟัง เจ้าฟังคำพี่ไว้นะเรียม เอาละพี่จะสาบาลดังๆให้เจ้าได้ยิน” เจ้าขวัญหลับตาสำรวมใจครู่หนึ่ง แล้วก็กล่าวคำสาบาลขึ้นดังๆ ว่า “เจ้าประคุณ_ข้าขอให้เจ้าพ่อไทรเปนพยานด้วย ข้าชื่อเจ้าขวัญ ข้ารักนางเรียมหนักหนาปานชีวิตร์ แต่มีเหตุขัดข้องที่จะยังไม่ได้กัน ข้าขอสาบาลว่าข้าจะไม่ยุ่งกับหญิงอื่นเปนอันขาด ข้าจะรักข้าจะรอเจ้าเรียมจนกว่าจะสมประสงค์หรือชีวิตร์หาไม่ ถ้าแม้นข้าทำผิดคำสาบาลที่ว่าไว้นี้ ขอให้ชีวิตร์ข้าเปนอันตรายต่างๆ อย่าแคล้วเขี้ยวแคล้วงาสาสตราวุธหอกดาบ อย่าพ้นสามวันเจ็ดวันเลย ถ้าแม้นข้าตั้งอยู่ในศิลในสัตย์ด้วยความซื่อตรงขอให้ข้าได้อยู่กินกับเจ้าเรียมสมใจทั้งชาตินี้และชาติหน้า สัตรูคิดร้ายขอให้พ่ายแพ้วอดวายไปเถิด” เจ้าขวัญก้มลงกราบและหมอบนิ่ง

ฟังคำสาบาลทำเอาเจ้าเรียมเศร้าใจแทบไม่กลั้นน้ำตาได้ พี่ขวัญเอ๋ย บุญนำจำเพาะเสียจริงๆที่เรามาพบกันรักกัน คำสาบาลของพี่นั้นฝังใจข้าไม่หาย เห็นใจแล้วว่าพี่ขวัญรักข้าจริงเรารักกันซื่อๆตามประสาบ้านนอกขอกนาประสาลูกบ้านทุ่งเดียวกัน ขอให้ความรักของเราสำเร็จเถิด

​“พี่ขวัญ” เจ้าเรียมก้มตัวหมอบลงเคียงคู่ พูดเสียงสั่น “พี่อธิฐานอะไรจึงนานนักเล่า”

“พี่บนเจ้าพ่อไทร” เจ้าขวัญเงย​หน้าตอบเสียงเครือ

“บนอะไร”

“ให้ความตั้งใจของเราตลอดรอดฝั่งไปซิเรียมเอ๋ย เพราะมันกรรมของเราแล้วจะทำยังไงได้ล่ะเจ้า เรารักกันแต่คนอื่นเขาโกรธกันแล้วใครเล่าเขาจะรู้อกเรา มีอยู่แต่เจ้าพ่อนี่เท่านั้นที่จะช่วยเราได้ เจ้ากระเถิบเข้ามาชิดๆเถอะเรียม_เออ ประณมมือเข้าเถิดแล้วข้าจะจับมือเจ้าตั้งจิตต์อธิฐานร่วมกันไป_ยังงิ้และ ยังงี้ดีแล้ว เราอยู่กันอย่างงี้ทั้งวันทั้งคืนก็สุขสบายเหลือหลาย”

พอสิ้นคำรำพรรณ สองหนุ่มสาวก็หมอบนิ่ง จิตต์ผูกจิตต์ใจผูกใจเหมือนหนึ่งเปนดวงเดียว คิดไปแค้นไปในวาสนาของลูกชาวนาที่อาบเหงื่อต่างน้ำหาเช้ากินค่ำ หวังจะอยู่ร่วมฟูกร่วมหมอนช่วยกันทำช่วยกันกิน เอารักขึ้นตั้งหน้าก็มีเวรแซก

เจ้าเรียมร้องไห้กซิกๆและค่อยๆดังขึ้นทุกขณะ เจ้าขวัญก็ขบกราม_กรอดๆเพื่อทนทานต่อความทุกใจ ครั้นได้ยินเสียงเจ้าเรียมสอื้นก็เลยกลั้นไม่ไหวปล่อยน้ำตาพรากลงนองดิน

เสียงฝีเท้าวิ่งตึ้กตั้กมาข้างหลัง ทั้งเจ้าขวัญและเรียมสดุ้งสุดตัว ลุกพรวดพราดขึ้นยืนหันกลับมา

“อีเรียม มึงมาทำไมที่นี่”

เรียมหน้าซีดขาว ตัวสั่นยืนประณมมือ มองดูเจ้าขวัญแล้วร้องไห้ และตอบไปว่า

“เปล่าจ้ะ-พ่อ”

“เปล่า ฮึ้เปล่า” ตาเรืองหัวเราะอย่างแค้นๆ ยกดาบชี้มาทางเจ้าขวัญ “แล้วนั่นสัตว์เดรฉานที่ไหนล่ะ”

เจ้าขวัญตัวสั่นเทิ้มใจเต้นริกๆ มองดูเจ้าเรียม แล้วนึกสงสาร จึงหักใจตอบตาเรืองไปดีๆว่า “ฟังฉันก่อนจ้ะพ่อ อ้า_แม่เรียมไม่ได้ยุ่ง__”

เจ้าเริญซึ่งถือดาบอยู่กับพ่อจ้อยข้างหลังตาเรืองรีบสอดขึ้นว่า “อ้ายโกหก ไม่ได้ยุ่ง_ชิ๊ๆไม่ได้ยุ่งแล้วมึงเสือกล่ออีเรียมมานี่ทำไม”

“อ้ายเริญ” เจ้าขวัญเรียกลากๆเสียง “ปากคอมึงอย่าเราะรานนักนา เฮ้ย อ้ายเรามันรุ่นเดียวกับกูยอมมึงไม่ได้ หรอกน๊ะ ลำพังพ่อกูยอมให้เพราะแกเปนผู้ใหญ่”

​พ่อจ้อยควงดาบก๋าเพราะกำลังจะประจบตาเรืองและเจ้าเริญ

“ถ้ากูไม่เกรงพ่อว่าแกมาด้วยก็คงได้หามมั่งหรอกว๊ะ”

“ก็จะเปนไรไป ละว๊ะอ้ายจ้อย มึงก็รู้ไม่ใช่หรือคนอย่างกู” เจ้าขวัญตบอกผางใหญ่ “คนอย่างอ้ายขวัญน่ะมึงเห็นหนีใครมั่ง และกูก็ไม่มีใครหามกูหรอกเพราะตัวคนเดียว มึงก็เลือกเอาซีกูจะได้ตายของกูที่นี่”

“อ้ายขวัญ” ตาเรืองชี้หน้า “มึงอย่าให้แรงนักนา. กูหัวหงอกอยู่นี่ทั้งคน หนอยมึงว่าตัวคนเดียว งั้นก็เท่ากับมึงว่ากูเกอพลอยเปนหมาหมู่ไปด้วยซี”

“เอ๊าพ่อก็ จะเถียงกับมันเอาวิมานอะไรเล่าฉันดีกว่า” ขาดคำเจ้าเริญก็แกว่งดาบเข้าใส่

“ฮ๊ะ_ฮ้า อ้ายเริญ” เปนเสียงที่หัวเราะก้องๆ ไม่หวาดไหวสทกสท้านของเจ้าลูกผู้ใหญ่บ้าน มีกังวาลดุๆที่อยุดเจ้าเริญไว้จนชงัก “มึงน่ะรึจะฟันอ้ายขวัญ เฮ่ะ_เฮ้_มึงน่ะรึ จะฟันกู”

เจ้าเรียมเห็นถ้าจะไปกันใหญ่ นึกภาวนาบนบานเจ้าพ่อให้เลิกแล้วกันไป หันมาทางพี่ชายและยกมือไหว้

“ขอทีเถิดพี่จ๋า เชื่อฉันเถิด พี่ขวัญเขามาของเขาทางและฉันก็มาทาง แต่มันประจวบเหมาะกันเข้าเท่านั้นเองและจ้ะ”

“ตอแหล กูแอบดูอยู่เปนนานสองนาน นี่หากว่าอีเกมันกลับไปคอกหรอก กูถึงได้รู้ หาไม่ก็-เออ-มึงฮิ๊-มึงฮิ๊ อีเรียม มึงจะทำให้พ่อแม่ขายหน้าเสียให้ได้หรือว่าไง จิกหัวมานี่อ้ายเริญ”

พอตาเรืองพูดขาดคำ เจ้าเริญก็ปราดเข้าจะจิกหัวเจ้าเรียมตามคำสั่ง เจ้าขวัญปราดออกขวางหน้ากางแขนทั้งสองกั้นทางไว้.

“ขอที_แม่เรียมไม่ผิดจริงๆ พ่อจ๋า”

“ก็กงการอะไรของมึงเล่า”

“ฉันขอดีๆจ้ะ เพราะแม่เรียมไม่ผิดอะไร”

“อ้ายหน้าด้าน กูบอกอยู่โต้งๆว่ากูแอบดูมึง เออ_อ้ายขวัญเมื่อตะกี้มึงจูบหมาหรือจูบอีเรียมเล่า”

​เจ้าขวัญหน้าเสีย เพราะตาเรืองรู้ความจริงเสียหมด จึงนั่งคุกเข่าลงแล้วกราบที่ใกล้เท้าตาเริญ

“ฉันผิดจ้ะพ่อ แต่ขออย่าทุบตีแม่เรียมเลย นึกว่าขอให้ฉันเถิด และ-”

ไม่ทันได้พูดจบ พิษหึงเข้าจับหัวใจ เจ้าจ้อยโดดถีบเจ้าขวัญถูกซอกคอหงายไป เจ้าขวัญผงะลุกขึ้นได้วิ่งแร่เข้าใส่พอคล้อยหลัง เจ้าเริญซึ่งยืนคอยทีอยู่ก็ฟันดักมา สันดานเจ้าขวัญเปนคนว่องไว และเคยประจญประจัญบาลมามาก จึ่งหลบตัวเบี่ยงหาไม่เปนคอขาด แต่ถึงงั้นก็ยังไม่พ้น ปลายดาบเจ้าเริญลอดมาถูกศีร์ษะ พาดยาวออกพ้นตีนผมเลือดไหลโกรก

เห็นเลือดเหมือนจะเปนบ้าในทันใด

ไม่เคยเลยอ้ายขวัญ ไม่เคยที่จะให้ใครมาลบลายล้อมฟันเล่นง่ายๆเหมือนครานี้เลย อ้ายเริญเท่านั้น อ้ายเริญพี่เจ้าเรียมคนรักใครยังทำได้

เจ้าขวัญถอยกลับไปทางเจ้าเรียม ก้มหยิบมีดซุยที่ตกอยู่หน้าศาล ชีวิตต์_ต้องเอาชีวิตต์ ไม่ใครก็ใครละต้องเปนศพกันลงข้าหนึ่ง

ตาเรืองปราดเข้าขวางถือดาบจังก้า เจ้าขวัญกุมมีดทื่อเข้าใส่

“พ่อจะว่าอย่างไร_ข้าเจ็บแล้ว เห็นไหมอ้ายเริญฟันข้าก่อน-หลีกไป ถ้าพ่อรักจะเปนผู้ใหญ่หลีกไป เอาเถอะสำหรับพ่อข้ายกให้”

เจ้าเริญกับนายจ้อยหลบไปหลัง ตาเรืองเพราะรู้ตัวดีๆว่า อ้ายขวัญกำลังบ้าเลือด ตลอดทุ่งแสนแสบ และบางกะปิ ไม่มีนักเลงหน้าไหนจะกึกก้องลั่นไปกว่าอ้ายขวัญ อ้ายหนุ่มลูกเสือเขียนผู้ใหญ่บ้าน

ความรักพ่อ เจ้าเรียมลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมว่าเจ้าขวัญเปนคู่รักคู่สาบาลคู่จะร่วมทุกข์ร่วมศุข หวาดๆ ไปว่าเจ้าขวัญจะหน้ามืดเพราะบ้าเลือดแล้วแทงผู้ที่ขวางหน้าสวบลงไป พ่อเจ้าจะต้องตาย จึงวิ่งจากที่เดิมเข้ากอดตาเรืองไว้แน่น

จ้องดูเจ้าขวัญเห็นเลือดโซมหน้า เรียมร้องไห้โฮใหญ่

“โธ่-ฆ่ากันเองแท้ๆ พี่ขวัญอย่าแทงพ่อน๊ะ_พ่อฉัน อย่าทำพ่อฉัน”

​เจ้าขวัญจ้องสองพ่อลูกตาถมึง เลือดยังไหลโทรมตลอดเวลา ทั้งเจ็บทั้งแค้นที่เจ้าเริญฟันเอา แล้วปล่อยให้ตาเรืองออกขวางและเจ้าเรียมก็เกิดมา​เปนทัพหน้าของตาเรืองอีกต่อหนึ่ง

“เรียม” ขวัญเรียกเสียงยังไม่หมดแค้น “แผลนี้น่ะ เพราะรักเจ้าหรอกน๊ะจะบอกให้ ถ้าผิดจากเจ้าแล้วอ้ายพวกนี้เปนศพหมด” มันชี้กลาดหน้าเอาคนเหล่านั้นสดุ้งเฮือกไปตามกัน “อ้ายเริญ มึงกับกูมาฆ่ากันเถอะ มาออกมาทั้งอ้ายหมาจ้อยด้วย ไหนๆ กูก็เจ็บแล้ว กูจะตายที่นี่และ”

นิ่งเงียบทุกๆคน แม้ตาเรืองเองก็ไม่กล้าปริปาก เจ้าขวัญจึงพูดต่อไปว่า

“มึงมันไม่ใช่นักเลงหรอกว๊ะอ้ายเริญ ยิ่งอ้ายจ้อยก็หมาเลย ลูกผู้ชายที่ไหนว๊ะเขาจะถีบกูกำลังกราบตีนพ่อมึงอยู่ แล้วก็ล้อมฟันเอา ถุย, อ้ายเสียชาติเกิด” แล้วมันก็หัวร่อเสียงก้องสนั่น โมโหถึงขีดคล้ายคนบ้า

หวลกลับไปกระชากชายแพรแดงที่ห่มต้นไทรขึ้นเช็ดเลือดเปียกโชกไปทั้งชาย

ระหว่างนั้นเจ้าเรียมกับพ่อต่างบุ้ยปากให้เจ้าเริญหลบไปเสีย ส่วนเจ้าจ้อยเห็นท่าไม่เปนการจึงหลบตามเจ้าเริญไปด้วยอีกคนหนึ่ง

เมื่อหันกลับมาไม่พบใครอีก นอกจากเจ้าเรียมกับพ่อของมันยืนอยู่ เจ้าขวัญก็นึกเสียใจ กูเอ๋ย_เสียนักเลงเสียแล้ว

“แล้วพ่อจะจัดการอย่างไรให้ฉันล่ะ เพราะฉันจะเจ็บเปล่าไม่ได้เปนอันขาด”

ตาเรืองสิ้นท่าพูดอุบๆ อับๆ กับลูกสาว เจ้าเรียมตันใจเพราะเจ้าขวัญคนรักก็เจ็บมากที่ไหนมันจะยอมง่ายๆ

เจ้าเรียมเดินเข้ามาหาใจคอไม่ปรกติ

“นึกว่าเห็นแก่ฉันและพ่อเถิด, พี่ขวัญ”

เมื่อเห็นเจ้าขวัญนิ่ง ตาเรืองจึงสอดขึ้นมั่งว่า “นึกว่ายกให้พ่อเถอะ ขวัญเอ๋ย อ้ายเริญมันก็ผิดไปแล้ว เอาเถอะ พ่อจะจัดการให้มันไปสมัคสมาเจ้าทีหลัง”

เจ้าขวัญพูดไม่ออก สันดานนักเลงของมันทำให้คลายโมโห ใจคอตื้นตันเมื่อเห็นตาเรืองพูดโอนอ่อนและก็เพราะความรักความสงสารเจ้าเรียมกลัดกลุ้มอยู่ในหัวใจ

​“เมื่อพ่อขอฉันก็จะยกให้ แต่อ้ายจ้อยน่ะฉันต้องจำจนวันตายทีเดียวว่ามันถีบหน้าฉัน” แล้วจึงหันมาพูดเปนนัย เพื่อเตือนให้เจ้าเรียมระลึกได้ว่า “ฉันไม่ลืมคำหรอกเรียม ฉันได้สาบาลไว้แล้วว่าอย่างไรก็อย่างนั้น เรียมดูโน่นก็แล้วกัน แล้วจำไว้ด้วยว่านั่นมันเปนเครื่องเส้นของฉัน มันเปนพะยานที่ข้าได้สาบาลให้เจ้าจำไว้”

เรียมสอึกสอื้น เจ้าขวัญใจช่างซื่อในความรักเสียจริงๆ เลือดมัน_รักมันอยู่ที่เจ้าเรียมคนเดียว

“ฉันก็ลืมไม่ได้เลยจ้ะพี่ขวัญ ฉันจะจำใส่ใจไว้ว่าเราสาบานว่าจะรักจะรอกันตลอดชาติต่อหน้าเจ้าพ่อ” แล้วเจ้าก็ร้องไห้โฮๆ ต่อหน้าตาเรือง

ตลอดทางกลับบ้านก่อนที่จะแยกกัน ทั้งตาเรืองและเจ้าขวัญหนุ่มพูดจาสนิทสนมเหมือนเพื่อนบ้านไกล้เรือนเคียงที่รักกันมาแต่ครั้งไหนๆ ทำให้เจ้าเรียมโล่งอกขึ้นอีกถนัด มองเห็นขันหมากผู้ใหญ่เขียนกำลังเดินตัดทุ่งเข้าเนื้อนาเจ้าในความฝัน


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #3 on: 15 May 2022, 10:40:12 »


๓ อ้ายขวัญฝากลาย

ภายในโรงนาของเจ้าเรียม ตาเรืองซึ่งเมื่อแรกก็คิดถึงความดีของเจ้าขวัญอยู่บ้าง แต่ลงท้ายก็ถูกลูกชายกับเจ้าจ้อยปั่นหัว และซ้ำแม่เจ้าเรียมมาสำทับเข้าอีกจนตาเรืองต้องเข้ารอยเดิม คือมองเห็นเจ้าขวัญเปนอ้ายขวัญลูกมหาสัตรู แล้วก็หันเข้ารุกราญทารุณบุตรสาวตามคำแนะนำของเจ้าเริญ คือจับเจ้าเรียมตีตรวนขาไว้กับเสาข้างที่นอนหวังตัดต้นไฟเสียก่อนที่หัวลมจะมาถึงอีก

๗ วันของเจ้าเรียมมันก็เหมือนตกนรก เมื่อก่อนคิดว่าพ่อจะเห็นอกเห็นใจจะได้ส่งข่าวไปให้เจ้าขวัญรู้และจัดคนมาสู่ขอ แล้วเจ้าเรียมก็จะเปนสุข ได้อยู่ใกล้เจ้าขวัญตลอดวัน พอลืมตาขึ้นหรือค่ำลงก็จะมีเจ้าขวัญอยู่ข้างเคียง ฟังมันพูดฟังมันวอนเมื่อเจ้ามีโมโหมันก็พูดออเซาะตลกขบขัน แต่ความคาดความฝันนั้นต้องเหลวไป ​เพราะพ่อแกกลับความคิด แต่วันนั้นมาจนป่านนี้ก็ร่วมเข้า ๘ คืนที่เจ้าเรียมต้องกินแต่น้ำตา เจ้าขวัญเล่าก็คอยหาย หรือมันจะล้มเจ็บลงอีกเพราะแผลนั่นมิใช่เล็กน้อย

นับแต่วันเกิดเหตุมา เจ้าขวัญต้องนอนแซ่วอยู่เพราะพิษแผลทำให้มีไข้ไปไหนไม่ได้ แม้จะถูกผู้ใหญ่เขียนซักไซ้ไล่เลียงเท่าไรเจ้าขวัญก็ไม่รับ คงยืนคำอยู่แต่ว่าถูกคนแอบฟันผิดตัวและไม่รู้ว่าเปนใคร คอยฟังข่าวทางเจ้าเรียมก็หายเงียบจนล่วงเช้าวันที่ ๗ บาดแผลค่อยทุเลา พอจะไปไหนมาไหนได้ เจ้าขวัญจึงออกสืบฟังข่าวเจ้าเรียมจนรุ่งขึ้นวันที่ ๘ ก็ได้รับหนังสือลายมือเจ้าเรียมลอบฝากเจ้ารอดน้องชายมาให้ เล่าถึงความทุกข์ยากทรมานที่เจ้าได้รับเพราะเจ้าเริญกับเจ้าจ้อยเปนคนปั่นหัวให้พ่อกลับใจ

พอรู้ว่าตาเรืองกับอ้ายเริญอ้ายจ้อยหักหลัง และทารุณกับเจ้าเรียมคนรักก็สุดที่เจ้าขวัญจะระงับโทษะ ลืมความเจ็บ ลืมความกลัว ชิ_ชิพ่อเรืองนะ มิเสียแรงเปนผู้ใหญ่พูดจาสับปรับแต่พอพ้นตัว เมื่อไม่สมาแล้วกูก็ไม่ว่ายังทำกับเจ้าเรียมอีก นี่ตกลงมันจะหลอกฟันอ้ายขวัญเล่นเปล่าๆ งั้นหรือ

มันลับดาบอยู่ตั้งแต่บ่าย อ้ายขวัญเจ้าทุ่งยิ้มแหยเมื่อเอามือจับคมดูรู้สึกหนับๆ นานแล้วซีนะที่มึงมิได้กินเลือด สนิมขึ้นออกเกรอะ ค่ำนี้แหละ คืนนี้เถอะ กูจะให้มึงดื่มเลือดให้อิ่มทีเดียว

เวลาค่ำเข้าใต้เข้าไฟไปแล้ว กระทั่งล่วงมาอีกจนยามเศษ เจ้าจ้อยก็คงยังไม่กลับนา นั่งคุยฟุ้งถึงสมบัติพัศถารไร่นาสาโทอยู่กับตาเรืองกับเจ้าเริญและมีลูกน้องตามมาเปนเพื่อนด้วยอีก ๒ คน ต่างเสพสุราอาหารกันจนมึนเมาด้วยทุนทรัพย์ของเจ้าจ้อย

เจ้าเรียมถูกล่ามโซ่อยู่ในโรงนาชั้นล่าง จะนั่งนอนไม่เปนศุขสักท่าเดียว ซูบผอมตรอมตรมด้วยความทุกข์ใจ ข้าวปลาไม่เปนอันกิน เสียงที่เจ้าจ้อยคุยโขมงได้ยินชัดทุกๆคำและคำที่สำคัญสกิดใจก็คือแนะให้พ่อนำเจ้าไปขายไว้ที่บางกอกก่อนพอเรื่องเจ้าขวัญสงบงบเงียบลงสักครึ่งค่อนปีเจ้า​จ้อยจะเปนคนออกเงินให้ไปถ่ายมาแล้วมันจะขอเอาเปนเมีย

เสียงฝาจากทะลุและดังแกรกๆ ที่ข้างหลัง พอเหลียวไปก็เห็นเงาปลาบเข้าตา เจ้าเรียมตกใจแทบสิ้นสติจะหนีก็ไม่พ้นเพราะขาติดโซ่ครั้นจะตะโกนเรียกพี่ชายหรือพ่อให้ช่วยคงไม่ได้ยินเพราะมัวคุยกันเอะอะและกำลังเมาเฟะไปตามกัน กระทั่ง_

ฝาจากถูกตัดทะลุเปนช่องใหญ่สนัด อารามตกใจเจ้าเรียมโผหนีไปสุดโซ่ล้มลง พอขยับปากจะตะโกนเรียกพ่อก็ได้ยินเสียงจุปากแล้วเรียกชื่อเจ้าค่อยๆ

“เรียม_พี่มาแล้ว”

จำเสียงได้ว่าใช่คนอื่น

“พี่ขวัญ โธ่เอ๋ยพี่ขวัญจ๋า”

เจ้าขวัญตรงเข้าประคองแขนสั่นละริกมือลูบคลำโซ่เส้นใหญ่ที่ข้อเท้า น้ำตาหยดในฉับพลัน

“โถ เรียมเอ๋ย เจ้าต้องทรมานเพราะพี่แท้ๆ แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีเล่านี่”

เจ้าเรียมเงยหน้าขึ้นดูเจ้าคนรักสดุ้งสดุดใจ

“นั่นพี่ขวัญหน้าเปนอะไรจึงดำจนฉันจำแทบไม่ได้”

“พี่มอมด้วยดินหม้อหวังจะมาหาเจ้าซี”

เจ้าเรียมไม่เชื่อสนิท “ยังกะจะไปปล้นหรือทำร้ายใคร”

“เปล่าหรอกเจ้า พี่มอมมาก็เกลือกว่าจะมีเรื่องกลัวคนจำได้เท่านั้น” เจ้าขวัญพูดเฉไฉไม่เห็นเปนข้อสำคัญ

แล้วสองรักสองราก็เพลินไปชั่วขณะที่พบกัน มันจากกันมาเจ็ดคืนเหมือน๗ปี แม้เจ้าเรียมจะติดโซ่ เจ้าขวัญจะระบมแผลก็ไม่มีใครนึกถึง กอดกันไปร้องไห้กันไป หัวใจมันโศรกเศร้าสงสารกันมากเกินกว่าจะรักกัน ยิ่งเจ้าขวัญรู้ความที่เจ้าเรียมเล่าให้ฟังว่าเจ้าจ้อยยุให้ขายเจ้าแก่พวกพ้องมันที่บางกอกเพื่อเอาเงินมาถ่ายนาแลหวังจะแยกกันด้วยแล้ว เจ้าขวัญก็แทบคลั่งใจตาย สองมือเหนี่ยวรั้งแทบว่าจะกระชากตรวนให้ขาดสบั้น

“ไปเสียกับพี่เถอะเรียม”

“แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนเล่าจึงจะพ้นตาเขา”

​“ขึ้นบางกอกซี เรี่ยวแรงพี่มีพอทำงานเลี้ยงเจ้าหรอกเรียมเอ๋ย”

เจ้าเรียมซบหน้าลงกับตักเจ้าขวัญฟูมฟายน้ำตา อยู่จะตายหรือไปจะรอดยังไม่แน่ใจ เผื่อไปผิดพ้องกันขึ้นหรือเจ้าขวัญไปเห็นผู้หญิงสมัยในบางกอกเข้าแล้วเจ้าจะทำอย่างไร กลับมาอยู่นาหรือ จะดูหน้าใครได้เล่าในย่านบางกะปิ ลงท้ายเจ้าเรียมก็คิดสงสารเรียมเอง

“ขอผัดให้ฉันมีเวลากรึกกรองก่อนเถอะพี่ขวัญ”

“ตามใจเจ้าเถอะ เมื่อไหร่จะให้พี่มาฟังข่าวล่ะ คืนพรุ่งนี้ได้ไหม” เจ้าขวัญคยั้นถามเสียงหอบ

“ซักมะรืนจะดีกว่า”

“ดีเหมือนกัน”

เสียงข้างบนฮากันครืนขึ้นด้วยความสนุกสนานในคำพูดของเจ้าเริญ

ต่อมาอีกครู่ใหญ่ๆ เสียงเจ้าจ้อยกับพวกบอกลาเพราะดึกมากแล้ว ทั้งเปนเวลาเดือนมืด

“ระวังอ้ายขวัญน๊ะพ่อจ้อย อ้ายนี่มันลอบกินสำคัญนัก” เสียงเจ้าเริญพูดทีเล่นทีจริง

“ฮ้า-พ่อเริญ ก๊อผิดไปซี” จ้อยตอบเสียงส้นๆ บอกว่ากำลังห้าวเพราะฤทธิ์สุรา “ถ้าฉันกลัวอ้ายขวัญลาก้อ อีวันนั้นไม่กล้าถีบหน้ามันหรอก”

เจ้าขวัญซึ่งสงบฟังอยู่ข้างล่าง แทบจะอดไม่อยู่ กัดกรามกรอดด้วยโทษะ “เดี๋ยวเถอะอ้ายจ้อย เดี๋ยวก็คงรู้หรอกว่ามึงดีหรือกูดี มึงจะมาสักเท่าไหร่ก็ช่างหัวมึงเถอะ ถ้าเลือดไม่เจิ่งทุ่งไปมึงเรียกกูอ้ายหมาขวัญก็แล้วกัน”

“พี่ลาก่อนละน๊ะเรียมน๊ะ” มันหันมากระซิบปลอบใจนางคนรัก “ประเดี๋ยวเขาถือไฟลงมาส่ง อ้ายจ้อยเห็นพี่เข้าจะไปกันใหญ่” แล้วกอดรัดเจ้าเรียม จูบแล้วจูบเล่าเจ้าเรียมก็ไม่วายน้ำตาไปได้”

“วันมะรืนพี่จะมาอีก เจ้ารีบเช็ดหน้าเสียเพราะเปื้อนดินหม้อจากพี่แล้วอย่าลืมแซมจากที่พี่ตัดเข้ามาด้วย เดี๋ยวจะเกิดความใหญ่ ลาละเรียม_พี่ลาก่อน คืนมะรืนนี้อย่าลืม” มันสั่งเสีย​เร็วปร๋อ หยิบดาบคู่มือขึ้นจบท่วมหัวเล็ดลอดออกไปทางเดิม ละเจ้าเรียมให้ร้องไห้อยู่แต่เดียวดาย

เมื่อตาเรืองกับเจ้าเริญตามมาส่งจนสุดเขตต์นาแล้ว เจ้าจ้อยกับพวกก็บอกลาอีกหนหนึ่ง แล้วก็พากันเดินมุ่งหน้าข้ามไปทางปลายอันนาโน้น

ทางจะกลับบ้านเจ้าจ้อย เมื่อพ้นทุ่งนาแล้วต้องผ่านวัด ความเคยชินและฤทธิ์เหล้าทำให้เจ้าจ้อยกับพวกครึกครื้นร้องเพลงลั่นตลอดทางโดยไม่สทกสท้านหรือเกรงอกเกรงใจใคร

พอผ่านพระเจดีย์ เจ้าเพื่อนที่เดินหลังสุดร้องโอ๊ยแล้วล้มลง

“ข้าถูกฟันแล้ว พี่จ้อย”

เจ้าจ้อยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งขนลุกเกรียวสร่างเมา กำดาบมั่นหันกลับโดยเร็ว

เจ้าคนมอมหน้าโพกหัว ปราดออกจากท้ายพระเจดีย์ วิ่งเข้าใส่ไม่รอให้ตั้งตัวแล้วฟันเจ้าลัดเพื่อนเจ้าจ้อยที่ขวางหน้า เจ้าลัดยกดาบขึ้นรับ แต่มันฟันเร็วและหนักใจหาย บุกตลุยเสียเจ้าลัดตั้งตัวไม่ติด ถอยกรูดๆ หลังปะทะกับเจ้าจ้อยพอเหลียวดูเพราะกลัวล้มและเข้าใจว่า เจ้าหน้าดำมีพวกมาด้วย ก็ถูกฟันผ่าลงกลางแสกอย่างเต็มดาบเลือดกระจาย

เมื่อเสียเจ้าลัดลงอีกคนหนึ่งที่นับว่ายอดนักเลงและฝีมือดีก็เท่ากับเจ้าจ้อยมองเห็นป่าช้าจะหนีก็เปนการทิ้งเพื่อนอย่างบัดซบ จึงจำใจจำสู้

เกือบจะพูดได้ว่า เจ้าจ้อยเปนนักเลงเที่ยวมาก็นัก แต่ยังไม่เคยได้ประจญกับฝีมืออย่างอ้ายหน้ามอมคนนี้เลย มันฟันมาแล้วถึงสองคนก็ไม่เห็นเหน็ดเหนื่อยหรือเพลี่ยงพล้ำเลย ดาบฉวัดเฉวียนรวดเร็วจนตาลายปิดแทบไม่ถูก และในครู่ต่อมา เจ้าจ้อยก็มุ่งแต่จะฟันช่วงคอจึงปล่อยอกว่าง เลยถูกเจ้าคนมอมหน้ายกเท้าถีบอกเต็มแรง จนเท้าหลุดจากพื้นดินหงายหลังอย่างไม่ได้หลักดาบกระเด็นไปไกล.

เพียงเสียงหัวเราะอย่างแค้นๆ ในลำคอของมันเท่านั้น เจ้าจ้อยก็ใจหายหมดสติ มันเสียงอ้ายขวัญแท้ๆ

แล้วเท้าก็เหยียบลงบนอก มือจิกศีร์ษะสับเอาๆ ๓-๔ แผล พอเลือดเข้าตาแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งผละหนืออกหลังวัด ​โผนลงคลองดำน้ำหายไปโผล่ทางเหนือน้ำโน้น แล้วก็ดำต่อไปอีก

ฟ้าขาวเช้าตรู่ ท้องนากำลังปลอดโปร่งเพราะลมดีอากาศสดชื่นใจในตอนเช้า เสียงแห้งๆ ของรวงเข้าสุกกวัดแกว่งกระทบกันเมื่อต้องลม เจ้าเอี้ยงและสาริกาต่างก็ลงจิกเมล็ดเข้าที่เกลื่อนกลาดตามดินเปนฝูงๆ

สายวันนั้น ผู้ใหญ่เขียนก็ได้รับหมายจากอำเภอให้ส่งตัวเจ้าขวัญลูกชายซึ่งนอนจับไข้คลุมโปงอยู่ไปไต่สวนถานดักทำร้ายเจ้าจ้อยกับพวก ซึ่งทำให้ผู้ใหญ่เขียนหัวเราะหึๆ ลูบหัวลูกชายด้วยความรักใคร่ แล้วพูดว่า เมื่อมึงติดกูก็ยังอยู่อีกทั้งคนว๊ะ อ้ายขวัญไปเถอะ_ไปสู้ความเขา

ในช่วงบ่าย เจ้าขวัญก็ขี่อ้ายเรียวกลับนาด้วยหน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน โดยทางอำเภอเห็นเปนข้อใส่ไคล้ เพราะคนโกรธกัน ทั้งเจ้าขวัญก็กำลังเจ็บนอนจับไข้มา ๗-๘ วันแล้วตัวคนเดียวที่ไหนจะห้าวหาญสามารถไปฟันเจ้าจ้อยกับพวกเสียไปไม่ไหวทั้งสามคน เปนอันว่าเจ้าจ้อยเสียโฉมหน้าไป ๓-๔ แผล เจ้าลัดแขนแทบขาด และเจ้าอีกคนหนึ่งที่ถูกเข้าก่อนเส้นน่องขาดเดินกระโผลกไปตลอดชาติเปล่าๆ แต่เมื่อฟังนัยรู้นัยกันแล้ว ตลอดย่านบางกะปิและกินมาจนต้นน้ำแสนแสบ ใครๆ ก็พากันชำเลืองซุบซิบมาทางเจ้าขวัญทั้งสิ้น ยิ่งเจ้าเริญกลัวหัวหด พอค่ำลงก็เข้านอนแทบจะกอดดาบหลับ แต่เจ้าเรียมยิ้มทั้งน้ำตา นึกเคารพยำเกรงเจ้าคนรักขึ้นอีกจับใจ พี่ขวัญของข้า มิเสียแรงเลยที่ข้าได้เลือกแล้วสมใจนัก อ้ายเสือแสนแสบ อ้ายเจ้าทุ่งปลายน้ำบางกะปิ พ่อทูนหัวของเรียม


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #4 on: 15 May 2022, 10:42:52 »


๔ สายน้ำเก่า

ตึกใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของหญิงหม้ายมั่งคั่งผู้หนึ่ง น่าตึกเปนหญ้าแซมสวนดอกไม้ ถัดไปเปนศาลานั่งเล่นริมน้ำแล้วก็ถึงสพานทอดไปลงโป๊ะใหญ่

​หญิงสาวงามแต่งกายเรียบๆทันสมัยกำลังอ่านจดหมายหน้าเศร้าๆ เพราะข้อความในจดหมายนั้นทำให้เธอกระวนกระวายที่จะต้องตัดสินใจในเหตุการณ์บางอย่าง ตามธรรมดาเธอเคยมานั่งเล่นที่นี่ทุกวัน ปล่อยหัวใจเพลิดเพลินไปในความเปนอยู่และชีวิตหนหลังของเธอ ๓ ปีโน้น บางครั้งเธอแอบร้องไห้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเปนยิ้มแย้มเมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นๆ มาอย่างไม่นึกฝัน

เสียงเรือเร็วเครื่องกลางลำได้ยินถนัด และบ่ายหัวตรงมายังโป๊ะท่าน้ำ เธอชะเง้อตัวมองแล้วลุกยืนอย่างดีใจ

“มาอยู่นี่เอง” เสียงทักของหนุ่มคนหนึ่งใน ๒-๓ คนที่ก้าวขึ้นจากเรือ

“ก็มาคอยรับคุณสมน่ะซี” หล่อนว่า.

พวกผู้ชายหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“คุณเรียมไม่ใช่เล่น” สงัดเพื่อนของสมชายที่มาด้วยกันรู้ทัน “แต่ที่แท้พวกเรากำลังมาหาคุณคนเดียวน่ะไม่พูดถึง”

คุณเรียมหัวเราะตอบฉะฉาน

“ก็มาคอยรับ มิดีกว่ามาหารึคุณหงัด”

“เงียบเถอะหงัดลื้อมันพลาดไปแล้ว” สมชายตัดบท แล้วหันมาถามคุณเรียม “คุณอาอยู่บนตึกหรือจ๊ะเรียม”

“อยู่ค่ะ แม่นายกำลังอ่านหนังสือ เชิญซีค๊ะ”

“อ้าว แล้วเธอเล่า” เขาหันมาถามเชิงชวน

“ดิฉันอีกสักครู่ถึงจะขึ้นไป”

สมชายยิ้ม กระซิบค่อยๆ ข้างหู

“คอยก่อนน๊ะ เดี๋ยวฉันจะลงมา”

“แล้วออกนำพวกเพื่อนพาขึ้นไปบนตึก.

คุณเรียม คือบุตร์สาวบุญธรรม ซึ่งคุณนายทองคำหญิงหม้ายซื้อไว้จากตาเรืองเพียงร้อยบาท เมื่อแรกก็ตั้งใจจะใช้สรอยการงานอย่างทาษ แต่มันเปนวาสนาของเรียมที่บังเอิญมีหน้าตาจริตกิริยาและน้ำเสียงไปเหมือนเปนคนๆเดียวกันเข้ากับโฉมยงบุตรสาวคุณนายซึ่งตายไปแล้ว ทั้งอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อ ๓ ปีโน้น เมื่อ​เจ้าเรียมมาจากท้องนาใหม่ๆ เรียมเปนคนเจ้าทุกข์เพราะมีความในใจเรื่องเจ้าขวัญ จึงดูเปนคนสงบเสงี่ยม รู้จนรู้เจียม และความจริงก็เปนเช่นนั้น จึงทำให้คุณนายเกิดความสงสาร และต่อมาก็เพิ่มขึ้นเปนรักใคร่ฝังใจ เพราะหน้าเจ้าเรียมงามเอามากๆ ไม่แพ้โฉมยงเลย แต่พอเปลี่ยนทรงผมจากหญิงชาวนามาเปนชาวพระนครแล้วเจ้าเรียมก็คือคนๆเดียวกับโฉมยงบุตรของคุณนาย เห็นเรียมก็เหมือนเห็นลูก นี่เปนคำพร่ำพูดเสมอๆของคุณนาย. และแต่นั้นมาก็คอยเฝ้าสังเกตุกิริยาและความไว้วางใจต่างๆจากเจ้าเรียม

เรียมเคยได้รับแต่ความทุกข์ยากอดๆอยากๆ เมื่อมาพบความสุขเข้าเช่นนี้ก็มิได้เผลอสติ เพราะเรียมเปนคนรักดี เมื่อรู้ว่าคุณนายรักเพราะมีหน้าตาเหมือนบุตร์สาว เจ้าเรียมก็เลยวางตัวพยายามทำความดี เอาอกเอาใจคอยปฏิบัติคุณนายเยี่ยงเดียวกับมารดาของตัว เพียงชั่วเวลาปีหนึ่งล่วงมาคุณนายก็รักเรียมหลงเรียมไม่ผิดลูกสาวคือโฉมยงที่ตายไปแล้ว และคุณนายก็ได้ขอตัดขาดจากตาเรืองรับไว้เปนบุตร์บุญธรรมแต่นั้นมา

ในปีที่ ๒ และที่ ๓ ของเรียม เปนเวลาที่โลกแผนใหม่ตลอดจนอารยะธรรมทุกชะนิดของชาวพระนคร กำลังครอบงำเปลี่ยนแปลงเรียมจากชีวิตชาวนา เพราะความมั่งคั่งของคุณนาย เรียมจึงได้รับความรู้ที่สมสมัยจนเต็มสติปัญญา การสมาคมต่างๆนั้น สมชายซึ่งเปนบุตรชายเจ้าคุณรัตน์ฯ พี่ชายคุณนายเปนผู้นำ ทุกๆแห่งทิสมชายรู้จักมักคุ้น เรียมเจ้าก็ต้องมักคุ้นไปด้วย เมื่อแรกสมชายก็เหยียดๆเรียมอยู่บ้าง แต่ครั้นทราบว่าอาหญิงคือคุณนายทองคำได้ยกย่องเรียมขึ้นในฐานบุตร์สาวบุญธรรมก็เลยทำเอาสมชายต้องหันมาเพ่งเล็งอีกเปนพิเศษ เพราะเมื่อจะพูดไปอีกนัยหนึ่ง โฉมยงผู้ที่ตายไปแล้วก็เคยปรากฎว่ารักใคร่กับสมชายจนเกือบจะเปนคู่มั่นกัน เมื่อเรียมมาแปรโฉมแทนโฉมยงไปได้อย่างไม่มีผิดเช่นนี้ สมชายก็กระตือลือล้นอย่างปลาดและรุนแรงยิ่งกว่าเดิมเพราะโฉมยงนั้นก็นับว่าเปนญาติที่ไกล้ชิดซึ่ง​ทำให้หนุ่มสาวเกิดความกระดากใจ, เมื่อคุณนายทราบความสัมพันธุ์เหล่านี้ของเด็กก็เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเห็นว่ามันสมน้ำสมเนื้อกันและเพื่อจะผูกมัดเรียมให้ลืมบ้านและสัญชาติเดิมเสียด้วย

อย่างไรก็ดี เรียมก็ไม่วายจะคิดถึงความหลังของชีวิตร์ไปได้ ถึงแม้เวลา ๓ ปีที่ผ่านมาเรียมจะไม่เคยเหยียบไปบางกะปิเลยจนครั้งเดียวก็จริง แต่วิญญานของเรียมมักหวลกลับไปบางกะปิในบางขณะ แต่มิใช่เรียมปรานาจะอยู่บางกะปิเช่นครั้งก่อน เรียมรักที่จะเปนลูกคุณนายมากกว่าเปนลูกตาเรือง คุณสมชายกับเจ้าขวัญก็ไกลกันร้าวฟ้ากับดิน อยู่นี่เรียมแวดล้อมไปด้วยความศุขสารพรรณ เกียรติยศชื่อเสียงและความยกยอพินอบพิเทาเหล่านี้ใครจะคิดบ้างว่าหญิงชาวนาจะได้พบตลอดชาตินี้ แต่นี่เรียมพบแล้ว เรียมกำลังดื่มและกลิ้งเกลือกอยู่บนโลกแผนใหม่เหล่านี้ แล้วก็พยายามจะลืมบางกะปิลืมสายน้ำไหล ทุ่งหญ้าทุ่งนาก็พอจะหักใจลืมได้หรอก แต่พระไทรต้นนั้น แพรแดงและดวงหน้าซื่อๆเศร้าๆของเจ้าขวัญช่างมีวิญญานรุนแรงเสียจริงๆ หักเท่าไหร่ก็ไม่วายคิด เมื่อคิดแล้วก็ต้องร้องไห้ทุกครั้ง นายขวัญ ซึ่งแต่ก่อนเธอเรียกเขาว่าพี่ขวัญและเขาก็เรียกเธอว่าเรียมเอ๋ย มันเพราะนักเมื่อก่อนนี้ แต่เดี๋ยวนี้เล่า เธอฟังว่ามันเปนบ้านนอกอย่างน่าขนลุกแต่ก็นายขวัญนี่เองที่ทำให้เรียมหัวใจเปนแผล- และลืมบางกะปิคลองปลายน้ำทุ่งนาและต้นไทรเสียมิได้

สมชายหายขึ้นไปครู่ใหญ่ก็กลับลงมาทิ้งเพื่อนสองคนให้นั่งคุยกับคุณนายทองคำ

“ได้ยินคุณอาว่าเธอจะไปบ้านพรุ่งนี้หรือจ๊ะเรียม” เขาถามเมื่อนั่งลงไกล้ๆ “ถ้าไม่รังเกียจฉันอยากจะไปด้วย เราเอาเรือเครื่องติดท้ายลำเล็กไปเห็นจะเข้าคลองได้”

เมื่อพูดถึงกลับบ้าน เรียมเศร้าลงอีกถนัด รู้สึกอิดหนารอาใจที่จะต้องตอบในเรื่องนี้

“ไม่อยากไปหรอกค่ะสม แต่จำเปนเหลือเกินเพราะแม่แกเจ็บมากและ​พ่อมีจดหมายมาบอก” เธอชูจดหมายฉบับนั้นไห้ดู

“ก็ไปซีเรียม เพราะท่านเปนแม่และคุณอาก็มิได้ว่ากระไร ยังพูดกับฉันเลยว่าบางทีจะไปด้วย”

“ฉันอายบ้าน” เรียมพูดขึ้นตรงๆ “อายคุณสมและแม่นายที่จะไปเห็นสภาพที่นอนกลางดินกินกลางหญ้าของฉันเมื่อครั้งโน้น” แล้วเธอหัวเราะไม่เต็มเสียง

“แล้วกันเรียม นั่นไม่ใช่สิ่งจำเปนที่ฉันจะยกขึ้นวัดความพอใจของฉันที่มีต่อเธอเลย_นี่แน่ะเรียม,พูดก็พูดเสียเถอะ” แล้วสมชายก็นิ่งปล่อยให้ข้อความที่จะพูดนั้นเปนน่าที่ของเรียมจะคิดเอาเอง

“อะไรล่ะค้ะ ดิฉันไม่ทราบความหมายอะไรเลยตามที่คุณว่า”

“ความหมาย” เขาจ้องเปนการเปนงาน “ฉันจะมีความหมายอะไรอีก นอกจากขอเปลี่ยนเรียกชื่อเรียกว่าโฉมยง และเธอก็ทราบแล้วมิใช่หรือว่าโฉมยงกับฉัน คืออะไร?”

เรียมเอียงอาย คำพูดของคุณสมทั้งหว่านทั้งล้อม

“เรียมไม่บังอาจถึงเพียงนั้นหรอกค่ะคุณโฉมเปนบุตร์ของแม่นายแท้ๆแต่ ‘แล้วเธอก็มองดูตัวเธอเอง’ “แต่เรียมเปนชาวนาเรียมเปนทาษน้ำเงินซึ่งแม่นายซื้อไว้ เท่าที่ท่านเอ็นดูและรักใคร่ให้ความศุขมีหน้ามีตาเท่านี้ก็เปนวาสนาอยู่แล้ว”

“เธอช่างคิดและคิดถูกมากทีเดียวเรียม แลความคิดถูกของเธอนี่และ มันมีราคาสำหรับฉันมากเหลือเกินและเรียมต้องไม่ลืมว่า ฉันขอให้เรียมเปนโฉมยงของฉันนะจ๊ะ”สายตาของสมชายวิงวอนด้วยความจริงใจ

เรียมเศร้าใจหวนไปคิด ๓ ปีโน้นถ้าใครพูดกับเธอเช่นนี้เรียมจะไม่เข้าใจว่าเขาพูดมีความหมายเช่นไรเลย แต่เดี๋ยวนี้เธอเข้าใจอย่างจะแจ้ง นึกๆก็น่าสงสารอยู่บ้างหรอกที่คุณสมชายเปนถึงลูกพระยาและเปนหลานของแม่นายยังอุส่าห์ถ่อมตัวมาขอความรักจากผู้หญิงเช่นเธอ แล้วแผลในใจของเจ้าขวัญก็ผุดขึ้นในหัวอก

​“ขอบพระคุณมากเทียวค่ะ แต่ว่าเรียมขอเวลาตรึกตรองสักเล็กน้อย และคุณสมควรจะเรียนแม่นายดีกว่าเพราะดิฉันกำลังยุ่งใจจริงๆ พรุ่งนี้ก็จะต้องไปบ้านและจะไปค้างสักกี่วันก็ยังไม่ทราบเพราะแม่แกเจ็บมากเสียด้วย”

“เรียมควรจะไปอยู่พยาบาลท่านให้ชื่นใจบ้างซี ฉันจะเอาเรือไปส่ง เพราะการไปเรือแจวดูมันอืดอาดไม่ทันไข้เลย”

เมื่อคุยกันอีกครู่ใหญ่ๆ เพื่อนของสมชายก็กลับลงมาเสียงเอะอะเกรียวกราวทั้งล้อทั้งขับโดยคนเหล่านั้นรู้ถึงความเปนไปของคู่หนุ่มสาวดี

เจ้าขวัญ ตั้งแต่พ้นคดีกลับจากศาลอำเภอวันนั้นแล้ว ก็แกล้งนอนเจ็บอยู่อีก ๒-๓ วันเพื่อให้ความสมจริงเลยเปนเหตุให้มันผิดนัดกับเจ้าเรียมที่ว่าจะไปฟังคำตอบแล้วพากันหลบหนีขึ้นบางกอกด้วยกัน เจ้าขวัญแทบจะคลั่งใจตายเมื่อรู้จากเจ้ารอดว่าพ่อพาพี่เรียมไปขายไว้ที่บางกอกตั้งแต่เมื่อวานซืน มันจึงออกติดตามสืบเสาะ โดยอุส่าห์แจวเรือมาฝากเขาไว้ที่ประตูน้ำแล้วตัวมันเองก็ออกเดินเดาสุ่มเรื่อยไป หาไปสืบไปจนบางวันเจ้าขวัญต้องเสียเวลาตั้งหลายชั่วโมงเพราะกลับมาเรือไม่ถูกและก็เปนเวลาตั้ง ๓ เดือนที่มันเที่ยวติดตามหาเจ้าเรียมอยู่เช่นนี้จนสิ้นสรัทธา สิ้นหวังที่จะค้นหาเจ้าเรียมพบอีกต่อไป

ปีก่อนโน้น ปีกลายและจนจะสิ้นปีนี้ เจ้าขวัญมีชีวิตร์ไปชั่ววันๆ อย่างคนขี้เกียจและเจ้าทุกข์ เมื่อกลุ้มขึ้นมาคราวไรก็ขึ้นหลังอ้ายเรียวแสนรู้ มันก็พาเจ้าขวัญดุ่มๆ ไปสู่ฟากคลองข้ามน้ำไปยังอีกฟากหนึ่งแล้วเบิ่งหน้าตรงไปศาลเจ้าพ่อ ข้างเจ้าขวัญเมื่อลงจากหลังอ้ายเรียวแล้วก็ตรงมาหน้าศาล กราบกรานอธิฐานปรับทุกขปรับร้อนขอให้ได้พบเจ้าเรียม เมื่อเห็นชายแพรแดงซึ่งกรังไปด้วยเลือดเก่าของมันและเก่าคร่ำคร่ามันก็อดคลำแผลที่ขมับมิได้ เปนแผลเก่าเมื่อปี ๓ โน้นแผลรักแผลใคร่ซึ่งมันยอมอุทิศให้แก่อ้ายเริญเพราะเห็นแก่เจ้าเรียม ชายแพร​ก็เหมือนชายผ้าเจ้าเรียมเมื่อครั้งหลัง เรียมเอ๋ย ข้าจะต้องดูชายแพรนี้ต่างหน้าเจ้าไปอีกสักกี่ปี เจ้าพ่อเอ๋ย ถ้าให้เรียมกลับมาหาลูกแล้ว เมื่อจะเอาเลือดอ้ายขวัญเปนเครื่องเส้นอีกสักเท่าไรก็ขอให้เข้าฝันบอกเถิด

ก่อนเพน ถ้าจะนับถึงงานไถนาในวันนี้ของเจ้าขวัญก็ดูเหมือนมิได้ไถเลย ลมทุ่งพัดหวลไปหวลมาปั่นป่วนพิกล เหมือนเมื่อ๓ปีโน้น อ้ายขวัญก็นึกไปนิ่งไป เออลมยังงี้และข้ายังจำได้ว่านัดเจ้าเรียมไปฟากคลองในวันนั้น ลมมันหวล ลมมันหวล เจ้าขวัญรำพึง เออ-เรียมเอ๋ยเมื่อลมมันหวลครั้งไร ข้าก็อดหวลคิดถึงเจ้าไม่ได้ หรือว่าลางลมมันจะให้ข้ารู้ว่าเจ้าจะหวลมาบางกะปิอีก

ผลุนผลันทิ้งหางไถ แล้วเจ้าขวัญเจ้ากรรมก็เผ่นขึ้นหลังอ้ายเรียว ไม่ต้องลงตะพด หรือเตือนสนตะพายเลย อ้ายเรียวแสนรู้คู่ยากก็ออกเดินด่มไม่แวะเวียน ขะโยกบ้าง ตะโพงบ้าง แล้วแต่มันกระทั่งถึงฟากคลองก็ผงาดลงน้ำลอยป๋อว่ายรี่ๆ ตัดเข้าคุ้งโน้นแล้วก็ขึ้นตลิ่ง อีดอาดไปตามสันดานจนถึงหน้าศาล

มันกราบแล้วกราบอีก บนบ้าง อธิฐานและเล่ารำพรรณทุกข์ร้อนไปบ้าง แหงนหน้าขึ้นสู่ศาลครู่ใหญ่ แล้วก็ลดลงต่ำ ตาจับอยู่ที่แพรแดง โอ้ว่า _แพรแดงเครื่องระลึกของข้า เลือดของข้ารักของข้าฝากไว้ที่นี่ทั้งหมด เหลียวดูข้างขวาเล่า ห่างไปชั่วฝ่ามือเดียวก็คือที่นั่งของเจ้าเรียมเมื่อวันโน้น เออ_เจ้าเคยนั่งข้างพี่_ตรงนี้ ตรงนี้แท้ๆเจียวเจ้าเรียม แล้วมันก็เอามีดปักไว้เปนที่สังเกตุ

ลมพัดเย็นสบาย บางทีแรงกระโชกเหมือนจะขู่เข็ญอ้ายขวัญ แต่บางครั้งเหมือนเสียงกระซิบของเจ้าเรียม แปลกนักวันนี้แปลกจนเจ้าขวัญแปลกใจเพราะแพรผืนนั้นได้หลุดชายห้อยลง เจ้าขวัญขนลุกเกรียว ตรงเข้าไปประคองสองมือด้วยความเคารพ แล้วมันก็จูบค่อยๆ จิตต์ระลึกไปว่าชายผ้าของเจ้าเรียม หลั่งน้ำตาเสียพอได้คลายทุกข์แล้วก็ปูผ้าลงกราบเปนการอำลาสำหรับวันนี้

​จูงอ้ายเรียวมาถึงฟากคลอง ปล่อยให้มันโผนลงน้ำไปก่อนแล้วเจ้าขวัญจึงขึ้นขี่หลัง ผ่านพงอ้อกอเข้าตรงที่เจ้าขวัญรื้อถอนแหวกหาเจ้าเรียมเมื่อ ๓ ปี​ก่อน พ้นมาอีกครู่ถึงต้นไทรต้นเก่า ตลิ่งเก่า - ตลิ่งรักซึ่งกกกอดเจ้าเรียมไว้แนบอกแล้วก็พรากกัน น้ำโน้นไหลเลยทิ้งตลิ่งไปแล้ว เจ้าเรียมก็พรากข้าทิ้งข้าไปแล้ว หัวอกข้าก็เยี่ยงตลิ่งที่คอยนับวันพัง

อีกครึ่งคุ้งก็จะเข้าเนื้อนาเจ้าขวัญ อ้ายเรียวมีอาการตื่นตกใจเบิ่งแล้วเบิ่งเล่าอย่างปลาดเพราะเสียงกึกก้องดังสนั่นซึ่งมันไม่เคยได้ยินไล่หลังมา เจ้าขวัญเหลียวไปดูก็เห็นเรืองามอย่างไม่เคยพบใช้จักร์ไว้ข้างท้าย มีคนนั่งมาเต็มลำ ใกล้เข้ามาไล่เข้ามาจนทันกัน

ผู้หญิงบางกอกงามล้ำนั่งอยู่กลางจ้องเจ้าขวัญเสียจริงๆจังๆ ผู้ชายหน้าตาสวยๆ ๒ คนนั่งข้างหน้าและหญิงผู้ดีกลางคนนั่งคู่กับนังคนสาวสวย อ้ายคนคัดท้ายเรือนั่นซิเออ_หน้าตามันสวยยังกะผู้หญิง ถ้าเจ้านี่มาอยู่บางกะปิผู้หญิงคงลืมไร่ลืมนาไปหามันหมด ถ้ามันเปนยี่เกก็คงรวยเมีย เจ้าขวัญคิดไปต่าง ๆ นา ๆ

กระทั่งเรือผ่านไปไกล นางผู้หญิงบางกอกก็เหลียวมาจ้องเจ้าขวัญ อย่างไม่วางตา ประพิมประพายมันแม้นเจ้าเรียมเสียจริง แต่ขาวกว่า ท่วงทีกิริยาก็ดูจะจัดจ้านกว่าเจ้าเรียมมากนัก เออ_เรียม ถ้าเปนเจ้าแล้วนั่งมากับชายบางกอกยังงี้ ข้าก็จะตายเสียกลางน้ำนี่และ เจ้าขวัญคิดไปจนเรือลับคุ้งไปทางเนื้อนาเจ้าเรียมมันก็ซบหน้าลงกับหลังอ้ายเรียว

เมื่อรู้ว่ามีเรือยนต์มาจอดเทียบท่าหลังบ้าน ตาเรืองเจ้าเริญและลูกๆต่างตะโกนกู่ก้องกันยกใหญ่ เพราะตั้งแต่เปนนาตาเรืองและเปนตัวตาเรืองมาก็เพิ่งจะวันนี้แหละที่มีเรือยนต์มาจอด

ก่อนอื่น เจ้าเรียมตรงเข้าไปหาแม่ซึ่งกำลังอาการเพียบ แต่ยังจะพูดจารู้เรื่องกัน ตาเรืองและเจ้าเริญตื่นผู้ดีบางกอก จัดแจงปูเสื่อที่เลือกได้ผืนดีที่สุดคือผืนของเรียมที่ปูนอนเมื่อก่อนและตาเรืองเก็บรักษาไว้ จัดแจงยกน้ำท่าหมากพลูออกรับแขกเต็มที่ ทุกๆคนสังเวชใจในความเปนอยู่และชีวิตแร้นแค้นของเจ้าเรียมหนหลัง สมชายนั้นสงสารแทบจะร้องไห้

​เจ้าเรียมเมื่อเยี่ยมแม่แล้วก็กลับออกมา มองหน้าแม่นายและคุณสมกับเพื่อนอย่างไม่สนิทนัก ขึ้นๆลงๆจากโรงนามาชั้นล่าง กองโซ่ที่ล่ามเจ้ายังกองอยู่ นั่นเอง_ฝาที่ถูกตัดเพราะดาบเจ้าขวัญและซ่อมแซมเพราะมือเจ้าเตือนใจอยู่มิวาย นึกเสียงออกและจำได้ว่าเจ้าขวัญนัดจะมาฟังคำตกลงในคืนมะรืน

เจ้าเรียมยังไม่สิ้นอายสิ้นกระดากใจ เมื่อมาพูดจารับรองแนะนำคนเหล่านั้นให้รู้จักกับพี่น้องและพ่อแล้วก็เลี่ยงลงข้างล่าง โดยอางว่าลืมของไว้ในเรือ ยิ่งนึกถึงความตื่นเต้นเคอะเขินของพ่อกับพี่เริญที่ถูกแนะนำให้รู้จักกับคุณสมชายกับเพื่อนๆด้วยแล้วเรียมก็แทบจะวางหน้าไม่ลง

เธอนั่งโทษตัวเองอยู่ในเรือคนเดียวที่ไม่ควรกลับมาบางกะปิอีกมาดูสภาพเดิมของเธออีกแล้วก็มองดูสายน้ำไหลต้นไทรและกอข้าวริมฝั่ง พลันความในใจของเธอ เมื่อสักครู่ผุดขึ้นให้คิดลบล้างความขวยอายในสภาพเดิมของเธอที่กำลังตำตาคุณสมกับเพื่อนๆเมื่อสักครู่นี้เสียสิ้น แน่นักทีเดียวเจ้าควายตัวยาวผิดธรรมดาที่ผ่านมาเมื่อสักครู่นั้นมิใช่ควายอื่น นอกจากอ้ายเรียว ก็แล้วเจ้าบ้านนอกที่อยู่บนหลังเล่า จะเปนใครอื่นที่ผิดไปจากนายขวัญ ซึ่งแต่ก่อนเธอเรียกเขาติดปากว่า พี่ขวัญ พี่ขวัญคู่รักคู่สาบาลพี่ขวัญคนกล้าที่บุกบั่นเข้ามาหาเธอเมื่อคืนโน้นและลอบรักกันแล้วก็ไปดักฟันนายจ้อยกับพวกจนลือลั่นไปทั้งบางกะปิแม้เดี๋ยวนี้ เธอสมัคใจเรียกเขาว่านายขวัญด้วยความรู้สึกครั้งใหม่ของเธอก็จริง แต่ความรู้สึกครั้งเก่าของเธอบังคับให้เรียมคิดไม่วาย แผลรักหลังหัวใจกำลังกลัดหนองขึ้นอีกในเมื่อมาเห็นคลองปลายน้ำตลิ่งเก่า น้ำใสไหลเชี่ยวและร่มไทรอันเปนธรรมชาติของบางกะปิแทบจะฆ่าเธอเสีย

นั่งเผลอคิดไปอีกครู่หนึ่ง เสียงจ๋อมเหมือนปลาใหญ่ผุดทางท้ายเรือทำให้เธอสดุ้ง ขวัญหนีดีฝ่อแทบใจจะอยุดเต้น แม้ว่าสิ่งนั้นเปนจรเข้ใหญ่ที่สามารถจะหนุนเรือเธอให้ล่ม แล้วกลืนกินเธอก็ยังจะดีเสียกว่า.

​“เรียม_เรียมเอ๋ย.’

“นาย_อ้า พี่ขวัญ’

‘จ้ะ_พี่เอง’ เจ้าขวัญซึ่งผุดขึ้นเกาะเรือรับคำเร็วแทบจะสำลักน้ำแล้วพูดอะไรไม่ออกอีก ส่ายหน้าดูเรียม เรียกชื่อเธอได้เพียงสองคำ เรียม_เรียม แล้วก็ตื้นตันและถอนสอื้น ทั้งเรียมและขวัญก็ร้องไห้.

“พี่เพิ่งกลับจากศาล เจ้าพ่อของเรา ก็พอดี เรือไฟที่เจ้านั่งผ่านพี่มา พี่จำไม่ได้เพราะนึกว่าเปนหญิงบางกอกอื่น แต่โธ่เรียมเอ๋ย พี่ร้องไห้มาสองปีกว่าแล้ว น้ำใหม่ที่เราเคยเล่นงวดไปสองหนแล้ว พี่ก็ยัง...’ มันถอนสอื้นติดๆกัน ‘เรียม_พี่ยังคอยเจ้าอยู่จนน้ำนี้”

แม้เปนคำของชาวนา เรียมก็ไม่วายน้ำตาไหล เธอเองเปนคนที่กลัวขวัญจะทอดทิ้งเมื่อก่อนโน้น แต่เจ้าขวัญกำลังวอนอยู่ว่า เขาร้องไห้มาสองปี คอยเธอมาสองระดูของน้ำหลาก

“จะให้ฉันทำยังไงล่ะจ๊ะ นายขวัญ เพราะฉันก็ไปอยู่กรุงเทพ ฯ เสียแล้ว ดูเถิด” พูดหวังจะชี้แจงความจำเปนให้เจ้าหนุ่มเห็น “แล้วพ่อฉันก็มิได้เอาเงินไปถ่ายฉันมาเลยกระทั่งเดี๋ยวนี้ ฉันก็ต้องหลุดเปนทาษเขาไป แต่ก็เปนเคราะห์ดีของฉันที่เขาให้ความศุขสบายเกินตัว”

เจ้าขวัญเบิ่งตา คิดฉงนว่าเหตุไฉนเจ้าเรียมจึงผิดแปลกไปอย่างนี้.

“เจ้าอย่ายกย่องพี่นักเลย เจ้าเคยเรียกพี่ว่าอย่างไรก็เรียกอย่างนั้นเถิด ผู้ดีบางกอกเขาเรียกกันว่านาย แต่พี่ชอบให้เจ้าเรียกพี่ว่าพี่ขวัญ” เจ้าหนุ่มบ้านทุ่งพูดโดยเข้าใจผิด แล้วก็จับเรื่องต่อไปอีก “ร้อยเดียวไม่ใช่หรือที่พ่อแกขายเจ้าไว้ เงินเท่านั้นจะทุกร้อนไปใยเล่าเรียม พี่ถือหางไถมาสองปีกว่า รับจ้างเขาเกี่ยวเข้ามั่งแจวเรือมั่งพอเก็บประสมประเสไว้ พี่ยอมอดไม่กินอะไรเลย เดี๋ยวนี้พี่มีเงินสักสองร้อยเห็นจะได้ เจ้าคอยพี่สักเดี๋ยวเถอะ พี่จะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้และ” ขาดคำเจ้าหนุ่มลูกปลายน้ำก็ทำท่าจะดำกลับไปเอาเงินที่นา.

เรียมตันใจหน้าเสียลงอีกถนัด ขวัญเอ๋ย เธอกำลังเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงทีเดียว เงินจำนวนนั้นอาจซื้อฉัน​ได้เมื่อก่อนนี้ แต่ใครเขาจะยอมให้ขวัญซื้อฉันด้วยเงินร้อยเดียวในเดี๋ยวนี้เล่า แม้สัก ๕-๖ พันฉันก็เชื่อว่าคุณสมจะต้องตลีตลานก่อนใคร

​เธอมองดูหน้าขวัญอย่างสุดสงสารในความโง่เขลา บาปกรรมสิ่งไรหรือจึงทำให้ขวัญจมอยู่ในเวิ้งนาหมู่ไม้และลำน้ำจนยากที่จะช่วยให้เขาฉลาดไปกว่านี้ได้

“คงไม่เปนผลหรอกจ้ะ นายขวัญ ไม่เปนผลหรอก เพราะพ่อได้ขายฉันขาดให้แก่เขาแล้ว และ_ฉันก็สุขสบายดี”

เจ้าขวัญจ้องตลึงพรึงเพริด ปากอ้าตาเบิ่งด้วยคำบอกเล่าของเรียมว่าเจ้าอยู่เปนสุขสบายดี

มันเรียกชื่อเธอดัง น้ำเสียงสั่นๆ

“เรียม_อะไรกันนี่ เจ้าบอกพี่ว่าบางกอกที่เจ้าอยู่เปนสุขสบายดีงั้นหรือ พี่ไม่รู้เลยว่าบางกอกเปลี่ยนเจ้าให้เปนอื่นไป” มันลดตาลงจับแหวนเพ็ชร์ที่นิ้วของเจ้าเรียม สร้อยคอซึ่งวาววามไปเพราะจี้เพ็ชร์ ข้อมือซ้ายซึ่งมันเคยจูงมีนาฬิกาเรือนเล็กๆเปนทอง แล้วเจ้าขวัญก็สำนึกตัวหน้าสลด ความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นมาให้มันตั้งปัญหาถามเจ้าเรียม

“ผู้ชายบางกอกที่มาด้วยเจ้าในเรือไฟนั่นเขาเปนญาติกะเจ้าข้างไหน พ่อเรืองก็มีลูกผู้ชายแต่อ้ายเริญกับเจ้ารอดสองคนเท่านั้นที่พี่รู้จัก”

“เพื่อนฉันเอง แต่คนถือท้ายนั่นเปนหลานของแม่นาย และเปนลูกพระยา” เธอตอบเพื่อให้นายขวัญเห็นว่าเธอมีหน้ามีตายิ่งขึ้นกว่าเก่าก่อนมาก

“เพื่อน _ เจ้าคบเพื่อนผู้ชายด้วยหรือเรียม”

เรียมออกนึกเคืองในความโง่ของเจ้าลูกทุ่ง เปนครั้งแรกที่เรียมนึกเคืองเจ้าขวัญเสียจริงๆ

“นายขวัญไม่เข้าใจสมัยเขาหรอก ในพระนครน่ะ ของเหล่านี้เปนธรรมดาไม่แปลกเหมือนบ้านเรา”

แม้ธรรมชาติของบางกะปิจะสร้างขวัญมาให้เปนคนโง่ แต่ธรรมชาติไหวพริบในตัวผู้ชายของเจ้าขวัญก็มีอยู่ มันจับตาดูเรียมแล้วก็ก้มดูตัวมันเอง มันรู้แล้วว่าเจ้าเรียมกำลังแปรไปเปนอื่นเพราะบางกอกเมืองใกล้นี่เอง มันคิดว่ามันมีกรรมหนาเสียแล้วที่เกิดในบางกะปิ เออ_แต่ก่อนบางกะ​ปิเคยบรมสุขสำหรับมัน ทุ่งและลำน้ำแสนแสบที่มันแช่อยู่นี้เคยทำให้มันเย็นฉ่ำสบายนัก แต่เดี๋ยวนี้ไม่เย็นแล้ว แสนชอกช้ำและแสนแสบไปตามชื่อ เมื่อก่อนมันแช่น้ำเย็นกับเจ้าเรียม เดี๋ยวนี้มันแช่น้ำเกลืออยู่คนเดียว

เจ้าขวัญมีสันดานนักเลง เลือดทุกๆหยดของมันให้ใครก็ได้ถ้ามันรัก และมันจะล้างเลือดใครเสียก็ได้ถ้ามันเกลียด แต่เจ้าขวัญรักเจ้าเรียมเมื่อก่อน ถึงเดี๋ยวนี้ก็มันก็ไม่เกลียดแต่มันแค้น เรียมเอ๋ย กูเลือดนองวันนั้นเพราะมึงเทียว พระธรณีได้กินเลือดกูเพราะมึงแท้ เออ_มันกรรมของกูคนเดียวที่ทำให้มึงไปบางกอก - ไปบางกอก แล้วบางกอกก็เปลี่ยนมึงเสียสิ้น_บางกอกมันฆ่ากูอ้ายคนบางกะปิ

มันหักใจพูดไปเรื่องอื่นหวังกลบเกลื่อนความในใจว่า

“แล้วเมื่อไรเจ้าจะกลับไปอีกล่ะ”

“แม่แกยังเจ็บมากอยู่” หล่อนตอบไปเท่าที่ถาม

“แม่แกเจ็บ_เออแน่ะ, พี่ไม่รู้เลย, แล้วนี่แกเปนยังไงมั่ง”

“แกก็เรื่อยๆคอยวันตายเท่านั้นเอง”

“พรุ่งนี้เจ้าจะกลับหรือยัง”

“ยัง_มีธุระอะไรหรือ?”

มันพยักหน้า “มี_พี่อยากจะชวนเจ้าไปหาเจ้าพ่อสักหน่อย”

“เจ้าพ่อ” เรียมตกใจ “โอ๊_ไม่ได้หรอกนายขวัญฉันจะไปอย่างไรได้ และไม่รู้จะไปทำไมด้วย”

“อ้าว_เจ้าเรียม” เจ้าขวัญจ้องหน้า หัวใจมันออกจะรู้ในนิสสัยใหม่ของเจ้าเรียม “ก็ไปกราบไหว้บูชาท่านอย่างก่อนมั่งน่ะซี ดูรึ เจ้าหายไปเปนนานสองนานจนได้ดีก็เพราะเราเปนลูกท่านไม่ใช่หรือ”

เรียมแทบจะคลั่งในความป่าเถื่อนของเจ้าขวัญ เธอจะขี่หลังอีเกไปอีกเหมือนก่อน และว่ายน้ำดำน้ำไปเหมือนก่อนก็ไม่ได้เช่นกัน

เสียงรองเท้าลงส้นหนักๆ ใกล้เข้ามาหลายคน

เธอจึงบอกให้ขวัญรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องจากกัน. ใจหนึ่งของเจ้าขวัญเชื่อ แต่อีกใจหนึ่งนึกอยากจะดื้อลอยคอดูหนุ่มบางกอกสักตั้ง เมื่อมันจะอย่างไร​ก็ให้มันอย่างไร ผิดนักก็ได้จ้ำจนเลือดโชกไปด้วยกัน

แม้จะจากไปนานเรียมก็ยังไม่ลืมกิริยาเหล่านี้ของเจ้าขวัญเสียทีเดียว หัวใจอาละวาดของมันกำลังฉายขึ้นจับตาเปนวาวน่าครั่นคร้าม มันคงเอาจริงถ้าหากเธอไม่ตัดต้นไฟเสียก่อน.

“กลับเสียก่อนเถอะนาย อ้า พี่ขวัญ, พี่ขวัญกลับไปเสียก่อนเถอะแล้วค่อยพบกันใหม่น๊ะจ๊ะ”

มันช่างใจซื่อเสียจริง ยิ้มได้เต็มอกเต็มใจในเดี๋ยวนั้น

“เมื่อไหร่ล่ะเรียม_เมื่อไหร่เจ้าจะให้พี่มาพบกับเจ้า ที่นี่หรือที่ไหนนัดกันเสียก่อน”

“ที่นี่ก็ได้ คืนนี้และไปเถอะรีบไป เขามากันโน่นแล้ว” เธอเร่งรัดหนักขึ้น

“งั้นพี่ลาเจ้าละ อย่าลืมคืนนี้น๊ะ พอเดือนขึ้นพี่จะมาคอย” แล้วมันก็หัวเราะร่าดีใจปล่อยมือจากเรือ อ้าปากเต็มอึดใจแล้วก็ดำหายเงียบไปราวกับปลาอยู่น้ำ.

ผู้ที่นำหน้าคือสมชาย สงัดตามหลังถัดไปก็ถึงเจ้าเริญเจ้ารอด การที่คนเหล่านี้ต่างเฮโลมาพร้อมๆกันเพราะเห็นเรียมเงียบหายมานาน สมชายจึงเกิดเปนห่วงและได้ฟังคำของเจ้าเริญว่าอ้ายขวัญลูกผู้ใหญ่บ้านเขียนซึ่งอยู่เนื้อนาโน้นเปนสัตรูด้วยแล้วก็ทำให้หนุ่มพระนครทุกๆคนไม่ไว้ใจจึงตามกันมาเปนหาง เมื่อมาถึงก็พบเรียมกำลังนั่งอย่างไม่รู้ไม่ชี้จึงชวนกลับ

เมื่อแรกเรียมก็ตั้งใจจะค้างเพื่อพยาบาลมารดาสัก๒-๓คืน ครั้นพอพวกที่มาด้วยและคุณนายเตรียมตัวจะกลับเธอก็นึกว้าเหว่ใจ และสิ่งสำคัญที่ทำให้เรียมเกิดหุนหันเปลี่ยนใจกลับพร้อมกับพวกที่มาก็คือ เธอหลุดปากนัดกับเจ้าขวัญว่าคืนนี้เธอจะคอยพบกับเจ้าหนุ่มใจดื้อที่ท่าน้ำ แล้วเธอก็มองเห็นภาพของค่ำคืนที่จะมาถึงว่าเปนเช่นไร แน่เที่ยวถ้าเธอขืนยอมพบกับเจ้าขวัญแล้วมันคงจะไม่ยอมจากไปง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นเจ้าขวัญอาจลวนลามกอดรัดเจ้าตามอำเภอน้ำใจหากเกิดพลาดพลั้งพ่อหรือพี่เริญไปพบเข้าก็ต้องเกิดความขึ้นอีก และเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณสมชายเธอจะเอาหน้าไป​ไว้ที่ไหน ทั้งนายแม่ก็คงไม่รับเลี้ยงดูให้ศุขสบายมีหน้ามีตาอีกต่อไปได้ นอกจากเฉดหัวเธอกลับมาอยู่กับพ่อ แล้วเธอก็จะต้องมีชีวิตร์อยู่กับปรักควายไปอีกตลอดชาติ

เมื่อคิดมาถึงเหตุที่จะเข้าร้ายตอนนี้ทำให้เรียมหัวใจผลุนผลันขอกลับด้วย โดยอ้างว่าเธอมิได้เตรียมตัวจะมาค้าง ฉนั้นจึงมิได้มีผ้าผ่อนที่พอจะผลัดเปลี่ยนติดมา เมื่ออาการของแม่หนักอย่างไรก็ขอให้พี่เริญรีบไปตามในวันรุ่งขึ้น หรือไม่อย่างช้าอีก ๓-๔ วันเธอจะมาไหม่ พวกที่มาด้วยต่างเห็นจริงและยินดีไปตามกัน ส่วนพวกทางบ้านถึงแม้จะไม่เห็นดีและเต็มใจก็ไม่มีใครกล้าที่จะทัดทานได้

เจ้าขวัญ เมื่อดำน้ำเต็มอึดพอลับคุ้งมาก็โผล่ และขึ้นฝั่งด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มอิ่มใจแทบว่าจะไม่ไปกินเข้าเย็นที่บ้านนึกอยากจะนั่งคอยอยู่ที่นี่จนกว่าจะค่ำและเดือนจะขึ้น แต่เกรงพ่อแกจะเปนห่วงออกตามหา ความก็จะแดงขึ้นแล้วคลาดนัดกับเจ้าเรียมเสียอีก มันนึกเข็ดที่จะต้องค้างคอยเจ้าเรียมอีกเปนเวลาแรมปี เปนวันแรกในเวลา๓ปีที่เจ้าขวัญเพิ่งจะได้ร้องเพลงและผิวปากอย่างครึ้มใจ พอลัดเข้าทางท้ายคอกอ้ายเรียวก็ชะเง้อมองจำได้ มันสบัดเขาเบิ่งย่ำขาไปๆมาๆคล้ายจะว่าเจ้าขวัญ ทำไมอารมณ์ดีนัก

ขวัญอิ่มใจจนกินเข้าได้น้อย พูดคุยกับผู้ใหญ่เขียนถึงแต่เรื่องงานไร่งานนายิ้มแย้มจนท่านผู้ใหญ่พิศวง

แม้จะรู้ว่า การไปพบเจ้าเรียมในคืนนี้ต้องว่ายน้ำและ แช่อยู่ในน้ำเปนเวลานานก็จริง เจ้าขวัญก็ยังอดที่จะเปลี่ยน ด้วยกางเกงไหม่ไม่ได้ มันปดพ่อว่าจะไปก่อไฟสุมยุงให้อ้ายเรียว ลางที่จะเลยนอนเฝ้าคอกควาย เจ้าขวัญก่อไฟจริง แล้วก็นั่งดูกองไฟอย่างเผลอๆ พอสักครู่ก็แหงนตาจับฟ้าเร่งดาวเร่งเดือนให้ขึ้นเสียโดยเร็ว มันจะได้เลี่ยงไปลงน้ำแล้วว่ายให้เร็วและเงียบเชียบ พอพ้นคุ้งก็ดำไปโผล่ที่กะใดเจ้าเรียม มันนั่งดูกองไฟจ้องนิ่งๆนานๆจนแทบจะเห็นหน้าเจ้า​เรียมยิ้มรับมันเปนการเอาลางดีล่วงน่า

ล่วงเข้ายามเศษ ทั้งทุ่งและนาเงียบกริบแม้จะเห็นเดือนพ้นฟ้าไรๆก็จริง ทุ่งนาก็ยังเปนทุ่งผืนใหญ่กำลังนอนหลับอย่างวังเวงน่ากลัว เจ้าขวัญยิ้มย่องเมื่อเห็นเดือน เห็นดวงเดือนเมื่อไร ก็เท่ากับเห็นหน้าเรียมเมื่อนั้น เพราะดวงเดือนเตือนใจให้เจ้าขวัญหนุ่มระลึกได้ว่า กำหนดนัดของเจ้าเรียมถึงแล้ว หากมันจะต้องไปคอยอยู่นานหน่อยหรือแช่น้ำจนตัวเปนเมือกก็ยังดีกว่าให้เจ้าเรียมไปคอย

น้ำเอ่อกำลังจะขึ้น เจ้าขวัญค่อยแหวกกอเข้าชายตลิ่งก้าวลงคลอง ปากคาบมีดซุยคู่ชีวิตร์แล้วว่ายน้ำไปด้วยชำนิชำนาญ ถึงเดือนจะกำลังขึ้นแจ่มฟ้าแต่ก็ยังเปนเวลาค่ำคืนที่ค่อนข้างสงัด สายน้ำเย็นเฉียบอย่างหน้าหนาว แม้จะว่ายไปคนเดียวในย่านกลางของความวิเวกไปด้วยเงาไม้ใหญ่ข้างฝั่งก็จริง เจ้าขวัญหาได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้เปนอารมย์ เงือกงูอันเปนภัยที่น่าหวาดกลัวในสายน้ำกลางคืน ผีสางนางไม้ และวิญญาณอื่นๆของภูตผีปิศาจประจำลำน้ำแสนแสบเหล่านั้นจะได้แผลงฤทธิ์แผลงเดชถึงกับทำให้เจ้าขวัญกลับใจสักชั่วขณะก็หาไม่เลย มันคงว่ายน้ำไป ว่ายไปด้วยความมุ่งแต่จะให้ทันนัดเจ้าเรียม หัวใจก็นึกอยู่แต่ว่าป่านนี้เรียมมิมาคอยพี่อยู่ก่อนแล้วหรือ แล้วมันก็สาวแขนจ้ำให้เร็วขึ้น พอพ้นคุ้งจะออกกลางน้ำโล่งก็ดำหายลงน้ำลึก

คะเนอึดใจด้วยความชำนาญ เจ้าขวัญก็โผล่ขึ้นห่างท่าน้ำบ้านตาเรืองเพียง ๓-๔ วา เจ้าขวัญใจหายวาบเมื่อเห็นแต่ท่ากะใดเปล่า เรือไฟลำที่เจ้าเรียมนั่งอยู่เมื่อบ่ายไม่ได้จอดอยู่ที่นั่น มองดูเหนือน้ำขึ้นไปอีกกระทั่งในลำกระโดงก็ไม่มี มันว่ายตรงไปที่กะใดชะเง้อชะแง้เพราะยังสงสัยว่าเปนเรือสวยมีราคาบางทีพวกบางกอกจะกลัวคนตัดขะโมยไปกินเสียจึงยกขึ้นไว้บนคาน

เจ้าขวัญอุส่าห์ย่องขึ้นกระใดท่าน้ำ ชะเง้อหัวพอพ้นมองเห็นทั่วไปบนบกแต่ท่าน้ำถึงโรงนาและคานเรือ ไม่มี_ไม่​มีจนกระทั่งเรือรั่วของตาเรือง นี่เจ้าเรียมกลับบางกอกแล้วหรือ เรียมลืมคำนัดของพี่เสียแล้วกระมัง

เจ้าขวัญถอยลงมาที่กะใดตามเดิมลับๆล่อๆเกรงคนจะเห็น มองไปในโรงนาเห็นแสงตะเกียงจุดอยู่ริบๆยังพอใจชื้น เจ้าเรียมคงให้พวกนั้นกลับไปบางกอกก่อน ส่วนตัวเจ้าคงจะยังอยู่ในโรงนั่นเอง ตะเกียงยังไม่ดับพ่อเรืองและอ้ายเริญก็คงยังไม่นอน เจ้าจึงมาไม่ได้ เรียมเอ๋ยเจ้าคงยังไม่รู้ว่าพี่มาแล้ว และเจ้าจะห่วงนึกถึงคำนัดของพี่มั่งไหมหนา

เสียงตาเรืองไอจากโรงนาได้ยินถนัด เสียงตบยุงดังผัวะใหญ่แล้วพูดขึ้นดังพอจำเสียงได้ว่าเปนอ้ายเริญ

“ป่านนี้นังเรียมเห็นจะถึงบ้านแล้วกระมังพ่อ”

“อ๊ะ ถึงเสียเปนนานละ” ตาเรืองตอบลูกชายชี้แจงความดีพิสดารของเรือ “พอพ้นคุ้งออกคลองใหญ่มันก็แล่นฝั่งลายไปเท่านั้นเอง”

แล้วเสียงสองพ่อลูกพูดกันดังบ้างค่อยบ้างถึงเรื่องวาสนาดีของเจ้าเรียม และหันมาพูดเรื่องคนเจ็บและปรับทุกข์ปรับร้อนกัน

เจ้าขวัญแทบจะหลุดจากกะใดหล่นตูมลงน้ำ หมดเรี่ยวแรงที่จะชะเง้อคอยเจ้าอีก มันถอยลงมายืนอยู่กระใดคั่นสุดน้ำท่วมเพียงอก เรียมเอ๋ย, พอเดือนขึ้นขอบฟ้าพี่ก็นึกถึงคำนัด แต่เจ้าหนีพี่ไปบางกอกเสียแต่เมื่อเย็นแล้วหรือ เจ้าล่อให้พี่หลงคอย เรียม-เรียมเจ้าบาปลึกล้ำ เจ้านัดพี่แล้ว_เจ้าหนีพี่ไปช่างไม่สงสารอกพี่มั่ง

เจ้าขวัญมองไปบนโรงนาแล้วถอนใจใหญ่ ตะเกียงดับมืดซ้ำดวงเดือนที่เปนกำหนดนัดของเจ้าเรียมก็กำลังหนีเข้าเมฆ แล้วข้าจะคอยใครอยู่อีก เรียมเอ๋ย, เจ้าหลอกข้าให้หลงแล้วหนีไป เพราะรักเจ้าหน่ายหมดแล้ว เจ้านัดให้ข้าอิ่มใจในชั่วเย็น แล้วข้าจะแห้งใจไปชั่วชาติ เจ้าไปอยู่บางกอก ๓ ปี ข้าคิดไม่วายว่าเจ้ายังรักข้ายังรักอ้ายขวัญลูกทุ่งน้ำเดียวกันกับเจ้า เอ้อ_อีเรียมเอ๋ย มึงจะฆ่ากูแท้ กูมาเพราะมึงนัด กูเก้อเพราะมึงลวง กูเพ้อหามึง กูร้องไห้หามึง เมื่อน้ำ​หลากมากูใฝ่ใจถึงแต่มึง ทั้งหน้าไถหน้าหว่านกูก็เฝ้าคอย คอย_อีเรียมเอ๋ย กูคอยมึงจนพ้นหน้าเกี่ยวหน้าลาน น้ำหลากก็ลดไป ตลิ่งก็แห้งระแหง ลำน้ำก็เขินเลน กูยังนึกว่ามึงรักอ้ายขวัญ ใฝ่หาอ้ายขวัญอยู่ยังเดิม ​ถ้ามึงไม่มาบางกะปิครานี้แล้วกูก็คงคิดคงครวญถึงมึงจนวันตายของกูยังดีกว่า โอ๋_เรียมต้นไม้เปลี่ยนใบ หญ้าเปลี่ยนสี กุ้งปลาก็ลอกคลาบไปแล้ว พี่ยังไม่วายรักเจ้าเลย พี่จะคอยเจ้าต่อไปอีก เมื่อเจ้าเบื่อบางกอกเจ้าก็คงคิดถึงพี่มั่ง กลับมาหาทพี่มั่ง บางกะปิและศาลเจ้าพ่อเปนที่นัดที่คอย เปนที่อยู่ที่ตายของข้า ถึงข้าเปนผีไปแล้วเมื่อข้าไม่มีศาลอยู่ ข้าก็จะเอาลำน้ำนี้เปนวังอาศัยคอยกว่าเจ้าจะกลับมาแล้วข้าก็จะเอาเจ้าไปอยู่กับข้ายังเมืองผี อีเรียมเอ๋ย ถึงเราจะเปนผีอาศัยลำน้ำนี้ ดำผุดดำว่ายกันตามประสาหาศุขไปชั่วๆ วันจนกว่าจะได้ผุดได้เกิดก็ยังจะดีกว่าเจ้าแยกไปอยู่บางกอกข้าอยู่แสนแสบคนละทุ่งละทางยังงี้เสียอีก

เจ้าขวัญซบหน้าลงกับแขนที่เกาะบรรใด ทั้งรักทั้งแค้นในการกระทำของเจ้าเรียมนักถอนใจยาวแล้วก็ฮึดฮัดผลุนผลันผละจากท่าน้ำตาเรือง ปากคาบมีดว่ายกลับมาตามสายน้ำเก่า สายน้ำเก่าซึ่งมันรักมันรอเจ้าเรียมมา ๓ ปีแล้ว ความมืดในลำน้ำข้างหน้าซึ่งมันจะผ่านไป เงาไม้ทั้งสองฝั่ง บางฟากมีกอเข้าริมน้ำไหวเยือกไปตามละลอกคลื่นที่เจ้าขวัญว่ายแหวก เสียงปลาเล็กผุดจ๋อมขึ้นข้างๆตัวและโผงผางของปลาใหญ่ที่ตกใจเผ่นพ้นน้ำเหล่านี้คงเปนของธรรมดาที่ไม่ทำให้เจ้าขวัญเสียขวัญไปได้เลย มันว่ายหลีกลัดไปตามคุ้งน้ำพอขึ้นฝั่งก็ได้เวลาเดือนตกลับไป


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #5 on: 15 May 2022, 10:52:03 »


๕ เจ้าพ่อบรรดาล

กลับจากบางกะปิมาถึงบ้าน เรียมไม่ศุขใจเสียเลยเข้านอนแต่หัวค่ำแม้จะฝืนใจหลับตาสักเท่าใดก็ไม่สำเร็จ พอหลับตาลงเปนเห็นหน้าเจ้าขวัญทุกที่ หน้าตามันซื่อเหมือนใจ นึกรังเกียจในความบ้านนอกของมันเวลานั้น แต่เวลานี้ โธ่ ขวัญช่างน่าสงสารเสียจริงเธอเชื่อฉันเพราะเธอรักฉัน บาปจริง บาปอย่างน่าละอายตัวเองทีเดียวที่ฉันหลอกคนซื่อๆอย่างขวัญ

​เดือนขึ้นแสงจันทร์ลอดเข้ามาทางน่าต่างตึกเรียมสดุ้งขนลุกเกรียวคล้ายวิญญานเจ้าขวัญมากระซิบเตือนที่ข้างหูว่า เรียมเอ๋ย_เดือนขึ้นแล้ว พี่มาคอยเจ้าอยู่นานแล้ว

เรียมไม่สามารถจะทนอยู่บนตึกอีกต่อไปได้ แม่นายกำลังหลับอย่างสบาย เพราะอ่อนเพลียเมื่อยล้าที่ต้องนั่งมาในเรือนานๆ เรียมลงจากตึกตรงมาศาลาท่าน้ำซึ่งเปนที่สำราญตั้งใจว่าจะนั่งตากลมพอให้ง่วงและลืมคิดถึงสิ่งต่างๆแล้วกลับขึ้นนอน

แสงเดือนเตือนใจยิ่งขึ้นทุกขณะทำให้วิญญาณเธอล่องลอยกลับบางกะปิอิก ป่านนี้เจ้าขวัญกำลังคอยเธอ มันคงอิ่มอกอิ่มใจนักที่มันจะได้พบเธอไปตามนัด เมื่อนึกถึงเจ้าขวัญก็ทำให้เรียมมองเห็นภาพลำน้ำสายเล็กคดคุ้ง มีกอเข้าขึ้นอยู่ริมฝั่งที่เปนนา ร่มไทรรากไทรเมื่อครั้งโน้นทำให้เธอคิดไม่วายเลย เจ้าขวัญกำลังกอดเธอพลอดพร่ำฝากรักด้วยความจริง ชายแพรแดงกำลังหวั่นไหวด้วยลมปลิว ศาลเทพารักษ์กลาดเกลื่อนด้วยตุ๊กตาและเครื่องเส้นสังเวยเจ้าพ่อ สิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นให้เธอคิดอีก และที่ติดหูติดตายิ่งกว่านี้คือ ธูปเทียนของเจ้าขวัญที่ปักไว้คู่กับเธอ และคำสาบาลของมันซึ่งเธอน่าจะลืมเสียแล้วนาน กลับฟื้นหูขึ้นมาอีก

เรียมเศร้า ยิ่งคิดแล้วยิ่งเศร้า เจ้าขวัญใช่อื่นไกลเลยแม้จะเปนชาวไร่ชาวนามันก็รักจริง หัวใจรักของมันหลักแหลมแก่กล้า มิเพราะมันรักหรือพี่เริญกับพ่อจึงอยู่โดยสวัสดี ส่วนนายจ้อยต้นเรื่องถูกฟันอย่างหนำใจ เรียมคิดขนลุกขนพองถึงคืนหลัง๓ปีโน้น ขวัญมอมหน้าตัดฝาเข้าไปในโรงนา มันมาหาด้วยความรักที่ซื่อสัตย์ฝ่าอันตราย แล้วเธอเล่า ขณะนั้นรู้สึกเช่นไร รักมัน_หลงมัน โธ่_เอ๋ย ขวัญ_เอ๋ย ฉันผิดเสียแล้วที่หลอกลวงทรมานให้คอยฉันจนป่านนี้ โอ้_พี่ขวัญ ฉันผิดลึกนัก ฉันลืมแผลเก่าของฉันเพราะกรุงเทพฯ แท้ๆ กรุงเทพฯ ให้ความเพลิดเพลินซึ่งฉันไม่เคยพบเลยในทุ่งบ้านเรา ฉันหลับอยู่ทุ่ง​บางกะปิตั้งแต่เกิดมาจนรุ่นสาว และฉันก็เสียสาวเพราะขวัญของฉัน ฉันมาตื่นเอาในกรุงเทพฯ เพียง ๓ ปีเท่านั้นฉันก็ลืมที่นอนซึ่งหลับอย่างแสนสบายมาแต่เล็ก ฉันกำลังหลับอยู่กลางพระนครเมื่อ ๓ ปีมานี้ และก็บางกะปินี่เองที่ปลุกให้ฉันตื่นรู้จักบ้านเกิดเมืองนอนของฉันอีกครั้งหนึ่งเมื่อกลับจากบางกะปิ เมื่อกลับจากเธออย่างหญิงเจ้าเล่ห์ นายขวัญ_พี่ขวัญ บางกะปิของเราปลุกฉันตื่นแล้ว บางกะปิของเราทุกหย่อมหญ้าวังน้ำนั่นสุขกว่ากรุงเทพฯ เปนไหนๆ

เรียมหลบหน้าลงเพราะแสงจันทร์เตือนใจเธออยู่เสมอว่าเจ้าขวัญกำลังคอยอยู่กลางสายน้ำ เจ้าขวัญผู้อาภัพที่เกิดมาเปนชาวนา เพราะเจ้าขวัญขาดอารยธรรม ส่วนเรียมกำลังอาบความเจริญรุ่งเรืองของพระนครเธอจึงรังเกียจและหลีกลี้มาเสียแต่เมื่อบ่าย แต่วิญญาณเจ้าขวัญและความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติท้องทุ่งท้องน้ำ ธรรมชาติซึ่งลิขิตไว้ประจำทุ่งบางกะปิตลอดลำน้ำ และทุ่งแสนแสบ ทั้งสองฟากมีมหาอำนาจเหนือวิญญาณเจ้าเรียมแต่เกิดมาจนสาวใหญ่เปนเวลานาน ๒๐ ปี เมื่อกลับไปบางกะปิอีกเพียงวันเดียว ธรรมชาติเหล่านั้นก็ทำให้เธอระลึกได้ว่า บางกะปิคือบ้านเกิดเมืองนอน ระฤกถึงเหตุการณ์และการกระทำหนหลังซึ่งเธอได้ร่วมคิดร่วมใจกับเจ้าขวัญไว้แต่กาลโน้น

ยิ่งคิดยิ่งละอายตนเองที่เธอหลอกลวงเจ้าขวัญใจซื่อ ความสงสารกับความหลังเข้าจับใจเธอ พระจันทร์ยิ่งแจ่มเธอก็ยิ่งร้องไห้ ทำอย่างไรเสียเจ้าขวัญก็ต้องคอยเธอจนกว่าเดือนจะตก แล้วมันจะคิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรเมื่อไม่เห็นเธอ มันต้องร้องไห้อยู่กับกระไดน้ำเปนแน่เทียว มันเปนหนุ่มใจเพ็ชร์ เมื่อเสียใจถึงที่สุดมีดที่มือมันเกลือกจะฆ่ามันเสียเองก็ได้ ฉันจะบาปมากทีเดียวถ้าเธอเปนไปเช่นนั้น ขวัญของฉัน ฉันจะไม่นอนหลับในถิ่นที่ไม่ใช่บ้านเกิดฉันอีกต่อไป บางกะปิเปนบ้านของเรา ฉันเกิดบางกะปิ หญ้านาและรวงเข้าบางกะปิให้ความเติบโตแก่ฉันมากและนาน ตั้งแต่วันคลอด​จนเปนสาวใหญ่ โอ้_ขวัญ ฉันเปนสาวบางกะปิ เธอก็เจ้าหนุ่มปลายน้ำที่นั่น ฉันเสียสาวแล้วกับเธอ แผลฉันฝากไว้ที่เธอและเธอก็มีแผลเพราะฉัน แผลเก่าของเรา

เดือนตก-ลมตก เรียมคิดไปเคลิ้มไปจนดึกสงัด เธอจึงหวลขึ้นตึกอันแสนสุขเมื่อ ๓ ปีก่อน

ในวันรุ่งขึ้นไม่ทันสายเท่าไหร่ ตาเรืองกับเจ้ารอดก็มาถึงบ้านคุณนาย การมาของตาเรืองเปนข่าวไม่ดีสำหรับเรียมคือแม่เจ้าเจ็บมากเต็มที ครั้นจะให้คนอื่นมาก็เกรงไปว่าคุณนายจะไม่ยอมให้เจ้าเรียมไปบ้านอีก ฉะนั้นตาเรืองจึงต้องมารับด้วยตัวเอง

เรียมเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าคล้ายจะไปค้างนานหลายวัน แต่การจะกลับบางกะปิของเธอครั้งนี้ดูเต็มอกเต็มใจมาก กิริยาภายนอกของเธอหามีใครเข้าใจถึงไม่นอกจากเธอเข้าใจเธอเอง คุณนายมิได้คิดเปนอื่นนอกจากความสงสารเปนห่วงไปว่าเรียมจะต้องไปลำบากเรื่องอาหารการกินและการหลับนอนในสภาพเช่นนั้น แล้วตาเรืองก็พาเจ้าเรียมอำลาคุณนายลงเรือแจวที่แกเตรียมของแกมาเอง ซึ่งเปนนิสสัยของแกว่าไม่ควรจะต้องเสียค่ารถค่าเรือให้เปลืองโสหุ้ย

เมื่อคืนนี้ เจ้าขวัญไม่เปนอันหลับนอน คิดเสียใจน้อยใจเจ้าเรียมเปนที่สุด มันคิดจะไม่อยู่บางกะปิอีกต่อไปเพราะเหลือที่จะทนความทุกข์ใจได้ บางครั้งมันคิดสั้นจะฆ่าตัวเอง กระทั่งรุ่งเช้ามันก็รีบเปิดคอกต้อนอ้ายเรียวออกทุ่ง ควายในคอกเจ้าขวัญมีอยู่สี่ตัวด้วยกันแต่โดยมากอีกสามตัวมักถูกใช้งานหนักเว้นแต่อ้ายเรียวแสนรู้ซึ่งเปนควายติดท้องที่ผู้ใหญ่เขียนซื้อแม่มันมาและตกลูกเปนอ้ายเรียวซึ่งเจ้าขวัญได้เลี้ยงมาแต่เล็กจนมันคุ้นภาษาคน

สักบ่ายๆ เจ้าขวัญก็พาอ้ายเรียวไปริมน้ำอย่างธรรมดา มันตะเพิดอ้ายเรียวลงคลองแล้วตัวมันเองก็ซุดลงนั่งที่ข้างกอแขมริมคลอง ถ้าเปนอย่างก่อนนี้เจ้าขวัญก็คงอดที่จะลงอาบน้ำดำผุดดำว่ายมิได้ แต่เดี๋ยวนี้เจ้าขวัญรู้สึกว่า ลำน้ำนี้มิได้ให้ความเยือกเย็น​สุขสบายแก่มันเหมือนเก่าก่อน เพียงแต่เห็นฝั่งเห็นตลิ่งก็ทำให้มันชอกช้ำจนเกือบจะต้องย้ายที่ทิ้งบางกะปิบ้านเกิดไปเสีย

อาการไข้ของแม่เจ้าเรียมมีเพ้อพกตลอดเวลา เจ้าเริญและตาเรืองต่างลงนิ้วเห็นว่า น่าจะถูกผีทุ่งผีท่าเปนแท้ และหนทางรักษาก็มองไม่เห็นทางใดดีกว่าให้เจ้าเรียมไปบนบานเจ้าพ่อไทร เพราะเจ้าเรียมเคยถวายตัวเปนลูกมาแต่เล็ก ยิ่งดึกก็ยิ่งเพ้อมากขึ้นจนเข้ายามเศษจึงสงบหลับไป

แม้จะเปนบ้านเกิดแต่ก็จากไปเสียนานจึงทำให้เจ้าเรียมผิดที่นอนไม่หลับ และยุ่งยากด้วยความในใจต่างๆ ตัดสินไม่เด็ดขาดลงไปได้ เมื่อพ่อกับพี่เริญหลับแล้ว เรียมจึงออกมาหลังโรงนาหมายจะนั่งตากลมพอเย็นๆที่เจ้ารอดน้องชายนอนเฝ้าควาย พอมาถึงเห็นเจ้ารอดสุมไฟทิ้งไว้เกือบจะมอดหมด ส่วนตัวมันหลับกรนลั่น เรียมนั่งลงบนแคร่ไม้ข้างๆ มัน

ความเงียบสงัดทำให้เรียมคิดหวาดไปต่างๆ มองไปข้างหน้า ท้องทุ่งกำลังหลับสงบอยู่ในความมืด การจากบ้านไปนานๆ ของเรียมทำให้เธอขลาด แต่ก่อนแต่ไรเมื่ออยู่นาเธอจะไม่นึกรังเกียจความมืดเลย เพราะความมิดทำให้เธอกับพี่ขวัญได้ลอบพบกันอย่างไม่มีภัย

เสียงสุนักข์หอนไกลๆ ทางลำกระโดงโน้น เรียมรู้สึกวิเวกมาก เพราะนานๆ จะได้ยินสักครั้งหนึ่ง เสียงนี้ทำให้ใจวังเวงคิดถึงธรรมชาติและความเปนอยู่หนหลังของเธอเมื่อครั้งก่อนๆ เมื่อ ๓ ปีโน้นเธอจำได้ว่าเสียงสุนักข์หอนสุนักข์เห่าพอเงียบไปแล้วไม่ช้าเธอจะเห็นหน้าเจ้าขวัญลับๆ ล่อๆ อยู่แถวลำกระโดง

อีเกในคอกลุกยืนถอยหน้าถอยหลังหายใจฟึดฟัดจนเรียมแปลกใจ ชะเง้อดู เธอต้องผวาเข้ากอดเจ้ารอดน้องชายที่นอนหลับอย่างแสนขี้เซาตัวเนื้อสั่น จะออกเสียงปลุกก็ไม่กล้าจึงหมอบนิ่งตาจับที่ร่างชายคนหนึ่งกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา มือถือมีดขาวปลาบ

“เรียม เรียมเอ๋ย”

​ใจเรียมมาอีกเปนกอง ไม่มีใครที่จะบังอาจดื้อดันเข้ามาเช่นนี้อีกนอกจากเจ้าขวัญ เธอนั่งขึ้นตามเดิมมองดูเจ้าลูกทุ่งด้วยความเปนห่วง เหลียวไปทางโรงนาเกรงพ่อและพี่เริญจะเห็นเข้า

“พี่ขวัญ ทำไมถึงมายังงี้”

มันหมอบๆ คลานๆ แล้ววิ่งปร๊าดมานั่งอยู่ข้างแคร่หอบดังจนเรียมได้ยินถนัด

“มาหาเจ้าหรอก_เรียม มิใช่มาอื่น”

เรียมมองดูและเจ้าขวัญก็มองเรียม มีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เรียมต้องหลบตาเจ้าขวัญ

“เรียมเอ๋ย-เจ้าลวงพี่แท้เทียว เมื่อคืนพอเดือนขึ้นพี่ก็ลงน้ำมาคอยเจ้าจนเดือนตก แล้วพี่ก็เก้อคอยเจ้า” เจ้าขวัญมิได้พูดต่อไปอีก ซบหน้าลงกับพื้นแคร่ข้างตัวเจ้าเรียม”

“ฉันไม่ตั้งใจจะปดเลย แต่ความจำเปนที่ฉันจะอยู่ไม่ได้ในเมื่อคืนนี้”

“จำเปนของเจ้าว่าอะไร” มันเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่รู้ไม่เข้าใจ “เจ้านัดพี่เองแล้วก็หนีพี่เอง เจ้าแกล้งพี่ให้ผิดนัดจะให้อ้ายเริญฆ่าพี่หรือ มืออ้ายเริญฆ่าพี่ไม่ตายหรอก พี่จะตายก็ตายเพราะมือเจ้านี้แหละ”

ยากที่เรียมจะอธิบายให้เจ้าขวัญเข้าใจ เธอแสนสงสารมัน ทุกๆคำที่เจ้าขวัญตัดพ้อทำให้เธอนึกละอายตัวเอง มือลูบคลำต้นแขนและเส้นผมหยาบๆของเจ้าขวัญ

“ไม่หมายความเช่นนั้นหรอกจ้ะพี่ขวัญฉันหรือจะฆ่าพี่ลง”

มันฉงนคล้ายตื่นจากหลับ “นี่พูดจริงๆหรือเจ้าเรียม พี่ยากใจแท้ที่จะฟังคำเจ้า พี่มานี่เพราะอ้ายรอดไปบอกพี่หรอกว่าเจ้ามา ลำพังตัวเจ้าก็คงเงียบอำไว้ กว่าพี่จะรู้เจ้าก็หนีกลับบางกอกแล้ว เจ้าฆ่าพี่เสียเองดีกว่าที่เจ้าจะแกล้งให้พี่ช้ำใจตาย เรียม_เมื่อวานเจ้าว่าอยู่บางกอกเปนสุขพี่ช้ำใจนัก พี่หรือคิดถึงเจ้าทุกวัน พออ้ายรอดบอกว่าพ่อพาเจ้าไปขายบางกอกแล้วตามคำแนะของอ้ายจ้อยพี่คอแห้งเปนผง อดเข้าอดน้ำอยู่หลายวัน เรียมเอ๋ย_ข้า_ข้า” แล้วอ้ายขวัญก็ร้อง​ไห้ซบลงใกล้ตักเจ้าเรียม เสียงครวญอย่างชอกช้ำแล้วคำรามถึงความหลัง แหงนหน้าจับตาเจ้าเรียมชูมีดในมือให้ดู “ข้าแค้นอ้ายจ้อยจนข้าต้องสาบาน ​ข้าไปสาบานต่อหน้าศาลเจ้าพ่อของเรา ว่าถ้าอ้ายจ้อยอยู่ข้าก็จะตายเพราะเมื่อมันเอาเงินไปถ่ายเจ้ามาแล้วเจ้าก็ต้องเปนเมียมัน ข้าทนดูไม่ไหว ข้าทนดูอ้ายจ้อยเปนผัวเจ้าไม่ได้เลย _ เรียมพี่ฆ่าอ้ายจ้อยตายเสียนานแล้ว ฆ่ามันเสียที่เมืองมิน เพราะมันอายว่ามันถูกฟันหน้าเสียนักเลงจึงหนีขึ้นเมืองมิน แล้วมันก็ตายโหงที่เมืองมิน ข้าหลบมาแสนสบายใจ เพราะไม่มีอ้ายจ้อยจะถ่ายเจ้าอีก ข้าตั้งหน้าไถนา ตั้งใจรับจ้างเขาเกี่ยวข้าวแจวเรือเก็บเงินประสมไว้ว่าจะให้พ่อถ่ายเจ้า _ เรียมเอ๋ย ข้าห่วงพ่อแกคนเดียวกับตัวเจ้าเท่านั้น หาไม่ข้าจะโคตอ้ายจ้อยเสียให้หมดทุ่ง”

เรียมสดุ้งถอยตัว เธอเพิ่งรู้ว่าเจ้าจ้อยตายเพราะมือเจ้าขวัญ และเพราะเธอคนเดียวที่ทำให้เจ้าขวัญฆ่าคน จะมีมั่งไหมที่คนรักเธอจริงอย่างอ้ายขวัญ แล้วความรู้สึกครั้งเก่า วิญญาณและหัวใจดวงเก่าของเรียมชาวนาก็เข้าครอบงำเธอ

“พี่ขวัญ- พี่ขวัญฆ่าเจ้าจ้อยเพราะรักฉันแท้ๆ_โธ่พี่ขวัญ ถึงฉันจะไปอยู่กรุงเทพฯก็ยังไม่ลืมพี่ขวัญเลย”

“เจ้าไม่ลืมพี่” มันเบิ่งตา “งั้นเรียมก็ยังรักพี่อยู่เหมือนเก่าก่อนงั้นหรือ เรียมอย่าลวงพี่อย่างวันวานนี้อีกนะ เออ_เรียม พี่ดีใจจริงๆที่ได้ยินคำเจ้า เออ_เจ้าประคุณศักดิ์สิทธิ์แท้” เจ้าขวัญยกมือขึ้นประณมไหว้ไปบนฟ้า “พี่บนบานเจ้าพ่อมา ๓ ปีแล้ว ขอให้เจ้ากลับมาอีก มาอยู่บางกะปิดูไร่นาของเราดีกว่า บางกอกไม่มีนาดู ร้อนก็ต้องอาบน้ำโอ่ง กุ้งปลามันจะมีในคลองเหมือนบ้านเราหรือ”

ฟังเจ้าขวัญพูด เรียมมองเห็นสภาพธรรมชาติของลำน้ำและทุ่งนาในตอนกลางวันจริงของเจ้าขวัญทั้งสิ้น เธอมองเห็นชีวิตอิสสระของการอยู่นา. แต่แล้วคุณสมชายเล่า เมื่อคิดถึงคุณสมชายและฐานะความเปนอยู่ของเรียมเองเวลานี้เธอก็อัดอั้นจริงๆ

เจ้าขวัญลูบคลำซิ่นไหมชายเสื้อของเรียมอย่างตื่นๆ เมื่อมองตัวมันเองแล้วก็ดูเลอะเทอะไปด้วยโคลนเลนที่ข้ามมาจากลำกระโดงโน้น เจ้าเรียมแต่งตัว​อย่างผู้ดีบางกอกจนทำให้เจ้าขวัญตกประหม่า ใจหนึ่งใคร่รักในเจ้าเรียม อีกใจหนึ่งยำเกรงในเครื่องแต่งกายและทีท่าบางกอกของเจ้าเรียมนักหนา

มันแหงนหน้าจับฟ้าเห็นเดือนขึ้น เดือนกำลังจะหงายเหมือนเมื่อคืนซึ่งมันต้องเก้อจนแทบฆ่าตัวตาย แต่เดือนหงายคืนนี้ก็คงทำให้มันเศร้าอยู่นั่นเอง

“พี่จะต้องลาเจ้าก่อนเพราะเดือนขึ้นแล้ว หน่อยอ้ายเริญหรือใครมาเห็นเข้า พี่ก็ขี้เกียจรำคาญ”

เรียมก็อาลัยมัน แต่มองเห็นความจริงตามเจ้าขวัญพูดอยู่มาก

“ถูกของพี่ขวัญ เชิญเถิดแล้วเราถึงค่อยพบกันใหม่ เพราะพรุ่งนี้พ่อแกจะให้ฉันไปที่ศาลเพื่อบนให้แม่หาย แต่แกจะให้ฉันไปกับพี่เริญหรือเจ้ารอดยังไม่รู้ได้เลย”

“เอาอ้ายรอดไปเถอะเรียม พี่จะได้ไปด้วย_เออจะเข้า ๓ ปีแล้วที่พี่ต้องไปศาลเจ้าพ่อคนเดียว เจ้าไปส่งพี่ที่ลำกระโดงด้วยกันไม่ได้หรือ

ความหลังที่เคยร่วมรักกันและความสงสารทำให้เรียมเดินตามเจ้าขวัญไปง่ายๆ เดินลัดหลังคอกอีเกแล้วออกทุ่ง เธอไม่หวาดกลัวอะไรเลยจนนิดเดียวเพราะเธอกำลังเดินมากับอ้ายเจ้าทุ่งบางกะปิที่ลือเลื่อง

พอสุดซีกนาจะข้ามไปฟากนาเจ้าขวัญมีลำกระโดงคั่น น้ำกำลังขึ้นเจิ่งและเจ้าขวัญต้องลุยข้ามไป เรียมอยุดยืนดูน้ำแล้วใจหาย เจ้าขวัญจะต้องข้ามไป และเดินไปอีกไกลกว่าจะถึงโรงนามันที่เห็นอยู่ลิบๆโน้น

เจ้าขวัญก้าวลงลำกระโดง ใจคอปั่นป่วนอาลัยเจ้าเรียม มันถอนขาขึ้นแล้วซุดนั่งลงถอนใจทอดตาดูน้ำ

เรียมนั่งลงข้างๆตัว ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าเจ้าขวัญกำลังคิดอะไรอีก กลัวภัยที่จะข้ามลำกระโดงนิดหนึ่งเท่านี้หรือๆครั่นคร้ามต่อหนทางที่จะต้องไปคนเดียวข้างหน้า ต้องผิดแน่-เพราะเจ้าน้ำเจ้าทุ่งคืออ้ายขวัญ อ้ายหนุ่มหน้าสวยใจแกล้วของทุ่งบางกะปิ

“คิดอะไรหรือพี่ขวัญ”

​มันหายใจยาวมองดูหน้าเรียม “พี่คิดถึงอกพี่เอง” แล้วสั่นหน้าอย่างทุกข์หนัก “เฮ้อ_เรียม นี่พี่อยากจะพูดอะไรกับเจ้าอีกก็นึกไม่ออกเลย พี่เห็นน้ำแล้วอกแห้งเสียจริงๆ”

แม้มันจะพูดน้อย แต่ก็ทำให้เรียมแจ่มแจ้งในความหลังมาก เธอกำลังแห้งใจเมื่อเห็นแสงเดือนต้องสายน้ำเยี่ยงเดียวกับเจ้าขวัญ

เห็นเรียมนิ่ง เจ้าขวัญจึงถามต่อไปอีกว่า

“เรียม แล้วเจ้าจะกลับบางกอกเมื่อไร”

“ยังตอบเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอกพี่ขวัญ เพราะอาการแม่แกมาก ฉันจะต้องอยู่จนกว่าแกจะค่อยยังชั่วหรือแกจะตายเท่านั้น”

“เอ๊อ_, เจ้าขวัญถอนใจดัง “เมื่อเจ้าไปแล้วพี่ก็คงทุกข์ใจตายเท่านั้นเอง เออ_พี่จะถามเจ้าสักคำอย่าโกรธพี่ได้ไหม”

“พี่ขวัญจะถามอะไรฉัน”

เจ้าขวัญสท้อนใจ ตาจับนิ่งที่ดวงเดือนในน้ำ

“ถ้าเจ้าไม่โกรธพี่ก็ขอบใจเจ้า พี่ทุกข์ใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว พี่เห็นเจ้ามากับผู้ชายบางกอกพี่กลัวแท้ กลัวว่าเจ้าจะรักคนบางกอกมากกว่ารักพี่ แล้วเจ้าก็หนีพี่ไปเสียอีก เออเรียมเอ๋ย ถ้าเจ้าได้ผัวบางกอกมันก็สมหน้าสมตาดีหรอกแต่ว่ามันจะรักเจ้าแรงเหมือนพี่รักเจ้าหรือ เคราะห์หามยามร้ายมันทิ้งเจ้าเสียเจ้าก็คงช้ำใจตาย พี่อยู่หลังก็คงตายเพราะช้ำใจเจ้า” เสียงเจ้าขวัญขาดเครือเปนห้วง

เรียมไม่สบายใจเลย ร้อยคำของเจ้าขวัญมันจริงทั้งร้อยเท่าที่เห็นๆ ความรักของมันก็ฆ่ามนุสส์ไปแล้วศพหนึ่ง ความในใจและความจริงหนหลังของเธอกับมันก็มีอยู่มาก

เธอเขย่าไหล่เจ้าขวัญให้รู้สึก “มีผัว-พี่ขวัญกลัวว่าฉันจะมีผัวที่บางกอกงั้นรึ โธ่เอ๋ยพี่ขวัญถึงฉันจะคุ้นเคยและมีหน้ามีตาในกรุงเทพฯก็จริงแต่ฉันยังเจียมตัวฉันอยู่เสมอว่า ฉันเปนลูกชาวนาสกุลรุนชาติของเราเปนชาวนามาแต่ไหนแต่ไรใครๆ ก็รู้เห็นมาทั้งนั้น และในพระนครน่ะผู้หญิง​งามๆกว่าฉันมีมากหลายแสนนักฉันจึงรู้ตัวว่าผู้ชายบางกอกเขาคงไม่รักฉันจริงเท่าไหร่ โธ่พี่ขวัญ ฉันไม่ชั่วหลายใจถึงเพียงนั้นหรอก ฉันคิดอยู่เสมอว่าฉัน “ฉันเสียตัวกับพี่ขวัญแล้วเมื่อฉันยังอยู่นาครั้งโน้น”

ขวัญเหลียวหาเธอเต็มตื้นใจ “เรียม_นี่เจ้าไม่ลวงพี่ไม่ใช่หรือ เออ หญิงงามรูปงามใจอย่างเจ้าคงหาไม่ได้อีกแล้ว เรียม-เจ้าช่างคิดนัก_เจ้ายังคิดถูกว่าเราเปนลูกบ้านทุ่งด้วยกัน บ้านทุ่งของเราไม่ใช่ของพวกบางกอก พวกบางกอกน่ะเขาไม่รักเราจริงหรอก เรียมเอ๋ย รักชั่วแล่นของมันก็ช้ำชั่วปีของเรา พี่ว่างี้แหละ”

“ฉันก็คิดอย่างนั้นและ เพราะฉันเจียมตัวเจียมใจว่าฉันเปนลูกชาวนาพ่อแม่ยากจน เมื่อผิดพลาดลงแล้วฉันจะดูหน้าใครได้อีก”

“แลพี่ก็ต้องพลอยไปกับเจ้าด้วยอีกคนหนึ่ง เออเจ้าเรียม” มันมองตั้งแต่ศีร์ษะตลอดเท้า “เจ้าไว้ผมอย่างสาวบางกอกน่ะมันก็สวยดีหรอก แต่มันหนักใจพี่จริงที่กลัวเจ้าจะกลับไปอยู่กรุงอีก พี่เห็นเรียมเดี๋ยวนี้แล้วก็คิดถึงเรียมเมื่อก่อนไม่วาย”

เรียมมองดูเจ้าขวัญ นี่มันจะเกี้ยวอีกหรือว่าหัวใจมันนึกอย่างไร

“ก็หัวใจดวงนี้และจ้ะพี่ขวัญ พี่พูดไว้ลืมเสียแล้วหรือว่าน้ำนี้กับน้ำใหม่มันอยู่ในคลองเดียวกัน”

“จริงของเจ้า” มันรับ “แต่ร่างของเจ้าเดี๋ยวนี้เปนสาวบางกอกชัดๆ แล้วเจ้าจะร่วมกับพี่คนบ้านทุ่งลงคออย่างไรล่ะเจ้า นังเรียมบ้านทุ่งของพี่แต่ก่อนมันไม่เกล้าผมแค่คอหรอกเรียมเอ๋ย ถึงเดี๋ยวนี้พี่ก็ยังนึกหน้าออก แม้นจะไม่งามเหมือนเดี๋ยวนี้ มันก็ขำกว่าเดี๋ยวนี้ พี่คิดพี่คอยมันไม่เว้นวัน น้ำตาพี่จะเปนเลือดเพราะมันร่วม ๓ ปี พี่ก็ยังไม่พบเจ้าเรียมผมตัดบ้านทุ่งของพี่เลย”

เจ้าขวัญเกี้ยวจริงๆ แม้ความเจริญของพระนครจะครอบงำเรียมมาแล้วตั้ง ๓ ปี แต่นิสสัยกำเหนิดยังประจำอยู่ มองเจ้าขวัญขวับไปขวับมา

“พี่ก็ร้องไห้คอยเขาต่อไปซี ฉันจะได้กลับบางกอกพรุ่งนี้แล้วจะมีผัวเสียที่บางกอกให้มันสะใจ”

​“โอ๋_เรียม มีดนี่แน่ะเอ้า_เจ้าฆ่าพี่เสียที่ลำกระโดงนี่ยังจะดีเสียกว่าเจ้าไปมีผัวบางกอก เรียมเอ๋ย_เจ้ากระเถิบมาให้ชิดพี่หน่อยไม่ได้หรือ” เสียงเจ้าขวัญแตกพร่าเหมือนคนมีไข้ “เจ้าห่างพี่มาร่วม ๓ ปีแล้ว กลิ่นผ้ากลิ่นเนื้อเจ้าพี่จำไม่หายเลย”

เรียมเธอนั่งเปนสง่าอย่างหญิงพระนคร เพ่งตาดูเจ้าขวัญจนมันรนรานด้วยกิริยาของเธอ

“คอยนังเรียมบ้านทุ่งของพี่เถิด อย่ามายุ่งกับฉันเลย”

มันหมอบเมียงลงใกล้ๆ ราวกับเธอเปนเจ้าแม่ประจำทุ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็อ้อนวอนด้วยคำหวานของมันว่า

“แม่เรียม_อย่าให้พี่ตายเหมือนปลาค้างแห้งเลย เมื่อเจ้าเปนน้ำหลากมาแล้วก็ขอให้พี่ได้ชุ่มชื่นสมกับที่คอยน้ำเถิด”

เรียมขันแต่แล้วก็เศร้า เออ-บ้านนอกคอกนาเสียจริงเจียวขวัญเอ๋ย ฉันเสียใจจริงๆ ที่หนีเธอไปรับความรุ่งเรืองแต่ผู้เดียวจึงทำให้รักฉันจางเธอไป ทำไมฉันจึงจะมีความรู้สึกเหมือนฉันเมื่อก่อนมั่งเลา เราจะได้รักกันอย่างดูดดื่มปลื้มใจแล้วกอดคอกันร้องไห้เสียต่อหน้าพระจันทร์ดวงนี้

“บาปกรรมจ้ะพี่ขวัญ นั่งขึ้นเถอะ” เธอจับแขนแทบจะประคองมันขึ้น

แม้หนหลังจะอย่างไรแต่หนนี้เจ้าเรียมก็ยังเปนของใหม่สำหรับเจ้าขวัญ เพราะพรากกันไปนานๆ และกลับมาอย่างฟ้าห่างดินก็ทำให้ประหม่าตื่นใจเปนที่ยิ่ง

มันพูดด้วยความรักที่โลดออกมาจากใจว่า

“เรียมของพี่เอ๋ย_ เปนกุศลหนหลัง-เปนบุญนักเทียวที่พี่มีชีวิตยั่งยืนมาถึงมื้อนี้ เออ-เรียมเจ้ารำลึกตลิ่งใกล้กอแขมใต้ต้นไทรวันนั้นได้ไหมเล่า โธ่เอ๋ย พี่นึกถึงวันนั้นแล้วพี่จะขาดใจตายเสียให้ได้เมื่อครั้งเจ้าอยู่ในบางกอก พี่คร่ำครวญหาแต่เจ้าไม่เว้น ทั้งงานไถงานหว่านพี่ทิ้งพี่ทอดแลไว้อย่างนั้น จนพ่อเชื้อแกก็พลอยทุกข์ถึงแต่เจ้าไปกับพี่ด้วย เรียมจ๋า พ่อแกรู้ว่าพี่รักเจ้าแกก็รักเจ้ามากเหมือนพี่ เจ้าอย่าบิดเบี่ยงหนีพี่เลย สงสาร​พี่เถิด พี่คอยเจ้าพี่ร้องไห้ถึงแต่เจ้าจะเข้าสามหน้าหว่านนี่แล้ว ขอให้พี่ชมชื่นพอชูชีวิตอีกต่อไปเถิด อีกครู่เดียวเท่านั้นเดือนก็จะตกแล้ว เจ้าก็จะต้องจากพี่ พี่ก็ต้องจากเจ้าข้ามลำกระโดงนี้ไป เอ๋อ_เรียมแล้วอีกชักเมื่อไหร่ละเจ้าเอ๋ย เจ้ากับพี่จะได้ร่วมคู่เคียงหมอนเหมือนเขาอื่น เราบาปกรรมด้วยกันมาจะเข้า๓ปีแล้วหนาเจ้าเรียมใจของพี่”

ด้วยจิตต์มันแกล้วใจหาญฮึกลำพอง ด้วยธรรมชาติและวิญญาณรักทุกๆดวงที่สถิตย์เสถียรประจำท้องทุ่งบางกะปิ ด้วยแผลในใจหนหลังที่เคยสร้างกันไว้ เจ้าเรียมก็เกิดประหม่างกงัน จิตต์หวนรำลึกไปถึงวันรักในสายน้ำ ทุ่งหญ้าทุ่งนา พงอ้อกอเข้าและกอแขมซึ่งเคยเปนที่ร่วมรักเห็นใจกันมาเมื่อยามยาก_ในยามขัดยามแค้นครั้งหลัง เธออิงร่างสมสมัยอย่างสาวพระนครแอบอกเจ้าหนุ่มลูกปลายน้ำบ้านทุ่ง มันกอดรัดจนเธอเจ็บเนื้อแทบจะขัดจะยอกไปหมด มันจูบแรงๆด้วยความทะเยอทะยานใจของมัน

ขอบฟ้าและทุ่งนาข้างหน้ามืดกลืนเปนสีเดียวกันเพราะเดือนเริ่มตก เจ้าขวัญมองดูเดือนแล้วมองหน้าสาวอย่างอาลัย มันคิดว่าเวรหลังของมันยังมีอยู่จึงต้องเปนยังงี้ร่ำไป

“เรียมเอ๋ย เจ้าเห็นไหมโน่นเดือนจะจากฟ้าอยู่แล้วและเรียมก็จะต้องจากพี่ไป เดือนมันมีขึ้นมีตก แต่เรียมกับพี่จะมีกำหนดแน่เช่นนั้นมั่งไหมหรอกเรียมมันเปนเวรของพี่แท้เทียวที่เราเกิดมาเปนลูกชาวนา เมื่อแรกพี่ก็นึกลำพองว่าเปนลูกผู้ใหญ่บ้านนี้ดูมันมีหน้ามีตาเสียจริง แต่ครั้นพอเห็นเจ้าไปได้ดีบางกอกกลับมาฉลาดเฉลียว พี่ก็อกแห้งคิดถึงตัว”

“ฉันสงสารพี่ขวัญจริงที่พูดเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไงได้เล่า ถึงแม้ฉันเองก็ยังไม่วายนึกว่าฉันมีเวรเลย เรากลับกันเสียทีจะดีกระมัง เพราะเดี๋ยวเดือนมืดพี่ขวัญจะกลับลำบาก ฉันน่ะไม่เปนไรหรอก แลเห็นโรงนาอยู่แค่นี้เอง”

มันทอดขาเหยียดสิ้นอาลัย “พี่น่ะไม่เปนไรหรอก อย่าว่าแต่ต้องเดิน​มืดๆ เลย ถ้าลงมาหาเจ้าธุระของเจ้าแล้วให้ตะเฆ่เต็มหนองคลองขวางหน้าพี่ก็หากลัวมันไม่ว่าแต่เจ้าเถอะ ไปอยู่บางกอกนานๆ ใจจะขลาดเสียกระมัง กลับก็กลับเสียต่อหน้าพี่นี่และพี่จะยืนคอยดูเจ้า ระวังเปนเพื่อนเจ้า พรุ่งนี้ยังไงๆเอาอ้ายรอดไปให้ได้ก็แล้วกันน๊ะเรียม”

“ไปเถอะ พี่ขวัญกลับเถอะฉันจะยืนดูเพราะฉันได้ตั้งใจมาส่งพี่ขวัญต่างหาก มันเขตต์นาของฉันเองจะต้องไปกลัวอะไร” เรียมตบต้นแขนมันเบาๆแล้วเธอก็ยืนขึ้น

ปลาผุดในลำกระโดงผางใหญ่จนเรียมสดุ้งขวัญหนีดีฝ่อ เจ้าขวัญหัวเราะชอบใจว่าเจ้าเรียมตั้งแต่ไปอยู่บางกอกทำให้ขวัญอ่อนลงมาก น้ำกำลังสีจะดำคล้ำ ความมืดกลืนทุ่งนาข้างหน้าใกล้วูบๆ เข้ามา สุดขอบฟ้าโน้นมืดมิดหมดไม่เห็นอะไรเลย

“พี่ลาเจ้าไปก่อนละน๊ะเรียม เออ, แม่คุณไหว้พระเถิด ขอให้เจ้าพ่อจงคุ้มเกรงรักษาเจ้า” เจ้าขวัญพูดฝืนน้ำเสียงใจคอมันวังเวง ชักมีดซุยคู่มือจากเอ็วหย่อนตัวลงริมลำกระโดง แล้ววักน้ำสาดไปข้างหน้าและรอบๆตัวปากพึมพำภาวนาตามพิธีที่จะขอทางและป้องกันสิงสาราสัตว์ในน้ำ เหลียวดูเจ้าเรียมเห็นเธอกำลังประณมมืออย่างจะอธิฐานให้มันข้ามน้ำไปด้วยความสวัสดี

มันยกมือโบกอำลา “พี่ลาเจ้าละเรียม อย่าลืมก็แล้วกันว่าเจ้าต้องชวนอ้ายรอดไปให้ได้” แล้วอ้ายหนุ่มเจ้าทุ่งเจ้าน้ำผู้ไม่เคยเกรงอะไรคาบมีดโผออกจากตลิ่ง ลำกระโดงนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่แยกจากปลายน้ำตัดเข้านา

เรียมยืนดูมันใจคอหาย เพราะความรักแท้ๆที่ทำให้มันต้องระกำลำบาก ข้ามน้ำข้ามทุ่ง, ขวัญเอ๋ย เวรกรรมในโลกนี้จะสุมอยู่แก่เจ้าตลอดชั่วชาติชั่วชีวิตเจียวหรือ

เจ้าขวัญพอขึ้นฟากลำกระโดงโน้นแล้วก็ยืนบิดชายเสื้อชายผ้าพอแห้งน้ำแลเสยผมสลัดไปมา เหลียวดูเจ้าเรียมเห็นยังไม่กลับมันโบกมือให้เธอออกเดิน

​“ไปเถอะเรียม เจ้าจงไปดีเถอะ พี่จะกลับละ”

เรียมป้องปากตะโกนพอให้มันได้ยินว่า

“พี่ขวัญกลับเถอะ อย่าห่วงเลยฉันกลับได้คนเดียวไม่เปนไรหรอก”

มันเงี่ยหูฟังคำแล้วก็ออกเดินดุ่มตัดทุ่งโฉมหน้าเข้าสู่ดงสะโหนอันเปนที่สังเกตุจะถึงโรงนามัน เสียงสุนักข์หอนและเห่าเกรียวกราวตลอดทางที่มันผ่านไป เจ้าขวัญเหลียวหน้าเหลียวหลังห่วงใยที่เรียมยังไม่กลับ มันเดินไป​จนเห็นลางๆแลลับหายเข้าความมืดในดงสะโหน

๓ โมงเช้าในวันรุ่งขึ้น เปนอันตกลงกันว่าให้เจ้ารอดไปเปนเพื่อนพี่สาว เพราะเจ้าเริญติดงานนา ส่วนตาเรืองกับเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งต้องอยู่ดูคนเจ็บ เมื่อตระเตรียมดอกไม้ธูปเทียนเรียบร้อยแล้วเจ้ารอดก็เข็นเรือลงน้ำ เจ้าเรียมแต่งกายกระทัดรัดนั่งหัวเรือ เจ้ารอดเปนคนพาย ทางจากบ้านไปยังศาลเจ้าพ่อนั้นราว ๓ คุ้งน้ำแต่เปนคุ้งใกล้ๆ เจ้าเรียมมิได้เร่งร้อน ให้เจ้ารอดพายไปเอื่อยๆ ลอดร่มไม้ใหญ่ข้างตลิ่งเย็นรื่น ในนาบางเจ้าของกำลังลงมือหว่าน บ้างก็หว่านแล้ว ยอดอ่อนขึ้นเขียวล้ำมาตกชายคลอง พายไปผ่านไป ผ่านไปจนถึงตลิ่งที่สกิดใจเจ้าเรียมแปล๊บ นั่นมันตลิ่งเก่าที่จะลืมเสียมิได้ ตลิ่งรักของเจ้าเรียมและเจ้าขวัญเมื่อครั้งก่อน รากไทรที่เจ้าขวัญเกาะอุ้มเธอพักเหนื่อยนั่นผุไปแล้วตลิ่งก็เว้าใกล้จะพังอยู่แล้ว ไทรริมฝั่งกำลังเอนอยู่แต่จะโค่นลงน้ำไปเท่านั้น ภาพเจ้าขวัญกำลังแหวกน้ำไล่เธอและทันกันที่ริมไทรกำลังผุดขึ้นจากน้ำหลอกหลอนเธอข้างตลิ่ง

เรียมไม่เข้าใจอะไรเลยว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงช่างฝังจิตต์และความจำของเธอเสียจริง บางครั้งคล้ายจะได้ยินเสียงห้าวๆ กระซิบที่ข้างหูว่า นังเรียม เจ้าสาบาลไว้กับข้า ทั้งเจ้าและอ้ายขวัญน่ะมันเปนลูกข้าตั้งแต่เล็กๆ เสียงลมโกรกทุ่งและผ่านท้องน้ำ เสียงจ๋อมๆของฝีพายเจ้ารอดที่ผ่านความสงัดของคลองปลายน้ำ มักจะทำให้เธอได้ยินระแวงไปเปนอื่น เปนเสียงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ประจำไม้ใหญ่เรียกร้อง เสียงฮือๆลมหวล ผัวะเผาะของไม้ใหญ่ๆและกิ่งเล็กหัก พงอ้อไหวเยือกเกรียวไปทั้งกอลู่ราบไปตามทางลมเหล่านี้ เธอก็แว่วไปว่า อีเรียมกลับมา มึงต้องกลับมา

เรียมนั่งใจหวั่นระลึกความหลังมาตลอดทางจนเรือลับคุ้งเข้าเทียบฝั่ง เจ้ารอดเข็ญเรือขึ้นเกยตลิ่งไว้ครึ่งลำแล้วเอาโซ่พันไว้กับตอไม้ เดินตามหลังพี่สาวไปห่างๆ จนถึงลานดินหน้าศาล

​ลมพัดชายแพรปลิวอย่างจะต้อนรับ เธอใจหายระลึกขึ้นได้ว่าวันนั้นเปนวันเกิดเหตุใหญ่ เปนวันนองเลือดของเจ้าขวัญและเปนครั้งสุดท้ายของเธอต้องจากบางกะปิไปทั้งๆรัก

จุดธูปเทียนบนบาลขอให้เจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์ขับไล่ผีทุ่งผีท่าและรักษามารดาของเธอให้หายวันหายคืนได้เธอจะถวายเครื่องเส้นสังเวย ปลูกศาลให้ใหม่ และมีละคร ๓ วันตามธรรมเนียม แล้วเรียมนั่งรำลึกถึงเหตุที่แล้วมาอีก เธอเหลียวเห็นเจ้ารอดน้องชายแล้วใจหาย เพราะมันนั่งคู่กับเธอและเปนที่เดียวกับเจ้าขวัญได้กล่าวคำสาบาลให้เธอฟังเมื่อ ๓ ปีก่อน

เจ้ารอดสกิดพี่สาวให้ดูทางพงอ้อห่างศาลออกไปข้างหลังสัก ๔-๕ วา เปนรูปคนก้มๆคลานๆเห็นไม่ค่อยชัดอยู่หลังพงอ้อนั้น

เจ้าเรียมเพ่งตาอยู่ครู่ใหญ่ พงอ้อก็แหวกและหักราบออกเปนทาง เจ้าขวัญซึ่งติดตามเธอไปเสียทุกหนทุกแห่งคล้ายปีศาจกำลังบุกสวบสาบออกจากพงอ้อ

“เรียม เจ้ามานานแล้วหรือ อ้อ อ้ายรอด เอ็งมาเปนเพื่อนพี่เขารึนั่น”

เจ้ารอดทั้งรักทั้งกลัวเจ้าขวัญมากกว่าพี่ชายของมันเองเสียอีก เพราะเจ้ารอดมีนิสสัยรักทางนักเลง และมันก็รู้ดีว่า ยอดของนักเลงตลอดลำน้ำและท้องทุ่งบางกะปิกับแสนแสบเปนไม่มีใครล้นไปกว่าพี่ขวัญ

“จ้ะ_พี่ ฉันพายเรือมาส่งและมาเปนเพื่อนพี่เรียมเขาด้วย นั่นพี่ไปไหนมาล่ะนั่น”

“ข้าก็จะมานี่เหมือนกัน” พอดีเจ้าขวัญเดินมาถึงที่คนทั้งสองนั่งอยู่ มันคุกเข่าลงกราบเจ้าพ่อแล้วนั่งลงยังพื้นใกล้ๆเจ้าเรียม

เรียมนึกไม่ไว้ใจอยู่ร่ำไป เกรงว่าไม่พ่อก็พี่เริญจะแอบย่องมาอีก จึงตกลงกับเจ้าขวัญจะให้เจ้ารอดไปคอยดูต้นทางที่เรือ

เจ้าขวัญจึงขอร้องกับเจ้ารอดด้วยตนเอง

“อ้ายรอด เอ็งเห็นกับพี่เขาและข้าเถอะว๊ะ ข้าขี้เกียจรำคาญ ประเดี๋ยวอ้ายเริญจะมาทำยุ่มย่ามอีก เอ็งไป​ดูต้นทางสักหน่อยเถอะข้าจะนั่งพักสนทนากับพี่เขาสักครู่ข้าก็จะกลับ ไป ไป๊ อ้ายน้องรักข้า”

อ้ายรอดปลื้มนัก เพราะทั้งทุ่งบางกะปิถ้าลงใครผูกใจให้พี่ขวัญรักได้แล้วจะเที่ยวไปบ้านใครหรือเมาเจ็ดหัวเจ็ดหางก็ไม่มีใครจะกล้าทำอะไร

มันลุกขึ้นอย่างง่าย “เชิญตามสบายเถอะจ้ะพี่ ฉันจะไปดูต้นทางเอง คอยระวังเสียงกู่ให้ดีก็แล้วกัน”

​“เออ” เจ้าขวัญพยักหน้า

”พี่ขวัญมาแต่เมื่อไหร่นี่น่ะ” เรียมถามขึ้นเพราะฉงนที่เจ้าขวัญมักเปนเงาตามตัวเธออยู่แทบทุกฝีก้าวอย่างเงียบเชียบ

“พี่มาคอยอยู่ก่อนแต่เช้า ไม่ได้เอาอ้ายเรียวมาหรอก กลัวหน่อยจะเสือกไปลอยคออยู่ในคลองให้เกิดความอีก พี่คอยเจ้าอยู่นานนักจึงไปนั่งตากผ้าเสียหลังพงอ้อโน้น”

“ทรหดจริงเชียวพี่ขวัญ เมื่อคืนถึงบ้านกี่ทุ่ม”

“ข้าไม่มีในฬิกาดู แต่คะเนว่าพอหลับครู่เดียวก็ไก่ขัน กว่าจะไปถึงหมูหมาโห่กันเกรียวหมด เจ้าล่ะ”

“ฉันน่ะรึ” เรียมว่า “ยืนดูพี่ขวัญจนลับตาแล้วก็กลับไปถึงเจ้ารอดยังไม่ตื่นเลย จนวันนี้เจ้ารอดก็ยังไม่รู้ว่าเราไปนั่งคุยกันที่นั่น”

“ขี้เซายังงี้ ควายมันจะหมดคอก เออนี่เจ้าบนเจ้าพ่อท่านแล้วหรือ”

“เรียบร้อยแล้ว ก็พอดีพี่ขวัญมาถึง” เรียมตอบยิ้มแย้มวิญญาณเธอครั้งโน้นล่องลอยกลับมาอีก แม้เสื้อผ้าที่แต่งกายอยู่ขณะนี้ก็ไม่ผิดเพี้ยนกับเรียมชาวนาคนเก่าเท่าไร นอกจากทรงผม “พี่ขวัญ_ฉันมาบางกะปิหนนี้ใจคอมันรู้หวาดๆ เผลอๆ ไปยังไงไม่รู้ คล้ายๆ กับว่ามีใครไปดลจิตร์หวนมา รู้สึกอยากจะอยู่บางกะปิของเราเสียจริงๆ ไม่อยากกลับบางกอกเลย เออ_ถ้าฉันอยู่บางกะปิแล้วฉันจะตัดผมเสียอย่างเก่าดีไหมจ๊ะพี่ขวัญ”

“ดีซีเจ้า” ขวัญรีบรับคำแล้วยกมือไหว้ไปบนศาล_ “เจ้าพ่อเปนแน่เทียวเจ้าประคุณ_นี่เรียมพี่นึกว่าเพราะเจ้ากับพี่ได้สาบาลกันไว้นั่นและ ทั้งพี่ก็บนบวงเส้นวักอยู่ทุกวันตั้งแต่เจ้าจากพี่ไปอยู่บางกอกแลพี่ก็เคยเปนลูกท่านมาด้วย ท่านจึงดลใจให้เจ้ากลับมาหาพี่อีก_เออเรียมเอ๋ย ผลซื่อในความรักของเรานั่นและเจ้าเรียมมันสำคัญกว่าไรๆทั้งหมด พี่ซื่อในคำของพี่เจ้าก็ซื่อในคำของเจ้า เออ เจ้าประคุณ วันนี้ลูกมาพร้อมหน้าแล้วทั้งสองคน ขอเจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มเกรงและให้รักของข้าทั้งสองจงสำเร็จเถิด”

​เจ้าเรียมฟังเพลิน เธอมองดูความครึ้มของร่มเงาบนหลังคาศาลรู้สึกเยือกเย็นเงียบเหงาจนพูดไม่ถูก เหลียวเห็นแผลเจ้าขวัญต้องสดุ้งใจเยือก เปนแผลเก่านานปีซึ่งสลักใจเธอให้ลืมเจ้าขวัญเสียมิได้ตลอดชาติ.

“คงเปนแน่ละพี่ขวัญ ที่เจ้าพ่อของเราต้องศักดิ์สิทธิ์จริงๆ สมคำกล่าว คืนที่ฉันกลับกรุงเทพฯ คืนนั้นนอนไม่หลับเลย มันหวาดๆอยู่ตลอดคืน จิตต์ใจคิดแต่จะกลับบางกะปิท่าเดียว แต่พี่ขวัญจ๊ะความคิดของฉันเวลานี้เหมือนพายเรือในอ่าง มันวนเวียนไปหมดไม่รู้จะทำยังไงได้”

“บอกพี่มั่งเถิด เผื่อว่าจะช่วยเจ้าได้มั่ง เจ้าบอกพี่ซีว่าเจ้าคับใจเรื่องอะไร”

เรียมทำตาปรอยแทบไม่อยากจะกล่าวคำต่อไป

“ก็เรื่องไรเสียอีกเล่า ทุกวันนี้พี่ขวัญเปนศุขใจนักหรือ ฉันเองไม่กลัวอะไรมากไปกว่าที่ว่าฉันไม่ใช่ลูกพ่อแล้ว พ่อแกไม่มีสิทธิ์อย่างไรๆในตัวฉันทั้งสิ้น นอกจากแม่นายที่ฉันอยู่กับเขาในกรุงเทพฯ เท่านั้น”

“เจ้าจะต้องกลับไปอยู่บางกอกอีกงั้นหรือที่พูดน่ะ”

“ก็เช่นนั้นซีพี่ขวัญ เพราะพ่อได้ทำหนังสือยกให้เขาขาด เอาเงินขึ้นมาใช้ไปจนหมดแล้วอีกเกือบ ๒๐๐ บาท”

เจ้าขวัญนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง

“ว่าแต่ใจสมัคของเจ้าเถิด หากเจ้าสมัคจะอยู่นี่ พี่ก็รับรองว่าใครจะมาขืนใจเจ้าไปจากที่นี่ไม่ได้เปนแท้ มันจะเอาเจ้าไปได้ก็เมื่อพี่เปนผีไปก่อนนั่นและ เจ้าเรียมเอ๋ย ถึงแม้พี่จะตัวคนเดียวก็ตามเถอะ ลงขึ้นชื่อว่าบางกะปิแล้วพี่จะไม่ให้ใครมาลบหน้าพี่ไปได้ พี่ยอมขาดใจคาน้ำ ขาดใจคาทุ่งเพราะเจ้าได้จริงๆ”

เรียมส่ายหน้า “ไม่งั้นหรอกพี่ขวัญ เขาจะเอาโทษกับพ่อน่ะซี อีกประการพ่อแกก็ต้องเต็มใจให้เปนเช่นนั้นด้วยเพราะแกจะได้พึ่ง”

เจ้าขวัญกลับกลุ้มขึ้นมาอีก. เพราะคำที่เจ้าเรียมพูด มันก็มองเห็นความจำเปนของเจ้าเรียม

“เจ้าจะคิดเปนอื่นอย่างไรได้อีกมั่งเล่า”

​พอพูดขาดคำก็ได้ยินเสียงกู่ของเจ้ารอดผู้ดูต้นทาง เรียมล่อกแล่กตกใจเหลียวรอบตัว

“เร็วเถอะพี่ขวัญ ไม่พ่อก็พี่เริญคงตามฉันเปนแน่ หลบไปเสียก่อนเร็วๆ เข้าเถอะ แล้วฉันจะให้เจ้ารอดไปบอกวันหลัง”

เจ้าขวัญไม่ค่อยตกใจ เพราะมันเห็นว่าคนอย่างตาเรืองหรือเจ้าเริญจะทำอะไรมันได้ เว้นเสียแต่มันจะเห็นแก่เจ้าเรียม

มันจับไหล่เรียมให้หันมา เขย่าเบาๆ แล้วก็จ้อง หน้ามันเศร้าๆ

“งั้นพี่จะรีบไป อย่าลืมให้อ้ายรอดส่งข่าวก็แล้วกัน ถ้าอ้ายพวกบางกอกจะมาขืนใจเจ้ากลับละก็บอกให้พี่รู้มั่ง พี่ไปละ”

ขาดคำ มันจูบเจ้าเรียมในกะทันหันหลบไม่ทันลุกวิ่งหย่องๆ ออกไปหลังศาลแหวกพงอ้อที่มันมาแต่เดิม หายลับไปรวดเร็ว จนเรียมพิศวงว่าเจ้าขวัญของเธอมันช่างแม้นมนุสส์กายสิทธิ์สมเปนเจ้าทุ่ง

ชั่วครู่ เจ้ารอดก็มาถึงและตาเรืองกับเจ้าเริญก็มาถึงไล่ๆกัน สองพ่อลูกถือดาบมาคนละเล่ม เพราะเข้าใจว่าการที่เรียมหายมานานๆ คงจะเปนอะไรไป หาไม่ก็ถูกเจ้าขวัญดักตัวไปไว้ โดยความเข้าใจของสองพ่อลูกนั้นยังคิดว่าเจ้าเรียมคงไม่เหลียวแลอะไรอีกกับคนอย่างอ้ายขวัญ.


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #6 on: 15 May 2022, 10:57:44 »


๖ อวสานต์อ้ายลูกทุ่ง

๓วันต่อมา เจ้าขวัญแต่ก่อนเคยยึดเอาสายน้ำลำคลอง พงอ้อกอแขมริมตลิ่งเปนที่นัดพบปะชื่นใจกับเจ้าเรียมแต่กาลโน้นก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ก่อนเรียมต้องเลี้ยงอีเกก็พอจะโกหกพ่อและพี่ชายได้ ทั้งเรียมก็ว่ายน้ำเก่งปานผู้ชายแต่ เดี๋ยวนี้ธรรมชาติของบางกะปิทุกๆหย่อมหญ้าและคุ้งน้ำทำให้เรียมหวาดกลัวทั้งขาดความชำนิชำนาญต่อสิ่งเหล่านี้เสียหมด หนำซ้ำยังต้องนั่งพยาบาลแม่​ซึ่งมีอาการหนักจะไปจะอยู่เท่ากันเสียอีกจึงหมดโอกาศที่จะปลีกตัวไปหาความเพลิดเพลินในธรรมชาติของบ้านเดิมเหล่านี้กับเจ้าขวัญได้

แต่เจ้าขวัญ เปนชายทรหดหัวใจทุกๆห้องแกร่งแกล้วเปนชาติชาตรีเหี้ยมหาญไม่พรั่นทุกขณะ ความคิดก็เด็ดเดี่ยวเยิ้มอยู่ด้วยความรักในตัวเจ้าเรียมอย่างดุดันอะไรขืนขวางหน้าก็พินาสสบั้นไป เจ้าขวัญยึดเอาเวลาเดือนขึ้นแม้จะดึกแสนดึกก็อุส่าห์ข้ามลำกระโดงมาหาเจ้าเรียม บางวันเมื่อมันไม่เห็นเจ้าเรียมที่แคร่หลังคอกควายก็อุส่าห์ย่องเข้าไปถึงในโรงนาเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเรียมยังอยู่บางกะปิเท่านั้นเวลา๓คืนเดือนก็ยิ่งขึ้นดึกขึ้นทุกทีและกว่าจะตกก็ร่วมสว่าง เจ้าขวัญก็ถือเวลามาในเดือนขึ้นพาเจ้าเรียมไปคุยที่ลำกระโดง แล้วกลับเมื่อเดือนตกทุกวันพอรุ่งขึ้นวันที่๔เวลาค่ำแม่ของเจ้าเรียมก็ถึงแก่กรรม และคืนนั้นทั้งคืนที่มันกับเจ้าเรียมมิได้พบกันตลอดสว่าง

เรียมมีจดหมายส่งข่าวไปกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้นบอกความจำเปนที่เธอจะต้องอยู่บางกะปิต่อไปอี เพื่อทำศพมารดาและจัดการให้เรียบร้อยตามประเพณี

คืนนั้นในโรงนาของตาเรืองได้ถูกตบแต่งสถานที่ใหม่เพื่อตั้งศพ ที่ลานนวดเข้ากวาดเตียนรื่นสำหรับแขกบ้านใกล้และพวกพ้องที่เคารพนับถือจะได้มาฟังสวดพระธรรมและเยี่ยมเยียนศพตามประเพณี

เจ้าเริญเปนฝ่ายเลี้ยงดูแขกผู้ชาย และโดยมากเปนนักเลงรุ่นเดียวกับเจ้าเริญ เหล้ายาปลาปิ้งน้ำขาวเหล้าเถื่อนหาไม่ยากตามท้องนา เพียงออกปากครู่เดียวก็แบกกันมาเปนไหๆ เพื่อความเพลิดเพลินและดับความทุกร้อนเจ้าเริญก็เมากล่ำอยู่ก่อนตั้งแต่เย็น พวกเพื่อนๆที่นับว่าถูกคอและใช้ได้ของเจ้าเริญราว ๑๐ คน มาใกลบ้างใกล้บ้าง และเมาตามมากตามน้อยไปด้วยกันทั้งสิ้น

นับว่ามีหน้ามีตาอยู่มากที่ตาเรืองมีสวดถึง ๓ คืน จนชาวบ้านแถบนั้นคิดไปว่าตาเรืองคงเปนเศรษฐีเพราะลูกสาวเปนแน่ และที่จริงการที่มีสวดตั้ง ๓ ​คืนและเลี้ยงผู้คนมากๆเช่นนี้ถ้าไม่ได้จำนวนเงินของเจ้าเรียมที่ติดตัวมาด้วยงานนี้ก็จะครึกครื้นไปไม่ได้

สัก ๒ ทุ่ม พระก็สวดไปคอหมากรุกก็โขกกันลั่น คอเหล้าก็ดวดเสียอย่างสมอยาก พอเลยแก้วสองพุทธวาจาไปแล้วก็คุยถึงอภินิหารต่างๆของตนอวดกันเสียงโขมง เพราะต่างคนต่างเปนนักเลงบ้านใกล้รุ่นราวคราวเดียวกัน การที่เจ้าเริญสมคบนักเลงพวกนี้ไว้มากๆก็เพื่อจะรวมหัวปราบเจ้าขวัญ ยิ่งสำหรับคืนนี้ด้วยก็ออกจะสำหลักสำคัญอยู่ เพราะที่บ้านมีงานอย่างหนึ่งและเจ้าเรียมก็อยู่บ้านอีกอย่างหนึ่ง เจ้าเริญเกรงว่าอ้ายลูกผู้ใหญ่บ้านเขียนจะย่องมาลอบพบปะกับน้องสาวหรือไม่ก็เข้ามาอาละวาดในวันงานตามที่มันเคยๆเห็นมาแล้ว หาไม่ก็แอบกินเพื่อนเจ้าเริญเวลากลับดึกอย่างที่ทำกับเจ้าจ้อย

เจ้าเริญ ให้อ้ายรอดแบกไหน้ำขาวตามหลังมันมาอีกไหหนึ่งเปนการเพิ่มเติม ตัวมันเองตรงมายังลานนวดที่เจ้าพวกเพื่อนกำลังคุยอวดฤทธิ์อวดเดชกันอยู่

“เอาเว้ย-พวกเรา” เจ้าเริญเริ่มขึ้นจนพวกนั้นเหลียวดู “ดวดให้เต็มที่ตามซาบายไม่ต้องกลัวหมด ของเรามีถมไป เอ้าเร็วซีว๊ะอ้ายรอด ตั้งลงตั้งลงกลางแจ้งนั่นและ”

พอเจ้ารอดวางไห วงเหล้าก็เพิ่มขึ้นอีกวงหนึ่ง วงนี้มีด้วยกันหลายรุ่นคือ ผู้ใหญ่ตั้งแต่ขนาดตาเรืองลงมาจนถึงหนุ่มรุ่นเจ้ารอด

“ให้หง๊าเถอะว๊ะอ้ายน้องชาย ไม่ต้องเกรงเรื่องเกรงราวอะไรหรอกพวกเราทั้งเพ เมื่อใครมันจะหลวมคอกผิดทุ่งเข้ามาพี่รับเอง” หัวไม้เพื่อนรุ่นเจ้าเริญคนหนึ่งเมาแประพูดขึ้นเมื่อเห็นเจ้ารอดอิดๆ ออดๆ ก็เลยจับกลอกเสียแล้วเฮฮากันอย่างครึกครื้น

เรียมแต่งดำทั้งชุด ออกจากโรงนาตรงมายังลานของพวกขี้เมา พวกนั้นโห่ต้อนรับและตบมือกันเกรียวใหญ่

“เออ_มึงเช้งยังกะสาวบางกอกเชียวฮิ๊อีเรียม” ขี้เมารุ่นพ่อเรืองคนหนึ่งทักขึ้นอย่างนึกรักนึกใคร่ ข้างอ้ายหนุ่มรุ่นเจ้าเริญที่นั่งรวมอยู่ด้วยสอดขึ้นมั่งว่า

​“นังเรียมมันสวยลบหน้าสาวบางกะปิหมดทั้งบางเลยทีเดียว- เออมึงสร้างวาสนาด้วยอะไรว๊ะอีเรียม”

เรียมเปนเดือดเปนแค้น เธออยู่พระนครแม้หนุ่มผู้ดีก็ยังยกย่องเธอ แต่พวกเหล่านี้ช่างป่าเถื่อนไม่รู้ภาษาคนเสียมั่งเลย แม้มันจะพูดอย่างเปนกันเอง เธอก็เห็นว่าบาดหูเอามากๆ

เธอไม่ตอบโต้ประการใด จะกลับก็เกรงเสียกิริยาจึงยืนหน้างอ หันๆ รีๆ ด้วยความไม่พอใจ เจ้าอีกคนหนึ่งเพื่อนของเจ้าเริญจึงเย้าขึ้นมั่ง

“เฮ้ย_นิ่งเสียเถอะ มึงไม่เห็นรึมันยืนหน้างอเปนหางไถอยู่นั่นไง จะเรียกจะร้องมันต้องเปนพนักงานเจ้าขวัญเขาจึงจะถูกกัน”

ฮาขึ้นครืนใหญ่พร้อมๆ เพราะเจ้าคนนี้ปากเดียว เรียมแทบจะร้องไห้ออกมาดังๆ จะว่ากล่าวก็ดูไม่เหมาะด้วยตัวเปนเจ้าของงาน จะอยู่ก็ใช่จะไปก็เชิง ทั้งเจ้าเริญเจ้ารอดก็พูดไม่ออก งันไปด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเจ้าแฉ่งคนพูดเปนหัวไม้ที่เหนือๆเจ้าเริญซึ่งมีคนนับหน้าถือตาอยู่มาก และเคยเปนเพื่อนรักเพื่อนเกลอของเจ้าขวัญมาก่อน เพิ่งจะโกรธกันเพราะคำปั่นของเจ้าเริญ

เจ้าแฉ่งไม่ค่อยยอมหยุดง่ายๆ ยิ่งเห็นเรียมโกรธมันก็ยิ่งเย้าหนักขึ้นทุกที จนเรียมร้องไห้เดินตุปัดตุป่องกลับเข้าโรงนา

มีแขกมาใหม่อีกคนหนึ่ง เดินก้มหน้าก้มตาผ่านคอกอีเกมาทางนอก นุ่งม่วงดำโจงกะเบนสวมเสื้อกุยเฮงดำ มีดอกไม้ธูปเทียนมาพร้อม ทุกๆคนเหลียวมองไปทางเดียวกันแล้วก็มองตากันนึกฉงน-ชะงักแล้วชะเง้อ_ชะเง้อดูเจ้าคนที่กำลังจะพ้นประตูลานเข้ามาอย่างแขก

เจ้าเริญปราดกลับเข้าโรงนาวิ่งกระหืดกระหอบไปหาพ่อ สักครู่ตาเรืองก็ลากปืนยาวตามลูกชายออกมาอีกคนหนึ่ง พวกๆที่กำลังเมาแทบส่าง ดาบที่พาดหน้าตักขยับกริบๆ บ้างก็ซ่อนซุก

เจ้าขวัญเดินเรียบๆ ไม่เหลียวซ้ายแลขวาสทกสท้านใคร ผ่านวงสุราที่กำลังเลี้ยง กำลังเมากันอย่างหยำไป ​พวกนั้นชงักหยุดงันมองตากันปริบๆ ตามทางที่มันผ่านไป ต่างแหวกเปนช่อง​หลีกกันให้ราบ ทีท่าของมันคล้ายวัวเปลี่ยวเขาคมพลัดเข้าฝูงโคบ้าน

ตาเรืองยืนรีๆ ขวางๆ มือถือปืน ข้างหลังมีเจ้าเริญกับเพื่อนหัวไม้ ๕-๖ คนยืนถือดาบหลบๆ ตาจับอยู่ที่อ้ายขวัญ. อ้ายเจ้าทุ่งผู้มีอานุภาพอย่างพึงพิศวงตลอดย่านบางกะปิ และลำน้ำอันคดเคี้ยววิเวก

“มึงมาหาใคร” เจ้าเริญซึ่งได้สติแข็งใจถามขึ้นก่อน แต่หาอาจที่จะสบตามันไม่

เจ้าเสือลำน้ำแสนแสบถลึงตามองดูอ้ายเริญกับพวก มันเม้มริมฝีปากเพื่ออดใจตาข้ามไปจับอยู่ที่เจ้าเรียมดวงใจของมันซึ่งเพิ่งอยุดร้องไห้โดยตกใจในการมาของมัน

“ข้าตั้งใจมาดีหรอกว๊ะ อ้ายเริญ มึงดูดอกไม้ธูปเทียนที่มือกูก่อนก็แล้วกันว่ากูจะมาไหว้ศพแม่มึงหรือมิใช่” อ้ายขวัญกวาดตาข้ามหลังเจ้าเริญไปอีก ชี้มือปราดไปที่เจ้าแฉ่ง “อ้ายแฉ่งกูเห็นแก่งานของพ่อเรืองหรอก หาไม่กูก็อยากจะรู้ว่าเมื่อครู่มึงเอาชื่อกูมากล่าวให้เจ้าเรียมช้ำใจด้วยเรื่องอะไร”

เจ้าแฉ่งนิ่งตรองชั่วอึดใจ ความอายเกรงเสียนักเลงที่มันคุยไว้นักหนาทำให้มันตอบอย่างไว้เชิงนักเลง

“ก็มันใครอื่นเล่าโว้ยอ้ายขวัญ มันน้องอ้ายเริญก็เหมือนน้องกู จะเย้านิดเย้าหน่อยเท่านั้นมันไปเกี่ยวอะไรกะมึงด้วยล่ะ”

“แล้วกันอ้ายแฉ่ง มึงพูดอะไรยังงั้นเล่า มึงยกชื่อกูขึ้นกล่าวขับเจ้าเรียมจนต้องได้อายไปนั่นน่ะยังไม่เกี่ยวกะกูอีกหรือ_เฮ้อ อ้ายแฉ่ง วันนี้กำลังการงานของพ่อเรืองแกหรอกว๊ะกูยอมให้มึง อีกอย่างความตั้งใจของกูก็จะมาไหว้ศพแม่แกสักหน่อย หาตั้งใจที่จะมาต่อปากต่อคำกับมึงหรอก เราไว้พูดกันวันหลังได้ไม่ใช่หรือเว้ยอ้ายแฉ่ง”

“ก็เปนไรมี” เจ้าแฉ่งตอบไม่สู้เต็มคำ ยืนดาบไขว้หลังเปนที่ว่ามันก็คนหนึ่ง

เจ้าขวัญหัวเราะอย่างกันๆเอง แต่ใครๆก็ฟังออกว่า มันหัวเราะฝากเจ้าแฉ่งไว้พอข้ามไปชั่วคืนนี้เถอะอ้ายแฉ่ง

​“มึงใจง่ายเหมือนกูจริงอ้ายแฉ่ง เออ_ให้มันยังงี้ซีว๊ะ เสียแรงเราลูกทุ่งบ้านเดียวกัน เมื่อวันนี้ธุระมันหนักก็ผ่อนเบาไปวันหน้า ถึงนัดกันใหม่ก็ได้” แล้วมันนั่งลงตรงหน้าตาเริญยองๆ ยกมือไหว้ “ฉันต้องขอให้พ่อเอ็นดูสักครั้งเถอะจ้ะ ฉันอยากจะไปไหว้ศพแม่แกมั่ง เพราะแต่เล็กแต่น้อยก็เคยได้ทุ่มเถียง ล่วงเกินแกอยู่มาก จึงตั้งใจจะมาขออโหสิแกเสียทีจะได้ไม่เปนเวรเปนกรรมแก่ฉันข้างหน้า”

ตาเริญพยักหน้าเพราะไม่รู้จะพูดท่าไร “ก็แล้วแต่เอ็งซี ถ้าจะประสงค์อย่างว่าก็จะเปนไรมี”

แล้วตาเรืองก็ออกเดินนำหน้าเจ้าขวัญเข้าโรงนาซึ่งเปนที่ตั้งศพ แต่เจ้าเริญกับพวกยังไม่วายตามไปออคุมเชิงอยู่แถวประตูโรงนา

เจ้าขวัญไม่คิดที่จะเอาใจดูหูใส่กับพวกเจ้าเริญ พอปักธูปลงกระถางเสร็จก็หันมากวักมือเจ้าเรียมให้เข้าไปหา เจ้าเรียมสองจิตร์สองใจเพราะเกรงพ่อกับพี่ชาย แต่ดูเหมือนอำนาจมือที่เจ้าขวัญกวักมีฤทธิ์กว่าจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ

“พี่ขาดเหลือจะต้องการอะไรหรือ”

เจ้าขวัญกระซิบตอบพอได้ยิน “พี่อยากจะให้เจ้าร่วมอธิฐานกับพี่เสียต่อหน้าศพแม่แกนี่และ เผื่อแกจะช่วยเราบ้าง เพราะแกก็รักเจ้าอยู่มากไม่ใช่หรือเรียม” เรียมอิดออดรังเร จนกระทั่งเจ้าเริญปราดเข้ามาใกล้ แขกเหรื่อพากันตลึงมองเกรงจะเกิดเรื่องขึ้น

“มันจะลบหน้ากันมากไปละมังโว้ย อ้ายขวัญ”

มันช้อนตามองเจ้าเริญคนพูด แล้วยิ้มซีดๆ กล่าวว่า

“เออ-อ้ายเริญนิ๊ มึงช่างจ้องจะกินเลือดกินเนื้อแต่กะกูน่ะและ จนกูชักจะชักรำคาญมึงอยู่แล้ว มึงเห็นไหมล่ะว่ากูแต่งตัวมาวันนี้น่ะ กูตั้งใจมาหาเรื่องกะมึงหรือว่ามาธุระปะปัง”

“ก็มึงทำยังงี้น่ะใครดูได้มั่งเล่า มันในโรงของกูก็เท่ากับมึงมาลบลายกูถึงในถ้ำไม่ใช่หรือเล่า” เจ้าเริญพูดรักษาเหลี่ยมคูเจ้าของบ้าน ตาเรืองอดรนทนไม่ได้เกรงจะเกิดความขึ้นอีกก็เลยหันเข้าปราบลูกชายว่า

​“ช่างมั่งเถอะว๊ะอ้ายเริญ เมื่อเขามาดีเราก็ชาตินักเลง ลองปล่อยเขาซี เพราะข้าได้ลั่นคำอนุญาติเขาไว้”

เจ้าขวัญมองดูหน้าตาเรืองอย่างขอบใจ

“ถูกแท้เทียวจ้ะพ่อ. เออพ่อพูดยังงี้ฉันชื่นใจจริงๆ_เอ้านี่แน่ะ เมื่อไม่เชื่อว่าฉันมาดีก็เอาอ้ายนี้ไว้” พูดแล้วมันก็ชักมีดพกขาวปราบ ที่มันใช้คู่มือออกมายื่นส่งให้ตาเรือง เล่นเอาเจ้าเริญกับพวกสดุ้งไปตามๆกัน อ้ายนี่เสือแท้ เขี้ยวเล็บมันติดตัวอยู่ทุกฝีก้าว

เจ้าขวัญหลับตาอธิฐานเรื่องของมันกับเจ้าเรียมและกล่าวคำขอสมาลาโทษที่มันได้เคยล่วงเกินผู้ตายมาแล้วแต่หนหลังๆ

เสร็จงานไปแล้ว ๓ วัน ตาเรืองจัดแจงเอาศพภรรยาไปฝากไว้ที่วัดเรียบร้อยแล้วก็ทำบุญตักบาตร์เปนการอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ และจัดเข้าของตกแต่งในโรงนาเสียไหม่โล่งโถงสอาดตาตามคำแนะนำของลูกสาวเพื่อให้หายน่ากลัวและลืมรูปลักษณะของโรงนาเก่าอันเปนที่ตายของมารดาเธอ ทั้งนี้ทำให้พื้นและห้องหับทั้งชั้นบนชั้นล่างของโรงนาตาเรืองเปนระเบียบเรียบร้อยสอาดหมดจนหน้าอยู่ขึ้นอีกมาก

เรียมซูบซีดลงกว่าเดิมเพราะเหน็ดเหนื่อยอดหลับอดนอนมาแต่ครั้งพยาบาลแม่จนกระทั่งตาย และก็ต้องทำงานเรื่อยๆมาแถมยังมีทุกข์ทับถมขึ้นมาอีกเปนสองเท่าคือแม่ตายอย่างหนึ่งและอีกอย่างหนึ่งก็คือกำหนดกลับไปอยู่บ้านใกล้เข้ามาทุกวัน เปนความจริงที่เรียมมาอยู่นี่ย่างเข้า ๑๕ วันเท่านั้นหัวใจเธอก็เริ่มเปลี่ยนเปนอื่น เธอนึกถึงวันกลับพระนครทีไรก็มองเห็นสภาพและวิญญาณที่หมดอิศระคล้ายนกต้องขังอยู่ในกรง แม้เจ้าของจะถนอมคอยระวังให้เข้าให้น้ำตามเวลาก็จริง นกนั้นก็คงหาความศุขได้อย่างมากเพียงกระโดดไปกระโดดมาอยู่ในกรงซึ่งผิดธรรมชาติกับนกที่มีปีกใช้บินอยู่ตามทุ่งตามท่าไปไหนมาไหนได้โดยอิศระ

ความกลัดกลุ้มเหล่านี้เรียมมักจะไปปรับทุกข์กับเจ้าขวัญเสมอและสองหนุ่มสาวก็คงยึดเอาลำกระโดงชายนา​เจ้าเรียมเปนที่พบปะรักใคร่กันตามประสาในยามยากยามแค้น

อีกวันหนึ่ง เจ้าขวัญได้ความคิดใหม่ในตอนกลางคืนรีบกระซิบบอกนัดแนะเจ้าเรียมว่า วันรุ่งขึ้นมันจะไปคอยที่วัดซึ่งฝังศพแม่เจ้าเรียมไว้แล้วให้เจ้าเรียมชวนอ้ายรอดไปเปนเพื่อน

รุ่งขึ้นพอเวลาใกล้เพน ตาเรืองกับเจ้าเริญไปนา เจ้ารอดเข็ญเรือเล็กลงคลองคว้าพายโดดลงนั่งท้ายเจ้าเรียมนั่งหัวคอยวิดน้ำ เจ้ารอดจ้ำเสียพักใหญ่ๆ ก็ถึงท่าน้ำศาลาวัดผูกเรือแล้วเรียบร้อยก็พากันเดินตรงมายังป่าช้าซึ่งเปนที่ฝังศพแม่เจ้าทั้งสอง

หลังป่าช้าเปนทุ่งโล่งต่อจากเขตร์วัด เจ้าขวัญมาคอยก่อนกำหนดเสมอ เมื่อคอยนานหนักเข้าก็นึกเบื่อรำคาญที่จะต้องมานั่งคนเดียวในป่าช้า จึงออกทุ่งเดินเล่นกลับไปกลับมาแก้รำคาญสักครู่จึงกลับมาคอยที่เก่าพบเจ้าเรียมกับเจ้ารอดยืนหันๆรีๆ

“พี่ขวัญไม่ได้เอาเรือมาด้วยหรอกหรือ”

‘เปล่า’ มันตอบ “พี่เดินตัดทุ่งมาแต่เช้าบอกกับพ่อแกว่าจะไปธุระสักครึ่งวันม่ายแกจะไม่ปล่อยให้มาเพราะวันนี้จะลงมือหว่านอยู่ด้วย ยืนคอยเจ้าอยู่นานนักแล้วแล้วเลยออกไปเดินแก้รำคาญทางหลังทุ่งโน้น”

ศพแม่เจ้าเรียมฝังไว้ในซุ้มไม้ที่ถางใหม่ เรียมมองไปรอบๆทิศล้วนแต่หลุมฝังศพทั้งสิ้นทำให้เธอได้คิดว่าการครองชีวิตร์ของมนุสส์ทุกชั้นทุกวัยมาสิ้นสุดกันลงเพียงป่าช้านี่เอง แม้ระหว่างมีชีวิตร์อยู่จะดีชั่วมั่งมีศรีศุขหรือยากไร้อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายหาได้สำนึกกันไม่ว่าหนทางที่จะต้องเดินไปนั้นมีทางรวมอยู่เพียงป่าช้าเท่านั้น

เรียมร้องไห้กระซิกๆเปนต้นเหตุชวนเจ้ารอดพลอยร้องไปด้วยอีกคนหนึ่ง

ขากลับ เจ้าขวัญอาสัยเรือของเรียมมา แม้เรือจะเล็กเพียบปรี่อย่างไรเมื่อเจ้าขวัญผู้ชำนาญในชีวิตร์ธรรมชาติแทบทุกอย่างได้ลงนั่งข้างท้ายก็รับรองได้ว่าจะไม่ล่มไปได้ พอเข้าคุ้งใกล้จะถึงบ้านเจ้าขวัญก็โจนลงน้ำ​แล้วว่ายคลอไปข้างๆเรือ ผ่านตลิ่งเก่าลำน้ำเก่าพงอ้อก้อเข้าซึ่งละม้ายเหมือนของเดิมเมื่อ๓ปีโน้นแล้วเจ้าขวัญก็เอ่ยชวนขึ้นว่า

“เรียมเอ๋ย เจ้าจำได้ไหมว่าน้ำนี้คือน้ำโน้นที่มันไหลผ่านตลิ่งไปเมื่อ ๓ ปีแล้วกลับมาอีก น้ำก็เหมือนเจ้า ตลิ่งก็เหมือนพี่ เมื่อน้ำยังก็ฝั่งเย็นเท่านั้นเอง เจ้าจะไม่ลงเล่นน้ำกับพี่มั่งเลยหรือ”

เรียมนั่งฟังอยู่บนเรือ จิตร์ใจเจ้าเคลิบเคลิ้มไปในธรรมชาติที่เจ้าขวัญรำพรรณ เธอนึกอยากจะลงตามคำวอนของมันแต่กระดากใจเจ้ารอดมาด้วย แม้มันจะไม่พูดมันก็จะยิ้มได้

ผลสุดท้ายเจ้าขวัญก็จัดแจงไล่เจ้ารอดให้ไปดูต้นทางอยู่คุ้งโน้นเยี่ยงเดียวกับวันก่อน ส่วนมันกับเจ้าเรียมก็ลงแหวกว่ายดำขึ้นดำล่องตามอารมณ์ตามถิ่นถานของธรรมชาติซึ่งเคยเปนที่สำราญมาแต่ก่อนทั้งตามน้ำและทวนน้ำเจ้าขวัญให้เรียมเกาะบ้างมันอุ้มไปบ้างโดยไม่เหน็ดเหนื่อยหวั่นไหวแล้วก็พักคุยหยอกเย้ากันตามพุ่มไม้ชายฝั่ง เจ้าขวัญชี้ให้เรียมดูปลาที่ว่ายเคียงผ่านหน้าไปเปนคู่ๆ แล้วมันก็ร้องเพลงของชนบทขึ้นเห่กล่อมเจ้าเรียม รำพรรณถึงธรรมชาติที่ต้องมีของคู่กัน เข้าคู่นา ปลาคู่น้ำ แล้วก็ลงด้วยกลอนด้นที่ว่ามันต้องคู่กับเจ้าเรียมเมื่อร้องจบก็สรวลเสเฮฮาสำราญใจ พอเวลาสมควรมันก็ให้เจ้าเรียมขึ้นนั่งเรือส่วนตัวมันว่ายคลอคู่ไปส่งกระทั่งถึงหัวคุ้งที่เจ้ารอดนั่งอยู่ มันก็สั่งเสียนัดแนะชวนเจ้าเรียมมาเล่นน้ำสำราญกันในวันสายรุ่งขึ้นและพบกันคืนนี้ที่ลำกระโดงแล้ว เจ้าขวัญก็อำลาสาวล่องน้ำกลับทั้งว่ายทั้งดำมาตามสายน้ำ กระทั่งเข้าเขตร์เนื้อนาโน้นอันเปนของผู้ใหญ่เขียน

วันรุ่งไม่ทันสาย เจ้าขวัญกุลีกุจออยู่กับงานหว่านเพื่อให้ร่วมๆ เข้าไปมันจะได้แอบไปลงน้ำ ผู้ใหญ่เขียนมองดูลูกชายวันนี้รู้สึกแคลงใจพูดไม่ถูก มันยิ้มแย้มเต็มอกเต็มใจในงานหว่านผิดกว่าทุกวัน หัวร่อร่าพูดเสียงดังผิดเคย แต่ว่าเจ้าขวัญมันหน้าดำเสีย​จริงๆ ซีดคล้ำเปนฝ้าสง่าราษีก็แทบจะไม่เหลือ พอตวันสายแดดแข็งสองพ่อลูกก็พากันกลับโรงนาเพื่อพักผ่อน

พอใกล้เพนผู้ใหญ่บ้านเขียนก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเสียจริงๆ เพราะต้องออกนาแต่เมื่อเช้า และกว่างานหว่านจะเสร็จตามกำหนดก็สายแดดกล้า เมื่อกินเข้ากินปลาเสร็จเรียบร้อยก็เอนกายพักผ่อนหลับไป

พ่อหลับแล้ว เจ้าขวัญก็รำลึกถึงเจ้าเรียมใจกระสับกระส่ายเพราะคำนัดของมันก็ว่าจะคอยเจ้าเรียมที่ต้นลำกระโดง มันแต่งตัวกะทัดรัดเรียบร้อย ย่องออกจากโรงนา แล้วลัดออกทางคอกควาย อ้ายเรียวกำลังนอนจมแปลงเอื้องหญ้าอยู่ในคอก มันจำเจ้าขวัญได้ ลุกยืนทลึ่งเบิ่งสลัดเขาแล้วจามดังๆ ร้องเสียงแหบๆ อย่างเจ้าขวัญไม่เคยได้ยิน พอเดินจะเลยคอกมันก็ร้องอีก ซ้ำยกเท้าหน้าตะกุยและใช้เขาทั้งชนทั้งแงะไม้คอก พอเจ้าขวัญเหลียวดูมันก็ทำตาปรอย แล้วกลืนหญ้าที่เอื้องอย่างแค้นคอ เจ้าขวัญอยุดดูกิริยาปลาดของอ้ายเรียวคิดฉงน

กลองเพนได้ยินมาแต่ไกล เจ้าขวัญตลีตลานนึกถึงคำนัดของเจ้าเรียม เอามือเบาะๆ เขาอ้ายเรียว ๒-๓ ทีเปนการอำลา แล้วออกอ้อมมาทางหลังยุ้งเข้าเสียงจิ้งจกร้องระเม็งเซ็งแซ่ เจ้าขวัญ ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยหวั่นไหวในสิ่งไรเลยกลับขนลุกเกรียวทั้งตัว จิ้งจกทักกู เอ_จิ้งจกมันทักกูหลายตัวนัก เมื่อเช้าพ่อก็ทักปากหนึ่งแล้ว พอนึกถึงคำพ่อทักว่ามันราษีหมองนัก วันนี้ซ้ำจิ้งจกก็มาทักเข้าอีกเปนสองแรง ก็ทำให้มันใจเสียคิดหวาดไปในลางต่าง ๆ คิดย้อนหน้าย้อนหลังจะกลับให้ได้ แต่เมื่อนึกถึงว่าเจ้าเรียมคงจะกำลังคอยหามันที่ต้นลำกระโดง เจ้าขวัญก็ลืมคิดถึงอะไรอีก ออกเดินครึ่งวิ่งครึ่ง หมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ๓-๔ ตัวตามเปนพรวน และดมตามรอยตีนพันแข้งพันขาเจ้าขวัญไปตลอดทาง จะไล่อย่างไรไม่กลับจนต้องหันเข้าแงะดินไล่ขว้าง มันก็เลยเห่าส่งท้ายจนเจ้าขวัญอดหัวเราะไม่ได้

เรียมกระวนกระวายเหมือนกองเพลิงสุมอก คุณสมชายกับเพื่อน​อีกสองคน มาถึงตั้งแต่สามโมงเช้า เพราะคุณนายไม่สบายจึงให้มารับเธอกลับในเย็นวันนี้ให้ได้ นับว่าเปนข่าวกะทันหันที่ทำให้เรียมใจเสียไม่มีเวลากลับตัวเลย ทั้งเวลานัดของเจ้าขวัญก็ใกล้เข้ามา ทางคุณสมก็เร่งให้เก็บเข้าของลงกระเป๋าให้เรียบร้อยเสียก่อน เรียมอึกๆ อักๆ มองดูพ่อกับพี่เริญหมายว่าจะช่วยพูดจาทักท้วงขอร้องไว้บ้างก็เปล่า มีแต่ช่วยเร่งให้เร็วหนักขึ้น ครั้นหวลนึกถึงบุญคุณของคุณนายทองคำและความรักใคร่ของสมชาย ความดีหรูหราในชีวิตร์วันหน้าแล้วก็เห็นว่าควรกลับ เมื่อหวลนึกถึงเจ้าขวัญเข้าเรียมกลับใจหาย ขวัญเอ๋ย เรารักกันอยู่เมื่อวันวานนี้เองจะต้องจากกันเสียอีกในชั่ววันนี้

ที่ริมคลองต้นลำกระโดง น้ำกำลังไหลลงเชี่ยว ลดลงจนบางแห่งเห็นท้องลำกระโดงเขินเลน เจ้าขวัญนั่งกอดเข่ามองดูสายน้ำลด ข้างหลังมีกอแขมและสะโหนขึ้นบังพอได้ร่ม มันเฝ้าคอย-คอยด้วยใจร้อนกระวนกระวายไม่เปนศุข เงาแดดที่มันเอามีดขีดไว้เลยไปแล้ว ๓ ขีด น้ำก็แห้งลดตลิ่งลงจนเห็นกอเข้าในน้ำ เห็นปลาเล็กเปนฝูงๆ ก็กำลังว่ายหนีลงน้ำลึก

แดดเลื่อนไปอีก, ลมโกรกทุ่งมาแต่นาเหนือโน้นกระทบฝักสะโหนแห้งข้างหลังแกรกกรากแล้วผ่านลงท้องน้ำเปนระลอกเล็กยิบๆ นกกาบินโฉบผ่านไปมา ร้องเสียงขรมและวนอยู่รอบๆ บริเวณใกล้ที่เจ้าขวัญนั่ง เสียงจ๋อมๆมาทางด้านหลังเจ้าขวัญจึงเหลียวดู

“พี่ขวัญ” เจ้ารอดซึ่งพายเรือเลียบตลิ่งใกล้เข้ามา ร้องเรียกหน้าตาล่อกแล่ก ‘เกิดความเสียแล้ว พวกบางกอกเขามาตามตัวพี่เรียมให้กลับในเย็นนี่และ พี่เรียมเก็บเข้าของเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อเพนจะมาก็ไม่ได้ ข้างฉันพ่อแกบังคับให้ช่วยพี่เรียมเก็บของพอเสร็จว่าจะมาพ่อก็รั้งไว้ ให้พวกบางกอกใช้อีก นี่เขาพากันไปเที่ยวทางเหนือลำกระโดงนู้นฉันก็เลยเลี่ยงมา” เจ้ารอดเล่าเร็วปร๋อชี้มือชี้ไม้ไปทางลำกระโดง

เจ้าขวัญตัวเบาใจหวิว ย้อนคิดถึงอกของมันที่ทุกข์ยากเมื่อ ๓ ปีมาก่อน เมื่อ ๓ ปีมานี่เองมันต้องกินน้ำตาแทบ​ไม่เว้นวันเพราะเจ้าเรียมไปอยู่บางกอก แลนี่เจ้าเรียมก็จะไปอยู่บางกอกอีก เออ_อกกูใครจะรู้มั่งว่าอกกูจะเปนยังไง

“แล้วเจ้าเรียมอยู่ที่โรงนาหรืออยู่ที่ไหนว๊ะอ้ายรอด เออ_เอ็งรีบกลับไปดูทีเถอะถ้าหากเจ้าเรียมอยู่แล้วบอกให้มันรีบมาหาข้าที่นี่สักหน่อยเร็วๆเข้า”

เจ้ารอดสั่นหน้า “พี่เรียมไม่อยู่ในโรงหรอกพี่ขวัญ ผู้ชายบางกอกเขาชวนเดินเล่นไปทางนาเหนือโน่น”

“แล้วอ้ายเริญมันอยู่ที่ไหน?”

“เดินอยู่กะพี่แฉ่งที่ลานนวดเมื่อครู่นี่เอง เห็นเขาพูดว่าจะไปตามพี่เรียม” แล้วเจ้ารอดมองไปทางโรงนาของมัน “เอ- พี่ขวัญ ฉันเห็นจะตองกลับทีละ เดี๋ยวพ่อแกเรียกหาก็จะเกิดความอีก”

“เออ” เจ้าขวัญพยักรับคำด้วยจำใจ เจ้ารอดเองก็แสนสงสารมันแทบไม่อาจกลั้นน้ำตา

เจ้ารอดพายเรือลับไปสักครู่ เจ้าขวัญอาภัพก็ยืนเบิ่งป้องหน้าออกกลางทุ่ง คล้ายจะตรวจค้นสิ่งที่มันต้องการอย่างละเอียด

เรียมเอ๋ย เจ้าจะกลับบางกอกเสียแล้ว อ้ายหนุ่มบางกอกกำลังจะพาเจ้าไปเที่ยวชมทุ่งชมนาและอีกครู่หนึ่งมันก็จะพรากเจ้าให้จากพี่ไป ใจหาย_เรียม พี่ใจหายนัก เมื่อวันวานเรายังเล่นน้ำอยู่ด้วยกันแสนสบายเปนศุขแท้ เมื่อมองค้นตามทุ่งโล่งไม่พบ เจ้าขวัญก็หันเข้าพึ่งลำน้ำซึ่งกำลังไหลลงเปนเกลียว มันคิดว่าจะเปนตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องขอพบหน้าเจ้าเรียมก่อนที่จะกลับบางกอกให้ได้ คำบอกเล่าของเจ้ารอดเมื่อครู่นี้ทำให้เจ้าขวัญนึกไปว่า พวกบางกอกเอาอำนาจเข้าบังคับคนรักของมัน เออ_เรียม. พี่ก็ได้ลั่นปากไว้แล้วว่าพี่จะต้องเปนผีเสียก่อน มันจึงจะขืนใจเจ้าไปจากพี่ได้ เรียมเอ๋ย-พี่ไม่ยอม พี่ยอมมันไม่ได้เปนแท้ พี่เกิดมาบางกะปิ จากต้นน้ำถึงปลายน้ำโน้น ทุ่งนี้สุดทุ่งโน้นทุกๆ แห่งมีฝ่าตีนอ้ายขวัญเหยียบมาแล้ว จะยอมให้ใครมาลบหน้าไม่ได้เปนอันขาด

มันถอดมีดที่ปักไว้ข้างตัวผลุนผลันลงคลองดำเพียงอึดใจเดียว ก็เข้าเนื้อนาตาเรือง หัวใจสบถสาบาลด้วยความแค้นไปตลอดทาง

​สงัดกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มากับสมชายแบกปืนยาวไปทางสุดนาใกล้ทางรถ ปล่อยให้สมชายกับเรียมนั่งคลอคู่กันอยู่ทางลำกระโดง หัวใจของหนุ่มสาวกำลังแยกแย้งคิดไปคนละทาง ธรรมชาติของท้องทุ่งท้องนารอบทิศ และลำกระโดงขวางหน้า ทำให้สมชายมีจิตร์เคลิ้มไปในความรัก เขาขอความรักด้วยคำวิงวอนเพราะหูหน้าเห็นอกเห็นใจ อ้อนวอนให้เรียมกลับเสียในวันนี้ เรียมเล่า แม้จะไม่รับปากเอออวยในความรักของสมชาย แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ ความคิดของเธออยู่กึ่งกลางจะไปจะอยู่เท่ากัน แต่เมื่อนึกถึงเจ้าขวัญเธอก็น้ำตาไหลออกมาต่อหน้าคุณสมชาย ท้องน้ำเมื่อวันวานช่วงแขนของเจ้าขวัญที่อ้อมพาเธอว่ายแหวกขึ้นล่องตามสายน้ำยังติดหูติดตา และก็เมื่อคืนนี้เล่า ตรงนี้เอง_ตรงที่เธอกับคุณสมชายนั่งอยู่นี่เอง ทั้งเธอและเจ้าขวัญกำลังพร่ำพรอดกอดกันหลงรักหลงปลื้มโดยหานึกไม่ว่ารุ่งขึ้นคือวันนี้จะเปนวันจากพรากกันอีก.

เรียมสองจิตร์สองใจที่จะเล่าความจริงให้สมชายทราบอยู่แล้วว่า เธอไม่สามารถจะจากบางกะปิไปอีกได้เพราะเหตุอะไร แต่อะไรบังคับหล่อนไม่ให้บอกเขา น่าจะเปนความหวังดีอันแท้จริงของสมชายที่มีต่อหล่อน และเมื่อบอกให้ทราบแล้วเธอก็สุดสงสารที่จะต้องเห็นหนุ่มผู้ดีหน้าตาหมดจดต้องนั่งร้องไห้หรือไม่ก็ชี้หน้าเธอว่า เปนหญิงหลายใจนั่นเอง

เจ้าแฉ่งกับเจ้าเริญตะโกนเสียงลอยจากอันนาใกลไปทางหลัง ทำท่าทางบุ้ยใบ้เหมือนเกิดเหตุอะไรจนเรียมตกใจ จิตร์ประวัติไปว่า เจ้าขวัญหนุ่มที่เก้อคอยคงจะเข้าอาละวาดในโรงนาเธอแล้วเปนแน่ในเมื่อทราบความจริง ทั้งสองลุกตลี่ตลานออกเดินมั่งวิ่งมั่งอย่างรีบร้อนเมื่อถึงที่เจ้าเริญกับเจ้าแฉ่งยืนอยู่ เจ้าเริญก็พูดขึ้นแทบฟังไม่ทัน

“ฉิบหายละนายเรือไฟลำที่จอดอยู่หน้ากะใดจมน้ำไปแล้ว เครื่องเรือก็หักโยนมาบนตลิ่ง ท้องเรือทะลุน้ำเข้าอู้จนเต็มลำแล้วก็จมเลย”

​สมชายตลึง เรียมยิ่งตลึงกว่าสมชายอิกหลายส่วน จะใครเสียอีกนอกจากอ้ายเจ้าน้ำเจ้าทุ่งของฉัน เออ ถอนใจคิดอยู่คนเดียว นี่จะยังไงกันต่อไปอีกเล่า ถ้าพี่ขวัญพบกำลังนี้หรือขณะหน้าก็คงได้วินาสไปตามกัน ก่อนอื่นเธอก็นึกถึงปืน คุณสมชายพกปืนอยู่เสมอเวลามาบางกะปิ แต่เจ้าขวัญตัวคนเดียวมีดเล่มเดียว

เจ้าแฉ่งเปนคนกู่เรียกพวกที่ไปยิงนกให้กลับมาร่วมสมทบกันเปนหกคน แล้วก็ออกเดินอย่างเร่งรีบจนถึงโรงนา เห็นตาเรืองกับเจ้ารอดกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ทั้งคู่

สมชายกับเพื่อนเปนเดือดเปนแค้นเมื่อฟังคำจากเจ้าเริญเจ้าแฉ่งบอกเล่า ก็สบถสาบาลว่าจะต้องยิงอ้ายขวัญให้ได้เพราะข่มเหงกันมากนัก ข้างเรียมก็ใจหวั่นภาวนาขอให้เจ้าขวัญรีบหลบไปเสีย เธอกำลังตื่นตกใจจนพูดจาอะไรไม่ถูก สมชายจึงชวนเพื่อนอีก ๒ คนทั้งเจ้าแฉ่งเจ้าเริญเปน ๕ คนด้วยกันออกเดินเลียบตามฝั่งคลองเพื่อหาคนร้ายตามคำแนะนำของเจ้าเริญ

เรียมกวักมือเจ้ารอดเข้ามาสั่งเสียละล่ำละลัก

“รอด เองรีบไปทางลำกระโดงโน้นเร็วทีเดียว ถ้าพบพี่ขวัญให้เขารีบหนีเอาชีวิตร์รอดเสียเถิด ส่วนข้าจะตามพวกนี้ไปเผื่อจะช่วยห้ามปรามเขาไว้บ้าง”

เจ้ารอดฟังเข้าใจความดีแล้วก็ปราดออกหลังโรงนาวิ่งตื๋อตัดทุ่งไปโดยด่วน เรียมก็รีบจ้ำจนทันกับพวกเหล่านั้นที่ชายฝั่งไกล้ต้นจะเข้าลำกระโดง

เย็นลงทุกๆที ท้องนากำลังแดดร่มลมพัดสบาย น้ำในคลองก็ย้อนไหลขึ้น น้ำกำลังขึ้นท่วมฟากเต็มฝั่ง ลมทุ่งพัดแรงจัดกว่าทุกวัน กอเข้าที่เพิ่งหว่านขึ้นใหม่ตามริมน้ำชูยอดเขียวบ้างก็น้ำท่วมยอด ทั้งเข้าทั้งแขมเปนรอยถูกย่ำเหยียบแหลกราญหมด

เจ้าขวัญ เจ้าหนุ่มปลายน้ำซึ่งหมอบซุ่มอยู่ในดงสะโหนด้วยหัวใจพลุ่งพล่านดุร้าย เมื่อมันไปถึงท่าน้ำแล้วไม่เห็นใครอีกเลยนอกจากเรือเครื่องติดท้ายที่จอดคอยจะพลากเจ้าเรียมของมันไป เจ้าขวัญจึงย่องขึ้น​บนโรงนาหวังจะพบปะหาไม่ก็จะพาเจ้าเรียมหนีเตลิดไปเสียก่อน เมื่อไม่พบใครก็คว้าชะแลงเหล็กในโรงนากะทุ้งเรือเสียจนทะลุแล้วงัดเครื่องติดท้ายโยนขึ้นไปบนฝั่ง เมื่อออกจากนั่นก็ลงน้ำดำกลับ เลี้ยวเข้าลำกระโดงค่อยแฝงกายไปตามกอแขมริมฝั่ง และลอยคอฟังคำสนทนาฝากรักระหว่างสมชายกับเรียมซึ่งมันได้ยินเพียงครึ่งๆ กลางๆ

มันแสนแค้น แค้นเพราะเข้าใจผิดว่าเจ้าเรียมกำลังจะทิ้งมันไปอยู่บางกอก อีเรียมกำลังจะคิดชั่วหลายใจ ทั้งรักทั้งแค้นทำให้มันปลงตกตัดสินลงไปว่า วันนี้เปนวันตายของกู วันตายของอ้ายขวัญลูกปลายน้ำ อีเรียมกำลังหลงอ้ายหนุ่มรูปสวยคนบางกอก แต่ที่อ้ายขวัญจะตายคนเดียวและปล่อยให้มันอยู่กันลอยๆ นวลน่ะเมินเสียชาติ

มันหมอบคุมเชิงตาสอดส่ายอยู่ตลอดเวลามือกำมีดสั่นระริก ใจไม่คิดเปนอื่นอีกนอกจากอำลาพ่อและทุ่งหญ้านาเขียวแล้วก็รอเวลาที่เจ้าพวกนั้นจะติดตามมาจับตัวมัน

สมชายถือปืนพกนำหน้าคนอื่นๆ ตามมาเปนกลุ่มสำหรับเจ้าแฉ่งเจ้าเริญและเจ้าเรียมที่รู้จักอ้ายขวัญดีใจคอหวาดไหวแต่คนบางกอกไม่รู้จักไม่กลัว และเชื่ออำนาจปืนมากกว่า เดินช่วยกันมองหาและแหวกกอแขมกอเข้าตามตลิ่งตลอดมากระทั่งถึงดงสะโหน

เจ้าเรียมรู้ดีกว่าเพื่อนว่าเจ้าขวัญเคยซุ่มซ่อนอยู่ที่ไหน หนไหนเคยเปนที่กำบังของมันมั่งเมื่อมาคอยเธอ

สายตากวาดไปในดงสะโหนแล้วก็เซถอยหลังยกมือปิดหน้าร้องไห้

“พี่ขวัญ”

ทุกคนตกใจ ถอยหลังชงักมาหลายก้าวเหลียวช้ายแลขวาระวังตัวกันเต็มที เจ้าเริญเจ้าแฉ่งตัวสั่นเทา มองตามทางที่เรียมหันหน้าเรียก

สมชายกับสงัดยกปืนขึ้งเล็ง

“ออกมาให้จับเดี๋ยวนี้ดีๆ” สมชายตะโกนเสียงยังสั่นๆ

อ้ายขวัญก้าวสวบๆออกจากดงสะโหนมือกุมมีดมั่น สมและเพื่อนทุกคนลดปืนตลึงตใลสง่าราศีมันสมเปนชายชาตรีทุกกระเบียดนิ้ว ยืนจ้อง​สมชายกับพวกเหมือนวัวเปลี่ยวเบิ่งเขา

มันเดินใกล้เข้ามาและหยุดตรงหน้าห่างจากพวกนั้นเพียง ๗-๘ ก้าว

“เรียม-เรียมเอ๋ย”

“โธ่_พี่ขวัญ”

“เจ้าอย่าลวงพี่เลย เรียม ใจเจ้าเปนของอ้ายคนบางกอกหมดแล้ว” มันพูดฝืนแค้น ถอนสอื้นฮึดจนเรียมร้องไห้โฮใหญ่ในความเข้าใจผิดของมัน เปนเหตุให้สมชายกับพวกเข้าใจว่ามันดูถูกเรียม

“อยุดปากเดี๋ยวนี้___” แล้วสมชายก็ยกปืนเล็งมายังเจ้าขวัญ เรียมร้องวี๊ดใหญ่และขณะนั้นเจ้ารอดซึ่งวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าก็มาถึงและกระโดดกอดคอจะแย่งปืน สมชายตกใจจึงสบัดเจ้ารอดกลิ้งลงมาพอมันลุกขึ้นก็ถูกสงัดซึ่งไม่รู้ว่าใครเปนใครชกเจ้ารอดเข้ากรวบใหญ่ลงแผ่ดิน

“มึงต่อยเด็ก มึงต่อยอ้ายรอดน้องกู มึงข่มเหงคนบ้านทุ่ง_อ้ายรอดมึงคอยดูพี่” เจ้าขวัญตะโกนก้องทุ่งด้วยความแค้นเหลือที่จะดูได้ เพราะอ้ายรอดน้องเจ้าเรียมมีน้ำใจดีต่อมัน อ้ายรอดเอ๋ยกูจะลาทุ่งบางกะปิแล้วเพราะมึงและเพราะพี่มึง

อ้ายเจ้าทุ่งวิ่งปราดเดียวถึงตัว แทงสงัดด้วยหัวใจบ้าปิ่นมุทะลุจนสงัดล้มลง เจ้าแฉ่งเมื่อเห็นว่าจะหลบไม่พ้นแน่ๆก็จำเปนหันเข้าสู้ ไม่ทันได้ฟันก็ถูกอ้ายลูกปลายน้ำรุกเข้าชิดตัวจ้ำเสีย ๒-๓ แผลจนพับไปอีกหนึ่งคนเจ้าเริญถอยออกยืนห่างแอบหลังเจ้าเรียมน้องสาว สมชายจะยิงก็ไม่ถนัดเพราะเกรงว่าจะถูกพวกกันเองได้แต่คอยหลบหลีกมิให้เจ้าขวัญเข้าชิดตัวได้ มันกำลังเปนบ้า บ้ารักบ้าเลือด เห็นหน้าเจ้าเรียมแล้วทั้งรักทั้งแค้น

พอเจ้าขวัญมุ่งเข้าใส่เจ้าเริญ สมชายก็เข้าใจว่ามันจะเข้าทำร้ายเรียม ทั้งเห็นว่าเจ้าวัวเปลี่ยวแทงพวกล้มลงไปแล้วถึงสองคน จะเอาไว้อีกต่อไปไม่ได้จึงวิ่งออกสกัดหน้า พอเจ้าขวัญกวดเจ้าเริญผ่านมา สมชายก็ยิงสวนขึ้น ๒-๓ นัด ติดๆ กัน.

มันล้มฮวบใหญ่ พยายามจะลุกขึ้นแต่แล้วก็ล้มลงอีก เลือดไหลปรี่ที่ชายโครงและเหนือทรวงอก

​“เรียม_เรียมของพี่เอ๋ย,” มันกุมแผลร้องเรียกเจ้าเรียมซึ่งกำลังตกตลึง “พี่คงตายแน่_ตาย_ตาย พี่ต้องตายเพราะรักเจ้าคนเดียว มานี่เถิด, มาจำหน้าพี่ไว้” มันทิ้งมีดลงข้างตัวกวักมือไปทางเรียม เธอผวาเข้าหามัน หวังจะช้อนศีร์ษะมัน แต่เจ้าขวัญยกมือห้าม “อย่าต้องตัวพี่เลยเรียม_พี่กำลังจะสั่งเจ้าไปถึงพ่อแก_บอกพ่อแกว่าพี่จะลาไปก่อน-ยัง พี่ยังไม่ตาย, ที่นี่ไม่ใช่ที่ตายของเรา. โอ๋เรียม_เจ้าฆ่าพี่แท้-เจ้าฆ่าผัว_เรียมเอ๋ยเจ้าฆ่าผัวของเจ้าด้วยมือคนอื่น – พี่รักเจ้าด้วยใจซื่อ แผลเก่าของพี่เปนแผลรัก แผลรอ_เรียมเอ๋ย อีเรียม_อีเรียมแผลใหม่นี้เปนแผลจากของกูเพราะมึงชัง” มันอยุดพูดฝืนมานะด้วยใจทรหดอดทน ลุกชันเข่าหยิบมีดเดินโซซัดโซเซ.

เรียมตกใจถึงที่สุด เธอร้องไห้พร่ำเรียกชื่อมันไม่ขาดปาก พี่ขวัญ_พี่ขวัญตายแล้ว_ผัวฉันตายแล้ว_โอ้ ผัวฉัน

อ้ายขวัญคลานอย่างกะปรกกะเปรี้ยจนถึงฝั่งคลอง มันฝืนความเจ็บปวดด้วยความบึกบึนของหัวใจ กว่าจะทรงตัวได้ก็เซไปหลายก้าว.

“เรียมเอ๋ย-ท้องน้ำนี้_ลำน้ำนี้ของเรา-ลำน้ำรักหนาเจ้าเรียม-แต่มันจะเปนเรือนตายของพี่_เจ้าอยู่ดีเถิด”

ขาดคำอ้ายเสือลำน้ำ อ้าหนุ่มเจ้าทุ่งเจ้าท่าผู้กึกก้องด้วยอภินิหารของชายชาตรีก็บ่ายหน้าโผนลงน้ำ มันตั้งใจที่จะว่ายขึ้นฝั่งโน้น_แต่มันถูกยิงแผลฉกรรจ์ไปอีกไม่ไหว_กระเดือก_กระเดือกจนถึงฝั่งที่มันเคยกกกอดเจ้าเรียมเมื่อวันรัก ๓ ปีโน้น พยายามตะเกียกตะกายเพื่อขึ้นฝั่งไปตายหน้าศาล_ศาลอันศักดิ์สิทธิ์ของบางกะปิ แต่แล้วอ้ายขวัญก็อ่อนแรง_หมดแรงด้วยพิศม์ปืนกำเริบลื่นไถลตลิ่งลงมา มันปักมีดลงชายตลิ่งเพื่อหาหลักยึด แต่ตัวมันหนักกว่าดินข้างตลิ่งจึงพังลง ตัวก็ลื่นไถลลงน้ำ อ้ายเสือน้ำกำลังจะขาดใจตายในน่านน้ำของมัน ท่วม_น้ำท่วมท้นขึ้นตามที่มันไถลตัวลึกลงทุกที

ทุกๆคนวิ่งเกรียวมาดูเมื่อได้สติและช่วยกันยุดแขนเรียมไว้หาไม่หล่อนจะต้องโผนลงน้ำไปตายอีกคนหนึ่ง เธอดิ้นรนอยากจะขาดใจตายเสียเดี๋ยวนั้นผัวเธอ_อ้ายขวัญเจ้าทุ่งผัวเธอกำลังจะขาดใจในน้ำหลากต่อหน้าต่อตา

​ร่างมันไถลลงน้ำลึก ลึกจนกระทั่งมิดหัวพรายน้ขึ้น 1พรั้งๆ สำแดงว่ามันกำลังตะเบ็งร้องเรียกชื่อเจ้าเรียมอย่างเต็มที่เปนครั้งสุดท้ายเห็นอยู่แต่มือ​กำมีดแกว่งช้าลง จมลง จนมิดเห็นเพียงใบมีด แล้วใบมีดก็ลับตา พรายน้ำขึ้นอีกพลุ่งใหญ่แล้วนิ่งเงียบเชียบ อ้ายเจ้าทุ่งลาโลกไปแล้วลาบางกะปิบ้านเกิดเมืองนอน ลาเมียรักไปด้วยความแค้นเข้าใจผิด

ตะวันตกดิน คล้ายจะไว้อาลัยและเคารพในวิญญาณอ้ายเจ้าทุ่งที่หลับสงบอยู่ใต้น้ำ เรียมร้องกรีดใหญ่เต็มเสียง ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วในโลกนี้ ทุ่งนี้น้ำนี้ นับวันแต่จะเงียบเหงาเยือกเย็น พี่ขวัญผัวรักเจ้าตายไปแล้วต่อหน้าต่อตา เรียมสลัดแขนโดยแรงขณะที่สมชายกับเจ้าเริญผู้ยึดแขนกำลังตลึงและสลดใจในกิริยาตายของเจ้าขวัญ ดอกได้ก็โผนลงน้ำว่ายอย่างปราดเปรียว แล้วดำหายลงวังน้ำซึ่งผัวรักเจ้าพึ่งสงบไปเมื่อสักครู่ ทันใดนั้นพรายก็พ่นพลุ่งขึ้นเปนสีโลหิตแดงฉานทั่วผิวน้ำ

สมชาย เจ้าเริญกับเพื่อนสมชายอีกคนต่างตกตลึงตาโพลง สมชายมีสติก่อน จึงกระโจนลงคลองแล้วคนอื่นๆก็กระโจนตาม ภายหลังปรากฎว่าเรียมดำน้ำลงไปโดยแรงและรวดเร็ว ปลายมีดซึ่งเจ้าขวัญยังกำอยู่แน่นเมื่อตายสวนคอแทบมิดใบมีด แล้วเธอก็กอดคออ้ายขวัญหนุ่มลูกบ้านทุ่งขาดใจตายอยู่ใต้พื้นน้ำแทบตลิ่งรักของเจ้าทั้งสองเมื่อ ๓ ปีโน้น

วิญญาณรักทั้งสองดวงของแม่เรียมและนายขวัญคงขึ้นล่องและดำผุดดำว่ายอยู่ทุกฤดูน้ำหลากกันอย่างแสนสำราญ สถิตย์เสถียรเปนเจ้าแม่แห่งความรัก เจ้าพ่อแห่งลำน้ำทุ่งท่าบางกะปิอยู่ตลอดกาลนาน

จบ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.156 seconds with 16 queries.