Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 May 2024, 19:41:21

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,700 Posts in 12,500 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  วิถีสู่ชีวิตแห่งความพอเพียง  |  ศิลปะและวัฒนธรรมทางเลือก  |  นางมณโฑนมโตข้างเดียว (ramakien.wordpress.com)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นางมณโฑนมโตข้างเดียว (ramakien.wordpress.com)  (Read 168 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,553


View Profile
« on: 01 March 2022, 09:08:21 »

นางมณโฑนมโตข้างเดียว


https://ramakien.wordpress.com/tag/นางมณโฑนมโตข้างเดียว/



นางมณโฑนมโตข้างเดียว
ตอนที่ 12 กำเนิดนางมณโฑ(นมโตข้างเดียว)




3 พ.ค. 2017


นางมณโฑ


ในป่าหิมพานต์มีฤาษีผู้มีตบะญาณแก่กล้า 4 คนปลูกอาศรมอยู่ติดกัน ได้แก่ “พระอตันตา” “พระวชิรามุนี” “พระวิสูต” และ “พระมหาโรมสิงค์” ปักหลักใช้ผืนป่าหิมพานต์เป็นที่บำเพ็ญภาวนามากว่าสามหมื่นปี ท่านเลี้ยงแม่โคนมปล่อยให้เที่ยวกินหญ้าอยู่ในป่าหิมพานต์นั้นนับได้ถึง 500 ตัว  ในทุกๆ เช้าแม่โคทั้งหมดจะเดินกลับมาบริเวณอาศรมแล้วหยดนมลงไว้ในอ่างหนึ่งจนเต็ม เป็นอย่างนี้ทุกวัน เมื่อถึงเวลาฉันอาหาร พระฤาษีทั้งสี่ก็จะมานั่งแรงรายรอบอ่างและฉันนมนั้นเป็นนิตย์ ใกล้ๆ อ่างนมนั้นมีนางกบอาศัยอยู่ตัวหนึ่ง นางกบจึงได้รับทานอานิสงค์จากพระฤาษี โดยดาบสนั้นแบ่งนมนั้นให้นางกบเป็นอาหารดำรงชีพเรื่อยมา

วันนี้ก็เป็นดังเช่นทุกๆ วันที่ผ่านมา พระดาบสทั้งสี่ก็มานั่งประชุมฉันน้ำนมจากอ่างนั้น และแบ่งให้นางกบได้ดื่มจนอิ่มหนำ เสร็จแล้วก็คว้าคานหาบเดินเข้าป่าไป

นางนาคีธิดาองค์หนึ่งของพญากาลนาคราชอาศัยอยู่เมืองบาดาล ด้วยวัยสาวแรกเริ่มมีกำหนัด ประหวัดประวิงรัญจวนป่วนกายา กินอยู่ไม่เป็นสุขให้รำลึกถึงแต่รสรักแรงราคะยิ่งนัก อยู่บาดาลด้วยความร้อนรนดุจโดนเผาอยู่กลางไฟ อดทนผ่อนปรนอะไรมิได้ ก็แผลงฤทธิ์แทรกกายขึ้นมาจากเมืองบาดาล หวังพึ่งเชยกายชายชาติเพื่อผ่อนคลายกำหนัดราคะที่รุมเร้าเผารุมจิตใจมานานวัน หากคิดว่าจะได้เริงรื่นชื่นสวาทให้ชายชู้เชยชมสมใจ จะเป็นมนุษไพร่ฟ้าเทวาหน้าไหนก็ยินดี

ครั้นแทรกกายขึ้นมาถึงหาดริมทะเลใหญ่ก็แอบอยู่มิให้ผู้ใดเห็นแล้วพลันร่ายมนตราแปลงกายเป็นสาวสวยนวยนาด เดินสะโอดสะองค์ สืบเสาะหาบุรุษเพศตามริมหาดทรายนั้นเรื่อยไป แต่กลับมิได้เห็นเงาแม้มนุษย์หรือเทวา ว้าวุ่นขุ่นหมองหัวใจยิ่งนัก อยากจะร่วมรสเริงรักก็มิสมใจให้มีอาการหงุดหงิดขัดขืนในหัวใจ  หางตาก็ปรายเหลือบไปมองพบงูดินเพศผู้อยู่ตัวหนึ่ง ถึงมิได้ถือชาติเป็นมนุษย์หรือเทดา แต่ว่าก็ถือเพศบุรุษอันจะช่วยคลายร้อนผ่อนไฟสวาทที่กลางกายให้บรรเทาเบาลงได้บ้าง พลันก็กลับกลายเป็นรูปนาคเลื้อยอย่างว่องไว เข้าไปรวบรัดผัดเวียนเบียดกายสู่สมภิรมย์เริงรื่นชื่นสวาทกับงูดินเพศผู้ตัวนั้น  เกี้ยวกระหวัดพัลวันพันกาย เร่าร้อนปล่อยให้ไฟแห่งราคะเผาไหม้ ลุกลามโชติช่วงอยู่ริมทางกลางป่าพนาวัน ชมชิมลิ้มรสชาติเชยชู้สมสู่สมใจปรารถนา

เมื่อพระดาบสทั้งสี่เดินผ่านมามองเห็นนางนาคี กำลังร่วมเริงเร้าเข้ากรีฑาท้ารบกลางสมรภูมิอย่างดุเดือดอยู่กับงูดินเช่นนั้นจึงหยุดดูอยู่นิ่งๆ เสียครู่หนึ่ง ในจิตก็คิดประวิงอยู่ว่าเหตุใดหนาถือชาติกำเนิดมาเป็นนาคินทร์ ถึงได้ถวิลหามาร่วมรักเริงสวาทกับงูดินอันมีพงศ์วงศ์วารที่ต่ำต้อยด้อยกว่าอยู่ริมทางกลางป่าดังนี้ มิได้อายฟ้าดินเกรงกลัวเสื่อมยศเสียเกียรติไปถึงวงศาคณาญาติผู้ดำรงวงศ์พญานาคแห่งบาดาลหรืออย่างไร ว่าแล้วจึงเอาไม้เท้านั้นสะกิดที่ขนดปลายหางของนางนาค เพื่อให้นางได้รู้สึกตน แต่นางกลับมิได้รู้สึกระวังตนละวางกิจการละเลงกามานั้นไม่ ยังคงเลื้อยเอี้ยวเลี้ยวรัดประหวัดประวิง อิงแอบแนบเนื้อ อยู่อย่างแสนกระสันไม่ทันระวังกายอยู่ต่อไป  ฤาษีจึงเอาไม้เท้านั้นเคาะไปที่กลางกายอีกทีหนึ่ง นางถึงได้รู้สึกตัวกลับออกจากความลุ่มหลงรสสวาทนั้นได้

เมื่อเหลือบเห็นหน้าดาบสทั้งสี่ก้รู้สึกอับอาย เป็นทวีผินกายแหรกพื้นดินหลบหนีกลับไปยังเมืองบาดาลทันที เมื่อฤาษีเห็นนางจากไปแล้วก็ไม่ได้สนใจจึงเดินทางกลับมายังอาศรมของตน

นางนาคีเมื่อกลับไปถึงบาดาล ก็ยังคิดแค้นแสนอับอายต่อการกระทำของตนอยู่ ที่พระฤาษีนั้นได้มาพบเห็น กลายเป็นเหตุแห่งความรู้สึกอับอายฝังอยู่ในจิตใจ อีกทั้งยังเกรงอาญาหากว่าบิดาล่วงรู้การกระทำน่าละอายนี้ มีโทษถึ้งสิ้นชีวีเป็นแน่แท้ มีทางเดียวที่จะลดความอายขายหน้าแลป้องกันมิให้ผู้ใดล่วงรู้การนี้ คือต้องกำจัดพระดาบสทั้งสี่นี่ให้ตายตกเสียให้สิ้น จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีใครได้ล่วงรู้การอัปยศอดสูของตน จึงแทรกกายขึ้นไปยังอาศรมของพระฤาษี เห็นอ่างน้ำนมที่แม่โคหยดทิ้งไว้ วางอยู่ จึงรีบไปคายพิษพญานาคใส่ไว้ทันที แล้วรีบหนีกลับเมืองบาดาล

นางกบอยู่ในเหตุการณ์ เห็นนางนาคีปองร้ายคิดทำร้ายชีวิตผู้มีพระคุณ เห็นจะทำนิ่งอยู่เสียมิได้ ด้วยความกตัญญูรู้คุนต่อพระฤาษี นางกบตัวนี้จึงกระโจนลงในอ่างน้ำนมนั้น เสียชีวิตในทันทีด้วยพิษนาค ลอยล่องอยู่ในอ่างน้ำนม ด้วยเหตุเพื่อป้องกันมิให้พระฤาษีดื่มกินนมจากอ่างนั้น

ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ถึงเวลาฉันฤาษีทั้งสี่ก็มาประชุมเรียงรายกันที่อ่างน้ำนมดังเดิม แต่กลับพบว่าในอ่างนั้นมีนางกับตายลอยอยู่จึงมิได้ดื่มกินน้ำนมจากอ่างนั้น แถมยังรู้สึกรังเกียจมณฑก (กบ) แลคิดว่าอันกบนี้เป็นชาติเดียรัจฉานสันดานโลภอาหาร เพียงแบ่งออกมาให้ดื่มกินยังมิหนำใจ โดดไปหวังดื่มกินในอ่างจนจมน้ำนมถึงแก่ความตาย  จึงคิดจะชุบชีวิตให้ฟื้นคืนมาเพื่อซักถาม ว่าที่เลี้ยงดูให้กินอิ่มหนำไม่พอใจหรือย่างไร ใช่ว่าต้องอดอยากมาจากไหน ถ้าโลภกินนักจักปล่อยให้ตาย  แล้วเป่ามนต์ลงไปเมื่อนางกบนั้นฟื้นคืน เมื่อถูกพระดาบสกล่าวหาว่าโลภเห็นแก่กินจนถึงแก่ความตาย ดังนั้นจึงเล่าความจริงออกไปว่า ที่ตนสิ้นใจก็ด้วยพิษนางนาคา ที่มาคายลงอ่างนมนี้ประสงค์ทำลายชีวิตพระคุณเจ้านั้นต่างหาก  หาได้มีความโลภอาหารอย่างไม่ ด้วยบุญคุณท่านเลี้ยงมา จึงโดดลงอ่างน้ำนมจนตายท่านจะได้รังเกียจมิได้แตะต้องน้ำนมเจือพิษนาคีเหล่านี้

ฤาษีเห็นนางกบรู้จักบุญคุณจึงคิดชุบกายให้เป็นคนงามล้นเลิศลบภพไตร แล้วก็ตั้งพิธีกองกูณฑ์ โยนนางกบลงกองไฟร่ายพระเวทเกิดเป็นหญิงสาวสุดแสนงดงามมิมีนางสวรรค์ชั้นใดจะงดงามเทียบได้ แล้วตั้งชื่อให้ว่า “มณโฑ” แปลว่า นางผู้มีชาตกำเนิดมาจากกบ

(ตามบทชมความงามนางมณโฑ)

งามพักตร์ยิ่งชั้นมหาราช (ใบหน้านั้นงามกว่าทุกนางในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช)

งามวิลาสล้ำนางในดึงสา (ทรวดทรงนั้นงามกว่าทุกนางในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์)

งามเนตรยิ่งเนตรในยามา (ดวงตานั้นงามกว่าทุกนางในสวรรค์ชั้นยามา)

งามนาสิกล้ำในดุษฏี (จมูกนั้นงามกว่าทุกนางในสวรรค์ชั้นดุสิต)

งามโอษฐ์งามกรรณงามปราง (ทั้งปาก หู พวงแก้ม นั้นก็ช่างงดงาม)

ยิ่งนางในนิมาราศี (งามยิ่งกว่าทุกนางสวรรค์ในชั้นนิมมานรดี)

งามเกศยิ่งเกศกัลยาณี (เส้นผมนั้นงามกว่าทุกหญิงงาม)

อันมีในชั้นนิรมิต (ที่มีในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวตี)

ทั้งหกห้องฟ้าไม่หาได้  (ทั้งหกสวรรค์ชั้นฟ้าไม่มีใครงามเท่า)

ด้วยทรงลักษณ์วิไลไพจิตร (ด้วยลักษณะอันงดงามของนาง)

ใครเห็นเป็นที่เพ่งพิศ (ผู้ใดได้พบเห็นเป็นต้องหันมอง)

ทั้งไตรภพจบทิศไม่เทียมทัน ฯ  (ทั้งสามโลก สวรรค์ มนุษย์ บาดาล ทั่วทั้งสิบทิศ ก็มิมีใครงามเท่า)

เมื่อชุบชีวิตนางมณโฑเสร็จเรียบร้อยก็มาปรึกษากัน เพราะนางมณโฑนี้งดงามยิ่งนัก เหมาะแก่การนำไปถวายพระอิศวรเจ้า เพื่อมิให้เป็นที่ติฉินนินทาว่าดาบสอยู่ร่วมอาศรมด้วยสตรี จากนั้นจึงนางมณโฑเหาะไปยังเขาไกรลาศ แล้วถวายนางมณโฑให้เป็นนางรับใช้ปรนนิบัติ พระอิศวรจึงรับนางไว้ แล้วยกนางมณโฑให้เป็นนางกำนัลสาวสวรรค์ของพระอุมาเทวีพระชายา นางมณโฑรับใช้ใกล้ชิดพระอุมาเทวีจนเป็นที่ไว้ใจรักใคร่ของพระนางอย่างมาก  พระนางจึงโปรดเมตตาสอนมนต์ตราพิธีต่างๆ แก่นางมณโฑเป็นประจำด้วยความสนิทใจรักใคร่

ข้างฝั่งกรุงศรีอยุธยา ท้าวอัชบาลผู้ปราบอสุรพรหมครองกรุงศรีอยุธยาให้ร่มเย็นผาสุขเสมอมา ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับมเหสีชื่อ “นางเทพอัปสร” ต่อมาประสูติหน่อเนื้อกษัตริย์วงศ์พระนารายณ์ให้ออกนามกรว่า “ทศรถกุมาร” เฉลียวฉลาดกล้าหาญดุจราชบิดา เป็นที่รักใคร่ของพระมารดาดุจแก้วตาดวงใจ



นางมณโฑนอนกับทศกัณฐ์ในกรุงลงกา หนุมานลอบเข้าไปผูกผมขณะหลับ (จิตรกรรมฝาผนังระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม)
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย  “นางมณโฑนมโตข้างเดียว”


มูลเหตุของวลีติดปาก “มณโฑนมโตข้างเดียว” เป็นอันสืบเนื่องมาจาก ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้ว เรื่องรามเกียรติ์ตอนที่หนุมานลอบเข้ากรุงลงกา ย่องเข้าห้องนอนของทศกัณฐ์และนางมณโฑแล้วแกล้งเอาผมของทั้งสองมัดติดกันไว้ แต่ภาพเจ้ากรรมนี่เองที่ผู้วาดวาดให้หนึ่งมือในยี่สิบมือของทศกัณฐ์โอบกอดนางมณโฑ แล้วมือหนึ่งก็เค้นคลึงอยู่เพียงที่เต้าหนึ่งของนาง มิได้สัมผัสทั้งสองข้าง เป็นการพูดติดตลกของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมทท่านกล่าวไว้ว่า “ก็มือ ๒๐ มือของทศกัณฐ์นั้นตระโบมลงไปข้างเดียว แล้วทำไมจะไม่โต” จึงกล่าวกันติดปากไปว่า “นางมณโฑนมโตข้างเดียว” มาจนถึงทุกวันนี้

ที่มา :นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มีนาคม 2547



« Last Edit: 01 March 2022, 09:14:15 by ppsan » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.062 seconds with 17 queries.