Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
10 May 2024, 04:22:29

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,650 Posts in 12,467 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  เรื่องเล่าจากความทรงจำที่หาฟังยาก  |  เป็นประธานาธิบดีอเมริกาก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: เป็นประธานาธิบดีอเมริกาก็ใช่ว่าจะปลอดภัย  (Read 202 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,503


View Profile
« on: 25 December 2021, 00:24:19 »

เป็นประธานาธิบดีอเมริกาก็ใช่ว่าจะปลอดภัย


เป็นประธานาธิบดีอเมริกาก็ใช่ว่าจะปลอดภัย! ถูกยิงมาแล้วทั้งลินคอล์น เคนเนดี เรแกน คลินตัน!!
เผยแพร่: 22 พ.ย. 2564 14:35   ปรับปรุง: 22 พ.ย. 2564 14:35   โดย: โรม บุนนาค




สหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีมาแล้ว ๔๖ คน ตั้งแต่ ยอร์ช วอชิงตัน คนแรก จนถึง โจ ไบเดน คนปัจจุบัน แต่ประเทศประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่นี้ ก็ยังมีผู้เห็นต่างใช้วิธีลอบสังหารประธานาธิบดีหลายครั้ง ที่รู้กันดีทั่วไปก็คือการลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์นและเคนเนดี แต่ก็ยังมีประธานาธิบดีที่ถูกลอบสังหารแบบนี้ขณะอยู่ในตำแหน่งอีก ๒ คน และอีกหลายคนยังโชคดีที่แคล้วคราด หรือแค่บาดเจ็บ

ประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกลอบสังหารก็คือ อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ ๑๖ ขณะอยู่ในตำแหน่งได้ ๔ ปี ๑ เดือน ๔ วัน สาเหตุก็มาจากการเลิกทาส

หลังจากสงครามกลางเมืองยุติลงอย่างเป็นทางการในวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๐๘ ในวันที่ ๑๓ เมษายน ลินคอล์นได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะให้สิทธิเลือกตั้งกับอดีตทาสที่ถูกปลดปล่อยด้วย ทำให้ จอห์น วิลค์ส บูธ ผู้นิยมฝ่ายใต้ โกรธแค้นมาก ในวันที่ ๑๔ เมษายน ลินคอล์นกับภรรยาได้ไปดูละครที่โรงละครฟอร์ดที่อยู่ตรงข้ามบ้าน บูธ ซึ่งเป็นนักแสดงวัย ๒๖ ปีของโรงละครแห่งนี้ และชำนาญพื้นที่ในโรงละคร ได้เปิดประตูเข้าไปในที่นั่งพิเศษของประธานาธิบดี และใช้ปืนพกขนาด .๔๑ จ่อยิงที่ศีรษะด้านหลัง กระสุนเข้าฝังในกะโหลกหลังหูซ้าย หมอเห็นว่าถ้าจะนำประธานาธิบดีขึ้นรถม้าไปทำเนียบขาวก็จะเป็นอันตรายมากขึ้น จึงพาข้ามถนนไปที่บ้าน ลินคอล์นซึ่งถูกยิงในเวลา ๒๒.๑๕ น.ได้เสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น ๗.๒๒ น.

ส่วนบูธมือปืนได้ขี่ม้าไปหลบซ่อนอยู่ในรัฐเวอร์ยิเนีย ต่อมาในวันที่ ๑๖ เมษายนทหารก็เข้าล้อมยุ้งฉางที่เขาซ่อนอยู่ บูธปฏิเสธที่จะยอมมอบตัว ทหารจึงจุดไฟเผายุ้ง เมื่อบูธคลานหนีออกด้านหลังก็ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต และทำให้คนอีกหลายคนที่สมรู้ร่วมคิดและช่วยเหลือเขา พลอยถูกตัดสินประหารชีวิตและจำคุกตลอดชีวิตไปด้วย

ประธานาธิบดีที่ถูกสังหารโด่งดังสนั่นโลกอีกคน ก็คือ จอห์น ฟิตซ์เจอรัล เคนเนดี ที่เรียกกันสั้นๆว่า “เจเอฟเค” ประธานาธิบดีคนที่ ๓๕ ผู้เป็นหนุ่มรูปหล่อขวัญใจคนอเมริกันและคนทั่วโลก

เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ เจเอฟเค.พร้อมด้วยภรรยาคนสวย แจคเกอลีน ได้เดินทางไปที่เมืองดัลลัส รัฐเทคซัส เพื่อหาเสียงเตรียมการเลือกตั้งสมัยหน้า มีการจัดพาเหรดต้อนรับประธานาธิบดีจากสนามบินสู่ตัวเมือง ประธานาธิบดีกับภรรยาได้นั่งรถเปิดประทุน ๓ ตอนในช่วงที่ ๓ ผู้ว่าการรัฐเทคซัสกับภรรยานั่งในตอนที่ ๒ ส่วนด้านหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวนั่งข้างคนขับ ในเวลา ๑๒.๓๐ น.รถได้เลี้ยวเข้าถนนเอล์มซึ่งมีประชาชนมาต้อนรับอย่างล้นหลาม ก็มีกระสุนดังขึ้น ๓ นัด นัดแรกถูกที่คอประธานาธิบดีและยังถูกผู้ว่าการรัฐเทคซัสที่หลังอีกด้วย นัดที่สองถูกที่ศีรษะประธานาธิบดี แจกเกอลีนเห็นเศษกะโหลกชิ้นหนึ่งของสามีกระเด็นไปที่กระโปรงท้ายรถ เธอจึงปีนออกไปเก็บ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องวิ่งตามรถไปจับเธอไว้เพราะกลัวว่าจะตก เมื่อถึงโรงพยาบาลเธอได้นำกะโหลกชิ้นนี้ไปให้หมอช่วยต่อเพื่อให้สามีฟืนคืนชีพ แต่ประธานาธิบดีเคนเนดีได้เสียชีวิตในเวลา ๑๓.๐๐ น. จากกระสุนที่ยิงถูกศีรษะทำลายเนื้อสมอง

ก่อนหน้านั้นมีผู้เห็นคนยิงถือปืนอยู่ที่ชั้น ๖ ของตึกหลังหนึ่ง นึกว่าเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย และเมื่อตำรวจไปค้นที่ตึกหลังนั้นก็พบปลอกกระสุนปืนไรเฟิลที่ยิงแล้ว ๓ นัด และปืนไรเฟิล ๑ กระบอก ตรวจสอบพบลายนิ้วมือของ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ อดีตนาวิกโยธิน

ในเวลา ๑๓.๑๕ น.มีผู้แจ้งว่ามีชายคนหนึ่งเพิ่งยิงตำรวจตายและหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มผู้ชมในโรงภาพยนตร์เท็กซัส เมื่อตำรวจไปจับตัวได้ ก็ปรากฏว่าเป็นลี ออสวอลด์นั่นเอง ซึ่งถูกจับหลังจากลั่นกระสุนสังหารประธานาธิบดีเพียง ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที และยังไปยิงตำรวจตายอีก ๑ คน

ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ขณะที่ตำรวจกำลังคุมตัวนายลีจากสถานีตำรวจดัลลัสไปยังเรือนจำรัฐเทคซัส และมีการถ่ายทอดโทรทัศน์อยู่นั้น แจ็ค รูบี้ เจ้าของผับเล็กๆในเทคซัส ก็แหวกวงล้อมของนักข่าวเข้ายิงลี ออสวอลด์จนเสียชีวิต อ้างว่าโกรธแค้นที่สังหารประธานาธิบดีอันเป็นที่รักของเขา จากการสืบสวนพบว่า แจ็ก รูบี้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับองค์การมาเฟียอัล คาโปน และกำลังป่วยเป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย ต่อมาแจ็ก รูบี้ก็ฆ่าตัวตายระหว่างถูกคุมขัง จึงทำให้อเมริกันชนเชื่อกันว่า เขาถูกส่งมาให้ปิดปากลี ออสวอลด์ และตัวเขาก็ถูกปิดปากไปด้วย คดีสังหารประธานาธิบดีเคนเนดีจึงมืดค้างคาใจมาจนบัดนี้

ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีเคนเนดีจะถูกสังหาร ประธานาธิบดีอเมริกาก็ถูกสังหารขณะอยู่ในตำแหน่งมาแล้ว ๒ คน

ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๔๒๔ หลังจากที่ประธานาธิบดีลินคอล์นถูกสังหาร ๑๖ ปี ประธานาธิบดีเจมส์ การ์ฟิลด์ ประธานาธิบดีคนที่ ๒๐ ก็เป็นเหยื่อรายที่ ๒ ขณะที่อยู่ในตำแหน่งได้เพียง ๔ เดือน มือสังหารรายนี้เป็นนักการเมืองเก่า มีนามว่า จอห์น กีโต เคยเขียนสุนทรพจน์ให้ประธานาธิบดียูลิสซิส แกรนท์มาแล้ว แต่มีปัญหาทางจิตเลยต้องผิดหวังในทุกอย่าง ไม่มีพรรคพวกยอมติดต่อด้วย จึงต้องมีชีวิตอย่างซมซานยากแค้น ในที่สุดไปขอยืมเงินญาติมาซื้อปืน และติดตามหาประธานาธิบดีเจมส์ การ์ฟิลด์ซึ่งปฏิเสธการช่วยเหลือเขาเหมือนกัน ครั้งหนึ่งในเดือนมิถุนายนเขาไปดักรอประธานาธิบดีการ์ฟิลด์ที่สถานีรถไฟ จะเดินทางไปไปรีสอร์ทริมทะเลกับภรรยา กิโตรู้ว่าภรรยาของประธานาธิบดีสุขภาพไม่ดี เขาจึงไม่ลงมือในวันนั้น เพราะไม่อยากทำให้เธอเสียใจ

ต่อมากิโตได้อ่านข่าวว่าประธานาธิบดีจะเดินทางไปพักร้อน เขาจึงไปนอนรอที่สถานีรถไฟบัลติมอร์และโปรโตแมค ประธานาธิบดีมากับบุตรชาย รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีสงคราม แต่ไม่มีหน่วยรักษาความปลอดภัย กิโตก็เข้าไปขวางหน้าและยกปืน .๔๔ ขึ้นยิงประธานาธิบดี

การ์ฟิลด์ร้องว่า “พระเจ้า นี่อะไรล่ะ” แล้วยกแขนขึ้น กีโตยิงอีกครั้งทำให้ประธานาธิบดีล้มลง กิโตออกจากสถานีจะไปขึ้นแท็กซี่ที่รออยู่ แต่เกิดชนกับตำรวจที่วิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงปืนจึงจับเขาไว้ ประชาชนต่างรุมจะประชาทันฑ์ ตำรวจอีกหลายคนจึงเข้ามากันและพาเขาไปสถานีตำรวจ กิโตตะโกนด้วยความดีใจที่เขาทำได้สำเร็จ “อาเธอร์จะเป็นประธานาธิบดีแล้ว” เขาประกาศก้อง แต่ก็เชื่อกันว่า เชสเตอร์ เอ. อาเธอร์ ประธานาธิบดีคนต่อไปไม่ได้รู้เห็นกับเขา

กระสุนนัดแรกของกิโตถากไหล่ของเจมส์ การ์ฟิลด์ แต่นัดที่สองเข้าด้านหลังถูกกระดูกเอวและเส้นประสาทไขสันหลัง แพทย์พยายามเอาหัวกระสุนออกแต่ไม่สำเร็จ ทำให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เสียชีวิตในวันที่ ๑๙ กันยายน จากการติดเชื้อ

ประธานาธิบดีอีกคนที่ต้องพบชะตากรรมแบบนี้ ก็คือ วิลเลียม แมคคินลีย์ ประธานาธิบดีคนที่ ๒๕ เป็นคนที่ชอบพบปะกับผู้คนและไม่ชอบให้มีการรักษาความปลอดภัย ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๔๔๔ เมื่อเป็นประธานาธิบดีสมัย ๒ ได้ ๖ เดือน เขาไปร่วมงานนิทรรศการแพน-อเมริกัน ที่เมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ค ชายคนหนึ่งได้เข้ามาขอจับมือ แมคคินลีย์ก็ยื่นมือให้จับ แต่ชายคนนั้นกลับปัดมือประธานาธิบดี และใช้ปืนขนาด .๓๒ ที่เอาผ้าเช็ดหน้าพันปิดไว้ยิงเขา ๒ นัด นัดแรกถูกปุ่มเสื้อคลุมแฉลบไป นัดที่ ๒ ทะลุท้อง แพทย์ไม่สามารถเอาหัวกระสุนออกได้ จนเกิดเป็นแผลเน่าที่กระเพาะอาหาร และติดเชื้อเข้ากระแสเลือด นอนรักษาตัวอยู่ ๘ วันก็เสียชีวิตในวันที่ ๑๔ กันยายน

มือปืนรายนี้มีชื่อว่า ลีออน โคลกอสซ์ เป็นคนตกงานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และหันไปนิยมลัทธิอนาธิปไตยซึ่งต่อต้านอำนาจรัฐ และเชื่อว่าประธานาธิบดีแมคคินลีย์เป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ ได้ถูกลงโทษในสิ่งที่เขาก่อด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า

การเสียชีวิตของประธานาธิบดีแมคคินลีย์ ทำให้สถาคองเกรสได้ผ่านกฎหมายให้ตั้งข้อหากับหน่วยสืบราชการลับผู้มีหน้าที่ปกป้องประธานาธิบดี

นอกจากประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาจะต้องสังเวยชีวิตให้คนคิดต่างไปถึง ๔ คนแล้ว ยังมีประธานาธิบดีอีกหลายคนถูกลอบสังหาร แต่ก็ไม่ถึงตาย อย่าง

ในปี ๒๓๗๘ แอนดรูว์ แจ็คสัน ประธานาธิบดีคนที่ ๗ ของอเมริกาถูกบันทึกไว้เป็นคนแรก ในเดือนมกราคมของปีนั้นขณะที่ประธานาธิบดีแจคสันอยู่ที่หน้ารัฐสภา ก็มีมือปืนที่พกปืนมาถึง ๒ กระบอกบุกเข้ายิงเผาขน แต่ประธานาธิบดีแจคสันเป็นวีรบุรุษในสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ จึงใช้ไม้เท้าฟาดจนปืนทั้ง ๒ กระบอกยิงไม่ถูกเป้าแล้ว มือปืนยังถูกฟาดจนงอมและถูกจับ ปรากฏว่าเป็นช่างทาสี มือชื่อว่า ริชาร์ด ลอว์เรนซ์ แต่เขาก็ไม่ถูกดำเนินคดี เพราะมีอาการป่วยทางจิต ถูกส่งไปคุมขังในสถาบันทางจิตจนเสียชีวิตใน ๒๖ ปีต่อมา

ส่วนพระเอกเคาบอยฮอลลีวูดที่ได้เป็นประธานาธิบดี ก็โดนแบบปางตายเหมือนกัน ในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๔ ขณะที่ โรนัลด์ เรแกน ออกมาจากโรงแรมวอชิงตัน ฮิลตัน กำลังจะขึ้นรถลีมูซีน มีหน่วยรักษาความปลอดภัยแน่นหนา แต่ก็มีมือปืนสวมเสื้อกันฝนแหวกมาผลักเรแกนเข้าไปในรถแล้วยิง คนร้ายรัวทั้งหมดถึง ๖ นัดกว่าจะจับไว้ได้ นัดหนึ่งเข้าหัวนายเจมส์ เบรดี้ เลขานุการฝ่ายข่าวประจำทำเนียบขาว นัดที่ ๒ เข้าหลังตำรวจ นัดที่ ๓ ข้ามประธานาธิบดีไปโดนหน้าต่างโรงแรม นัดที่ ๔ ไปตุงที่ท้องเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ นัดที่ ๕ โดนกระจกรถกันกระสุน นัดที่ ๖ โดนด้านข้างของรถ แล้วแฉลบเข้าใต้แขนซ้ายของเรแกน โดนซี่โครงหัก และทะลุปอด ทำให้เลือดออกภายในอย่างรุนแรง ได้รับการผ่าตัดฉุกเฉินจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยยอร์ช วอชิงตันและรักษาจนหาย ออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่ ๑๑ เมษายน

ในรายการนี้ คนที่หนักที่สุดก็คือนายเจมส์ เบรดี้ที่โดนศีรษะ ทำให้สมองพิการอย่างถาวร และเสียชีวิตในปี ๒๕๕๗ ส่วน จอห์น ฮิงค์ลีย์ คนร้ายไม่มีความผิดไปอีกราย เพราะมีอาการป่วยทางจิต ถูกส่งเข้าคุมขังในสถาบันโรคจิต และถูกปล่อยตัวในเดือนกันยายน ๒๕๕๙

ประธานาธิบดีคนดังอีกคน ก็คือ บิลล์ คลินตัน เมื่อดังมากก็โดนมากหน่อย

นายแฟรงค์ ยูจีน คอร์เดอร์ ไม่รู้ว่าไปกินอะไรมาจึงเกิดหมั่นไส้คลินตัน บอกกับเพื่อนว่าจะลองสังหารประธานาธิบดีดูสักที ว่าแล้วในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๗ เขาก็ขโมยเครื่องบินเซสนาลำหนึ่งพุ่งเข้าชนทำเนียบขาว แต่ทว่านายแฟรงค์แกก็เป็นแค่คนขับรถบรรทุก ทั้งยังเสพสุราก่อนขับขี่เครื่องบินด้วย เลยขับไม่ข้ามต้นไม้ที่สนามหญ้าหน้าทำเนียบ ส่วนตัวคนขับก็นอนตายคาซากเครื่องบินโคนต้นไม้นั่นเอง

ในวันที่ ๒๙ เดือนต่อมา ก็มีนายฟรานซิสโก มาร์ติน ดูแรน ถือปืนไรเฟิลมีกระสุนถึง ๒๙ นัด ไปซุ่มอยู่หน้าทำเนียบขาว เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่สนามหญ้าก็คิดว่าประธานาธิบดีคลินตันยืนอยู่ด้วย จึงเล็งปืนเข้าไป แต่มีนักท่องเที่ยว ๓ คนเห็นเข้าจึงเข้าไปช่วยกันปล้ำจับ และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมาร่วมด้วย พบว่ามีจดหมายฆ่าตัวตายอยู่ในกระเป๋า แต่มือปืนรายนี้ไม่มีโอกาสฆ่าตัวตาย เพราะถูกตัดสินจำคุก ๔๐ ปี

ในปี ๒๕๓๙ ระหว่างไปเยือนฟอรัมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่กรุงมะนิลา ขบวนรถของคลินตันก็ถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยยับยั้งไม่ให้ข้ามสะพานแห่งหนึ่ง ต่อมาค้นพบระเบิดถูกวางไว้ใต้สะพาน จาการสอบสวนระบุว่าเป็นฝีมือของบิน ลาเดน

บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของอเมริกาก็ใช่น้อย ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ก่อนที่โอบามาจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โคตี้ บริทติงแฮม นาวิกโยธินวัย ๒๐ ปีก็ประกาศเจตนารมณ์เป็นหนังสือว่า เขาขอสาบานว่าจะปกป้องศัตรูทั้งภายในและภายนอกประเทศ แล้วระบุว่าประธานาธิบดีโอบามาเป็น “ศัตรูในประเทศ” และเป็นเป้าหมายในแผนการลอบสังหารของเขา แม้ยังไม่มีการลงมือ แต่ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ ศาลก็ตัดสินให้จำคุกเขา ๑๐๐ เดือน

ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ นายออสการ์ รามิโร ออร์เตกา-เฮอร์มันเดซ ไม่รู้แค้นอะไรมาจากไหน แบกปืนไลเฟิลกึ่งอัตโนมัติมายิงทำเนียบขาวระบายอารมย์ นอกจากถูกหน้าต่างเสียหายแล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ถูกจำคุกถึง ๒๕ ปี

เดือนเมษายน ๒๕๕๖ มีจดหมายเจือด้วยสารพิษ ส่งไปให้ประธานาธิบดีโอบามา แต่ถูกตรวจพบเสียก่อน
ตุลาคม ๒๕๖๑ แม้พ้นตำแหน่งประธานาธิบดีไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๐ มีระเบิดส่งทางไปรษณีย์ให้อดีตประธานาธิบดีที่บ้านในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แต่ก็ถูกตรวจพบเสียก่อนโดยหน่วยสืบราชการลับ

นี่ก็เป็นเหตุการณ์อันน่าสลดในประเทศที่เชิดชูเสรีภาพ แต่นอกจากจะมีคนใช้เสรีภาพนอกลู่นอกทางแล้ว ยังมีพวกโรคจิตที่คลั่งไคล้การเมืองอีก จึงต้องมีการใช้กฎหมายอย่างรุนแรง แค่มือปืนจ้องปืนไปที่กลุ่มคนที่คิดว่ามีประธานาธิบดีอยู่ด้วย ก็โดนจำคุกไปถึง ๔๐ ปี แค่บอกว่าอยากสังหาร แม้ยังไม่ได้มีการกระทำ ก็โดนไปเบาะๆแค่ ๑๐๐ เดือน แม้ เอฟบีไอ.และซีไอเอจะมีอยู่เกลื่อน ก็ยังป้องกันไม่ไหว ต้องกฎหมายเท่านั้น









เรื่องและภาพจาก
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000115689



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.07 seconds with 19 queries.