Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
16 May 2024, 15:47:16

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,684 Posts in 12,491 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง  |  สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81 - 87 จบ.
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81 - 87 จบ.  (Read 284 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« on: 24 December 2021, 08:48:07 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81


https://www.samkok911.com/2017/02/81.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81

เนื้อหา
• โจมอเสวยราชสมบัติ
• สุมาเจียวเป็นมหาอุปราช
• เกียงอุยยกทัพไปตีวุยก๊ก
• เกียงอุยเสียทีถอยทัพกลับ


ฝ่าย พระเจ้าโจฮองออกว่าราชการ ได้เห็นหน้าสุมาสูก็มีความกลัวเกรงนัก วันหนึ่งเห็นสุมาสูถือกระบี่เดิรเข้าไปตกใจ จึงเลื่อนองค์ลงมาจากพระที่นั่งก็เสด็จออกไปรับสุมาสู ๆ ก็หัวเราะแล้วจึงว่า มีธรรมเนียมอยู่หรือเจ้าจะออกมาต้อนรับข้า เชิญเสด็จขึ้นไปนั่งบนที่เถิดจึงจะสมควร

ฝ่ายขุนนางทั้งปวงปรึกษาราชการอยู่ เห็นสุมาสูเข้ามาก็นิ่งเสียมิได้ว่าต่อไป พระเจ้าโจฮองก็นิ่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วกลับเข้าไปข้างใน ฝ่ายสุมาสูก็ออกมาจากที่เฝ้า ไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้าโจฮอง ก็ขึ้นเกวียนให้ทหารประมาณพันหนึ่งถือศัสตราวุธแห่ออกมาแต่ในวังกลับมาบ้าน พระเจ้าโจฮองแลดูซ้ายขวา ก็เห็นขุนนางผู้ใหญ่เปนที่ปรึกษาสามคน ชื่อแฮเฮาเหียนคนหนึ่ง ลิฮองคนหนึ่ง เตียวอิบบิดานางเตียวฮองซึ่งเปนมะเหษีคนหนึ่ง พระเจ้าโจฮองก็ขับคนทั้งปวงออกไปเสีย จึงเรียกขุนนางทั้งสามคนเข้ามาใกล้ ยึดมือเตียวอิบเข้าแล้ว ทรงพระกรรแสงจึงว่า ทุกวันนี้สุมาสูดูถูกเราเหมือนเด็กน้อย ดูถูกขุนนางทั้งปวงเหมือนหญ้าแพรก เราเห็นไม่ช้าแล้วราชสมบัติก็จะเปนของสุมาสู

ลิฮองจึงทูลว่า ข้าพเจ้านี้ไม่มีกำลังแลสติปัญญาที่จะช่วยพระองค์ได้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอตรารับสั่งของพระองค์ออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง จะ ได้หาคนดีมีสติปัญญามีฝีมือกล้าแขงแลทหารทั้งปวงได้มากแล้ว จะเข้ามากำจัดอ้ายศัตรูแผ่นดินให้จงได้ แฮเฮาเหียนจึงทูลว่า แฮหัวป๋าพี่ชายข้าพเจ้าหนีไปเข้าด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยน เพราะพวกสุมาสูจะทำอันตราย ถ้าพี่ชายข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์จะกำจัดสุมาสูก็จะกลับมาช่วย ข้าพเจ้าก็เปนเชื้อพระวงศ์ เปนเหตุดังนี้แล้วจะนิ่งเสียได้หรือ จะขอไปเกลี้ยกล่อมด้วยลิฮอง

พระเจ้าโจฮองจึงว่า เราพรั่นนักเกรงจะทำมิสำเร็จ ขุนนางสามคนร้องไห้แล้วทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งสัตย์สาบาลพร้อมใจกันจะคิดอ่านกำจัดอ้ายศัตรูแผ่นดินให้จงได้ พระเจ้าโจฮองจึงเปลื้องเสื้อทรงซับในออกแล้วกัดนิ้วมือเอาโลหิตเขียนรับสั่ง ลงในเสื้อส่งให้เตียวอิบแล้วจึงว่า เมื่อครั้งพระเจ้าโจโฉปู่ชวดของเราฆ่าพวกตังสินเสียนั้น เพราะทำการไม่มิด ท่านทั้งสามจะทำครั้งนี้ถ้าแพร่งพรายสิมิเปนการ ลิฮองจึงทูลว่ายังมิทันไรพระองค์มาว่าให้เปนลางดังนี้เล่า ข้าพเจ้าจะโง่เหมือนตังสินนั้นหรือ สุมาสูจะหลักแหลมเหมือนพระเจ้าโจโฉนั้นหรือ พระองค์อย่าสงสัยเลย ทูลแล้วก็ลาออกมา

ขณะนั้นมีผู้เอาความลับทั้งปวงไปบอกแก่สุมาสู ๆ โกรธถือกระบี่พาทหารห้าร้อยล้วนถืออาวุธเข้ามาถึงประตูวัง พอพบแฮเฮาเหียนลิฮองเตียวอิบ ๆ กลัวก็หลีกเข้าอยู่ข้างประตูวัง สุมาสูจึงถามว่า ขุนนางออกจากเฝ้าพร้อมกันแล้ว ท่านทั้งสามช้าอยู่ด้วยราชการอันใด สามคนจึงว่า จะทรงฟังหนังสือพงศาวดารให้ข้าพเจ้าอ่านถวาย สุมาสูถามว่าให้อ่านเรื่องไหน ลิฮองจึงว่าอ่านเรื่องอิอิ๋น(๑) แลจิวถองเปนมหาอุปราช ครั้นอ่านถึงเข้าพระเจ้าโจฮองจึงถามข้าพเจ้าว่า อิอิ๋นแลจิวถองได้บำรุงแผ่นดินถึงสองแผ่นดินนั้นทำอย่างไร ข้าพเจ้าทั้งสามนี้ทูลว่า บำรุงเหมือนอย่างมหาอุปราชรักษาบำรุงแผ่นดินครั้งนี้ สุมาสูแกล้งหัวเราะแล้วจึงว่า ท่านทั้งสามจะยกเราไปเปรียบด้วยอิอิ๋นแลจิวถองเจียวหรือ เรารู้ถึงน้ำใจท่านอยู่ เอาเราไปเปรียบอองมังกับตั๋งโต๊ะ ซึ่งเปนศัตรูราชสมบัตินั้น ทั้งสามคนจึงว่า ข้าพเจ้าก็เปนข้าใต้ท้าวของท่าน ซึ่งจะว่าดังนั้นหาควรไม่

สุมาสูโกรธนักจึงว่า อ้ายสามคนมึงยุยงทูลความซุบซิบในที่ลับแล้วร้องไห้ด้วยเหตุอันใด ทั้งสามคนก็ปฏิเสธว่าหามิได้ สุมาสูก็ตวาดแล้วจึงว่า มึงร้องไห้ตายังแดงอยู่ควรหรือมาปฏิเสธเสียได้ แฮเฮาเหียนเห็นว่าการทั้งนี้เสียแล้วจึงว่า กูร้องไห้ทั้งนี้เพราะมึงคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ สุมาสูก็สั่งให้ทหารจับเอาตัวทั้งสามคน แฮเฮาเหียนมือเปล่าก็ตั้งมวยเข้าชกสุมาสู ทหารก็กลุ้มรุมจับเอาตัวได้ สุมาสูจึงให้ค้นดูก็ได้เสื้อทรงซึ่งเขียนตรารับสั่งซ่อนอยู่ในเสื้อเตียวอิบ จึงเอามาอ่านดูมีเนื้อความว่า สุมาสูแลพวกสุมาสูคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ ถ้าขุนนางทั้งปวงมีใจสามิภักดิ์ต่อเรา เร่งคิดอ่านกันกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียได้แล้ว เราจะให้เลื่อนที่มีบำเหน็จรางวัลจงหนัก สุมาสูแจ้งดังนั้นก็โกรธนัก จึงว่าอ้ายเหล่านี้คิดทำอันตรายกู โทษมันหนักนักจะเอาไว้มิได้ ก็สั่งให้เอาขุนนางสามคนไปฆ่าเสียกลางตลาดสิ้นทั้งโคตร สามคนก็ด่าสุมาสูด้วยถ้อยคำหยาบช้า ทหารก็ตบจนฟันหักทั้งสามคน ก็ไม่นิ่งร้องด่าไปจนตาย ฝ่ายสุมาสูก็เข้าไปในวัง

ขณะนั้นพอพระเจ้าโจฮองปรึกษาการอันนั้นกับนางเตียวฮองเฮา ๆ จึงทูลว่า ในวังนี้ผู้คนมากมายนัก ถ้าเนื้อความแพร่งพรายไปข้าพเจ้าก็จะพลอยตาย ว่ายังมิทันสิ้นคำพอแลเห็นสุมาสูถือกระบี่เดิรเข้าไป ครั้นเข้าไปถึงแล้วสุมาสูจึงว่า บิดาข้าพเจ้ายกย่องพระองค์ให้ได้ราชสมบัติ ถึงจิวถองซึ่งเปนมหาอุปราชแต่ก่อนนั้นก็หาเหมือนบิดาข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าทำนุบำรุงพระองค์มา ถึงอิอิ๋นซึ่งเปนมหาอุปราชแต่ก่อนนั้นก็หาทำเหมือนข้าพเจ้าไม่ คุณซึ่งมีมาแต่ก่อนนั้นสูญไปสิ้นแล้ว พระองค์มาฟังคำยุยงคิดจะทำร้ายข้าพเจ้าอีกเล่า พระเจ้าโจฮองจึงว่าเราหาได้คิดทำการดังนั้นไม่

สุมาสูก็ชักเอาเสื้อทรงทิ้งลง ชี้มือแล้วจึงว่านี่ของผู้ใดทำเล่า พระเจ้าโจฮองตกพระทัยไม่มีสมประดีจนพระองค์สั่น อุตส่าห์แข็งใจว่าเราทำการทั้งนี้เพราะคนอื่นคิดให้ทำ ตัวเราหาได้คิดทำอันตรายท่านไม่ สุมาสูจึงว่าทำเองแล้วสิใส่ความว่าคนอื่นเล่า โทษท่านผิดดังนี้แล้วจะคิดอ่านแก้ไขประการใด พระเจ้าโจฮองตกใจนัก ก็คุกเข่าย่อพระองค์ลง จึงว่าโทษข้าพเจ้าผิดแล้ว ขอให้ท่านอดโทษข้าพเจ้าเถิด

สุมาสูจึงว่า พระองค์เปนหลักแผ่นดิน ข้าพเจ้าหาทำอันตรายแก่พระองค์ไม่ เชิญพระองค์นั่งในที่เถิด ว่าแล้วก็ชี้หน้านางเตียวฮองเฮาด้วยกระบี่จึงว่า นางคนนี้เปนลูกเตียวอิบ จำจะฆ่าเสียให้ตายตามบิดา พระเจ้าโจฮองก็ทรงพระกรรแสง อ้อนวอนขอชีวิตนางเตียวฮองเฮา สุมาสูก็ไม่ฟังจึงให้ทหารคร่าเอาตัวไป ทหารพานางไปถึงประตูข้างทิศตวันออก ก็ให้นางเอาแพรพันฅอเข้า ทหารฉุดแพรข้างละคนนางก็ถึงแก่ความตาย

ครั้นเวลาเช้าสุมาสูจึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาพร้อมที่ ออกว่าราชการ จึงปรึกษาว่าพระเจ้าโจฮองไม่เอาพระทัยใส่ราชการบ้านเมือง มีแต่จะเล่นสนุก แล้วหาสติปัญญาไม่ มักเชื่อฟังคำคนยุยงจะให้บ้านเมืองเปนกุลี บัดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะยกพระองค์ออกเสียจากราชสมบัติ จะหาผู้ที่มีสติปัญญาควรจะว่าราชการแผ่นดินได้มาเปนเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการได

ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ท่านเปนมหาอุปราชความคิดกว้างขวางลึกซึ้งนัก ท่านตรึกตรองแล้วจึงเอามาปรึกษา ผู้ใดจะทัดทานท่านนั้นเห็นไม่มีแล้ว ด้วยท่านว่านี้ชอบด้วยการแผ่นดิน สุมาสูจึงพาขุนนางทั้งปวงเข้าไปเฝ้านางกวยทายเฮา ทูลเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังแต่ต้นจนปลาย นางกวยทายเฮาจึงถามว่า ท่านจะยกท่านผู้ใดขึ้นเปนเจ้า สุมาสูจึงทูลว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นโจกี๋เปนเชื้อพระวงศ เปนเจ้าเมืองแพเสีย คนนี้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลมนัก เห็นควรจะเปนเจ้ารักษาแผ่นดินได้

นางกวยทายเฮาจึงว่ามัควร เราพิเคราะห์ดูเห็นว่าจะเอาอาว์มาเสวยราชย์แทนหลานนั้นยังหามีเยี่ยงอย่าง ธรรมเนียมไม่ เราเห็นโจมอหลานพระเจ้าโจผีเปนเจ้าเมืองงวนเสีย ฉลาดเฉลียวมีสติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่ ขอให้ท่านทั้งปวงปรึกษากันดู สุมาสูจึงทูลว่าท่านว่าทั้งนี้ชอบนัก ซึ่งจะยกราชสมบัติให้แก่โจมอนั้นเห็นควรอยู่แล้ว ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบด้วย สุมาสูก็ให้ทหารถือหนังสือไปเชิญโจมอมา แล้วจึงทูลนางกวยทายเฮาว่า ขอเชิญพระองค์ขึ้นไปที่ว่าราชการ จะได้ปรึกษาโทษพระเจ้าโจฮอง

นางกวยทายเฮาจึงขึ้นไปเชิญพระเจ้าโจฮองออกมาที่ว่าราชการแล้วจึงว่า เจ้าเสวยราชสมบัติไม่ต้องด้วยขนบธรรมเนียมกษัตริย์แต่ก่อน ตั้งใจแต่จะเสพย์สุราแล้วก็เมามัวไปด้วยการเล่นทั้งปวงแลสัตรี ไม่เอาใจใส่ราชการเลย ซึ่งจะ เปนเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัตนั้นไม่ควร แล้วขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงปรึกษาพร้อมกัน เห็นว่าเจ้าไม่ควรแก่ราชสมบัติแล้ว เจ้าเร่งเอาพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์มาคืนให้ขุนนางเขา จะได้ยกคนอื่นซึ่งมีสติปัญญาเปนเจ้าแผ่นดินสืบไป ฝ่ายตัวเจ้าให้ไปรับราชการคงที่เจอ๋องซึ่งพระบิดาตั้งไว้แต่ก่อนนั้น ถ้าไม่มีรับสั่งให้หาอย่าเข้ามาเปนอันขาดทีเดียว โจฮองเอาพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์มาส่งให้ แล้วกราบลานางกวยทายเฮาร้องไห้ออกไป มีขุนนางสี่ห้าคนระลึกถึงคุณโจฮอง กลั้นนํ้าตามิได้ก็ตามไปส่ง โจฮองก็พาอพยพครอบครัวออกไปอยู่ที่ของตัวเคยอยู่แต่ก่อนนั้น

ฝ่ายโจมอมาถึงประตูทิศเหนีอ สุมาสูก็ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยออกไปรับ ขุนนางไปถึงกระทำคำนับ โจมอก็ลงจากเกวียนกระทำคำนับขุนนางทั้งปวง ออกสกขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงว่า พระองค์อย่ากระทำคำนับข้าพเจ้าเลย โจมอจึงตอบว่าตัวข้าพเจ้านี้ก็เปนข้าแผ่นดิน จะมิคำนับท่านนั้นไม่ควร ขุนนางทั้งปวงอุ้มโจมอให้ขึ้นขี่เกวียนเข้าไปวัง โจมอก็ยำเกรงไม่ขึ้นเกวียน จึงว่านางกวยทายเฮามีรับสั่งให้หามาเฝ้า ซึ่งจะขี่เกวียนเข้าไปนั้นเห็นไม่ควรนัก ว่าแล้วก็เดิรไปจนถึงในวัง สุมาสูเห็นก็ออกไปต้อนรับ โจมอก็กราบลง สุมาสูยื่นมือทั้งสองพยุงโจมอขึ้นแล้วจึงปราสัยว่า ท่านยังค่อยเปนสุขอยู่หรือ ว่าแล้วก็พาเข้าไปเฝ้านางกวยทายเฮา ๆ จึงว่า เมื่อน้อย ๆ ข้าพิเคราะห์ดูเห็นประหลาท ทั้งกิริยามารยาทแลลักขณราศีดีนักแปลกเด็กทั้งปวง ข้าก็นึกอยู่ในใจว่าเจ้าจะ ได้เปนเจ้าแผ่นดินเปนมั่นคง บัดนี้ก็สมที่นึกไว้ ขุนนางทั้งปวงปรึกษาพร้อมกันจะให้เสวยราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์ ถ้าเจ้าได้เปนเจ้าแผ่นดินแล้วจงตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต อุตส่าห์เอาใจใส่ในราชการทั้งปวง จะทำการสิ่งใดให้พิเคราะห์จงดี ให้รู้จักข้อผิดข้อชอบหนักเบา อย่ามัวเมาไปด้วยการเล่นแลสตรี จงทำตามชนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณีวงศ์กษัตริย์ซึ่งเสวยราชสมบัติมาแต่ก่อน

โจมอจึงทูลว่า ข้าพเจ้านี้สติปัญญาน้อยนัก หาควรแก่ราชสมบัติไม่ นางกวยทายเฮากับขุนนางทั้งปวงก็มิฟัง อ้อนวอนเชื้อเชิญจนถึงสามครั้งโจมอก็รับ สุมาสูกับขุนนางทั้งปวงก็เชิญโจมอไปยังที่เสด็จออกว่าราชการ ก็มอบพระแสงกระบี่แลตราสำหรับกษัตริย์นั้นให้แก่โจมอ ๆ ก็ได้ตั้งอยู่ในสมมุติกษัตริย์แต่นั้นมา จึงถวายพระนามชื่อว่า พระเจ้าเจงหงวน (พ.ศ. ๗๙๗) พระเจ้าโจมอก็ปล่อยนักโทษ แลเลิกส่วยสาอากรทั้งปวงตามประเพณีกษัตริย์เสวยราชสมบัติใหม่แต่ก่อนนั้น แล้วก็ให้สุมาสูเปนมหาอุปราช เมื่อเข้าเฝ้ามีคนถือเครื่องศัสตราวุธแห่เข้าไปจนถึงใกล้ที่เสด็จออก แล้วห้ามไม่ให้ถวายบังคม แต่กระทำคำนับแล้วก็นั่งอยู่ จะทูลความก็ห้ามมิให้ออกชื่อตัวเหมือนขุนนางทั้งปวง แล้วก็ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเลื่อนที่ตามสมควร

พระเจ้าโจมอเสวยราชย์ได้สองปี ครั้งถึงเดือนสาม ฝ่ายบู๊ขิวเขียม ชาวเมืองโหหลำไปเปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ได้ว่าเมืองห้วยหลำเมืองชิวฉุนด้วย รู้ข่าวว่าสุมาสูโอหังเนรเทศเจ้าแผ่นดินเสีย แล้วเอาคนหนึ่งมาตั้งขึ้นตามอำเภอใจเองก็มีความโกรธนัก บู๊ขิวเตี้ยนผู้เปนบุตรจึงว่าแก่บิดาว่า ท่านก็ได้เปนเจ้าเมืองมียศศักดิ์อาญาสิทธิ์อยู่กับมือ สุมาสูทำดังนิ้เรานิ่งเสียไม่ควร

บู๊ขิวเขียมจึงว่าเจ้าว่านี้ชอบนัก จึงให้เชิญตัวบุนขิมซึ่งเปนพรรคพวกของโจซองมาณหลังบ้านที่สงัด กระทำคำนับแล้วนั่งอยู่ยังมิทันจะเจรจาก็ร้องไห้ บุนขิมจึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้ บู๊ขิวเขียมก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังแล้วจึงว่า เหตุดังนี้แลข้าพเจ้าจึงมีความเจ็บแค้นนัก บุนขิมจึงว่า ท่านคิดจะทำการบำรุงแผ่นดินควรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าก็จะช่วย บุตรข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อบุนเซ็กกำลังมากนัก อาจสามารถจะสู้คนได้หมื่นหนึ่งมันก็คิดแค้นอยู่ จะใคร่กำจัดสุมาสูจะได้แก้แค้นโจซอง ถ้าเราจะยกไปเราตั้งให้เปนทัพหน้าเห็นจะมีชัยแก่ข้าศึก บู๊ขิวเขียมดีใจนัก จึงรินสุรามาใส่จอกลงตั้งสัตย์สาบาลต่อกันแล้ว ให้ไปเกลี้ยกล่อมนายทหารเมืองห้วยหลำว่า นางกวยทายเฮามีตรารับสั่งมาให้ทหารทั้งปวงไปพร้อมกัน ณ เมืองชิวฉุน ครั้นทหารมาพร้อมกันแล้ว จึงให้ตั้งโรงพิธีข้างทิศตวันตก ให้ฆ่าม้าขาวตัวหนึ่งเอาโลหิตมาเปนนํ้าพิพัฒน์สัจจาให้ทหารทั้งปวงกินแล้ว จึงว่า สุมาสูเปนขบถต่อแผ่นดิน นางกวยทายเฮามีรับสั่งมาให้ยกทัพไปกำจัดสุมาสูเสีย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นมีความยินดีนัก พร้อมใจกันที่จะกำจัดสุมาสู บู๊ขิวเขียมก็คุมทหารห้าหมื่นยกไปตั้งอยู่เมืองฮางเสีย บุนขิมคุมทหารสองหมื่นเปนทัพหนุน บู๊ขิวเขียมมีหนังสือไปถึงหัวเมืองขึ้นให้ยกทหารมาช่วย

ฝ่ายสุมาสูป่วยจักษุเปนต้อให้หมอมาตัดแล้วใส่ยารักษาอยู่หลายวัน พอม้าใช้มาแจ้งว่ากองทัพเมืองห้วยหลำยกมา จึงให้เชิญอองซกขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาปรึกษาว่า กองทัพบู๊ขิวเขียมยกมาเราจะคิดอ่านประการใด อองชกจึงว่า แต่ครั้งกวนอูทหารเอกฝีมือปรากฎทั้งแผ่นดิน ลิบองคิดอ่านเกลี้ยกล่อมครอบครัวทหาร ซึ่งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็มีชัยชนะแก่กวนอู ครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้ไปเกลี้ยกล่อมครอบครัวทหารเมืองห้วยหลำซึ่งอยู่ ในแดนเมืองวุยก๊กได้แล้ว เราจึงยกกองทัพไปตั้งสกัดไว้ที่ทางบู๊ขิวเขียมจะกลับไป เห็นจะมีชัยชนะเปนมั่นคง

สุมาสูจึงว่าท่านว่านี้ชอบแล้ว แต่ว่าข้าพเจ้ายังป่วยอยู่มิไปได้เอง ซึ่งจะให้คนอื่นไปนั้นข้าพเจ้ายังไม่วางใจเลยเกรงจะเสียการ จงโฮยนายทหารผู้ใหญ่จึงว่า ทหารเมืองห้วยหลำเข้มแขงอยู่ ซึ่งจะให้ผู้อื่นไปนั้นเกรงจะต้านทานมิหยุด การครั้งนี้เปนการใหญ่ ถ้าผิดพลั้งจะมิเสียราชการไปหรือ สุมาสูก็มานะในใจยืนขึ้นจึงว่า ข้าป่วยเพียงนี้มิพอเปนไรจำจะไปเองจึงจะได้การ ก็ให้สุมาเจียวอยู่รักษาเมือง จึงให้จูกัดตุ้นนายทหารเปนแม่ทัพเมืองอิจิ๋วยกไปตีเมืองชิวฉุน ให้อ้าวจุ๋นนายทหารเปนแม่ทัพเมืองเซงจิ๋ว ยกไปสกัดอยู่ตำบลเจี๋ยวซองเปนทางข้าศึกจะกลับไป ให้อองตี๋นายทหารไปตีตำบลติ่นลำ ตัวสุมาสูเปนทัพหลวงขี่รถยกทัพไปตั้งอยู่เมืองซงหยง ขุนนางแลทหารทั้งปวงนั่งพร้อมกันคิดอ่านการซึ่งจะให้มีชัยแก่ข้าศึก

เตงโป้ที่ปรึกษาจึงว่า บู๊ขิวเขียมคนนี้มีสติปัญญาความคิดอยู่ แต่ว่าคิดอ่านการสิ่งใดก็หาตลอดไม่ ฝ่ายบุนขิมมีกำลังมากแต่ว่าหาปัญญาความคิดไม่ ฝ่ายทหารเมืองห้วยหลำมีฝีมือเข้มแขงกล้าหาญนัก เราเลินเล่อดูหมิ่นนั้นไม่ได้ ขอให้รักษาค่ายคูไว้ให้มั่นคง ถ้าเราเห็นกำลังข้าศึกร่วงโรยลงแล้ว จึงคิดอ่านตีให้ยับเยินอย่าให้ทันรู้ตัวเลย

อองกึ๋จึงว่า กองทัพขบถยกมาครั้งนี้ มิใช่ทหารทั้งปวงมีใจคิดอ่านมาเอง เปนเหตุเพราะบู๊ขิวเขียมคิดอ่าน ทหารทั้งปวงขัดมิได้ก็จำใจมา ถ้าเรายกกองทัพใหญ่เข้าตีก็เห็นว่าทหารทั้งปวงจะพลอยหนีกระจายไป สุมาสูจึงว่าท่านว่านี้ชอบแล้ว ก็เลื่อนกองทัพหลวงไปปลงอยู่ที่สะพานอิ๋นซุย อองกี๋จึงว่าเมืองลำเต๋งนั้นเปนที่คับขันมั่นคง เราจำจะเร่งรีบยกไปตั้งอยู่ก่อน ถ้าช้าอยู่ข้าศึกมาตั้งมั่นอยู่ก่อนแล้วเราจะหักเข้าเอาก็ยาก สุมาสูเห็นชอบด้วยก็ให้อองกี๋กองหน้ายกไปตั้งค่ายอยู่เชิงกำแพงเมืองลำเต๋ง

ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งอยู่ ณ เมืองอองเสีย รู้ว่าสุมาสูยกทัพมาจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวง กันหยงทหารกองหน้าจึงว่า ที่เมืองลำเต๋งนี้มีภูเขาแลแม่นํ้ากระหนาบอยู่เปนที่มั่นคงนัก ถ้าพวกสุมาสูตั้งอยู่ก่อนแล้วเห็นเราจะทำการเข้าไปยาก ขอท่านเร่งยกกองทัพไปตั้งอยู่ให้ได้ก่อน

บู๊ขิวเขียมก็ให้ยกกองทัพจะไปเมืองลำเต๋ง ไปหน่อยหนึ่งมีม้าใช้มาบอกว่า เมืองลำเต๋งนั้นทหารสุมาสูมาตั้งอยู่แล้ว บู๊ขิวเขียมยังไม่เชื่อยกกองทัพใกล้เข้าไป เห็นค่ายมั่นคงมีธงรายรอบอยู่ บู๊ขิวเขียมเห็นดังนั้นก็ถอยทัพกลับไปตั้งค่ายอยู่กลางทาง ม้าใช้มาบอกว่าทัพซุนจุ๋นเมืองกังตั๋งยกข้ามแม่นํ้ามาจะตีเมืองชิวฉุน บู๊ขิวเขียมก็ตกใจ ว่าถ้าเมืองชิวฉุนเปนอันตรายแล้วเราจะกลับไปอยู่ที่ไหนได้เล่า ก็ให้ล่าทัพมาในเวลากลางคืน มาตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองฮางเสีย

ฝ่ายสุมาสูแจ้งว่าบู๊ขิวเขียมล่าทัพถอยไปแล้ว จึงให้หาขุนนางมาปรึกษา เปาต้านจึงว่า บู๊ขิวเขียมล่าทัพถอยไปครั้งนี้ ด้วยกลัวทัพเมืองกังตั๋งจะวกหลังไปตีเมืองชิวฉุน เห็นทีจะถอยทัพไปอยู่เมืองฮางเสีย แล้วจะแบ่งปันทหารไปรักษาเมืองชิวฉุน ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารยกไปเปนสามกอง ไปตีเมืองงักแกเสียเมืองฮางเสียเมืองชิวฉุน ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารเมืองห้วยหลำก็จะถอยทัพไปเอง ท่านจงให้มีหนังสือไปถึงเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋ว เปนคนมีสติปัญญาความคิด ให้ยกไปช่วยตีเมืองงักแกเสียได้แล้ว เห็นจะปราบศัตรูได้โดยง่าย สุมาสูเห็นชอบด้วยก็ให้มีหนังสือไปถึงเตงงายว่า ให้ยกกองทัพไปตีเมืองงักแกเสีย เราก็จะยกตามไปด้วย

ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งอยู่เมืองฮางเสีย กลัวกองทัพสุมาสูจะยกมาตี ก็ให้ม้าใช้ไปสอดแนมฟังข่าวอยู่เนือง ๆ แล้วให้เชิญบุนขิมมา ณ ค่ายจึงปรึกษาว่า ข้าพเจ้าเกรงสุมาสูจะยกไปตีเมืองงักแกเสีย บุนขิมจึงว่า ข้าพเจ้ากับบุนเอ๋งขอทหารสักห้าพันจะไปรักษาเมืองงักแกเสียไว้ให้ได้ ท่านอย่าวิตกเลย บู๊ขิวเขียมดีใจจึงให้บุนเอ๋งพ่อลูกคุมทหารห้าพันยกไป ครั้นไปใกล้เข้ามีม้าใช้มาบอกว่า กองทัพเมืองวุยก๊กยกมาทหารประมาณหมื่นเศษมาตั้งอยู่ทิศตวันตก มีธงขาวปักเปนสำคัญ แลธงเทียวทั้งปวงนั้นเห็นมิใช่กองทัพนายทหาร เห็นจะเปนกองทัพเจ้ายกมา แต่ว่าธงสำคัญชื่อสุมาสู บัดนี้ตั้งค่ายอยู่ยังหาสำเร็จไม่ บุนเอ๋งขี่ม้ายืนอยู่ใกล้จึงว่าแก่บิดาว่า เขาตั้งค่ายอยู่ยังมิทันสำเร็จ ถ้าเรายกไปเปนสองกองตีกระหนาบเข้าเห็นจะได้โดยสดวก บิดาจึงถามว่าเราจะยกไปเวลาไรดี บุนเอ๋งจึงว่ายกไปคํ่าวันนี้แลเห็นจะได้ท่วงที บิดาคุมทหารครึ่งหนึ่งยกไปข้างทิศใต้ ข้าพเจ้าจะคุมทหารครึ่งหนึ่งไปตีข้างทิศเหนือ เวลาเที่ยงคืนให้ยกเข้าไปตีให้พร้อมกัน ครั้นเวลาคํ่าก็แยกทหารยกไปเหมือนหนึ่งคิดกันนั้น บุนเอ๋งคนนี้อายุได้สิบแปดขวบสูงได้ห้าศอก ใส่เกราะเหน็บกระบองเหล็กขี่ม้ายนตร์เข้าไปใกล้ค่ายสุมาสู

ฝ่ายสุมาสูตั้งทัพอยู่คอยทัพเตงงายก็ยังไม่มา ปวดจักษุเปนกำลังก็นอนอยู่ในเตียง ให้ทหารประมาณสามร้อยล้อมวงรักษาตัวอยู่ ครั้นเวลาเที่ยงคืนได้ยินเสียงทหารในค่ายเอิกเกริกวุ่นวายทั้งม้าทั้งคน จึงให้ทหารไปถามดู ก็ได้เนื้อความว่าทหารคนหนึ่งมีกำลังพะลังมากนัก ไม่มีผู้ใดจะต้านทานได้ ไล่ตีบุกรุกเข้ามาข้างทิศเหนือ สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตกใจนัก ให้ร้อนในอกเหมือนหนึ่งเพลิงเผา ก็โกรธขึ้นมา โรคในจักษุนั้นกำเริบขึ้น ลูกตาก็ปทุออกมา กลัวว่าทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจ ก็เอาผ้าผวยห่มนอนเข้ากัดเคี้ยวไปจนผ้าขาด

ฝ่ายบุนเอ๋งพาทหารแหกเข้าค่ายได้ ก็ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาสูล้มตายเปนอันมาก บุนเอ๋งบ่ายหน้าไปข้างไหนก็วินาศไปไม่มีผู้ต้านทาน ตีแต่ทิศเหนือฝ่ายเดียว ดูบิดาจะยกมาตีกระหนาบทางทิศใต้ก็ไม่เห็น ครั้นจะตีต่อเข้าไปอีกให้ถึงทัพหลวง ทหารสุมาสูยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้ดังห่าฝนแต่บุกรุกไล่อยู่จนสว่างก็หักเข้าไป ไม่ได้ ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ได้ยินเสียงแตรเสียงกลองสำหรับกองทัพ ก็ประหลาทใจคิดว่าเปนไรบิดาจึงไม่ยกมาข้างทิศใต้ ทำไมจึงยกมาทางเหนือ ก็ควบม้าไปดูจึงเห็นกองทัพเตงงาย ๆ ถือง้าวขี่ม้านำหน้ามาร้องว่า อ้ายขบถแผ่นดิน มึงอย่าหนีกูเร่งมาสู้กัน บุนเอ๋งได้ยินดังนั้นก็รำทวนเข้าไปสู้กันได้ประมาณห้าสิบเพลง ไม่ทันแพ้ชนะกัน เมื่อรบกันอยู่ทหารสุมาสูก็หนุนมาตีกระหนาบเข้าทั้งข้างหน้าข้างหลัง ฝ่ายทหารบุนเอ๋งน้อยตัวก็หลบหลีกหนีเอาตัวรอด ยังแต่บุนเอ๋งผู้เดียวก็รบแหวกทหารสุมาสูออกมาหนีไปข้างทิศใต้ ทหารม้าสุมาสูประมาณร้อยหนึ่งแต่ล้วนมีฝีมือ ก็ควบม้าไล่ติดตามไปจนถึงสะพานเมืองงักแกเสีย บุนเอ๋งเห็นทหารไล่กระชั้นมาจะใกล้ทันอยู่แล้ว ก็ชักม้ากลับไล่ร้องตวาดบุกบันเข้าสู้ ทหารทั้งปวงต่างคนต่างก็ถอย บุนเอ๋งก็กลับม้าค่อยเดิรไป ทหารสุมาสูคุมกันเข้าได้ปรึกษากันว่า ทหารคนนี้ห้าวหาญนัก เราพร้อมใจกันไล่จับตัวให้จงได้ คิดแล้วก็ควบม้าไล่ตามไป บุนเอ๋งก็กลับหน้าม้าเข้าสู้ จึงร้องตวาดว่า อ้ายพวกทหารหนูไม่กลัวความตาย ว่าแล้วก็จับกระบองเหล็กเข้าไล่ตีล้มตายเปนอันมาก แต่ทหารสุมาสูแตกแล้วกลับไล่ติดตามถึงสี่ครั้งห้าครั้ง บุนเอ๋งก็ตีล้มตายลงทุกครั้ง ทหารสุมาสูก็กลับไป

ฝ่ายบุนขิมยกทหารออกมากลางคืนวันนั้น อ้อมไปข้างเขาวกเวียนหลงทางไปหาหนทางซึ่งจะไปไม่ได้ยังรุ่ง ครั้นเวลาเช้าแลไปไม่เห็นทัพบุนเอ๋ง เห็นแต่ทัพสุมาสูมีชัยชนะบุกรุกไล่มามากนักเหลือกำลัง ก็ถอยทัพหนีไปทางเมืองชิวฉุน

ทหารสุมาสูคนหนึ่งชื่ออินต้ายบก เดิมเปนคนสนิธไว้ใจโจซอง ครั้นสุมาอี้ฆ่าโจซองเสียแล้ว ก็ไปอยู่กับสุมาสูคิดจะใคร่ฆ่าสุมาสูแทนคุณโจซอง แต่ก่อนนั้นกับบุนขิมคนนี้รักใคร่กันนัก ครั้นสุมาสูป่วยจักษุหนักยังหาคิดอ่านการได้ไม่จึงเข้าไปว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าบุนขิมคนนี้เปนคนสัตย์ซื่อ ซึ่งจะคิดการขบถต่อแผ่นดินนั้นหาเปนไม่ มาทำการครั้งนี้ก็เพราะขัดบู๊ขิวเขียมไม่ได้ ข้าพเจ้าจะขอไปเกลี้ยกล่อมบุนขิมก็จะยอมสมัคมาเข้าด้วยท่าน สุมาสูเห็นชอบด้วยก็ให้ไป

อินต้ายบกใส่เกราะขึ้นม้าตามบุนขิมไปใกล้เข้า แล้วร้องตะโกนเรียกบุนขิมว่าท่านเห็นเราหรือไม่ เราชื่ออินต้ายบก บุนขิมเหลียวมา อินต้ายบกจึงถอดหมวกวางลงบนหลังม้าเอาแซ่ชี้แล้วร้องว่า บุนขิมทำไมจึงยกทัพหนีไป จะรั้งรออยู่อีกสักหน่อยหนึ่งก็จะได้การ อินต้ายบกว่าทั้งนี้เพราะเห็นสุมาสูป่วยหนักจะใกล้ตายอยู่แล้ว จึงหน่วงบุนขิมไว้

ฝ่ายบุนขิมไม่รู้นํ้าใจอินต้ายบก ก็ร้องตะโกนด่าแล้วยกเกาทัณฑ์ขึ้นจะยิง อินต้ายบกเห็นดังนั้นน้อยใจนักก็ร้องไห้แล้วชักม้ากลับไป ฝ่ายบุนขิมพาทหารหนีไปทางเมืองชิวฉุน ครั้นรู้ว่าจูกัดเอี๋ยนทหารสุมาสูตีได้แล้วก็จะยกไปเมืองฮางเสีย เห็นทัพอ้าวจุ๋นแลอองกี๋เตงงายยกมาตั้งสกัดอยู่เปนสามกอง บุนขิมเห็นหักไปมิได้ก็ยกไปเมืองกังตั๋ง สมัคเข้าไปเปนข้าซุนจุ๋นซึ่งเปนมหาอุปราช

ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งอยู่เมืองฮางเสีย รู้ว่าเมืองชิวฉุนเสียแล้ว ทัพบุนขิมก็เสียแล้ว กองทัพสุมาสูก็ยกมาเปนสามทางมาตั้งอยู่ใกล้เมืองก็ยกทหารออกรบ แลเห็นเตงงายยกออกมาก็ให้กัดหยงออกสู้ยังไม่ทันถึงเพลง เตงงายฟันด้วยง้าวถูกกันหยงตาย แล้วก็คุมทหารบุกรุกไล่เข้าไป อ้าวจุ๋นอองกี๋ก็ยกทหารเข้ากระโจมตีทั้งสี่ด้าน บู๊ขิวเขียมเห็นจะสู้ไม่ได้ ก็พาทหารคนสนิธประมาณสิบคนหนีไปถึงเมืองซิมก๋วน ซองเป๊กเจ้าเมืองก็เปิดประตูรับเข้าไป แต่งโต๊ะเลี้ยงพอบู๊ขิวเขียมเมาสุราแล้วก็ฆ่าเสียตัดเอาสีสะไปให้สุมาสู

ครั้นสุมาสูปราบปรามข้าศึกราบคาบแล้ว ก็ตั้งจูกัดเอี๋ยนเปนทหารใหญ่ ได้ว่าราชการเมืองเองจิ๋วเมืองห้วยหลำทั้งปวงนั้น แล้วก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋ สุมาสูป่วยจักษุหนักให้เจ็บปวดเปนกำลัง เวลากลางคืนนอนไม่หลับ เคลิ้มม่อยไปหน่อยหนึ่งก็แลเห็นลิฮองแลเตียวอิบแลแฮเฮาเหียนสามคนมายืนอยู่ หน้าเตียงนอน ก็รู้ว่าตัวจะไม่รอดแล้ว จึงใช้คนไปเมืองลกเอี๋ยง หาสุมาเจียวมาก็ให้เข้าไปที่เตียงนอน สุมาเจียวเห็นพี่ชายป่วยหนักจะไม่รอดแล้วก็ร้องไห้ สุมาสูจึงสั่งว่า ข้าทำราชการมาก็ได้เปนที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนที่พี่สืบไป อุตส่าห์ระวังรักษาตัวจงดี ถ้ามีราชการเปนข้อใหญ่อย่าไว้ใจแก่ผู้อื่นจะเสียราชการ จะฉิบหายสิ้นทั้งโคตร สั่งเท่านั้นแล้วก็มอบตราให้แก่น้องชาย

ฝ่ายสุมาเจียวจะใคร่ให้พี่ชายสั่งความต่อไปอีก ความเวทนาในจักษุกำเริบหนักขึ้น สุมาสูก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังก็ขาดใจตาย เมื่อตายนั้นเดือนสี่ พระเจ้าโจมอเสวยราชย์ได้สองปีเศษ สุมาเจียวก็แต่งการศพพี่ชายตามประเพณี แล้วให้ไปกราบทูลพระเจ้าโจมอ ๆ ก็มีหนังสือไปให้สุมาเจียวตั้งอยู่ในเมืองฮูโต๋ป้องกันกองทัพเมืองกังตั๋ง สุมาเจียวก็ไม่เต็มใจอํ้าอึ้งอยู่ แต่ว่ามิรู้ที่จะตอบประการใด

จงโฮยจึงว่าแก่สุมาเจียวว่า ท่านมหาอุปราชพึ่งดับสูญ น้ำใจทหารทั้งปวงก็ยังมิราบคาบ ท่านจะตั้งอยู่เมืองฮูโต๋นี้ แม้มีคนคิดร้ายวุ่นวายขึ้นข้างในวัง ซึ่งจะไปกำจัดเสียนั้นเห็นจะมิทันที สุมาเจียวเห็นชอบด้วยก็ยกทหารไปตั้งอยู่ตำบลลกซุย พระเจ้าโจมอรู้ดังนั้นก็ตกใจนัก ขุนนางผู้ใหญ่ชื่อว่าอองซกจึงทูลว่า ขอให้พระองค์ตั้งให้สุมาเจียวเปนมหาอุปราช ว่าราชการแทนที่พี่ชายให้มีน้ำใจ พระเจ้าโจมอเห็นชอบด้วยก็ใช้ให้อองซกถือหนังสือไปหาสุมาเจียวมา จะตั้งให้เปนที่มหาอุปราช สุมาเจียวก็เข้าเฝ้าพระเจ้าโจมอ กระทำคำนับรับที่ก็ได้ว่าราชการทั้งแผ่นดินเหมือนพี่ชาย

ฝ่ายผู้สอดแนมราชการเมืองเสฉวน ครั้นรู้ว่าสุมาสูตายแล้ว จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เกียงอุย ๆ จึงเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วจึงว่า สุมาสูพึ่งตายสุมาเจียวได้เปนมหาอุปราชแทนพี่ชาย เห็นจะทิ้งเมืองลกเอี๋ยงไม่ได้ ด้วยพึ่งว่าราชการใหม่บ้านเมืองทั้งปวงยังไม่ราบคาบ ข้าพเจ้าขออาสาไปตีเมืองวุยก๊กเห็นจะได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มิรู้ที่จะขัดก็ยอมให้เกียงอุยไป เกียงอุยก็ลาออกไปเมืองฮันต๋งจัดแจงกองทัพที่จะยกไป

เตียวเอ๊กทหารผู้ใหญ่จึงห้ามว่า ขอบขัณฑเสมาเมืองเสฉวนก็น้อย เข้าปลาอาหารก็เบาบาง ซึ่งจะยกทัพไปทางไกลนั้นจะขัดสน ขอให้แต่งทหารไปรักษาหัวเมืองของเราไว้ให้ราษฎรอยู่เย็นเปนสุข ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้เห็นจะมีความเจริญแก่บ้านเมืองของเรา เกียงอุยจึงว่าท่านว่านี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แต่ครั้งก่อนเมื่อท่านมหาอุปราชยังไม่เข้ามาเปนข้าราชการก็ได้ว่าไว้ว่า แผ่นดินนี้ยังเปนสามส่วนอยู่ ครั้นเข้ามาทำราชการแล้ว ก็ยกไปตีเมืองวุยก๊ก ไปตั้งอยู่ที่เขากิสานถึงหกครั้ง ราชการยังไม่สำเร็จก็ดับสูญเสียกลางคัน เมื่อจะดับสูญก็ได้สั่งเราไว้ให้ทำการสืบต่อไป ครั้งนี้เราได้ท่วงทีแล้ว จำจะอาสาเจ้าแผ่นดินไปทำการสนองพระคุณตามประเพณีชาติทหาร ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เมืองวุยก๊กสิเปนอริกับเรามาก่อน จะยกไปตีให้ได้ในครั้งนี้

แฮฮัวป๋าจึงว่าท่านว่านี้ชอบแล้ว ขอให้ยกกองทัพไปทางเปาสิว เราไปตีเอาเมืองเจ้าเสเมืองลำอั๋นซึ่งเปนเมืองสำคัญได้แล้ว ก็จะได้หัวเมืองทั้งปวงโดยสดวก เตียวเอ๊กจึงว่า ท่านยกไปทำการครั้งก่อนนั้นเดิรทัพช้านัก จึงไม่ได้ชัยชนะก็กลับมา ในตำราพิชัยสงครามว่าไว้ว่า แม่ทัพแม่กองผู้ทำการสงครามจะยกไปตีเขาอย่าให้เขาทันรู้ตัวจึงจะมีชัย ถ้าเขารู้ตัวแล้วก็จะตระเตรียมการยุทธ์ไว้พร้อม ผู้ใดไปตีก็จะไม่สมคะเน ขอให้ท่านเร่งรีบยกไปอย่าให้ทันรู้ตัวเลย เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว เกียงอุยเห็นชอบด้วยก็ให้เกณฑ์ทหารให้สิ้นเชิง ได้ทหารหกสิบหมื่นยกไปทางเปาสิว

ครั้นไปถึงตำบลแม่น้ำเจ้าซุย กองสอดแนมมาบอกแก่เกียงอุยว่า อองเก๋งเจ้าเมืองยงจิ๋วแลต้านท่ายทหารรองคุมทหารเจ็ดหมื่นยกมา เกียงอุยจึงคิดอ่านอุบายให้ทหารผู้ใหญ่ยกไปเปนสองกองให้ไปตีวกหลัง เตียวเอ๊กกับแฮหัวป๋าก็ยกไป เกียงอุยก็ยกกองทัพข้ามแม่น้ำเจ้าซุยไปตั้งริมฝั่งข้างฟากตวันตก ฝ่ายอองเก๋งก็คุมทหารเข้าไปจะตี ครั้นยกกองทัพไปใกล้เข้าแล้วจึงร้องถามว่า เมืองวุยก๊กเมืองกังตั๋งเมืองเสฉวนสามเมืองนี้ตั้งอยู่เหมือนก้อนเส้า ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็มีความสุข เหตุอันใดท่านจึงยกกองทัพมาตีเรา

เกียงอุยจึงร้องว่า พระเจ้าโจฮองผิดชอบประการใด สุมาสูจึงยกออกเสียจากราชสมบัติ แล้วเอาผู้อื่นมาตั้งให้เปนเจ้า ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบไปด้วยกันสิ้น เราอยู่ต่างเมืองเห็นว่าทำผิดประเพณีโบราณนัก จึงยกทัพมาทำโทษ หวังจะไม่ให้ข้าแผ่นดินดูเยี่ยงอย่างสืบไปเบื้องหน้า

อองเก๋งได้ฟังดังนั้นก็จนใจไม่รู้ที่จะตอบ ก็แลดูหน้านายทหารสี่คน โจเบ๊งหนึ่ง ฮั้วเอ๋งหนึ่ง เล่าตัดหนึ่ง จูฮองหนึ่ง แล้วจึงว่า กองทัพเสฉวนข้ามมาตั้งอยู่ฟากข้างนี้ ถ้าเสียแก่เราทหารจะตายในน้ำเปนอันมาก เกียงอุยคนนี้มีกำลังมากนัก ไม่เห็นหน้าผู้ใดจะต้านทานได้ เราเห็นแต่ท่านช่วยกันทั้งสี่คนพอจะรับรองได้อยู่ ถ้าเขาเสียทีถอยเราแล้ว ท่านจงพาทหารไล่บุกบั่นให้จงสามารถ ว่าแล้วก็ให้ทหารเข้ารบ เกียงอุยรบไปหน่อยหนึ่งก็ชักม้ากลับพาทหารหนีมาทางค่าย อองเก๋งเร่งรีบทหารไล่ติดตาม เกียงอุยถอยมาใกล้ริมนํ้าแล้ว พาทหารหนีเลียบฝั่งน้ำไปข้างตวันตก จึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ข้าศึกไล่มาใกล้อยู่แล้ว ทหารเราก็เปนเชื้อชาติทหารแต่ล้วนดี ๆ ฝีมือกล้าหาญ เคยทำการสงครามมาแต่ก่อน เหตุใดครั้งนี้จึงย่อท้อข้าศึกนัก ทหารอองเก๋งอยู่ข้างตวันออก

เตียวเอ๊กแฮหัวป๋ายกทหารมาซุ่มอยู่ ครั้นรู้ว่ารบกันอยู่แล้วก็ตีวกหลังเข้าไปกองหนึ่ง ตีข้างหน้าเข้าไปกองหนึ่ง เกียงอุยก็ตั้งสง่าทำฮึกฮักพาทหารไล่บุกบั่นเข้าไปทั้งสามกอง กันทหารอองเก๋งลงไปข้างแม่นํ้า ทหารอองเก๋งซึ่งลงไปก่อนกลัวน้ำรั้งรออยู่ ที่หนีลงไปข้างหลังทั้งม้าทั้งคนก็เหยียบยํ่ากันตายประมาณสองส่วน ที่หนีลงน้ำก็ตายเปนอันมาก ทหารเกียงอุยตัดสีสะเสียได้สักหมื่นเศษ

ฝ่ายอองเก๋งพาทหารร้อยเศษติหลีกออกไปได้ หนีไปทางเต๊กโตเสียเข้าในเมืองแล้วปิดประตูไว้ให้ทหารรักษามั่นคง เกียงอุยมีชัยชนะแล้วก็เลี้ยงดูทหารให้บำเหน็จรางวัล จึงปรึกษาว่าเราจะยกตามไปตีเมืองเต๊กโตเสีย ทหารทั้งปวงจะเห็นประการใด เตียวเอ๊กจึงห้ามว่า ท่านทำการครั้งนี้มีชัยปรากฎเกียรติยศอยู่แล้ว ขอให้งดแต่เพียงนี้เถิด จะทำการต่อไปอีกถ้าเพลี่ยงพลํ้าจะมิเสียไปหรือ เหมือนเขียนอสรพิษแล้วเขียนเท้าด้วยให้เห็นตีนงู

เกียงอุยจึงว่าท่านว่านี้ไม่ชอบ แต่ก่อนเรายกทัพมาทำการเสียทีเขาเปนหลายครั้ง ครั้งนี้เราอุตส่าห์มาอีกก็ได้ชัยชนะ ทหารเมืองวุยก๊กแตกครั้งนี้ยับเยินแหลกเหลวนัก นํ้าใจอ่อนอยู่แล้ว ถ้าเรายกไปตีอีก ทหารเราก็มีน้ำใจ เห็นจะได้เมืองเต๊กโตเสียโดยง่ายไม่ทันลัดนิ้วมือ เจ้าอย่าท้อใจเลย เตียวเอ๊กห้ามถึงสามครั้ง เกียงอุยไม่ฟังก็ยกทัพไปเมืองเต๊กโตเสีย

ฝ่ายต้านท่ายเสียทัพแก่เกียงอุยแล้ว ไปเกลี้ยกล่อมซ่องสุมทหารจะมาช่วยอองเก๋ง ครั้นเห็นเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋วคุมทหารหนุนมามีความยินดีนัก ออกไปรับเข้ามา เตงงายจึงว่า ท่านมหาอุปราชให้ยกกองทัพมาช่วย ต้านท่ายจึงว่า ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะให้มีชัย

เตงงายจึงว่า เกียงอุยมีชัยแก่เราที่ริมแม่นํ้าเจ้าซุยแล้ว ถ้าตั้งเกลี้ยกล่อมทหารสี่หัวเมืองในแว่นแคว้นนี้ได้แล้วทำการต่อเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นว่าเราจะขัดสน นี่เกียงอุยหาทำฉะนั้นไม่ ยกทัพตรงเข้าล้อมเมืองเต๊กโตเสียทีเดียว เราจะกลัวอันใดด้วยเมืองเต๊กโตเสียมั่นคงนัก ถึงจะตีก็หาได้ไม่ ถ้าเรายกกองทัพซุ่มอยู่เขาฮางเนีย คอยเมื่อกองทัพเกียงอุยยกมา แล้วให้ล่อลวงด้วยกลก็จะหนีไปเปนมั่นคง หาพักรบพุ่งไม่

ต้านท่ายเห็นชอบด้วยก็ให้เกณฑ์ทหารยี่สิบกอง ๆ ละห้าสิบคน จึงให้ตระเตรียมพลุแลประทัดจงมาก ให้ซุ่มอยู่ซอกเขาฮางเนีย ถ้าทัพเกียงอุยยกมาให้จุดพลุประทัดทิ้งแล้วให้โห่ร้องอื้ออึงจงหนัก

ฝ่ายเกียงอุยให้ตั้งค่ายแปดค่ายล้อมเมืองเต๊กโตเสีย ให้ทหารปีนกำแพงทำลายป้อมถึงเก้าวันสิบวันแล้วก็หักเข้าไปมิได้ จนใจมิรู้ที่จะคิดอ่านต่อไปรำคาญใจนัก ครั้นเวลาคํ่ากองสอดแนมให้ม้าใช้มาบอกว่า กองทัพยกมาเปนสองกอง ธงอันหนึ่งมีหนังสือสำคัญว่าต้านท่ายเจียงอ้ายจงกุ๋น ธงอันหนึ่งว่าเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋ว เกียงอุยตกใจให้หาขุนนางมาปรึกษา

แฮหัวป๋าจึงว่า เตงงายคนนี้มีฝีมือรบพุ่งก็กล้าหาญ มีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม เกียงอุยจึงว่า กองทัพเขายกมาไกลทหารเหนื่อยระส่ำระสายอยู่ เราเร่งยกเข้าตีเห็นจะได้ท่วงที อย่าให้ทันตั้งค่ายมั่นลงได้ ว่าแล้วให้เตียวเอ๊กคุมทหารเข้าตีเมือง ให้แฮหัวป๋าไปตีต้านท่าย ฝ่ายเกียงอุยก็ไปตีเตงงาย ยกไปได้ประมาณสักห้าสิบเส้นได้ยินเสียงพลุประทัด เสียงคนโห่ร้องเสียงกลองอื้ออึงสนั่น แลไปเห็นธงปักรายรอบดาษไปก็ตกใจนัก คิดว่าถูกกลศึกเตงงายแล้ว เห็นจะเสียทีก็ถอยทัพ จึงให้ม้าใช้ไปหากองทัพเตียวเอ๊กให้เลิกกองทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง ฝ่ายเกียงอุยอยู่ระวังหลัง ครั้นถอยมาถึงด่านเกียมก๊ก จึงรู้ว่ากองทัพซึ่งล้อมตัวเข้าไว้มากมายอยู่นั้น เปนกลศึกของเตงงายทำล่อลวงให้เสียนํ้าใจ จึงพานายทัพนายกองทั้งปวงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน จึงทูลเรื่องราวซึ่งตัวไปทำการนั้นแต่ต้นจนปลาย

พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเกียงอุยมีชัยได้ความชอบมา จึงให้เลื่อนที่เปนไต้จงกุ๋น เกียงอุยทูลลาไปถึงเมืองแล้วมีน้ำใจโกรธเตงงายนัก ก็ให้ทหารตระเตรียมม้าแลศัสตราวุธแลเครื่องสรรพยุทธ์พร้อมแล้วให้มีหนังสือ เข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ว่าจะขอไปตีเมืองวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง

ฝ่ายอองเก๋งรู้ว่าเกียงอุยล่าทัพหนีไปเพราะเตงงายมาช่วย จึงให้มาเชิญเข้าไปกินโต๊ะในเมือง แล้วก็ให้แต่งหนังสือบอกความชอบเตงงายไปทูลแก่พระเจ้าโจมอ ๆ ก็ให้ตั้งเตงงายเปนอันไสจงกุ๋นคุมทหารอยู่รักษาเมืองเองจิ๋วกับต้านท่าย เตงงายออกไปกระทำคำนับรับตราตามอย่างธรรมเนียม ต้านท่ายก็ให้เชิญเตงงายไปกินโต๊ะแล้วจึงว่าทหารเมืองเสฉวนแพ้ความคิดท่าน ครั้งนี้เห็นจะไม่ยกมาอีกแล้ว เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารเมืองเสฉวนจะยกมาอีกด้วยเหตุถึงห้าประการ ต้านท่ายจึงถามว่าเหตุห้าประการนั้นคืออันใดข้าพเจ้าจะขอฟัง เตงงายจึงว่า เหตุเปนประถมนั้น คือทหารเมืองเสฉวนหนีไปก็จริง แต่ว่าไม่เสียรี้พลแลมีชัยชนะไว้ก่อน ได้ม้าศัสตราวุธของเราไปเปนอันมาก ฝ่ายข้างเรามีชัยให้เขาหนีไปได้ก็จริง แต่ว่าเสียรี้พลมากนัก เหตุเปนคำรบสองนั้น คือทหารเมืองเสฉวนได้แบบอย่างขงเบ้งฝึกสอนไว้ชัดเจนพร้อมเพรียงชำนิชำนาญใน การสงครามนัก ทหารข้างเราหาชำนิชำนาญเหมือนเขาไม่ เหตุคำรบสามนั้น คือทหารเสฉวนยกมาข้างทางบก ทางเรือบันทุกลำเลียงมาส่ง หาลำบากแก่ทหารไม่ ทหารฝ่ายข้างเรายกมาแต่ทางบก ลำบากด้วยสเบียงอาหารนัก เหตุเปนคำรบสี่นั้น คือที่เมืองเต๊กโตเสียเมืองหลงเส เมืองลำอั๋นเขากิสานเหล่านี้กว้างขวางนัก ทหารเสฉวนได้มาเนือง ๆ รู้แห่งทุกตำบล แยกย้ายรายกันมาทุกทาง ทหารเรารักษายากนัก เหตุเปนคำรบห้านั้น คือทหารเสฉวนจะยกทัพมาทำการครั้งไร ก็มาอาศรัยสเบียงอาหารในเมืองเกี๋ยงเปนกำลังทุกครั้ง ข้าพเจ้าเห็นเหตุห้าประการดังนี้ จึงว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาอีกเปนมั่นคง ต้านท่ายจึงสรรเสริญว่า ท่านมีสติปัญญาสอดส่องล่วงรู้ไปดังนี้จะกลัวอันใดแก่ข้าศึก ว่าแล้วต้านท่ายกับเตงงายก็ตั้งสัตย์สาบาลเปนพี่น้องกันตราบเท่าจนวันตาย แล้วก็ให้ทหารทั้งปวงฝึกสอนการสงครามให้ชำนาญทุกประการ จึงให้ทหารไปตั้งค่ายรายอยู่รักษาด่าน ซึ่งเปนที่คับขันมั่นคงทุกตำบล

ฝ่ายเกียงอุยให้เชิญทหารมากินโต๊ะแล้วจึงปรึกษาว่า เราจะยกไปทำการกับเมืองวุยก๊กครั้งนี้จะเปนประการใด โหรคนหนึ่งชื่อว่าฮวนเกี้ยนจึงว่า ท่านยกทัพไปครั้งก่อนได้ชัยชนะมีเกียรติยศปรากฎไว้ ทหารวุยก๊กเกรงกลัวได้เปนศักดิ์ศรีแก่เมืองเสฉวนอยู่แล้ว ท่านจะยกไปอีกครั้งนี้ถ้าเพลี่ยงพลํ้าเสียทีก็จะพลอยให้เกียรติยศครั้งก่อน นั้นเสียไป เกียงอุยจึงว่าท่านทั้งปวงว่านี้ ด้วยเห็นว่าแดนเมืองวุยก๊กนั้นกว้างขวาง แล้วมีทแกล้วทหารมากนักจึงเกรงกลัว ฝ่ายข้าพเจ้าเห็นว่ากองทัพเราได้เปรียบเมืองวุยก๊กมากนัก ด้วยเหตุถึงห้าประการ จึงไม่เกรงเลย

ทหารทั้งปวงจึงถามว่า เหตุห้าประการนั้นสิ่งใดบ้าง เกียงอุยจึงพรรณนาเหตุห้าประการนั้นให้ฟัง ก็เหมือนเตงงายว่าแก่ต้านท่ายนั้น แล้วจึงว่าข้าพเจ้าเห็นได้เปรียบถึงเพียงนี้ จึงเต็มใจที่จะไปตีเมืองวุยก๊ก เมื่อกระนี้มิไปจะไปเมื่อไรเล่า แฮหัวป๋าจึงว่า เตงงายคนนี้เปนเด็กอยู่ก็จริง แต่ว่ามีสติปัญญาหลักแหลมนัก ครั้งนี้ก็ได้เปนที่อันไสจงกุ๋นแล้ว เห็นจะจัดแจงทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองแลด่านทาง ซึ่งเปนที่คับขันมั่นคงยิ่งกว่าเก่า เราอย่าดูถูกจะเสียการ

เกียงอุยได้ยินดังนั้นโกรธนัก ร้องตวาดไปว่าจะทำการใหญ่สิมาพูดอย่างนี้ให้ทหารทั้งปวงเสียนํ้าใจ ใครอย่าห้ามปรามเลยข้าพเจ้าไม่ฟัง ว่าแล้วก็สั่งให้ยกกองทัพ ตัวคุมทหารเปนกองหน้ายกไป ทหารทั้งปวงก็ยกตามมาถึงตำบลเขากิสาน กองสอดแนมจึงให้ม้าใช้มาบอกว่า ทหารเมืองวุยก๊กมาตั้งค่ายสกัดทางอยู่เก้าค่าย เกียงอุยก็ไม่เชื่อ จึงขี่ม้าพาทหารขึ้นบนเนินเขา แลเห็นค่ายรายกันไปเปนท่วงทีเหมือนอสรพิษมีสีสะแลหางคอยวกกระหวัดรัดคน จึงว่าแฮหัวป๋าว่าไว้ก็สมคำ เตงงายคนนี้ความคิดดีนัก พิเคราะห์ดูเห็นประหนึ่งคล้ายคลึงท่านมหาอุปราชอาจารย์ของเรา ซึ่งเราจะหักโหมเข้าไปไม่ได้เห็นจะเสียที ชรอยเตงงายอยู่ในค่ายอันนี้เปนมั่นคง ว่าแล้วพาทหารกล้บมาก็ให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ปากทาง จึงสั่งให้ทหารออกลาดตะเวนเปนห้าพวก ๆ ละห้าร้อย แต่งตัวแปลก ๆ ถือธงห้าอย่าง สีเขียวขาวเหลืองแดงดำไม่ให้เหมือนกัน แล้วตั้งเปาเชานายทหารให้อยู่รักษาค่าย จึงกำชับว่าท่านรักษาให้จงดี ตัวข้าพเจ้าจะยกทัพไปตีเมืองลำอั๋น

ฝ่ายเตงงายรู้ว่ากองทัพเมืองเสฉวนยกมาตั้งอยู่ปากทางช่องแคบหลายวันแล้ว มิได้ยกมาตี มีแต่ทหารมาเที่ยวลาดตะเวนหนทางร้อยหนึ่งร้อยห้าสิบแล้วก็กลับไป ผลัดเปลี่ยนกันมาวันละห้าพวก แต่งตัวแปลก ๆ กันถือธงก็ต่างสีกัน จึงขี่ม้าพาทหารขึ้นไปดูบนเนินเขา แลเห็นค่ายแล้วกลับลงมาบอกแกต้านท่ายว่า ข้าพเจ้าคะเนว่าเกียงอุยหาอยู่ในค่ายไม่ ต่อจะยกไปตีเมืองลำอั๋นมั่นคง ทหารซึ่งยกมาลาดตะเวนนั้นก็เบาบาง ขอให้ท่านยกไปตีค่ายเอาให้ได้ แล้วตั้งสกัดอยู่ต้นทาง ข้าพเจ้าจะยกไปช่วยเมืองลำอั๋น ถ้าเกียงอุยถอยแล้วข้าพเจ้าจะรีบไปตั้งอยู่เขาบูเสียงสัน แล้วจะซุ่มทหารไว้สองฟากทางที่ช่องแคบ ถ้าเกียงอุยยกมาที่นั้นจะยกตีกระหนาบเข้า เห็นจะเสียทีแก่เราฝ่ายเดียว

ต้านท่ายจึงว่า ข้าพเจ้ามาอยู่หัวเมืองหลงเสนี้ช้านานประมาณยี่สิบสามสิบปีแล้ว ยังหารู้จักแผนที่ทั้งปวงไม่ ท่านอยู่หาอื่นเหตุใดจึงรู้จักทุกแห่งทุกตำบลเหมือนเทวดา ท่านว่าทั้งนี้ชอบนักเร่งยกไปเถิด ข้าพเจ้าจะเข้าหักเอาค่ายให้ได้ เตงงายยกทัพไปตามทางลัด เร่งรีบไปถึงเขาบุเสียงสันก่อนเกียงอุย ก็ตั้งค่ายมั่นอยู่บนเนินเขานั้น เตงงายจึงให้เตงต๋งผู้บุตรกับสุเมานายทหารคุมทหารคนละห้าพัน สั่งให้ยกไปตั้งอยู่ที่ซอกเขาตำบลตวนโกะ นายทหารสองคนก็ยกไปซุ่มอยู่ ในค่ายเตงงายห้ามปากเสียงสงบเหมือนไม่มีคน ธงก็มิให้ปักไว้

เกียงอุยยกไปถึงหน้าเขาบูเสียงสันทางจะไปเมืองลำอั๋น จึงว่าแก่แฮหัวป๋าว่าเขาอันนี้เปนที่คับขันมั่นคงนัก ถ้าเราเข้าตั้งค่ายอยู่ได้จะได้เมืองลำอั๋นโดยง่าย แต่ว่าข้าพเจ้าเห็นว่าเตงงายมีความคิด จะยกมาตั้งสกัดอยู่ก่อน พอสิ้นคำก็ได้ยินประทัดแลเสียงกลองเสียงคนโห่ร้องยกลงมาจากเขา แลเห็นธงมีหนังสือสำคัญว่าเตงงาย กองหน้าตกใจนัก เกียงอุยก็ยกหนุนขึ้นไป ทหารเตงงายก็ถอยไป เกียงอุยก็ไล่ติดตามไปถึงหน้าค่าย ให้ทหารร้องท้าทายเปนข้อหยาบช้า ให้เตงงายออกมารบ เตงงายก็ตั้งมั่นไว้ไม่ออกมา เกียงอุยจะหักเข้าไปมิได้ จึงให้ทหารไปตัดไม้ขนศิลามาจะตั้งค่ายประชิด ทหารเตงงายยกออกมาไล่ตีทหารเกียงอุยวุ่นวายจะตั้งค่ายก็มิได้ ก็ถอยทัพกลับไปค่ายเก่า ครั้นเวลารุ่งเช้าเกียงอุยจึงยกทหารไปตั้งค่ายอยู่ที่เขาบูเสียงสัน ค่ายยังไม่ทันมั่น เวลายามเศษเตงงายก็ให้ทหารห้าร้อยเอาเชื้อเพลิงมาเผาค่ายขึ้นได้ก็เข้าตี วุ่นวายขึ้น ตั้งค่ายไม่ได้เกียงอุยก็เลิกทัพมา จึงปรึกษาด้วยแฮหัวป๋าว่า เราจะยกไปตีเมืองลำอั๋นเห็นจะไม่ได้แล้ว เราจะรบเอาเมืองเสียงเท่งเถิดเปนที่ไว้สเบียงอาหาร ตีได้แล้วจะได้เปนกำลังราชการ เมืองลำอั๋นก็จะพลอยได้โดยง่าย ข้าพเจ้าจะยกไปตีเมืองเสียงเท่ง ท่านอุตส่าห์ตั้งค่ายมั่นไว้แต่ไกลให้เตงงายระวังอยู่ ว่าแล้วเกียงอุยก็ยกทหารไปในกลางคืนวันนั้น ครั้นรุ่งสว่างแลเห็นเขาเปนช่องแคบกันดารนัก จึงถามผู้นำทางว่าเขาอันนี้ชื่อไร ผู้นำทางจึงบอกว่าชื่อเขาตวนโกะ เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเขาอันนี้เปนที่คับขันชื่อเสียงก็ร้ายอยู่หาดีไม่ ถ้าข้าศึกมาสกัดอยู่ทางที่จะกลับไปเราจะมิขัดสนหรือ ว่าแล้วก็อํ้าอึ้งอยู่ มืกองสอดแนมมาบอกว่าเห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นข้างหลังเขา ชรอยจะมีกองทัพมา เกียงอุยได้แจ้งดังนั้นจะถอยทัพกลับมา ฝ่ายสุเมากับเตงต๋งยกทหารออกตีกระหนาบไล่มา เกียงอุยก็รบพลางหนีพลางค่อยถอยมา ฝ่ายเตงงายก็ยกทัพตีสกัดไว้ กองทัพทั้งสามตีระดมเข้าพร้อมกัน ทหารเกียงอุยระส่ำระสายล้มตายเปนอันมาก พอแฮหัวป๋ายกทัพมาตีกระหนาบเข้าไป ทัพเตงงายก็ถอยไป เกียงอุยก็ออกมาหาแฮหัวป๋าได้ จะพากันยกกลับไปค่ายเขากิสาน แฮหัวป๋าจึงบอกว่า ต้านท่ายยกมาตีเขากิสานแตก เปาเชานายทหารก็ตาย ทัพนั้นก็ล่าไปเมืองฮันต๋งแล้ว เกียงอุยก็จนใจมิรู้ที่จะคิดอ่านการสืบไป ก็ให้ล่าทัพกลับมาทางน้อยริมเขา เตงงายก็ยกทัพไล่ติดตามมา เกียงอุยก็ให้กองทัพทั้งปวงมาก่อน ตัวลงอยู่รั้งหลัง ครั้นยกถอยมาถึงริมเขาต้านท่ายซุ่มทหารอยู่ที่นั้นเห็นกองทัพเกียงอุยยกมาก็ พาทหารออกตีสกัดไว้ ทหารเตงงายต้านท่ายล้อมทัพเกียงอุยเข้าไว้ ฆ่าทหารเกียงอุยตายเปนอันมาก ฝ่ายเกียงอุยจะหักออกไปด้านไหนก็มิได้ เตียวหงีทหารเกียงอุยยกทหารมาถึงเข้าเห็นดังนั้น ก็พาทหารประมาณสามร้อยกระโจมตีเข้าช่วยเกียงอุย ๆ ก็ตีออกมาได้ ฝ่ายเตียวหงีก็ถูกเกาทัณฑ์ตายในที่รบ เกียงอุยพาทหารเหลือตายหนีไปเมืองฮันต๋ง แล้วระลึกถึงคุณเตียวหงีนัก ว่าเปนคนสัตย์ซื่อสามิภักดิ์ทำราชการจนตายในการศึก จึงให้บำเหน็จรางวัลแก่บุตรภรรยาแลลูกหลานว่านเครือ แล้วจัดแจงผู้ซึ่งได้ราชการมาตั้งเปนนายทหารแทนที่เตียวหงี

เกียงอุยจึงปรึกษาโทษตัวเองว่า เรายกทัพไปทำการครั้งนี้ เสียทหารแลม้าศัสตราวุธมากมายโทษอันนี้ใหญ่หลวงนัก เราจะทำโทษตัวเหมือนอย่างมหาอุปราชเสียเกเต๋งแก่สุมาอี้นั้นจึงจะควร ว่าแล้วก็แต่งเรื่องราวปรับโทษถอดเสียจากที่ยศฐาศักดิ์ แต่ว่าได้ว่าราชการเปนนายทหารทั้งปวง ไปถวายแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยน

ฝ่ายเตงงายกับต้านท่ายครั้นทัพเมืองเสฉวนหนีไปแล้ว ก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงนายทัพนายกองแลให้รางวัลแก่ทหารทั้งปวงตามสมควร ต้านท่ายจึงให้มีหนังสือบอกยกความชอบเตงงายไปถึงสุมาเจียว ๆ ก็ให้มีตราไปตั้งเตงงายเลื่อนที่ขึ้นไป บุตรเตงงายก็ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ครั้งนั้นพระเจ้าโจมอเสวยราชยํได้สามปี (พ.ศ. ๗๙๙) ชื่อเมืองแต่ก่อนนั้นชื่อว่าไกเจ้ง ครั้งนั้นให้แปลงใหม่ชื่อว่ากำลอ

(๑) มีในเรื่องไคเพ็ก


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81

https://drive.google.com/file/d/1pz2ZPbQhkja-dTZXUxIXdqL70G1-U8Ka/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #1 on: 24 December 2021, 08:54:38 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 82


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-82.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 82

เนื้อหา
• สุมาเจียวคิดการจะกำเริบ
• จูกัดเอี๋ยนยกไปรบสุมาเจียว
• ซุนหลิมยกทัพกังตั๋งไปสมทบกับจูกัดเอี๋ยน
• จูกัดเอี๋ยนตาย


ฝ่ายสุมาเจียวได้ว่าราชการเมืองวุยก๊กทั้งแผ่นดิน การทั้งปวงสิทธิ์ขาดอยู่แต่ผู้เดียวมิได้ทูลพระเจ้าโจมอเลย จะเข้าออกในพระราชวังก็ให้ทหารสามพันถือศัสตราวุธแห่หน้าหลังสำหรับรักษาตัว ครั้นเห็นไม่มีผู้เสมอถึงสองแล้วก็มัวเมาด้วยยศฐาศักดิ์ ใจคิดเอื้อมขึ้นไปจะเอาราชสมบัติ มีคนสนิธคนหนึ่งชื่อแกฉงเปนลูกแกกุ๋ยเปนที่ไว้ใจสุมาเจียว จึงไปพูดแก่สุมาเจียวที่สงัดว่า ท่านมียศฐาศักดิ์สูงใหญ่ในทืศทั้งสี่ ราชสมบัติทั้งนี้เห็นจะอยู่ในมือท่าน ถ้าจะทำการบัดนี้เกรงคนทั้งปวงจะมิสมัคพร้อมใจกัน จำจะฟังระคายดูนํ้าใจคนทั้งปวงก่อน จึงจะได้คิดการใหญ่สืบไป

สุมาเจียวจึงว่าข้าคิดอยู่นานแล้ว แต่ว่าหารู้ที่จะออกปากแก่ผู้ใดไม่ เจ้ารักเราคิดอ่านดังนี้เปนความชอบหนักหนา ถ้ากระนั้นเจ้าช่วยเดิรไปเมืองห้วยหลำพูดจาดูน้ำใจเจ้าเมือง แต่ว่าทำเปนว่าข้าใช้ไปให้รางวัลแก่ทหารผู้มีชื่อซึ่งทำสงครามมีความชอบนั้น ฟังแยบคายดูจะคิดการด้วยเราหรือไม่ แกฉงก็รับคำสุมาเจียวแล้วก็ไปเมืองห้วยหลำ

ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนเจ้าเมืองห้วยหลำ เดิมอยู่บ้านลำเอี๋ยงในเมืองหลงเส เปนลูกพี่ลูกน้องกับขงเบ้ง ทำราชการอยู่เมืองวุยก๊ก เมื่อขงเบ้งเปนมหาอุปราชอยู่เมืองเสฉวนหาได้เปนที่ยศฐาศักดิ์ไม่ ด้วยคนทั้งปวงเกรงว่าจะไปเข้าด้วยพี่น้อง ครั้นขงเบ้งตายแล้วก็ได้ยศฐาศักดิ์เปนขุนนางผู้ใหญ่ ได้ว่ากล่าวเมืองห้วยหลำห้วยเขทั้งสองหัวเมือง เปนใหญ่แก่ทหารทั้งปวง ครั้นแกฉงเข้าไปหาก็เชิญให้กินโต๊ะเสพย์สุรา แกฉงเห็นจูกัดเอี๋ยนเมาสุราตึงตัวแล้วก็แกล้งพูดจะดูนํ้าใจ ว่าประชาราษฎรติเตียนเจ้าแผ่นดินว่าเปนคนโง่รู้ไม่ถึงความ หาควรจะเปนเจ้าไม่ วงศ์สุมาเจียวได้เปนมหาอุปราช บำรุงแผ่นดินมาถึงสามต่อแล้ว รักษาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุขสนุกสบายหาอันตรายมิได้ เปนความชอบใหญ่นักควรจะแทนที่เจ้าเมืองวุยก๊ก ท่านจะเห็นประการใด

จูกัดเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธ ว่าเจ้าเปนลูกแกกุ๋ยได้กินเบี้ยหวัดผ้าปีเมืองวุยก๊กมา ควรที่จะมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เจ้ามาเจรจาหยาบช้าหาควรไม่เลย แกฉงได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงว่ากล่าวนบนอบว่า ข้าพเจ้าได้ยินคนอื่นเขาว่าก็ขัดใจ จึงเก็บเอามาเล่าให้ท่านรู้ด้วย

จูกัดเอี๋ยนจึงว่า ถ้าอันตรายมาถึงเจ้าแผ่นดิน เราเปนข้าราชการควรจะอาสาสนองพระเดชพระคุณจนสิ้นชีวิต แกฉงได้ยินดังนั้นก็นิ่งอยู่ นอนด้วยจูกัดเอี๋ยนคืนหนึ่งรุ่งเช้าก็ลาไป ครั้นถึงจึงเล่าเนื้อความซึ่งเจรจากับจูกัดเอี๋ยนทุกประการ สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็โกรธนัก ว่าควรหรือมาบังอาจเจรจาอย่างนี้ แกฉงจึงว่า จูกัดเอี๋ยนคนนี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ โอบอ้อมเอาใจทหารทั้งปวง ทหารก็รักใคร่ นานไปเห็นจะมีภัยมาเปนมั่นคง อย่าช้าเลยท่านเร่งคิดล้างจูกัดเอี๋ยนเสียให้ได้ สุมาเจียวเห็นชอบด้วย ก็ให้หนังสือลับไปถึงงักหลิมเจ้าเมืองเองจิ๋ว แล้วจึงให้มีตรารับสั่งไปถอดจูกัดเอี๋ยนเสียจากที่เจ้าเมืองห้วยหลำ จะเอาเข้ามาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ทำราชการในเมืองหลวง

ฝ่ายผู้ถือตราไปถึงเข้า จูกัดเอี๋ยนแจ้งข้อรับสั่งแล้ว รู้ว่าแกฉงเอาเนื้อความซึ่งพูดกันนั้นไปบอกแก่สุมาเจียว จึงคิดอ่านทำทั้งนี้หวังจะทำร้ายแก่เรา จึงเอาตัวผู้ถือตรามาซักถามเอาเนื้อความ ผู้ถือตราให้การว่า ความทั้งนี้ข้าพเจ้าหารู้ไม่ งักหลิมเจ้าเมืองนั้นแลเห็นจะรู้ จูกัดเอี๋ยนถามว่าเขาจะรู้ด้วยเหตุอันใด ผู้ถือตราบอกว่างักหลิมจะรู้ด้วยสุมาเจียวให้หนังสือลับไปถึงใบหนึ่ง จูกัดเอี๋ยนจึงให้เอาผู้ถือหนังสือไปฆ่าเสีย แล้วยกทหารพันหนึ่งไปตีเมืองเองจิ๋ว ครั้นถึงประตูข้างทิศใต้เห็นประตูเมืองปิดอยู่ จูกัดเอี๋ยนเข้าไปถึงเชิงกำแพงร้องให้เปิดประตูรับไม่มีผู้ใดจะเปิด จูกัดเอี๋ยนโกรธจึงร้องด่าว่า อ้ายงักหลิมคนนี้เปนคนโฉดเขลาบังอาจมาคิดร้ายแก่กู แล้วสั่งให้ทหารเข้าตีเมือง ทหารดีมีฝีมือประมาณสิบคนโจนลงจากม้าข้ามคูปีนกำแพงขึ้นไปได้ ไล่ฆ่าฟันทหารบนเชิงเทินหนีไปสิ้น แล้วก็เปิดประตูเมืองออกมา

จูกัดเอี๋ยนพาทหารเข้าไปในเมือง ให้ทหารจุดไฟไหม้ขึ้นเปนอันมาก ก็ยกทหารตีเข้าไปจนตึกงักหลิม ๆ ตกใจนักหนีขึ้นไปอยู่ในห้องชั้นบน จูกัดเอี๋ยนถือกระบี่พาทหารไล่ค้นคว้าหาตัวพบเข้าจึงร้องตวาดว่า บิดาของท่านแต่ก่อนเปนข้าแผ่นดินเมืองวุยก๊ก ตัวท่านก็เปนข้าราชการสืบมาพระคุณหนักนัก ชอบจะกตัญญูรู้จักคุณเจ้าเข้าแดง ควรแล้วหรือมาคิดขบถเข้าด้วยสุมาเจียว งักหลิมยังมิทันตอบจูกัดเอี๋ยนก็ฟันด้วยกระบี่ งักหลิมตาย

จูกัดเอี๋ยนจึงมีหนังสือกล่าวโทษสุมาเจียว ไปทูลแก่พระเจ้าโจมอ ณ เมืองลกเอี๋ยง แล้วก็ให้เกณฑ์ทหารเมืองห้วยหลำเมืองห้วยเขได้สิบหมื่นเศษ ในเมืองเกงจิ๋วได้สิบหมื่นเศษ แล้วจึงสั่งให้เตรียมม้าแลเครื่องศัสตราวุธแลสเบียงอาหารไว้ให้พร้อม แล้วจึงให้งอก๋งคนผู้ใหญ่เปนที่ปรึกษา พาตัวจูกัดเจ้งผู้บุตรไป ณ เมืองกังตั๋ง ให้ไปมอบไว้เปนจำนำหวังจะขอกองทัพไปช่วยกำจัด สุมาเจียวซึ่งเปนศัตรูแผ่นดิน

ครั้งนั้นซุนจุ๋นซึ่งเปนมหาอุปราชเมืองกังตั๋งนั้นตายแล้ว ซุนหลิมผู้น้องได้ว่าที่มหาอุปราชแทนที่พี่ชาย ก็ฆ่าเตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่กับพวกทหารชื่อว่าลิกี๋อ๋องตุ้นตาย จึงได้เปนใหญ่ยศฐาศักดิ์สูงกว่าขุนนางทั้งปวง ฝ่ายพระเจ้าซุนเหลียงก็มีสติปัญญาอยู่ แต่ว่าไม่รู้ที่จะว่ากล่าวประการใด ด้วยราชการแผ่นดินสิทธิ์ขาดอยู่แก่ซุนหลิมผู้เดียว งอก๋งไปถึงเมืองโจะเทาเสียก็เข้าไปหาซุนหลิม ๆ จึงถามว่า ท่านมานี้ด้วยเหตุอันใด งอก๋งจึงว่าจูกัดเอี๋ยนเปนพี่น้องของขงเบ้งทำราชการอยู่เมืองวุยก๊ก เห็นพวกสุมาเจียวยกเจ้าแผ่นดินออกเสีย จะคิดอ่านเอาราชสมบัติเอง จูกัดเอี๋ยนจะคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดิน เห็นกำลังทหารของตัวน้อยนักจึงให้ข้าพเจ้ามาหาท่านขอกองทัพไปช่วย เกรงว่าท่านจะมิเชื่อ จึงให้ข้าพเจ้าเอาจูกัดเจ้งผู้บุตรมามอบให้ท่านไว้เปนคนจำนำ ขอให้ท่านยกทหารไปช่วย ซุนหลิมก็เชื่อจึงให้นายทหารชื่อว่าจวนต๊กจวนต๋วนสองคนเปนแม่ทัพหลวง อิ๋นจวนเปนทัพหนุน ให้จูอี้ต๋องอู่สองคนเปนกองหน้า ให้บุนขิมนำหนทาง ทหารทั้งสามกองนั้นเปนคนเจ็ดหมื่นยกไปช่วยจูกัดเอี๋ยน งอก๋งก็ลาซุนหลิมมาเมืองห้วยหลำไปแจ้งแก่จูกัดเอี๋ยนว่า ได้กองทัพเมืองกังตั๋งมาแล้ว จูกัดเอี๋ยนมีความยินดีนัก ก็ให้จัดแจงกองทัพพร้อมแล้วจะยกไป

ฝ่ายสุมาเจียวได้แจ้งหนังสือซึ่งจูกัดเอี๋ยนให้ไปทูลแก่พระเจ้าโจมอนั้น มีความโกรธนัก คิดอ่านจะยกทัพไปตีจูกัดเอี๋ยนเอง แกฉงจึงว่าวงศ์ของท่านได้อุปถัมภ์บำรุงแผ่นดินมาแต่บิดาแลพี่ชายสืบต่อมาจน ถึงท่าน คุณนี้หนักหนาอยู่แล้วยังไม่ทั่วไปในทิศทั้งสี่อีกเล่า ยังมีคนมาคิดขบถอย่างนี้ ซึ่งท่านจะออกไปปราบศัตรูเองนั้นข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ เกรงศัตรูจะทำวุ่นวายขึ้นในราชฐาน ภายหลังจะกลับมาปราบปรามนั้นเห็นขัดสน ถ้าท่านเชิญนางกวยทายเฮากับเจ้าแผ่นดินออกไปปราบปรามศัตรูเห็นจะสงบโดยง่าย

สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็ยินดีนัก จึงว่าท่านว่านี้ต้องความคิดของข้าพเจ้า ว่าแล้วก็เข้าไปทูลนางกวยทายเฮาว่า จูกัดเอี๋ยนคิดขบถ ข้าพเจ้ากับขุนนางทั้งปวงปรึกษาพร้อมกัน ขอเชิญพระองค์กับพระเจ้าโจมอออกไปด้วย จะได้ปราบศัตรูให้ราบคาบรักษาแผ่นดินไว้อย่าให้เปนอันตราย เหมือนคำพระเจ้าโจยอยซึ่งสั่งไว้นั้น นางกวยทายเฮากลัวขัดมิได้ก็รับว่าจะไป ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งสุมาเจียวจึงเข้าไปทูลพระเจ้าโจมอว่า ขอเชิญเสด็จพระองค์ไปทัพ

พระเจ้าโจมอจึงว่า ท่านมหาอุปราชได้ว่าราชการทั้งแผ่นดินสิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน จะบังคับบัญชาผู้ใดก็มิได้ขัดขวาง ตามแต่จะไปเถิด ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปนั้นด้วยเหตุอันใด สุมาเจียวจึงว่า ถ้าพระองค์จะไม่ไปเห็นหาควรไม่ ครั้งพระเจ้าโจโฉไปเที่ยวปราบปรามศัตรูจนถึงท้องพระมหาสมุทร ฝ่ายพระเจ้าโจผีพระเจ้าโจยอยก็คิดจะใคร่ให้แผ่นดินราบคาบ ถ้าราชศัตรูบังเกิดที่ไหนก็อุตส่าห์ไปปราบทุกทิศ ขอให้พระองค์ไม่ล้างศัตรูตามอย่างเชื้อพระวงศ์สืบมา ซึ่งพระองค์เกรงกลัวนั้นหาควรไม่ พระเจ้าโจมอขัดมิได้ก็รับว่าจะไป จึงมีตรารับสั่งให้เกณฑ์กองทัพในเมืองหลวงทั้งสองเมืองได้ยี่สิบหกหมื่น ตั้งอองกี๋เปนทัพหน้า ตังเขียนเปนปลัดทัพหน้า โจเป๋าเปนปีกขวา จิวท่ายเจ้าเมืองกุนจิ๋วเปนปีกซ้าย แล้วพระเจ้าโจมอก็ทรงราชรถยกทัพไปทางเมืองห้วยหลำ ก็ไปถึงทัพเมืองกังตั๋งซึ่งเปนทัพหน้ามาช่วยจูกัดเอี๋ยนนั้น จูอี้ซึ่งเปนทัพหน้าเมืองกังตั๋งก็ยกทหารออกสู้ ฝ่ายอองกี๋ก็ขี่ม้าคุมทหารออกรบ จูอี้รบกับอองกี๋ไม่ทันถึงสามเพลงเพลี่ยงพลํ้าเสียทีก็หนี ต๋องอู่ขี่ม้าออกมารบแทนยังไม่ทันได้สามเพลงก็หนีไป อองกี๋ก็พาทหารบุกรุกไล่ ทัพกังตั๋งเสียทีก็ล่าทัพหนีไปทางประมาณห้าร้อยเส้นก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ จึงให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการแก่จูกัดเอี๋ยนซึ่งมาตั้งอยู่ ณ เมือง ชิวฉุน จูกัดเอี๋ยนก็ยกทหารมากับบุนขิม แลบุนเอ๋งบุนเฮาบุตรบุนขิมสองคน

ฝ่ายสุมาเจียวรู้ว่าทัพจูกัดเอี๋ยนยกมาบัญจบทัพกังตั๋งแล้ว จึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่สองคน ชื่อว่าโปยสิวคนหนึ่งจงโฮยคนหนึ่งมาปรึกษาราชการสงคราม จงโฮยจึงว่า กองทัพเมืองกังตั๋งยกมาช่วยเขาครั้งนี้เพราะโลภเห็นแก่ลาภ เราเอาสิ่งของไปล่อลวงก็จะปราชัยแก่เรา สุมาเจียวเห็นชอบด้วย ก็สั่งให้โจเป๋าจิวท่ายคุมทหารเปนสองกองไปซุ่มอยู่ต้นทางเมืองโจเทาเสีย ให้อองกี๋กับตังเขียนคุมทหารไปซุ่มอยู่ปลายทางนั้น แล้วใช้ให้เซงจุยทหารรองไปล่อลวงให้ออกมารบ จึงสั่งว่าถ้าเขามาตีแล้วทำเปนหนีไปตามทางเมืองโจะเทาเสีย ให้ตันจุ้นคุมฝูงม้าแลโคเกวียนบันทุกสิ่งของไปปลงอยู่ที่ทางนั้น จึงสั่งว่าถ้าข้าศึกมาให้ทิ้งสิ่งของเสียหนีไป

ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนให้จูอี้ทหารกังตั๋งเปนปีกขวา บุนขิมเปนปีกซ้ายยกไป เห็นกองทัพวุยก๊กมิได้ตระเตรียมม้าแลทหารเลินเล่ออยู่ ก็ให้ทหารเข้าตี ซุนจุ้นก็พาทหารหนีไป ตันจุ้นซึ่งคุมสิ่งของมานั้น เห็นจูกัดเอี๋ยนยกมาก็ทิ้งสิ่งของพาทหารหนีไป ทหารจูกัดเอี๋ยนเห็นสิ่งของตกเรี่ยราย ต่างคนก็เก็บสิ่งของโคแลม้าหาได้ระวังตัวไม่ พอได้ยินเสียงพลุแลประทัดจุดขึ้น แลไปก็เห็นโจเป๋ากับจิวท่ายคุมทหารสองกองตีบุกรุกเข้ามา จูกัดเอี๋ยนตกใจกลัวถอยทัพ ก็เห็นอองกี๋กับตังเขียนคุมทหารตีกระนาบเข้ามา ฝ่ายสุมาเจียวก็ยกทหารหนุนเข้ามา จูกัดเอี๋ยนเห็นเหลือกำลังที่จะสู้รบต้านทาน ก็ถอยหนีไปถึงเมืองชิวฉุนแล้วให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทิน ฝ่ายสุมาเจียวก็ให้เข้าล้อมตีทั้งสี่ทิศ ฝ่ายทหารกองทัพเมืองกังตั๋งถอยไปอยู่ตำบลตันฉอง พระเจ้าโจมอก็ไปตั้งทัพยับยั้งอยู่เมืองฮางเสีย

จงโฮยจึงว่าแก่สุมาเจียวว่า ในเมืองชิวฉุนนี้เข้าปลาอาหารยังบริบูรณ์อยู่ ถ้าเราจะล้อมไว้เห็นจะไม่ขัดสนสเบียง เกรงแต่ทหารเมืองกังตั๋งจะยกมาตีทัพหลังเข้าเราจะวุ่นวาย ซึ่งเราจะล้อมไว้ทั้งสี่ทิศนั้นจะเสียการ จะขอให้ล้อมแต่สามด้านเปิดข้างทิศใต้ไว้ ถ้าหนีออกจากเมืองแล้วเราจึงให้ทหารไล่ติดตามรบบุกบั่นให้จงสามารถ เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว กองทัพกังตั๋งนั้นมาทางไกลจะได้สเบียงอาหารมาก็น้อย ซึ่งจะส่งมาอีกนั้นเห็นจะไม่ทัน ขอให้ยกกองทัพไปสกัดอยู่ข้างหลัง ยังมิทันเข้าตีก็จะสดุ้งตกใจหนีไปเอง

สุมาเจียวได้ยินดังนั้นยื่นมือไปลูบหลังจงโฮยแล้วสรรเสริญว่า ท่านมีความคิดมากนัก เหมือนปัญญาความคิดเตียวเหลียงครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจ ว่าแล้วก็ให้อองกี๋เลิกทหารซึ่งล้อมอยู่ข้างทิศใต้นั้นเสีย

ฝ่ายซุนหลิมเมืองกังตั๋งให้หาตัวจูอี้ทัพหน้ามาคาดโทษว่า แต่ให้ไปเฝ้าเมืองชิวฉุนเท่านี้สิไม่ได้ราชการ นี้หรือจะคิดอ่านเอาเมืองวุยก๊กได้ ถ้าทำการครั้งนี้มิชนะแก่ข้าศึกเราจะฆ่าเสีย จูอี้ก็คำนับลากลับไปค่ายปรึกษาแก่นายทัพนายกองทั้งปวง อีจวนแม่ทัพหนุนจึงว่า ทิศข้างใต้ข้าศึกหาล้อมไม่ ข้าพเจ้าขอยกกองทัพเข้าไปช่วยจูกัดเอี๋ยนรักษาเมืองไว้ ท่านจงยกทหารเข้าตีกองทัพวุยก๊ก ข้าพเจ้าจึงจะยกทหารในเมืองเข้าตีกระหนาบออกมา เห็นว่ากองทัพวุยก๊กจะแตกเปนมั่นคง จูอี้เห็นชอบด้วย จึงให้อีจอจวนเต๊กจวนตวนบุนขิมนายทหารสี่คนคุมทหารหมื่นหนึ่งยกเข้าไปทาง ประตูทิศใต้

ฝ่ายทหารเมืองวุยก๊กไม่มีรับสั่งให้ตีสกัดไว้ ก็ปล่อยกองทัพเมืองกังตั๋งเข้าไปในเมือง จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาเจียว ๆ รู้แล้วจึงว่ากองทัพกังตั๋งแบ่งกันเข้าไปช่วยรักษาเมืองไว้ จูอี้ก็จะยกเข้าตีเรา สมคะเนที่เราคิดไว้ จึงให้หาอองกี๋ตันเกี๋ยนนายทหารสองคนมาสั่งว่า ท่านยกทหารไปซุ่มที่ทางกองทัพจูอี้จะยกมา ถ้าเขาคล้อยเข้ามาหน่อยหนึ่งแล้วจึงให้ทหารโห่ร้องไล่ฆ่าฟันตามหลังเข้ามา อองกี๋ตันเกี๋ยนก็พาทหารไปซุ่มอยู่ตามสั่ง ครั้นกองทัพจูอี้ยกทหารคล้อยเข้ามาแล้ว ก็ยกทหารออกตีไล่หลังเข้ามา กองทัพเมืองกังตั๋งก็แตก ตัวจูอี้ก็แตกไปหาซุนหลิม ๆ โกรธนัก ว่าเองเปนคนทัพแตกจะเอาไว้มิได้ ก็สั่งให้ทหารเอาไปฆ่าเสีย จึงให้หาจวนฮุยผู้เปนบุตรจวนตวนมาสั่งว่า ท่านเร่งยกไปตีทัพวุยก๊กให้ถอยไปจงได้ ถ้ามิได้ทั้งพ่อทั้งลูกอย่ากลับมาหาเรา ซุนหลิมสั่งแล้วก็ไปตำบลเกี๋ยนเงียบ

ฝ่ายจงโฮยจึงว่าแก่สุมาเจียวว่า กองทัพซึ่งมาช่วยนั้นแตกไปแล้ว เรายกทหารเข้าล้อมให้รอบทั้งสี่ด้านเถิด สุมาเจียวเห็นชอบด้วย ก็ให้ทหารระดมทั้งสี่ด้าน ฝ่ายจวนฮุยยกทหารมาเห็นทหารเมืองวุยก๊กมากนักจะหักเข้าไปก็มิได้ จะถอยหลังไปก็กลัวซุนหลิม ก็สมัคเข้าอยู่ด้วยสุมาเจียว ๆ ก็ตั้งให้จวนฮุยเปนทหารรอง ฝ่ายจวนฮุยมีความยินดีนักคิดอ่านกตัญญูรู้คุณสุมาเจียว จึงเขียนหนังสือเปนใจความว่า ให้จวนตวนผู้เปนบิดาจวนเต๊กผู้อาว์เราสมัคมาอยู่ด้วยสุมาเจียวเถิด ซุนหลิมนั้นเปนคนหยาบช้าหามีความเมตตากรุณาไม่ ข้าพเจ้าก็มาเข้าด้วยสุมาเจียวแล้วก็ผูกกับลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมือง จวนเต๊กได้หนังสือแล้วก็ไปหาจวนตวน พาทหารพรรคพวกของตัวเปิดประตูออกมาเข้าด้วยสุมาเจียว

ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนเปนทุกข์นัก คิดอ่านอุบายที่จะแก้ไขเอาตัวรอด เจียวปั้นกับเจียวอี้ที่ปรึกษาจึงว่าแก่จูกัดเอี๋ยนว่า สเบียงอาหารในเมืองนี้ก็เบาบางลงแล้ว ทหารก็มากซึ่งจะกินนานไปเห็นหาพอไม่ จะให้เขาล้อมไว้นานนักเห็นจะไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้ยกทหารเรากับทหารเมืองกังตั๋งตีบากออกไปให้จงได้ ถ้าไปมิได้ก็จะรบพุ่งให้จงสามารถกว่าจะตายลงด้วยกัน จูกัดเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธนักจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นพอจะรักษาไว้ได้อยู่ ท่านมาคิดอย่างนี้เห็นจะได้แล้วหรือ ว่าทั้งนี้แกล้งจะให้แพ้แก่ข้าศึก ถ้าท่านว่าอย่างนี้สืบไปเราจะเอาตัวไปฆ่าเสีย

เจียวปันเจียวอี้ได้ยินดังนั้นก็จนใจ เงยหน้าขึ้นทอดใจใหญ่แล้วพากันออกมาจึงปรึกษากันว่า จูกัดเอี๋ยนนี้จะถึงที่ตายอยู่แล้ว เร่งคิดอ่านสมัคไปเข้าด้วยสุมาเจียวเถิด เห็นจะรอดจากความตาย ครั้นเวลายามเศษเจียวปั้นเจียวอี้ปีนกำแพงออกไปเข้าด้วยสุมาเจียว ๆ ก็เอาไว้ใช้ราชการ แต่นั้นไปทหารมีฝีมือในเมืองชิวฉุนไม่มีผู้ใดจะคิดอ่านว่าจะออกไปรบเลย จูกัดเอี๋ยนแลเห็นกองทัพสุมาเจียวพูนดินเปนสนามเพลาะขึ้นกันน้ำ ด้วยกลัวน้ำในแม่นํ้าห้อยซุ้มจะท่วมมาก็ดีใจ คิดว่าแม่นํ้าห้อยซุ้มเกิดน้ำใหญ่ท่วมทหารสุมาเจียวแล้ว เราจะยกออกตีเห็นจะมีชัยชนะ ตั้งแต่ฤดฝนมาจนถึงหน้าหนาวไม่มีฝนตกเลย น้ำในแม่นํ้าห้อยซุ้มก็น้อยไป สเบียงในเมืองก็สิ้นแล้ว

ฝ่ายบุนขิมกับบุตรสองคนก็คุมทหารรักษาหน้าที่อยู่ ครั้นเห็นทหารอดหยากก็เข้ามาแจ้งแก่จูกัดเอี๋ยนว่าสเบียงอาหารสิ้นแล้ว ทหารขัดสนนัก ขอให้ปล่อยทหารห้วยหลำเปนชาวเมืองออกไปเที่ยวหากินให้เบาสเบียงเราลง จูกัดเอี๋ยนโกรธ ว่าท่านว่าทั้งนี้แกล้งจะคิดร้ายเราหรือ ว่าแล้วก็สั่งให้เอาบุนขิมไปฆ่าเสีย

ฝ่ายบุนเอ๋งบุนเฮาเห็นบิดาตายก็โกรธนัก ถอดดาบออกไล่ฟันทหารบนเชิงเทินล้มตายกว่าสิบคน แล้วโดดลงจากกำแพงข้ามคูไปหาสุมาเจียว เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง สุมาเจียวเห็นบุนเอ๋งเข้ามีความแค้นนัก ด้วยบุนเอ๋งตีทัพสุมาสูผู้เปนพี่แต่ครั้งก่อนนั้น คิดจะใคร่ฆ่าเสีย จงโฮยจึงห้ามว่า ซึ่งโทษผิดแต่ครั้งก่อนนั้นเพราะบุนขิมผู้เปนบิดา บัดนี้บุนขิมก็ตายแล้ว บุนเอ๋งบุนเฮาถึงที่อับจนแลยอมสมัคมาอยู่ด้วยเรา ถ้าท่านเอาไปฆ่าเสียข้าศึกผู้ใดจะสมัคเข้ามาหาเราสืบไปหามิได้ สุมาเจียวเห็นชอบด้วย จึงเรียกบุนเอ๋งบุนเฮาเข้าไปพูดจาเล้าโลมด้วยถ้อยคำอันไพเราะแล้วตั้งให้เปน นายทหารรอง จึงให้ม้าแลเสื้อผ้าเปนรางวัล

บุนเอ๋งบุนเฮากระทำคำนับลาเข้าไปร้องว่า เราทั้งสองคนนี้สมัคเข้ามาอยู่กับท่านมหาอุปราช ๆ ก็หาเอาโทษซึ่งเราทำผิดไว้แต่ก่อนไม่ กลับให้ยศฐาศักดิ์รางวัล ท่านทั้งปวงเปนไรไม่คิดที่จะออกมาเข้าด้วยมหาอุปราช ทหารข้างในเมืองได้ยินดังนั้นจึงปรึกษากันว่า บุนเอ๋งเปนคนอริกับสุมาเจียวมาแต่ก่อน สุมาเจียวยังไม่เอาโทษ ก็ควรแล้วที่เราทั้งปวงจะออกไปเข้าด้วยสุมาเจียว จูกัดเอี๋ยนได้แจ้งดังนั้นจะเอาโทษก็เห็นมากกว่ามากนักก็มิไว้ใจทหารทั้งปวง จึงออกตรวจตราหน้าที่เองทั้งกลางวันกลางคืน ทำอาญาฆ่าฟันโบยตีข่มขี่ทหารหนักขึ้นไปกว่าเก่า

ฝ่ายจงโฮยเห็นทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองนั้นเอาใจออกหากอยู่สิ้น จึงว่าแก่สุมาเจียวว่า ท่านเร่งให้ทหารเข้าตีเถิด คนในเมืองเรรวนอยู่แล้ว สุมาเจียวมีความยินดีนัก ก็เร่งให้ทหารเข้าตีระดมพร้อมกันทั้งสี่ด้าน เจงสวนนายทหารซึ่งรักษาประตูทิศเหนือได้ท่วงทีก็เปิดประตูออกรับกองทัพเมือง วุยก๊กเข้าไป

ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนรู้ว่าทหารวุยก๊กเข้าเมืองได้แล้ว ก็คุมทหารสมัคพรรคพวกประมาณสามร้อยหนีออกจากเมือง ข้ามสะพานหกไปพบเฮาหุนนายทหารสุมาเจียว เฮาหุนฟันด้วยง้าวถูกจูกัดเอี๋ยนพลัดตกม้าตาย แล้วให้ทหารล้อมจับทหารจูกัดเอี๋ยนได้ทั้งสามร้อย

ฝ่ายอองกิ๋มคุมทหารตีเข้าไปทางประตูทิศตวันตก พบอีจ้วนนายทหารเมืองกังตั๋งเข้าจึงร้องว่า ท่านยังจะรบไปถึงไหน เร่งมาสมัคด้วยเราเถิดจะรอดชีวิต อีจ้วนได้ยินดังนั้นก็โกรธนักจึงร้องว่า เรารับคำนายเรายกทัพมาช่วยจูกัดเอี๋ยน เรามาช่วยก็มิได้ ซึ่งจะสมัคเข้าด้วยท่านนั้นหาควรไม่ ด้วยเราเปนคนมีความสัตย์ ว่าแลวก็ถอดหมวกทิ้งลงกับแผ่นดินร้องว่า ถ้าทำศึกตายในณรงค์ก็จะได้ลือชื่อมีเกียรติยศปรากฎไว้ในแผ่นดิน ว่าแล้วก็รำง้าวขับม้าเข้าสู้รบกับอองกี๋ได้ประมาณสามสิบเพลง เหลือกำลังนัก บอบช้ำทั้งม้าทั้งคนก็ตายในที่รบ

ฝ่ายสุมาเจียวเข้าเมืองได้แล้ว ก็สั่งให้จับบุตรภรรยาจูกัดเอี๋ยนมา สืบสาวเอาลูกหลานหว่านเครือ ฝักฝ่ายข้างบิดาแลมารดาภรรยาเปนสามโคตรมาฆ่าเสีย แล้วให้เอาทหารสามร้อยคนซึ่งจับได้นั้นมาถามว่า ผู้ใดจะสมัคอยู่กับเราบ้างเราจะไว้ชีวิต ทหารทั้งปวงจึงว่า ข้าพเจ้าไม่สมัคอยู่แล้ว จะขอตายตามจูกัดเอี๋ยน สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็โกรธนักจึงให้ทหารเอาไปฆ่าเสีย ครั้นเอาไปถึงนอกเมืองแล้วจึงให้ถามทีละคนว่า ผู้ใดสมัคอยู่บ้างจะเลี้ยงไว้ ทหารทั้งปวงก็มิได้ยอมอยู่ด้วยสักคนหนึ่ง สุมาเจียวก็สั่งให้เอาไปฆ่าเสียสิ้น แล้วกลับคิดเอนดูว่าคนเหล่านี้สัตย์ซื่อต่อนายจนตาย จึงสั่งให้ฝังคนทั้งนั้นไว้ตามธรรมเนียม ครั้นจูกัดเอี๋ยนตายแล้ว ทหารทั้งปวงก็เข้าเกลี้ยกล่อมอยู่ด้วยสุมาเจียวเปนอันมาก

โปยซิวจึงว่าแก่สุมาเจียวว่า ซึ่งทหารเมืองกังตั๋งมาสมัคเข้าด้วยเรานี้ สมัคพรรคพวกพี่น้องอยู่ในเมืองกังตั๋งเปนอันมากจะไว้ใจไม่ได้ เกลือกนานไปจะกลับเปนใส้ศึกขึ้น ขอให้ท่านฆ่าเสียให้สิ้นจึงจะชอบ จงโฮยได้ฟังดังนั้นจึงว่า คำโบราณกล่าวไว้ว่า นายทัพนายกองผู้จะตั้งตัวเปนใหญ่ ถึงจะตีเมืองได้ เมื่อผู้ใดเปนเสี้ยนศัตรู ก็จะทำอันตรายเอาแต่ผู้นั้น ซึ่งท่านจะให้ฆ่าทหารทั้งปวงเสียเราไม่เห็นด้วย ควรจะปล่อยให้ไปบ้านเมืองจึงจะชอบ จะได้ปรากฎกิตติศัพท์เราต่อไป สุมาเจียวก็เห็นด้วย ให้ปล่อยทหารทั้งปวงไปยังที่อยู่สิ้น กึ่งจูทหารเอกจึงว่า ข้าพเจ้าสมัคเข้าอยู่กับท่านแล้ว ซึ่งจะกลับไปเมืองกังตั๋งบัดนี้ ซุนหลิมรู้ก็จะคิดสงสัยเอาโทษข้าพเจ้า สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงตั้งกึ่งจูเปนขุนนางอยู่ในเมืองชิวฉุน แล้วก็จัดแจงทหารจะยกกลับไปเมือง


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 82

https://drive.google.com/file/d/1WtmQ836CDU8J_8O6_BbAKPw0mpbehix9/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #2 on: 24 December 2021, 08:59:37 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 83


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-83.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 83

เนื้อหา
• เกียงอุยยกทัพตีเมืองวุยก๊ก
• ซุนฮิวใช้อุบายฆ่าซุนหลิม
• เกียงอุยตั้งรบกับเตงงายที่เขากิสาน
• พระเจ้าเล่าเสี้ยนเรียกทัพเกียงอุยกลับ


ขณะ เมื่อสุมาเจียวกับจูกัดเอี๋ยนรบติดพันกันอยู่นั้น ทหารสอดแนมรู้จึงเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เกียงอุยว่า บัดนี้จูกัดเอี๋ยนยกกองทัพไปรบสุมาเจียว ซุนหลิมยกกองทัพหนุนไปเปนอันมาก เห็นสุมาเจียวบอบชํ้านักอยู่แล้ว จนนางกวยทายเฮากับพระเจ้าโจมอก็ยกทหารออกมาช่วยรบ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า ถ้ากระนั้นเห็นเราจะทำการใหญ่สำเร็จครั้งนี้เปนมั่นคง จึงปรึกษาต้าจิ๋วขุนนางผู้ใหญ่ว่า เราจะทำเรื่องราวขึ้นกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความว่า จะขออาสาไปตีเมืองวุยก๊กถวาย ท่านจะเห็นประการใด ต้าจิ๋วจึงทอดใจใหญ่ว่า บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ไม่ว่ากิจการบ้านเมือง เชื่อฟังแต่คำฮุยโฮขันที ชวนกันเสพย์สุราทุกวันมิได้ขาด อนึ่งตัวท่านแต่ทำการมาก็เสียทีเปนหลายครั้ง แม้เราคิดอ่านรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคงจะดีกว่า

เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ว่าท่านเจรจาดังนี้ไม่ชอบ เสียทีเกิดมาให้หนักแผ่นดินเสียเปล่า ตัวเรานี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนชุบเลี้ยงมีพระคุณต่อเราเปนอันมาก เราจะทำราชการสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต แล้วก็ทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน จัดแจงทหารให้ปอเฉียมกับเจียวฉีเปนทัพหน้า แล้วปรึกษาว่า เราจะไปทำการครั้งนี้จะตีเอาเมืองใดก่อนดี ปอเฉียมจึงว่า ขอให้ท่านยกไปเนินซินเฉียตีเมืองเตียงเสียตัดเอาสะเบียงสุมาเจียวเสียก่อน จึงรีบยกไปตีเอาเมืองจิวฉวนให้ได้ เมืองลกเอี๋ยงก็จะได้โดยง่าย เกียงอุยจึงว่า ท่านว่านี้ชอบนักต้องความคิดเรา แล้วก็ยกทหารออกจากเมืองเสฉวนตรงไปเมืองเตียงเสีย

ฝ่ายสุมาปองเจ้าเมืองเตียงเสีย ในเมืองนั้นสะเบียงอาหารมีมากแต่ทหารน้อย ครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกกองทัพมา ก็พาอองจิ๋นลิเพงยกทหารออกตั้งค่ายรับอยู่นอกเมืองทางไกลสองร้อยเส้น ครั้นเกียงอุยยกมาถึง สุมาปองกับทหารเอกสองคนก็ยกทหารออกอยู่นอกค่าย เกียงอุยเห็นดังนั้นก็ขับม้าออกหน้าทหารแล้วร้องว่า สุมาเจียวพาลูกเจ้าออกมาทำศึก จะทำเหมือนลิฉุยกุยกี พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นผิดอย่างธรรมเนียม จึงให้ยกกองทัพมาจะลงอาญาสุมาเจียว ตัวท่านก็เปนสมัคพรรคพวกสุมาเจียว ถ้ารู้จักโทษตัวแล้วก็ให้เร่งออกมาหาเราโดยดี แม้ยังถือตัวเห็นดีด้วยสุมาเจียวอยู่ เราจะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งโคตร

สุมาปองได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องตวาดว่า อ้ายโจรมึงบังอาจดูหมิ่นล่วงเข้ามาในแดนกู มึงเร่งถอยทหารกลับไป แม้ไม่ฟังชีวิตมึงกับทหารทั้งปวงก็จะตายอยู่ในที่นี้สิ้น แล้วให้อองจิ๋นควบม้ารำทวนออกรบ ปอเฉียมเห็นดังนั้นก็ชักม้าออกรบกับอองจิ๋นได้สามเพลง ปอเฉียมทำแพ้ชักม้าหนี อองจิ๋นควบม้าไล่ตามจะใกล้ทันก็เอาทวนพุ่งไป ปอเฉียมหลบแล้วกลับม้ามารวบจับตัวอองจิ๋นได้ ลิเพงเห็นดังนั้นก็โกรธ ควบม้าออกมาจะแก้อองจิ๋น ปอเฉียมเห็นลิเพงควบม้ามาถึง ก็เอาอองจิ๋นฟาดลงกับดิน แล้วควบม้าเข้าไปเอากระบองเหล็กตีลิเพงตกม้าตาย เกียงอุยเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ฟันเข้าไปในกองทัพสุมาปอง ๆ เห็นเหลือกำลังก็ยกหนีเข้าเมือง ให้ทหารปิดประตูเมืองเสีย แล้วให้ขึ้นรักษาหน้าที่ไว้เปนมั่นคง ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยก็ขับทหารให้เข้าล้อมเมืองไว้โดยรอบ แล้วเอาประทัดผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปตกหลังคาเรือนในเมืองไหม้ขึ้นเปนอัน มาก แล้วให้เอาฟืนกองแต่เชิงกำแพงถึงใบเสมา เอาเพลิงจุดให้ไอเพลิงร้อนตลบเข้าไปในเมือง ทหารแลราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็ตกใจเข้าอุ้มลูกร้องไห้อื้ออึงไปทั้งเมือง

พอเตงงายยกกองทัพมาถึง เกียงอุยก็ยกทหารออกต้านไว้ เกียงอุยยืนม้าอยู่หน้าทหาร เห็นเตงต๋งบุตรเตงงายหนุ่มน้อยหน้าขาวปากแดงขี่ม้าถือทวนออกมาสำคัญว่าเตง งาย ก็ควบม้าตรงเข้าไปรบกับเตงต๋งได้สี่สิบเพลงยังไม่ทันแพ้ชนะกัน เกียงอุยจึงว่า ทหารหนุ่มน้อยคนนี้มีฝีมือเข้มแขงอยู่ เราจะคิดกลอุบายลวงเอาชัยชนะให้จงได้ แล้วเกียงอุยทำเปนแพ้ชักม้าหนี เตงต๋งก็ควบม้าไล่ตามเกียงอุย ๆ เห็นได้ทีก็ขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไป เตงต๋งหลบได้ก็ควบม้ากระชันเข้าไปเอาทวนแทง เกียงอุยชิงทวนไว้ได้ กลับม้ามาจะจับตัวเตงต๋ง เตงต๋งก็ควบม้าหนีกลับเข้ากองทัพ เกียงอุยก็ไล่ตามไป

เตงงายเห็นดังนั้นก็ควบม้ารำดาบออกหน้าทหารแล้วร้องว่า กูชื่อเตงงาย มึงไม่รักชีวิตหรือจึงบังอาจไล่บุตรกูมา เกียงอุยได้ฟังดังนั้นว่าเตงต๋งเปนบุตรเตงงายก็ตกใจ คิดว่าเวลาวันนี้เรารบพุ่งหนักหนา เห็นกำลังม้าอิดโรยลงแล้ว แม้หักหาญเข้าไปรบกับเตงงายบัดนี้ เกลือกจะพลาดพลั้งเสียที จึงร้องว่ากับเตงงายว่า เวลาเย็นอยู่แล้ว ท่านจัดแจงทหารไว้ให้พร้อมเถิด พรุ่งนี้เราจึงจะออกรบกันให้สิ้นฝีมือ

เตงงายได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่เราจะสัญญากันไว้ ถ้าผู้ใดคิดกลอุบายล่อลวงกันมิใช่ลูกผู้ชาย แล้วเตงงายก็ถอยทัพกลับไปตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮุยซุ่ย เกียงอุยยกกองทัพออกจากเมืองเตียงเสียไปตั้งอยู่ริมเชิงเขาแห่งหนึ่ง ก็แลเห็นค่ายเตงงาย ๆ เห็นค่ายเกียงอุยนั้นมั่นคง จึงเขียนหนังสือให้เตงต๋งผู้บุตรไปช่วยรักษาเมืองเตียงเสีย ในหนังสือเปนใจความว่า ให้สุมาปองรักษาเมืองไว้ให้มั่นคงเถิด ให้กองทัพเกียงอุยสิ้นสะเบียงอาหารลงแล้ว สุมาเจียวยกมาถึงเราจึงจะเข้าล้อมกระหนาบรบ เกียงอุยก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง เตงต๋งก็ลาเตงงายไปเมืองเตียงเสีย เตงงายก็ให้ทหารถือหนังสือไปแจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาเจียวให้ยกกองทัพมา ช่วย

ฝ่ายเกียงอุยครั้นตั้งค่ายมั่นลงแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปให้เตงงายว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะออกรบกัน เตงงายก็รับคำ ครั้นเวลาใกล้รุ่งเกียงอุยให้ทหารทั้งปวงกินอาหารเตรียมตัวพร้อมกันแล้ว ก็ยกเปนกระบวรทัพออกตั้งคอยจะรบอยู่หน้าค่าย ฝ่ายเตงงายก็สงบทหารอยู่ในค่ายมิได้ยกออกรบตามสัญญา เกียงอุยคอยอยู่จนเวลาเย็นก็ถอยทหารกลับเข้าค่าย แล้วให้ทหารถือหนังสือสัญญาไปถึงเตงงายอีก เตงงายให้ผู้ถือหนังสือนั้นกินโต๊ะเสพย์สุราแล้วว่า ตัวเรานี้หาพอที่จะเปนเท็จไม่ เราเปนโรคปัจจุบันให้จุกเสียดจึงมิได้ออกรบตามสัญญา ท่านกลับไปบอกเกียงอุยเถิด เวลาพรุ่งนี้เราจะออกรบให้จงได้ ผู้ถือหนังสือก็ลากลับมาบอกกับเกียงอุย ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยก็ยกทหารออกไปตั้งอยู่นอกค่าย เตงงายก็มิได้ยกมา แต่เตงงายลวงเกียงอุยอยู่ฉนี้ถึงหกครั้ง

ปอเฉียมจึงว่าแก่เกียงอุยว่า ข้าพเจ้าเห็นเตงงายจะลวงทำกลอุบายเปนมั่นคง หวังจะคอยทัพสุมาเจียวมาจึงจะรบตีเราเปนสามด้าน จำเราจะให้ทหารถือหนังสือไปเมืองกังตั๋ง ให้ซุนหลิมออกสกัดทางรบสุมาเจียวไว้ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงว่าความคิดท่านนี้ต้องน้ำใจเราทุกประการ แล้วก็ให้ทหารถือหนังสือไปถึงซุนหลิม ณ เมืองกังตั๋งเปนใจความว่า เรายกกองทัพมาติดเมืองเตียงเสียอยู่แล้ว ให้ท่านยกทหารออกตีสกัดสุมาเจียวไว้

ฝ่ายสุมาเจียวครั้นสำเร็จราชการแล้ว จัดแจงทหารจะยกมาเมืองลกเอี๋ยง พอทหารเตงงายถือหนังสือไปถึงสุมาเจียวก็ตกใจ เร่งยกกองทัพไปเมืองเตียงเสีย ทหารสอดแนมรู้เนื้อความจึงเข้ามาบอกเกียงอุยว่า สุมาเจียวตีเมืองชิวฉุนได้แล้ว ทหารเมืองกังตั๋งก็สมัคเข้าด้วยเปนอันมาก บัดนี้ยกกองทัพมาจะถึงเมืองเตียงเสียอยู่แล้ว เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เดิมเราคิดว่าจะทำการให้ได้เมืองลกเอี๋ยง บัดนี้เห็นไม่สมความคิดแล้ว จำเราจะถอยทัพกลับไปเมืองฟังท่วงทีก่อน แล้วเกียงอุยก็จัดแจงทหารเดิรเท้ายกล่วงไปก่อน ทหารม้าให้ป้องกันไปข้างหลัง ด้วยเกรงข้าศึกจะมาติดตาม ครั้นมาถึงทางน้อยริมเนินซินเฉีย เกียงอุยจึงให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงเตรียมไว้เปนอันมาก

ฝ่ายเตงงายครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกทัพหนีไปแล้วจึงหัวเราะแล้วว่า เกียงอุยรู้ว่ากองทัพเราหนุนมาอีกจึงรีบยกหนีไป เราอย่าติดตามเลยเห็นเกียงอุยจะทำกลอุบายไว้เปนมั่นคง พอทหารคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า ทหารกองตะเวนมาบอกข้าพเจ้าว่า เกียงอุยยกไปถึงทางน้อยริมเนินซินเฉียให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงเตรียมไว้เปน อันมาก ถ้าเราติดตามไปเห็นจะเอาเพลิงเผาเราเปนมั่นคง ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญเตงงายว่า ท่านคิดการครั้งนี้เหมือนเทพดามาดลใจ เตงงายก็เอาเนื้อความทั้งปวงเข้าไปแจ้งแก่สุมาเจียวทุกประการ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ให้หาเตงงายเข้ามาปูนบำเหน็จรางวัลเปนอันมาก

ฝ่ายซุนหลิมอยู่ ณ เมืองกังตั๋ง ครั้นรู้ว่ากึ่งจูสมัคเข้ามาอยู่ด้วยสุมาเจียวก็โกรธ ให้ทหารไปจับเอาสมัคพรรคพวกกึ่งจูไปฆ่าเสีย ขณะนั้นพระเจ้าซุนเหลียงพระชนม์สิบเจ็ดขวบ เห็นซุนหลิมฆ่าพี่น้องกึ่งจูเสียดังนั้นก็คิดสังเวชพระทัยนัก วันหนึ่งเสด็จออกไปประพาสสวนข้างทิศตวันออกคิดจะเสวยนํ้าผึ้ง จึงให้อองปุนไปเอาน้ำผึ้ง อองปุนไปเบิกนํ้าผึ้งมาจากเจ้าพนักงานแล้ว เมื่อจะถวายจึงเอามูลหนูใส่ลงในนํ้าผึ้งสองเมล็ด

พระเจ้าซุนเหลียงเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงให้เอาตัวเจ้าพนักงานมาถามว่า เหตุไฉนตัวรักษาน้ำผึ้งให้มูลหนูตกลงได้ โทษตัวถึงตายแล้วตัวรู้หรือไม่ เจ้าพนักงานจึงทูลว่า นํ้าผึ้งนี้ข้าพเจ้ารักษาปกปิดมั่นคง เมื่ออองปุนจะเบิกมานั้นข้าพเจ้าก็พินิจดูแล้ว พระเจ้าซุนเหลียงจึงถามว่า อองปุนคนนี้เคยไปขอน้ำผึ้งท่านอยู่บ้างหรือไม่ เจ้าพนักงานจึงทูลว่า เมื่อครั้งก่อนอองปุนไปขอข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าบอกว่านํ้าผึ้งเสวยน้อยอยู่แล้วจะให้ไปนั้นไม่ได้ อองปุนโกรธพยาบาทข้าพเจ้าอยู่ พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า ความแต่เพียงนี้เราจะพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริงให้ได้ แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาพร้อมกัน จึงให้หยิบเอามูลหนูนั้นเช็ดออกดูก็แห้งอยู่

พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า มูลหนูนี้แม้ตกมาแต่เจ้าของนํ้าผึ้งก็จะชุ่มอยู่ นี่อองปุนแกล้งใส่ลงเปนมั่นคง อองปุนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกราบถวายบังคมลงแล้วก็ขอถวายชีวิต ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญพระเจ้าซุนเหลียงเปนอันมาก พระเจ้าซุนเหลียงก็เสด็จกลับเข้าวัง วันหนึ่งเสด็จออกพระที่นั่งเย็น จวนกี๋ซึ่งเปนน้าพระเจ้าซุนเหลียงกับอองปุนเข้าไปเฝ้า พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า ซุนหลิมตั้งขุนนางผู้ใหญ่น้อยเปนอันมาก แล้วก็ทำการแต่ตามอำเภอใจ นานไปเห็นจะเปนขบถชิงเอาสมบัติเราเปนมั่นคง เราจะคิดอ่านฆ่าซุนหลิมเสียจึงจะชอบ ตรัสแล้วก็ทรงพระกรรแสง

จวนกี๋จึงทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย แม้นพระองค์จะให้ข้าพเจ้าทำประการใดก็จะอาสาสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า กระนั้นท่านจงไปหาเล่าเสงซึ่งเปนนายตำรวจ จัดแจงกันให้ได้จงมากมาซุ่มอยู่ริมประตูวัง ถ้าซุนหลิมเข้ามาเฝ้าก็ให้จับตัวฆ่าเสีย แต่ทว่าการทั้งนี้ท่านอย่าให้แพร่งพรายไป ซุนหลิมเปนน้องของมารดาท่าน ถ้ารู้เนื้อความจะเสียการเราไป จวนกี๋จึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะทำการครั้งนี้จะขอหนังสือรับสั่งเปนสำคัญด้วย ทแกล้วทหารทั้งปวงจะได้เต็มใจทำการ พระเจ้าซุนเหลียงก็เห็นด้วย ทรงพระอักษรส่งให้จวนกี๋ ๆ ถวายบังคมลากลับมาบ้าน เล่าเนื้อความทั้งปวงให้บิดาฟังทุกประการ บิดาจวนกี๋ก็เอาเนื้อความนั้นไปบอกภรรยาว่า พระเจ้าซุนเหลียงจะให้ฆ่าซุนหลิมเสียในสามวันนี้แล้ว ภรรยาได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ให้คนใช้สนิธลอบไปบอกซุนหลิม ๆ รู้ดังนั้นก็โกรธ จึงให้หาน้องชายสี่คนซึ่งตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาบอกเนื้อความทั้งปวง แล้วจัดแจงทหารตีม้าฬ่อฆ้องกลองยกเข้าล้อมวังพระเจ้าซุนเหลียงไว้โดยรอบ

เล่าเสงนายตำรวจเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปทูลพระเจ้าซุนเหลียงในเวลากลางคืน พระเจ้าซุนเหลียงบันทมหลับอยู่ได้ยินเสียงกลองม้าฬ่ออื้ออึงก็ตกพระทัยตื่น ขึ้น พอเล่าเสงเข้ามาทูลว่าซุนหลิมยกทหารเข้าล้อมวังไว้แล้ว พระเจ้าซุนเหลียงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เสด็จเข้าไปข้างในตรัสแก่มารดาว่า ครั้งนี้พี่น้องของท่านทำการใหญ่จะทำร้ายข้าพเจ้า แล้วก็จับพระแสงกระบี่จะเสด็จออกสู้กับข้าศึกด้วยกำลังโทโส มารดาแลขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งเข้ายึดชายฉลองพระองค์ไว้ ร้องไห้ทูลห้ามปรามเปนอันมาก

ครั้นเวลาเช้าซุนหลิมหักเข้าไปในวังได้ เห็นเล่าเสงกับจวนเสียงคุมทหารรักษาหน้าที่อยู่ ก็ให้ทหารเข้าจับตัวไปฆ่าเสีย แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาว่า บัดนี้พระเจ้าซุนเหลียงคิดการไม่ชอบแล้ว ไม่เอาใจใส่ว่ากิจราชการบ้านเมือง มัวเมาไปด้วยสตรี เราจะเนรเทศออกเสียจากราชสมบัติท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

ฮวนฮีขุนนางผู้ใหญ่ได้ยินดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าซุนหลิมว่าอ้ายโจร พระเจ้าซุนเหลียงมีสติปัญญาหลักแหลม มึงแกล้งเอาความร้ายมาใส่หวังจะชิงเอาสมบัติ ตัวกูนี้ถึงจะตายก็ไม่เข้าด้วยมึง ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็โกรธชักกระบี่ออกฆ่าฮวนฮีเสีย ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เกรงอาญาซุนหลิมนัก ชวนกันคำนับกราบลงแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้แม้ท่านจะทำประการใดก็จะประพฤติตามสิ้นทั้งนั้น ซุนหลิมจึงเดิรเข้าไปในตำหนัก เห็นพระเจ้าซุนเหลียงนั่งอยู่ก็โกรธ ชี้มือว่าแก่พระเจ้าซุนเหลียงว่า ท่านเปนคนเขลามิได้มีสติปัญญาถือผิดเปนชอบ หากว่าเราเปนคนใจบุญคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนอยู่ท่านจึงรอดชีวิต เราจะให้ท่านไปเปนเจ้าเมืองห้อยเข ท่านเร่งไปให้พ้นความตายเถิด ซุนหลิมกับลิจ๋องเก็บเอาตราแลเครื่องยศสำหรับกษัตริย์มอบให้เตงเถี้ยรักษา ไว้ในคลัง

พระเจ้าซุนเหลียงเห็นดังนั้นก็น้อยพระทัยนัก ทรงพระกรรแสงเสด็จออกจากเมืองตรงไปเมืองห้อยเข ซุนหลิมจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ซุนเขกับตังเตียวไปเชิญซุนฮิวซึ่งเปนบุตรที่หกซุนกวน ณ เมืองฮ่อหลิมให้มา ครองสมบัติ ฝ่ายซุนฮิวเวลาค่ำวันนั้นฝันเห็นว่าขี่มังกรเหาะขึ้นไปบนอากาศ เหลียวหลังมาดูเห็นมังกรนั้นหางด้วนก็ตกใจผวาตื่นขึ้น พอเวลาเช้าซุนเขกับตังเตียวมาถึงเข้าไปคำนับแจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วเอาหนังสือซึ่งซุนหลิมให้มาเชิญไปครองสมบัตินั้นให้ซุนฮิว ๆ ได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยรั้งรออยู่ เทพารักษ์สำหรับเมืองจึงแปลงตัวเปนคนแก่เดิรตรงเข้ามาหาซุนฮิว บอกว่าการนี้ให้ท่านเร่งไปโดยเร็ว ถ้าเนิ่นช้าการจะกลับกลอก แล้วเทพารักษ์ก็หายไป ซุนฮิวเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จัดแจงทหารขึ้นเกวียนออกจากเมืองไปถึงตำบลปอเซ็กตั้งที่ประทับกลางทาง ซุนหลิมรู้ก็จัดรถแลเครื่องแห่สำหรับกษัตริย์พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปรับ เสด็จ ซุนฮิวก็มิได้ขึ้นรถขี่เกวียนตรงเข้าไปในเมืองกังตั๋ง ซุนหลิมแลขุนนางทั้งปวงเชิญซุนฮิวขึ้นนั่งบนแท่น แล้วถวายบังคมพร้อมกัน เอาตราแลเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นถวาย (พ.ศ. ๘๐๑) ครั้นพระเจ้าซุนฮิวได้ครองสมบัติแล้ว จึงตั้งซุนหลิมเปนมหาอุปราช แล้วพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่ซุนหลิมแลขุนนางทั้งปวงซึ่งมีความชอบเปนอัน มาก แล้วตั้งน้องชายซุนหลิมสี่คนกับหลานคนหนึ่งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมือง ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวทำการทั้งนี้ใช่จะไว้พระทัยซุนหลิมโดยสุจริตนั้นหามิได้ คิดสงสัยระมัดพระองค์นักอยู่

ครั้นถึงเดือนยี่ปลายปีเปนวันประสูติพระเจ้าซุนฮิว ซุนหลิมก็แต่งเข้าของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมเปนอันมาก พระเจ้าซุนฮิวคิดรังเกียจอยู่ก็มิได้เสวยส่งคืนออกมา ซุนหลิมเห็นดังนั้นก็โกรธเอาโต๊ะแลของทั้งปวงกลับมาตึก ให้ไปเชิญเตียวปอซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่มากิน ขณะเมื่อกินโต๊ะเสพย์สุราอยู่นั้น ซุนหลิมจึงว่าแก่เตียวปอว่า เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงทำความผิดเราเนรเทศเสียนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัคให้เราเปนเจ้า เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนจึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ บัดนี้เปนวันประสูติเราแต่งของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมก็มิได้รับ ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ให้ท่านดูไปเถิดไม่นานก็จะเห็นเปนมั่นคง เตียวปอก็ทำเปนพยักหน้ามิได้ตอบประการใด แล้วก็คำนับลาซุนหลิมไป

ครั้นเวลาเช้าเตียวปอก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนฮิว ทูลเนื้อความซึ่งซุนหลิมว่านั้นทุกประการ พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระวิตกนัก ฝ่ายซุนหลิมก็คิดอ่านตระเตรียมการให้เบ้งจ๋องคุมทหารหมื่นห้าพันพร้อมด้วย เครื่องศัสตราวุธออกไปตั้งอยู่ตำบลบูเฉียงนอกเมืองกังตั๋ง งุยเปียวกับชีซกซึ่งเปนขุนนางกรมแสงจึงเข้าไปทูลพระเจ้าซุนฮิวว่า บัดนี้ซุนหลิมตระเตรียมทหาร แล้วมาเบิกเอาเครื่องอาวุธในคลังไปไว้เปนอันมากเห็นจะคิดร้ายต่อพระองค์เปน มั่นคง พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงให้หาเตียวปอเข้ามาปรึกษาราชการ เตียวปอจึงทูลว่าข้าพเจ้าเปนคนสติปัญญาน้อย เตงฮองซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เคยทำศึกมาแต่ครั้งพระเจ้าซุนกวนเปนอันมาก ขอพระองค์ให้หาเตงฮองเข้ามาปรึกษาราชการเห็นจะตัดความคิดซุนหลิมได้ พระเจ้าซุนฮิวก็ให้หาเตงฮองเข้ามาตรัสปรึกษาเนื้อความทั้งปวง

เตงฮองจึงทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายกำจัดซุนหลิมเสียให้ได้ พระเจ้าซุนฮิวจึงถามว่าท่านจะทำประการใด เตงฮองจึงทูลว่า เวลาพรุ่งนี้จะเข้าปีใหม่เปนวันตรุษ พระองค์จงแต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวงตามธรรมเนียม แล้วให้คนสนิธไปเชิญซุนหลิมมากินโต๊ะในตำหนัก ข้าพเจ้าจะให้เตียวปอแอบอยู่คอยจับตัวซุนหลิมก็จะจับได้โดยง่าย พระเจ้าซุนฮิวก็เห็นด้วย จึงให้เตงอ๋องงุยเปียวชีซกคุมทหารรักษาป้องกันภายนอก ให้เตียวปอคุมทหารซ่อนอยู่ในฉาก เวลากลางคืนวันนั้นเกิดลมพายุใหญ่ พัดต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่หน้าตึกซุนหลิมนั้นโค่นลง แล้วก็พัดฝุ่นทรายแลก้อนศิลาปลิวขึ้น พระเจ้าซุนฮิวเห็นอัศจรรย์ดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าจึงใช้ให้ขันทีไปหาซุนหลิมตามสัญญาซึ่งคิดไว้นั้น ขันทีไปถึงตึกซุนหลิมคำนับแล้วบอกว่า รับสั่งพระเจ้าซุนฮิวให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปกินโต๊ะ

ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นลุกยืนขึ้นจะแต่งตัวก็กลับล้มลงกับที่ ก็คิดประหลาทใจนัก พอขันทีมาถึงอีกคนหนึ่งจึงเข้าไปบอกซุนหลิมว่าขุนนางมาพร้อมกันแล้ว พระเจ้าซุนฮิวคอยท่าท่านอยู่ให้เร่งเชิญท่านไป ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็ใส่เสื้อแต่งตัวอย่างมหาอุปราช คนใช้สนิธในตึกจึงห้ามว่า เวลาคืนนี้เกิดอัศจรรย์วิปริตแล้วท่านยืนขึ้นก็ล้มลงกับที่ข้าพเจ้าคิดสงสัย นัก ซึ่งรับสั่งให้หาท่านนั้นขอให้ดำริห์ให้ควรก่อน ซุนหลิมจึงว่าตัวเราเปนมหาอุปราช พี่น้องก็เปนขุนนางผู้ใหญ่ถึงห้าคน ผู้ใดจะบังอาจคิดร้ายต่อเรา ถึงมาทว่าจะมีศัตรูคิดร้ายต่อเราจริงเราก็มิได้กลัวจะเอาแต่เพลิงสัญญาจุด ขึ้นทหารเราก็จะยกเข้าไปช่วย แล้วซุนหลิมก็ขึ้นรถตรงเข้าไปในวัง พระเจ้าซุนฮิวก็ออกมารับถึงประตูตำหนัก จูงมือซุนหลิมเข้าไปให้เสพย์สุราในตำหนัก ขณะเมื่อซุนหลิมเสพย์สุราอยู่นั้น งุยเปียวกับชีซกก็จุดเพลิงสัญญาขึ้น จับสมัคพรรคพวกซุนหลิมฆ่าเสียบ้างจำไว้บ้าง ซุนหลิมได้ยินอื้ออึงขึ้นภายนอกก็ตกใจขยับลุกออกมา พระเจ้าซุนฮิวยึดมือไว้แล้วห้ามว่า มหาอุปราชอย่าตกใจเชิญเสพย์สุราให้สบาย ขุนนางแลทหารซึ่งเสพย์สุราอยู่ภายนอกเมาแล้วก็วิวาททุ่มเถียงกันตามทีมัน เถิด ขณะนั้นเตียวปอก็ถือกระบี่พาทหารประมาณสามสิบคนเดิรออกมาจากฉากร้องว่า รับสั่งให้จับอ้ายขบถให้จงได้ ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจะวิ่งหนี ทหารทั้งปวงก็รุมกันเข้าจับเอาตัวได้ ซุนหลิมสิ้นความคิดแล้วจึงทูลพระเจ้าซุนฮิวว่า พระองค์โปรดให้ทานชีวิตข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าไม่คิดการฉนั้นสืบไปแล้ว จะถวายบังคมลาไปทำมาหากินอยู่ ณ บ้านเก่า

พระเจ้าซุนฮิวจึงตวาดว่า เมื่อเตงอิ๋นกับลิกี๋แลอองตุ๋นนั้นก็อ้อนวอนขอชีวิตจะลาไปอยู่บ้านเก่าเหตุ ใดตัวจึงฆ่าเสียเล่า แล้วก็ให้เตียวปอเอาตัวซุนหลิมไปฆ่าเสีย เตียวปอจึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ซุนหลิมเปนขบถรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ท่านทั้งปวงไม่รู้เห็นด้วยก็อย่าให้วิตกวุ่นวายไปเลย ขณะนั้นเตงฮองกับงุยเปียวชีซกจับเอาพี่น้องสมัคพรรคพวกซุนหลิมประมาณร้อยเศษ เข้ามาถวาย พระเจ้าซุนฮิวก็ให้เอาไปฆ่าเสียณทางสามแพร่ง แล้วให้พิจารณาเอาพี่น้องซุนหลิมไปฆ่าเสียสิ้นทั้งโคตร จนศพซุนจุ๋นบิดาซุนหลิมซึ่งฝังไว้นั้นก็ให้ขุดขึ้นทำประจานด้วย แต่บันดาขุนนางสัตย์ซื่อทั้งปวงซึ่งซุนหลิมให้ฆ่าเสียแต่ก่อนนั้น ก็ให้แต่งการศพฝังไว้ตามบันดาศักดิ์ ขุนนางซึ่งซุนหลิมจำไว้นั้นก็ให้ถอดออกคงที่เก่าสิ้น พระเจ้าซุนฮิวจึงแต่งหนังสือแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้ชีฮูถือไปถวายพระเจ้า เล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน

พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงเครื่องราชบรรณาการ ให้ชีฮูกลับไปถวายพระเจ้าซุนฮิว ๆ จึงถามชีฮูว่า ในเมืองเสฉวนนั้นท่านเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดกิจราชการสิ่งใดบ้าง ราษฎรทั้งปวงมีความสุขอยู่หรือ ชีฮูจึงทูลว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนับถือฟังคำฮุยโฮขันที ถ้าผู้ใดมีสมบัติมากไปบนฮุยโฮขันทีแล้วก็ได้เปนที่ขุนนางผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นราชการแผ่นดินเมืองเสฉวนเรรวนนัก ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวงก็ไม่สบายปรับทุกข์กันอยู่สิ้น

พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ว่า ถ้าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนการแผ่นดินเมืองเสฉวนจะเปนถึงเพียงนี้ แล้วจึงแต่งหนังสือเปนใจความว่า บัดนี้สุมาเจียวคิดการใหญ่ จะชิงเอาสมบัติในเมืองลกเอี๋ยง แม้สุมาเจียวสำเร็จความคิดแล้ว เห็นจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งแลเมืองเสฉวนเปนมั่นคง ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดอ่านตระเตรียมทหารป้องกันรักษาเมืองจงดีอย่าประมาท แล้วให้ทหารถือไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน

ฝ่ายเกียงอุยได้แจ้งในหนังสือพระเจ้าซุนฮิวดังนั้นก็เห็นด้วย จึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะขออาสาไปตีเมืองลกเอี๋ยงตัดศึกสุมาเจียวเสีย ก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นด้วย เกียงอุยก็จัดแจงกองทัพให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กเปนกองหน้า ให้อองหำกับเจียวปินเปนปีกขวา ให้เจียวฉีกับปอเฉียมเปนปีกซ้าย ให้ออเจ๊กกับหัวสิบเปนกองหลัง ตัวเกียงอุยกับแฮหัวป๋าคุมทหารยี่สิบหมื่นเปนทัพหลวง ครั้นวันดีได้ฤกษ์ก็เข้าไปทูลลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนยกกองทัพตรงไปถึงเมืองฮัน ต๋ง เกียงอุยจึงปรึกษาแฮหัวป๋าว่า เราจะยกเข้าตีเมืองใดให้ได้ก่อน แฮหัวป๋าจึงว่า ตำบลเขากิสานนั้นเห็นเปนที่สำคัญราบคาบ ขงเบ้งยกมาถึงหกครั้งก็ตั้งตำบลนั้น จำเราจะยกไปตั้งมั่นเขากิสานก่อนจึงจะคิดการสืบไป เกียงอุยเห็นชอบด้วยก็ยกทัพไปถึงเขากิสาน จึงตั้งค่ายอยู่ริมเนินอันหนึ่งเปนสามค่าย

ฝ่ายเตงงายตั้งค่ายอยู่ริมเขากิสาน ครั้นทหารม้าใช้มาบอกว่าเกียงอุยยกทหารมาตั้งอยู่เปนอันมาก เตงงายขึ้นยืนดูบนยอดเขาเห็นเกียงอุยตั้งค่ายอยู่ริมเนินแห่งหนึ่งก็ดีใจ ว่าเราคิดไว้ว่าเกียงอุยจะยกมาก็สมความคิด จึงเกณฑ์ให้ทหารขุดเนินเปนอุมงค์เข้าไปข้างหลังค่ายเกียงอุย ครั้นขุดไปจะใกล้ทะลุออกหลังค่ายอองหำกับเจียวปิน เตงงายจึงให้เตงต๋งผู้บุตรกับสูกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งไปรบหน้าค่าย ครั้นเวลาสองยามให้เตงหลุนคุมทหารห้าร้อยเข้าไปในอุโมงค์ให้เร่งขุดทะลุขึ้น ชิงเอาค่ายเตงหลุนก็คุมทหารไป

ฝ่ายอองหำกับเจียวปินอยู่ในค่าย เห็นเตงต๋งกับสูกี๋ยกทหารมาตั้งอยู่หน้าค่ายก็ระวังตัวนัก ให้ทหารทั้งปวงใส่เกราะนอน ครั้นเวลาสองยามเตงหลุนก็คุมทหารขุดทะลุเข้าในค่ายไล่ฆ่าฟันอื้ออึงขึ้น อองหำกับเจียวปินเห็นดังนั้นก็ตกใจให้ทหารถืออาวุธขึ้นม้า เตงต๋งกับสูกี๋ก็ยกทหารรบเข้าไป อองหำกับเจียวปินเห็นเหลือกำลังก็พาทหารหนีออกจากค่าย เกียงอุยอยู่ค่ายกลางได้ยินเสียงค่ายขวาอื้ออึงขึ้นก็ขี่ม้ายืนอยู่ แล้วสั่งทหารว่าให้รักษาค่ายไว้มั่นคง ถ้าทหารเตงงายยกมารบก็ให้เอาแต่เกาทัณฑ์ยิงต้านไว้

ฝ่ายเตงต๋งกับสูกี๋ครั้นได้ค่ายขวาแล้ว ก็ยกทหารมาเข้าหักเอาค่ายเกียงอุยเปนหลายครั้ง เกียงอุยก็ให้เอาเกาทัณฑ์ระดมยิง ถูกทหารเตงต๋งล้มตายเปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งขึ้นเตงต๋งก็พาทหารกลับมาค่าย เตงงายจึงว่าเกียงอุยนี้มีสติปัญญาหลักแหลมชำนาญในการสงคราม จึงรักษาค่ายมั่นไว้ได้ ถ้าเบาความยกมาช่วยค่ายขวา ก็จะมิเสียค่ายแก่เราหรือ

ฝ่ายอองหำกับเจียวปิน ครั้นเวลาเช้าพาทหารเข้ามาหาเกียงอุย ณ ค่าย คำนับกราบลงแล้วก็อ้อนวอนขอโทษ เกียงอุยจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งเสียการทั้งนี้เราคิดผิดเอง แล้วจัดแจงทหารให้อองหำเจียวปินยกไปตั้งอยู่ค่ายเก่า อองหำให้ทหารเอาดินถมอุมงค์เสีย แล้วก็เลื่อนออกมาตั้งค่ายอยู่ให้ห่างเนินเขา

เกียงอุยจึงให้ทหารถือหนังสือไปค่ายเตงงายว่า เวลาพรุ่งนี้ให้ยกทหารออกรบกัน เตงงายก็รับคำ ครั้นเวลาเช้าทหารทั้งสองฝ่ายก็ยกออกตั้ง กระบวรทัพอยู่หน้าเขากิสานพร้อมกัน

เกียงอุยจึงจัดทหารออกเปนแปดกอง ตั้งแปดทิศมีประตูเข้าออกถึงกันทั้งแปดด้าน กองหนึ่งให้ทหารยืนเปนรูปมังกร กองหนึ่งเปนรูปเสือ กองหนึ่งเปนรูปพญานาค กองหนึ่งเปนรูปนก กองหนึ่งให้ทหารม้ายกธงเทียวตั้งกระบวรเปนรูปเมฆ กองหนึ่งเปนรูปเดือนตวัน กองหนึ่งเปนลม กองหนึ่งเปนดิน ตัวเกียงอุยออกยืนม้าถือธงสำคัญอยู่หน้าทหาร เห็นเตงงายยืนม้าอยู่จึงร้องถามว่า เราตั้งกระบวรศึกปักกั๋วตินนี้ ท่านรู้สำคัญหรือไม่ว่าเราจะทำประการใด

เตงงายจึงหัวเราะตอบว่า ท่านสำคัญว่ากระบวรศึกอันนี้รู้แต่ท่านผู้เดียวหรือ เราก็เข้าใจอยู่จะทำให้ท่านดู เตงงายก็โบกธงจัดทหารให้แยกออกตั้งกระบวรเหมือนเกียงอุย แล้วแยกออกกองหนึ่ง แปดกองเปนหกสิบสี่กอง มีประตูหกสิบสี่ เตงงายจึงร้องถามเกียงอุยว่า เราแยกคลายออกฉนี้ท่านเห็นผิดแลชอบประการใด เกียงอุยจึงว่าท่านทำนี้ก็ต้องตำราอยู่แล้ว แม้ท่านชำนาญจริงก็ยกทหารเข้ามาในกระบวรศึกเราให้ได้เถิด เตงงายจึงว่าท่านอย่าวิตก เราจะยกเข้าไปให้ท่านดู เตงงายก็ขี่ม้าถือธงนำหน้าทหารเข้าไปในกองทัพเกียงอุย เดิรลดเลี้ยวตามกระบวรศึกก็มิได้พลาดพลั้ง

เกียงอุยควบม้าเข้าไปในกลางกองทัพ โบกธงให้ทหารแปดกองรวบกันเข้าเปนรูปพญานาค เตงงายถลำเข้าอยู่กลางตัว เกียงอุยให้ทหารซึ่งเปนหางนั้นวงล้อมเข้าไป ทหารอยู่ข้างนอกก็ตีม้าฬ่อฆ้องกลองอื้ออึงขึ้นแล้วร้องว่า ให้เตงงายวางอาวุธเสียออกมาหาเราโดยดี ถ้านิ่งอยู่เราจับตัวได้ก็จะฆ่าเสีย เตงงายกับทหารอยู่ในที่ล้อม เห็นกระบวรศึกเกียงอุยกลับกลายมิรู้ที่จะแก้ไขประการใด แหงนหน้าขึ้นดูอากาศแล้วทอดใจใหญ่ว่า ซึ่งเราเสียทีถลำเข้าอยู่ในเงื้อมมือข้าศึกนี้ ก็เพราะดูหมิ่นทนงแก่สงคราม พอแลไปข้าทิศตะวันตกเห็นสุมาปองคุมทหารฟันฝ่าเข้ามาช่วย เตงงายก็ดีใจ คุมทหารออกจากที่ล้อมได้ พาสุมาปองคุมทหารไปตั้งค่ายอยู่ริมแม่นํ้าอุยซุย เกียงอุยก็ยกทหารเข้าตั้งอยู่ในค่ายเตงงายทั้งเก้าค่าย

ฝ่ายเตงงายจึงถามสุมาปองว่า เหตุไฉนท่านจึงเข้าใจในกระบวรศึกอันนั้นฟันฝ่าเข้าไปช่วยเราในที่ล้อมได้ สุมาปองบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าเด็กอยู่นั้น ได้ไปเรียนวิชา ณ เมืองเกงจิ๋วแลเมืองลกเอี๋ยง ชีจิ๋วเปงกับเจือกองง่วนซึ่งเปนเพื่อนรักของขงเบ้งบอกกลศึกอันนี้ให้ ข้าพเจ้า กระบวรศึกซึ่งเกียงอุยกลายออกนั้นชื่อเตียงจั๋วติ่น ภาษาไทยว่ากระบวรศึกงูเลื้อย ถ้าผู้ใดไม่รู้ถลำเข้าไปก็เสียที ข้าพเจ้าเข้าใจเห็นว่ากระบวรศึกนั้นตั้งสีสะข้างทิศตะวันตก ข้าพเจ้าจึงตีตรงเข้าไปตัดสีสะเสียก่อน เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า ข้าพเจ้าก็ได้เรียนกระบวรศึกมาเปนอันมาก แต่กระบวรศึกซึ่งกลายออกนั้นหาเข้าใจไม่ บัดนี้เรารู้เท่าเกียงอุยแล้ว เวลาพรุ่งนี้จำเราจะยกไปรบชิงเอาค่ายคืนดังเก่าจึงจะชอบ

สุมาปองจึงว่า ข้าพเจ้าได้เรียนวิชารู้กระบวรศึกจริง แต่ไม่รู้ถึงเกียงอุย ซึ่งจะยกไปรบนั้นเกลือกจะเสียที ขอท่านคิดดูให้ควรก่อน เตงงายจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ให้ท่านยกทหารออกไปตั้งกระบวรศึกกับเกียงอุย เราจะยกทหารไปข้างหลังเขา ถ้าเกียงอุยยกออกจากค่ายแล้วเราจะลอบเข้าชิงเอาค่ายให้จงได้ แล้วเตงงายก็ให้เตงหลุนเปนกองหน้ายกไปตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสาน สุมาปองจึงให้ทหารถือหนังสือไปค่ายเกียงอุยว่า เวลาพรุ่งนี้ให้ทหารออกตั้งกระบวรศึกกันอีก เกียงอุยจึงสลักผนึกตอบมาว่าให้ยกมาเถิด แล้วเกียงอุยจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เราเคยทำศึกมากับขงเบ้งชำนาญในกระบวรศึกเปนอันมาก เวลาวานนี้เราก็แปลงกระบวรศึกถึงสามร้อยหกสิบห้ากระบวร เตงงายก็เห็นฝีมืออยู่แล้ว ซึ่งให้หนังสือมาว่าจะออกตั้งกระบวรศึกรบกับเรานั้น เหมือนเอาหญ้ามาสู้ดาบอันคม เห็นเปนกลอุบายลวงเราดอก ท่านทั้งปวงจะเห็นบ้างหรือไม่

เลียวฮัวจึงว่าข้าพเจ้าแจ้งอยู่ อันกลอุบายเตงงายนี้เห็นจะลวงเราให้ออกตั้งกระบวรศึก แล้วจะซุ่มอยู่คอยชิงเอาค่ายเราภายหลังมั่นคง เกียงอุยก็เห็นด้วยจึงว่าท่านว่านี้ต้องน้ำใจเราคิด แล้วก็ให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กคุมทหารหมื่นหนึ่งออกซุ่มอยู่หลังเขา ครั้นเวลาเช้าสุมาปองยกมาตั้งอยู่เขากิสาน เกียงอุยก็ยกทหารออกจากค่ายตั้งประจันหน้ากันอยู่ เกียงอุยขับม้าออกหน้าทหารร้องว่าแก่สุมาปองว่า ให้ตั้งกระบวรศึกให้เราดูก่อนเถิดเราจะชมสักหน่อย สุมาปองก็แยกทหารออกตั้งเปนกระบวรศึกปักกั๋วติน เกียงอุยจึงหัวเราะว่ากระบวรอันนั้นเราตั้งให้ดูอย่างแต่เวลาวานนี้แล้ว เราคิดว่าท่านจะมีวิชาประหลาทจึงอุตส่าห์ออกมา สุมาปองจึงว่า ถึงตัวท่านก็จะรู้เปนกะไรมา กับเราก็เรียนวิชาเหมือนกัน เกียงอุยจึงถามว่า กระบวรอันนี้ท่านกลายไปอย่างไรได้บ้าง สุมาปองจึงหัวเราะว่ากระบวรศึกอันนี้เรากลายออกไปได้ถึงแปดสิบเอ็จอย่าง สุมาปองก็โบกธงให้ทหารแปรศึกนั้นออกเปนกระบวรต่าง ๆ แล้วร้องว่าท่านเห็นความรู้เราหรือไม่ เกียงอุยจึงหัวเราะ ว่ากระบวรศึกอันนี้เรากลายออกได้ถึงสามร้อยหกสิบห้าอย่าง แล้วเราก็ชำนาญในฤกษ์เปนอันมาก สุมาปองจึงว่า ท่านอวดตัวนั้นเกินนัก แม้รู้จริงจงสำแดงออกให้เราดู เกียงอุยจึงว่า แม้ท่านจะใคร่เรียนวิชาของเราเปนอย่าง ก็ให้เรียกเตงงายออกมาเถิดเราจะทำให้ดู สุมาปองว่าเตงงายเปนแม่ทัพผู้ใหญ่ ไม่สมควรจะรบกับท่านจึงไม่ยกออกมา เกียงอุยจึงหัวเราะ ว่าซึ่งเตงงายทำกลอุบายให้ท่านมาลวงหวังจะชิงเอาค่ายเดิมนั้น เราก็รู้อยู่แล้ว สุมาปองเห็นว่าเกียงอุยรู้ถึงก็โกรธ ขับให้ทหารเข้ารบเกียงอุย ๆ ก็โบกธงให้ทหารออกรบพุ่งเปนสามารถ ฆ่าฟันทหารสุมาปองล้มตายเปนอันมากสุมาปองเห็นเหลือกำลังก็พาทหารแตกหนีไป

ฝ่ายเตงงายกับเตงหลุนยกทหารออกจากหลังเขาจะไปชิงเอาค่ายเกียงอุย พอเลี้ยวข้างเขาจะใกลัถึงค่าย เห็นทหารกองหนึ่งยกสกัดออกมา เสียวฮัวก็ควบม้าออกรบกับเตงหลุน เลียวฮัวเอาดาบฟันถูกเตงหลุนตกม้าตาย เตงงายเห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้าพาทหารหนี เตียวเอ๊กก็ยกทหารไล่ตามไป เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงถูกทหารเตงงายล้มตายเปนอันมาก ตัวเตงงายนั้นถูกเกาทัณฑ์สี่แผลก็พาทหารรีบหนีไปค่าย พอสุมาปองมาถึง เตงงายจึงว่า เราจะทำประการใดเกียงอุยจึงจะถอยทัพไป สุมาปองจึงว่า ในเมืองเสฉวนทุกวันนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่นำพาที่จะว่าราชการ นับถือเชื่อฟังแต่ฮุยโฮขันทีผู้เดียว ขอท่านแต่งหนังสือกับสิ่งของจงมากไปถึงฮุยโฮ ให้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้มีหนังสือรับสั่งมาหากองทัพเกียงอุยกลับไป เราจะได้ทีทำการถนัด เตงงายจึงประกาศทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปพูดกับฮุยโฮได้บ้าง ตองกิ๋นก็รับว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอง เตงงายก็มีความยินดี จัดแจงเงินทองแลพลอยแหวนกับสิ่งของที่ดีเปนอันมาก ก็มอบให้ตองกิ๋น ตองกิ๋นก็ลาเตงงายไปถึงเมืองเสฉวน ก็เข้าไปหาฮุยโฮเอาสิ่งของนั้นให้แล้วอ้อนวอนว่า จะขอให้หากองทัพเกียงอุยกลับมา ฮุยโฮเปนคนโลภเห็นแก่ทรัพย์ จึงคิดกลอุบายให้คนสนิธไปเที่ยวพูดว่า เกียงอุยจะเอากองทัพไปเข้าด้วยสุมาเจียว กิตติศัพท์ก็ลือไปทั่วเมืองเสฉวน ฮุยโฮจึงกลับเอาเนื้อความซึ่งราษฎรลือกันนั้นขึ้นทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ได้ฟังดังนั้นก็แคลงนัก เพราะเกียงอุยเปนพวกโจยอยอยู่ก่อน จึงมีหนังสือรับสั่งให้รีบไปหากองทัพเกียงอุยกลับมา

ฝ่ายเกียงอุยเห็นเตงงายเสียทีแตกไป ก็ยกกองทัพไปตั้งประชิดอยู่เปนหลายวัน มิได้เห็นเตงงายยกออกมาสู้รบ ก็ให้ทหารเข้าไปร้องด่าหยาบช้า พอทหารถือหนังสือรับสั่งมาถึง เกียงอุยมิได้แจ้งว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะมีกิจธุระประการใด ก็จัดแจงกองทัพจะไปเมืองเสฉวน เลียวฮัวจึงว่า ท่านเปนมหาอุปราช เมื่อจะยกกองทัพมานั้นก็ได้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าจะทำการให้สำเร็จ ซึ่งมีหนังสือรับสั่งมานี้ ให้ท่านยับยั้งตอบโต้ดูก่อน เตียวเอ๊กจึงว่าแก่เลียวฮัวว่า ซึ่งท่านจะให้ขัดรับสั่งนั้นไม่ชอบ ประการหนึ่งแต่เรายกกองทัพมาทำการตำบลนี้ก็เสียทีหลายครั้ง บัดนี้เราก็ได้ชัยชนะเปนฤกษ์อยู่แล้ว แม้กลับไปเมืองเอาใจบำรุงทหารให้บริบูรณ์ แล้วจึงยกกลับมาทำการก็เห็นจะไม่ขัดสนนัก

เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงจัดแจงยกทหารออกจากค่ายให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กคุมทหารป้องกันไปภายหลัง ฝ่ายเตงงายกับสุมาปองรู้ว่าเกียงอุยจะกลับไปเมืองเสฉวนก็ยกทหารไล่ตามไป เห็นกองทัพเลียวฮัวกับเตียวเอ๊กซึ่งป้องกันไปนั้นมั่นคงนัก เห็นจะติดตามไปไม่ได้ก็ให้ถอยกลับมาค่ายเขากิสาน

ฝ่ายเกียงอุยครั้นถึงเมืองเสฉวนแจ้งเนื้อความทั้งปวงแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนทูลถามว่า พระองค์ให้หาข้าพเจ้ามานี้มีกิจธุระประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่า เราเห็นท่านยกไปครั้งนี้ช้านานนัก เกรงว่าไพร่พลจะได้ความเดือดร้อนนัก เราจึงให้หามาหวังจะให้บำรุงทหารเสียก่อน เกียงอุยจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีเปนอันมาก หมายว่าจะได้ความชอบอยู่แล้ว ซึ่งต้องถอยทัพมานี้เห็นจะเปนกลอุบายของเตงงายคิดอ่านทำ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็นิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใด เกียงอุยจึงทูลว่า ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการสนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟังอ้ายคนเล็กน้อยปากตลาดคิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นสดุ้งพระทัยจึงตรัสว่า เราจะได้คิดสงสัยท่านหามิได้ ถ้าท่านได้ทีทำการอยู่แล้วจะยกไปตั้งอยู่เมืองฮันต๋งคอยตีเมืองวุยก๊กก็ตาม เถิด เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ ถวายบังคมลาออกมาจัดแจงกองทัพยกไปเมืองฮันต๋ง


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 83

https://drive.google.com/file/d/1PDskwbX_MLA_mPZKCpRdj4VkX4eYE4eZ/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #3 on: 24 December 2021, 09:05:48 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 84


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-84.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 84

เนื้อหา
• สุมาเจียวคิดทำร้ายโจมอ
• โจฮวนขึ้นครองราชสมบัติ
• เกียงอุยซ้อนกลเตงงาย
• เกียงอุยล้อมค่ายเขากิสาน


ฝ่าย ตองกิ๋นกลับมาถึงจึงบอกเตงงายว่า ในเมืองเสฉวนนั้นแปรปรวนหาเปนขนบธรรมเนียมไม่ เจ้าข้าก็ไม่ไว้ใจกัน นานไปเห็นจะเปนศึกขึ้นเอง เตงงายได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ให้ตองกิ๋นรีบเอาเนื้อความขึ้นไปแจ้งแก่สุมาเจียว ณ เมืองลกเอี๋ยง สุมาเจียวแจ้งดังนั้นก็ดีใจคิดว่า เห็นเราจะทำการได้เมืองเสฉวนครั้งนี้มั่นคงแล้ว จึงถามแกฉงนายทหารผู้ใหญ่ว่า บัดนี้เราจะคิดอ่านยกกองทัพไปรบเอาเมืองเสฉวนท่านจะเห็นประการใด

แกฉงจึงว่า บัดนี้พระเจ้าโจมอคิดสงสัยเราอยู่ ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปนั้นเห็นจะขัดสน อนึ่งเมื่อปีล่วงไปนั้นมังกรลงอยู่ในสระเลงเหลงสองตัว ขุนนางทั้งปวงทูลพระเจ้าโจมอว่าจะเปนมงคลแก่บ้านเมือง พระเจ้าโจมอจึงตรัสว่า อันธรรมดามังกรนั้นมีแต่สำแดงฤทธิ์เดชอยู่ในกลางอากาศแลในพระมหาสบุทร บัดนี้มาตกลงขังอยู่ในสระ ท่านทั้งปวงจะว่าเปนมงคลนั้นไม่ได้ไม่เห็นด้วย พระเจ้าโจมอจึงแต่งโคลงสี่บทเปรียบไว้เปนใจความว่า มังกรอันมีฤทธิ์เดชก็อัศจรรย์ตกลงขังอยู่ในสระ ให้ปลาเล็กน้อยล่วงดูถูก ก็อุปมาเหมือนตัวเรานี้ มีแต่ผู้เบียดเบียฬให้ได้ความเดือดร้อน

สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่แกฉงว่า อันโจมอนี้ถ้าเรานิ่งไว้นานไปก็จะเหมือนโจฮอง จำเราจะคิดอ่านกำจัดเสียจึงจะชอบ แกฉงจึงว่าท่านคิดนี้ชอบนัก ข้าพเจ้าจะขออาสาคิดอ่านกำจัดโจมอให้จงได้ ขณะนั้นพระเจ้าโจมอครองราชสมบัติได้ห้าปี (พ.ศ. ๘๐๓) ถึงเดือนเจ็ดเสด็จออกขุนนางเฝ้าพร้อมกัน สุมาเจียวจึงถือกระบี่เข้าไปเฝ้า ขุนนางจึงกราบทูลพระเจ้าโจมอว่า สุมาเจียวมีความชอบเปนอันมาก ขอให้พระองค์ตั้งให้สุมาเจียวเปนมหาอุปราชเถิด จะได้ช่วยว่าราชการสืบไป พระเจ้าโจมอก็นิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใด

สุมาเจียวเห็นกิริยาพระเจ้าโจมอดังนั้นก็โกรธ จึงร้องขึ้นว่า บิดาเรากับพี่เราก็มีความชอบต่อแผ่นดินเปนอันมาก ตัวเรานี้ไม่ควรจะเปนมหาอุปราชเจียวหรือ พระเจ้าโจมอจึงตรัสประชดว่า ท่านมีความชอบอยู่แล้ว จะเปนมหาอุปราชก็ตามเถิดใครจะอาจขัดท่านได้ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธนัก จึงว่าแก่พระเจ้าโจมอว่า ตัวเราทำราชการมีความชอบเปนอันมาก ท่านไม่รู้จักคุณเรา ทำโคลงเปรียบเทียบเราต่าง ๆ ท่านทำทั้งนี้เห็นชอบอยู่แล้วหรือ พระเจ้าโจมอนิ่งเสียมิได้ตอบประการใด สุมาเจียวมิได้กราบถวายบังคมพระเจ้าโจมอ ทำเปนหัวเราะแล้วลุกเดิรออกจากที่เฝ้า

ฝ่ายพระเจ้าโจมอก็เสด็จเข้าไปที่ข้างใน จึงให้หาอองซิมหนึ่ง อองเก๋งหนึ่ง อองเหงียบหนึ่ง ซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาแล้วตรัสว่า บัดนี้สุมาเจียวทำบังอาจหยาบช้า เห็นจะเปนขบถชิงเอาราชสมบัติเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด อองเก๋งจึงทูลว่า พระองค์อย่าเพ่อแพร่งพรายความเสียก่อน สุมาเจียวเปนขุนนางผู้ใหญ่มีสติปัญญาแลกำลังเปนอันมาก ขุนนางแลทหารทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจสุมาเจียวสิ้น แม้สุมาเจียวรู้เนื้อความไปก็จะเกิดเหตุใหญ่ไม่สมความคิดเรา พระเจ้าโจมอจึงตรัสว่า ซึ่งสุมาเจียวทำหยาบช้าฉนี้เราน้อยใจนัก ถึงมาทว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่เราจะทำการให้หายแค้นจงได้ แล้วพระเจ้าโจมอก็เสด็จเข้าไปหามารดาเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ

ครั้นพระเจ้าโจมอเสด็จเข้าไปแล้ว อองซิมจึงว่าแก่อองเหงียบว่า พระเจ้าโจมอมีความแค้นสุมาเจียวนัก เห็นจะทำการหักหาญเอาด้วยโทโส แม้สุมาเจียวรู้สืบสาวได้เนื้อความว่าเราร่วมคิดรู้เห็นด้วย เราก็จะพากันตายเสียสิ้นทั้งโคตร จำจะคิดอ่านเอาเนื้อความไปบอกสุมาเจียวเสียก่อน เห็นเราจะมีความชอบไปภายหน้า อองเหงียบได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย อองเก๋งจึงว่าแก่อองซิมว่า พระเจ้าโจมอเจ้าเราได้ความเดือดร้อน ควรเราจะสนองคุณกว่าจะสิ้นชีวิต ซึ่งท่านจะคิดทรยศเปนสองใจนั้นเราไม่เห็นด้วย แล้วอองเก๋งก็ห้ามปรามเปนอันมาก อองซิมอองเหงียบไม่ฟังพากันไปหาสุมาเจียวแจ้งเนื้อความทั้งปวงทุกประการ

ฝ่ายพระเจ้าโจมอครั้นปรึกษามารดาแล้ว ก็ขึ้นรถถือกระบี่เรียกขุนนางแลทหารประมาณสามร้อยเศษยกไปบ้านสุมาเจียว อองเก๋งเห็นดังนั้นกราบลงแล้วร้องไห้ทูลว่า ซึ่งพระองค์ยกทหารสามร้อยไปรบกับสุมาเจียวนั้น เหมือนหนึ่งต้อนแพะเข้าไปในปากเสือ ขอพระองค์จงยับยั้งก่อน ตัวข้าพเจ้านี้ใช่จะรักชีวิตก็หามิได้ ตั้งใจจะทำราชการฉลองพระเดชพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าจะไปทำการบัดนี้ก็จะพากันตายหาได้ท่วงทีไม่ พระเจ้าโจมอก็มิได้ฟัง ให้เร่งยกทหารออกจากวังด้วยกำลังโทโส พอถึงประตูวังเห็นแกฉงขี่ม้าถือทวน เซงจุยอยู่ขวาเซงเจอยู่ซ้ายคุมทหารพันหนึ่งฟันเข้ามา พระเจ้าโจมอก็ตกใจจับกระบี่ขึ้นแกว่งแล้วร้องว่า ตัวเราเปนกษัตริย์ อ้ายเหล่านี้ทำบังอาจหักหาญเข้ามาจะทำร้ายเราหรือ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็คิดเกรงอยู่ไม่อาจจะหักหาญลงมือจับกุมได้ ก็ชวนกันถอยออกมา

แกฉงจึงว่าแก่เซงเจว่า ซึ่งมหาอุปราชชุบเลี้ยงตัวมาก็ประสงค์ด้วยการเท่านี้ บัดนี้ได้ท่วงทีอยู่แล้วเหตุไฉนจึงนิ่งเสียไม่เร่งทำการ เซงเจจึงถามว่า ท่านจะให้ฆ่าเสียหรือจะจับเอาตัวไป แกฉงจึงว่า สุมาเจียวสั่งมาว่าได้ท่วงทีแล้วก็ให้ฆ่าเสียเถิด เซงเจได้ฟังดังนั้นก็ถือง้าวควบม้าตรงเข้าไปถึงหน้ารถ พระเจ้าโจมอจึงตวาดว่า มึงจะคิดขบถต่อกูหรือ เซงเจก็เอาง้าวแทงพระเจ้าโจมอถูกอกพลัดตกจากรถแล้วก็เอาง้าวฟันซํ้า พระเจ้าโจมอตายอยู่ริมรถนั้น เจียวเป๊กซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เห็นดังนั้นก็โกรธ ควบม้าออกมาจะรบกับเซงเจ ๆ ก็เอาง้าวฟันถูกเจียวเป๊กตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจายไป อองเก๋งเห็นดังนั้นก็ร้องด่าว่าอ้ายโจรขบถ มึงบังอาจฆ่าพระมหากษัตริย์เสียเจียวหรือ แกฉงก็โกรธสั่งทหารให้เข้าจับตัวอองเก๋งไปให้สุมาเจียว แล้วแจ้งเนื้อความทั้งปวงทุกประการ

สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นทำเปนตกใจ ขึ้นม้าพาทหารเข้าไปในวัง เห็นพระเจ้าโจมอตายกลิ้งอยู่ริมรถ สุมาเจียวคำนับถวายบังคมลงแล้วก็ทำร้องไห้รํ่าไรเปนอันมาก แล้วจึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาพร้อมกัน สุมาหูซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เห็นดังนั้นก็ร้องไห้คำนับศพพระเจ้าโจมอแล้วว่า ซึ่งผู้ร้ายบังอาจล่วงเข้ามาทำอันตรายพระองค์นั้น โทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่เปนอันมาก แล้วชวนกันทำการศพพระเจ้าโจมอตามประเพณีกษัตริย์ เชิญขึ้นไว้บนตำหนักใหญ่ฝ่ายทิศตะวันตก สุมาเจียวก็พาขุนนางเข้าไปในที่เสด็จออก

พอต้านท่ายใส่เสื้อปอหมวกปอเข้าไปคำนับศพแล้วเข้ามาในที่ประชุมขุนนาง สุมาเจียวจึงถามว่า บัดนี้มีผู้มาทำร้ายพระเจ้าโจมอ ท่านทั้งปวงจะปรึกษาโทษประการใด ต้านท่ายจึงว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะแกฉงผู้เดียว ขอให้ท่านเอาแกฉงมาฆ่าเสียจึงจะชอบ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็ขดใจนิ่งอยู่ แล้วว่าซึ่งจะ ให้ฆ่าแกฉงเสียนั้นให้คิดดูใหม่ก่อน

ต้านท่ายจึงว่า ข้าพเจ้าพิจารณาดูตามธรรมเนียมก็เห็นแต่เท่านั้น สุมาเจียวจึงว่า แกฉงมาด้วยก็จริงแต่หาได้ทำการลงมือไม่ เซงเจเปนตัวขบถควรจะฆ่าเสียทั้งสามชั่วโคตรจึงจะชอบ เซงเจได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ร้องตอบสุมาเจียวว่า เหตุใดท่านจะมาเอาโทษแก่เรา แกฉงบังคับเราว่าท่านสั่งให้ฆ่าพระเจ้าโจมอเสีย เราเกรงอาญาท่านจึงทำตาม สุมาเจียวจึงว่า ตัวเปนขบถทำร้ายเจ้าแผ่นดินเสียแล้วยังมาเจรจาฉนี้อีกเล่า แล้วสั่งให้ทหารเอาตัวเซงเจไปตัดสินแล้วให้ฆ่าเสีย เซงเจก็ร้องด่าสุมาเจียวไปจนขาดใจตาย สุมาเจียวก็ให้ทหารไปเอาตัวเซงจุยผู้น้องเซงเจแลสมัคพรรคพวกทั้งปวงมาฆ่า เสียทั้งสามชั่วโคตร แล้วให้ไปเอาตัวอองเก๋งแลสมัคพรรคพวกทั้งปวงมา

อองเก๋งคำนับมารดาแล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าเปนบุตรก็ยังมิได้แทนคุณเลย บัดนี้มาต้องโทษด้วยเล่า มารดาจึงหัวเราะ ว่าเกิดมาแล้วจะหนีความตายไปไหนพ้น ตัวเราถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะมีความสัตย์กตัญญูต่อเจ้า ก็จะปรากฎชื่อไปภายหน้า สุมาเจียวก็ให้ทหารเอาตัวกับสมัคพรรคพวกไปฆ่าเสียสิ้นทั้งโคตร ชาวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ร้องไห้รักทุกตัวคน สุมาเจียวก็เชิญศพพระเจ้าโจมอไปฝังไว้ตามประเพณีกษัตริย์ แกฉงจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เราจะเชิญสุมาเจียวขึ้นครองสมบัติ สุมาเจียวจึงว่า เมื่อพระเจ้าวุยอ๋องเปนใหญ่นั้นก็หาได้ครองสมบัติไม่ เราจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินเหมือนพระเจ้าวุยอ๋องนั้น แกฉงแจ้งความคิดสุมาเจียวว่าจะเอาสมบัติไว้ให้สุมาเอี๋ยนผู้บุตรก็นิ่งอยู่ มิได้ตอบประการใด

ขณะเมื่อพระเจ้าโจมอตายนั้นเดือนเก้าข้างขึ้น สุมาเจียวจึงเชิญโจฮวนผู้หลานโจโฉขึ้นครองราชสมบัติ นับศักราชปีนั้นเปนต้น (พ.ศ. ๘๐๓) พระเจ้าโจฮวนจึงตั้งสุมาเจียวเปนมหาอุปราช พระราชทานเงินสิบหมื่นชั่ง แพรอย่างดีสิบหมื่นพับ กับเครื่องสำหรับยศ แล้วตั้งทหารซึ่งมีความชอบให้เปนขุนนางผู้ใหญ่พระราชทานบำเหน็จรางวัลเปนอัน มาก ทหารสอดแนมข่าวราชการเมืองเสฉวนแจ้งว่าสุมาเจียวฆ่าโจมอเสีย แล้วเชิญพระเจ้าโจฮวนขึ้นเปนเจ้า ก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เกียงอุยทุกประการ

เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปเมืองกังตั๋งเปนใจความว่า ซึ่งเราจะคิดไปตีเมืองลกเอี๋ยงก็สมคะเนแล้ว บัดนี้สุมาเจียวเปนขบถฆ่าโจมอเสียตั้งโจฮวนขึ้นเปนเจ้า ให้ยกทหารไปบัญจบกันกับเรา จะได้ยกข้อขึ้นถามเอาโทษสุมาเจียวด้วย คนถือหนังสือก็ลาเกียงอุยไป เกียงอุยจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนกราบทูลเนื้อความทั้งปวงแล้วจะขอไป ตีเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็โปรดให้เกียงอุยจัดแจงทหารสิบห้าหมื่น กับเกวียนบันทุกสเบียงแลบันทุกหีบสำหรับจะทำการยี่สิบเล่ม ให้เลียวฮัวคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางจูงอก๊ก ให้เตียวเอ๊กคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางล่อก๊ก ตัวเกียงอุยนั้นจะยกไปทางเซียก๊ก ครั้นวันดีได้ฤกษ์ก็ยกทหารออกจากเมืองเสฉวนเปนสามทาง ไปบัญจบกันเขากิสาน

ฝ่ายเตงงายตั้งค่ายอยู่เขากิสาน ครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกทหารมาเปนสามทางก็โกรธ จึงหานายทหารทั้งปวงมาปรึกษา อองก๋วนจึงว่ากลอุบายของข้าพเจ้ามีอยู่สิ่งหนึ่ง แต่จะบอกให้แพร่งพรายนั้นไม่ได้ แล้วจึงเขียนหนังสือส่งให้เตงงายเปนใจความว่า ให้ทำกลเข้าสมัคด้วยเกียงอุย แล้วคิดเอาชัยชนะต่อภายหลัง เตงงายแจ้งในหนังสือดังนั้นก็หัวเราะว่า ความคิดท่านนี้ดีอยู่ แต่กลัวเกียงอุยจะรู้ถึง อองก๋วนจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย แม้เห็นด้วยแล้วข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอง เตงงายจึงว่า แม้ท่านจะเปนใจฉนั้นแล้ว เห็นจะสำเร็จการสมความคิดเปนมั่นคง ตัวท่านก็จะได้ความชอบ แล้วก็เกณฑ์ทหารห้าพันให้อองก๋วน ๆ ก็ลาเตงงายไปในเวลากลางคืน ครั้นถึงค่ายเกียงอุยจึงร้องบอกทหารในค่ายว่า เราเปนทหารเตงงายจะสมัคมาเข้าด้วยท่าน ทหารจึงเข้ามาบอกเกียงอุย ๆ แจ้งดังนั้นจึงให้ทหารทั้งปวงอยู่ภายนอก แล้วหาตัวอองก๋วนเข้ามา

อองก๋วนคำนับกราบเกียงอุยลงแล้วจึงว่า ข้าพเจ้านี้เปนหลานอองเก๋ง สุมาเจียวฆ่าพระเจ้าโจมอเสีย อาว์ข้าพเจ้าเปนคนสัตย์ซื่อก็ฆ่าเสียสิ้นทั้งโคตร ข้าพเจ้ามีความแค้นนัก บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่า ท่านจะมาทำการลงโทษสุมาเจียว จึงพาสมัคพรรคพวกห้าพันมาเข้าด้วยท่าน จะขออาสาไปทำการแก้แค้นสุมาเจียวให้จงได้ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะ ว่าซึ่งท่านมาสมัคทำการด้วยเรานี้ เราก็มีความยินดีนัก บัดนี้เกวียนสเบียงเรามาภายหลัง ท่านจงคุมทหารไปช่วยป้องกันเร่งรีบมาโดยเร็ว เราอยู่ภายหลังจึงจะยกเข้าตีค่ายเตงงายให้ได้

อองก๋วนก็มีความยินดีคำนับลาเกียงอุยจะคุมทหารยกไป เกียงอุยจึงว่า ท่านจะไปบัดนี้เปนแต่การเร่งสเบียงดอก จะเอาทหารไปมากก็หาต้องการไม่ เราจะขอไว้สักสองพันจะได้ช่วยนำทางทำการสืบไป อองก๋วนได้ฟังดังนั้นครั้นจะไม่ให้ทหารไว้กลัวเกียงอุยจะจับพิรุธได้ ก็คำนับลาพาทหารสามพันยกไป เกียงอุยเอาทหารสองพันมอบให้ปอเฉียมว่ากล่าว แฮหัวป๋าเข้าไปหาเกียงอุยแล้วว่า เหตุใดมหาอุปราชจึงเชื่อฟังอองก๋วน ๆ คนนี้แต่ข้าพเจ้าทำราชการอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง ก็ไม่ปรากฎว่าเปนหลานสนิธกันกับอองเก๋ง ซึ่งอองก๋วนสมัคมาอยู่ด้วยนี้เห็นจะเปนกล ขอมหาอุปราชดำริห์ดูให้ควรก่อน

เกียงอุยจึงหัวเราะ ว่าการอันนี้เราก็แจ้งอยู่แล้ว แม้อองก๋วนเปนลูกหลานอองเก๋ง สุมาเจียวหรือจะปล่อยให้มาซ่องสุมทหารอยู่นอกเมืองฉนี้ เราจึงแบ่งทหารไว้หวังจะซ้อนกลอองก๋วนให้จงได้ แฮหัวป๋าจึงว่า ความคิดท่านนี้ต้องนํ้าใจข้าพเจ้านัก เกียงอุยจึงเกณฑ์ทหารให้ออกสกัดทางคอยระวังอองก๋วนจะใช้คนไปมาถึงเตงงาย ทหารนั้นจับได้ทหารอองก๋วนถือหนังสือไปให้เตงงายก็นำตัวมาให้เกียงอุย ๆ จึงเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ให้เตงงายมารับณหุบเขาฮุยสานเดือนสิบแรมห้าคํ่า ข้าพเจ้าจะคุมสเบียงมาทางนั้น

เกียงอุยแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงเอาตัวผู้ถือหนังสือไปฆ่าเสีย แล้วเขียนหนังสือฉบับหนึ่งเปนใจความว่า เดือนสิบขึ้นสิบห้าคํ่าให้เตงงายคุมทหารคอยอยู่ ณ หุบเขาฮุยสาน ข้าพเจ้าอองก๋วนจะคุมสเบียงเกียงอุยมาให้ท่านที่นั่น แล้วก็แต่งทหารปลอมเปนทหารอองก๋วนถือไปให้เตงงาย ณ ค่าย ทหารนั้นก็ลาเกียงอุยไป เกียงอุยจึงให้ปอเฉียมคุมทหารสองพันเอาเกวียนร้อยเล่มบันทุกฟืนแลเชื้อเพลิง ไปซุ่มอยู่ในหุบเขานั้น แล้วให้เจียวฉีกับเตียวเอ๊กเลียวฮัวคุมทหารไปตีค่ายเตงงาย ตัวเกียงอุยกับแฮหัวป๋าคุมทหารขึ้นอยู่บนเงื้อมเขา

ฝ่ายเตงงายครั้นได้หนังสือแล้วก็มีความยินดี จึงเขียนหนังสือตอบส่งให้ทหารนั้นเปนใจความว่า ให้อองก๋วนเร่งเข็นเกวียนสเบียงมาเถิด เราจะคุมทหารไปคอยอยู่ตามสัญญา ผู้ถือหนังสือก็กลับมาหาเกียงอุย ครั้นถึงกำหนดขึ้นสิบห้าคํ่า เตงงายก็ยกทหารห้าหมื่นออกจากค่ายตรงไปหุบเขาฮุยสาน ทหารสอดแนมไปก่อนเห็นเกวียนบันทุกเชื้อเพลิงซุ่มอยู่สำคัญว่าอองก๋วนเข็นเก วียนสเบียงมา ก็รีบมาบอกเตงงาย ๆ ก็รีบยกทหารไปถึงหุบเขานั้น เห็นทหารอองก๋วนอยู่เปนอันมากก็ดีใจ ทหารทั้งปวงจึงว่าแก่เตงงายว่า เวลาจวนเย็นแล้ว ให้ท่านเร่งเข้าไปเขนเกวียนสเบียงมา

เตงงายจึงว่า เขาข้างหน้าเรานั้นสับสนนัก เกลือกเกียงอุยรู้ถึง จะเกณฑ์ทหารมาซุ่มไว้เราจะได้ความเดือดร้อน เราคอยท่าให้อองก๋วนคุมเกวียนสเบียงมาถึงเราจึงพากันไปค่าย พอทหารม้าใช้มาบอกว่า อองก๋วนคุมเกวียนสเบียงมาแล้ว มีทหารยกไล่หลังมาเปนอันมาก ขอให้ท่านเร่งยกทหารไป เตงงายได้ฟังดังนั้นก็รีบยกทหารไป พอเวลายามหนึ่งได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่หลังเขาสำคัญว่าอองก๋วนยกมา ก็รีบยกทหารข้ามเขาไปถึงป่าชัฏแห่งหนึ่ง ปอเฉียมก็ถือทวนควบม้าออกมาร้องว่า มึงแพ้รู้นายกูแล้วจะหนีไปไหนเล่า เร่งมาหาโดยดีกูจะมัดไปให้เกียงอุย

เตงงายเห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้ากลับมา ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็เอาเพลิงจุดขึ้นโดยรอบ แล้วล้อมรบฟันเข้าไปฆ่าฟันทหารเตงงายล้มตายเปนอันมาก แล้วร้องว่าถ้าผู้ใดจับตัวเตงงายได้จะปูนบำเหน็จให้ทองพันตำลึงแลให้เปนขุน นางผูใหญ่ เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ถอดเกราะทิ้งเสียโดดลงจากม้าปลอมเปนทหารเลวออกจากที่ ล้อมหนีไป ฝ่ายเกียงอุยกับแฮหัวป๋าสำคัญว่าเตงงายอยู่ในที่ล้อม ก็ให้ทหารเที่ยวค้นหาก็มิได้พบ

ฝ่ายอองก๋วนครั้นให้ทหารถือหนังสือไปถึงเตงงายแล้ว ก็จัดแจงเกวียนสะเบียงมาตามสัญญา พอจะใกล้ถึงหุบเขาฮุยสาน ทหารม้าใช้เข้ามาบอกว่าเกียงอุยรู้ถึงกลอุบาย บัดนี้เตงงายยกมาก็เสียทีแก่เกียงอุยจะเปนตายประการใดมิได้แจ้ง พอขาดคำเกียงอุยก็ยกทหารล้อมเข้ามา อองก๋วนเห็นดังนั้นก็ตกใจ ให้เอาเพลิงเผาเกวียนสเบียงเสีย พาทหารฟันฝ่าหนีไปทางเมืองฮันต๋ง เกียงอุยให้ทหารสกัดทางที่จะมาค่ายเตงงาย แล้วก็รีบยกตามไปเมืองฮันต๋ง ฝ่ายอองก๋วนหนีลัดไปตามทางน้อยถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง พอเกียงอุยตามมาทันก็ขับทหารเข้าล้อมโดยรอบ อองก๋วนเห็นเหลือกำลังจะสู้รบก็โดดน้ำตายเสีย เกียงอุยก็ไล่ฆ่าฟันทหารอองก๋วนตายในที่นั้นสิ้น แล้วก็ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองฮันต๋ง

ฝ่ายเตงงายพาทหารหนีมาถึงค่ายเขากิสาน จึงให้ทหารถือหนังสือขึ้นไปเมืองหลวง แจ้งเนื้อความแก่สุมาเจียวทุกประการ ฝ่ายสุมาเจียวแจ้งในหนังสือนั้นจึงว่า เตงงายมีความชอบอยู่เปนอันมาก ควรเราจะยกโทษเสียชุบเลี้ยงต่อไปจึงจะชอบ แล้วก็จัดแจงสิ่งของเงินทองเปนอันมากให้ไปปูนบำเหน็จเตงงายกับทหารห้าหมื่น ให้ยกไปช่วย

ขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบเจ็ดปี (พ.ศ. ๗๘๒) อยู่มาณเดือนสิบสอง ฝ่ายเกียงอุยแม่ทัพซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองฮันต๋งนั้น เกณฑ์ให้เร่งทำทางเจี๋ยงโต๋ทั้งกลางวันกลางคืน ก็กะเกณฑ์ทหารแลเรือรบเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อม จึงบอกหนังสือไปถึงเมืองเสฉวนให้ทูลแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยน ว่าแต่ข้าพเจ้าทำการศึกมาช้านานแล้ว ก็หายังมีความชอบเปนข้อใหญ่ไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารพระเจ้าโจฮวนนั้นก็อิดโรยอยู่แล้ว ข้าพเจ้าแลทหารทั้งปวงจะขออาสาไปตีเอาให้ได้ ถ้าแลมิได้ข้าพเจ้าจะขอถวายชีวิต

ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนรู้ในหนังสือดังนั้น ก็นิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด เตียวเจียวจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นดาวเมืองเราวิปริตฤกษ์บนหาดีไม่ แลซึ่งเกียงอุยจะอาสายกไปนั้นเห็นจะไม่มีชัยชนะ ขอพระองค์จงห้ามไว้ก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตอบว่า บัดนี้เขามารับอาสาเราเอง แลซึ่งจะห้ามไว้นั้นไม่ควร จำเราจะให้เขาไป ถ้าภายหลังเห็นเพลี้ยงพลํ้าประการใดแล้วเราจึงจะห้าม เตียวเจียวจึงซ้ำทูลทัดทานถึงสามครั้ง เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนมิฟังถ้อยคำแล้วก็ลาไป คิดน้อยใจทำอุบายเปนป่วยมิได้มาคิดราชการเลย

ฝ่ายเกียงอุยบอกหนังสือไปถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว ก็กะเกณฑ์กองทัพจะยกไป จึงปรึกษากับเลียวฮัวว่า เราจะไปตีเมืองวุยก๊กซึ่งเปนเมืองใหญ่นั้น บัดนี้เราจะรบเมืองไหนก่อนจึงจะดี เลียวฮัวจึงว่า แต่ท่านทำการศึกมานี้ก็เปนหลายปีแล้ว ทหารทั้งปวงแลราษฎรไม่มีความสบายเลย แลเตงงายซึ่งอยู่ ณ เมืองวุยก๊กนั้น เขาก็มีฝีมือแลปัญญามากหาผู้ใดจะต้านทานได้ไม่ ซึ่งท่านจะยกไปทำการครั้งนี้ข้าพเจ้ามิรู้ที่จะคิดด้วยได้เลย เกียงอุยจึงว่า เมื่อครั้งขงเบ้งเปนมหาอุปราชยกทัพไปทำการศึกที่เขากิสานถึงหกครั้งจนตัวตาย ก็เพราะเห็นแก่ราชการ แลตัวเราอุตส่าห์ทำการสงครามมาก็ได้ถึงแปดครั้งแล้ว ก็เพราะคิดว่าเปนข้าราชการแผ่นดินท่าน หาได้เห็นแก่ลาภสักการประโยชน์แก่ตัวไม่ บัดนี้เราจะยกไปตีเอาเมืองเตียวเจี๋ยงให้ได้ ถ้าแลผู้ใดขัดขวางเรา ๆ จะฆ่าผู้นั้นเสีย แล้วจึงให้เลียวฮัวอยู่รักษาเมืองฮันต๋ง เกียงอุยก็คุมทหารสามสิบหมื่นยกกองทัพไปเมืองเตียวเจี๋ยง

ฝ่ายเตงงายกับสุมาปองซึ่งตั้งค่ายอยู่เขากิสาน ครั้นทหารกองตะเวนเข้ามาบอกว่าบัดนี้เกียงอุยยกกองทัพมาทางเมืองเตียวเจี๋ยง สุมาปองได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่เตงงายว่า เกียงอุยคนนี้มีความคิดมาก ซึ่งยกมาครั้งนี้ก็เห็นหาไปตีเมืองเตียวเจี๋ยงไม่ เห็นทีจะชิงเอาค่ายเขากิสาน เตงงายจึงตอบว่าซึ่งว่านี้ไม่เห็นด้วย เรารู้อยู่ว่าเกียงอุยจะมาตีเมืองเตียวเจี๋ยง อันเกียงอุยนี้เคยมารบกับเราหลายครั้งอยู่ ย่อมรู้ว่าเราตั้งมั่นอยู่ที่นี่สเบียงอาหารก็มาก ทแกล้วทหารก็พรักพร้อมเห็นไม่อาจมาตี อันเมืองเตียวเจี๋ยงนั้นสเบียงก็น้อย ทแกล้วทหารก็ร่วงโรยเห็นจะยกไปตีก่อน แล้วก็หมายใจว่าจะได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเกียงเสียด้วย

สุมาปองจึงว่า ถ้าเกียงอุยทำการเหมือนท่านรู้ดังนี้ท่านจะทำประการใด เตงงายจึงว่า เราคิดอุบายไว้แล้ว ท่านจงยกไปตั้งกองซุ่มอยู่เมืองเตียวเจี๋ยง แล้วให้ล้มธงซึ่งปักสำหรับเมืองลงเสีย ทั้งกลองแลแตรก็อย่าให้ตี ให้เปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน แล้วต้อนครัวในเมืองให้ออกไปอยู่นอกเมือง ถ้าเห็นข้าศึกมาแล้วก็ให้วิ่งหนีเอาตัวรอด ข้าศึกก็จะมีน้ำใจสำคัญว่าเมืองเปล่าไม่มีคนก็จะตรูกันเข้าในเมือง ท่านจึงตีกระทบหลังเข้ามา ข้าศึกไม่รู้ตัวก็จะได้ชัยชนะเปนมั่นคง อันตัวเรานี้จะยกไปตั้งสกัดอยู่เมืองเฮาโหท่านจะเห็นประการใด สุมาปองก็เห็นชอบด้วย ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันดังนั้นแล้ว จึงจัดแจงให้สูเป๋าคุมททารอยู่รักษาค่ายเขากิสาน สองนายก็ยกทัพไปทำตามปรึกษากันทุกประการ

ฝ่ายแฮหัวป๋าซึ่งเปนทัพหน้าเกียงอุย ครั้นยกมาถึงเมืองเตียวเจี๋ยงแล้วแลไปดูในเมืองเห็นเงียบอยู่ ทั้งธงบนเชิงเทินก็ไม่มี ประตูเมืองก็เปิดอยู่ทั้งสี่ด้าน ก็ประหลาทใจมิอาจเข้าไปในเมืองได้ จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวง ๆ จึงบอกว่าข้าพเจ้าหาเห็นเปนกลไม่ อันซึ่งเมืองเปล่าอยู่ดังนี้ เพราะเห็นว่าท่านยกกองทัพมาชาวเมืองมิอาจสู้รบได้ก็ชวนกันแตกหนีไป แฮหัวป๋าได้ยินทหารทั้งปวงว่าดังนั้น แลไปดูข้างหลังเมือง เห็นครอบครัวชาวเมืองสุมกันอยู่เปนอันมาก จึงควบม้าตรงไปดู

ฝ่ายครัวชาวเมืองครั้นเห็นแฮหัวป๋าควบม้าตรงมาดังนั้นก็ตกใจ จึงพากันวิ่งหนีไปตามทางตวันตกทิศใต้ตามคำสุมาปองสั่ง ฝ่ายแฮหัวป๋าครั้นเห็นครอบครัววิ่งหนีกระจัดกระจายไป ก็สำคัญว่าชาวเมืองทิ้งเมืองเสียแล้วก็ดีใจหารู้กลสุมาปองไม่ พาทหารตรูกันจะเข้าเมือง ฝ่ายสุมาปองตั้งซุ่มอยู่ในเมือง ครั้นเห็นข้าศึกล่วงเข้ามาถึงประตูเมืองแล้ว ได้ท่วงทีให้ทหารจุดประทัดโห่ร้องยกธงขึ้นพร้อมกัน แฮหัวป๋าเห็นดังนั้นก็ตกใจ พาทหารถอยออกมาถึงเชิงกำแพงชั้นนอก พวกทหารชาวเมืองก็ยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลากระหน่ำออกไปถูกแฮหัวป๋าแลทหาร ทั้งห้าร้อยตายในที่นั้นสิ้น

สุมาปองครั้นมีชัยแล้วก็ยกทหารออกมานอกเมือง พอเกียงอุยทัพหลวงยกตามแฮหัวป๋ามา พบสุมาปองพาทหารออกมานอกเมืองดังนั้น ก็ขับทหารเข้ารบพุ่งกัน สุมาปองสู้มิได้ก็ถอยทัพกลับเข้าตั้งมั่นอยู่ในเมือง เกียงอุยได้ทีก็ไล่ติดตามเข้าไปตั้งประชิดเชิงกำแพงเมืองไว้ เห็นแฮหัวป๋าแลทหารทั้งห้าร้อยตายกลาดอยู่ก็โกรธ กำชับให้ทหารล้อมเข้าไว้เปนสามารถ

ฝ่ายเตงงายซึ่งตั้งกองทัพอยู่เมืองเฮาโห ครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกทัพเข้าตั้งประชิดเมืองเตียวเอี๋ยงไว้ดังนั้น เวลาดึกประมาณยามเศษ เตงงายก็ยกมาช่วยสุมาปอง ๆ ซึ่งอยู่ในเมือง ครั้นเห็นกองทัพเตงงายยกมาแล้วก็ให้ทหารโห่ร้องยกออกมาจากเมืองตีกระหนาบกัน ทั้งสองทัพ ฝ่ายเกียงอุยจะสู้รบมิได้ก็แตกไปตั้งอยู่ทางไกลประมาณสองร้อยเส้น ทหารทั้งปวงเสียน้ำใจย่อท้อแก่ข้าศึกนัก เกียงอุยคะเนเห็นทหารทั้งปวงต่างคนต่างอิดโรยไปดังนั้นจึงประกาศว่า อันประเพณีทำการศึกนี้แพ้แลชนะย่อมมีเสมอกัน ครั้งนี้ถ้าแลทหารผู้ใดออกปากว่าย่อท้อแก่ข้าศึกไม่ตั้งใจทำราชการโดยสุจริต เราจะฆ่าผู้นั้นเสีย

ขณะนั้นเตียวเอ๊กซึ่งเปนนายทหารจึงว่าแก่เกียงอุยว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าข้าศึกจะยกมาทำการอยู่กับท่านที่นี่สิ้นแล้ว ซึ่งค่ายเขากิสานเห็นจะไม่มีผู้ใดอยู่รักษา ข้าพเจ้าจะขอทหารกองหนึ่งยกไปค่ายเขากิสาน ข้าศึกสารวลรบอยู่กับท่าน ก็เห็นว่าจะได้ค่ายทั้งเก้าค่าย ครั้นได้ทหารมากด้วยกันแล้ว ข้าพเจ้าก็จะยกไปตีเมืองเตียงอั๋นก็เห็นจะได้โดยง่าย เกียงอุยเห็นชอบด้วย จึงจัดทหารให้เตียวเอ๊กยกไปเขากิสาน ส่วนตัวเกียงอุยนั้นก็ยกทหารกลับไปรบกับเตงงาย ๆ ครั้นเห็นเกียงอุยยกมาอีกดังนั้น ก็ออกรบด้วยเกียงอุยได้สิบเพลงมิได้แพ้ชนะกัน พอเวลาเย็นต่างคนต่างกลับเข้าค่าย ครั้นเวลารุ่งเช้าเกียงอุยจึงยกไปประชิดหน้าค่าย ไม่เห็นเตงงายออกมารบ จึงให้ทหารร้องด่าหยาบช้า

ฝ่ายว่าเตงงายก็นิ่งอยู่ในค่ายมิได้ออกรบ แล้วว่าอันทหารเมืองเสฉวนนี้ แต่ยกมาทำการก็พ่ายแพ้เปนหลายครั้งแล้วยังไม่มีความย่อท้อ กลับมาว่ากล่าวท้าทายดังนี้อีกเล่า เราเห็นว่าสูเป๋าอยู่รักษาค่ายกิสานนั้นทหารก็น้อย ข้าศึกจะยกลัดไปตีเอาเปนมั่นคง จึงเรียกเตงต๋งผู้บุตรเข้ามาสั่งว่า เราจะยกไปช่วยค่ายเขากิสาน เจ้าจงคุมทหารอยู่รักษาค่าย ถ้าแลข้าศึกจะเข้ามาทำประการ ใด ก็นิ่งรักษาตัวอยู่ในค่ายอย่าออกรบเลย เตงต๋งก็รับคำตามคำบิดา ครั้นเวลาค่ำเตงงายก็คุมทหารสามพันยกออกจากค่าย

ฝ่ายทหารกองตะเวนจึงไปบอกแก่เกียงอุยว่า บัดนี้เตงงายยกทหารออกจากค่ายเห็นจะมาตีเราเปนมั่นคง เกียงอุยจึงว่าบัดนี้ก็เปนเวลากลางคืน ไม่รู้ว่าข้าศึกยกมาจะเปนอุบายประการใด เราจะตั้งมั่นฟังดูในค่ายก่อน ฝ่ายเตงงายครั้นยกทหารมาถึงหน้าค่ายเกียงอุย ก็ไม่เห็นเกียงอุยออกมาต่อรบด้วย จึงให้ทหารโห่ร้องสำทับขึ้นอื้ออึงแล้วก็ยกลัดเลยไปค่ายเขากิสาน ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยจึงให้หาขุนนางมาพร้อมกันว่า ซึ่งเตงงายยกกองทัพมาคืนนี้หาตั้งใจมารบเราไม่ แกล้งจะทำให้เราไว้ใจ บัดนี้ไป ณ ค่ายเขากิสานแล้ว เราจะยกตามไปช่วยเตียวเอ๊กจึงจะได้ จึงสั่งหูเยียบให้คุมทหารอยู่รักษาค่าย เกียงอุยก็คุมทหารสามพันยกตามไปช่วยเตียวเอ๊ก ณ ค่ายเขากิสาน

ฝ่ายเตียวเอ๊กครั้นคุมทหารมาถึงเขากิสาน ก็เข้าตีค่ายสูเป๋าเปนหลายครั้ง ฝ่ายสูเป๋านั้นความคิดก็น้อยไม่ถึงเตียวเอ๊ก ทั้งทหารก็ร่วงโรยจวนจะเสียค่ายแก่เตียวเอ๊กอยู่แล้ว พอเตงงายยกมาทันเห็นเตียวเอ๊กประชิดตีค่ายสูเป๋าอยู่ดังนั้น ก็เร่งทหารเข้าโจมตีเตียวเอ๊กแตกหนีไปอยู่หลังเขา เตงงายก็ยกติดตามสกัดตนทางไว้ ขณะนั้นพอเกียงอุยยกตามมาทัน เตียวเอ๊กซึ่งหนีไปอยู่หลังเขานั้นรู้ว่าเกียงอุยยกตามมาช่วยก็ดีใจ จึงให้ทหารโห่ร้องกลับตีกระหนาบออกมา เตงงายเสียทีจะสู้มิได้ก็แตกหนีเข้าค่ายเขากิสาน ฝ่ายเกียงอุยเห็นเตงงายแตกเข้าค่าย ก็สั่งทหารแยกออกเปนสี่กองตั้งประชิดล้อมค่ายเตงงายไว้เปนมั่นคง


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 84

https://drive.google.com/file/d/14Z63DjRagwTuFhtkdksMUurQ2y3Bc1VO/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #4 on: 24 December 2021, 09:13:34 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 85


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-85.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 85

เนื้อหา
• ฮุยโฮขันทียุพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เรียกเกียงอุยกลับ
• เกียงอุยลาไปตั้งอยู่ตำบลหลงเส
• พระเจ้าเล่าเสี้ยนปรึกษาขันทีเรื่องข่าวศึก
• เกียงอุยไปตั้งอยู่ด่านเกียมโก๊ะ


ฝ่าย พระเจ้าเล่าเสี้ยนอยู่ ณ เมืองเสฉวนนั้น เชื่อฟังถ้อยคำฮุยโฮซึ่งเปนขันทีผู้ใหญ่นั้น เสพย์สุราทุกวันมิได้ขาด หลงด้วยนางนักสนมกรมใน มิได้นำพาที่จะออกว่าราชการบ้านเมือง บันดาขุนนางที่มีสติปัญญาเคยทำราชการมาด้วยแต่ก่อนนั้น ก็ชวนกันเสียใจต่างคนต่างก็เอาตัวออกหาก มีแต่คนใหม่ ๆ ซึ่งประสมประสานฮุยโฮได้นั้นก็เข้ามาเปนที่ขุนนางอยู่เปนอันมาก

ฝ่ายเงียมอูคนหนึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งเปนที่ชอบใจฮุยโฮนั้นจึงคิดว่า เรามาเปนขุนนางใหม่ยังหามีความชอบไม่ จงว่าแก่ฮุยโฮว่า ครั้งนี้ท่านเอ็นดูข้าพเจ้าช่วยทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ตั้งข้าพเจ้าไปเปน แม่ทัพแทนเกียงอุยเถิด ข้าพเจ้าจะให้ทรัพย์แก่ท่านตามสมควร ฮุยโฮได้ยินดังนั้นก็รับคำ จึงเข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า แต่เกียงอุยอาสาไปทำการศึกก็หลายครั้งอยู่แล้วหาได้ชัยชนะไม่ ขอพระองค์จงให้หากลับมาเสียเถิด จงตั้งเงียมอูออกไปเปนที่แม่ทัพแทนเห็นจะทำการศึกมีชัยชนะได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้มีหนังสือไปหาตัวเกียงอุย

ฝ่ายเกียงอุยตั้งประชิดอยู่ ณ เขากิสานนั้น แต่มีหนังสือรับสั่งให้เลิกทัพกลับไปถึงสามครั้งแล้ว ขัดมิได้ก็พาทหารทั้งปวงยกกลับมาตามรับสั่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารกองตะเวนจึงไปบอกแก่เตงงายว่า บัดนี้เกียงอุยทิ้งค่ายเสียหนีไปแล้ว เตงงายได้ฟังดังนั้นคิดว่าเปนกลอุบายก็มิได้ยกทัพติดตามมา ฝ่ายเกียงอุยยกทัพมาถึงเมืองฮันต๋งแล้ว จึงให้ทหารทั้งปวงยับยั้งอยู่ เกียงอุยก็ไปเมืองเสฉวน

ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นรู้ว่าเกียงอุยมาถึงแล้ว ก็มิได้เสด็จออกว่าราชการถึงเก้าสิบวัน เกียงอุยเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่เสด็จออกดังนั้น ก็คิดสงสัยใจนัก ครั้นวันหนึ่งมาพบขับเจ้งเข้าจึงถามว่า เราไปทำการศึกอยู่พระเจ้าเล่าเสี้ยนให้หาเราดังนี้ ท่านรู้เห็นหนักเบาเปนประการใด ขับเจ้งจึงตอบว่า บัดนี้ฮุยโฮซึ่งเปนขันทีกราบทูลยุยงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้หาท่านเข้ามา หวังจะให้เงียมอูออกไปเปนแม่ทัพแทนท่าน เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธนัก จึงว่าเราจะคิดอ่านฆ่าฮุยโฮเสียให้ได้ ขับเจ้งจึงห้ามว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนตั้งท่านให้เปนถึงแม่ทัพผู้ใหญ่ ซึ่งท่านจะมาทำใจเบาฆ่าฮุยโฮเสียดังนั้น ถ้าแลพระเจ้าเล่าเสี้ยนรู้ก็จะทรงพระโกรธลงอาญาแก่ท่าน ๆ ก็จะได้รับความอัปยศแก่ข้าราชการทั้งปวง

เกียงอุยจึงว่า ท่านทัดทานเราทั้งนี้ชอบอยู่ เราขอบใจท่านนัก แล้วต่างคนต่างก็ลาไป ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเกียงอุยรู้ว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสพย์สุรากับฮุยโฮที่ ตำหนักในสวน จึงพาทหารสิบคนเข้าไปหวังจะจับเอาตัวฮุยโฮ ๆ ครั้นเห็นเกียงอุยพาทหารเดิรเข้ามาแต่ไกลดังนั้นก็คิดกลัว หลีกไปแอบอยู่ข้างเขาซึ่งทำไว้ในสวน เกียงอุยครั้นเข้าไปถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงคำนับแล้วร้องไห้ทูลว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าไปทำการศึกอยู่เขากิสานก็จวนจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกอยู่แล้ว เปนไฉนพระองค์จึงให้หาข้าพเจ้ากลับมานี้มีเหตุประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่มิได้ตอบคำ เกียงอุยจึงทูลว่า พระองค์มาเชื่อฟังถ้อยคำฮุยโฮ ๆ คิดการทะนงใจนัก เห็นจะเหมือนครั้งพระเจ้าเลนเต้เมื่อมีขันทีสิบคนนั้น ขอพระองค์จงเร่งกำจัดอ้ายฮุยโฮเสียเถิด เมืองเสฉวนก็จะอยู่เย็นเปนสุข แลซึ่งเมืองวุยก๊กนั้นก็จะได้โดยง่าย

พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า อ้ายฮุยโฮนี้เปนแต่ขันทีเราใช้อยู่ข้างใน ท่านว่ามันทะนงใจนี้เราไม่เห็นด้วย ท่านจำไม่ได้หรือเมื่อครั้งตังอุ๋นมีความริษยากล่าวโทษมันนั้นเราก็คิดขัดใจ อยู่ บัดนี้ท่านมาว่าอีกเล่า เราหาเชื่อฟังท่านไม่ เกียงอุยได้ฟังก็น้อยใจ กราบลงจนหน้ากระทบลงกับแผ่นดินแล้วจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์ไม่ฟังข้าพเจ้าแล้วก็แล้วไปเถิด แต่เห็นว่าอันตรายจะพลันถึงพระองค์เปนมั่นคง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า ประเพณีคนทั้งปวงนี้ถ้ารักแล้วก็สรรเสริญว่าดี ถ้าแลชังกันแล้วก็ว่าชั่ว แลซึ่งท่านมาคิดอิจฉาอ้ายฮุยโฮนี้จะปราถนาสิ่งใด จึงกวักมือเรียกฮุยโฮมาคำนับเกียงอุย

ฝ่ายฮุยโฮก็เข้าไปคำนับเกียงอุยแล้วร้องไห้ ว่าอันตัวข้าพเจ้านี้ก็เปนแต่คนใช้ข้างใน หาได้องอาจล่วงไปว่ากล่าวราชการไม่ ขอท่านอย่าได้เชื่อฟังคำคนยุยงเลย อันชีวิตข้าพเจ้านี้ก็จะฝากไว้แก่ท่าน ว่าแล้วก็ซบหน้าลงร้องไห้อยู่กับที่ เกียงอุยครั้นเห็นฮุยโฮร้องไห้ว่ากล่าวดังนั้นก็หายโกรธ จึงคำนับลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนออกมา ไปเล่าให้ขับเจ้งฟังตามถ้อยคำพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าทุกประการ

ขับเจ้งจึงว่า แต่แรกเราได้ทัดทานแล้ว มิฟังคำเราจึงเปนเหตุทั้งนี้ เราเห็นว่าตัวท่านจะไม่พ้นอันตรายเปนมั่นคง ท่านจงเร่งผ่อนผันระวังตัวเถิด เกียงอุยก็ตกใจจึงว่าท่านห้ามเรา ๆ มิฟังท่านนี้ก็ผิดอยู่แล้ว ท่านจะช่วยเราคิดประการใดจึงจะพ้นภัยเล่า ขับเจ้งจึงว่า ซึ่งท่านอยู่ในเมืองเสฉวนนี้เห็นจะไม่พ้นภัย ท่านจงทูลลาไปตั้งอยู่ตำบลหลงเสเถิดเห็นจะพ้นอันตราย ถ้าแลถึงระดูเข้าโภชน์สาลีออกรวง ก็จะได้เปนกำลังแก่ทหารทั้งปวง อนึ่งก็จะได้ทำการกับเมืองวุยก๊กท่านก็จะมีอาญาสิทธิ์เปนใหญ่ เห็นจะกันอันตรายได้ เกียงอุยจึงว่าท่านว่านี้มีคุณหนักหนา ควรที่จะจารึกไว้กับแผ่นทอง ว่าดังนั้นแล้วก็ลาขับเจ้งไป ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วทูลว่า แต่ข้าพเจ้าทำการศึกมาก็นานอยู่แล้ว ทหารทั้งปวงก็อิดโรย บัดนี้ข้าพเจ้าจะลาพระองค์ออกไปตั้งอยู่ตำบลหลงเสจะได้ทำไร่เปนสเบียงแก่ ทหาร แล้วก็จะได้ฝึกสอนกันให้ชำนาญจะได้คิดทำการต่อไป พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วย จึงอนุญาตว่าตามแต่ความคิดท่านเถิด

เกียงอุยรับสั่งแล้วก็ลาไปเมืองฮันต๋ง จึงให้หาขุนนางทหารมาพร้อมกันแล้วว่า บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนโปรดให้เรายกไปตั้งอยู่ตำบลหลงเส ให้ทำไร่นาฝึกสอนทหารให้ชำนาญ จงตระเตรียมตัวให้พร้อมกันแล้วเราจะยกไป ครั้นบอกทหารทั้งปวงแล้ว จึงให้เอาเจ้ไปอยู่รักษาเมืองเซียวเส ให้องเสียไปอยู่รักษาเมืองก๊กเสีย เจียวปีนไปอยู่รักษาเมืองฮั่นเสีย แล้วให้เอียวสีกับอุเยียมคุมทหารไปเปนกองตะเวนด่านทางทุกตำบล ส่วนตัวเกียงอุยนั้นก็พาทหารแปดหมื่นยกไปตำบลหลงเส

ฝ่ายเตงงายซึ่งตั้งอยู่ ณ เขากิสานนั้น รู้ว่าเกียงอุยยกทัพกลับมาตั้งค่ายอยู่ตำบลหลงเสสิบสี่ค่าย จึงใช้ให้ทหารเขียนเปนแผนที่ซึ่งเกียงอุยตั้งค่ายตำบลหลงเสนั้นให้เร่งเอาไป ให้สุมาเจียว ฝ่ายสุมาเจียวครั้นเห็นแผนที่ก็มีความโกรธนักจึงว่า อ้ายเกียงอุยคนนี้เคยยกมาทำการศึกแก่เราเนือง ๆ ครั้งนี้เราจะคิดกำจัดมันเสียให้ได้

ขณะนั้นฝ่ายซุนโจยจึงว่า อันเมืองเสฉวนทุกวันนี้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีใจหลงรักผู้หญิงแลเสพย์สุรามิได้ขาด เชื่อถือถ้อยคำอ้ายฮุยโฮซึ่งเปนขันทีคนหนึ่ง บัดนี้ขุนนางซึ่งมีสติปัญญาในเมืองเสฉวนนั้นมีความน้อยใจต่างคนต่างเอาตัว ออกหาก ซึ่งเกียงอุยมาตั้งค่ายอยู่ตำบลหลงเสก็หวังจะให้พ้นอันตราย ขอท่านจงเร่งให้ยกทหารไปตีเอาเมืองเสฉวนเถิดเห็นจะได้โดยง่าย สุมาเจียวก็ดีใจหัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งท่านคิดเราก็เห็นชอบด้วย อันน้ำใจเราคิดจะไปตีเอาเมืองเสฉวนช้านานอยู่แล้ว แลบัดนี้ท่านจะเห็นผู้ใดเปนแม่ทัพคุมทหารไปตีเมืองเสฉวนได้ ซุนโจยจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นเตงงายประกอบด้วยความคิดมาก ขอท่านจงตั้งเตงงายเปนปลัดทัพ ตั้งจงโฮยให้เปนแม่ทัพยกไป เห็นจะตีเมืองเสฉวนได้

สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงเรียกจงโฮยเข้ามาว่า เราจะให้ท่านเปนแม่ทัพคุมทหารไปตีเมืองกังตั๋งเห็นจะได้หรือมิได้ จงโฮยจึงว่าข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านแกล้งว่า จะให้ข้าพเจ้าไปตีเมืองกังตั๋งนั้นหาจริงไม่ ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปตีเมืองเสฉวนดอก สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่าท่านนี้ล่วงรู้ในใจเรา บัดนี้เราจะให้ท่านยกไปตีเอาเมืองเสฉวน ท่านจะคิดทำประการใดจึงจะเอาเมืองเสฉวนได้ จงโฮยจึงว่า ซึ่งจะคิดเอาเมืองเสฉวนนั้นข้าพเจ้ารู้ท่าทางอยู่เห็นจะได้ง่าย ว่าดังนั้นแล้วจึงเอาแผนที่เมืองเสฉวนออกให้สุมาเจียวดู สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงว่า อันความคิดท่านนี้ควรจะเปนนายทหารผู้ใหญ่ได้ จงยกกองทัพไปบัญจบกับเตงงายตีเอาเมืองเสฉวนเถิด จงโฮยจึงว่า ซึ่งเมืองเสฉวนนั้นเปนเมืองใหญ่ จะยกกองทัพไปแต่ทางเดียวนี้เห็นไม่ได้ จำจะแยกกองทัพไปให้หลายทางจึงจะทำการเมืองเสฉวนได้

สุมาเจียวก็ตั้งจงโฮยให้เปนที่เจงไสจงกุ๋น แปลคำไทยชื่อว่าพระยาปราบทิศตวันตก จึงให้ทหารหกหัวเมืองนั้นไปด้วยจงโฮย แล้วเขียนหนังสือฉบับหนึ่งให้ไปถึงเตงงาย ให้เปนที่เจงไสจงกุ๋นเหมือนกันกับจงโฮย แลให้เกณฑ์ทหารเมืองหลงเสมาบัญจบกองทัพจงโฮยตีเมืองเสฉวนให้ได้ ครั้นจงโฮยรับตราตั้งแล้วก็คำนับลาสุมาเจียวออกมา จึงสั่งให้ทหารหกหัวเมืองไปพร้อมกัน ณ เมืองเกงจิ๋วแลเมืองลับจิ๋วซึ่งอยู่ชาย ทเลนั้นให้เร่งต่อเรือรบรอไว้ให้กิตติศัพท์ลือว่าจะไปตีเมืองกังตั๋ง

ฝ่ายสุมาเจียวครั้นรู้ว่าจงโฮยให้ทหารไปตั้งต่อเรือรบอยู่ชายทเลดังนั้น จึงให้หาตัวจงโฮยเข้ามาว่า เราสิจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็เปนทางบก บัดนี้เหตุใดท่านจึงให้ทหารต่อเรือรบเล่า จงโฮยจึงตอบว่า ซึ่งจะไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งจะยกกองทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจึงคิดอ่านต่อเรือรบหวังจะให้กิตติศัพท์ลือไปถึงเมืองกังตั๋งว่าเรา จะยกมารบ ชาวเมืองกังตั๋งก็จะตระเตรียมระวังตัวหาไปช่วยเมืองเสฉวนไม่ เราจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะได้ง่าย ครั้นได้เมืองเสฉวนแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะกลับมาเอาเรือรบซึ่งทำไว้นั้นยกไปตีเมืองกังตั๋งอีกครั้งหนึ่ง สุมาเจียวได้ยินจงโฮยว่าดังนั้นก็ดีใจ จึงว่าท่านคิดการทั้งนี้เราเห็นชอบอยู่แล้ว ครั้นถึงวันกำหนดฤกษ์จงโฮยก็คำนับลาสุมาเจียวยกกองทัพไป

ฝ่ายว่าเซียวค้าเปนที่ขุนนางคนหนึ่ง เห็นจงโฮยยกกองทัพไปแล้วจึงเข้ามาว่าแก่สุมาเจียวว่า ซึ่งให้จงโฮยเปนแม่ทัพหลวงถืออาญาสิทธิ์คุมทหารยกไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจงโฮยนี้มีใจมักกำเริบคิดการใหญ่หลวงเหลือตัวนัก ข้าพเจ้ามิเต็มใจ สุมาเจียวจึงว่าอันนํ้าใจจงโฮยนั้น แต่ก่อนเราก็รู้อยู่แล้ว เซียวค้าจึงว่า เมื่อท่านสิรู้น้ำใจจงโฮยอยู่แล้ว เหตุไรท่านจึงมิให้ขุนนางที่สัตย์ซื่อกำกับไปด้วยเล่า สุมาเจียวจึงว่า อันจงโฮยนี้ประกอบไปด้วยน้ำใจกล้าแข็งในการสงครามนัก เห็นครั้งนี้จะตีเมืองเสฉวนได้เปนมั่นคง ถ้าแลเราจะให้ขุนนางกำกับจงโฮยไปนั้น เห็นว่าจงโฮยจะเสียนํ้าใจ จะทำการสงครามมิเต็มมือ ถ้าแลได้เมืองเสฉวนแล้ว พวกทหารทั้งปวงซึ่งไปด้วยนั้นเปนชาวเมืองเรา ต่างคนต่างก็จะคิดตั้งใจเอาความชอบ จะกลับมาหาบุตรภรรยา ถึงว่าจงโฮยจะคิดขบถต่อเรา เห็นทหารทั้งปวงก็จะหาเข้าด้วยไม่ ท่านอย่าวิตกเลยแล้วจึงกำชับว่า ซึ่งถ้อยคำเราพูดดังนี้ ท่านอย่าให้เนื้อความแพร่งพรายรู้ไปถึงผู้ใดได้

ฝ่ายว่าจงโฮยยกกองทัพมาพักอยู่กลางทาง จึงเรียกนายทหารผู้ใหญ่แปดสิบเข้ามาพร้อมกันแล้วว่า บัดนี้เรายกกองทัพมาตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ เราจะจัดทหารเปนกองหน้ากองหนึ่งสำหรับจะทำทาง ถ้าพบภูเขาขวางหน้าก็จะให้ฝ่าภูเขาไป ถ้าแม้พบแม่น้ำก็จะให้ทำสะพานข้าม อย่าให้ทหารทั้งปวงซึ่งจะไปทำการณรงค์นั้นมีความลำบากได้ ผู้ใดจะอาสาเราทำดังนี้ได้บ้าง ฝ่ายเคาหงีซึ่งเปนบุตรเคาทูจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาท่านคุมทหารเปนกองหน้าเอง ทหารทั้งปวงได้ยินเคาหงีว่าดังนั้นจึงว่ากับจงโฮยว่า อันเคาหงีคนนี้มีฝีมือกล้าแข็งนัก สมควรเปนกองหน้าอยู่แล้ว

จงโฮยจึงว่าแก่เคาหงีว่า เคาทูผู้เปนบิดาของท่านนั้นก็เปนทหารมีฝีมือเข้มแขง ครั้งนี้ท่านจงคุมทหารห้าพันเปนกองหน้าไปแผ้วปราบทางให้ทหารกองทัพเดิรโดยสด วก ท่านอุตส่าหทำราชการให้เหมือนบิดาท่านให้ได้ ถ้าแลทำราชการโลเลให้เสียท่วงที เราจะเอาโทษแก่ท่านตามอาญาศึก เคาหงีก็รับตามคำ จงโฮยครั้นจัดแจงเสร็จแล้วจึงเขียนหนังสือให้ทหารไปบอกแก่เตงงายว่าเรายกกอง ทัพมาแล้ว ให้ท่านเร่งยกทหารไปพร้อมกันเมืองฮันต๋งเถิด ก็ยกทหารมาตามทางเมืองเสฉวน

ฝ่ายเตงงายยกจากเขากิสานมาตั้งอยู่แดนเมืองหลงเส ครั้นได้หนังสือสุมาเจียวให้มาดังนั้น จึงให้สุมาปองยกทหารกองหนึ่งไปตั้งสกัดหนทางเมืองเสเกี๋ยงไว้ หวังมิให้มาช่วยเมืองเสฉวนได้ แล้วให้ทหารไปหาจูกัดสูเจ้าเมืองหยงจิ๋ว แลอองกิ๋นเจ้าเมืองเทียนซุย คันห่องเจ้าเมืองหลงเส เอียวหัวเจ้าเมืองกิมเสีย ทั้งสี่หัวเมืองนั้นให้เร่งยกทหารมาพร้อมกัน ณ ค่าย เราจะได้คิดราชการกะเกณฑ์ ฝ่ายหัวเมืองทั้งสี่ครั้นรู้ว่าเตงงายให้หาดังนั้น ก็เร่งกะเกณฑ์รีบมาตามถ้อยคำ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเวลาดึกเตงงายนอนหลับอยู่ในค่าย ฝันว่าไปยืนอยู่บนยอดเขาสูงอันหนึ่ง แลไปดูเมืองฮันต๋งแล้วก็เห็นนํ้าพุไหลออกจากตีนเขาทีตัวเหยียบอยู่นั้น ตกใจสดุ้งตื่นขึ้น ครั้นเวลาเช้าจึงให้หาเซียวหลวนเข้ามา แล้วเล่าความฝันนั้นให้ฟัง เซียวหลวนจึงทำนายว่าฝันนี้เปนมงคล ไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้เห็นจะได้ แต่ว่าซึ่งเห็นน้ำพุออกจากภูเขานั้น เห็นว่าครั้งนี้ตัวท่านจะไม่ได้กลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยง

เตงงายได้ยินเซียวหลวนทำนายฝันดังนั้น ก็มีความโกรธนิ่วหน้านิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด พอทหารถือหนังสือมาบอกว่า จงโฮยให้เร่งยกกองทัพไปพร้อมกัน ณ เมืองฮันต๋ง เตงงายรู้ดังนั้นก็ให้จูกัดสูคุมทหารหมื่นห้าพันยกไปตั้งสกัดต้นทางเกียงอุย ไว้ มิให้เข้าไปเมืองเสฉวนได้ แล้วให้อองกิ๋นคุมทหารหมื่นห้าพันเร่งยกไปตีทัพเกียงอุยทิศข้างขวา แล้วจึงให้คันห่องคุมทหารหมื่นห้าพันยกไปตีทัพเกียงอุยทิศข้างซ้าย แล้วจึงให้เอียวหัวคุมทหารหมื่นห้าพันเปนกองหนุนตีกระหนาบเกียงอุยข้างหลัง ครั้นจัดแจงกองทัพทั้งปวงแล้ว ส่วนตัวเตงงายนั้นคุมทหารสามหมื่นยกไป

ฝ่ายทหารกองตะเวนจึงมาบอกแก่เกียงอุยว่า บัดนี้กองทัพเมืองวุยก๊กยกมาแล้ว เกียงอุยครั้นรู้ดังนั้นจึงเขียนหนังสือเปนใจความว่า บัดนี้ทหารเมืองวุยก๊กยกกองทัพมาเปนทัพใหญ่อยู่ ขอท่านจึงให้เตียวเอ๊กคุมทหารไปรักษาด่านแฮเบงก๋วน แล้วให้เลียวฮัวคุมทหารไปตั้งอยู่สะพานอิ๋มเป๋งเกี๋ยว อย่าให้ข้าศึกล่วงเข้ามาได้ อนึ่งจึงให้ทหารถือหนังสือไปเมืองกังตั๋งให้เร่งยกมาช่วย แล้วให้ทหารถือไปให้ขุนนางผู้ใหญ่ ณ เมืองเสฉวน

ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีความรักฮุยโฮนัก พากันเสพย์สุรามิได้ขาด ไม่นำพาที่จะออกว่าราชการ ครั้นขุนนางผู้ใหญ่เอาหนังสือเกียงอุยซึ่งบอกมานั้นเข้าไปกราบทูล พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงเรียกฮุยโฮมาแล้วปรึกษาว่า บัดนี้เกียงอุยบอกว่าข้าศึกเมืองวุยก๊กยกกองทัพมา เกียงอุยจะให้เราจัดแจงทหารไปรักษาด่าน ท่านจะเห็นประการใด ฮุยโฮจึงว่า ซึ่งเกียงอุยบอกข่าวราชการมาทั้งนี้จะคิดเอาความชอบใส่ตัว หาเปนจริงดังว่ามาไม่ ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้ารู้จักยายท้าวคนหนึ่งชื่อสูโป๋ลงผีรู้แน่นักข้าพเจ้าจะไปหามาลงดู ถ้าเท็จจริงประการใดก็จะรู้แน่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินก็ดีใจ จึงให้ฮุยโฮไปรับยายท้าวเข้ามาในวัง

พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นยายท้าวเข้ามาถึง แล้วเสด็จออกจุดธูปเทียนคำนับ ยายท้าวรับเครื่องสังเวยแล้วสยายผมรำเพลงกระบี่ต่าง ๆ ตามวิสัยเคยทำมาแต่ก่อน ครั้นอารักษ์ลงแล้วจึงบอกแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า เราเปนพระเสื้อเมืองท่าน ๆ ให้เชิญเรามานี้มีธุระประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า บัดนี้มีหนังสือมาบอกว่า ข้าศึกยกมาจะตีเมืองเรานั้นจะจริงหรือมิจริงประการใด ยายท้าวจึงบอกว่า ซึ่งข้าศึกยกมานี้หามาจริงไม่ ท่านอย่าคิดวิตกเลย อันบ้านเมืองของเรานี้จะอยู่เย็นเปนสุขอยู่หาเปนอันตรายไม่ นานไปเมืองวุยก๊กจะมานบนอบแก่ท่าน ว่าดังนั้นแล้วก็ล้มลงอารักษ์ก็ออกจากตัว

พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินยายท้าวว่าดังนั้นแล้วก็ดีใจ จึงพระราชทานเสื้อผ้าให้ตามสมควร ซึ่งมีหนังสือบอกมานั้นก็ไม่เชื่อฟังมิได้คิดการสืบไปเลย ชวนฮุยโฮเสพย์สุราทุกวันมิได้ขาด ตั้งแต่เกียงอุยบอกหนังสือมาเนือง ๆ ฮุยโฮก็ปิดเสียมิได้กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน

ฝ่ายเคาหงีซึ่งคุมทหารเปนทัพหน้าจงโฮยก็รีบยกมาถึงด่านเมืองลำเต๋ง แล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า จงเร่งเข้าตีด่านนี้ให้ได้ อันเมืองฮันต๋งก็จะได้โดยง่าย ทหารทั้งปวงได้ยินเคาหงีว่าดังนั้นก็ชวนกันโห่ร้องเข้าตีด่านลำเต๋ง

ฝ่ายว่าล่อซุนครั้นรู้ว่ากองทัพเมืองวุยก๊กยกมาแล้ว ก็เร่งกะเกณฑ์ทหารถือเกาทัณฑ์ไปตั้งซุ่มอยู่ริมป๊กเกียวที่หน้าด่าน ครั้นเคาหงียกทหารล่วงเข้ามา พวกทหารกองซุ่มเห็นก็จุดประทัดสัญญาขึ้นยกออกกระหนาบรบเอาเกาทัณฑ์ระดมยิง เปนสามารถ ทหารเคาหงีไม่ทันรู้ตัวก็เสียทีแตกกระจายไปหาทัพหลวง จึงแจ้งเนื้อความแก่จงโฮยทุกประการ

จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัย จึงพาทหารม้าร้อยหนึ่งรีบเข้าไปดู ฝ่ายทหารชาวด่านเห็นม้าควบดากันตรงเข้ามาก็ยิงเกาทัณฑ์กระหนํ่าออกไป จงโฮยแลทหารทั้งปวงมิอาจต้านทานไว้ได้ก็ชักม้าถอยกลับออกมา ล่อซุนอยู่ในด่านเห็นได้ทีดังนั้นก็ขับทหารไล่ออกมาถึงตีนสะพานปลายด่าน ฝ่ายซุนไคทหารจงโฮยเห็นชาวด่านไล่รุกออกมาดังนั้นก็หลีกเข้ายืนแอบอยู่ริม ทาง ได้ทีก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกล่อซุนตกจากหลังม้าตาย ทหารชาวด่านก็ตกใจต่างคนต่างแตกหนี จงโฮยก็ไล่ไปพอทหารกองหลังหนุนมาพร้อมกันก็เข้าตีเอาด่านลำเต๋งได้ จงโฮยครั้นมาอยู่ในด่านนายทัพนายกองทั้งปวงมาถึงแล้วจึงว่าแก่เคาหงีว่า ตัวอาสาเราเปนกองหน้าแล้วมาทำการให้เสียทีแก่ข้าศึกดังนี้ หากว่าซุนไคแก้ไว้เราจึงไม่เปนอันตราย โทษท่านนี้ถึงตาย จึงสั่งให้ทหารเอาตัวเคาหงีไปตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงจึงว่า อันเคาทูผู้เปนบิดาเคาหงีแต่ก่อนมาก็ได้ทำความชอบอยู่ ซึ่งท่านจะฆ่าเคาหงีเสียนี้ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอโทษไว้ครั้งหนึ่ง

จงโฮยจึงว่า ซึ่งจะขอโทษเคาหงีผู้กระทำความผิดไว้นั้นไม่ได้อาญาสิทธิ์จะเสียไป ทหารทั้งปวงผู้จะกระทำสงครามไปข้างหน้าจะเอาเยี่ยงอย่างกัน ก็ให้เอาเคาหงีไปตัดสีสะเสียบไว้ แล้วจึงให้หาซุนไคมาว่า อันความชอบของท่านครั้งนี้มากนัก จึงให้ม้าแลเกราะแก่ซุนไคปูนบำเหน็จฝีมือ แล้วจงโฮยจึงให้ลิจวนคุมทหารกองหนึ่งยกไปตีเมืองก๊กเสีย จึงให้ซุนไคไปตีเมืองฮันเสีย ส่วนตัวจงโฮยนั้นยกทหารทั้งปวงไปด่านแฮเบงก๋วน

ฝ่านหูเหยียมนายด่านแฮเบงก๋วน ครั้นรู้ข่าวว่ากองทัพยกมาจึงปรึกษาเจียวสีว่า ครั้งนี้เราจะคิดอ่านทำการต่อสู้กับข้าศึกอย่างไรจึงจะดี เจียวสีจึงว่า กองทัพเมืองวุยก๊กมาครั้งนี้เปนทัพใหญ่ ซึ่งจะออกต่อรบด้วยเขานั้นเห็นไม่ได้ จงตั้งมั่นรักษาตัวเราอยู่แต่ในค่ายเถิด หูเหยียมจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ตั้งมั่นอยู่ในด่าน ข้าศึกจะมิรุกรานไปตีเอาเมืองฮันเสียแลเมืองก๊กเสียทั้งสองหัวเมืองนี้ได้ หรือ ซึ่งท่านคิดนี้เราหาเห็นด้วยไม่ เจียวสีได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่มิได้ตอบคำ ขณะเมื่อหูเหยียมกับเจียวสีพูดกันอยู่นั้น พอทหารกองตะเวนมาบอกว่า บัดนี้กองทัพเมืองวุยก๊กตีมาถึงริมด่านแล้ว

หูเหยียมได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงพาเจียวสีขึ้นไปดูบนหอรบ เห็นจงโฮยผู้แม่ทัพขี่ม้ายืนชี้แซ่ร้องมาว่า ให้ชาวด่านเร่งออกมาอยู่ด้วยเราเถิด เราจะเลี้ยงไว้เปนทหารปูนบำเหน็จจงมาก ถ้าขัดแขงมิออกมาเราตีด่านได้แล้ว จะตัดสีสะชาวด่านทั้งปวงเสีย หูเหยียมมีความโกรธนักจึงให้เจียวสีอยู่ในด่าน ส่วนตัวหูเหยียมนั้นคุมทหารสามพันโห่ร้องไล่ตีทัพจงโฮยออกมา ฝ่ายจงโฮยครั้นเห็นชาวด่านรุกออกมาดังนั้น จึงให้ทหารทั้งปวงรายกันออกเปนกอง ๆ แกล้งทำเปนแตกหนี หูเหยียมเห็นดังนั้นก็ดีใจเร่งยกทหารตีออกมา จงโฮยเห็นได้ทีก็โบกธงให้ทหารเข้าตีกระหนาบพร้อมกัน หูเหยียมมิอาจที่จะสู้ได้ก็แตกหนีเข้าในด่าน

ฝ่ายเจียวสีเห็นหูเหยียมแตกกลับมาดังนั้นจึงให้ปิดประตูด่านเสีย แล้วร้องว่ากับหูเหยียมออกไปว่า บัดนี้เราเข้าแก่ข้าศึกแล้ว ท่านอย่ากลับเข้ามาอยู่ในด่านกับเราเลย หูเหยียมเห็นเจียวสีให้ปิดประตูด่านไว้แล้วร้องว่าออกมาดังนั้นก็โกรธ จึงร้องด่าเข้าไปว่าอ้ายขบถไม่คิดถึงคุณเจ้าแผ่นดิน มึงหาเปนชาติทหารไม่ ว่าแล้วก็กลับทหารเข้าต่อสู้กับจงโฮย ครั้นเห็นทหารอิดโรยจึงทอดใจใหญ่แล้วว่า เมื่อเรามีชีวิตอยู่ได้เปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ถ้าเราหาชีวิตไม่แล้วจะขอเปนผีอยู่ในเมืองพระเจ้าเล่าเสี้ยน ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็เอาทวนแทงตัวเข้าตาย ทหารทั้งปวงซึ่งมาด้วยนั้นก็ชวนกันแตกหนีไปสิ้น จงโฮยก็ได้ด่านแฮเบงก๋วน เจียวสีซึ่งอยู่ในด่านนั้นก็มาเข้านบนอบอยู่ด้วยจงโฮย ๆ จึงให้เสื้อผ้าตามสมควร แล้วก็หยุดทหารพักอยู่ในด่านนั้น ครั้นเวลาดึกได้ยินเสียงอื้ออึงมาก็พากันตกใจ จงโฮยครั้นเห็นทหารตกใจดังนั้น ก็ออกมาแลดูข้างทิศเหนือแล้วแลไปข้างทิศใต้ก็มิได้เห็นปรากฎเปนอันใด จงโฮยก็คิดสงสัยในใจนัก ครั้นเวลาเช้าจงโฮยก็ขี่ม้าพาทหารร้อยหนึ่งเที่ยวไปถึงชายเขาทิศใต้แห่ง หนึ่ง แลไปบนเนินเขาเห็นผงคลีขึ้นตระหลบอยู่ดังหนึ่งทหารมาตั้งอยู่ในที่นั้น จงโฮยจึงให้หานายบ้านซึ่งอยู่ชายเขานั้นมาถามว่าตำบลนี้ชื่อไร นายบ้านจึงบอกว่าเขาเตงกุนสาน แฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพมาครั้งนั้นก็ตายในที่นี้ จงโฮยได้ยินดังนั้นก็พาทหารกลับมา ครั้นมาถึงกลางทางก็บังเกิดเปนพายุใหญ่มัดกลุ้มมาก็ตกใจ จงโฮยก็เร่งชักม้าหนีมา ครั้นเหลียวไปดูข้างหลังเห็นเปนทหารไล่ติดตามมาเปนอันมาก จงโฮยแลทหารทั้งปวงก็มีความครั่นคร้ามเร่งหนีมาลงด่านแฮเบงก๋วน จงโฮยจึงตรวจดูทหารทั้งปวงก็มาครบกันอยู่หาเปนอันตรายไม่ ทหารทั้งปวงจึงบอกแก่จงโฮยว่า ซึ่งทหารไล่ติดตามเรามาเมื่อกี้นี้ มาดินก็มีบ้างที่เหาะมาก็มีบ้างมิรู้ที่จะนับจะประมาณได้ครั้นติดตามมาทัน แล้วก็หายไป หาทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าทั้งปวงไม่ จงโฮยจึงเรียกเจียวสีมาถามว่า ที่เขาเตงกุนสานนี้มีศาลเทพารักษ์อะไรอยู่บ้าง เจียวสีจึงบอกว่าหามีศาลเทพารักษ์ไม่ มีแต่กุฎิ์ศพขงเบ้งฝังอยู่ที่นั้น

จงโฮยครั้นรู้ว่าขงเบ้งแกล้งมาหลอกหลอน ครั้นเวลาเช้าจงโฮยจึงให้เอาเครื่องเส้นไปคำนับศพขงเบ้งแล้วกลับมา ครั้นเวลาคํ่าจงโฮยนอนหลับไปจึงฝันว่า เห็นคนหนึ่งเดิรเข้ามารูปร่างนั้นใหญ่สูงหน้านั้นขาวดังสีหยกมือหนึ่งถือพัด แต่งตัวทำเพศเปนอาจารย์เดิรเข้ามาใกล้ จงโฮยลุกขึ้นคำนับถามว่าท่านนี้ชื่อไร มาหาข้าพเจ้านี้จะประสงค์อะไร คนนั้นก็ไม่บอกชื่อ ว่าเรามาได้พบท่านวันนี้เพราะจะบอกความให้รู้ว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนสิ้นบุญ อยู่แล้ว ถ้าแลท่านได้เมืองเสฉวนก็เอนดูเถิด อย่าฆ่าอาณาประชาราษฎรเลย

จงโฮยได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นมารู้ว่าขงเบ้งมาเยี่ยม แล้วจึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้งนี้ตัวเราตีเมืองเสฉวนได้แล้ว อย่าให้ทหารผู้ใดฆ่าฟันชาวเมือง ถ้าแลผู้ใดมิฟังเราจะประหารชีวิตผู้นั้นเสีย แล้วจึงให้เอาธงขาวเขียนอักษรว่า เราผู้จะบำรุงราษฎรทั้งปวงให้เปนสุขแล้วก็เอาไปปักไว้หน้าค่าย ฝ่ายชาวเมืองฮันต๋งเมืองกักเสียวเมืองฮันเสีย ครั้นรู้ไปว่าจงโฮยมาครั้งนี้จะบำรุงราษฎรให้เปนสุข ต่างคนต่างก็ยินดีชักชวนกันมาเข้าด้วยจงโฮยเปนอันมาก

ฝ่ายเกียงอุยซึ่งตั้งอยู่ที่ค่ายหลงเส ครั้นรู้ว่ากองทัพเมืองวุยก๊กมาใกล้เข้าแล้ว จึงเขียนหนังสือให้ทหารรีบไปให้เตียวเอ๊กแลเลียวฮัวว่า ครั้งนี้ข้าศึกยกมาประชิดเราแล้ว ให้ท่านทั้งสองนายเร่งยกมาช่วยเปนการเร็ว แล้วเกียงอุยตระเตรียมทหารยกออกไปต่อสู้ด้วยข้าศึก

ฝ่ายอองกิ๋นครั้นเห็นเกียงอุยยกกองทัพออกมาแล้ว ก็ขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร แล้วร้องว่ากับเกียงอุยว่า ทหารพวกเรายกกองทัพมาครั้งนี้ยี่สิบทาง ทหารประมาณร้อยหมื่น ซึ่งเมืองเสฉวนนั้นเราก็ตีได้แล้ว ท่านจงเร่งมานบนอบเราเถิด ซึ่งจะมาตั้งรบอยู่ฉนี้เห็นหาบังควรไม่

เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็มีความโกรธนัก จึงขับม้าเข้าสู้ด้วยอองกิ๋นได้ประมาณเก้าเพลงสิบเพลง อองกิ๋นสู้มิได้ก็ถอยหนี เกียงอุยเห็นดังนั้นก็เร่งให้ทหารไล่ติดตามไปทางประมาณร้อยเส้น อองกิ๋นหลบเข้าเสียข้างทาง ต้นหองคุมทหารซุ่มอยู่ก็ออกมาสกัดหน้าเกียงอุยไว้ เกียงอุยจึงร้องไปว่า ทหารฝีมือเช่นมึงนี้จะมาสู้กูที่ไหนได้ ว่าแล้วก็ขับทหารเข้าต่อรบด้วยต้นหองได้ประมาณสิบเพลง ต้นหองสู้เกียงอุยมิได้ก็ถอยหนีไปทางประมาณร้อยเส้น เกียงอุยได้ทีไล่ติดตามไปจนถึงกองทัพเตงงาย ๆ เห็นดังนั้นก็ออกไปต่อรบด้วยเกียงอุยได้สิบห้าเพลงไม่แพ้ชนะกัน

ฝ่ายอองกิ๋นแลต้นหองซึ่งแตกหลบหนีเข้าอยู่ริมทางนั้น ครั้นเกียงอุยเข้าต่อสู้อยู่กับเตงงาย ก็ให้ทหารโห่ร้องตามมาตั้งล้อมเกียงอุยไว้รบพุ่งกันเปนสามารถ เกียงอุยเห็นเหลือกำลังนักต้านทานมิได้ก็พาทหารฝ่าหนีไปเข้าค่าย ตั้งมั่นไว้มิได้ออกมาต่อสู้หวังจะคอยกองทัพข้างหลังจะยกมาช่วย

ฝ่ายม้าใช้จึงเอาข่าวมาแจ้งแก่เกียงอุยว่า บัดนี้จงโฮยยกกองทัพเข้าตีด่านแฮเบงก๋วนฆ่าหูเหยียมตาย เจียวสีนั้นสมัคเข้ากับข้าศึกยกด่านแฮเบงก๋วนให้แก่จงโฮยแล้ว ซึ่งเมืองกักเสียวแลเมืองฮันเสียนั้นรู้ว่าด่านแฮเบงก๋วนเสียแล้วก็ชวนกัน เข้าแก่ข้าศึก จงโฮยได้เมืองฮันต๋งด้วยแล้ว เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เสียนํ้าใจนักจะตั้งอยู่ที่นั้นมิได้ ครั้นเวลาคํ่าเกียงอุยก็เลิกทัพหนีจะไปเมืองเสฉวน ครั้นมาถึงกลางทางพบทหารกองหนึ่งตั้งสกัดอยู่ชื่อว่าเอียวหัว เกียงอุยจะไปไม่ได้ก็มีความโกรธ จึงควบม้ารำทวนเข้าต่อรบกับเอียวหัวได้สามเพลง เอียวหัวต่อสู้เกียงอุยมิได้ก็แตกหนี เกียงอุยได้ทีควบม้าไล่ยิงเกาทัณฑ์มาทั้งสามทีมิได้ถูกเอียวหัว เกียงอุยมีความขัดใจนักก็ทิ้งเกาทัณฑ์เสีย รำเพลงทวนไล่มาตามทาง พอม้าพลาดล้มลงเกียงอุยตกจากหลังม้า เอียวหัวก็ชักม้ากลับมาถึงเงื้อทวนขึ้นจะแทง พอเกียงอุยลุกขึ้นได้ปัดทันเอาทวนแทงถูกม้าเอียวหัว ๆ ชักม้าหนี เกียงอุยกลับขึ้นม้าของตัวได้จะไล่เอียวหัวมา พอเตงงายรู้ว่าเกียงอุยหนีแล้วก็เร่งติดตามมาทันเข้าที่นั้น ก็ให้ทหารต่อรบเกียงอุย ๆ เห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน จะหนีเข้าเมืองเสฉวนก็ไม่ได้ ก็ชักม้าลัดทางหนีคิดจะไปตีเอาเมืองฮันต๋งคืน ครั้นมาถึงกลางทางพอพบม้าใช้ควบม้ามาบอกว่า ท่านจะไปทางนี้ไม่ได้ เห็นจูกัดสูเจ้าเมืององจิ๋วซึ่งเปนทหารเมืองวุยก๊กตั้งกองสกัดอยู่สะพานอิม เปงเกี๋ยว เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า ข้างหน้าก็สกัดข้างหลังก็รุกเข้ามา ครั้งนี้เทพดาจะแกล้งผลาญชีวิตเรามั่นคงแล้ว เบงซุยได้ยินจึงว่า อันจูกัดสูนี้อยู่เมืององจิ๋ว บัดนี้ทิ้งเมืองไว้ยกมาทำการ ขอท่านจงเร่งลัดไปทำการตีเอาเมืององจิ๋วเถิด ถ้าจูกัดสูรู้ก็จะรีบไปเมือง แล้วเราจึงวกกลับมาตั้งอยู่ด่านเกียมโกะคิดอ่านตีเอาเมืองฮันต๋งคืนให้ได้ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงยกกองทัพไปตามคำเบงซุยว่า

ฝ่ายจูกัดสูครั้นม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้มีกองทัพลัดจะไปตีเมืององจิ๋ว จูกัดสูตกใจจึงให้ทหารอยู่รักษาค่ายสองร้อยคน แล้วยกกองทัพเร่งลัดติดตามไปเมืององจิ๋ว

ฝ่ายเกียงอุยครั้นยกมาถึงทางประมาณสามร้อยเส้นแล้ว ก็คิดว่าจูกัดสูนี้เห็นว่าเราจะยกไปเมืององจิ๋ว เห็นทีจะยกลัดไปรักษาเมืององจิ๋วเปนมั่นคง ครั้นเกียงอุยคิดดังนั้นก็ยกทหารรีบกลับมาสะพานอิมเป๋งเกี๋ยวที่ค่ายจูกัดสู เก่า เห็นมีแต่ทหารรักษาค่ายอยู่ประมาณสองร้อยคน เกียงอุยก็ให้ทหารเข้าตีเอาค่ายได้ จึงให้เอาไฟเผาค่ายนั้นเสีย แล้วก็รีบยกไปตามทางเกียมโก๊ะ

ฝ่ายจูกัดสูจะไปเมืององจิ๋ว ครั้นเหลียวไปดูข้างหลังเห็นไฟไหม้ขึ้นที่ค่ายเก่าของตัว ก็เข้าใจว่าเกียงอุยทำกลลวงเผาค่ายเสีย จูกัดสูมีความโกรธนักก็มิได้ไปเมืององจิ๋ว ยกทหารกลับมาด่านอิมเป๋งเกี๋ยว เห็นค่ายไหม้เสียสิ้น ตัวเกียงอุยนั้นหนีไปได้ก็มิได้ติดตามไป จึงให้ทหารทำค่ายตั้งมั่นอยู่

ฝ่ายเกียงอุยก็ยกไปด่านเกียมโกะ ครั้นไปถึงกลางทางพบทัพเตียวเอ๊กกับเลียวฮัวสองนายก็มีความยินดีจึงเล่าให้ ฟังว่า บัดนี้ข้าศึกเมืองวุยก๊กมาเปนหลายทาง ตีหัวเมืองเราได้เปนหลายหัวเมืองแล้ว แต่เราบอกหนังสือไปถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ท่านเร่งมาช่วย เหตุใดจึงไม่เห็นท่านยกมา เตียวเอ๊กเลียวฮัวจึงบอกว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนทุกวันนี้ลุ่มหลงรักฮุยโฮนัก ชวนกันเสพย์สุรามิได้ขาด ไม่นำพาที่จะคิดราชการบ้านเมืองเลย ซึ่งข้าพเจ้ายกกองทัพมานี้ด้วยรู้ว่า ข้าศึกเข้าห้อมล้อมท่านไว้จึงยกมาช่วย พระเจ้าเล่าเสี้ยนหาได้สั่งให้ข้าพเจ้ามาไม่

เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ขอบใจนัก จึงว่าแก่เตียวเอ๊กเลียวฮัวว่า ครั้งนี้ข้าศึกมันทำจลาจลแก่เรานัก บัดนี้เราจะไปตั้งอยู่ที่ไหนจึงจะดี เตียวเอ๊กเลียวฮัวจึงว่า ขอให้ท่านยกไปตั้งอยู่ตำบลด่านเกียมโก๊ะเถิด ข้าพเจ้าเห็นว่าภูมิฐานคับขันชอบกลดี เราจะจัดแจงซ่องสุมทหารพรักพร้อมแล้ว ได้ท่วงทีประการใดจึงจะค่อยคิดทำการตีเอาเมืองฮันต๋งคืน เกียงอุยเห็นชอบด้วยก็ยกทหารไป

ฝ่ายตังขวดนายด่านเห็นเกียงอุยยกทหารมาดังนั้น ไม่รู้ว่าเกียงอุยก็ตกใจสำคัญว่าข้าศึกยกมา ก็ตระเตรียมทหารจะออกรบ ม้าใช้เข้าไปแจ้งว่าเกียงอุยยกมาก็มีความยินดี จึงรีบออกไปต้อนรับ ต่างคนต่างคำนับกันแล้วก็พากันเข้ามา ตังขวดจึงร้องไห้บอกแก่เกียงอุยว่า บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนนายเราเชื่อถือถ้อยคำฮุยโฮ สารวลเสพย์สุรามิได้ออกว่าราชการบ้านเมืองเลย จนเปนอันตรายถึงเพียงนี้แล้วจะคิดประการใด

เกียงอุยจึงว่า ท่านอย่าปรารมภ์ทุกข์ร้อนไปเลย ตัวเราชื่อว่าเกียงอุยยังมีชีวิตอยู่มิตาย ก็จะคิดแก้แค้นตีเอาเมืองฮันต๋งคืนให้ได้ แต่ทว่าบัดนี้เราจะซ่องสุมทหารตั้งมั่นอยู่ที่นี่ก่อนจึงค่อยคิดการสืบไป ตังขวดจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ถึงเมืองเสฉวนนัก ด้วยข้าศึกมีใจกำเริบเห็นจะไปทำอันตรายเปนมั่นคง เกียงอุยจึงว่า ท่านปรารมภ์นี้ก็ชอบ แต่ว่าเมืองเสฉวนเปนทางกันดารมีซอกห้วยธารเขามาก ซึ่งข้าศึกจะล่วงไปทำอันตรายเห็นขัดสนอยู่ ถึงมาทว่าจะตีเมืองเสฉวนได้เราก็จะคิดไปตีคืนเอา สู้ตายมิให้น้อยหน้าแก่ทหารเมืองวุยก๊กเลย พอพูดกันสิ้นคำลงม้าใช้เข้ามาบอกว่า บัดนี้จูกัดสูยกทหารตามมาถึงท้ายด่านแล้ว

เกียงอุยได้แจ้งดังนั้นก็มีความโกรธนัก คุมทหารห้าพันรีบยกออกไปรบด้วย จูกัดสูขับทหารฟันเข้าไปเปนสามารถ ทหารจูกัดสูล้มตายลงเปนอันมาก จูกัดสูต่อสู้ด้วยมิได้ก็แตกหนีพาทหารไปตั้งค่ายอยู่ไกลด่านประมาณสองร้อย เส้น เกียงอุยมีชัยชนะเก็บได้ม้าลาแลเครื่องศัสตราวุธเปนอันมากก็ยกกลับมาด่าน

ฝ่ายจูกัดสูครั้นรู้ว่าจงโฮยยกทหารมาถึงแล้ว ก็เอาเนื้อความไปแจ้งทุกประการ จงโฮยก็โกรธจึงว่า เราได้กำชับท่านให้ตั้งสกัดทางอยู่อย่าให้เกียงอุยหนีได้ต่างหาก จะได้สั่งให้ท่านยกไปตีด่านทางก็หาไม่ เหตุใดจึงละเมิดมิได้อยู่ในบังคับแม่ทัพแม่กองทำตามลำพังใจของตัวให้เสีย ทหารทั้งนี้มิชอบ ก็สั่งให้ทหารเอาตัวจูกัดสูไปฆ่าเสีย ขณะนั้นอุยก๋วนนายทหารจึงว่าแก่จงโฮยว่า อันจูกัดสูคนนี้เปนคนสนิธของเตงงาย ๆ รักใคร่ได้พิททูลเสนอตั้งแต่งให้เปนขุนนาง ถึงมาทว่าทำผิดประการใดก็ดีท่านจะฆ่าเสียตามลำพังนั้นก็มิได้ ชอบจะบอกกล่าวแก่เตงงายก่อน ซึ่งท่านทำทั้งนี้รู้ถึงเตงงายก็จะน้อยใจว่าท่านดูหมิ่น จะมิผิดใจกันเสียหรือ

จงโฮยจึงว่า ตัวเราเปนแม่ทัพพระเจ้าโจฮวนก็ให้อาญาสิทธิ์มาแก่เรา ทั้งสุมาเจียวมหาอุปราชก็กำชับสั่งมาทุกประการ อย่าว่าแต่เราฆ่าจูกัดสูเสียเลย ถึงตัวเตงงายแม้ทำให้ผิดบังคับบัญชาเราก็จะฆ่าเสียเหมือนกัน ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็อ้อนวอนขอโทษจูกัดสูไว้ จงโฮยเห็นทหารทั้งปวงวอนขอก็ยกโทษให้มิได้ฆ่าเสีย จึงสั่งให้จำจูกัดสูบอกส่งตัวไปถึงสุมาเจียวมหาอุปราช ณ เมืองลกเอี๋ยง

ขณะนั้นทหารรู้กิตติศัพท์ว่าจงโฮยทำโทษจูกัดสู ก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เตงงาย ๆ รู้ดังนั้นก็โกรธจึงว่า จงโฮยนี้ก็เปนขุนนางเหมือนกับเรา จะมีความชอบประการใดนักก็หาไม่ ตัวเราก็ออกมาสู้ยากอยู่รักษาด่านทางมีความชอบยิ่งกว่าจงโฮยอีก จงโฮยได้เปนแม่ทัพออกมาครั้งเดียวนี้ตั้งตัวเปนใหญ่มีใจกำเริบทำราชการมิได้ คิดไว้หน้าเราเลย เตงต๋งผู้บุตรรู้ว่าบิดาโกรธจึงห้ามว่า การผิดพลั้งแต่เพียงนี้ควรจะอดเสียเอาราชการก่อน แม้บิดามิดับความโกรธพยาบาทในท่ามกลางสงครามนี้ก็จะเสียราชการไป ถ้าสำเร็จราชการศึกแล้ว จึงค่อยว่ากล่าวกันตามประเพณีเถิด

เตงงายได้ฟังบุตรห้ามก็เห็นชอบด้วย จึงพาทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคนขึ้นม้ารีบไปถึงค่ายจงโฮย ๆ ก็แจ้งว่ามาโดยปรกติ จึงออกมารับเอาเข้าไปในค่าย ต่างคนต่างคำนับกันตามประเพณี แล้วเตงงายจึงว่า ครั้งนี้ท่านมาทำการตีได้เมืองฮันต๋ง ก็เปนความชอบใหญ่หลวงนัก ทแกล้วทหารทั้งปวงก็ชวนกันสรรเสริญปัญญาความคิดของท่านมาก ขอท่านได้คิดอ่านทำการต่อไปตีเอาด่านเกียมโกะให้ได้ จงโฮยจึงถามว่า ความคิดของท่านจะให้ตีเอาด่านเกียมโกะนั้น จะทำประการใด

เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้านี้สติปัญญาน้อย จะคิดอ่านทำการขัดสนอยู่ ข้าพเจ้าจะพึ่งปัญญาความคิดของท่านอีก จงโฮยมิฟังเฝ้าถามถึงสามครั้งสี่ครั้ง เตงงายขัดมิได้จึงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าจะไปตีเมืองเสฉวนนี้ มีทางเข้าไปเปนหลายทางอยู่ ขอให้ท่านแต่งทหารกองหนึ่งยกไปทางตกหยง ล่อกองทัพเมืองเสฉวนไว้ให้เห็นเปนว่าจะตีเข้าไปทางนั้น เล่าเสี้ยนก็จะแต่งกองทัพออกมารับเรา ฝ่ายเกียงอุยรู้ก็จะทิ้งด่านเสีย เพราะเห็นว่าเรายกล่วงมาทางนี้ก็จะมาช่วยกัน ท่านจงแต่งทหารกองหนึ่งให้ยกลอบไปทางอิมเป๋ง ชิงเอาด่านเกียมโกะก็เห็นจะได้โดยสดวก ถ้าได้ด่านเกียมโกะแล้ว ด่านทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยเร็ว

จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนยินดี จึงว่าถ้าฉนั้นท่านยกทหารล่วงเข้าไปทางอิมเป๋งก่อนเถิด เราจะตั้งรออยู่ที่นี่ก่อน แม้ท่านฉุกเฉินประการใด เราจึงจะยกทหารอุดหนุนไปช่วยให้ทันที เตงงายได้ฟังจงโฮยว่าดังนั้นคำนับแล้วก็ลาออกมา

ฝ่ายจงโฮยเห็นเตงงายออกไปแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า คนทั้งปวงสรรเสริญเตงงายว่ามีปัญญาความคิดมากนั้น แต่ก่อนเราคิดว่าจริง มาบัดนี้เราเห็นเตงงายคิดอ่านทำการทั้งปวงดังหนึ่งคนโง่หาปัญญามิได้ ทหารทั้งปวงจึงถามว่าเหตุใดท่านจึงมาว่าดังนี้ จงโฮยจึงบอกว่า ทางอิมเป๋งนั้นเปนซอกเขาคับแคบจำเพาะนัก จะเดิรกองทัพก็ขัดสน ควรหรือเตงงายคิดอ่านจะยกทหารเข้าไปทางอิมเป๋งเหมือนเดิรในจั่น แม้ข้าศึกจะยกมาสกัดทางไว้มิมากแต่สักร้อยคนก็มิอาจจะหักออกมาได้ ทหารทั้งปวงก็จะอดเข้าตาย นี้หรือนับถือเตงงายว่ามีปัญญา ถ้ามีความคิดจริงเหมือนเขาว่า ที่ไหนเตงงายจะเจรจาฉนี้เล่า อันความคิดของเราซึ่งจะเข้าไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ จะยกพลทหารเดิรตามทางใหญ่มิพักไปทางน้อยให้ลำบาก จะเอาเมืองเสฉวนให้จงได้ ว่าแล้วก็สั่งทหารทั้งปวงให้ทำบันไดแล้วจัดแจงการพร้อมไว้

ฝ่ายเตงงายเดิรมาตามทางจึงถามทหารทั้งปวงว่า เราเข้าไปเจรจาด้วยจงโฮยเมื่อตะกี้ท่านยังเห็นกิริยาอาการจงโฮยนั้นยำเกรง นับถือความคิดของเราอยู่หรือ ทหารจึงบอกว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูท่วงทีจงโฮยเมื่อสนทนาอยู่กับท่านนั้นเห็นไม่เชื่อถือ แต่ทว่าเกรงใจก็ซังตายรับแต่ปากดอก เตงงายจึงว่า จงโฮยนี้สำคัญว่าเราจะตีเอาเมืองเสฉวนมิได้ จึงดูหมิ่นประมาทเรา ๆ จะอุตส่าห์ทำการแก้ไขตีเอาให้จงได้ ครั้นเตงงายมาถึงค่ายแล้วก็ให้ตระเตรียมทหารทั้งปวงพร้อมทุกหมวดทุกกอง ก็รีบยกไปทั้งกลางวันกลางคืน

จงโฮยรู้ว่าเตงงายยกไปก็หัวเราะ ว่าซึ่งเตงงายจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเราไม่เห็นที่จะสำเร็จเลย ครั้นเตงงายยกมาทางประมาณหกร้อยเส้น ถึงปากทางซึ่งเข้าไปในทางอิมเป๋งจึงให้พักทหารอยู่ แล้วบอกหนังสือไปแจ้งแก่สุมาเจียว ณ เมืองลกเอี๋ยงตามข้อราชการ จึงให้ประชุมทหารทั้งปวงพร้อมกันแล้วว่า บัดนี้เราจะยกลอบเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวน ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ทำการอย่าได้เกียจคร้าน แม้นสำเร็จการแล้วก็จะมีความชอบเปนอันมาก อนึ่งก็จะปรากฎชื่อเสียงไปภายหน้า ผู้ใดจะเปนใจด้วยเราบ้าง ทหารทั้งปวงต่างคนรับคำว่าข้าพเจ้าจะขอทำการอาสาท่านกว่าจะสิ้นชีวิต ถึงจะตายก็มิได้อาลัยเลย

เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงให้เตงต๋งผู้บุตรคุมทหารห้าพัน ให้มีขวานแลสิ่วครบมือพากันยกไปเปนกองหน้าสำหรับชำระหนทาง สั่งกำชับว่าที่ใดลุ่มให้เกลี่ยถมเสียให้ราบ แลทำสะพานเดิรให้สดวก อนึ่งศิลาฉง้อนขวางหนทางอยู่ก็ให้เอาเพลิงสุมชำระเสียอย่าให้กีดขวางอยู่ได้ ครั้นให้กองชำระทางไปแล้ว ก็ให้ทหารสามหมื่นเอาเข้าตากใส่ไถ้คาดเอว มีเชือกสำหรับจะหน่วงขึ้นเขาแลลงห้วยทุกคนพร้อมแล้วก็รีบยกไป จึงให้ตั้งค่ายเปนระยะกันทางสองร้อยเส้นมีค่ายลูกหนึ่ง เกณฑ์ทหารรักษาเสมอค่ายละสามพันคนทุกตำบล แลเตงงายยกมาทางอิมเป๋งครั้งนั้นได้ยี่สิบวัน สงัดเสียงผู้คนทั้งปวง ได้ยินแต่เสียงนกร้องในป่า แต่ตั้งค่ายเรียดมาตามระยะทางนั้นจนเหลือทหารตามอยู่แต่สองพันคน

ครั้นมาถึงเขาแห่งหนึ่งชื่อมอเทียนเนียสูงกว่าสูงนัก จะขี่ม้าขึ้นไปมิได้ ทหารทั้งปวงก็ลงจากม้าชักบังเหียนเสียสิ้น ชวนกันปีนขึ้นไปแต่ตัวเปล่า เตงงายเห็นทหารกองหน้าซึ่งไปชำระทางนั้นนั่งร้องไห้อยู่ จึงให้หามาถามว่าท่านร้องไห้ด้วยอันใด ทหารจึงบอกว่า ซึ่งข้าพเจ้าชำระทางมาแต่หลังนั้นก็พอกำลังทำมาได้ แต่ต่อไปข้างหน้านี้มีเขาเปนชงักตรงลงไปเห็นสุดกำลังที่ชำระได้ ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงนั่งร้องไห้อยู่

เตงงายจึงบอกว่า เราอุตส่าห์ทำความเพียรมาถึงเจ็ดพันเส้น จวนจะได้ความชอบอยู่แล้ว ควรหรือท่านทั้งปวงจะมาละความเพียรเสียเล่า ไปอีกหน่อยหนึ่งก็จะถึงเมืองอิวกั๋ง เราทั้งหลายก็จะได้ความสุขดอก จงอุตส่าห์เพียรทำไปสักหน่อยเถิด ถึงมาทว่าหนทางเปนหน้าผาโตรกชงักอยู่ก็ดี เราจะเอาเชือกสายห้อยต่อลงไปให้จงได้ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ชวนกันยกไป ครั้นถึงหน้าผาเปนชงักก็เอาอาวุธผูกเชือกหย่อนลงไปก่อน แล้วทหารทั้งปวงก็ยุดเชือกห้อยตัวลงมา ครั้นพร้อมกันแล้วก็ยกไปทางประมาณสามสิบเส้น เห็นค่ายลูกหนึ่งตั้งอยู่ที่ปากทาง จึงถามชาวบ้านป่าว่าค่ายผู้ใด

ชาวบ้านป่าจึงบอกว่า ค่ายอันนี้เมื่อขงเบ้งยังไม่ตายนั้นมาตั้งไว้ เกณฑ์ให้ทหารรักษาอยู่พันหนึ่ง บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เลิกทหารกลับไปเสีย เตงงายแจ้งดังนั้นจึงว่า ขงเบ้งนี้มีปัญญาสามารถนัก ถ้าเราได้เปนศิษย์ขงเบ้งแล้ว แม้นเราจะทำการสงครามมิได้กลัวผู้ใดเลย เปนบุญของเราหนักหนาเผอิญให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเลิกทหารไปเสีย ถ้าทหารทั้งปวงยังรักษาอยู่ตามบังคับของขงเบ้ง ที่ไหนเราทั้งนี้จะมีชีวิตอยู่ ก็จะพากันตายเสียสิ้น ทีนี้สมความปราถนาเราแล้ว เมืองอิวก๊กก็จะไม่พ้นมือเรา เข้าปลาอาหารในตำบลนั้นก็บริบูรณ์ นัก เราจะรีบไปตีอย่าให้ทันรู้ตัว ครั้นปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงแล้วก็ยกไป


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 85

https://drive.google.com/file/d/1LylCMLpvjCDsRsg71SgrxfufjltIvJlC/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #5 on: 24 December 2021, 09:20:53 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 86


https://www.samkok911.com/2021/07/samkok-ebook-86.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 86

เนื้อหา
• เตงงายได้เมืองอิวกั๋งแลเมืองปวยเสีย
• จูกัดเจี๋ยมตายกลางสนามรบ
• เตงงายยกเข้าเสฉวน
• จงโฮยเข้าเสฉวน
• เกียงอุยฆ่าตัวตาย


ฝ่าย ม้าเชียวเจ้าเมืองอิวตั๋งตั้งแต่แจ้งว่าเมืองฮันต๋งเสียแก่ข้าศึกแล้ว ก็ตระเตรียมทหารซักซ้อมอยู่มิได้ขาด ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเวลาเย็นฝึกทหารแล้วกลับเข้ามาเสพย์สุรากับภรรยา ๆ บอกว่าทหารเมืองวุยก๊กยกมาตีเอาเมืองฮันต๋งได้แล้ว ตัวท่านเปนเจ้าเมืองเหตุใดมิคิดอ่านที่จะป้องกันบ้านเมืองเลย จึงมาประมาทเสพย์สุราเล่นตามสบายใจฉนี้ ม้าเชียวจึงว่า ตัวเราเปนแต่เจ้าเมืองเล็กน้อยจะปรารมภ์ไปไย อันกองทัพเมืองวุยก๊กนั้นจะไม่มาทางนี้ ด้วยเปนทางน้อยมีซอกเขาคับขันนัก ถ้าจะยกมาจริงก็จะมาทางใหญ่ อันทางใหญ่นั้นเล่า เกียงอุยก็ยกทหารไปรักษาอยู่ที่ไหนจะมาได้ แลบัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็โลเลเชื่อถือถ้อยคำฮุยโฮ มิได้เอาใจใส่กิจราชการบ้านเมืองแล้ว ก็ต้องการอันใดเราจะขวนขวายทำราชการให้เหนื่อยตัว แม้ทหารเมืองวุยก๊กตีเข้ามาได้เราก็จะเข้านอบน้อมเสียเอาความสุข จะเปนข้าผู้ใดก็กินเข้าเหมือนกัน

ภรรยาม้าเชียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ถ่มเขฬะลงตรงหน้าแล้วด่าว่า มึงนี้เสียแรงเกิดมาหาความกตัญญูต่อเจ้าไม่ กินเบี้ยหวัดผ้าปีเสียเปล่ามิได้รักษาเจ้า ประสงค์จะเอาแต่ความสุขใส่ตัว ใครจะนับว่าดี ม้าเชียวได้ฟังภรรยาว่าก็อดสูแก่ใจก้มหน้านิ่งอยู่ พอทหารเข้ามาบอกว่า บัดนี้เตงงายคุมทหารสองพันตีเข้ามาถึงกลางเมืองแล้ว ม้าเชียวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จะจัดแจงทหารออกสู้รบไม่ทันที่ ก็ออกไปนบนอบเตงงายแล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าคอยหาท่านอยู่ช้านานแล้ว ได้ยินข่าวว่าจะมาแล้วก็หายไป บัดนี้ท่านมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะพาทหารทั้งปวงเข้ามาอยู่ด้วยท่าน เตงงายก็มีความยินดีจึงรับคำนับม้าเชียวตามประเพณ อยู่สักครู่หนึ่งทหารจึงมาบอกแก่ม้าเชียวว่า ภรรยานั้นผูกฅอตายเสียแล้ว เตงงายจึงถามม้าเชียวว่าเหตุประการใดจึงผูกคอตาย ม้าเชียวก็บอกเนื้อความแก่เตงงายตามจริงทุกประการ

เตงงายแจ้งดังนั้นก็ว่า หญิงคนนี้สัตย์ซื่อหาผู้ใดเสมอมิได้ จึงให้เงินทองไปแต่งการศพตามสมควร ครั้นรุ่งขึ้นเตงงายก็ตั้งให้ม้าเชียวคุมทหารเปนกองหน้านำทางยกเข้ามาเมือง ปวยเสีย ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันออกคำนับเตงงายสิ้น เตงงายได้กำลังมากก็ตั้งอยู่ปราบปรามอาณาประชาราษฎรในเมืองปวยเสีย

ฝ่ายทหารแตกหนีได้นั้นก็เข้าไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตกใจจึงปรึกษาด้วยฮุยโฮ ฮุยโฮจึงทูลว่า ข่าวราชการนี้หาจริงไม่ เปนแต่กิตติศัพท์ลือกันก็เอาพิททูลดอก ถ้าพระองค์จะให้รู้ตระหนักว่าจริงแลเท็จ ข้าพเจ้าจะไปหายายท้าวมาลงผีให้พิเคราะห์ดู พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เชื่อ ฮุยโฮจึงให้คนไปหายายท้าว คนใช้กลับมาแจ้งว่ายายท้าวหนีไปแล้ว ขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ยิ่งมีความวิตกนัก เสด็จออกว่าราชการเห็นขุนนางทั้งปวงหน้าตาเสร้าหมองอยู่ทุกคน อนึ่งหนังสือบอกก็เนื่องมาแต่ทิศเหนือทิศใต้ทุกวันมิได้ขาด พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็หารือด้วยขุนนางทั้งปวง ๆ มิรู้ที่จะคิดประการใด

ขับเจ้งจึงทูลว่า ข่าวราชการก็จวนตัวฉนี้แล้ว พระองค์จะนิ่งอยู่มิได้ ขอให้หาจูกัดเจี๋ยมเข้ามาปรึกษาด้วยเถิด เห็นจะคิดอ่านป้องกันราชศัตรูได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วยจึงให้ขับเจ้งออกไปหาตัวจูกัดเจี๋ยม แลจูกัดเจี๋ยมคนนี้เปนบุตรของขงเบ้งเกิดด้วยนางอุ๋ยซี ๆ นี้รูปชั่วตัวดำหน้าออกฝี มีลักษณวิปริต ทั้งกายจะหางามสักสิ่งหนึ่งก็มิได้ แต่ทว่ามีปัญญาพาทีหลักแหลม รู้วิชาการในแผ่นดินแลอากาศ ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงเลี้ยงเปนภรรยาได้บอกศิลปศาสตร์ทั้งปวงให้นางนั้นเปน อันมาก ครั้นขงเบ้งถึงแก่ความตายก็เปนหม้ายอยู่

พระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นมีความเอ็นดูจูกัดเจี๋ยมมาแต่น้อย เห็นว่ามีสติปัญญาเหมือนขงเบ้งผู้บิดาจึงยกพระราชบุตรีให้ จูกัดเจี๋ยมได้เปนที่มหาอุปราชแทนขงเบ้ง ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเชื่อฟังถ้อยคำฮุยโฮว่าราชการฟั่นเฟือนไปก็มีความ น้อยใจแกล้งบอกป่วยเสีย มิได้เข้ามาเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนช้านาน พอขับเจ้งรับสั่งออกมาหาตัวจึงเข้ามาเฝ้า พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นจูกัดเจี๋ยมเข้ามาก็ทรงพระกรรแสงบอกว่า บัดนี้เตงงายคุมทหารยกมาตีเอาเมืองปวยเสียได้แล้ว เห็นจะยกเข้ามาทำอันตรายแก่เราเปนมั่นคง ขอท่านได้เอ็นดูออกมาช่วยทำการคิดอ่านกำจัดศัตรูเสียช่วยเอาชีวิตไว้ครั้ง นี้เถด

จูกัดเจี๋ยมได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ จึงทูลว่าเมื่อพระราชบิดาของพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ก็มีพระคุณอยู่แก่บิดา ข้าพเจ้า เมื่อบิดาข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตายก็ได้สั่งไว้ให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ที่จะสนองพระคุณพระองค์ อันราชการครั้งนี้พระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกำจัดข้าศึกเสียให้ได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังจูกัดเจี๋ยมก็มีความยินดี จึงให้กะเกณฑ์ทหารให้แก่จูกัดเจี๋ยมเจ็ดหมื่น จูกัดเจี๋ยมก็คำนับลาออกมาจัดแจงทหารทั้งปวง จึงตั้งให้จูกัดสงผู้บุตรอายุได้สิบเก้าปี มีฝีมือเข้มแข็งเปนกองหน้า ครั้นได้ฤกษ์แล้วก็ยกกองทัพออกจากเมืองเสฉวน

ฝ่ายเตงงายครั้นได้เมืองปวยเสียแล้ว ก็ให้คนรีบไปเร่งทหารซึ่งตั้งค่ายรายทางอยู่มาพร้อมกัน จึงให้ม้าเชียวทำแผนที่เมืองเสฉวนให้ดู ครั้นเห็นแผนที่ก็ตกใจ จึงว่าทางจะเข้าไปแต่เมืองปวยเสียนี้กว่าจะถึงเมืองเสฉวนถึงพันหกร้อยเส้น แล้วเปนซอกห้วยธารเขามาก ถ้าทหารเมืองเสฉวนยกออกมาต้านทานปิดปากทางไว้ เกียงอุยยกมาตีกระหนาบหลังเข้าเราจะมิเสียท่วงทีหรือ คิดฉนั้นแล้วจึงแต่งให้สุม่อเตงจ๋งคุมทหารกองหนึ่งยกรีบเข้าไปตีเมืองกิมก๊ก แล้วกำชับว่าถ้าทหารเมืองเสฉวนจะยกมาช่วยก็ดี ท่านทั้งสองอย่าให้เสียราชการ เราจะยกทหารหนุนไปช่วย

ครั้นสุม่อเตงจ๋งยกมาใกล้ถึงเมืองกิมก๊ก พบกองทัพจูกัดเจี๋ยมยกสวนออกมา มีธงขาวปักอยู่บนเกวียนจารึกอักษรว่าขงเบ้งมหาอุปราช แล้วเห็นรูปขงเบ้งอยู่บนเกวียนถือพัดขนนกป้องหน้าทำกิริยาเปนทีอาจารย์ก็ ตกใจ สำคัญว่าเปนขงเบ้งจริง จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งยังอยู่ยกออกมาฉนี้ ที่ไหนเราจะสู้ได้ จะพากันมาตายเสียสิ้นแล้ว ว่าเท่านั้นก็พาทหารกลับถอยหลังมา จูกัดเจี๋ยมเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ติดตามฆ่าฟันไป ทหารสุม่อแลเตงจ๋งล้มตายเปนอันมาก ตื่นแตกร่นไปเปนอลหม่าน พอเตงงายยกหนุนมาทันเข้ารบพุ่งต้านทานไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายก็รอกันอยู่

เตงงายจึงถามสุม่อกับเตงจ๋งว่า ท่านทั้งสองมิทันที่จะได้รบพุ่ง เหตุใดจึงพาทหารพ่ายลงมา สุม่อกับเตงจ๋งบอกว่า ข้าพเจ้ายกไปเห็นขงเบ้งขี่เกวียนยกออกมาก็ตกใจ จึงกลับหลังมาจะแจ้งแก่ท่าน เตงงายจึงว่าถึงขงเบ้งยังมิตาย ก็จะกลัวอันใดแก่ฝีมือขงเบ้ง ท่านพากันมาทำให้ข้าศึกได้ทีเสียทหารเปนอันมากฉนี้มิชอบ ก็สั่งทหารให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงก็ช่วยกันอ้อนวอนขอโทษไว้

เตงงายจึงสั่งให้คนไปสืบดู คนไปสืบดูกลับลงมาบอกว่า ซึ่งยกกองทัพมาบัดนี้คือจูกัดเจี๋ยมเปนบุตรของขงเบ้ง อันขี่เกวียนมานั้นมิใช่ตัวขงเบ้ง เปนรูปหุ่นทำให้เหมือนดอก เตงงายแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ในเมืองเสฉวนนี้จูกัดเจี๋ยมบุตรขงเบ้งยังมีอยู่ ปัญญาพาทีหลักแหลมแต่งกลล่อลวงฆ่าทหารเราตายเสียเปนอันมาก แม้จะมิคิดทำการกำจัดเสียบัดนี้ที่ไหนเราจะทำการได้ตลอด

คูปุนที่ปรึกษาจึงว่า ซึ่งท่านจะทำการรบพุ่งกับจูกัดเจี๋ยม ๆ ก็เปนบุตรของขงเบ้งมีปัญญาหลักแหลม ทั้งฝีมือก็เข้มแข็ง เห็นจะลำบากแก่ทหารนัก ขอให้ท่านมีหนังสือไปปลอบโยนเกลี้ยกล่อมจูกัดเจี๋ยมเสียเถิด เห็นจะได้เมืองเสฉวนโดยสดวก เตงงายก็เห็นด้วย จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งใช้ให้คนถือไปถึงจูกัดเจี๋ยม จูกัดเจี๋ยมฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความว่า เราผู้ชื่อว่าเตงงายเปนที่เจงไสจงกุ๋นให้มาถึงท่าน ด้วยเราทำราชการมาแต่ก่อนตราบเท่าบัดนี้ จะเห็นผู้ใดมีปัญญากว้างขวางหลักแหลมเหมือนหนึ่งมหาอุปราชบิดาของท่านหามิ ได้ แลเมื่ออยู่ในเขาโงลังกั๋งนั้นได้ทำนายไว้ว่า ในประเทศเมืองจีนนี้จะมีเจ้าแผ่นดินเปนสามก๊ก ภายหลังจึงมีความอุตส่าห์กระทำราชการได้เมืองเกงจิ๋ว แล้วมาตั้งภูมิฐานเปนใหญ่อยู่ในเมืองเสฉวนนี้เล่า ก็ต้องด้วยคำของบิดาท่านทำนายไว้ทุกประการ บัดนี้บิดาท่านก็หาบุญไม่แล้ว ถึงกำหนดแผ่นดินจะเกิดจลาจลสาปสูญไปทุกวัน พระเจ้าโจฮวนทราบพระทัยจึงให้เรายกกองทัพมากำจัดราชศัตรูเสีย เมืองเสฉวนก็เห็นจะได้แก่เรามั่นคงเหมือนอยู่ในเงื้อมมือ เหตุไฉนตัวท่านมิได้เอาปัญญาพิจารณาดูเลย จะขืนมานะขัดแข็งแผ่นดินไว้ฉนี้ก็หาต้องการไม่ ถ้าท่านคิดอ่านมานบนอบเสียแก่เรา ๆ ก็จะช่วยทำนุบำรุงกราบทูลพระเจ้าโจฮวนให้ตั้งท่านเปนหลงเสอ้องจะมิดีกว่า หรือ

ครั้นจูกัดเจี๋ยมแจ้งดังนั้นก็โกรธฉีกหนังสือทิ้งเสียในทันใด แล้วสั่งให้ทหารตัดสีสะผู้ถือหนังสือนั้นเสีย จึงให้บ่าวซึ่งตามมานั้นเอาสีสะคืนไปให้แก่เตงงาย ๆ เห็นดังนั้นก็โกรธ จึงให้อองกิ๋มกับตันหองสองนายคุมทหารเปนกองหลังก็ยกทหารรีบขึ้นไปจะรบกับจู กัดเจี๋ยม ครั้นจูกัดเจี๋ยมแจ้งว่าเตงงายคุมทหารมาร้องท้าทายถึงหน้าค่าย ก็ยกทหารออกรบกับเตงงายได้ประมาณสิบเพลง เตงงายทำเสียทีหนีมา จูกัดเจี๋ยมได้ทีก็ขับทหารไล่ตามไปทางประมาณร้อยเส้น ทหารเตงงายซึ่งตั้งซุ่มอยู่นั้นก็ยกกระหนาบตีออกมาข้างทาง จูกัดเจี๋ยมเหลือกำลังทานมิได้ก็พาทหารแตกกลับมาเข้าตั้งมั่นอยู่ในเมืองกิม ก๊ก เตงงายก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้เปนสามารถ จูกัดเจี๋ยมเห็นเสียทีจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้แพโทลอบถือไปถึงพระเจ้าซุน ฮิว ณ เมืองกังตั๋งขอกองทัพมาช่วย

พระเจ้าซุนฮิวแจ้งในหนังสือแล้ว จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่า ถ้าเมืองเสฉวนเปนอันตรายเมืองกังตั๋งจะตั้งอยู่ไม่ได้ เห็นจะได้ความเดือดร้อน จำจะยกกองทัพไปช่วยเมืองเสฉวนจึงจะชอบ ครั้นปรึกษาเสร็จแล้วพระเจ้าซุนฮิวก็ให้เกณฑ์กองทัพเปนห้าหมื่น ตั้งให้ซุนฮีเปนทัพหน้าให้เตงฮองเปนทัพหลวงคุมทหารไปช่วยเมืองเสฉวน แยกกันเดิรเปนสองทาง

ฝ่ายจูกัดเจี๋ยมตั้งมั่นรับทัพเตงงาย คอยทหารเมืองกังตั๋งอยู่เปนหลายวันเห็นยังมิมาถึง จึงปรึกษาด้วยนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ซึ่งเราตั้งมั่นอยู่มิได้ออกรบพุ่งทหารเตงงายก็จะมีใจกำเริบนัก จำจะยกทหารออกรบฟังกำลังดูอีกครั้งหนึ่งก่อน ครั้นปรึกษาเสร็จแล้วก็ตั้งให้จูกัดสงกับเตียวจุ๋นอยู่รักษาเมือง จูกัดเจี๋ยมก็คุมทหารสามพันให้เปิดประตูเมืองทั้งสามด้านยกออกมารบด้วยเตง งาย ๆ เห็นดังนั้นก็แกล้งถอยทัพทำเสียทีออกมา จูกัดเจี๋ยมก็ขับทหารไล่โจมฟันติดตามไป

ฝ่ายกองทัพเตงงายซึ่งตั้งซุ่มอยู่ เห็นจูกัดเจี๋ยมไล่ล่วงขึ้นไป ได้ทีก็จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารทั้งปวงก็ยกเข้าล้อมกองทัพจูกัดเจี๋ยมโดยรอบ ยิงเกาทัณฑ์ระดมมาถูกทหารจูกัดเจี๋ยมล้มตายเปนอันมาก จูกัดเจี๋ยมก็ขี่ม้าไล่ฝ่าฟันทหารเตงงายหักจะออกมา เตงงายก็ขับทหารเข้าตลุมบอนยิงเกาทัณฑ์มาถูกม้าจูกัดเจี๋ยมล้มลง จูกัดเจี๋ยมตกลงจากม้าจึงร้องว่า ตัวเราเปนชายชาติทหาร ถึงมาทว่าสิ้นกำลังลงฉนี้แล้วก็ดีมิย่อท้อคำนับต่อข้าศึก สู้ตายจะเอาชีวิตสนองคุณเจ้าให้ปรากฎไปภายหน้า ว่ายังมิทันขาดคำพอทหารเตงงายวิ่งกรูเข้ามาจะจับเอาตัว จูกัดเจี๋ยมก็ชักกระบี่ออกเชือดฅอตายเสียในทันใด ฝ่ายจูกัดสงผู้บุตรขึ้นรักษาหน้าที่อยู่บนกำแพงเมือง แลเห็นบิดาถึงแก่ความตายฉนั้นก็โกรธ ใส่เกราะจับทวนขึ้นม้าจะออกมา ทหารทั้งปวงช่วยกันห้ามปรามก็มิฟัง จูกัดสงก็ขี่ม้าฝ่าฟันทหารเตงงายออกมาด้วยสามารถความโกรธ ทหารทั้งปวงเห็นจูกัดสงฝ่าทหารออกมาดังนั้น ก็ขับทหารหนุนออกไปช่วยเปนหลายนาย ทหารเตงงายก็ช่วยกันห้อมล้อมเข้าไว้ได้พันหนึ่ง จูกัดสงแลทหารซึ่งตามออกไปนั้นตกม้าลงถึงแก่ความตายสิ้น เตงงายได้ทีก็ยกทหารกรูเข้าไปในเมืองกิมก๊ก ทหารทั้งปวงซึ่งเหลืออยู่นั้นก็เข้านบนอบด้วยเตงงาย ๆ ก็ปูนบำเหน็จรางวัลทหารตามความชอบ แล้วคิดถึงจูกัดเจี๋ยมพ่อลูกว่ามีความสัตย์ซื่อ จึงให้เอาศพไปฝังไว้ในที่อันสมควร

ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าจูกัดเจี๋ยมพ่อลูกตาย เมืองกิมก๊กนั้นก็เสียแล้ว จึงให้หาขุนนางเข้ามาปรึกษา ขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่า บัดนี้อาณาประชาราษฎรไพร่บ้านพลเมืองก็แตกตื่นทุกตำบล ต่างคนขนครอบครัวพาอพยพหนีไปจากภูมิลำเนาของตัวสิ้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจพระองค์สั่นตลึงไป พอม้าใช้เข้ามาแจ้งว่า บัดนี้เตงงายยกทหารล่วงเข้ามาใกล้จะถึงเมืองอยู่แล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงหารือขุนนางทั้งปวงว่า ข้าศึกยกล่วงเข้ามาฉนี้จะคิดประการใด

ขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่า บัดนี้ทแกล้วทหารเราก็ระส่ำระสายอิดโรยนักแล้ว ซึ่งจะต่อสู้ด้วยทหารเตงงายนั้นเห็นมิได้ ขอพระองค์ยกหนีไปข้างทิศใต้เถิด มีหัวเมืองอยู่หกหัวเมือง เราจะไปยับยั้งอาศรัยอยู่ซ่องสุมทหารพร้อมกันแล้ว จึงจะไปคำนับเมืองกังตั๋งขอกำลังมาช่วยจะได้คิดทำการต่อไป เจียวจิ๋วจึงทูลขัดว่า อันธรรมเนียมโบราณซึ่งจะตั้งตัวเปนเจ้าแผ่นดินนั้น จะได้อาศรัยกำลังผู้อื่นหามิได้ ย่อมเพียรพยายามได้เปนดีด้วยปัญญาความคิดแลกำลังของตัว เมื่อแลต่อด้วยข้าศึกมิได้เข้าไปนบนอบเมืองกังตั๋งนั้น ใช่ว่าเมืองกังตั๋งจะตั้งมั่นเปนเอกโทอยู่ก็หาไม่ ก็จะเสียแก่วุยก๊กเปนมั่นคง นานไปก็ต้องกลับไปคำนับเขา ก็จะมิได้อัปยศเปนสองซ้ำไปหรือจะต้องการอันใด ถ้าเข้าคำนับแก่พระเจ้าวุยก๊กเสียครั้งนี้เห็นจะได้อายแต่ครั้งเดียว ขอให้พระองค์ดำริห์ดูเถิด พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงสิ่งของเครื่องบรรณาการซึ่งจะออกไปคำนับ

แลขณะนั้นเมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะให้ไปอ่อนน้อมแก่ข้าศึก ฝ่ายเล่ายอยเล่าเอียวเล่าจ้องเล่าจ้านเล่าสุนเล่ากี๋ ผู้บุตรเล่าเสี้ยนทั้งหกคนนี้จะได้ทัดทานประการใดหามิได้ แต่เล่าขำผู้บุตรที่ห้าจึงว่าแก่เจียวจิ๋วว่า มึงนี้เปนคนมิดีหากตัญญูมิได้ การศึกมีมามิได้คิดอ่านรักษาเจ้า ธรรมเนียมมีหรือเปนกษัตริย์จะไปคำนับแก่ผู้อื่น ถึงมาทว่าจะตายก็ควรจะสู้เสียชีวิต จะนบนอบแก่ข้าศึกหาควรไม่

พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินเล่าขำว่าหยาบช้าแก่เจียวจิ๋วดังนั้นจึงว่า บันดาขุนนางทั้งปวงปรึกษาว่าจะไปคำนับเห็นชอบด้วยกันสิ้น เปนไฉนตัวเจ้าก็เปนเด็กถือทิฎฐิมานะว่าฝีมือกล้าแข็งรู้กว่าผู้ใหญ่ จะให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนนั้นมิชอบ เล่าขำจึงทูลว่า ทหารในเมืองเสฉวนยังมีอยู่เปนหลายหมื่น พอจะจัดแจงกองทัพออกไปต่อสู้ด้วยข้าศึกได้อยู่ อนึ่งเกียงอุยก็ตั้งรักษาด่านอยู่ภายนอก ถ้าจะมีหนังสือออกไปให้ตีกระหนาบหลังข้าศึกเข้ามากระทบเข้าเปนสองทัพ ศัตรูก็จะแตกกลับไปไม่พอที่จะอัปยศแก่ทหารเมืองวุยก๊กเลย

พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า มึงนี้เปนเด็กมิได้รู้ลักษณดีแลร้าย จะมาขืนขัดผู้ใหญ่นั้นเรามิเชื่อฟัง เล่าขำได้ฟังพระราชบิดาว่าก็น้อยใจ เอาหน้ากระทบลงกับศิลาแล้วจึงว่า พระอัยกาทรงอุตส่าห์กระทำความเพียรมาก็ได้ความลำบากพระองค์เปนสาหัส จึงได้มาตั้งเปนภูมิฐานอยู่ ณ เมืองเสฉวนจนได้สมบัติสืบวงศ์มา ควรหรือมิได้คิดถึงความยากของพระอัยกาเลย ยังมิทันไรจะเอาสมบัติไปยกให้ผู้อื่นเสียฉนี้มิควรนัก มาทว่าการมาจวนตัวเข้าก็ดี พระองค์กับข้าพเจ้าผู้บุตรทั้งเจ็ดคน แลเสนาบดีทั้งปวงก็ควรจะช่วยกันไปต่อด้วยข้าศึกให้ตายเสียในกลางสงคราม ประเสริฐกว่าอัปยศแก่คน ถึงว่าตายไปพบพระอัยกาในเมืองผีก็หาความติโทษมิได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มิฟังตวาดเอาแล้วก็ขับให้ออกไปเสีย เล่าขำกลัวบิดาจะอยู่มิได้ก็เดิรร้องไห้ออกมา

ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็แต่งเจียวจิ๋วเตียวเจี๋ยวเตงเลียงสามนายให้คุม เครื่องบรรณาการ แลตราหยกสำหรับว่าราชการเมือง ออกไปคำนับเตงงาย ณ เมืองปวยเสีย เตงงายเห็นทหารสามนายเข้ามานบนอบก็มีความยินดีรับเอาตราหยกไว้ แล้วก็ให้ทหารสามคนกลับไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนอยู่ปกป้องอาณาประชาราษฎรไพร่บ้านพลเมืองให้เปนสุขเถิด เรามิได้ทำอันตรายแก่ท่านแล้ว

ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงแต่งหนังสือไปถึงเกียงอุยให้เร่งเข้าคำนับนบนอบแก่เตงงายเถิด แล้วให้ลิเฮาออกไปแจ้งแก่เตงงายว่าเดือนยี่ขึ้นคํ่าหนึ่งจะออกมาคำนับ จึงให้เอาบาญชีพลเมืองแลสิ่งของในท้องพระคลังนั้นออกไปแจ้งด้วย ครั้นลิเฮามาถึงเมืองปวยเสียก็เข้าไปคำนับแก่เตงงายแจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วเอาบาญชีนั้นส่งให้ เตงงายดูบาญชีเมืองเสฉวนนั้นมีครัวสิบแปดหมื่นครัว หญิงชายใหญ่น้อยเก้าสิบสี่หมื่น ทหารกินเบี้ยหวัดสิบหมื่นสองพัน มีเข้าในฉางสี่สิบหมื่นเศษ ทองสองพันชั่งเงินสองพันชั่ง แพรดีสีอย่าง ๆ ละสิบหมื่นพับ แลสิ่งของทั้งปวงเปนอันมาก เตงงายมีความยินดีก็ให้แต่งโต๊ะ เลี้ยงลิเฮาตามอย่างธรรมเนียม

ฝ่ายเล่าขำครั้นแจ้งว่าพระราชบิดาให้ออกไปคำนับแก่เตงงายแล้ว ก็ถอดกระบี่เดิรเข้าไปหานางซุยฮูหยินภรรยา นางซุยฮูหยินจึงถามว่าเปนไฉนวันนี้พระพักตร์จึงตึงอยู่ทรงพระโกรธสิ่งใดหรือ เล่าขำจึงบอกว่า บัดนี้ทหารเมืองวุยก๊กยกเข้ามายํ่ายีถึงขอบขันธเสมา พระราชบิดาเราก็มิได้คิดอ่านจะต่อสู้ ให้ออกไปนบนอบข้าศึกแล้ว ตัวเราเกิดมาในวงศ์ของพระเจ้าเล่าปี่มิเคยได้อ่อนน้อมแก่ผู้ใด ครั้งนี้จะพลอยคำนับข้าศึกนั้นก็เสียดายชาติตระกูลของเรา ผิดก็จะเชือดคอตายเสียดีกว่าอย่าให้เสียศักดิ์

นางซุยฮูหยินจึงว่า ถ้าพระองค์มิรักชีวิตจะเชือดคอตายเสียแล้ว ตัวข้าพเจ้าเปนภรรยาของพระองค์ ก็จะไปให้อัปยศแก่ศัตรูหาประโยชน์มิได้ ข้าพเจ้าจะขอตายไปกับพระองค์ดูประเสริฐกว่า ว่าเท่านั้นแล้วนางซุยฮูหยินก็เอาสีสะฟัดลงกับสิลาถึงแก่ความตายในทันใด เล่าขำเห็นภรรยาตายแล้ว ก็ฆ่าบุตรทั้งสามคนเสีย ตัดเอาสีสะบุตรทั้งสามคนกับสีสะนางซุยฮูหยินไปบูชาไว้ที่หน้าตึกฝังศพพระ เจ้าเล่าปี่ แล้วร้องไห้ว่าตัวข้าพเจ้าเปนหลานของพระองค์ ตั้งใจจะรักษาแผ่นดินมิให้เสียเกียรติยศของพระองค์ไป บัดนี้ข้าพเจ้าจะรักษาจารีตประเพณีของพระองค์ไว้มิได้ ข้าพเจ้ามีแต่ชีวิตจะขอบูชาสนองคุณพระองค์ ซึ่งทรงอุตส่าห์ตั้งภูมิฐานไว้ให้เปนที่พำนักแก่ข้าพเจ้าผู้เปนหลาน ว่าเท่านั้นแล้วก็เอากระบี่เชือดฅอเสียถึงแก่ความตาย

ฝ่ายเตงงายครั้นถึงกำหนดเดือนอ้ายขึ้นคํ่าหนึ่งแล้ว ก็ยกทหารมาแต่เมืองปวยเสียจะเข้าไปเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าเตงงายยกมา ก็พาบุตรทั้งหกคนกับขุนนางประมาณหกสิบรีบออกไปรับเตงงายถึงประตูเมือง แล้วอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จุดธูปเทียนคำนับบูชาตามสองข้างทาง พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็อันเชิญเตงงายเข้าไปในเมือง ครั้นเตงงายเข้าตั้งอยู่ในเมืองเสฉวนแล้ว ก็ตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนที่แพ้วกี๋จงกุ๋น จึงให้ทหารตรวจตราเอาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงในท้องพระคลังตามบาญชีครบทุก ประการแล้ว ก็บอกหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าโจฮวน ณ เมืองวุยก๊กตามซึ่งได้ทำนั้นทุกประการ

ครั้นอยู่มาภายหลังเตงงายรู้ว่าฮุยโฮนั้นเปนคนสอพลอ ทำให้กิจการแผ่นดินเมืองฟั่นเฟือนไป ก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ฮุยโฮรู้ก็เอาเงินทองไปติดสินบนแก่คนสนิธให้ช่วยปิดงำป้องกันเสีย ฮุยโฮก็ซ่อนตัวอยู่มิได้ออกหน้าให้ปรากฎจึงมิถึงแก่ความตาย

ฝ่ายเจียวเอี๋ยนถือหนังสือรับสั่งมาถึงด่านเกียมโก๊ะ แลให้เอาหนังสือข้อรับสั่งนั้นให้เกียงอุย ๆ แจ้งเนื้อความในข้อรับสั่งก็ตกใจนิ่งตลึงไปทั้งตัว ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ชวนกันร้องไห้อึงคนึงขึ้นว่า เราทั้งหลายอุตส่าห์ออกมาทรมานอยู่ปราถนาจะกำจัดศัตรูเสีย เหตุใดพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงมายกเมืองให้เตงงายโดยง่ายฉนี้มิควรเลย เกียงอุยเห็นทหารทั้งปวงสัตย์ซื่อเจ็บร้อนด้วยฉนั้น จึงปลอบว่าท่านอย่าทุกข์โศกไปเลย เราจะคิดอ่านเอาเมืองเสฉวนคืนให้จงได้ จงอุตส่าห์ช่วยกันทำการอย่าได้ย่อหย่อน ก็เห็นจะสำเร็จด้วยความเพียรของท่านทั้งปวง ทหารทั้งนั้นก็คำนับรับว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าทั้งนี้จะขออาสากว่าจะตาย

เกียงอุยจึงแต่งคนให้ไปบอกแก่จงโฮยว่า บัดนี้เกียงอุยจะสู้รบด้วยท่านมิได้แล้ว จะขอมานบนอบตามประเพณี จงโฮยแจ้งดังนั้นก็ให้คนใช้กลับมาบอกแก่เกียงอุยว่า ให้เชิญท่านมาหาเราเถิด เกียงอุยก็ไปหาจงโฮยถึงค่าย จงโฮยออกต้อนรับเข้าไป ให้นั่งที่สมควรคำนับตามประเพณี แล้วจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงมาคำนับเราต่อปานนี้

เกียงอุยจึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้านี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนตั้งให้เปนผู้ใหญ่รับมอบราชการบ้านเมือง ทั้งปวง ข้าพเจ้าเปนคนมีธุระมาก ถึงมาทว่ามาคำนับท่านบัดนี้ก็เร็วอยู่อีก จะช้านักก็หามิได้ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งวาตัวท่านมีสติปัญญามาก ยกมาทั้งนี้ทแกล้วทหารทั้งปวงก็เข้มแข็ง ข้าพเจ้าประมาณการดูเห็นจะสู้มิได้จึงเข้ามาคำนับ แม้ว่าเตงงายยกมาทางนี้ที่ไหนข้าพเจ้าจะออกหา ก็จะสู้รบกว่าจะสิ้นชีวิตลงด้วยกัน อนึ่งข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่แต่ก่อนมาว่า พระเจ้าโจฮวนได้ตั้งตัวเปนใหญ่ทั้งนี้ ก็เพราะปัญญาความคิดของท่านช่วยทำนุบำรุงให้ ปากผู้คำคนก็เลื่องลือสรรเสริญท่านเปนอันมาก

จงโฮยได้ฟังเกียงอุยยกย่องก็ยินดีนัก จึงจับลูกเกาทัณฑ์มาหักเสียในทันใด แล้วสาบาลว่าแต่นี้ไปเรามิได้ทำร้ายแก่กัน ท่านกับข้าพเจ้าจงเปนพี่น้องร่วมชีวิตกันสืบไปเถิด ก็ให้เกียงอุยตั้งอยู่ตามฐานาศักดิ์กลับคืนมาควบคุมทหารดังเก่า เกียงอุยคำนับลามาณด่านเกียมโก๊ะ จึงให้เจียวเอี๋ยนผู้ถือหนังสือมากลับคืนไปเมืองเสฉวน

ฝ่ายเตงงายครั้นปราบปรามอาณาประชาราษฎรให้เปนปรกติแล้ว จึงตั้งให้สุม่อเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่ว่าราชการเมือง แล้วให้องกิ๋นเทียนหองสองนายออกไปตั้งปราบปรามหัวเมืองทั้งปวง ครั้นจัดแจงเสร็จแล้วเตงงายก็ยกทหารออกมาตั้งอยู่ ณ เมืองกิมโก๊ะ จึงให้หาขุนนางเมืองเสฉวนเข้ามากินโต๊ะพร้อมกัน แลขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น เตงงายจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บุญท่านทั้งนี้มากนัก หากว่าเราเปนแม่ทัพมาจึงได้ตั้งตัวอยู่เปนสุขโดยปรกติ ถ้าผู้อื่นเปนนายทัพมาที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้มานั่งเสพย์สุราอยู่ น่าที่ก็จะเปนอันตรายต่าง ๆ

ขุนนางทั้งปวงได้ยินเตงงายว่าก็ชวนกันคำนับสิ้นทุกคน พอเจียวเอี๋ยนมาถึงเข้าไปแจ้งว่า บัดนี้เกียงอุยเข้าคำนับด้วยจงโฮยแล้ว เตงงายแจ้งดังนั้นก็มีใจโกรธจงโฮยดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในอก จึงแต่งหนังสือใช้ให้ทหารถือไปให้แก่สุมาเจียว ณ เมืองวุยก๊ก สุมาเจียวอ่านดูแจ้งในใจความว่า ข้าพเจ้าเตงงายขอคำนับมาถึงจินก๋งมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้ายกทหารมาตีเมืองเสฉวนนั้นก็ได้สำเร็จแล้ว ครั้นจะยกทัพกลับมาโดยเร็วทแกล้วทหารทั้งปวงก็บอบช้ำอิดโรยนัก จะขอพักทหารยับยั้งอยู่ ณ เมืองเสฉวนให้ทแกล้วทหารมีความผาสุกก่อน แลตัวเล่าเสี้ยนนั้น ข้าพเจ้าตั้งให้เปนที่แพ้วกี๋จงกุ๋น แลทรัพย์สิ่งของทั้งปวงนั้นครั้นข้าพเจ้าจะส่งมาก่อนก็เปนทางไกลเกลือกจะ เกิดอันตรายในกลางทาง ตัวข้าพเจ้ามิพ้นความผิด บัดนี้ข้าพเจ้าเก็บรวบรวมกันไว้เปนปรกติอยู่ อนึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งก็ยังมิอ่อนน้อมกระด้างกระเดื่องนัก ถ้าแลทแกล้วทหารทั้งปวงหายอิดโรยจะให้ตบแต่งเรือรบยกไปตีเมืองกังตั๋งที เดียว ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวรู้ว่าเมืองเสฉวนเสียแก่เรา ก็เห็นจะไม่แข็งอยู่ได้ ดีร้ายจะเข้ามาอ่อนน้อมต่อเรา อันเมืองกังตั๋งนั้นก็จะได้โดยง่ายเปนมั่นคง ถ้าสำเร็จการทั้งนี้แล้วข้าพเจ้าก็จะยกทหารกลับมาคำนับท่าน

ครั้นสุมาเจียวได้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็สงสัยคิดว่าเตงงายไปตีได้เมืองเสฉวน มีนํ้าใจกำเริบหวังจะตั้งตัวอยู่เปนใหญ่มิได้กลับมา คิดขบถจะทำร้ายแก่เรา จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเปนข้อรับสั่งว่า เตงงายมีใจสัตย์ซื่อภักดีต่อเจ้า อุตส่าห์ทำการมิได้คิดแก่ชีวิต ยกพลทหารมาตีได้เมืองเสฉวนครั้งนี้มีความชอบนัก ตั้งให้เตงงายเปนที่ทายอุ้ยมีศักดินาหมื่นหนึ่ง แล้วแต่งเปนหนังสือของสุมาเจียวฉบับหนึ่งไปให้แก่อุยก๋วน เข้าผนึกแล้วส่งให้ผู้ถือหนังสือกลับไปแจ้งแก่เตงงาย ณ เมืองเสฉวน

เตงงายครั้นแจ้งในหนังสือข้อรับสั่งก็คำนับตามประเพณี ฝ่ายอุยก๋วนครั้นแจ้งในหนังสือสุมาเจียวให้มาถึงนั้นก็เอามาให้แก่เตงงาย ๆ ฉีกผนึกออกอ่านดูแจ้งในใจความว่า ซึ่งจะทำการสงครามไปภายหน้านั้นจงบอกกล่าวพิททูลให้ทราบก่อน อย่าดูเบาแต่อำเภอใจให้ผิดด้วยขนบธรรมเนียม เตงงายเห็นหนังสือก็มีความน้อยใจจึงว่า เราก็ถือรับสั่งมาทำการถึงเพียงนี้ ถ้าได้ท่วงทีที่จะทำต่อไป จำเพาะแต่จะให้บอกกล่าวพิททูลก่อนเล่า เมื่อแลหนทางก็ไกลกว่าจะมีหนังสือรับสั่งตอบมาถึงนั้นก็จะช้าอยู่ มิทันท่วงทีราชการมิเสียไปหรือ เตงงายเห็นมิชอบจึงให้คนถือหนังสือตอบไปว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาทำการครั้งนี้เปน ทางไกล แม้เห็นได้ท่วงทีแล้วจะงดไว้บอกมาให้ทูลก่อน จึงค่อยทำการต่อภายหลังจะมิเสียการไปหรือ สุดแต่ข้าพเจ้าได้ท่วงทีแล้วเมื่อใด จะรีบทำการสนองคุณเจ้าให้สำเร็จจงได้ ซึ่งมิได้บอกมาให้แจ้งก่อนประการใด แม้ท่านจะเอาโทษแก่ข้าพเจ้าก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าจะเอาข้อราชการของพระเจ้าหมื่นปีให้จงได้

ครั้นสุมาเจียวแจ้งดังนั้นก็ยิ่งมีความสงสัย จึงปรึกษาด้วยกาอุ้นว่า เตงงายมีหนังสือมาว่าจะทำการตามอำเภอใจตัวฉนี้ ก็เพราะมีใจกำเริบคิดประทุษฐร้ายต่อเราเปนมั่นคง ท่านจะคิดประการใดดี กาอุ้นจึงว่า ถ้าฉนั้นขอให้มีหนังสือรับสั่งไปตั้งให้จงโฮยเปนที่ชูเต๋า ใหญ่ขึ้นกว่าที่เจงไสจงกุ๋นก็จะมีใจกำเริบขึ้น ถึงมาทว่าเตงงายจะตั้งตัวเปนใหญ่ก็เห็นว่าจงโฮยจะมีความมานะ มิยอมเปนน้อยถ้อยทีจะแขงกันอยู่ ดีร้ายก็จะเกิดวิวาทกันขึ้นเอง จงตั้งอุยก๋วนให้เปนผู้กำกับทหารทั้งสองกอง สุมาเจียวเห็นชอบ จึงแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงจงโฮยแลอุยก๋วน

ครั้นจงโฮยแจ้งหนังสือว่า ตัวท่านยกพลทหารมาทำการครั้งนี้ก็มีชัยชนะแก่ข้าศึกไว้เกียรติยศของพระเจ้า โจฮวนให้ปรากฎ มีความชอบมาก ให้ท่านเปนที่ชูเต๋ามีศักดินาหมื่นหนึ่งเถิด จงโฮยแจ้งดังนั้นก็คำนับตามประเพณี แล้วจึงให้หาเกียงอุยมาปรึกษาว่า บัดนี้เตงงายตีได้เมืองเสฉวนมีความชอบมาก สุมาเจียวตั้งให้เปนที่ท้ายอุ้ย แล้วมีตรารับสั่งมาตั้งเราภายหลังผู้มีความชอบน้อยนี้ให้เปนที่ชูเต๋าเล่า ชรอยจะมีความสงสัยเตงงายอยู่ จึงกลับมาตั้งแต่งเรามาทั้งนี้ปราถนาจะเอานํ้าใจ แม้ว่าเตงงายเปนขบถก็จะให้เราขัดแขงไว้ ประการหนึ่งตั้งให้อุยก๋วนเปนผู้กำกับทัพเล่า ทำทั้งนี้เพื่อจะให้ระวังเตงงายเปนมั่นคง หาตั้งแต่งโดยสุจริตไม่ ท่านจะเห็นประการใด

เกียงอุยจึงว่า ข้าพเจ้าก็รู้อยู่แต่ก่อนมาว่าเตงงายคนนี้เปนบุตรชาวนาตระกูลตํ่าช้าอยู่ดอก ครั้งนี้วาสนาเทพดาช่วยบอกให้ ๆ ยกไปทางอิมเป๋งจึงได้เมืองเสฉวน ถึงมาทว่ากระนั้นก็ดีแม้ข้าพเจ้ามิมารบพุ่งติดพันอยู่กับท่านที่นี่ ก็ที่ไหนเตงงายจะได้เมืองเสฉวนง่าย ๆ ความชอบจะกลับได้แก่ท่านเปนมั่นคงอีก บัดนี้เตงงายสำคัญว่าทำการด้วยปัญญาความคิดของตัว จึงมีใจกำเริบบังอาจตั้งแต่งเล่าเสี้ยนให้เปนที่แพ้วกี๋จงกุ๋นตามอำเภอใจเอง มิยำเกรงมหาอุปราชทั้งนี้ ปราถนาจะเอาใจอาณาประชาราษฎรให้มีความสรรเสริญรักใคร่ตัว หวังว่าจะเปนใหญ่ ซึ่งสุมาเจียวมหาอุปราชมีความสงสัยนั้นก็ชอบอยู่

จงโฮยได้ฟังเกียงอุยเจรจาโดยสุภาพดังนั้น ก็เชื่อถือมีความยินดีมิได้รังเกียจประการใดเลย เกียงอุยจึงว่า ข้าพเจ้าจะเจรจาความลับด้วยท่านสิ่งหนึ่งก็ยังมิชอบกล ด้วยทหารทั้งปวงละเล้าละลุมอยู่ เกลือกจะว่าแพร่งพรายไปจะเสียการ จงโฮยก็ขับทหารออกไปเสียข้างนอก เกียงอุยจึงเอาแผนที่เมืองเสฉวนออกให้แก่จงโฮยแล้วบอกว่า แผนที่อันนี้ขงเบ้งมหาอุปราชให้แก่เล่าปี่แต่แรกมาอยู่ด้วย เล่าปี่ได้แผนที่นี้จึงคิดอ่านทำการได้เมืองเสฉวน ถึงกระนั้นก็ได้ความยากลำบากนักมิใช่จะได้ด้วยง่าย เพราะหนทางเปนซอกห้วยธารเขาคับขันนัก นี่แลหรือเตงงายได้เมืองเสฉวนแล้วจะมิคิดกำเริบ เพราะเห็นว่าผู้ใดจะไปกำจัดนั้นยาก จงโฮยจึงว่า เราจะคิดประการใดดีจึงจะกำจัดเตงงายนี้เสียได้

เกียงอุยจึงว่า ถ้าท่านจะคิดกำจัดเตงงายเสียก็ง่ายดอก แต่ทว่าจะทำตามอำเภอใจบัดนี้ก็เห็นเบาความนักไม่ชอบกล ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงสุมาเจียวมหาอุปราชว่าเตงงายคิดขบถให้แจ้งก่อน เมื่อใดสุมาเจียวตอบหนังสือมาให้เราคิดทำการกำจัดเสียมั่นคงแล้ว จึงจะคิดอ่านกลอุบายเมื่อภายหลัง จงโฮยก็เห็นชอบด้วยจึงใช้ให้ทหารถือหนังสือไปแจ้งแก่สุมาเจียวตามถ้อยคำ เกียงอุยทุกประการ

ครั้นสุมาเจียวได้แจ้งในหนังสือดังนั้น จึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เตงงายคิดการขบถกำเริบฉนี้จะนิ่งไว้มิได้ นานไปก็จะยกมาทำร้ายเรา ครั้นปรึกษาแล้วเอาเนื้อความขึ้นกราบทูลพระเจ้าโจฮวน ๆ แจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงให้มีหนังสือตอบไปถึงจงโฮย ให้คิดอ่านทำการกำจัดเตงงายเสียให้จงได้ แล้วเกณฑ์ให้กาอุ้นถือพลสามหมื่นเปนกองหน้าจะให้ยกไปทางเกียมโกะ

ขณะนั้นกาอุ้นจึงว่ากับสุมาเจียวว่า เตงงายกับจงโฮยนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าถ้อยทีว่าตัวดีอยู่ด้วยกันทั้งสองข้าง ซึ่งจงโฮยบอกกล่าวโทษเตงงายมาทั้งนี้ข้าพเจ้ามีสงสัยอยู่ สุมาเจียวจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เมื่อไปถึงเมืองเตียงอั๋นแล้วข้าพเจ้าจึงจะบอกให้ท่านเข้าใจ สุมาเจียวก็เร่งให้กาอุ้นยกกองทัพไป แล้วก็เชิญเสด็จพระเจ้าโจฮวนยกทัพหลวงออกจากเมืองวุยก๊ก

ขณะนั้นม้าใช้จึงมาบอกแก่จงโฮยว่า บัดนี้กองทัพสุมาเจียวยกมาถึงเมืองเตียงอั๋นแล้ว จึงให้หาเกียงอุยเข้ามาปรึกษาว่า เราจะคิดอ่านทำการกำจัดเตงงายเสียนั้นจะทำประการใดดี เกียงอุยจึงว่า ถ้าฉนั้นขอให้หาอุยก๋วนมาปรึกษาด้วย ท่านจงให้อุยก๋วนยกทหารไปทำการกำจัดเตงงายเสีย เตงงายรู้ว่าอุยก๋วนยกไปก็มีความโกรธ ดีร้ายจะยกทหารออกมาต่อสู้กับอุยก๋วน ๆ ฝีมืออ่อนเห็นจะสู้เตงงายมิได้ เตงงายก็จะฆ่าอุยก๋วนเสีย ภายหลงท่านจึงยกทหารเข้าไปทำการกำจัดเตงงายก็จะหาความครหานินทาไม่

จงโฮยก็เห็นชอบด้วย จึงให้หาอุยก๋วนเข้ามาปรึกษาจะให้ยกกองทัพไป อุยก๋วนรับคำลามาจัดแจงทหารจะยกไปกำจัดเตงงาย ทหารคนหนึ่งจึงว่าแก่อุยก๋วนว่า ซึ่งจงโฮยจะให้ท่านยกทหารไปกำจัดเตงงายบัดนี้ หวังจะให้เตงงายฆ่าท่านเสีย ปราถนาจะเอาผิดเตงงายดอก แกล้งทำอุบายทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ ขอท่านดำริห์ดูให้เห็นก่อน อย่าเพ่อยกทหารล่วงไป

อุยก๋วนจึงว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย เราคิดอุบายได้ตลอดอยู่แล้ว อุยก๋วนก็แต่งหนังสือสามฉบับเปนใจความว่า บัดนี้เตงงายคิดมิชอบ พระเจ้าโจฮวนมีรับสั่งมาให้เรายกมากำจัดเสีย แต่ทหารทั้งปวงซึ่งหามีความผิดไม่ก็หาให้ทำอันตรายไม่ ถ้าผู้ใดเข้านอบนบต่อเราโดยปรกติก็จะทำนุบำรุงผู้นั้นตามความชอบ แม้ผู้ใดมิมาคำนับกลับไปเปนพวกเตงงาย ก็จะจับตัวมาประหารชีวิตเสีย ครั้นแต่งหนังสือเสร็จแล้วก็ให้ทหารรีบถือเข้าไปเมืองกิมก๊กแต่ในเวลากลาง คืน อุยก๋วนก็ยกกองทัพตามเข้าไป

ฝ่ายทหารทั้งปวงในเมืองกิมก๊กได้แจ้งหนังสือดังนั้น ครั้นเวลารุ่งเช้าก็รู้ว่าอุยก๋วนมาถึงแล้วก็ชวนกันเข้าคำนับสิ้น ฝ่ายเตงงายนอนหลับอยู่มิได้รู้ตัว อุยก๋วนก็คุมทหารประมาณเจ็ดสิบคนรีบเข้าไปที่อยู่ จึงร้องว่าบัดนี้เราถือรับสั่งมาให้กำจัดเตงงายพ่อลูกเสีย เตงงายได้ยินตกใจตื่นขึ้นลุกออกมาจากที่นอน จะถามดูให้รู้ร้ายแลดีประการใด ก็มิทันจะได้ถาม อุยก๋วนก็สั่งทหารให้จับเอาตัวมัดใส่เกวียนจำเสีย เตงต๋งผู้บุตรรู้ก็ตกใจวิ่งออกมาจะถามเหตุผลทั้งปวง ทหารก็ตรูกันเข้าจับมัดใส่เกวียนจำเสียด้วยกัน

ขณะนั้นคนสนิธของเตงงายรู้ก็ตกใจ ชวนกันจับเครื่องศัสตราวุธวิ่งออกมาจะเข้ารบชิงเอาเตงงายพ่อลูก พอเห็นกองทัพจงโฮยยกทหารหนุนมาถึงทันเข้าก็กลัวพากันแตกตื่นกระจัดกระจายไป จงโฮยเห็นเตงงายพ่อลูกถูกมัดอยู่ในเกวียนจำนั้น ก็เอาคันทวนตีลงที่สีสะด่าว่าลูกอ้ายชาวนามึงมาทำโอหังตั้งตัวเปนใหญ่ มิได้ยำเกรงถึงเพียงนี้ควรแล้วหรือ เกียงอุยเห็นดังนั้นก็พลอยเยาะว่า วันนี้ท่านถึงที่แล้วหรือจึงมาอยู่ในเกวียนจำ เหตุใดมิทำแก้ตัวไปเล่า เตงงายก็มีความโกรธเปนกำลัง ก็ด่าว่าเกียงอุยเปนข้อหยาบช้าหลายประการ

ฝ่ายจงโฮยก็สั่งให้ทหารคุมเอาเตงงายพ่อลูกส่งไปให้แก่สุมาเจียว แล้วพาอุยก๋วนกับเกียงอุยเข้าไปในเมืองเสฉวน จึงให้ริบเอาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงของเตงงายซึ่งได้ไว้นั้น แลทหารทั้งปวงเข้ามานบนอบอยู่ด้วยจงโฮยสิ้น

ขณะนั้นจงโฮยมีใจกำเริบ จึงว่าแก่เกียงอุยว่า วาสนาเราลูกผู้ชายตัวมิตายก็ได้สำเร็จความปราถนาทุกประการ เกียงอุยจึงว่า อันวาสนาของท่านข้าพเจ้าเห็นประจักษ์ปรากฎอยู่แล้ว ตัวท่านทำความชอบครั้งนี้ก็หนักหนา บุตรของท่านก็สองคนก็ยังหาความชอบมิได้ ซึ่งท่านจะทำการเอาความชอบสืบไปนั้น ขอยกไว้ให้บุตรท่านทำการเอาความชอบเถิด ท่านอุตส่าห์ทำการมาทั้งนี้ก็ปราถนาออกตัวอยู่ให้เปนสุข ก็ได้สำเร็จประโยชน์แล้วจะทำการสืบไปใยเล่า จงโฮยจึงว่าตัวเราอายุยังมิถึงสี่สิบ ปราถนาจะคิดการให้ใหญ่หลวงต่อไปอีกให้ปรากฎชื่อไว้ อันจะละความเพียรเสียนั้นมิได้

เกียงอุยจึงว่า ถ้าท่านมีความปราถนาดังนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นวาสนาท่านมากอยู่สมควรแล้ว บัดนี้ทหารทั้งปวงก็พรักพร้อม ถึงท่านจะคิดสิ่งใดก็จะสำเร็จ ขอให้เร่งคิดทำการตามแผนที่ซึ่งข้าพเจ้าให้แก่ท่านนั้นเถิด จงโฮยได้ฟังเกียงอุยว่าต้องน้ำใจก็ตบมือหัวเราะ จึงว่าท่านนี้เจรจาสิ่งใดก็รู้อัชฌาสัยต้องใจเราทุกประการ แต่นั้นไปจงโฮยก็ปรึกษาหารือกับเกียงอุยที่จะทำการนั้นทั้งกลางวันกลางคืนมิ ได้ขาด เกียงอุยก็ลอบให้หนังสือไปถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า พระองค์อุตส่าห์กลั้นพระทัยทรมานอยู่ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะคิดแก้ไขเอาราชสมบัติคืนให้พระองค์ให้จงได้

ฝ่ายสุมาเจียวจึงให้คนถือหนังสือไปถึงจงโฮยว่า บัดนี้เรามีความวิตกถึงท่านกลัวว่าจะยกไปกำจัดเตงงายนั้นจะมิได้สดวก จึงยกกองทัพมาตั้งรออยู่ ณ เมืองเตี้ยงอั๋น ถ้าราชการขัดเคืองประการใดก็ให้บอกไปจะยกทหารรีบมาช่วย จงโฮยได้แจ้งดังนั้นจึงปรึกษาด้วยเกียงอุยว่า มหาอุปราชก็รู้อยู่ว่าเรายกมาครั้งนี้ ทแกล้วทหารก็มากกว่าเตงงายถึงสองสามเท่าอีก เหตุไฉนจึงยกทหารหนุนมาตั้งประทับหลังอยู่เล่า ชรอยมหาอุปราชมีความสงสัยมิไว้ใจเรา จึงยกทหารออกมาสกัดไว้ ทั้งนี้เราประหลาทใจนัก ท่านจะเห็นประการใด

เกียงอุยจึงว่าท่านกริ่งใจทั้งนี้ก็ชอบอยู่ ข้าพเจ้ามาคิดเห็นว่า อันธรรมดานายมีความสงสัยบ่าวฉนี้แล้ว ก็ย่อมมีอันตรายมาถึงเปนมั่นคง เหมือนหนึ่งเตงงายนั้นก็ถึงแก่ความตาย ขอท่านเร่งรำพึงดูเถิด จงโฮยจึงว่าท่านว่านี้ชอบนักเราก็วิตกอยู่ ถ้าฉนั้นแล้วจะนิ่งตายต้องการอันใด เราก็จะคิดทำการต่อไปตั้งตัวให้ได้ แม้เดชะวาสนาก็จะได้ราชสมบัติ ถ้ามิสำเร็จเหมือนคิดก็จะกลับเข้าตั้งอยู่ในเมืองเสฉวนอย่างเล่าปี่จะไม่ได้ เจียวหรือ

เกียงอุยจึงว่าถ้าท่านคิดดังนี้แล้ว ขอให้แต่งเปนหนังสือนางกวยทายเฮาผู้เปนอัครมเหษีของพระเจ้าโจยอยให้มาถึง ทหารทั้งปวงว่า สุมาเจียวหาความกตัญญูไม่ จับเอาพระเจ้าโจมอฆ่าเสียชิงเอาราชสมบัติให้แก่ผู้อื่น จึงได้ความเดือดร้อนทั้งนี้ ขอให้ทหารทั้งปวงมีความกตัญญูสนองคุณเจ้า ช่วยกันคิดอ่านกำจัดสุมาเจียวเสีย ถึงมาทว่าทหารทั้งปวงไม่เห็นด้วยก็แล้วไป แต่ว่าให้ประกาศไว้ให้เปนที อันกำลังปัญญาความคิดของท่านผู้เดียว แม้จะคิดเอาเมืองวุยก๊กก็เห็นจะได้ไม่ยากนักดอก จงโฮยจึงว่าถ้าฉนั้นท่านจงยกทหารไปเปนกองหน้าเถิด แม้สำเร็จการดังความปราถนาเราแล้ว ก็จะแบ่งปันกันอยู่เปนสุขตามวาสนาของเรา

เกียงอุยจึงว่า อันตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการอาสาสนองคุณของท่านให้ได้ แต่ทว่าวิตกอยู่ด้วยทแกล้วทหารของท่านมิเต็มใจให้ข้าพเจ้าบังคับบัญชาว่า กล่าวในกิจการทั้งปวง จงโฮยจึงว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ก็จะเปนวันตรุษแล้ว จะหาทหารทั้งปวงมาเสพย์สุราให้พร้อมกัน เราจะว่ากล่าวเสียให้อยู่ในบังคับท่านให้ขาด ถ้าผู้ใดขัดแขงอยู่จะฆ่าเสีย เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าจงโฮยก็ให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาเสพย์สุรา แลขณะเมื่อขุนนางทั้งปวงนั่งเสพย์สุราอยู่พร้อมกันนั้น จงโฮยจึงชูจอกสุราขึ้นแล้วก็ร้องไห้ ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สงสัยจึงถามว่า ท่านร้องไห้ด้วยอันใด

จงโฮยจึงบอกว่า บัดนี้นางกวยทายเฮามีหนังสือมาถึงเราให้บอกทหารทั้งปวงว่า สุมาเจียวนี้มีใจกำเริบคิดการใหญ่หลวง ฆ่าพระเจ้าโจมอเสียปราถนาจะชิงเอาราชสมบัติตั้งตัวเปนใหญ่ ขอให้ทหารทั้งปวงมีความกตัญญูต่อเจ้า ช่วยกันกำจัดสุมาเจียวเสีย เหตุฉนี้เราจึงร้องไห้เพราะมีใจเจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ท่านทั้งปวงเปนข้าของพระเจ้าโจมอมาก่อนจะมีความเจ็บร้อนด้วยเจ้ากระทำตามรับ สั่งหรือจะมิทำประการใด ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ชวนกันนิ่งก้มหน้าเสียสิ้น

จงโฮยจึงชักกระบี่ชูขึ้นร้องประกาศแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ผู้ใดขัดแขงมิทำตามเราจะตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงกลัวจงโฮย ก็ซังตายรับคำจงโฮย ๆ จึงสั่งให้เอาตัวขุนนางทั้งปวงขังไว้สิ้นมิให้ออกมา แล้วให้ทหารคนสนิธของตัวคุมรักษาอยู่ เกียงอุยจึงว่าแก่จงโฮยว่า ซึ่งขุนนางทั้งปวงรับคำท่านฉนี้แล้วก็ดี ข้าพเจ้าก็เห็นยังหาสุจริตไม่ เสียมิได้กลัวอาญาท่านก็ซังตายรับคำดอก ขอให้ท่านไล่เลียงดูให้แน่นอนก่อน ถ้าผู้ใดขัดแขงมิเปนใจด้วยนั้น ขอให้ท่านขุดหลุมเอาตัวฝังเสียจึงจะชอบ จงโฮยจึงว่าการทั้งนี้เราก็ตระเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว ถ้าผู้ใดมิลงใจด้วยก็จะให้เอาตะบองทุบต้นคอฝังเสีย

ขณะนั้นคูเกี๋ยนซึ่งเปนทหารของเฮาเหลกนั้นมาอยู่ด้วยจงโฮย ๆ ใช้สอยเปนคนสนิธ ได้ยินดังนั้นจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่เฮาเหลกทุกประการ เฮาเหลกก็ร้องไห้จึงว่า ตัวข้ามิได้รู้ว่าจงโฮยคิดการขบถถึงเพียงนี้เลย สงสารแต่เฮาเกียนบุตรของเราอยู่ภายนอกมิได้รู้เหตุผลประการใด แม้ท่านคิดถึงคุณแต่หนหลังจงช่วยบอกแก่บุตรเราด้วยเถิด ถึงมาทว่าตัวเราจะตายก็ตามบุญ คูเกี๋ยนจึงว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย ข้าพเจ้าจะคิดกำจัดศัตรูเสียให้ได้ แล้วคูเกี๋ยนก็กลับมาจึงว่าแก่จงโฮยว่า ซึ่งท่านให้เอาขุนนางทั้งปวงมาขังไว้ในวังนี้ผู้ใดจะส่งเข้าปลาอาหารก็หาไม่ ข้าพเจ้าเห็นจะอดเข้าตายเสียสิ้น ขอให้ท่านแต่งผู้ใดผู้หนึ่งไปกำกับอยู่ด้วย รับเข้าปลาอาหารให้แก่ขุนนางทั้งปวงจึงจะชอบ จงโฮยก็เห็นชอบด้วย จึงว่าถ้าดังนั้นท่านจงไปอยู่ตรวจตรากำกับขุนนางทั้งปวงเถิด คูเกี๋ยนได้ท่วงทีดังนั้นก็คำนับแล้วมาอยู่กำกับขุนนางทั้งปวงตามจงโฮยสั่ง

ฝ่ายเฮาเหลกจึงตัดนิ้วมือสูบเอาโลหิตเขียนเปนหนังสือลับซ่อนให้แก่คู เกี๋ยน ๆ ก็ใช้ให้คนสนิธถือหนังสือออกไปแจ้งแก่เฮาเกียน ๆ แจ้งหนังสือลับว่า จงโฮยคิดการกำเริบขบถต่อแผ่นดิน จึงให้หานายทัพนายกองมาปรึกษา นายทัพนายกองทั้งปวงก็โกรธ จึงว่าตัวเราก็ชาติทหารได้ทำการสงครามมาก็หลายครั้ง มาทว่าตัวจะตายด้วยความสัตย์ซื่อก็ดูประเสริฐกว่าเปนข้าของจงโฮยต้องการอัน ใด เราทั้งปวงจะกระทำตามอำนาจของจงโฮยก็จะพลอยเปนขบถปรากฎชื่อชั่วตัวไปด้วย เราจะช่วยกันคิดตัดการเสียให้จงได้ ทหารทั้งปวงก็ชวนกันโกรธเปนอันมาก

ขณะนั้นอุยก๋วนซึ่งได้กำกับกองทัพทั้งสองฝ่าย จึงว่าท่านทั้งปวงปรึกษาก็ชอบทุกประการ ตัวเราก็จะรับทำการด้วยส่วนหนึ่ง เฮาเกียนจึงว่า ถ้าดังนั้นท่านทั้งปวงจงตระเตรียมทหารให้พร้อมทุกหมวดทุกกองเถิด เราจะรับยกเข้าไปทำการให้ทันท่วงทีอย่าให้รู้ตัว แล้วก็เร่งคนถือหนังสือกลับเข้าไปบอกแก่เฮาเหลกผู้บิดาแลขุนนางทั้งปวงซึ่ง ยังอยู่นั้น ว่าบัดนี้เราตระเตรียมกองทัพไว้พร้อมอยู่แล้ว จะยกเข้ามาทำการช่วยชีวิตท่านทั้งปวง แม้เรายกทหารเข้ามาถึงแล้วเมื่อใด ก็ให้จุดเพลิงขึ้นในเมืองเปนสำคัญ

ฝ่ายจงโฮยครั้นรุ่งเช้าขึ้นจึงให้หาเกียงอุยเข้ามาแก้ฝันว่า เวลาคืนนี้เราฝันเห็นว่ามีอสรพิษมาขบเอาเรารอบทั้งกาย นิมิตรนี้จะร้ายดีประการใดเชิญท่านทำนายแก่เราให้แจ้ง เกียงอุยจึงทำนายว่า ซึ่งท่านนิมิตรว่าอสรพิษแลมังกรสองประการนี้ จะทำประการใดก็เห็นจะสำเร็จความปราถนา เปนชัยมงคลแก่ท่านอีก จะได้มีอันตรายสิ่งใดหามิได้ จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าความปราถนาเราจะสำเร็จจริงเหมือนท่านทำนายเปนมั่นคง เกียงอุยจึงว่า ซึ่งท่านให้เอาขุนนางทั้งปวงมาขังไว้ในวังปราถนาจะให้ลงใจด้วยกัน ข้าพเจ้าเห็นว่าหาสุจริตไม่ จะเอาไว้ให้เปนเสี้ยนหนามอยู่หาต้องการไม่ เท็จจริงประการใดท่านก็มีปัญญาพิเคราะห์เห็นอยู่สิ้นทุกประการแล้ว ถ้าฆ่าเสียสิ้นทีเดียวจะมิพ้นราคีแก่ตัวหรือ

จงโฮยได้ฟังเกียงอุยก็เห็นชอบด้วย จึงว่าถ้าฉนั้นท่านจงคุมเอาทหารเอกของเราไปจับเอาตัวขุนนางทั้งปวงฆ่าเสีย ให้สิ้นเถิด เกียงอุยรับคำแล้วก็ขึ้นม้าจะพาทหารทั้งปวงออกมา พอจุกอกขึ้นเปนกำลังทนมิได้ก็ซบลงอยู่กับหลังม้า ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ ช่วยกันเข้าพยุงเกียงอุยออกมานวดฟั้นแก้ไขค่อยคลายขึ้น ในทันใดพอได้ยินเสียงทหารเฮาเกียนแลอุยก๋วนโห่ร้องอื้ออึงเอิกเกริกตีล้อม เมืองเข้ามาทั้งสี่ด้าน

เกียงอุยจึงว่าแก่จงโฮยว่า ซึ่งทหารโห่ร้องตีเข้ามาทั้งนี้มิใช่ผู้อื่น เปนพรรคพวกของขุนนางเหล่านี้มั่นคง จำจะฆ่าคนเหล่านี้เสียให้สิ้นก่อนจะเอาไว้มิได้ ว่ายังมิทันขาดคำพอเห็นแสงเพลิงติดขึ้นทั้งสี่ด้าน ทหารวิ่งตรูเข้ามาถึงข้างใน จงโฮยเห็นทหารตรูกันเข้ามาก็ตกใจ จึงปิดประตูที่อยู่เสียแล้วก็วิ่งหนีขึ้นไปอยู่ชั้นบน ทหารเฮาเกียนกับอุยก๋วนก็จุดเพลิงล้อมเข้าไป

จงโฮยจึงคิดว่าตัวกูเปนชาติทหาร การจวนตัวแล้วจะคิดกลัวความตายอยู่ก็หาควรไม่ คิดฉนี้แล้วก็ถอดกระบี่ไล่ฆ่าฟันลงมา ทหารเฮาเกียนล้มตายลงประมาณเก้าคนสิบคน ทหารทั้งปวงก็ช่วยกันล้อมจงโฮยเข้าไว้ ยิงเกาทัณฑ์ระดมมาถูกจงโฮยล้มลงตายกับที่ ทหารเฮาเกียนก็เข้าตัดเอาสีสะไป

ฝ่ายเกียงอุยเห็นเพลิงไหม้ล้อมเข้ามาดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกจะไล่ฟันทหารซึ่งล้อมเข้ามา พอขยับตัวจะออกไปก็จุกอกขึ้นซุดนั่งลง จึงว่าอุบายของเราคิดไว้ตลอดแล้ว เทพดามิได้โปรดให้สำเร็จแกล้งผลาญชีวิตเราในครั้งนี้ เมื่อวาสนาหาไม่จะอยู่ไปใย ว่าดังนั้นแล้วก็เชือดฅอตายเสียในทันใด

บันดาขุนนางทั้งปวงซึ่งจงโฮยกักขังไว้นั้นมีความโกรธเกียงอุยนักว่ายุยง จงโฮย ก็ไปหาเกียงอุยพอไปพบศพเข้า ต่างคนต่างโกรธก็เอากระบี่ผ่าอกออกเห็นตับคับหัวอกอยู่ ดีนั้นใหญ่เท่าไข่ห่าน จึงคิดว่า เกียงอุยมีดีใหญ่ฉะนี้หรือจะมิกล้าหาญเข้มแขงเปนทหารเอก แล้วก็ตัดเอาสีสะไป แลเมื่อขณะเกียงอุยถึงแก่ความตายนั้น อายุได้ห้าสิบเก้าปี

ฝ่ายทหารเตงงายเห็นวุ่นวายขึ้นดังนั้น ก็คุมกันติดตามไปจะชิงเอาตัวเตงงาย อุยก๋วนรู้จึงปรึกษากับเตนซกซึ่งเปนคนสนิธ ว่าเตงงายนี้เราคิดกลอุบายจับกุมเอง ถ้าแลทหารทั้งปวงติดตามไปชิงเอาตัวเตงงายมาได้ก็จะทำอันตรายแก่เราด้วยมี ความพยาบาทเปนมั่นคง ท่านจะคิดประการใด

ฝ่ายเตนซกเปนอริกับเตงงายมาแต่ก่อนมีความพยาบาทอยู่ ได้ทีดังนั้นจึงรับสั่งว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาท่านคุมทหารตามไปฆ่าเตงงายเสียเองมิให้มีราคีแก่ท่านสืบไป อุยก๋วนดีใจก็ให้เตนซกคุมทหารห้าร้อยรีบตามไปฆ่าเสียในทันใด


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 86

https://drive.google.com/file/d/1pukqjfgXwySbZB88ZIrkeMWu2chgFl1D/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #6 on: 24 December 2021, 09:31:04 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 87


https://www.samkok911.com/2021/07/samkok-ebook-87.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 87

เนื้อหา
• สุมาเจียวเลื่อนเป็นจีนอ๋อง
• สุมาเอี๋ยนเป็นจีนอ๋องแทนบิดา
• สุมาเอี๋ยนให้ไปตีเมืองกังตั๋ง
• สามก๊กรวมเป็นหนึ่ง

แล ขณะเมื่อจงโฮยแลเกียงอุยตายแล้วนั้น ชาวเมืองเสฉวนทั้งปวงหาผู้ใดจะบังคับมิได้ ก็เกิดการจลาจลฆ่าฟันกันขึ้นเอง เตียวเอ๊กนายทหารใหญ่กับบุตรกวนอูผู้หนึ่งก็ถึงแก่ความตายด้วย ครั้นอยู่ประมาณสองวันพอกาอุ้นยกกองทัพมาถึง ก็ปราบปรามอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้สงบเปนปรกติแล้ว ก็ตั้งให้อุยก๋วนเปนใหญ่รักษาเมืองเสฉวนอยู่ จึงเอาตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนกับฮวนเกี๋ยนเตียวเสียวเจียวจิ๋วขับเจ้งห้าคนนี้ ไปเมืองวุยก๊ก

ฝ่ายเตงฮองคุมกองทัพเมืองกังตั๋ง ซึ่งยกมาช่วยจูกัดเจี๋ยม ครั้นยกมาถึงกลางทางรู้ว่าเมืองเสฉวนเสียแล้ว ก็ยกกลับไปแจ้งแก่ซุนฮิว ๆ จึงว่าเมืองเสฉวนกับเมืองเราก็เหมือนฟันกับปาก เมื่อแลเมืองเสฉวนเสียแก่สุมาเจียวฉนี้แล้ว เห็นว่าสุมาเจียวจะมิหยุดจะยกมาทำร้ายแก่เมืองเราเปนมั่นคง จึงให้ลกค่องผู้เปนบุตรลกซุนซึ่งไปกินเมืองเกงจิ๋วนั้น คุมทหารออกเที่ยวตรวจตรารักษาด่านทุกตำบล ให้ซุนฮีไปรักษาเมืองลำซี เกณฑ์ทหารออกเที่ยวสอดแนมกิจการทั้งปวง แล้วเกณฑ์ทหารไปตั้งค่ายรายอยู่ตามริมแม่นํ้าเมืองกังตั๋งสามร้อยลูก หวังจะป้องกันกองทัพเมืองวุยก๊ก ให้เตงฮองเปนนายด่านตรวจตรากำชับทหารทั้งปวง

ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นมาถึงเมืองเตียงอั๋นแล้ว ก็เข้าไปคำนับสุมาเจียว ๆ ก็พาทหารแลพระเจ้าเล่าเสี้ยนยกทหารกลับมาเมืองวุยก๊ก ครั้นถึงเมืองแล้วสุมาเจียวจึงว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ท่านนี้เปนคนมิดีหาสติปัญญามิได้ เสพย์แต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือนเสีย จนอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนดังนี้มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร

พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังสุมาเจียวว่า มีความกลัวเปนกำลังหน้าเสร้าสลดลงในทั้นใดก็หมอบนิ่งอยู่ ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันขอโทษไว้ สุมาเจียวก็อนุญาตให้ จึงตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนที่อ่านลกก๋ง ประทานหญิงคนให้ร้อยหนึ่งกับแพรอย่างดีหมื่นพับแลเงินทองเปนอันมาก แล้วตั้งทหารซึ่งตามมาด้วยนั้นเปนที่ขุนนางตามสมควร จึงจัดถิ่นฐานบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณีทุกประการ พระเจ้าเล่าเสี้ยนคำนับสุมาเจียวแล้วก็พากันลาออกมาที่อยู่

ขณะนั้นสุมาเจียวจึงให้ปรึกษาโทษฮุยโฮว่า เปนคนชักชวนเจ้าทำให้เสียประเพณีแผ่นดินจะเลี้ยงไว้มิได้ ก็ให้ทหารเอาตัวไปทำโทษตัดตีนมือตะเวนรอบเมืองแล้วก็ฆ่าเสีย ครั้นอยู่มาวันหนึ่งสุมาเจียวจึงให้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้ามากินโต๊ะ แล้วให้มีงานเต้นรำต่าง ๆ ขุนนางทั้งปวงซึ่งมาด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้น ชวนกันนั่งก้มหน้าทำเปนทุกข์ร้อนอยู่หาเปนที่จะดูเต้นรำไม่ แต่พระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นเพ่งพระเนตรดูการเล่นยิ้มพรายรื่นเริงเปนปรกติ

สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงแสร้งถามว่า ทุกวันนี้ท่านระลึกถึงเมืองเสฉวนอยู่หรือ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้มาพึ่งวาสนาของท่านก็เปนสุขอยู่หาได้คิดระลึกถึงบ้านเมืองไม่ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไว้แต่ในใจ ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกินโต๊ะเสพย์สุราเสร็จแล้ว ก็คำนับลาสุมาเจียวมา

ขณะนั้นขับเจ้งจึงตามไปว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า เหตุใดพระองค์จึงเจรจาแก่สุมาเจียวฉนั้นหาควรไม่ ถ้าทีหลังจะไปกินโต๊ะแม้สุมาเจียวจะถามใหม่ พระองค์จงแกล้งทำร้องไห้บอกว่าระลึกถึงเมืองเสฉวน สุมาเจียวจะมีใจกรุณาเห็นสงสาร ก็จะให้เรากลับคืนไปเมืองเสฉวน ตั้งแต่นั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็จำถ้อยคำของขับเจ้งไว้

ครั้นอยู่สามสี่วันสุมาเจียวให้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปกินโต๊ะอีก จึงถามว่าทุกวันนี้ท่านคิดจะใคร่กลับไปเมืองเสฉวนอยู่หรือ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงทำเอามือปิดหน้าเข้าร้องไห้แต่ว่านํ้าตาหาออกไม่ สุมาเจียวจึงว่า เหตุใดพูดกันโดยดีท่านมาร้องไห้ฉนี้เล่า แล้วเอามือชักเอาพระหัตถ์พระเจ้าเล่าเสี้ยนออกเสียจากพระพักตร์ มิได้เห็นมีนํ้าพระเนตร เปนปรกติอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนอดสูแก่ใจจึงว่า ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้ากลับไปเมืองเสฉวนก็จะได้ไป แม้ไม่เอ็นดูแล้วก็จนอยู่

สุมาเจียวแลทหารทั้งปวงได้ฟังพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าดังนั้นกลั้นยิ้มมิได้ ก็ชวนกันหัวเราะสิ้นทุกคน สุมาเจียวจึงคิดว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนี้เปนคนโฉดเขลาหาปัญญามิได้ ตั้งแต่นั้นมาสุมาเจียวก็มิได้มีความรังเกียจเลย ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกินโต๊ะแล้วก็คำนับสุมาเจียวลาออกมา

ฝ่ายขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า สุมาเจียวมหาอุปราช ครั้งนี้ทำการได้เมืองเสฉวนมีความชอบมาก ควรจะเปนที่จีนอ๋อง ชอบเราทั้งปวงจะกราบทูลความชอบของมหาอุปราช ครั้นปรึกษากันแล้วก็พากันเข้าไปทูลพระเจ้าโจฮวน ๆ ก็เห็นชอบด้วย จึงตั้งให้สุมาเจียวเปนที่จีนอ๋องตามขุนนางปรึกษา สุมาเจียวมีใจกำเริบคิดว่าแผ่นดินนี้เปนของสุมาสูผู้พี่เราทำไว้ให้ราบคาบ สืบกันมา แลบัดนี้สุมาเอี๋ยนสุมาฮิวบุตรของเราสองคนนี้ก็จำเริญวัยอยู่แล้ว ควรจะตั้งแต่งให้เปนใหญ่ อันสุมาเอี๋ยนผู้พี่นั้นลักขณะก็มีวาสนา ผมก็ยาวถึงตีนมือก็ยาวฟันขาวปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าไม่ชอบใจเรา ครั้นจะตั้งให้เปนใหญ่บัดนี้ก็มิได้ แต่สุมาฮิวผู้น้องซึ่งสุมาสูพี่เรารักใคร่เอาไปเลี้ยงดูแต่น้อยนั้นมีใจ สัตย์ซื่อมั่นคงดี ควรที่จะตั้งให้เปนใหญ่ คิดฉนั้นแล้วก็ปรึกษาขุนนางทั้งปวงที่จะตั้งสุมาฮิวเปนเจ้าชีจู้ ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ซึ่งท่านจะตั้งสุมาฮิวเปนชีจู้นั้นมิชอบ ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าแผ่นดินแต่ก่อนเกิดจลาจลนั้นก็เพราะกลับเอาผู้ใหญ่เปน ผู้น้อยมิได้ทำตามขนบธรรมเนียมบุราณ ครั้งนี้ท่านจะมาตั้งน้องให้เปนใหญ่กว่าพี่นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย สุมาเจียวได้ฟังขุนนางทั้งปวงว่าดังนั้นก็เห็นชอบจึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนเปน เจ้าชีจู้

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งขุนนางเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาเจียวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือว่าเมืองซงบู๋ก๋วนนั้นมีคนลงมาแต่สวรรค์ สูงได้สี่วา ฝ่าตีนยาวสองศอก นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผมขาวหนวดขาว ถือไม้เท้าเที่ยวร้องประกาศไปรอบเมืองว่าเปนเจ้าแก่มนุษย์ บอกคนทั้งหลายให้รู้ว่าแต่นี้ไปจะมีเจ้าแผ่นดินมาเปลี่ยนใหม่ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเปนสุข อย่าปรารมภ์เลย ครั้นเที่ยวบอกถ้วนสามวันแล้วคนนั้นก็หายไป

สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สำคัญว่าตัวจะได้เปนเจ้าแผ่นดิน ก็กลับเข้ามาข้างในพอลมจับล้มลงอยู่กับที่ ขุนนางทั้งปวงรู้ก็ชวนกันเข้าไปถามว่าท่านป่วยเปนประการใด สุมาเจียวก็พูดมิออก เอาแต่มือชี้เอาสุมาเอี๋ยนเท่านั้น แล้วก็ขาดใจตายในทันใด ขุนนางทั้งปวงแต่งการศพตามประเพณี

ฝ่ายโฮเจ้งจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า อันราชการบ้านเมืองแต่ก่อนนั้นสิทธิ์ขาดอยู่แก่เจ้าจีนอ๋อง บัดนี้เจ้าจีนอ๋องก็หาบุญไม่แล้ว ควรที่จะยกเจ้าชีจู้ขึ้นเปนที่จีนอ๋องว่าราชการบ้านเมืองสืบไป ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมด้วย จึงตั้งเจ้าชีจู้เปนที่จีนอ๋องแทนสุมาเจียวผู้บิดา ก็ให้โฮเจ้งเปนที่มหาอุปราช แล้วตั้งแต่งขุนนางทั้งปวงตามฐานาศักดิ์โดยสมควร

ครั้นรุ่งขึ้นเช้าวันหนึ่งจีนอ๋องจึงให้หากาอุ้นกับหุยสิวเข้ามาถามว่า โจโฉกับบิดาของเราข้างไหนจะดีกว่ากัน กาอุ้นกับหุยสิวจึงว่า อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวงมีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิธไม่ ถึงมาทว่าทำสมบัติไว้ให้แก่โจผีผู้บุตรนั้นเล่าก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เปนเสี้ยนหนามอยู่ อันพระไอยกาของท่านได้ทำการมาก็หนักหนา ปรากฎชื่อเสียงเลื่องลือเปนอันมาก แลอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิธ พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรตยศเปนที่ยำเกรงก็มาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบด้วยนั้นเห็นไกลกันนัก

จีนอ๋องจึงว่า แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคิดอ่านทำการกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติของพระองค์เปนของตัวได้ แม้ว่าเราจะชิงเอาสมบัติของพระเจ้าโจฮวนเหมือนกระนั้นบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ

กาอุ้นหุยสิวจงว่าท่านว่านี้ชอบ ซึ่งจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนกับช่วยแก้แค้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉนี้ก็ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว จีนอ๋องได้ฟังกาอุ้นหุยสิวว่าก็กำเริบนํ้าใจ ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ถือกระบี่เข้าไปในวัง

ฝ่ายพระเจ้าโจฮวนแต่ไม่สบายพระทัยมาหลายวัน พอวันนั้นเสด็จออกมานั่งอยู่ เห็นจีนอ๋องถือกระบี่เดิรเข้าไปถึงข้างใน ก็คำนับเชิญจีนอ๋องนั่งบนที่สมควร จีนอ๋องจึงถามว่า พระองค์รู้หรือไม่ว่าราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ผู้ใดทำไว้ พระเจ้าโจฮวนจึงว่า อันราชสมบัติบ้านเมืองซึ่งเปนปรกติราบคาบเราได้อาศรัยเปนสุขอยู่ทั้งนี้ ก็เพราะกำลังปัญญาความคิดปู่ท่านแลบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา

จีนอ๋องจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เปน จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สาระพัดที่ไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญาว่ากล่าวกิจการแผ่นดินมิดีหรือ พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กอดพระหัตถ์เข้าซบพระพักตร์นิ่งอยู่

เตียวเจ๊กเปนขุนนางผู้ใหญ่นั่งเฝ้าพระเจ้าโจฮวนอยู่ ได้ยินจีนอ๋องว่าดังนั้นจึงตวาดว่า เหตุไฉนท่านมาเจรจาดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าโจโฉยังมีพระชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบปราศจากเสี้ยน หนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเปนสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อนหาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติให้แก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด

จีนอ๋องได้ฟังก็โกรธจึงว่า ราชสมบัติทั้งนี้เดิมเปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉก็เปนข้าของพระองค์ คิดอ่านกำจัดพระองค์เสียแล้วชิงเอาเปนของตัวสิได้ ฝ่ายอัยกาบิดาเราก็ได้ทำการสงครามปราบปรามกำจัดศัตรูเสียก็เหมือนกัน แม้ชิงเอาบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ ว่าฉนั้นแล้วก็สั่งให้บูซูจับเอาตัวไปตี พระเจ้าโจฮวนก็คุกเข่าลงคำนับขอโทษเตียวเจ๊ก จีนอ๋องก็มิให้ เร่งให้บูซูเอาไปตีตายเสียในทันใด แล้วก็ลุกออกมา

ขณะนั้นพระเจ้าโจฮวนจึงปรึกษากาอุ้นหุยสิวว่า การเกิดกำเริบฉนี้แล้วท่านจะคิดประการใด กาอุ้นหุยสิวจึงว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นแผ่นดินก็จะร่วงโรยลงแล้ว ซึ่งพระองค์จะขัดแขงอยู่นั้นมิได้ การจวนตัวถึงเพียงนี้ ควรหรือพระองค์จะไม่ผ่อนผันนั้นก็จะมีภัยมาถึงตัว ขอพระองค์จงยกสมบัติให้แก่จีนอ๋องเสียเถิด ก็จะมีความสุขสืบไป พระเจ้าโจฮวนก็เห็นชอบด้วยจึงกำหนดแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถึงเดือนยี่ขึ้นคํ่าหนึ่งให้เข้ามาพร้อมกันในวัง แล้วก็ให้จัดที่ทางทั้งปวง

ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันในที่เฝ้า พระเจ้าโจฮวนก็ยกเอาตราสำหรับว่าราชการเมืองมอบให้จีนอ๋อง ๆ รับเอาตราหยกแล้วก็ขึ้นนั่งบนที่สูง ชูกระบี่ขึ้นท่ามกลางขุนนางทั้งสองแถว จึงร้องเรียกพระเจ้าโจฮวนเข้ามาคุกเข่าลงคำนับต่อหน้าขุนนางแล้วจึงว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติครอบครองแผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉผู้เปนไอยกาของท่านกำจัดเสีย ขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบแซ่มาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้แผ่นดินก็ร่วงโรยถึงกำหนดที่เราจะได้เปนใหญ่ในราชสมบัติแล้ว ตัวท่านอย่ามีความวิตกไปเลย แล้วพระเจ้าจีนอ๋องจึงตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเปนที่ตันลิวอ๋องให้ไปกินเมือง กิมลงเสีย กำหนดว่ามิได้มีข้อรับสั่งให้มา ก็อย่าให้มาเฝ้าเปนอันขาดทีเดียว พระเจ้าโจฮวนซบพักตร์ลงร้องไห้ แล้วก็คำนับลาพระเจ้าจีนอ๋องพาเอาพรรคพวกของตัวไป ณ เมืองกิมลงเสีย

แลขณะเมื่อพระเจ้าจีนอ๋องได้เสวยราชสมบัตินั้น (พ.ศ. ๘๐๘) ก็สั่งให้ปล่อยนักโทษทั้งปวงเสียจากเรือนจำสิ้น แล้วจึงให้นามเมืองวุยก๊กชื่อว่าเมืองใต้จิ๋นแต่นั้นมา ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าจีนอ๋องเสด็จออกว่าราชการ จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงให้เกณฑ์กองทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง

ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวแจ้งกิตติศัพท์ว่า สุมาเอี๋ยนชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนตั้งตัวเปนใหญ่ แล้วให้ซ่องสุมทแกล้วทหารทั้งปวงเกณฑ์กองทัพจะยกมาตีเอาเมืองกังตั๋งฉนั้น ก็มีพระทัยทุกข์ตรอมไปจนทรงพระประชวรหนักลงถึงแก่ความตาย ครั้นขุนนางทั้งปวงแต่งการศพพระเจ้าซุนฮิวเสร็จแล้ว จึงปรึกษาจะยกซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรขึ้นครอบครองราชสมบัติว่าราชการเมือง แทนพระราชบิดาตามประเพณีสืบไป

ขณะนั้นบั้นเฮ็กเตียวเป๋าขุนนางผู้ใหญ่จึงปรึกษาว่า ซึ่งจะยกซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรขึ้นว่าราชการเมืองนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าซุนเปียนนี้มีสติปัญญาน้อยยังเยาว์แก่ความนัก เห็นจะว่าราชการไปมิตลอด ขอให้เอาซุนโฮซึ่งเปนหลานพระเจ้าซุนกวน อันเปนบุตรของซุนเหลียงนั้นครอบครองราชสมบัติเถิด ด้วยมีสติปัญญาหลักแหลมเห็นจะปกป้องอาณาประชาราษฎรได้

ครั้นขุนนางทั้งปวงได้ยินเสนาผู้ใหญ่ทั้งสองปรึกษาฉนั้น ก็เห็นพร้อมด้วยกันสิ้น ครั้นถึงเดือนเก้าขึ้นค่ำหนึ่ง ก็แต่งการพระราชพิธีอภิเษกซุนโฮขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบไป จึงตั้งให้ซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรของพระเจ้าซุนฮิวเปนที่เจ้าเจี๋ยงอ๋อง ให้เตงฮองเปนที่ต้ายสุม้า ครั้นพระเจ้าซุนโฮได้เสวยราชสมบัติแล้วก็มีพระทัยกำเริบ เชื่อฟังถ้อยคำงิมหุนผู้เปนขันที มิได้เอาใจใส่กิจการบ้านเมืองทั้งปวงเสพย์สุราเปนนิจ เอียงเหียงเตียวเป๋าซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เห็นผิดก็เข้าไปทูลทัดทานห้ามปราม เปนหลายครั้ง พระเจ้าซุนโฮมิได้เชื่อฟังโกรธขุนนางทั้งสองคนก็สั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ตั้งแต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงก็กลัวเกรงมิอาจที่จะห้ามปรามทูลทัดทานได้

ครั้นอยู่มาพระเจ้าซุนโฮก็ยกไปตั้งอยู่บู๊เฉียง กะเกณฑ์ทแกล้วทหารแลอาณาประชาราษฎรไปตัดไม้มาทำวัง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก ครั้นทำวังแล้วจึงปรึกษาด้วยหอกหยกว่า ครั้งพระเจ้าซุนฮิวยังมีพระชนม์อยู่ไม่ไว้ใจแก่ราชการ เกณฑ์ให้เตงฮองเปนนายใหญ่ออกไปตั้งค่ายอยู่ตามริมชายทเลนั้น ปราถนาจะกันกองทัพเมืองวุยก๊กไว้ แลทหารทั้งปวงเหล่านี้ก็พรั่งพร้อมกันอยู่ชอบท่วงทีแล้ว เราจะยกไปตีเมืองวุยก๊กทีเดียว หวังจะช่วยแก้แค้นพระเจ้าเล่าเสี้ยน จะยกกองทัพไปทางใดจึงจะสดวก

หอกหยกจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะยกกองทัพไปตีเมืองวุยก๊กนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย บัดนี้เมืองเสฉวนก็เสียแก่สุมาเจียวแล้ว สุมาเจียวมีใจกำเริบนักหมายจะยกมาตีเมืองกังตั๋งอีก ขอให้พระองค์จัดแจงป้องกันรักษาเมืองมั่นไว้ อย่าเพ่อยกไปก่อนเลย แม้พระองค์มิฟังข้าพเจ้าจะขืนยกพลทหารไปบัดนี้ ก็เหมือนหนึ่งเอาฝอยไปทุ่มเข้าที่กองเพลิง

พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราคิดอ่านจะยกไปกำจัดสุมาเอี๋ยนจะเอาฤกษ์ชัยชนะ ตัวท่านมาทัดทานเปนอปมงคลฉนี้มิชอบ หากว่าตัวท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน ถ้าหาไม่เราจะประหารชีวิตเสีย ว่าดังนั้นแล้วก็ให้บูซูขับออกไปจากที่เฝ้า หอกหยกมาถึงข้างนอกแล้วก็ทอดใจใหญ่ ว่าสมบัติในเมืองกังตั๋งนานไปก็จะเปนของผู้อื่น ตั้งแต่นั้นมาหอกหยกก็บอกป่วยมิได้เข้าไปทำราชการดังแต่ก่อน

ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮก็สั่งให้ลกข้อง ซึ่งไปรักษาเมืองเกงจิ๋วนั้นคิดอ่านจะให้ยกไปตีเมืองซงหยง ม้าใช้รู้กิตติศัพท์จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋นว่า บัดนี้พระเจ้าซุนโฮให้กะเกณฑ์ทหารทั้งปวงจะยกมาตีเมืองซงหยง

ครั้นพระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้แจ้งดังนั้น จึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวง กาอุ้นจึงทูลว่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าพระเจ้าซุนโฮได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋งนั้นมิได้ ประพฤติตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน ประเพณีแผ่นดินฟั่นเฟือนอยู่หาเปนปรกติไม่ ขอให้พระองค์มีรับสั่งไปถึงเอียวเก๋า ซึ่งเปนนายทหารอยู่ ณ เมืองซงหยงนั้น ซ่องสุมทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคง คอยดูท่วงทีเมืองกังตั๋ง ถ้าเกิดอันตรายจลาจลขึ้นแล้วเมื่อใด เราก็จะยกทัพใหญ่ไปโจมตีเอาเห็นจะได้โดยสดวก พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีหนังสือไปถึงเอียวเก๋าตามถ้อยคำกาอุ้นทุกประการ

เอียวเก๋าครั้นแจ้งในข้อรับสั่งแล้ว ก็กะเกณฑ์ทหารออกไปตั้งรักษาด่านทางอยู่ทุกตำบล ครั้นมาวันหนึ่งทหารจึงเข้าไปบอกว่า บัดนี้ลกข้องนายทหารซึ่งยกมาตั้งอยู่ ณ ปลายแดนนั้นก็เรรวนฟั่นเฟือนอยู่แล้ว ทแกล้วทหารก็มิได้คุมกันเปนหมวดกองโดยกระบวร ขอให้ท่านเร่งยกทหารไปโจมตีเอาเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย เอียวเก๋าจึงว่า อันลกข้องนี้มีสติปัญญาเปนสามารถ ทั้งฝีมือก็เข้มแขง เปนนายทหารใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ชำนิชำนาญในการสงครามมาช้านาน ซึ่งท่านจะประมาทดูเบาให้ยกไปตีลกข้องนั้นมิชอบ เราไม่เห็นด้วย ถ้าแลตั้งมั่นรออยู่ฟังกิตติศัพท์เมืองกังตั๋ง เห็นได้ทีแล้วจึงจะยกไปโจมตีเอาอย่าให้รู้ตัวจะมิดีหรือ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็คำนับเห็นชอบด้วย เอียวเก๋าก็ตั้งมั่นรอฟังกิตติศัพท์อยู่ ณ ปลายแดน

ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮจึงให้มีหนังสือไปถึงลกข้องว่า ให้เร่งยกทหารตีล่วงด่านเมืองไต้จิ๋นเข้าไปเอาชัยชนะจงได้ ครั้นลกข้องแจ้งดังนั้นจึงให้หนังสือตอบไปว่า ซึ่งพระองค์จะให้ข้าพเจ้าเร่งยกกองทัพตีเข้าไปยังมิได้ท่วงทีก่อน จะขอตั้งมั่นไว้ ถ้าได้ช่องแล้วเมื่อใดจึงจะยกพลทหารทำการเข้าไปเอาชัยชนะ ขออย่าให้พระองค์ทรงพระวิตกเลย อันราชการฝ่ายนี้ข้าพเจ้าจะขอรับเอาเปนพนักงาน พระเจ้าซุนโฮได้แจ้งดังนั้นก็ทรงพระดำริห์ว่า ลกข้องนี้ไปตั้งขัดทัพอยู่เปนช้านาน ชรอยว่าจะเปนมิตร์สันถวะคุ้นเคยกันกับเอียวเก๋า จะกลับเข้าเปนพวกปัจจามิตร มิได้สัตย์ซื่อต่อเรามั่นคง จึงมีหนังสือตอบขัดแขงมาทั้งนี้ก็ทรงพระโกรธ จึงตั้งให้ซุนอี้ออกไปเปนนายใหญ่ควบคุมพลทหารทั้งปวง ก็ให้ถอดลกข้องนั้นออกเสีย

เอียวเก๋ารู้ว่าพระเจ้าซุนโฮประพฤติผิดขนบธรรมเนียมแต่ก่อน อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็มีความชิงชังเปนอันมาก แล้วก็ให้ถอดลกข้องออกเสีย เห็นอาการฟั่นเฟือนอยู่แล้ว ก็บอกหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าสุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋น ขอกองทัพเร่งยกมาตีเอาเมืองกังตั๋ง

พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็เร่งกะเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพจะยกมา กาอุ้นกับขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลห้ามว่าให้งดกองทัพไว้ พระเจ้าสุมาเอี๋ยนเห็นชอบ จึงให้งดกองทัพอยู่ ครั้นเอียวเก๋าแจ้งว่า พระเจ้าสุมาเอี๋ยนมิได้ยกกองทัพมากระทำแก่เมืองกังตั๋งดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ ว่าเมืองกังตั๋งนี้เสียถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนหนึ่งจะได้โดยง่ายแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็มิได้ยกกองทัพมา คิดเสียดายนักมิรู้แล้วเลย ครั้นถึงปลายปีเอียวเก๋าป่วยลงก็ตาย

พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้เตาอี้เบนที่ตินหลำจงกุ๋น มาเปนนายทหารรักษาเมืองเกงจิ๋วแทน ครั้นตินหลำจงกุ๋นรู้ว่าลกข้องแลเตงฮองถึงแก่ความตายแล้ว พระเจ้าซุนโฮก็ประพฤติการฟั่นเฟือนเสพย์แต่สุราเปนนิตย์ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพิททูลห้ามปรามก็ให้ตัดปากจมูกเสีย ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎรก็ได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก จึงมีหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจะขอไปตีเมืองกังตั๋ง

พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ตั้งให้เตาอี้เปนที่ไตโต๋ก๊กคุมทหารสิบหมื่น เปนแม่ทัพยกออกมาเมืองกังเหลงแลให้ตีเอาเมืองกังตั๋ง แล้วให้สุมาเตี้ยมเจ้าเมืองหลงเสียคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางอิต๋ง ให้อองหุยคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางอัวกั๋ง ให้อ๋องหยงคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางบูเฉียง ให้ห่อหุนถือพลทหารห้าหมื่นยกไปทางแฮเค้ากำหนดให้อยู่ในบังคับบัญชาเตาอี้ สิ้นทุกหมวดทุกกอง จึงเกณฑ์ให้องโยยกับตงปีนคุมเรือสำหรับจะข้ามส่งทแกล้วทหารทั้งปวง ม้าใช้จึงรีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่พระเจ้าซุนโฮ ณ เมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนโฮจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวง

เตี๋ยวเค้าจึงทูลว่า ถ้าฉนั้นขอให้พระองค์แต่งกองทัพไปตั้งรับอยู่ ณ เมืองกังเหลงทางหนึ่ง ให้ซุนหลิมยกทหารกองหนึ่งไปตั้งรับทางเมืองแฮเค้า ตัวข้าพเจ้ากับสิมเอ๋งแลจูกัดเจงจะคุมทหารสิบหมื่น เปนแม่ทัพใหญ่ยกไปตั้งอยู่ตำบลเอียวจู๊คอยรับกองทัพเมืองไต้จิ๋น พระเจ้าซุนโฮเห็นชอบด้วย ก็ให้ยกทหารทั้งปวงไป

ครั้นพระเจ้าซุนโฮเสด็จกลับเข้าไปข้างใน ยิมหุนขันทีซึ่งเปนคนสนิธจึงทูลถามว่า ราชการครั้งนี้พระองค์จะคิดประการใด พระเจ้าซุนโฮจึงบอกว่า อันราชการทางบกนี้เรากะเกณฑ์พลทหารไปสกัดอยู่ทุกตำบลแล้ว ยังวิตกอยู่แต่กองทัพเรือซึ่งองโยยเปนแม่กองยกมานั้น ยังหาผู้ใดที่จะออกไปรับต้านทานมิได้ ยิมหุนจึงทูลว่า อันกองทัพเรือนั้นพระองค์จะปรารมภ์ไปไย ไว้พนักงานข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายตีให้แตกไปจงได้ พระเจ้าซุนโฮจึงถามว่าจะคิดเปนประการใด ยินหุนจึงทูลว่า ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอให้เอาเหล็กมาตีเปนสายโซ่สักห้าร้อยสาย ๆ ละห้าสิบวาขึงกั้นแม่น้ำเมืองกังตั๋งเสีย แล้วจะได้ปักขวากเหล็กไว้ใต้นํ้านอกสายโซ่ออกไป ถ้ากองทัพเรือยกมาก็จะโดนขวากเหล็กเข้าติดอยู่ เรือก็จะทลุล่มลงทแกล้วทหารก็จะล้มตายฉิบหายไปเอง พระเจ้าซุนโฮฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ช่างตีสายโซ่แลขวากเหล็กเปนอันมาก แล้วก็ให้ขึงปักไว้ที่ทางเลี้ยวแม่นํ้าเมืองกังตั๋งทุกตำบล

ฝ่ายเตาอี้คุมพลทหารรีบยกไปถึงตำบลเขาปาสันแต่ในเวลากลางคืน ก็ให้ซุ่มพลทหารไว้เปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้าม้าใช้เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ง่อเอี๋ยนซุนหลิม ๆ ก็ให้ยกพลทหารทั้งทางบกทางเรือเข้าโจมตีกองทัพเตาอี้เปนสามารถ แต่เวลาเช้าจนเที่ยงทหารล้มตายลงเปนอันมาก กองทัพเมืองไต้จิ๋นหนุนกันซํ้ามา กองทัพกังตั๋งน้อยตัวอิดโรยลง ง่อเอี๋ยนซุนหลิมเข้ารบตลุมบอนด้วยกองทัพเมืองไต้จิ๋นก็ถึงแก่ความตายในที่ รบ ทหารทั้งปวงสู้มิได้ก็แตกไป เตาอี้ได้ทีดังนี้ก็ยกทหารรีบตีหัวเมืองรายทางรวดขึ้นมา ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันออกมาคำนับสิ้นทุกหัวเมือง เตาอี้จึงกำชับทหารมิให้ทำอันตรายไพร่บ้านพลเมืองเปนอันขาดทีเดียว แล้วก็ให้กะเกณฑ์พลทหารพร้อมไว้ทุกหมวดทุกกอง จะได้ยกเข้าไปตีเมืองกังตั๋ง

ฝ่ายเรือใช้ซึ่งเข้ามาสอดแนมตามลำน้ำ เห็นสายโซ่แลขวากเหล็กก็กลับออกไปบอกองโยย ๆ จึงให้ทหารตัดไม้ทำแพเปนอันมากแล้ว ให้เอาดินถมหลังแพเสียจึงตั้งเตาชักสูบบนหลังแพ แล้วให้ใช้ใบเข้ามาตามลำคลอง แลเรือรบนั้นค่อยตามมาข้างหลัง ครั้นแพใช้ใบเข้ามาติดขวากอยู่คลื่นพัดแพโคลงก็ถอนขวากเหล็กหลุดขึ้นสิ้น แพก็เลื่อนเข้าไปถึงสายโซ่ กองเพลิงบนหลังแพนั้นก็เผาสายโซ่เข้า ทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในเรือรบเห็นสายโซ่แดงแล้วก็ชวนกันเข้าตัดในทันใด เรือรบก็เลื่อนเข้าไปตามลำคลองได้ ทหารเมืองกังตั๋งซึ่งรักษาหน้าที่นั้นก็แตกตื่นหนีไปสิ้น ทหารเมืองไต้จิ๋นได้ทีก็ไล่ฟันเปนอลหม่าน สิมเอ๋งจูกัดเจงเตียวเข้าก็ถึงแก่ความตายสิ้นทั้งสามคน เตาอี้แลองโยยได้ทีก็ให้ยกทหารเข้าล้อมเมืองกังตั๋งไว้

พระเจ้าซุนโฮขึ้นทอดพระเนตรดูบนกำแพง เห็นทหารเมืองไต้จิ๋นเข้าล้อมเมืองไว้เปนสามารถ ทหารทั้งปวงก็พ่ายแพ้หนีไปมิต่อสู้ ก็สลดพระทัยลง ชักกระบี่ออกจะเชือดฅอตาย ขุนนางทั้งปวงจึงมาห้ามยึดเอากระบี่ไว้แล้วทูลว่า พระองค์ประหารชีวิตเสียนั้นหาประโยชน์มิได้ เปนสำหรับประเพณีแผ่นดินแล้ว ขอให้พระองค์นบนอบเหมือนกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามขนบธรรมเนียมเถิด

พระเจ้าซุนโฮก็เห็นชอบด้วย จึงเปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้านพาขุนนางทั้งปวงออกไปคำนับองโยย แล้วเอาบาญชีพลเมืองแลบาญชีสิ่งของในท้องพระคลังมอบให้กับองโยยทุกประการ องโยยก็มีความยินดีรับเอาสิ่งของทั้งปวงไว้ ก็ป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้อยู่ตามภูมิลำเนาทุกตำบล ห้ามทหารทั้งปวงมิให้ทำยํ่ายีแก่ไพร่บ้านพลเมืองเปนอันขาด แล้วตั้งให้เตาอี้อยู่ว่าราชการ ณ เมืองกังตั๋ง จึงพาเอาพระเจ้าซุนโฮแลขุนนางทั้งปวงมาเฝ้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋น

พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าซุนโฮเข้ามาคำนับแล้วซบพระพักตร์ อยู่ จึงตรัสสัพยอกว่าที่อันนี้เราแต่งไว้ท่าท่านช้านานอยู่แล้ว พระเจ้าซุนโฮจึงทูลว่า ข้าพเจ้าอยู่เมืองกังตั๋งนั้นก็ได้แต่งที่ไว้คำนับพระองค์เหมือนหนึ่งฉนี้ก็ ช้านานหลายปี เหมือนหนึ่งพระองค์แต่งไว้ท่าข้าพเจ้า พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแลพระเจ้าซุนโฮถ้อยทีตรัสสัพยอกฉนั้นแล้ว ต่างองค์ก็ทรงพระสรวลชื่นชมยินดีด้วยกัน แล้วให้แต่งโต๊ะมาเลี้ยงตามประเพณี

ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นกาอุ้นจึงถามพระเจ้าซุนโฮว่า เมื่อท่านอยู่ในเมืองกังตั๋งนั้น ได้ยินลือมาว่าตัดจมูกตัดปากควักลูกตาขุนนางเสียด้วยเหตุอันใด พระเจ้าซุนโฮจึงตวาดแล้วว่าตัวเราเปนเจ้า ขุนนางทั้งปวงมิได้ตั้งอยู่ในบังคับบัญชา ทำลเมิดจากขนบธรรมเนียมผิดคนจึงทำโทษ เหตุไรท่านมาถามฉนี้จะใคร่แจ้งการอันใด กาอุ้นได้ฟังดังนั้นก็อัปยศแก่ใจก็นิ่งอยู่

ขณะนั้นพระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้พระเจ้าซุนโฮเปนที่อุ้ยเบ้งเฮา บันดาขุนนางซึ่งตามมาด้วยนั้นก็ตั้งแต่งให้เปนที่ตามฐานาศักดิ์ จึงพระราชทานรางวัลปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงซึ่งไปทำการได้ชัยชนะมา โดยสมควรตามชอบทุกประการ (พ.ศ. ๘๒๓)

แลเรื่องราวสามก๊กนี้เปนธรรมดาแผ่นดินมีความสุขก็นานแล้ว ก็ได้ความเดือดร้อนแล้วก็ได้ความสุขเล่า แลกระจายกันออกเปนแว่นแคว้นแดนประเทศของตัวแล้วก็กลับรวมเข้า แยกออกเปนสามก๊ก แล้วก็รวมเข้าเปนก๊กเดียวกัน ชื่อว่าเมืองไต้จิ๋น นับมาตามลำดับกษัตริย์ภายหลังนั้น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนเสวยราชย์ได้สองปี พระเจ้าโจฮวนก็ถึงแก่ความตาย ครั้นถ้วนกำหนดสี่ปีพระเจ้าซุนโฮก็ถึงแก่ความตาย ครั้นเสวยราชย์ได้เจ็ดปี พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ถึงแก่ความตาย โดยบรรยายเรื่องราวสามก๊กนี้ก็บริบูรณ์


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 87

https://drive.google.com/file/d/1mgliGgvciiDB1fpq4OsjHsLnoI6O8L--/view



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.3 seconds with 19 queries.