Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
16 May 2024, 18:37:38

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,684 Posts in 12,491 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง  |  สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 11 - 20
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 11 - 20  (Read 319 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« on: 21 December 2021, 20:59:31 »

สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 11 - 20


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 11
  สามก๊กวิทยา  01 กุมภาพันธ์ 2560


https://www.samkok911.com/p/three-kingdoms-ebook.html





สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) PDF


Download สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน)

    รวม Link สำหรับอ่านและ Download หนังสือสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) แต่ละตอน โดยท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์หนังสือ eBook (ไฟล์ Pdf) ในช่วงท้ายของแต่ละตอนครับ



https://play.google.com/store/books/details?id=6vI4EAAAQBAJ

...............

https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-11.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 11

เนื้อหา
เอียวปิวคิดกลอุบายให้ลิฉุย กุยกีรบกัน
ลิฉุย กุยกีแย่งกันคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้
พระเจ้าเหี้ยนเต้หนีลิฉุย กุยกี
พระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง

ฝ่าย โจโฉครั้นรบได้เมืองฝ่ายตวันออกคืนแล้ว จึงบอกหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนใจความว่า ข้าพเจ้าโจโฉปราบปรามข้าศึกแลโจรฝ่ายหัวเมืองตวันออกคาบแล้ว

ฝ่ายลิฉุยกุยกีปิดเสีย หาเอาหนังสือกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่ คิดแต่งตอบไปเองเปนหนังสือรับสั่งว่า โจโฉมีความชอบให้เลื่อนที่เปนเกียนเต๊กจงกุ๋น ภาษาไทยว่าเจ้าพระยาจำเริญอายุ ขณะนั้นลิฉุยอยู่ในเมืองหลวงตั้งตัวเปนผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร กุยกีนั้นเปนใหญ่ฝ่ายพลเรือน ทั้งสองคนนี้มีใจกำเริบขึ้น มิได้เกรงพระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวง ทำการหยาบช้าต่าง ๆ เหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ

แลเอียวปิวกับจูฮีเปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหลวง เห็นลิฉุยกุยกีทำการหยาบช้า จึงเอาเนื้อความลอบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ทุกวันนี้ลิฉุยกุยกีตั้งตัวเปนใหญ่ ว่าราชการมิได้อยู่ในยุติธรรม ทำการหยาบช้าต่อพระองค์ ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉมีสติปัญญากล้าหาญ แล้วมีทหารอยู่ประมาณสามสิบหมื่น ทั้งทหารมีฝีมือก็เปนอันมาก บัดนี้เปนใหญ่อยู่ฝ่ายหัวเมืองตวันออก ถ้าได้โจโฉเข้ามาทำราชการในเมืองหลวงเห็นจะปราบปรามเหล่าศัตรูราชสมบัติได้ บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเปนสุขสืบไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบดังนั้นก็ทรงพระกรรแสง แล้วตรัสว่าทุกวันนี้เรามีความทุกข์เปนอันมาก แต่ออกปากมิได้ ถ้าได้ผู้มีสติปัญญากล้าหาญมาล้างศัตรูเราเสียได้ เราจึงจะมีความสบาย

เอียวปิวจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบาลให้ลิฉุยกุยกีเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกันตาย แล้วจึงจะให้มีหนังสือรับสั่งไปหาโจโฉยกทหารเข้ามา จะได้ล้างพรรคพวกเหล่าร้ายเสียให้สิ้น พระองค์ก็จะมีความสุขสืบไป พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสถามเอียวปิวว่า จะคิดอ่านเปนประการใด เอียวปิวจึงกราบทูลว่า ภรรยากุยกีนั้นมีใจหวงหึงส์เปนอันมาก ข้าพเจ้าจะแต่งหญิงไปยุยงภรรยากุยกี ให้เกิดความสงสัยกันขึ้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ค่อยมีความยินดี จึงทรงพระอักษรซึ่งจะให้หาโจโฉนั้น มอบให้เอียวปิวไว้ แล้วตรัสสั่งว่า ถ้าเกิดเหตุขึ้นเมื่อใด ท่านจงให้ทหารเอาหนังสือนี้ไปให้โจโฉ

เอียวปิวรับหนังสือแล้วกราบถวายบังคมลา พาจูฮีกลับมาบ้าน เอียวปิวจึงสั่งภรรยาถี่ถ้วนแล้ว ให้ไปเยี่ยมภรรยากุยกี ภรรยาเอียวปิวจึงไปคำนับภรรยากุยกีแล้วว่า ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่ากุยกีไปลอบรักใคร่กับภรรยาลิฉุย เนื้อความทั้งนี้ถ้าลิฉุยรู้ เห็นจะทำร้ายแก่กุยกี ท่านจงคิดอ่านห้ามปรามผัวท่านเสีย อย่าให้ทำการสืบไป ซึ่งข้าพเจ้าบอกทั้งนี้เพราะมีใจเอนดูท่าน ภรรยากุยกีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่ากุยกีไปหาลิฉุยเปนอัตรา ลางทีไปนอนค้างบ้าง เราคิดว่าเปนเพื่อนราชการรักกันกับลิฉุย ซึ่งกุยกีไปทำการรักใคร่ภรรยาลิฉุยเรามิได้รู้ หากท่านมีน้ำใจเมตตามาบอกนั้นขอบใจนัก แต่นี้เราจะห้ามมิให้กุยกีไป ณ บ้านลิฉุยเลย ภรรยาเอียวปิ๋วก็ลาไป

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ลิฉุยให้คนไปเชิญกุยกีมากินโต๊ะ ภรรยากุยกีรู้จึงอ้อนวอนห้ามว่า ซึ่งท่านจะไปเสพย์สุราบ้านลิฉุยนั้น ท่านกับลิฉุยแก่งแย่งกัน ต่างคนต่างถือตัวว่าเปนใหญ่ เกลือกท่านเสพย์สุราเมา ลิฉุยจะเอายาพิษให้ท่านกิน ท่านก็จะถึงแก่ความตาย ตัวข้าพเจ้าเปนผู้หญิงจะบ่ายหน้าไปพึ่งผู้ใดได้ กุยกีได้ฟังดังนั้นก็มิได้ไป ลิฉุยคอยอยู่จนเวลาเย็นมิได้เห็นกุยกีมา จึงให้คนเอาโต๊ะไปให้ถึงบ้าน กุยกีนอนอยู่ ภรรยานั้นออกมารับโต๊ะไว้ จึงเอายาพิษลอบใส่ลงไว้ในของทั้งปวง ครั้นกุยกีตื่นขึ้นคนใช้ในเรือนจึงยกโต๊ะไปให้กุยกี แล้วบอกว่าลิฉุยให้เอาโต๊ะนี้มาให้ ภรรยานั้นจึงห้ามกุยกีว่า ของนี้ท่านอย่าเพ่อกิน จงชันสูตร์ดูก่อน แล้วเอาโยนให้สุนัขกินสุนัขก็ตาย กุยกีเห็นดังนั้นก็คิดสงสัยอยู่

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งออกจากเฝ้า ลิฉุยจึงเชิญกุยกีไปปรึกษาราชการ ณ บ้าน แล้วลิฉุยจึงชวนกุยกีกินโต๊ะ กุยกีนั้นเคลิ้มไปจึงกินโต๊ะแล้วก็ลากลับไป ครั้นกุยกีมาถึงบ้านพอบังเกิดให้ปวดท้อง ภรรยาจึงถามว่า เมื่อเวลาท่านออกจากเฝ้านั้นท่านไปไหน กุยกีจึงบอกว่าไปปรึกษาราชการบ้านลิฉุย ๆ นั้นให้กินโต๊ะ ภรรยานั้นทำตกใจแล้วว่า ข้าพเจ้าเห็นประจักษ์อยู่แล้วยังขืนไปกินโต๊ะที่บ้านลิฉุย เขามิใส่ยาพิษลงแล้วหรือ ภรรยานั้นจึงเอาอาจมมาละลายน้ำตรอกกุยกีเข้าไป กุยกีก็อาเจียนออกมา ที่ปวดท้องก็คลาย กุยกีจึงคิดโกรธลิฉุย ว่าเสียแรงเราได้ร่วมคิดจะทำการใหญ่ด้วยกัน แลลิฉุยมิได้ซื่อต่อเราคิดร้ายเราก่อน เราจำจะคิดฆ่ามันเสียให้ได้ แล้วก็จัดแจงทหารจะยกไปล้อมบ้านลิฉุย

ขณะนั้นมีผู้เอาเนื้อความมาบอกแก่ลิฉุยว่า กุยกีจะยกมาทำร้าย ลิฉุยจึงว่าเราหาความผิดมิได้ กุยกีบังอาจคิดจะมาทำร้ายแก่เรา ๆ จะละไว้มิได้ จำจะยกไปจับกุยกีฆ่าเสียให้ได้ก่อน แล้วก็กะเกณฑ์ทหารยกไปพบทัพกุยกียกมาทางริมทางกำแพงเมือง ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ แลทหารทั้งสองฝ่ายนั้น ก็ช่วงชิงทรัพย์สิ่งสินของอาณาประชาราษฎร

ฝ่ายลิฉุยจึงให้ลิเซียมผู้เปนหลานคุมทหารไปล้อมวังไว้ ลิเซียมจึงให้กาเซี่ยงเอารถเข้าไปสองรถ เชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ขึ้นรถหนึ่ง ให้นางฮกเฮาซึ่งเปนพระมเหษีขึ้นรถหนึ่ง แล้วต้อนขันทีแลนักสนมทั้งปวงกับรถนั้นออกประตูท้ายสนม ขณะนั้นลิฉุยกุยกีซึ่งรบกันอยู่ต่างคนต่างเลิกทัพกลับไป กุยกีนั้นก็มาพบลิเซียมกับกาเซี่ยงคุมทหารพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้แลพระสนม ทั้งปวงออกมาจากพระราชวัง กุยกีจึงให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ระดมไปถูกทหารลิเซียมแลนักสนมล้มตายเปนอันมาก

ฝ่ายลิฉุยรู้ดังนั้นก็ยกทหารรีบตีวกหลังทหารกุยกีมา กุยกีต้านทานมิได้ ก็พาทหารทั้งปวงบากหนีออกไป ลิฉุยจึงพาพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระสนมไปตั้งชุมนุมอยู่นอกวัง

ฝ่ายกุยกียกทหารกลับเข้าไปในวัง เก็บเอาทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลัง แลจับนักสนมซึ่งซุ่มซ่อนอยู่นั้นมาไว้ แล้วให้เอาเพลิงจุดเผาวังเสียสิ้น ครั้นเวลารุ่งขึ้นเช้ากุยกีรู้ว่าลิฉุยพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งชุมนุมอยู่ นอกพระราชวัง จึงยกทหารมาถึงหน้าทัพลิฉุย จะรบชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้

ลิฉุยก็ยกทหารออกมารบด้วยกุยกี ๆ ต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยไปตั้งชุมนุมอยู่ ลิฉุยเห็นกุยกีถอยไป จึงให้เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับขันทีแลพระสนมไปไว้ ณ เมืองซึ่งตั๋งโต๊ะ สร้าง แล้วกำชับลิเซียมให้ดูแลอย่าให้ผู้ใดเอาเข้าปลาอาหารให้ขันทีแลสนมทั้งนั้น กินเปนอันขาดทีเดียว พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นข้าไทยทั้งปวงอดหยากก็มีความสงสาร จึงให้ขันทีขอเข้ากับเนื้อโคแก่ลิฉุย ๆ โกรธว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยอยู่ทุกเวลา เปนไฉนจึงให้มาขออาหาร จะเอาไปให้ผู้ใดกินเล่าก็มิได้ขัด ลิฉุยจึงเอาเข้าซึ่งผุราเนื้อโคเน่าให้ขันทีไปถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นดังนั้นก็ทรงพระโกรธ แล้วตรัสว่าอ้ายศัตรูมันดูหมิ่นหยาบช้าแก่กู

พอเอียวปิวลอบเข้าไปเฝ้าจึงกราบทูลห้ามว่า ลิฉุยนั้นมีใจหยาบช้าครั้งนี้พระองค์อยู่ในบังคับมัน จงอดพระทัยเอาเถิด พระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้ตอบประการใด ก็ทรงพระกรรแสงจนฉลองพระองค์นั้นชุ่มไปด้วยน้ำพระเนตร

ในขณะนั้นมีคนลอบเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า มีทัพยกมาจะรับเสด็จ พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ขันทีลอบออกไปฟังดูรู้ว่ากุยกียกมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระดำริห์ว่า กุยกีเห็นจะมาทำอันตรายแก่เราด้วย แล้วก็ยิ่งทรงพระกรรแสงไป พอได้ยินเสียงนอกกำแพงโห่ร้องอื้ออึงขึ้น ลิฉุยรู้ว่ากุยกียกมาก็จัดแจงทหารออกไป จึงเอาแซ่ม้าชี้หน้ากุยกีแล้วร้องด่าว่า กูเลี้ยงมึงก็เต็มกองเปนไฉนจึงทรยศมาคิดร้ายต่อกู กุยกีจึงตอบว่า ตัวมึงเปนศัตรูราชสมบัติ กูจึงจะคิดฆ่ามึงเสีย ลิฉุยจึงว่ากูเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกมารักษาไว้ เหตุไฉนมึงจึงว่าเปนศัตรูราชสมบัติ กุยกีจึงตอบว่า มึงให้หลานเข้าไปหักหาญพาเสด็จออกมาหวังจะทำอันตรายพระองค์เสีย ครั้นกูยกตามมามึงแก้ว่าพามารักษาไว้ ลิฉุยโกรธจึงว่า อย่าให้ร้อนถึงทหารทั้งปวงเลย แต่มึงกับกูมาสู้กัน ถ้ามึงชนะก็จงพาเสด็จไปเถิด แล้วลิฉุยก็ขับม้าออกไปรบกับกุยกีได้สิบเพลงยังมิทันแพ้ชนะกัน

ฝ่ายเอียวปิวรู้ว่าวุ่นวายใหญ่หลวงผิดกับซึ่งคิดไว้ดังนั้น จึงพาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประมาณหกสิบคนรีบไป เห็นลิฉุยกุยกีรบกันอยู่ เอียวปิวจึงร้องห้ามว่า ท่านทั้งสองอย่ารบกัน ข้าพเจ้ากับขุนนางทั้งปวงมาห้าม ให้ท่านทั้งสองปรกติกันสืบไป ลิฉุยกุยกีได้ฟังดังนั้น ต่างคนต่างก็พาทหารกลับไป เอียวปิวพาขุนนางทั้งปวงไปตามห้ามกุยกี ๆ เห็นขุนนางทั้งปวงมา ก็สั่งทหารให้เอาตัวขุนนางเหล่านี้ไปจำคุกไว้ ขุนนางทั้งปวงจึงตอบว่าเราหาผิดมิได้ เรามาหวังจะห้ามท่านมิให้รบกัน เปนไฉนท่านจึงจะให้เอาไปใส่คุกเสีย กุยกีจึงตอบว่าลิฉุยนั้นพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้แลพระสนมไปขังไว้ เราจึงจะให้เอาท่านทั้งปวงไปจำไว้บ้าง

เอียวปิวจึงตอบว่า ฝ่ายลิฉุยจับพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปไว้ ฝ่ายท่านให้จับขุนนางไปจำไว้ฉนี้ ท่านจะคิดประการใดหรือ กุยกีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกจะฟันเอียวปิว พอเอียวปิดซึ่งเปนทหารกุยกีห้ามไว้ กุยกีจึงให้ปล่อยเอียวปิวกับจูฮีเสีย ให้เอาขุนนางทั้งปวงจำไว้

เอียวปิวกัยจูฮีเดิรมากลางทาง เอียวปิวจึงปรึกษากัยจูฮีว่า เราเปนขุนนางพระมหากษัตริย์ชุบเลี้ยงอยู่ในแผ่นดิน ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระทุกข์ทรมานอยู่ เราจะละเสียก็เปนคนหากตัญญูไม่ จำเราจะคิดทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้พระองค์อยู่เย็นเปนสุขจึงจะควร แล้วกอดฅอกันร้องไห้จนล้มลงในที่นั้น ครั้นฟื้นขึ้นต่างคนต่างกลับไปบ้าน จูฮีนั้นเปนไข้ใจตาย

ฝ่ายลิฉุยกุยกีตั้งรบกันทุกวันมิได้ขาด ประมาณสองเดือน ทหารทั้งปวงสองฝ่ายล้มตายเปนอันมาก แลลิฉุยเมื่ออยู่ในค่ายนั้น เชื่อถือคำออมดออท้าว กาเซี่ยงห้ามเปนหลายครั้งว่า อย่าให้ท่านเชื่อฟังคนจำพวกนี้ ลิฉุยก็มิฟัง จะทำการสิ่งใดก็ให้ลงออท้าวทุกครั้ง

เอียวกีขุนนางรู้ว่าลิฉุยทำดังนั้น ก็ลอบเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า กาเซี่ยงเปนที่ปรึกษาลิฉุย กาเซี่ยงจะว่าประการใดลิฉุยมิได้ทำตาม เห็นกาเซี่ยงนั้นจะมีน้ำใจสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อยู่ ขอให้กาเซี่ยงมาเฝ้า แล้วตรัสปรึกษาราชการด้วย พอกาเซี่ยงเข้ามาเฝ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงให้ขับขันทีออกไปเสียภายนอก แล้วทรงพระกรรแสงตรัสแก่กาเซี่ยงว่า ครั้งนี้เราได้ความทุกข์เวทนานัก ท่านจงมีใจภักดีต่อแผ่นดินช่วยเอาชีวิตเราไว้ให้รอดด้วย

กาเซี่ยงกราบถวายบังคมแล้วทูลว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าคิดจะทำราชการสนองพระคุณอยู่ พระองค์อย่าเพ่อตรัสให้เนื้อความแพร่งพรายก่อน ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาคิดการให้สำเร็จ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็คลายพระทัย พอลิฉุยเดิรถือกระบี่เข้าไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตกพระทัย

ลิฉุยจึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า กุยกีนั้นคิดขบถต่อพระองค์ มันจึงจับเอาขุนนางทั้งปวงไปจำไว้ แล้วมันจะมาจับเอาพระองค์ไป หากว่าข้าพเจ้าเชิญเสด็จมาไว้ พระองค์จึงพ้นภัย พระเจ้าเหี้ยนเต้คิดว่าจริง จึงคำนับลิฉุยแล้วตรัสว่า ซึ่งท่านทำดังนี้ขอบคุณท่านหาที่สุดมิได้ ลิฉุยก็ลาพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับไป

ขณะนั้นฮองหูเหียบเข้ามาเฝ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบว่าฮองหูเหียบมีสติปัญญา แล้วเปนชาวบ้านเดียวกับลิฉุย จึงทรงอักษรให้ไปห้ามลิฉุยกุยกี อย่าให้มีพยาบาทรบพุ่งกันสืบไป ฮองหูเหียบรับเอาพระอักษรแล้วเอาไปให้กุยกี ณ ค่าย กุยกีเห็นพระอักษรพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วจึงว่าลิฉุยปล่อยพระเจ้าเหี้ยนเต้ เสีย แล้วเราก็จะปล่อยขุนนางทั้งปวงเสียบ้าง เรากับลิฉุยก็จะปรกติกันสืบไป

ฮวงหูเหียบได้ฟังดังนั้นก็กลับมา ณ ค่าย จึงว่าแก่ลิฉุยว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นว่าข้าพเจ้ากับท่านเปนชาวบ้านเดียวกัน จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือรับสั่งมาห้ามท่านกับกุยกีอย่าให้รบพุ่งกัน กุยกีนั้นก็ฟังรับสั่งแล้ว ฝ่ายท่านจะว่าประการใด ลิฉุยจึงตอบว่าเราได้ทำนุบำรุงมาถึงสี่ปีแล้ว ความชอบก็มีอยู่เปนอันมาก กุยกีนั้นเปนแต่ผู้ร้ายลักม้า มาได้ดีขึ้น ครั้งนี้บังอาจถือตัวว่าเปนใหญ่ เอาขุนนางทั้งปวงไปจำไว้ แล้วจะทำลายแก่เรา ๆ จะฆ่ามันเสียให้จงได้

ฮองหูเหียบจึงตอบว่า ครั้งตั๋งโต๊ะได้เปนใหญ่นั้นเสียทหาร แลลิโป้มิได้มีความกตัญญูฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย ทุกวันนี้บ้านเมืองยังมิปรกติ ท่านอย่าเพ่อถือตัวว่าเปนใหญ่ก่อนเลย ประการหนึ่งญาติพี่น้องท่านก็ได้เปนขุนนางมา ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ชุบเลี้ยงท่านเปนใหญ่ถึงขนาด เปนไฉนท่านจึงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปกักขังไว้ กุยกีเห็นท่านทำดังนั้นจึงจับเอาขุนนางทั้งปวงไปจำเสียบ้าง ท่านทั้งสองฝ่ายเปนผู้ทำนุบำรุงแผ่นดิน เมื่อทำดังนี้เห็นไม่ชอบ จะเห็นข้างผู้ใดผิดจงพิเคราะห์ดูให้สมควร

ลิฉุยได้ฟังดั้งนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกแล้วตวาดว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ใช้ตัวให้มาขู่กระโชกเราหรือ ตัวจึงว่าดังนี้ เราจะตัดสีสะตัวเสีย เอียวฮองเห็นดังนั้นจึงห้ามว่า การกุยกีรบกับท่านยังมิสำเร็จ ซึ่งจะฆ่าฮองหูเหียบผู้ถือรับสั่งเสียก็ไม่ควร ถ้ารู้ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงก็จะยกมาช่วยกุยกีทำร้ายท่าน แลกาเซี่ยงก็เข้าห้ามปรามลิฉุยด้วย ลิฉุยก็มิได้ฆ่าฮองหูเหียบ แลกาเซี่ยงก็พาฮองหูเหียบออกไปภายนอก ฮองหูเหียบจึงร้องประกาศว่า ลิฉุยทำการหยาบช้ารับสั่งให้มาว่าก็มิฟัง คิดทำทั้งนี้จะเปนขบถชิงเอาราชสมบัติ

โอเมาได้ยินดังนั้นจึงห้ามว่า ท่านอย่าว่าดังนี้อันตรายจะมาถึงตัวท่าน ฮองหูเหียบมิฟังจึงร้องตวาดแล้วว่า ตัวเปนขุนนาง พระเจ้าเหี้ยนเต้ชุบเลี้ยงให้กินเบี้ยหวัด บัดนี้พระองค์ได้ทุกข์ทรมาน เราผู้เปนข้ามิได้เสียดายชีวิตจะคิดสนองพระคุณ จึงมาว่ากล่าวดังนี้ ตัวท่านหากตัญญูมิได้ แล้วซ้ำห้ามดังนี้ตัวเปนพวกอ้ายขบถหรือ แล้วฮองหูเหียบร้องด่าลิฉุยเปนข้อหยาบช้า

พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบดังนั้น จึงให้หาตัวฮองหูเหียบมาแล้วตรัสว่า ท่านจะอยู่ในเมืองหลวงนี้อันตรายจะพึงมี ท่านจงไปอยู่เมืองซีหลงให้พ้นภัยเถิด ฮองหูเหียบได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็กราบถวายบังคมลา แล้วว่ากล่าวชักชวนทหารลิฉุยซึ่งเปนชาวเมืองซีหลงว่า ลิฉุยทำการทั้งนี้มิได้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ท่านทั้งปวงอย่าได้คิดเปนใจด้วย อันตรายจะมีมาถึงตัวต่าง ๆ ทหารทั้งปวงได้ยินฮองหูเหียบว่าดังนั้นก็สดุ้งตกใจ ต่างคนต่างหนีออกจากลิฉุยเปนอันมาก

ขณะนั้นลิฉุยรู้ จึงสั่งให้อ่องเฉียงคุมทหารไปตามจับฮองหูเหียบมาให้ได้ อ่องเฉียงตามไปถึงกลางทางจึงคิดว่า ฮองหูเหียบเปนคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินอยู่ จะตามไปได้ตัวมาลิฉุยก็จะให้ฆ่าเสีย ความร้ายก็จะอยู่แก่เรา อ่องเฉียงก็กลับมาบอกแก่ลิฉุยว่า ข้าพเจ้าไปตามก็มิได้พบ ลิฉุยก็มิได้ว่าประการใด

ฝ่ายกาเซี่ยงจึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ลิฉุยทำร้ายหยาบช้าครั้งนี้ทหารทั้งปวงเอาใจออกหาก แตกตื่นออกจากลิฉุยเปนอันมาก ขอให้มีรับสั่งเอาใจตั้งให้ลิฉุยเปนมหาอุปราช ข้าพเจ้าจะได้คิดการต่อไป พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นชอบด้วย จึงตั้งให้ลิฉุยเปนมหาอุปราช ลิฉุยนั้นมีความยินดีจึงว่า เราได้เลื่อนที่ครั้งนี้เพราะออมดออท้าวช่วย จึงเอาเงินทองเสื้อผ้าให้แก่ออมดออท้าวเปนอันมาก แลทหารทั้งปวงนั้นลิฉุยจะได้ให้สิ่งใดหามิได้

เอียวฮองเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงวาแก่ซองโกว่า เราเปนทหารลิฉุยได้ทำการรบพุ่งมาเปนอันมาก ลิฉุยจะได้ให้บำเหน็จสิ่งใดหามิได้ ให้ปันแก่ออมดออท้าวเปนอันมาก

ซองโกจึงตอบว่า เราก็มีความน้อยใจอยู่ เราจะคิดฆ่าลิฉุยเสีย เราจะเข้าทำราชการอยู่ด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้เอาความชอบดีกว่า เอียวฮองเห็นชอบด้วย จึงว่าเราจะออกไปควบคุมซ่องสุมทหารทั้งปวงให้ได้มาก เวลาสามยามวันนี้ท่านอยู่ข้างในจงเอาเพลิงจุดเผาค่ายขึ้น เราจึงจะยกทหารตีเอาไปจับลิฉุยฆ่าเสีย ซองโกยอมด้วย เอียวฮองก็ออกไปซ่องสุมทหารอยู่นอกค่าย ทหารคนหนึ่งรู้เนื้อความ จึงให้ไปบอกลิฉุยตามเอียวฮองกับซองโกคิดกัน ลิฉุยจึงให้จับเอาตัวซองโกไปฆ่าเสีย

ฝ่ายเอียวฮองซ่องสุมทหารได้ คอยอยู่ถึงสามยามเศษ มิได้เห็นแสงเพลิงในค่าย จึงให้ทหารทั้งปวงสงบอยู่

ฝ่ายลิฉุยยกทหารออกมาจากค่าย พบกองทัพเอียวฮองได้รบพุ่งกันทหารทั้งสองฝ่ายล้มตาย เอียวฮองเห็นต้านทานมิได้ ก็พาทหารที่เหลือนั้นหนีออกจากเมืองไปข้างทิศตวันตก ฝ่ายกุยกีนั้นยกทหารมารบกับลิฉุยทุกวันมิได้ขาด ทหารลิฉุยล้มตายบ้าง แตกตื่นเบาบางไปเปนอันมาก

ขณะนั้นพอม้าใช้มาบอกกับลิฉุยว่า เตียวเจยกทหารมากองหนึ่งข้างทิศตวันตก แล้วร้องประกาศว่า จะมาห้ามท่านมิให้รบกันกับกุยกี ถ้าผู้ใดมิฟังเตียวเจจะทำศึกด้วยผู้นั้น ลิฉุยจึงคิดว่าทหารเราก็เบาบางแล้ว ซึ่งจะทำศึกไปกับกุยกีนั้นเห็นจะขัดสน เตียวเจมาห้ามนั้นก็สมควรคิดเรา แต่เราจะทำไมตรีไว้ให้เตียวเจเห็นว่าเราฟังคำห้าม แล้วก็แต่งทหารออกไปรับ ว่าเราได้ยินกิตติศัพท์ว่าเดิมเตียวเจจะมาห้ามมิให้รบพุ่งกันกับกุยกีนั้น เราเห็นแก่หน้าเตียวเจเราจึงฟังคำ

ฝ่ายกุยกีรู้จึงให้ทหารออกไปว่าแก่เตียวเจว่า ซึ่งท่านยกมาห้ามมิให้รบพุ่งกันกับลิฉุยนั้น เราก็จะฟังคำแล้ว เตียวเจก็มีความยินดีจึงให้ตั้งทัพอยู่ แล้วแต่งหนังสือไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้าเตียวเจได้มาห้ามปรามลิฉุยกุยกี ทั้งสองฝ่ายก็ยอมไม่รบกันแล้ว ข้าพเจ้าขอเชิญเสด็จพระองค์ไปอยู่ ณ เมืองฮองหลง ซึ่งเปนหน้าด่านเมืองเตียงฮัน

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความยินดีจึงตรัสว่า ครั้งตั๋งโต๊ะเราก็จากเมืองลกเอี๋ยงมาอยู่เมืองเตียงฮัน ครั้งนี้รื้อมาอยู่เมืองซึ่งตั๋งโต๊ะสร้างไว้ เราหาความสุขมิได้ บัดนี้เตียวเจจะให้ไปอยู่เมืองฮองหลง เห็นจะค่อยมีความสบายเพราะบุญของเรา จึงสั่งให้เตียวเจเปนเพียวกี๋จงกุ๋น แปลภาษาไทยว่านายทหารผู้ใหญ่ เตียวเจได้เลื่อนที่ก็มีความยินดี จึงจัดแจงเข้าปลาอาหารสิ่งของตระการเข้าไปถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงพระราชทานให้ข้าไทยทั้งปวงซึ่งอดอยาก

กุยกีรู้ดังนั้นก็ปล่อยขุนนางที่จำไว้มาถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางทั้งปวงจึงให้จัดแจงทหารเครื่องแห่แหน แล้วเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหษีขึ้นรถ ผ่านเมืองสินหลงไปถึงสะพานแม่น้ำป่าเหล็ง พอได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง แล้วยกทหารมาสกัดอยู่บนสะพาน นายทัพนั้นร้องถามว่า ซึ่งยกมานี้จะไปไหน

ฝ่ายเอียวกีขับม้าขึ้นบนสะพานแล้วร้องตอบว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมา ซึ่งคุมทหารขึ้นสกัดบนสะพานนั้นชื่อใดจึงมิได้ถวายบังคม ทหารเอกสองคนจึงตอบว่า กุยกีให้เรามารักษาทางนี้ไว้ หวังมิให้ผู้ใดไปช่วยลิฉุย ซึ่งทางว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมานั้นจงให้เราเห็นสำคัญก่อน เราจะถวายบังคมเปิดทางให้เสด็จไป เอียวกีจึงให้ทหารเร่งชักรถทรงนั้นขึ้นมาถึงเชิงสะพาน พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เปิดมู่ลี่ขึ้นแล้วตรัสว่า เร่งยกทหารถอยไปให้พ้นทาง ทหารทั้งปวงเห็นประจักษ์ก็ถวายบังคม แล้วถอยลงไปจากสะพาน พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เสด็จข้ามสะพานไป

ฝ่ายนายทหารทั้งสองคนก็กลับไปบอกกุยกีว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงสะพานแม่น้ำป่าเหล็ง กุยกีได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งเราฟังเตียวเจแต่ปาก เราจึงให้ยกทหารไปสกัดจับเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะขังไว้ในเมืองตั๋งโต๊ะสร้างใหม่ เปนไฉนมิได้ทำตามคำเรา จึงให้เอาทหารทั้งสองไปฆ่าเสีย กุยกีก็ยกทหารตามไป พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเสด็จไปถึงเมืองฮัวหิม พอได้ยินเสียงทหารโห่ร้องตามมาข้างหลังแล้วร้องว่า ขุนนางทั้งปวงอย่าเพ่อพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไป ให้หยุดอยู่ก่อน

พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดั้งนั้นก็ทรงพระกรรแสง แล้วตรัสว่าพ้นลิฉุยมาคิดว่าจะมีความสบาย มาพบกองทัพมาสกัดสะพานอยู่ อุปมาเหมือนอยู่ในปากหมี ออกจากปากหมีได้จะมาเข้าปากเสือ ครั้งนี้ยังซ้ำร้ายนักจะคิดประการใดจึงจะพ้นภัย ขุนนางทั้งปวงมิได้ว่าประการใด ทัพกุยกียกกระชั้นใกล้เข้ามา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยิ่งทรงพระโศกนัก

ฝ่ายเอียงฮองซึ่งหนีลิฉุยไปอยู่เขาสำคสันทิศตวันตกนั้น รู้ข่าวว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปอยู่เมืองฮองหลง ก็คุมทหารยกตามไปหวังจะป้องกันอันตรายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นมาพบกุยกีตามพระเจ้าเหี้ยนเต้มา เอียวฮองก็คุมทหารเข้าสกัดกองทัพกุยกีไว้

ซุยยงทหารกุยกีเห็นดังนั้น ก็ขับม้าฝ่าทหารขึ้นไปแล้วร้องด่าเอียวฮองเปนข้อหยาบช้า เอียวฮองโกรธ จึงให้ซิหลงถือขวานใหญ่ขี่ม้าออกไปรบด้วยซุยยงได้พักเดียว ซิหลงเอาขวานฟันถูกซุยยงตกม้าตาย เอียงฮองก็ขับม้าไล่ฟันทหารกุยกีล้มตายแตกไปทางประมาณสองร้อยเส้น แล้วเอียวฮองพาทหารไปถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ จึงตรัสว่า เอียวฮองคุมทหารมาช่วยเราครั้งนี้ มีความชอบเปนอันมาก แลทหารที่ฆ่าซุยยงเสียนั้นจงพาตัวมาให้เรารู้จักไว้ เอียวฮองก็ให้หาตัวซิหลงมาเฝ้า แล้วเอียวฮองทูลว่า ซิหลงนี้เปนชาวโฮตั๋ง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า ท่านทั้งสองนี้มีความชอบจงอยู่ด้วยเราเถิด ครั้งเวลาค่ำเอียวฮองก็ให้ตั้งค่ายรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้

ฝ่ายกุยกีซึ่งแตกมานั้น จึงซ่องสุมทหารเข้าได้ พอเวลารุ่งเช้ายกไปจะได้รบด้วยเอียวฮอง ซิหลงเห็นดังนั้นจึงขับมาออกมา เห็นทหารกุยกีตั้งล้อมอยู่ พอเห็นตังสินขี่ม้าคุมทหารฟันฝ่ากองทัพกุยกีเข้ามาทางตวันออก ทหารกุยกีนั้นระส่ำระสายอยู่ ซิหลงเห็นได้ทีก็คุมทหารรบกระหนาบออกไป ทหารกุยกีก็แตกตื่นล้มตายเปนอันมาก ตังสินจึงเข้าไปเฝ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นตังสินก็ทรงพระกรรแสง แล้วตรัสเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ ตังสินจึงกราบทูลว่า พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้ากับเอียวฮองจะป้องกันรักษาพระองค์ แล้วจะคิดฆ่าอ้ายศัตรูทั้งสองเสียให้ได้ แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเปนสุขสืบไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ดีพระทัยนัก จึงรีบยกไปทั้งกลางวันกลางคืน ก็ถึงเมืองฮองหลง

แลกุยกีซ่องสุมทหารซึ่งแตกตื่นนั้นได้บ้าง ฝ่ายลิฉุยยกทหารตามไป หวังจะทำอันตรายพระเจ้าเหี้ยนเต้ พอพบกุยกี ๆ จึงปรึกษากับลิฉุยว่า ตังสินกับเอียวฮองพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปทางเมืองฮองหลง ถ้าเสด็จไปถึงเมืองเตียงฮันได้ตั้งมั่นลงแล้ว เห็นจะให้มีหนังสือรับสั่งไปถึงหัวเมืองทั้งปวง ให้ยกเข้ามาทำร้ายแก่เราทั้งสองเปนมั่นคง ลิฉุยจึงตอบว่า บัดนี้เตียวเจตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮันกล้าแขงอยู่กองหนึ่ง ท่านกับเราจำจะรีบตามไป ณ เมืองฮองหลง จับเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ฆ่าเสีย สมบัติทั้งนั้นท่านกับเราปันกันคนละกึ่ง กุยกีได้ฟังดังนั้นเปนคนโลภก็พาลิฉุยยกไป ถึงตำบลใดให้ทหารริบราชรบาทว์ช่วงชิงเอาทรัพย์สิ่งของอาณาประชาราษฎร

ฝ่ายตังสินเอียวฮองพาเสด็จมาถึงตำบลตันกั๋น รู้ว่าลิฉุยกลับร่วมคิดกันเข้ากับกุยกี ยกตามมาจะกระทำอันตรายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตังสินจึงให้หยุดอยู่หวังจะรบป้องกันพระเจ้าเหี้ยนเต้

ฝ่ายลิฉุยกุยกีจึงปรึกษากันว่า ทหารเรายกมาเปนอันมาก ทหารตันสินกับเอียวฮองนั้นน้อย เราจะยกเข้ารบชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ได้ ลิฉุยกุยกีเห็นพร้อมกัน จึงคุมทหารคนละกองแล้วยกตีกระหนาบเข้าไป ตันสินกับเอียวฮองรบพุ่งเปนสามารถเห็นจะต้านทานมิได้ จึงทิ้งเครื่องอานทรัพย์สิ่งสินเสีย พาเอาแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้กับขุนนางทั้งปวงรบฝ่าออกไปข้างทิศเหนือ ลิฉุยกุยกียกทหารเข้าช่วงชิงทรัพย์สิ่งของอาณาประชาราษฎรในเมืองฮองหลง แล้วยกตามพระเจ้าเหี้ยนเต้ไป

ฝ่ายตังสินกับเอียวฮอง จึงแต่งหนังสือรับสั่งให้ไปเกลี้ยกล่อมลิฉุยกุยกีฉบับหนึ่ง ๆ ให้ไปถึง หันเซียม ลิงัก โฮจ๋าย สามคนซึ่งเปนโจรอยู่แดนเมืองโฮตั๋งนั้นมิได้เอาโทษ แล้วให้คุมพรรคพวกมารับเสด็จ หันเซียม ลิงัก โฮจ๋าย รู้หนังสือรับสั่งแล้ว จึงให้คุมพรรคพวกทั้งปวงยกมาเฝ้า ตังสินจึงปรึกษาแก่นายโจรทั้งสามคนว่า เราจะยกกลับไปตีเอาเมืองฮองหลงคืนให้ได้เปนที่มั่นก่อน จึงจะคิดการสืบไป นายโจรทั้งสามคนนั้นเห็นชอบด้วย ตังสินจึงยกทหารพาพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับมา ลิฉุยกุยกีนั้นยกตามมาถึงมาตำบลใด ก็ให้ทหารริบราชรบาทว์ฆ่าคนเฒ่าคนแก่เสียเปนอันมาก แต่ฉกรรจ์นั้นเอาไว้เปนทหาร เรียกชื่อว่ากองไม่กลัวตาย

ลิฉุยกุยกียกมาพบทัพตังสินเข้าที่ตำบลอยู่เอี๋ยง ได้รบพุ่งกันกับทหารตังสิน แล้วตั้งรอกันอยู่ ลิฉุยจึงปรึกษากับกุยกีว่า บัดนี้ตังสินได้พวกโจรมาเปนกำลังเปนอันมาก เราจะให้ทหารเอาสิ่งของกับเสื้อผ้าไปทิ้งเรี่ยรายไว้ในป่าสองข้างทาง พวกโจรก็จะพะวงเก็บเข้าของอยู่ เราจึงจะยกทหารเข้าโจมตี ทัพตังสินก็จะแตกโดยง่าย กุยกีเห็นชอบด้วย จึงให้เอาสิ่งของเสื้อผ้าไปทิ้งไว้ พวกโจรเห็นดังนั้นก็ชวนกันออกเก็บเอาสิ่งของเสื้อผ้ามิได้คิดระวังตัว ลิฉุยกุยกีเห็นได้ทีแล้วก็ยกทหารเข้าตีกระหนาบทั้งสี่ด้าน ฆ่าฟันทหารตังสินแลพวกโจรล้มตายเปนอันมาก ตังสินกับเอียวฮองต้านทานมิได้ ก็พาพระเจ้าเหี้ยนเต้หนีไปข้างทิศเหนือ ลิฉุยกุยกีก็ยกทหารตามไป

ลิงักนายโจรเห็นดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า กองทัพตามมาใกล้จะทันอยู่แล้ว เชิญพระองค์ลงจากรถขึ้นม้าพระที่นั่งรีบหนีไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าทั้งปวงจะรบพุ่งต้านทานอยู่ข้างหลัง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสตอบว่า ซึ่งเราจะหนีไปก่อนนั้นไม่ควร ท่านทั้งปวงเปนประการใดเราจะเปนด้วย ขุนนางแลนายโจรทั้งปวงก็ร้องไห้ แล้วก็ตามเสด็จป้องกันพระเจ้าเหี้ยนเต้ไป โฮจ๋ายนายโจรนั้นเห็นกองทัพรุกตามมาใกล้ก็ขับม้าออกไปรบต้านทานไว้ ทหารลิฉุยกุยกียิงเกาทัณฑ์ระดมไปถูกโฮจ๋ายตกม้าตาย ลิฉุยกุยกีก็ยกทหารติดตามไป

ตังสินเอียวฮองเห็นกองทัพรุกใกล้เข้ามา ก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหษีลงจากรถ รีบหนีไปถึงริมฝั่งแม่น้ำฮองโห ลิงักจึงเที่ยวไปหาเรือได้มาลำหนึ่ง หวังจะรับพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตลิ่งนั้นสูงนัก พระเจ้าเหี้ยนเต้กลัวเสด็จลงไปมิได้ พอเห็นกองทัพยกตามมาถึงชายป่า ตังสินจึงแก้เอาสายถือนั้นต่อกันเข้า จะผูกบั้นพระองค์หย่อนลงไปให้ถึงเรือ ฮกเต๊กผู้พี่พระมเหษีเห็นดังนั้น จึงเอาแพรขาวเปนลายไม้หนึ่งซึ่งเก็บได้มาแต่กลางทางผูกบั้นพระองค์พระเจ้า เหี้ยนเต้แลพระมเหษีหย่อนลงไปถึงเรือ ขุนนางแลทหารก็ชิงกันลงเรือ ลิงักเห็นเรือจะล่มลงจึงถอดกระบี่ออกฟันขุนนางแลทหารตายเปนหลายคน จึงถอยเรือข้ามไปส่งเสด็จขึ้นถึงฝั่ง แล้วข้ามมารับผู้คนไปหลายเที่ยว คนนั้นยังมิหมด พอทัพลิฉุยกุยกียกมาใกล้ ผู้ซึ่งข้ามมาก็ทิ้งเรือเสีย แลคนทั้งปวงกับนักสนมแลขันทีซึ่งค้างอยู่นั้นก็ร้องเรียกกันบ้าง ร้องไห้อื้ออึงอยู่บ้าง เอียวฮองจึงให้ไปเที่ยวหาเกวียนมาได้เล่มหนึ่ง แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหษีเสด็จไป

ขุนนางสิบเอ็ดสิบสองคนกับนายโจรสองคน ก็ตามเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงแดนเมืองไทเฮียง พอเวลาค่ำลง จึงเข้าไปอาศรัยอยู่ในโรงกระเบื้อง คนแก่เจ้าของโรงนั้นจึงเอาเข้ากล้องหุงมาถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยมิได้ ครั้นเวลารุ่งเช้าจะเสด็จออกจากที่นั้น พอเอียวปิวกับฮันหยงซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ มาพบก็ร้องไห้รักพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลฮันหยงทูลว่า ลิฉุยกุยกีนั้นเชื่อฟังข้าพเจ้าอยู่ ขอเชิญเสด็จพระองค์ยั้งอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปว่ากล่าวห้ามปรามให้ยกกลับไป พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า ซึ่งท่านมีน้ำใจต่อเราจะไปห้ามปรามลิฉุยกุยกีก็ตามเถิด ฮันหยงก็กราบถวายบังคมลาไป ลิงักได้ฟังคำฮันหยงก็พาเสด็จรีบไปถึงตำบลอันอิบ พอเวลาค่ำก็เชิญเสด็จเข้าอาศรัยอยู่ในโรงแห่งหนึ่ง คนทั้งปวงก็ล้อมวงอยู่

ฝ่ายลิฉุยกุยกีครั้นยกมาถึงแม่น้ำฮองโห พบขุนนางกับนักสนมขันทีจึงให้จับไว้ ครั้นฮันหยงมาถึงจึงห้ามลิฉุยกุยกีว่า ซึ่งท่านจะยกมาติดตามทำร้ายพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไม่ควร ราษฎรทั้งปวงจะนินทาได้ ท่านจงยกกลับไปเสียเถิด แม้นฟังคำเราความสรรเสริญก็จะมีแก่ท่านไปในชั่วนี้ชั่วหน้า ลิฉุยกุยกีเห็นชอบด้วย จึงปล่อยขุนนางแลพระสนมขันทีทั้งนั้นไป ครั้งนั้นบังเกิดเข้าแพงนัก อาณาประชาราษฎรอดหยากล้มตายเปนอันมาก

เตียวเฮียวเจ้าเมืองโห้ลาย ฮองอิบเจ้าเมืองโฮต๋อง รู้ข่าวดังนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าเข้าปลาอาหารให้ไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ดีพระทัยนัก แลตังสินเอียวฮองจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เราจะให้ทหารไปทำตำหนัก ณ เมืองลกเอี๋ยง จะได้เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ไปอยู่ ลิงักจึงว่าซึ่งท่านคิดดังนี้เราไม่เห็นด้วย ตังสินจึงตอบว่าเมืองลกเอี๋ยงนั้นเปนเมืองหลวงมาแต่ก่อน ควรจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปไว้ ซึ่งท่านจะให้ตั้งอยู่ที่นี่เห็นไม่สบาย ลิงักจึงว่าท่านจะเชิญเสด็จไปอยู่เมืองลกเอี๋ยงก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าจะขอตั้งอยู่ตำบลอันอิบนี้ ตังสินเอียวฮองก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหษีขึ้นเกวียนยกไปเมือง ลกเอี๋ยง

ฝ่ายลิงักคิดเอาใจออกหาก จึงแต่งคนให้ไปบอกแก่ลิฉุยกุยกีว่า ตังสินกับเอียวฮองพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ยกไปเมืองลกเอี๋ยง จะขอยกไปสกัดตีจับพระเจ้าเหี้ยนเต้ฆ่าเสีย ลิฉุยกุยกีได้ฟังดังนั้นก็กลับมีใจยินดี ว่าจะยกไปทำการด้วยกัน

ฝ่ายตังสินเอียวฮองหันเซียมรู้กิตติศัพท์ดังนั้น ก็เชิญสมเด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้รีบหนีไปทั้งกลางวันกลางคืน ลิงักนั้นเปนคนโลภมิได้คอยลิฉุยกุยกีให้พร้อม ก็คุมพรรคพวกรีบตามไปถึงเขากิสาน พอเวลาดึกประมาณสามยามเศษ ลิงักจึงร้องเปนกลอุบายว่า ผู้ใดซึ่งเชิญเสด็จไปนั้นให้หยุดอยู่ก่อนจะได้คิดอ่านกัน บัดนี้ลิฉุยกุยกีตามมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินก็ตกพระทัยกลัว เอียวฮองจึงทูลว่า ซึ่งร้องมานี้เสียงลิงักคิดเปนกลอุบาย แล้วให้ซิหลงถอยหลังไปรบด้วยลิงักได้สามเพลง ซิหลงเอาขวานฟันถูกลิงักตกม้าตาย แล้วซิหลงไล่ฆ่าฟันพรรคพวกลิงักล้มตายเปนอันมาก จึงกลับมาตามเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปพ้นเขากิสาน

ครั้นเวลารุ่งเช้าพอพบเตียวเอี๋ยนเอาเข้าปลาอาหารมาถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้มีความยินดี จึงให้เตียวเอี๋ยนเลื่อนที่เปนไตสู ภาษาไทยว่าเปนขุนนางผู้ใหญ่ เตียวเอี๋ยนก็กราบถวายบังคมลาไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยกเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยง แล้วทอดพระเนตรเห็นพระราชวังตำหนักแลตึกกว้านอาณาประชาราษฎรนั้น เปนที่เพลิงไหม้สิ้นทั้งเมือง ต้นไม้แลหญ้าขึ้นรกอยู่ดังป่า พระเจ้าเหี้ยนเต้คิดสงสารพระทัยทรงพระกรรแสง ว่าเมืองนี้พระมหากษัตริย์สร้างไว้เปนที่บรมสุขมาแต่ก่อน ครั้งนี้มาสูญเสียแล้ว ขุนนางทั้งปวงจึงให้แผ้วถาง แล้วให้ปลูกตำหนักข้างหน้าข้างใน แลที่เสด็จออกริมพระที่นั่งใหญ่ซึ่งเพลิงไหม้นั้น แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จขึ้นอยู่ ขุนนางทั้งปวงเข้ามาเฝ้าตามอย่างตามธรรมเนียม แลอาณาประชาราษฎรก็เข้าไปตั้งบ้านเรือนอยู่ประมาณห้าร้อยเรือน


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 11

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnVGRUYkZOZVl6TVk/view?resourcekey=0-tQ3YCYhANVusTREbN7nIfQ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #1 on: 21 December 2021, 21:10:42 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 12


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-12.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 12

เนื้อหา
พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาโจโฉไปช่วย
โจโฉปราบลิฉุย กุยกี
โจโฉพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งราชธานีที่เมืองฮูโต๋
โจโฉตั้งตัวเป็นมหาอุปราชสำเร็จราชการแผ่นดิน
โจโฉคิดกลอุบายให้เล่าปี่แตกกับลิโป้
เล่าปี่เสียเมืองชีจิ๋วแก่ลิโป้
ลิโป้ให้เมืองเสียวพ่ายแก่เล่าปี่

ใน ขณะนั้นเข้าแพงราษฎรทั้งปวงอดอยาก ชวนกันไปขุดรากหญ้าแลเปลือกไม้มากินต่างอาหาร ขุนนางผู้น้อยแลทหารกับราษฎรทั้งปวง ซึ่งเที่ยวซอกซอนเข้าไปเก็บผักหักฟืนในตึกแลช่องกุฏิห้วยคลังที่เพลิงไหม้ แต่ก่อน ผนังตึกแลซุ้มประตูถล่มลงทับตายเปนอันมาก

ฝ่ายเอียวปิวจึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า พระองค์ทรงพระอักษรมอบข้าพเจ้าไว้นั้น ข้าพเจ้ายังมิได้เอาไปให้โจโฉ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่าท่านเร่งแต่งคนเอาไปให้โจโฉ ให้หาตัวเข้ามาช่วยราชการในเมืองลกเอี๋ยง เอียวปิวจึงแต่งทหารให้ถือพระอักษรไปให้โจโฉ ๆ เห็นพระอักษรดังนั้น ก็รู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับไปอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง แล้วจึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาเราเข้าไปช่วยราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

ซุนฮกจึงว่าครั้งพระเจ้าจิ๋วซองอ๋องได้เสวยราชสมบัตินั้น บ้านเมืองเปนจลาจล พระเจ้าจิ๋วซองอ๋องให้หาจิ๋นบุนก๋งเข้าไปช่วยราชการเมือง ขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาจิ๋นบุนก๋ง อยู่มาจิ๋นบุนก๋งก็ได้ราชสมบัติโดยง่าย[๑] ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาท่านเข้าไปช่วยราชการก็ได้ทีแล้ว ควรที่จะยกเข้าไปตามรับสั่ง ถ้าท่านช้าอยู่หัวเมืองผู้ใดที่มีฝีมือยกเข้าไปถึงก่อน ราชการก็จะสิทธิ์ขาดอยู่กับผู้นั้น ขอท่านยกเข้าไปให้ทันที

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงทหารทั้งปวงได้ประมาณสามสิบหมื่นพร้อมแล้ว ยกไปถึงกลางทาง พอม้าใช้มาบอกให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า กองทัพลิฉุยกุยกียกมาใกล้ด่านเมืองลกเอี๋ยง จึงทรงพระดำริห์ว่า บ้านเมืองก็ยังมิได้ตกแต่ง ค่ายคูประตูหอรบทหารในเมืองก็น้อย ทั้งผู้ถือหนังสือไปหาโจโฉนั้นก็ยังมิกลับมา จึงตรัสปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ลิฉุยกุยกียกมาใกล้ด่านอยู่แล้ว ทหารเราก็น้อยผู้ใดจะคิดประการใด

เอียวฮองหันเซียมจึงทูลว่า ซึ่งลิฉุยกุยกียกมานั้นพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบป้องกันสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต ตังสินจึงตอบว่าในเมืองลกเอี๋ยงนี้ ก็ยังมิได้แต่งค่ายคูประตูหอรบ ซึ่งท่านทั้งสองจะยกออกไปต่อรบด้วยลิฉุยกุยกีนั้น เราเห็นจะเสียแก่มันฝ่ายเดียว เราคิดจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้หนีไปข้างหัวเมืองตวันออก พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นชอบด้วย ตังสินกับขุนนางทั้งปวงก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหษีขึ้นรถออกจาก เมืองลกเอี๋ยง ไปทางประมาณยี่สิบเส้น พอเห็นกองทัพยกมาข้างทิศตวันออก ทหารทั้งปวงโห่ร้องอื้ออึงเปนอันมาก ผู้ถือหนังสือรับสั่งก็ขับม้าควบมาก่อนถึงหน้ารถ จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพมาถึงกลางทาง รู้กิตติศัพท์ว่าลิฉุยกุยกียกเข้ามาใกล้ด่านเมืองลกเอี๋ยง โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นเคาทูเตียนอุยคุมทหารห้าหมื่นเปนทัพหน้ายกรีบมา หวังจะได้ป้องกันรักษาพระองค์ก่อน พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี

ฝ่ายแฮหัวตุ้นรู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จออกมา ก็พาเคาทูเตียนอุยเข้าไปกราบถวายบังคม พอนายม้าใช้ผู้หนึ่งมากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า เห็นกองทัพยกมาข้างทิศตวันออกอีกกองหนึ่ง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงสั่งให้แฮหัวตุ้นไปสืบดูว่าจะเปนกองทัพผู้ใดยกมา

แฮหัวตุ้นออกไปดูพบโจหองลิเตียนงักจิ้นคุมทหารมา จึงพานายทหารทั้งสามคนเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วทูลว่าโจโฉให้แฮหัวตุ้นเคาทูเตียนอุยยกมาก่อนนั้น เห็นว่าทหารน้อยนักจึงให้ข้าพเจ้าทั้งสามนี้คุมทหารยกเติมมา หวังจะได้ช่วยรบด้วย ฆ่าอ้ายพวกเหล่าร้ายเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบดังนั้น จึงตรัสว่าโจโฉมีสติปัญญาเปนอันมาก แล้วก็ใจสัตย์ซื่อต่อเรา ควรที่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน

ฝ่ายม้าใช้ข้างทิศตวันตกมากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ทัพลิฉุยกุยกีเข้ามาในแดนแล้ว หาผู้ใดต้านทานมิได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบดังนั้น จึงตรัสแก่แฮหัวตุ้นว่า ทัพลิฉุยกุยกียกล่วงเข้ามาในด่านแล้ว ท่านจะคิดประการใด แฮหัวตุ้นจึงกราบทูลว่า ซึ่งพวกเหล่าร้ายยกเข้ามานั้น พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าทั้งปวงผู้เปนทัพหน้าโจโฉ จะขออาสายกออกไปรบให้เหล่าร้ายแตกไปจงได้ แล้วก็กราบถวายบังคมลาออกมา แฮหัวตุ้นนั้นเปนกองขวา โจหองเปนกองซ้าย แล้วยกทหารไปรบกระหนาบฆ่าฟันทหารลิฉุยกุยกีเสียเปนอันมาก ลิฉุยกุยกีต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นหนีไป แฮหัวตุ้นโจหองก็ยกกลับมา จึงให้เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับเข้าไปอยู่ในเมืองลกเอี๋ยง แล้วจัดแจงทหารทั้งปวงตั้งล้อมวงอยู่นอกกำแพง

ฝ่ายโจโฉยกมาถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าไปกราบถวายบังคมคุกเข่าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ เห็นโจโฉก็มีความยินดี จึงตรัสว่าท่านอย่าคุกเข่าเลย จงนั่งให้ปรกติเถิด โจโฉก็ทำตามรับสั่งแล้วทูลว่า ซึ่งพระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาแต่ก่อนนั้น ก็คิดอยู่ว่าจะสนองพระคุณมิได้ขาด ครั้งนี้ลิฉุยกุยกีทำการหยาบช้าต่อพระองค์นั้น อย่าให้ทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านฆ่าลิฉุยกุยกีเสียให้ได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้มีความยินดีนัก จึงตั้งให้โจโฉเปนขุนนางผู้ใหญ่ในเมือง ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารพลเรือน

ฝ่ายลิฉุยกุยกีซึ่งแตกไปนั้นซ่องสุมทหาร ครั้นรู้ว่าโจโฉยกมาถึงจึงปรึกษากันว่า ถ้าเราจะละไว้ช้าทหารโจโฉก็จะมีกำลังขึ้น จำเราจะยกเข้าตีเอาอย่าให้ทั้งตัวได้ เห็นจะเสียแก่เราเปนมั่นคง กาเซี่ยงจึงว่าท่านคิดทั้งนี้ไม่ควร ด้วยโจโฉมีทหารเอกทหารเลวเปนอันมาก ทหารเราก็น้อยเห็นจะต้านทานมิได้ อุปมาดังเนื้อไปสู้เสือ ขอให้แต่งคนไปขอโทษแล้วว่าจะเข้าเกลี้ยกล่อมยอมทำราชการด้วย เห็นโจโฉก็จะมีใจเมตตาท่านทั้งสอง ลิฉุยกุยกีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่กาเซี่ยงว่า เราจะทำสงครามแก่โจโฉอยู่ ตัวมากล่าวทั้งนี้หวังจะให้ทหารเราเสียใจ แล้วลิฉุยกุยกีชักกระบี่ออกจะฟันกาเซี่ยงเสีย ทหารทั้งปวงเข้าขอโทษไว้ได้ กาเซี่ยงมีความน้อยใจ เวลาค่ำก็ขึ้นม้าหนีกลับไปบ้าน ครั้นเวลารุ่งเช้าลิฉุยกุยกีก็จัดแจงทหาร ให้ลิเซียมลิเป๊กเปนทัพหน้า แล้วยกไปจะรบด้วยโจโฉ

ฝ่ายโจโฉจึงให้เคาทูเตียนอุยโจหยิน คุมทหารม้าสามร้อยยกออกไป แล้วนายทหารทั้งสามคนก็ขับม้าฝ่าฟันทหารลิฉุยกุยกีเข้าไป ลิเซียมลิเป๊กหลานลิฉุยเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบด้วยเคาทูยังมิทันได้เพลงหนึ่ง เคาทูเอาทวนแทงถูกลิเซียมตกม้าตาย ลิเป๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัว มิทันเข้าสู้รบก็พลัดตกม้าลง เคาทูเอาทวนแทงซ้ำ แล้วตัดเอาสีสะลิเซียมลิเป๊กมาให้โจโฉ ๆ ก็มีความยินดีจึงเอามือลูบหลังเคาทู แล้วสรรเสริญว่าท่านมีฝีมือสมเปนทหารเอก

โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นเปนกองหน้า โจหยินเปนกองซ้าย โจโฉเปนกองหลวง ยกเปนหน้ากระดานขึ้นไปรบด้วยลิฉุยกุยกี แลทหารลิฉุยกุยกีนั้นล้มตายเปนอันมาก ลิฉุยกุยกีก็แตกพ่ายไป โจโฉเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำกระบี่ไล่ตามฆ่าฟันทหารทั้งปวงไป

ฝ่ายทหารลิฉุยกุยกีก็ทิ้งอาวุธเสียมาเข้าด้วยโจโฉสิ้น แต่ลิฉุยกุยกีนั้นขับม้าหนีตามกันไปซ่อนอยู่ในซอกเขาแห่งหนึ่ง โจโฉก็คุมทหารกลับมาตั้งอยู่นอกเมือง

ฝ่ายเอียวฮองรู้ว่าโจโฉยกไปตีทัพลิฉุยกุยกีแตกไป จึงปรึกษากับหันเซียมว่า โจโฉทำการครั้งนี้เห็นใหญ่หลวงนัก นานไปราชการในเมืองหลวงก็จะสิทธิ์ขาดอยู่แก่เขา เราทั้งสองก็จะอยู่ในเงื้อมมือโจโฉ เราจะคิดกลอุบายว่า จะยกไปจับลิฉุยกุยกีฆ่าเสีย แล้วเราจะหนีไปอยู่เมืองไต้เหลียง หันเซียมเห็นชอบด้วย จึงพากันเข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ซึ่งโจโฉยกออกไปตีทัพลิฉุยกุยกีแตกไปนั้น ข้าพเจ้าทั้งสองจะขออาสายกทหารออกไปตาม จับลิฉุยกุยกีมาฆ่าเสียให้จงได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยอมให้ไป เอียวฮองหันเซียมก็ลาออกมาจัดแจงทหารแลพรรคพวกของตัวพร้อม แล้วก็ยกออกจากเมืองลกเอี๋ยง

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้ตังเจี๋ยวไปหาโจโฉเข้ามาจะปรึกษาราชการด้วย ตังเจี๋ยวรับสั่งแล้วก็ออกไปหาโจโฉ ๆ เห็นรูปร่างตังเจี๋ยวพ่วงพีผิวเนื้อสดใสจักขุนั้นโตกลมคิ้วสุดหางตา โจโฉจึงว่าในเมืองหลวงนี้มิได้มีความสุข ทั้งเข้าปลาอาหารก็ขัดสน ตังเจี๋ยวบำรุงตัวประการใดจึงมีสีสรรสมบรูณ์เหมือนบ้านเมืองปรกติดังนี้ ตัวเจี๋ยวจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้บำรุงตัวประการใดหามิได้ ข้าพเจ้ารับประทานแต่อาหารจนอายุได้สามสิบปี โจโฉหัวเราะแล้วว่า ท่านเปนที่ขุนนางตำแหน่งใด ตังเจี๋ยวบอกว่าข้าพเจ้านี้เปนชาวเมืองเต๊งโต๋ เปนที่ปรึกษาอยู่กับอ้วนเสี้ยว ครั้นแจ้งว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จกลับมาอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยงแล้ว จึงเข้ามาทำราชการ แล้วโปรดให้เปนที่เจียงยี่หลง แปลภาษาไทยว่าเปนที่ปรึกษา โจโฉจึงว่าเราได้ยินลืออยู่ช้านานแล้ว ซึ่งได้มาพบท่านนี้ก็เปนบุญของเรา จึงให้แต่งโต๊ะแล้วหาตัวซุนฮกมาให้รู้จักไว้กับตังเจี๋ยว แล้วชวนซุนฮกตังเจี๋ยวกินโต๊ะอยู่

พอม้าใช้มาบอกโจโฉว่า เห็นทหารกองหนึ่งยกออกมาจากเมืองลกเอี๋ยงไปทางทิศตวันออก มิรู้ว่าผู้ใดเปนนายทัพ โจโฉจึงสั่งทหารให้ไปสืบดูว่า ทัพผู้ใดจะยกไปไหน ตังเจี๋ยวจึงห้ามโจโฉว่าอย่าใช้ทหารไปเลย ซึ่งผู้ยกไปนั้นสองนาย เอียวฮองนั้นเปนพรรคพวกลิฉุย หันเซียมนั้นเปนนายโจร เข้ามาทำการครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จออกจากเมืองเตียนฮัน บัดนี้เห็นว่าท่านเข้ามาทำราชการอยู่ในเมืองหลวง เอียวฮองหันเซียมกลัวท่าน จึงพาพรรคพวกจะไปหลบหลีกอยู่ ณ เมืองไต้เหลียง โจโฉจึงถามว่า ซึ่งเอียวฮองหันเซียมกลัวเราจึงออกไปจากเมืองนั้นเห็นจะสงสัยเราด้วยข้อใด ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า อ้ายคนทั้งสองนั้นมิได้มีความคิดสิ่งใด ซึ่งจะสงสัยท่านนั้นเห็นเหลือความคิดมันนัก โจโฉจึงว่าซึ่งเอียวฮองหันเซียมออกไปจากเมืองนั้น เห็นจะมีความคิดทำการต่าง ๆ ตังเจี๋ยวจึงตอบว่าอ้ายคนทั้งสองนี้ อุปมาเหมือนเสือไม่มีเขี้ยว แลนกหาปีกมิได้ ซึ่งจะคิดประการใดนั้นท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าเห็นว่านานไปก็จะได้ตัวเปนมั่งคง

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ตังเจี๋ยวนี้พูดจาคมสัน จึงปรึกษากับตังเจี๋ยวว่า เมืองลกเอี๋ยงนี้เปนอันตรายด้วยเพลิงไหม้เราจะคิดประการใด ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า ท่านยกทหารเข้ามากำจัดลิฉุยกุยกีนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวงก็ค่อย มีความสุขขึ้นเพราะท่าน บัดนี้ท่านจะทำนุบำรุงแผ่นดิน แลรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้สืบไปด้วยความสุจริตนั้น ความชอบของท่านก็จะมียิ่งขึ้นไปเปนอันมาก แต่จะตบแต่งค่ายคูประตูหอรบในเมืองลกเอี๋ยงให้บริบูรณ์ขึ้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นยังขัดสนอยู่ ด้วยขุนนางแลราษฎรทั้งปวงยังมิได้ตั้งตัวได้ เพราะขัดสนเข้าปลาอาหาร แล้วเกลือกจะมีราชการสงครามมาก็จะลำบากแก่ทหารท่าน ขอให้เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ พระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวงก็จะมีความยินดีด้วย เหมือนหนึ่งท่านนิมิตเมืองใหม่ถวายได้ทันที หัวเมืองแลราษฎรทั้งปวงก็จะสรรเสริญท่านว่ามิให้ลำบากแก่ไพร่ ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้ขอให้ท่านดำริห์ดูจงควร

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจับเอามือตังเจี๋ยวไว้แล้วว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวทั้งนี้ต้องในความคิดเรา ถ้าเราจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปแล้ว เอียวฮองหันเซียมจะมาทำอันตรายกลางทางกระมัง ประการหนึ่งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงนั้น ยังจะเห็นพร้อมด้วยหรือ

ตังเจี๋ยวจึงตอบว่า ทุกวันนี้ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงในเมืองหลวงก็อดหยากเข้าปลาอาหารเปนอันมาก ขอให้ท่านประกาศแก่คนทั้งปวงว่าในเมืองลกเอี๋ยงนี้ขัดสนด้วยอาหาร จะเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ ทางใกล้กันกับเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเข้าปลาอาหารมีบริบูรณ์ จะได้จัดแจงให้เอาสเบียงมาส่งโดยง่าย ขุนนางทั้งปวงก็จะพร้อมใจด้วยท่าน อนึ่งเอียวฮองหันเซียมซึ่งหนีไปอยู่ ณ เมืองไต้เหลียงนั้น ขอให้ท่านมีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเอาใจไว้ เห็นจะไม่คิดร้ายต่อท่านสืบไป

โจโฉได้ฟังก็มีความยินดี แล้วว่าเราจะคิดการสิ่งใดไปภายหน้าเราจะเชิญท่านมาปรึกษาด้วย ตังเจี๋ยวรับคำโจโฉแล้วลาไป โจโฉจึงปรึกษาด้วยทหารทั้งปวง ซึ่งจะเชิญเสด็จไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ เนื้อความยังมิตกลงกัน

ฝ่ายอองหลิบขุนนางจึงค่อยพูดจากันกับเล่าง่ายซึ่งเปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยน เต้ว่า ข้าพเจ้าดูเห็นดาวไทเป็ก ภาษาไทยว่าดาวขาวนั้นสุกใส แต่ฤดูฝนมาจนถึงฤดูแล้ง บัดนี้ข้ามมากลบรัศมีดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้จะสูญเสียครั้งนี้ จะมีผู้ใดเสวยราชสมบัติเปนพระมหากษัตริย์นั้นเปนที่งุยกับจิ้น แล้วอองหลิบจึงเอาเนื้อความทั้งนี้ลอบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้ตรัสประการใด

ฝ่ายโจโฉรู้กิตติศัพท์ซึ่งอองหลิบพูดกับเล่าง่าย ครั้นเวลาค่ำจึงใช้คนสนิธให้ไปว่ากับอองหลิบว่า ท่านมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน อันราชสมบัติแลการบ้านเมืองนั้นลึกซึ้งใหญ่หลวงนัก อย่าเพ่อให้ท่านล่วงทำนายไปก่อน คนใช้ก็ไปว่าแก่อองหลิบตามคำโจโฉว่าทุกประการ อองหลิบก็มิได้ว่าประการใด

โจโฉจึงให้หาซุนฮกมา แล้วบอกเนื้อความซึ่งอองหลิบว่านั้นให้ซุนฮกฟัง ซุกฮกจึงตอบว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นธาตุเพลิง ตัวท่านเปนธาตุดิน ถ้าท่านคิดอ่านยกไปอยู่เมืองฮูโต๋ได้ ท่านจะคิดการสิ่งใดก็จะค่อยกว้างขวางขึ้นไป เห็นจะเหมือนคำอองหลิบว่าเปนมั่งคง

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วทูลว่า เมืองลกเอี๋ยงนี้มีอันตรายจลาจลร้างโรยมาแต่ครั้งตั๋งโต๊ะแล้ว บัดนี้พระองค์ได้เสด็จกลับมาอยู่ บ้านเมืองก็มิได้ปรกติ ขัดสนเข้าปลาอาหาร ถ้าจะให้ตกแต่งบ้านเมืองแลค่ายคูประตูหอรบขึ้นเล่า ก็จะลำบากแก่ไพร่ทั้งปวงนัก แลเมืองฮูโต๋นั้นประกอบด้วยค่ายคูประตูหอรบ อาณาประชาราษฎรก็มีทรัพย์สินมั่งคั่ง เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ด้วยใกล้เมืองโลเอี๋ยง ถึงมาทว่าจะมีสงครามก็จะได้ป้องกันสดวก ข้าพเจ้าจะขอเชิญเสด็จพระองค์ไปอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ เห็นขุนนางและราษฎรทั้งปวงจะมีความสุข

พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านจะคิดป้องกันบำรุงเราประการใดก็ตามเถิดเราไม่ขัด ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยรู้ดังนั้นต่างคนต่างกลัวโจโฉอยู่สิ้น มิได้ว่ากล่าวขัดแขงประการใด โจโฉให้เร่งจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อม แล้วก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระมเหษีขึ้นรถ ขุนนางกับพระสนมก็ตามมา โจโฉจึงยกทหารพาเสด็จออกจากด่านเมืองลกเอี๋ยงไปไกลประมาณหกสิบเส้น ถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอเอียวฮองหันเซียมคุมทหารโห่ร้องสกัดทางไว้ โจโฉเห็นดังนั้นจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง ซิหลงนั้นจึงร้องว่าแก่โจโฉว่า จะพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปแห่งใด โจโฉมิได้ตอบประการใด จึงให้เคาทูออกไปรบด้วยซิหลงได้สิบห้าเพลงก็มิได้แพ้ชนะกัน โจโฉจึงให้ตีม้าฬ่อขึ้น เคาทูก็ชักม้ากลับเข้ามา ซิหลงก็กลับไปค่าย โจโฉจึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เอียวฮองกับหันเซียมนั้นเราคิดจะฆ่าเสีย แต่ซิหลงนั้นมีกำลังกล้าแขง เราจะใคร่ได้ไว้เปนทหาร จำจะคิดให้ไปเกลี้ยกล่อมเอาซิหลงมาไว้ให้ได้

หมันทองจึงว่า ซึ่งท่านจะใคร่ได้ซิหลงมาไว้นั้นท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ากับซิหลงรู้จักกันมา เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะอาสาปลอมเปนทหารเลวไป ณ ค่ายซิหลง แล้วจะว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมซิหลงให้มาอยู่ทำราชการแก่ท่านให้จงได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าท่านจงไปเกลี้ยกล่อมให้ได้ซิหลงมา ครั้นเวลาค่ำหมันทองก็แต่งตัวเปนทหารเลวปลอมเข้าไปถึงในค่าย เห็นซิหลงใส่เกราะจุดเทียนนั่งดูหนังสืออยู่ หมันทองจึงเข้าไปคำนับแล้วว่า แต่จากกันมาท่านยังค่อยมีความสบายอยู่หรือ

ฝ่ายซิหลงได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นดู เห็นทหารแปลกหน้าก็ตกใจ ครั้นพิศแลดูก็จำได้แล้วทักว่า ท่านนี้หมันทองอยู่เมืองซันหยง เหตุใดท่านจึงมาหาเราในเวลากลางคืน หมันทองจึงตอบว่า ข้าพเจ้าทำราชการอยู่ด้วยโจโฉ เมื่อเวลากลางวันนั้นเราเห็นท่านออกไปรบกับเคาทู เรามิได้ทักทายท่านแต่ใจนั้นคิดถึงอยู่จนเวลาค่ำ เรามิได้กลัวความตาย จึงปลอมเข้ามาหาท่านหวังจะเจรจาด้วย ซิหลงจึงเชิญให้นั่ง แล้วว่าท่านมาหาเราด้วยกิจสิ่งใดจงว่าไปเถิด

หมันทองจึงว่าท่านมีกำลังรบพุ่งกล้าหาญเข้มแขงหาผู้ใดเสมอมิได้ ขัดสนด้วยเหตุประการใด ท่านจึงมาอยู่ในเงื้อมมือเอียวฮองหันเซียมนี้ไม่ควร โจโฉนั้นน้ำใจกว้างขวางอารีบำรุงเลี้ยงทหารมิให้อนาทร กิตติศัพท์ทั้งนี้ท่านก็ย่อมจะได้ยินอยู่บ้าง เมื่อท่านรบกับเคาทูนั้นโจโฉเห็น มีน้ำใจเอ็นดูท่านนัก จึงสั่งทหารทั้งปวงมิให้ยิงเกาทัณฑ์กลัวว่าท่านจะต้องบาดเจ็บ จึงให้เรามาเชิญท่านไป หวังจะสนทนาชี้แจงให้เห็นผิดแลชอบ ฝ่ายเราก็เห็นว่าท่านอยู่ที่มืด จงเร่งคิดผ่อนผันไปหาที่สว่าง จะได้ความสุขสืบไป ซึ่งเราว่ากล่าวทั้งนี้ด้วยความรักท่าน ท่านจงดำริห์ดูให้สมควร

ซิหลงได้ฟังดังนั้นก็นั่งคิดอยู่ จึงทอดใจใหญ่แล้วตอบว่า เรารู้อยู่ว่าเอียวฮองหันเซียมนั้นสติปัญญาน้อยจะคิดการใหญ่มิได้ แต่จำเปนเพราะได้อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ครั้นจะทิ้งเสียบัดนี้ก็ไม่ควร หมันทองจึงว่าท่านไม่ได้ยินคำโบราณว่าไว้หรือ อันธรรมดานกจะทำรังก็ย่อมแสวงหาซึ่งพุ่มไม้ชัฏจะได้ทำรังอยู่เปนสุข ถึงลมพายุใหญ่จะพัดหนักมา รังนั้นก็มิได้เปนอันตราย ประการหนึ่งเปนชาติทหาร จะหาแม่ทัพก็ให้พิเคราะห์ดูผู้ใจโอบอ้อมอารี แลชำนาญในการสงคราม ถึงข้าศึกจะยกมามากมายเท่าใดก็มิได้หวาดไหว คิดอ่านป้องกันมิให้ทหารทั้งปวงเปนอันตราย ถ้าผู้ใดพบนายที่มีสติปัญญาหมายจะพึ่งได้แล้ว ไม่เข้าทำราชการด้วย อย่าให้คนทั้งปวงนับถือความคิดผู้นั้นเลย

ซิหลงได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้เราเห็นชอบด้วย เราจะทำตามท่าน หมันทองจึงตอบว่า ถ้าท่านไปทำราชการอยู่ด้วยโจโฉแล้ว จงตัดเอาสีสะเอียวฮองหันเซียมไปเปนกำนัลโจโฉเถิด ซิหลงจึงตอบว่า ธรรมดาเปนบ่าวได้กินเข้าแดงของท่านแล้ว ถ้ามิพอใจอยู่ด้วย แลจะซ้ำทำร้ายแก่นายก็เปนคนหากตัญญูมิได้ ซึ่งท่านจะให้ทำดังนี้เราไม่ยอมด้วย หมันทองได้ยินดังนั้นก็สรรเสริญว่า ท่านนี้มีกตัญญูนัก เราจะชวนกันไปหาโจโฉแต่ตัวเถิด ซิหลงจึงจัดแจงทรัพย์สิ่งสินของตัว แล้วพาพรรคพวกประมาณสามสิบคน ลอบหนีออกจากค่ายในเวลากลางคืน หมันทองก็นำไป ณ ค่ายโจโฉ

ขณะนั้นมีผู้เอาเนื้อความบอกเอียวฮองว่า บัดนี้ซิหลงพาพรรคพวกหนีไปหาโจโฉ เอียวฮองได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงคุมทหารพันหนึ่งยกตามไปในเวลากลางคืน ครั้นมาถึงกลางทางเห็นกองเพลิงบนเนินเขาสว่างอยู่ โจโฉเห็นเอียวฮองคุมทหารตามมา โจโฉจึงขับม้าเข้าล้อมไว้ แล้วร้องประกาศว่าเรามาคอยอยู่แต่เวลาพลบค่ำ ตัวอวดว่ากล้าหาญแล้วอย่าถอยหนีกัน เอียวฮองเห็นทหารล้อมไว้แล้ว ได้ยินเสียงโจโฉร้องมาก็ตกใจ จะพาทหารทั้งปวงถอยหนีไปก็มิได้ ด้วยทหารโจโฉล้อมอยู่

ฝ่ายหันเซียมรู้จึงคุมทหารยกตามมา เห็นทหารโจโฉล้อมเอียวฮองไว้ หันเซียมจึงรบฝ่าเข้าไปแก้เอาเอียวฮองออกมาได้ โจโฉเห็นดังนั้นจึงขับทหารทั้งปวงไล่ฆ่าฟันทหารเอียวฮองล้มตายเปนอันมาก ที่เปนอยู่นั้นมาเข้าด้วยโจโฉประมาณสองร้อยเศษ เอียวฮองกับหันเซียมเห็นจะต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นรีบหนีไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง

โจโฉก็พาทหารทั้งปวงกลับมาณที่ประทับ หมันทองจึงพาซิหลงเข้าไปหาโจโฉ ๆ เห็นหมันทองได้ซิหลงมาก็มีความยินดี จึงเอาเงินทองเสื้อผ้าให้ซิหลง จึงตั้งให้เปนนายทหาร แล้วโจโฉก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงให้ปลูกตำหนักตกแต่งค่ายคูประตูหอรบไว้ให้พร้อม พระเจ้าเหี้ยนเต้เมื่ออยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น จึงตั้งตังสินกับขุนนางสิบสามคนเปนเสนาบดี

ขณะนั้นโจโฉมีใจกำเริบ จึงตั้งตัวขึ้นเปนมหาอุปราช แล้วตั้ง ซุนฮก ซุนสิ้ว กุยแก เล่าหัว ทั้งสี่คนนี้เปนขุนนางฝ่ายพลเรือน มอกาย เล็กโจ๋ ยิมจุ๋น สามคนนี้ได้กำกับคลังแลฉางเข้า เทียหยกเปนเจ้าเมืองตังเป๋ง ฮวนเสงกับตังเจี๋ยวเปนเจ้าเมืองลกเอี๋ยง หมันทองเปนที่เจ้าเมืองฮูโต๋ แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน โจหยิน โจหอง ทั้งสี่คนนี้เปนทหารเอก ลิยอย ลิเตียน งักจิ้น อิกิ๋ม ซิหลง ทั้งห้าคนนี้เปนทหารโท เคาทูกับเตียนอุยเปนทหารตรี บันดาทหารมีฝีมือทั้งนั้น ก็ตั้งเปนที่ขุนนางสิ้น แลในเมืองฮูโต๋นั้น ถ้าผู้ใดจะว่าข้อราชการสิ่งใดๆ ก็เอามาแจ้งแก่โจโฉก่อน จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะ แลหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะ ณ บ้าน โจโฉจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เล่าปี่ตั้งตัวขึ้นจนได้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แลลิโป้นั้นเปนศัตรูเรา บัดนี้แตกหนีไปอาศรัยเล่าปี่ ๆ ให้ไปอยู่เมืองเสียวพ่าย เกลือกลิโป้จะคิดกันกับเล่าปี่จะยกมาทำร้ายแก่เรา ท่านผู้ใดจะช่วยคิดอ่านล้างศัตรูเราเสียได้ เคาทูจึงว่าข้าพเจ้าขอทหารห้าหมื่น จะยกไปทำการตัดเอาสีสะลิโป้กับเล่าปี่มาให้ท่าน

ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า เคาทูเปนทหารมีกำลังแต่หาความคิดมิได้ ประการหนึ่งในเมืองฮูโต๋นี้ ท่านพึ่งยกมาซ่อมแปลงขึ้นใหม่ บ้านเมืองยังมิทันปรกติ ซึ่งจะยกไปนั้นข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย แลเล่าปี่กับลิโป้นั้นอุปมาดังเสือสองตัว ข้าพเจ้าจะคิดให้ชิงอาหารกันกิน เห็นเล่าปี่กับลิโป้จะเกิดรบพุ่งกันจนตายข้างหนึ่ง แล้วจึงคิดการต่อไป บัดนี้ท่านจงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า เล่าปี่เปนเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นยังมิได้รับสั่งตั้งแต่ง ขอให้มีหนังสือไปตั้งเล่าปี่เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว เห็นเล่าปี่จะเปนใจทำราชการ ท่านจึงให้มีหนังสือไปนอกนั้นฉบับหนึ่งว่าท่านได้ช่วยทูล พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดตั้งเล่าปี่ให้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แลลิโป้นั้นมักทำร้ายแก่ผู้มีคุณ ให้เล่าปี่คิดอ่านฆ่าลิโป้เสียจงได้ โจโฉเห็นชอบด้วย เข้าไปเฝ้าแล้วทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขอให้มีหนังสือไปตั้งเล่าปี่เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ แล้วทรงพระอักษรให้เล่าปี่เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว โจโฉก็รับเอาหนังสือรับสั่งออกมา จึงแต่งหนังสืออีกฉบับหนึ่งตามคำซุนฮกว่า แล้วส่งให้คนสนิธทั้งสองฉบับ โจโฉจึงสั่งแก่ผู้ถือหนังสือให้บอกแก่เล่าปี่ว่า เราช่วยทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดให้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วให้ฟังกิตติศัพท์ว่า เล่าปี่จะคิดทำประการใดแก่ลิโป้บ้าง คนใช้ก็รับเอาหนังสือไปให้แก่เล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋ว เล่าปี่คำนับตามอย่างธรรมเนียม แล้วรับเอาหนังสือรับสั่งมาอ่านดูก็มีความยินดี จึงเชิญให้ผู้ถือหนังสือกินโต๊ะ ผู้ถือหนังสือก็กินโต๊ะแล้วบอกแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งให้ท่านเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว เพราะโจโฉทูลเสนอให้ จึงเอาหนังสือโจโฉยื่นให้แก่เล่าปี่ แล้วบอกว่าหนังสือฉบับนี้โจโฉให้มาแต่ก่อน เล่าปี่แจ้งเนื้อความแล้วจึงว่า ท่านจงไปบอกแก่โจโฉว่า เราขอทุเลาตรึกตรองดูก่อน ครั้นเวลาค่ำจึงให้หาที่ปรึกษามา บอกว่าโจโฉให้มีหนังสือมาให้ฆ่าลิโป้เสีย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

เตียวหุยจึงว่าลิโป้นั้นน้ำใจหยาบช้า แล้วมิได้รู้จักคุณคน ถ้าจะฆ่าเสียตามคำโจโฉว่า ข้าพเจ้าก็เห็นชอบด้วย เล่าปี่จึงตอบว่าลิโป้ได้บากหน้ามาพึ่งแล้ว ครั้นเราจะทำอันตรายเสียบัดนี้ก็เห็นไม่สมควร นานไปใครจะมาอยู่ด้วยเล่า เตียวหุยจึงว่า ท่านจะทำใจดีต่อคนร้ายนั้นไม่ได้ เล่าปี่ก็มิได้ฟังคำเตียวหุย

ฝ่ายลิโป้รู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้มีหนังสือตั้งเล่าปี่เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว ลิโป้ก็ไปเยือนเล่าปี่แล้วว่า ข้าพเจ้ารู้ว่ารับสั่งตั้งให้ท่านเปนเจ้าเมือง ข้าพเจ้าก็มีความยินดีด้วยนัก พอเตียวหุยถือกระบี่เข้ามาจะฆ่าลิโป้ เล่าปี่เห็นก็ตกใจจึงลุกออกไปยุดเอากระบี่ไว้ ลิโป้จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เตียวหุยนั้นมีความแค้นข้าพเจ้าด้วยสิ่งใด จึงมีใจพยาบาทจะฆ่าข้าพเจ้าเสียเปนหลายครั้งมาแล้ว เตียวหุยได้ยินดังนั้นจึงตอบลิโป้ว่า ตัวมึงมิได้รู้จักคุณคน โจโฉจึงให้มีหนังสือมาถึงพี่กูให้ฆ่ามึงเสีย เล่าปี่จึงร้องตวาดแล้วให้ทหารเอาตัวเตียวหุยออกไปเสียภายนอก จึงพาลิโป้เข้าไปที่ข้างใน จึงเอาหนังสือโจโฉออกให้ดู แล้วบอกเนื้อความซึ่งโจโฉว่ามานั้นให้ลิโป้ฟังทุกประการ

ฝ่ายลิโป้เห็นหนังสือก็ร้องไห้ แล้วจึงว่าซึ่งโจโฉคิดทั้งนี้หวังจะให้ท่านกับข้าพเจ้ามีความสงสัย คิดร้ายเปนศัตรูกันภายหน้า เล่าปี่จึงตอบว่าท่านอย่าวิตกเลย ถึงมาทว่าจะมีผู้ยุยงประการใด เราก็มิได้เชื่อฟังคิดร้ายต่อท่าน ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลายใจจึงว่า ซึ่งท่านออกปากทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ เล่าปี่ก็ชวนลิโป้กินโต๊ะอยู่จนเวลาเย็น แล้วลิโป้ก็ลาเล่าปี่ไป ณ เมืองเสียวพ่าย

กวนอูเตียวหุยจึงเข้ามาว่ากับเล่าปี่ว่า ท่านปล่อยให้ลิโป้กลับไปมิได้ฆ่าเสียตามหนังสือโจโฉมีมาด้วยเหตุประการใด เล่าปี่จึงตอบว่า น้ำใจโจโฉนั้นคิดจะให้เรากับลิโป้แหนงกัน จึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งเราเปนเจ้าเมือง แล้วมีหนังสือของโจโฉมาให้เราคิดฆ่าลิโป้เสีย การทั้งนี้โจโฉคิดหวังจะให้ลิโป้กับเราเกิดรบพุ่งกัน ถ้าผู้ใดแพ้โจโฉก็จะทำศึกแก่ผู้มีชัยเปนหน้าเดียว หากังวลหลังมิได้ ซึ่งเราจะทำตามโจโฉนั้นไม่ควร กวนอูเห็นชอบด้วย แต่เตียวหุยนั้นว่า ข้าพเจ้าจะคิดฆ่าลิโป้เสียให้ได้ ภายหน้าไปจึงจะไม่มีภัย เล่าปี่จึงว่าแก่เตียวหุยว่าซึ่งเจ้าจะคิดทำทั้งนี้ ก็เหมือนหนึ่งคนหาปัญญามิได้

ฝ่ายผู้ถือหนังสือครั้นรู้กิตติศัพท์ทั้งปวงแล้ว ก็ลาเล่าปี่กลับไปแจ้งแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์นอกนั้นว่า เล่าปี่จะได้ทำตามหนังสือท่านหามิได้ โจโฉจึงปรึกษากับซุนฮกว่า เนื้อความซึ่งท่านคิดให้เราทำนั้น เล่าปี่ก็มิได้ทำตาม ท่านจะคิดประการใดเล่า ซุนฮกจึงว่าข้าพเจ้าจะขอคิดกลอุบายอีกข้อหนึ่ง เรียกว่าเสือกลืนหมี โจโฉจึงถามว่าเสือกลืนหมีนั้นทำประการใด ซุนฮกจึงว่าน้ำใจลิโป้นั้นมิได้ซื่อต่อผู้ใด ขอให้ท่านแต่งคนไปบอกอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงว่า บัดนี้เล่าปี่มีหนังสือขึ้นมาให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า จะขอทหารยกไปตีเมืองลำหยง ถ้าอ้วนสุดรู้ดังนี้ก็จะโกรธ เห็นจะยกทหารชิงมารบเมืองเล่าปี่ก่อน ท่านให้มีหนังสือรับสั่งไปให้เล่าปี่ยกไปรบเมืองอ้วนสุด เมื่อเล่าปี่กับอ้วนสุดรบกันอยู่นั้น ถ้าผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ ลิโป้ก็จะซ้ำเอาเปนมั่งคง ท่านจึงคิดการต่อไป โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งคนให้ไปบอกอ้วนสุด แล้วแต่งหนังสือรับสั่งให้คนถือไปให้เล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋ว เปนใจความว่า บัดนี้อ้วนสุดมิได้อ่อนน้อมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ จึงมีหนังสือรับสั่งลงมาให้เล่าปี่ยกกองทัพไปตีเมืองอ้วนสุด เล่าปี่จึงว่าแก่ผู้ถือหนังสือว่า ท่านขึ้นไปกราบทูลพระจ้าเหี้ยนเต้เถิด ซึ่งมีรับสั่งมานั้นจะทำตามทุกประการ แล้วผู้ถือหนังสือก็กลับไป

บิต๊กจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งมีรับสั่งมาทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าความคิดโจโฉทำกลอุบายมา เล่าปี่จึงตอบว่า ถึงมาทว่าโจโฉจะคิดกลอุบายประการใดก็ดี เปนหนังสือรับสั่งมาแล้วเราจะทำตาม แล้วเล่าปี่ก็จัดแจงทหารทั้งปวงได้ประมาณสามหมื่นเตรียมไว้ ถึงวันดีเมื่อใดจะให้ยกไป

ซุนเขียนจึงว่า ซึ่งท่านจะยกไปนั้น ขอให้จัดแจงทหารซึ่งมีสติปัญญาไว้อยู่รักษาเมือง เล่าปี่ก็เห็นชอบด้วย กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะขออยู่รักษาเมือง เล่าปี่จึงตอบว่าเจ้าเปนที่ปรึกษาของเรา ซึ่งจะอยู่รักษาเมืองนั้นไม่ได้ เตียวหุยจึงว่าท่านจะเอากวนอูไปเปนที่ปรึกษาแล้วข้าพเจ้าจะขออยู่รักษาเมือง เล่าปี่จึงว่าตัวเจ้ามักเสพย์สุรา แล้วตีโบยทหาร ประการหนึ่งก็เปนคนใจร้ายมิได้ฟังผู้ใดห้ามปราม จะไว้ใจให้อยู่รักษาเมืองนั้นมิได้ เตียวหุยจึงว่า แต่วันนี้ข้าพเจ้าไม่เสพย์สุราเลย ถ้าจะทำการสิ่งใดก็จะปรึกษาหารือผู้มีสติปัญญาก่อนจึงจะทำ แม้นมีผู้ใดห้ามปรามจะฟังคำ

บิต๊กจึงว่าเกรงอยู่แต่จะไม่เหมือนถ้อยคำท่าน เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงตอบว่าแต่เราตั้งใจทำการด้วยเล่าปี่มาก็หลายปีแล้ว ผู้ใดยังมิจับเท็จเราได้ แลท่านจะมาล่วงว่าเรานั้นไม่ควร เล่าปี่จึงห้ามเตียวหุยว่าอย่าโกรธบิต๊กเลย ซึ่งเจ้าจะอยู่รักษาเมืองนั้นเราก็ยังมิไว้ใจ แต่ได้ให้สัญญาแล้วจะอยู่ก็ตามเถิด แต่เอาตันเต๋งไว้เปนที่ปรึกษาด้วย จะได้ตักเตือนห้ามปรามอย่าให้เสพย์สุรานัก ราชการบ้านเมืองจึงจะไม่เกิดเหตุการณ์ เตียวหุยกับตันเต๋งก็รับคำเล่าปี่ ครั้นวันดีเล่าปี่ก็ยกกองทัพจะไปตีเมืองลำหยง

ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นรู้เหตุว่าเล่าปี่ให้มีหนังสือขึ้นไปขอทหารพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะยกมาตีเมืองลำหยง อ้วนสุดก็โกรธ จึงว่าเล่าปี่นั้นชาติอ้ายทอเสื่อขาย บัดนี้ได้เปนเจ้าเมืองแล้ว คิดการกำเริบจะล่วงมาตีเอาเมืองเรา ๆ จะนิ่งให้มันมาเหยียบถึงแดนเราใย จึงให้กิเหลงทหารเอกเปนแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่น ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว

กิเหลงยกทหารมาถึงแดนเมืองอุไถ เห็นทัพเล่าปี่ยกมา กิเหลงก็ให้ตั้งค่ายอยู่พอแลเห็นกัน ฝ่ายเล่าปี่พอเห็นกิเหลงชาวเมืองซัวตั๋งยกมา จึงคิดว่าทหารเราน้อย ให้ตั้งค่ายลงเปนหน้ากระดานต่อเนินเขา ตลอดลงไปเอาแม่น้ำ กิเหลงเห็นดังนั้นจึงขึ้นมาถือง้าวหนักห้าสิบชั่ง คุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายเล่าปี่ แล้วร้องด่าเล่าปี่ว่าอ้ายชาวป่ามึงมีฝีมือสักเพียงใด จึงบังอาจยกมาทำสงครามถึงเมืองอุไถซึ่งขึ้นแก่เมืองลำหยง เล่าปี่จึงว่าอ้วนสุดเปนขบถแข็งเมืองไว้ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้กูให้ยกกองทัพมาปราบปรามอ้วนสุดให้อ่อนน้อมต่อพระ เจ้าเหี้ยนเต้ แลตัวมิได้คำนับเราผู้ถือรับสั่ง แล้วซ้ำเจรจาหยาบช้าโทษตัวก็ถึงตาย

กิเหลงได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวเข้าไปจะรบด้วยเล่าปี่ กวนอูเห็นดังนั้นจึงขับม้ารำง้าวออกรบกับกิเหลงได้สามสิบเพลง มิได้แพ้ชนะกัน กิเหลงสิ้นกำลังจึงร้องว่ากับกวนอูว่า เราจะหยุดพักเสียก่อน แล้วจะรบกันต่อไป กวนอูก็ชักม้ากลับเข้ามาหยุดพักอยู่ กิเหลงกลับเข้ามาถึงค่าย จึงให้ซุนเจ้งทหารรองออกไปรบ กวนอูเห็นก็ขับม้าออกไปแล้วร้องว่า ตัวมิได้สมควรที่จะรบกับเรา จงเร่งกลับไปบอกกิเหลงออกมารบกับเราจึงจะสมฝีมือกัน

ซุนเจ้งจึงตอบว่า ตัวนี้บังอาจว่าหยาบช้า แต่เช่นตัวเปนทหารนี้ยังหามีผู้ใดลือชื่อไม่ เปนไฉนจึงยกตัวว่าจะสู้กับนายกู กวนอูได้ยินจึงขับม้าเข้ารบด้วยซุนเจ้งได้เพลงหนึ่ง กวนอูก็เอาง้าวฟันถูกซุนเจ้งตกม้าตาย เล่าปี่จึงคุมทหารเข้ารบหักเอาค่ายกิเหลงได้ กิเหลงพาทหารถอยไปตั้งอยู่ริมน้ำเมืองชัวหยิน แล้วแต่งทหารยกมาปล้นค่ายเล่าปี่เปนหลายครั้งก็มิได้ค่าย ทหารเล่าปี่ฆ่าฟันทหารกิเหลงล้มตายทุกครั้ง กิเหลงกับเล่าปี่ก็ตั้งรอคอยทีกันอยู่

ฝ่ายเตียวหุยซึ่งอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว จึงให้ตันเต๋งว่าราชการฝ่ายพลเรือน เตียวหุยนั้นว่าราชการข้างเหล่าทหาร ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเตียวหุยแต่งโต๊ะ แล้วเชิญขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนทั้งปวงมาพร้อมกันเตียวหุยจึงว่า เมื่อเล่าปี่จะยกกองทัพไปนั้น ได้กำชับเราว่าอย่าให้เสพย์สุรานัก วันนี้เราสบายใจจึงให้แต่งโต๊ะเชิญท่านทั้งปวงมากินโต๊ะ เสพย์สุราเล่นแต่วันเดียวนี้ให้สนุก สืบไปท่านทั้งปวงแลเราอย่าได้กินเลยเปนอันขาด จะตั้งหน้าว่าราชการรักษาเมืองไว้ให้เปนปรกติกว่าเล่าปี่จะยกกลับมา แล้วเตียวหุยก็รินสุราคำนับให้ขุนนางทั้งปวงกิน

แต่โจป้ามิได้รับจอกสุรา จึงว่าแก่เตียวหุยว่า ข้าพเจ้าได้สาบาลไว้ต่อเทพดาว่ามิได้กินเลย เตียวหุยจึงว่าตัวเปนทหารเหตุใดจึงว่าไม่เสพย์สุรา เราจะให้กินสักจอกหนึ่ง ถ้ามิกินเราไม่ฟัง โจป้าคิดกลัวเตียวหุยจึงคำนับรับจอกสุรามากินเข้าไป เตียวหุยจึงรินสุรากินเข้าไปประมาณยี่สิบจอกใหญ่ เตียวหุยเมาแล้วจึงรินสุราให้ขุนนางทั้งปวงกินอีก แต่โจป้านั้นว่าข้าพเจ้ากินไม่ได้ เตียวหุยจึงหัวเราะแล้วว่าเมื่อกี้นั้นตัวว่ากินไม่ได้ แล้วก็กินเข้าไปได้จอกหนึ่ง ครั้นให้กินอีกว่ากินไม่ได้ ก็เห็นว่าตัวแกล้งบิดพลิ้วลวงเรา ๆ ไม่ฟัง จะให้ตัวกินอีกจงได้ โจป้าก็มิได้กิน เตียวหุยโกรธจึงว่า ตัวเปนผู้น้อยกว่าเราบังอาจขัดไม่เสพย์สุราด้วยเรานั้น ก็เห็นว่าตัวมิได้เกรงเรา แล้วก็สั่งให้คนใช้เอาตัวโจป้าไปตีร้อยหนึ่ง

ตันเต๋งเห็นเตียวหุยจะทำวุ่นวาย จึงว่าเมื่อเล่าปี่จะยกกองทัพไปนั้นได้สั่งไว้แก่ท่านประการใดบ้าง เตียวหุยจึงตอบว่าเราได้แบ่งให้ท่านว่าราชการข้างพลเรือน ตัวเราบังคับบัญชาฝ่ายทหาร แลโจป้านี้เปนทหาร ท่านอย่าได้มาล่วงว่าเลย ฝ่ายคนใช้จะคร่าเอาตัวโจป้าไปตี โจป้าจึงอ้อนวอนเตียวหุยว่า ข้าพเจ้าขอโทษเสียครั้งหนึ่งเถิด ถึงแม้ไม่เห็นแก่ข้าพเจ้าจงเห็นแก่หน้าบุตรเขยข้าพเจ้าบ้าง เตียวหุยจึงถามว่าผู้ใดเปนบุตรเขยของตัว โจป้าจึงบอกว่าลิโป้ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธ จึงว่าเราทำทั้งนี้หวังจะหยอกเล่น ตัวเอาชื่ออ้ายลิโป้มาข่มจะให้เราเกรง เราหาเกรงมันไม่ เราจะให้ตีในบัดนี้จริงๆ ให้กระทบถึงอ้ายลิโป้ผู้เปนลูกเขย ซึ่งตัวนับถือว่าดี ก็สั่งให้คนใช้เร่งเอาตัวโจป้าลงไปตีได้ประมาณห้าสิบที ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันเข้าขอ เตียวหุยก็ให้งดไว้ โจป้าก็กลับมาบ้าน คิดแค้นเตียวหุยเปนอันมาก จึงแต่งหนังสือให้คนใช้ถือไปให้ลิโป้ ณ เมืองเสียวพ่ายเปนใจความว่า บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพไปตีเมืองลำหยง เตียวหุยเสพย์สุราเมาให้ตีเรา แล้วว่ากล่าวหยาบช้ากระทบมาถึงลิโป้ด้วย ขอให้คุมทหารยกมาตีเมืองชีจิ๋วในเวลากลางคืนวันนี้เห็นจะได้โดยง่าย ด้วยเตียวหุยกำลังเมาสุราอยู่

ลิโป้แจ้งในหนังสือจึงปรึกษากับตันก๋ง ๆ จึงว่าซึ่งเตียวหุยทำการว่ากล่าวทั้งนี้เห็นหยาบช้านัก อันท่านจะอยู่แต่เมืองเสี้ยวพ่ายนี้เห็นไม่สมควรเปนที่มั่น บัดนี้ได้ทีแล้วจำจะยกไปตีเอาเมืองชีจิ๋ว จะได้อยู่เปนสุข จะได้คิดการใหญ่สืบไป ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงสั่งตันก๋งกับโกซุ่นว่าเราจะยกรีบไปก่อน ท่านจงกะเกณฑ์ทหารให้สิ้นเชิงยกตามเราไป แล้วลิโป้ก็ใส่เกราะขึ้นม้าคุมทหารประมาณห้าร้อย ยกไปถึงเชิงกำแพงเมืองชีจิ๋วเวลาประมาณสามยามเศษ แล้วร้องบอกแก่ทหารบนเชิงเทินว่าให้เร่งเปิดประตูออก เล่าปี่ให้เรามาแจ้งข้อราชการแก่เตียวหุย พอทหารโจป้ารักษาน่าที่อยู่ ได้ยินลิโป้ร้องเข้ามาก็เอาเนื้อความไปบอกแก่โจป้า ๆ ก็รีบมาดูบนเชิงเทินเห็นลิโป้ก็ให้ทหารเปิดประตูเมืองออกรับ ลิโป้คุมทหารโห่ร้องเข้าไป

ฝ่ายทหารพรรคพวกเตียวหุยเห็นลิโป้คุมทหารเข้ามาได้ในเมืองก็ตกใจ จึงเข้าไปปลุกเตียวหุย ๆ ตื่นขึ้นยังเมาสุรามึนอยู่ ทหารทั้งปวงบอกว่า ลิโป้คุมทหารเข้ามาได้ในเมือง เตียวหุยตกใจจึงขึ้นม้าถือทวนออกมาถึงประตูบ้าน เห็นทหารลิโป้ล้อมอยู่จึงคิดว่า ตัวกูยังเมาสุรากำลังน้อยอยู่จะสู้กับลิโป้มิได้ จึงทิ้งครอบครัวเล่าปี่เสีย พาเอาทหารซึ่งสนิธนั้นขี่ม้าทั้งสิบแปดคนหนีออกจากประตูเมืองไป

ฝ่ายลิโป้ก็คิดว่าเตียวหุยมีฝีมือมิได้ไปติดตาม แต่โจป้านั้นคิดแค้นเตียวหุยอยู่เปนอันมาก จึงคุมทหารประมาณร้อยหนึ่ง ตามเตียวหุยไป เตียวหุยเหลียวหลังมาเห็นโจป้า จึงชักม้ากลับมารบด้วยโจป้าได้สามเพลง โจป้านั้นกำลังน้อยก็ขับม้าหนี เตียวหุยขับม้าตามไปถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง จึงเอาทวนแทงถูกโจป้าตกม้าตาย

ฝ่ายทหารเตียวหุยซึ่งอยู่ในเมืองก็ลอบหนีออกมาได้บ้าง ครั้นเวลาเช้ามาพบเตียวหุย ๆ จึงพากันตามเล่าปี่ไป ณ เมืองลำหยง ฝ่ายลิโป้ครั้นได้เมืองชีจิ๋วจึงเกณฑ์ทหารร้อยหนึ่ง ไปอยู่รักษาครอบครัวเล่าปี่มิให้ผู้ใดทำอันตรายได้

ฝ่ายเตียวหุยครั้นมาถึงเมืองอุไถ จึงเล่าเนื้อความให้เล่าปี่แจ้งทุกประการ บันดาทหารในกองทัพเล่าปี่รู้ดังนั้นก็ตกใจ ทุกข์ถึงครอบครัวของตัว เล่าปี่เห็นทหารทั้งปวงทุกข์ร้อนก็เอาน้ำใจว่า ธรรมดาเกิดมาเปนชาติทหารแล้ว ถ้าจะเสียทีก็อย่าเปนทุกข์ ถึงจะได้ทีก็อย่ายินดี

กวนอูจึงถามเตียวหุยว่า ตัวเจ้ามาครั้งนี้ได้ครอบครัวของพี่เรามาด้วยหรือ เตียวหุยจึงบอกว่าพี่สะใภ้เราทั้งสองนั้นยังตกอยู่ในเมืองชีจิ๋ว กวนอูได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงกระทืบเท้าลงแล้วว่า เมื่อเล่าปี่จะยกมานั้นตัวรับจะอยู่รักษาเมือง ครั้นเล่าปี่มิให้อยู่ตัวก็สัญญาประการใดยังคิดได้หรือไม่ แลเมื่อเสียเมืองชีจิ๋วแล้วมิหนำ ซ้ำเสียทั้งครอบครัวของพี่เราฉนี้ตัวจะคิดประการใด เตียวหุยได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็นิ่งไปมิได้ตอบคำ คิดอัปยศแก่ทหารทั้งปวง จึงชักเอากระบี่ออกจะเชือดคอตาย เล่าปี่เห็นก็ตกใจวิ่งเข้ากอดเอาเตียวหุยไว้ แล้วชิงเอากระบี่เสียจากมือ แล้วจึงว่าคำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาภรรยาอุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วก็จะหาได้ พี่น้องเหมือนแขนซ้ายขวา ขาดแล้วยากที่จะต่อได้ แล้วเราก็ได้สาบาลไว้ต่อกันว่า ถ้าจะตายก็จะตายด้วยกัน ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วแลภรรยาเราไปทั้งนี้เปนแต่การภายนอก จะฆ่าตัวเสียนั้นใช่ของทั้งนี้จะคืนมาก็หามิได้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมาตายเสียเปล่า ๆ ไม่ควรเลย แล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ กวนอูเตียวหุยเห็นเล่าปี่ร้องไห้ก็ร้องไห้ด้วย

ฝ่ายอ้วนสุดรู้ว่าลิโป้ได้เมืองชีจิ๋วแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือรีบไปถึงลิโป้ว่า ให้ลิโป้ช่วยรบเล่าปี่ให้แตกจงได้ เราจะให้ม้าห้าร้อย เข้าห้าหมื่นถัง ทองเงินหมื่นตำลึง แพรพันพับ ลิโป้แจ้งในหนังสือดังนั้นก็ดีใจ จึงให้โกซุ่นคุมทหารห้าหมื่นยกไปตีกระหนาบหลังเล่าปี่ ๆ จึงปรึกษากวนอูเตียวหุยว่า เรากำลังน้อยเห็นจะสู้เขามิได้ เวลากลางคืนฝนตกหนัก เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็ยกทหารออกจากค่ายจะไปเมืองกองเหลง

ฝ่ายโกซุ่นมาถึงรู้ว่าเล่าปี่ยกหนีไปแล้ว จึงไปหากิเหลง ณ ค่าย โกซุ่นจึงว่าแก่กิเหลงว่า บัดนี้เล่าปี่ก็หนีไปแล้ว ของซึ่งนายท่านจะให้แก่นายเรานั้นเปนประการใด กิเหลงจึงตอบว่า เนื้อความทั้งนี้เรายังมิได้แจ้ง เรากลับไปเมืองแล้วจะถามอ้วนสุดดูก่อน แล้วกิเหลงก็ยกกลับไปบอกแก่อ้วนสุด โกซุ่นก็กลับไปเมืองชีจิ๋วบอกแก่ลิโป้ว่าเล่าปี่นั้นยกหนีไปแล้ว ข้าพเจ้าพบกิเหลงได้ว่าด้วยสิ่งของ กิเหลงว่าจะไปบอกอ้วนสุดผู้นายก่อน

ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็คิดสงสัย พอมีหนังสืออ้วนสุดมาถึงลิโป้ว่าท่านให้โกซุ่นยกไปก็จริงแต่มิได้รบพุ่ง แล้วก็ยังมิได้ตัวเล่าปี่ ถ้าได้ตัวเล่าปี่เมื่อใดเราจะให้สิ่งของตามสัญญา ลิโป้เห็นหนังสือนั้นก็โกรธ จึงว่าอ้วนสุดเจรจาหาความจริงไม่ แล้วปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกไปรบอ้วนสุด

ตันก๋งจึงว่าบัดนี้อ้วนสุดมาตั้งอยู่เมืองฉิวฉุนเปนที่สำคัญ ทหารมีฝีมือก็มาก เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ ซึ่งท่านจะยกไปบัดนี้เห็นจะเสียทีแก่อ้วนสุด ขอให้ท่านคิดอ่านเกลี้ยกล่อมเอาเล่าปี่มาไว้เมืองเสียวพ่ายก่อน เมื่อเราจะยกไปนั้นจะได้อาศรัย เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เปนกำลัง เห็นการจะสำเร็จโดยสดวก ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือไปเชิญเล่าปี่

ฝ่ายเล่าปี่ยกหนีไปถึงเมืองกองเหลง พออ้วนสุดยกมาตีเมืองกองเหลงแตก เล่าปี่หนีออกจากเมืองมาพบทหารลิโป้ เล่าปี่เห็นหนังสือจึงปรึกษากับกวนอูว่า ลิโป้ให้หนังสือมาหาเราไปเจ้าจะเห็นประการใด กวนอูจึงว่าลิโป้เปนคนพูดเพราะ แต่เจรจาหาสัตย์มิได้ ซึ่งท่านจะคบสืบไปนั้นเห็นไม่สมควร เล่าปี่จึงว่าบัดนี้ลิโป้ให้มาหาเราโดยดีจำเราจะไปจึงจะควร

ฝ่ายลิโป้ให้ทหารถือหนังสือไปแล้วกลัวเล่าปี่จะไม่มา จึงให้คุมเอาตัวนางกำฮูหยินกับนางบีฮูหยินซึ่งเปนภรรยาเล่าปี่นั้นตามไปให้ จะให้เล่าปี่สิ้นสงสัย พอเล่าปี่ยกมาพบกันกลางทาง เล่าปี่เห็นภรรยาก็ดีใจจึงถามว่าลิโป้ได้เมืองแล้วพิทักษ์รักษาเจ้าทั้งสอง ประการใดบ้าง นางกำฮูหยิน นางบีฮูหยิน บอกว่า ลิโป้ให้ทหารพิทักษ์รักษามิให้ผู้ใดเข้าออกแปลกปลอมได้ แล้วจัดแจงหญิงให้ใช้สรอยส่งเข้าปลาอาหารอยู่มิได้ขาด เล่าปี่ว่าแก่ กวนอู เตียวหุย ว่า ข้าได้ว่าแต่เดิมทีว่า อันลิโป้นั้นมีกตัญญูต่อเราอยู่ เห็นจะไม่ทำร้ายแก่ครอบครัวเรา จำเราจะเข้าไปหาลิโป้จึงจะควร กวนอูเห็นชอบด้วย แต่เตียวหุยมีพยาบาทอยู่ไม่ขอเห็นหน้าลิโป้ จึงว่าพี่ทั้งสองจะไปก็ตามเถิด แต่ตัวข้านี้จะพาพี่สะใภ้ไปอยู่ในเมืองเสียวพ่ายก่อน แล้วเตียวหุยก็ลาเล่าปี่ไป เล่าปี่กวนอูจึงพากันไปหาลิโป้

ลิโป้จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เราทำการทั้งนี้ใช่เราจะเห็นแก่สมบัติของท่านนั้นหามิได้ เพราะเตียวหุยน้องท่านเสพย์สุราเมา เรากลัวจะทำการหยาบช้า จะเกิดวุ่นวายกันขึ้น เราจึงมาทำการทั้งนี้หวังจะรักษาเมืองไว้ให้ท่าน เล่าปี่จึงว่าเมืองอันนี้แต่แรกเราก็ว่าจะให้ท่านอยู่อีกท่านมิยอม บัดนี้ท่านมาตีได้เปนเมืองของท่านก็ดีแล้ว เชิญท่านอยู่ให้เปนสุขเถิด ตัวเรากับสมัคพรรคพวกจะขอไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ลิโป้ก็ว่ากล่าวให้เล่าปี่อยู่รักษาเมืองดังเก่า เล่าปี่มิยอมอยู่ก็ลาลิโป้ไปเมืองเสียวพ่าย แต่กวนอู เตียวหุยนั้นคิดพยาบาทลิโป้อยู่มิได้ขาด เล่าปี่แจ้งในกิริยากวนอูเตียวหุย จึงว่าเจ้าอย่าเพ่อคิดอ่านวุ่นวายก่อน จงค่อยทรมานไปจนกว่าจะได้ทีของเรา จึงจะได้คิดการต่อไป ฝ่ายลิโป้ก็ส่งเข้าของไปให้เล่าปี่เนือง ๆ เล่าปี่กับลิโป้นั้นก็ปรกติกันอยู่ มิได้กินแหนงกัน

[๑] มีในเรื่องเลียดก๊ก


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 12

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnX21KdEU1Q05VSkE/view?resourcekey=0-y-Ip5u3Mtyobs66HpYjUHA


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #2 on: 21 December 2021, 21:17:17 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 13


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-13.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 13

เนื้อหา
ซุนเซ็กลูกซุนเกี๋ยนมอบตราหยกไว้แก่อ้วนสุด
ซุนเซ็กได้จิวยี่เป็นที่ปรึกษา
ซุนเซ็กรบกับเล่าอิ้ว
ซุนเซ็กตั้งซ่องสุมกำลังไว้ที่เมืองกังตั๋ง
ซุนเซ็กตีเมืองต๋องง่อ
กล่าวถึงหมอฮัวโต๋

ฝ่าย อ้วนสุดซึ่งอยู่ ณ เมืองลำหยงนั้น ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนาง อ้วนสุดก็กินด้วย ฝ่ายซุกเซ็กซึ่งไปตีเมืองโลกั๋งครั้นได้เมืองแล้วจึงกลับมาเมืองลำหยง เข้าไปหาอ้วนสุด ๆ เห็นก็ดีใจจึงจูงมือไปให้กินโต๊ะด้วย แลซุกเซ็กคนนี้จะได้เปนบ่าวของอ้วนสุดแต่เดิมมานั้นหามิได้ เปนแต่บุตรซุนเกี๋ยน ครั้นบิดาตายจึงยกมาอยู่เมืองกังหนำ เมื่อโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วยังไม่ตายนั้นผิดกันกับงอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ ยงซึ่งเปนน้าซุนเซ็ก ๆ จะอยู่ในเมืองกังหนำนั้นเห็นจะไม่เปนสุข ด้วยเมืองกังหนำขึ้นแก่เมืองชีจิ๋ว ซุนเซ็กจึงพามารดากับครอบครัวไปไว้ตำบลขยกโอ๋ใกล้เมืองตันเอี๋ยง แต่ตัวซุนเซ็กนั้นไปทำการอยู่กับอ้วนสุด ๆ ก็รักใคร่ตั้งให้เปนเก้าอุ้ยนายทหาร ได้ใช้ไปตีเมืองเก๋งกวนได้เมืองครั้งหนึ่ง แล้วซ้ำไปตีเมืองโลกั๋งได้อีกเมืองหนึ่งมีความชอบ อ้วนสุดมิได้ให้บำเหน็จ แต่เรียกให้กินโต๊ะ ครั้นกินสำเร็จแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันไปที่อยู่ ซุนเซ็กก็ลาอ้วนสุดมาบ้าน ซุนเซ็กก็ออกไปเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ที่หลังตึก คิดน้อยใจอ้วนสุดว่ามิได้นับถือ ซุนเซ็กก็ร้องไห้

พอจูตีซึ่งเปนทหารของบิดาซุนเซ็กนั้นเดิรเข้ามา เห็นซุนเซ็กยืนร้องไห้อยู่ จูตีก็หัวเราะแล้วว่า บิดาของท่านยังมีชีวิตอยู่ จะทำการสิ่งใดก็ปรึกษาเราทุกครั้ง บัดนี้ท่านขัดเคืองสิ่งใดจึงมิได้ถามเรามาร้องไห้อยู่ฉนี้ ซุกเซ็กเหลียวไปเห็นจูตีก็ค่อยคลายใจ เชิญให้จูตีนั่งแล้วว่าเราก็ทำความชอบต่ออ้วนสุด ๆ มิได้นับถือ เราจึงน้อยใจ ครั้นจะคิดการสืบไปให้เหมือนบิดา กำลังก็น้อยเห็นจะไม่ตลอด จูตีจึงว่าท่านก็มีตระกูล แลจะมาร้องไห้อยู่ฉนี้เหมือนมิใช่ชาติทหาร ให้ท่านคิดอ่านเข้าไปหาอ้วนสุด ขอทหารยกไปช่วยงอเก๋งผู้เปนน้าชาย ซึ่งอยู่เมืองตันเอี๋ยงก็จะมีกำลังมากขึ้น

พอลิห้อมที่ปรึกษาของอ้วนสุดจะมาหาซุนเซ็ก ลิห้อมแอบฟังอยู่ได้ยินเนื้อความดังนั้น ลิห้อมจึงเดิรเข้าไปแล้วว่าแก่ซุนเซ็กว่า ซึ่งท่านคิดกันนี้ดีนัก ทหารของข้าพเจ้าที่มีฝีมือมีอยู่สักร้อยหนึ่ง จะขอทำการด้วยท่าน ข้าพเจ้าเกรงแต่อ้วนสุดจะมิให้ทหาร ซุนเซ็กจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ตราหยกสำหรับกษัตริย์ของบิดาเรามีอยู่ เราจะเอาตรานั้นไปให้แก่อ้วนสุด ๆ ก็จะสิ้นสงสัยจะให้ทหารแก่เราโดยง่าย ซุกเซ็กจึงไปหาอ้วนสุดแล้วบอกว่า บิดาข้าพเจ้าตายก็ยังมิได้แก้แค้นเล่าอิ้ว บัดนี้ข้าพเจ้าพามารดากับภรรยาไปฝากไว้กับงอเก๋งผู้น้า ณ เมืองตันเอี๋ยง เล่าอิ้วซึ่งเปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้กระทำการเบียดเบียฬต่าง ๆ ข้าพเจ้าจะเอาตราหยกนี้ให้ไว้เปนจำนำ ข้าพเจ้าจะขอเอาทหารของท่านไปช่วยงอเก๋งผู้น้าแก้แค้นเล่าอิ้ว

อ้วนสุดเห็นตราหยกดังนั้นก็ยินดี จึงรับเอาตรานั้นมาดูแล้วทำเปนว่า เราจะปราถนาอันใดกับตราหยก แต่ท่านได้เอามาแล้วเราจะช่วยรักษาไว้ อันตัวท่านได้มาอยู่กับเรามีธุระสิ่งใดเราจะช่วย อ้วนสุดจึงจัดทหารสามพันกับม้าห้าร้อยให้แก่ซุนเซ็ก แล้วจึงสั่งว่าท่านไปทำการสำเร็จแล้วเร่งกลับมา อย่าเพ่อทำการสิ่งใดต่อไป ด้วยตัวท่านยังอ่อนความคิดอยู่ แล้วก็เปนขุนนางผู้น้อย ให้ท่านกลับมาหาเราจะตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่

ซุนเซ็กขอ จูตี ลิห้อมที่ปรึกษา เทียเภา ฮันต๋ง อุยกาย นายทหารซึ่งเคยทำการกับบิดานั้น อ้วนสุดก็ให้ ซุนเซ็กยกทหารออกจากเมืองลำหยง ไปถึงเมืองตันเอี๋ยง พอพบจิวยี่คุมพวกมา จะไปเยือนมารดา ณ เมืองซีเสง ซุนเซ็กก็หยุดอยู่ จิวยี่แลเห็นซุนเซ็กจึงลงจากม้ามาคำนับ ซุนเซ็กก็รับคำนับ

แลจิวยี่คนนี้ เมื่อบิดาซุนเซ็กรบกับตั๋งโต๊ะนั้น บิดาซุนเซ็กพาเอาครอบครัวไปไว้ ณ เมืองซีเสงใกล้บ้านจิวยี่ ๆ กับซุนเซ็กจึงชอบกันมา แต่ซุนเซ็กนั้นแก่กว่าจิวยี่สองเดือน จิวยี่จึงเรียกว่าพี่ ซุนเซ็กจึงเล่าเนื้อความทั้งปวงให้จิวยี่ฟัง จิวยี่จึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาทำการด้วยท่าน จะได้ช่วยกันคิดการใหญ่สืบไป ซุนเซ็กจึงว่าแม้ท่านสมัคด้วยเราดังนั้น การซึ่งเราคิดไว้นั้นก็จะสำเร็จโดยง่าย แล้วซุนเซ็กจึงพาจิวยี่ไปพูดกันกับจูตีลิห้อม จิวยี่จึงว่า ในเมืองกังตั๋งนั้นมีคนดีอยู่สองคนท่านรู้จักหรือไม่ ซุนเซ็กจึงถามว่าสองคนนั้นชื่อไร จิวยี่บอกว่าคนหนึ่งชื่อเตียวเจียวชาวเมืองเพ้งเสีย คนหนึ่งชื่อเตียวเหียนชาวเมืองกองเหลง สองคนนี้มีปัญญาเปนอันมาก บัดนี้หนีโจรมาอยู่เมืองกังตั๋ง ท่านจงคิดอ่านให้ไปเชิญมาจะได้ช่วยกันคิดการสืบไป ซุนเซ็กยินดีนักจึงแต่งให้ทหารคุมเอาสิ่งของเปนอันมาก ให้เชิญตัว เตียวเจียว เตียวเหียน มา ซุนเซ็กจึงเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง เตียวเจียว เตียวเหียน ก็ยอมจะทำการด้วย ซุนเซ็กจึงตั้งเตียวเจียวให้เปนใหญ่กว่านายทหารซ้ายขวา ตั้งเตียวเหียนให้เปนที่ปรึกษา แล้วคิดอ่านจะยกไปรบเล่าอิ้วตั้งอยู่ขยกโอ๋

เล่าอิ้วคนนี้เดิมอยู่เมืองเอียงจิ๋ว แล้วมาอยู่เมืองฉิวฉุน ครั้นอ้วนสุดยกมารบ จึงหนีมาตั้งอยู่ตำบลขยกโอ๋ ครั้นรู้ว่าซุนเซ็กยกทัพมา จึงหาที่ปรึกษามาคิดอ่านว่า บัดนี้ซุนเซ็กยกมาเราจะคิดอ่านประการใด เตียวเอ๋งนายทหารจึงรับอาสาว่า ข้าพเจ้าจะขอกองทัพไปตั้งอยู่ตำบลงิวจู๋ ที่นั้นชอบกลเปนที่ลุ่ม ถึงซุนเซ็กจะยกทหารมาสักร้อยหมื่นก็พอจะสู้ได้

ไทสูจู้ได้ยินเตียวเอ๋งว่าเห็นชอบด้วย ออกรับอาสาขอทหารจะยกเปนกองหน้าเล่าอิ้วไม่ยอม ว่าตัวเปนเด็กยังอ่อนความคิดอยู่ จะตั้งเปนนายทัพนั้นยังมิไว้ใจ ไทสูจู้โกรธก็นิ่งอยู่ เล่าอิ้วจึงจัดทหารให้เตียวเอ๋งไปตั้งอยู่ ณ ตำบลงิวจู๋ เตียวเอ๋งก็ไปตั้งซ่องสุมรี้พลกวาดเข้าขึ้นใส่ฉางไว้ตำบลเตโกะประมาณสิบ หมื่นถัง

ฝ่ายซุนเซ็กยกมาถึงตำบลงิวจู๋พบทัพเตียวเอ๋ง ๆ ก็ร้องด่าหยาบช้า ซุนเซ็กโกรธจึงให้อุยกายออกไปรบกับเตียวเอ๋งได้ห้าเพลง

ครั้งนั้นจิวขิมชาวเมืองฉิวฉุน กับจิวท่ายชาวเมืองแฮฌ้อ ซึ่งเปนโจรป่าอยู่นั้น รู้ข่าวว่าซุนเซ็กเปนคนมีปัญญาน้ำใจโอบอ้อมต่อราษฎร จึงคุมพรรคพวกสามร้อยจะมาเข้าด้วยซุนเซ็ก พอมาถึงตำบลงิวจู๋เห็นซุนเซ็กกับเตียวเอ๋งรบติดพันธ์กันอยู่ จิวขิมจิวท่ายจึงลอบเข้าจุดเพลิงในค่ายเตียวเอ๋ง ทหารในค่ายเห็นเพลิงลุกขึ้นวิ่งไปบอกเตียวเอ๋ง ๆ ตกใจละอุยกายเสียควบม้าจะกลับเข้าค่าย ซุนเซ็กเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่รบเตียวเอ๋งไป เตียวเอ๋งไม่ทันจะเข้าค่ายได้ ทิ้งทหารเสียหนีกลับเข้าเมือง ซุนเซ็กก็ได้เครื่องศัสตราวุธกับสิ่งของเปนอันมาก แล้วก็ตั้งเกลี้ยกล่อมได้ทหารประมาณสี่พันเศษ จะยกไปตั้งตำบลเขาสินเต๋งใกล้กันกับขยกโอ๋

ฝ่ายเล่าอิ้วเห็นเตียวเอ๋งแตกมาก็โกรธ ว่าตัวรับอาสาไปจะสู้กับซุนเซ็ก แล้วเหตุไฉนแตกมา เล่าอิ้วก็สั่งให้เอาตัวเตียวเอ๋งไปฆ่าเสีย ฉกหยงซีเหลที่ปรึกษาจึงว่า เตียวเอ๋งเปนคนมีฝีมืออยู่ ท่านจะฆ่าเสียบัดนี้รู้ไปถึงซุนเซ็กก็จะได้ใจ ข้าพเจ้าจะขอให้เตียวเอ๋งคุมทหารไปตั้งอยู่เมืองเลงเหลง คอยรับซุนเซ็กอีกครั้งหนึ่งก่อน เล่าอิ้วเห็นชอบด้วยก็แต่งให้เตียวเอ๋งยกไปตั้งอยู่ตามคำฉกหยงซีเหลว่า ฝ่ายเล่าอิ้วนั้นไม่ไว้ใจ กลัวซุนเซ็กจะยกตามมาฝ่ายเหนือ จึงยกทหารไปตั้งอยู่เชิงเขาสินเต๋งฝ่ายทิศเหนือ

ซุนเซ็กยกมาถึงเขาสินเต๋งก็ตั้งอยู่เชิงเขาข้างทิศใต้ แล้วจึงให้หาชาวบ้านมาถามว่า ที่เขาสินเต๋งนี้มีศาลเจ้าฮั่นกองบู๊หรือไม่ ชาวบ้านบอกว่ามีอยู่บนเนินเขา ซุนเซ็กจึงว่าเวลาคืนนี้เราฝันเห็นว่า ฮั่นกองบู๊ให้มาหาเราขึ้นไป บัดนี้จำเราจะขึ้นไปไหว้ฮั่นกองบู๊จึงจะควร เตียวเจียวจึงห้ามว่า ซึ่งท่านจะไปนั้นเห็นไม่ชอบ เกลือกว่าเล่าอิ้วรู้จะยกทหารขึ้นไปทำอันตรายท่าน ข้าพเจ้าเห็นจะเสียทีแก่เล่าอิ้ว

ซุนเซ็กไม่ฟังก็จับทวนขึ้นม้ากับทหารสิบสองคน พากันไปถึงศาลเจ้าฮั่นกองบู๊คำนับบวงสรวงแล้วจึงว่า แม้ข้าพเจ้าได้เมืองกังตั๋งสำเร็จความคิดแล้วเมื่อใด ข้าพเจ้าจึงจะมาทำพลีกรรม แล้วซุนเซ็กก็ออกจากศาล จึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เราจะไปดูกองทัพเล่าอิ้วจะตั้งกระบวรศึกประการใด ทหารทั้งปวงห้าม ซุนเซ็กก็ไม่ฟังขึ้นม้าพาทหารสิบสองคนนั้นเลียบออกไปตามเนินเขา

ฝ่ายทหารเล่าอิ้วเห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกเล่าอิ้วว่า ซุนเซ็กกับทหารประมาณสิบเอ็ดสิบสองคนขึ้นมาถึงเนินเขา เล่าอิ้วรู้เนื้อความดังนั้นก็คิดสงสัย จึงว่าซุนเซ็กขึ้นไปนั้นเห็นจะลวงเรา เปนกลศึกอย่าตามไปเลย ไทสูจู้จึงว่าครั้งนี้ได้ทีแล้ว จะมิคิดอ่านจับตัวซุนเซ็กท่านจะไว้ทำการเมื่อไรเล่า แล้วไทสูจู้ก็ถือทวนขึ้นม้าออกมานอกค่ายจึงรองประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราจะออกไปจับตัวซุนเซ็ก ผู้ใดที่มีฝีมือจะสมัคทำการด้วยเราก็ให้เร่งออกมา ทหารทั้งปวงก็นิ่งอยู่ แต่ทหารเลวคนหนึ่งสรรเสริฐว่า ไทสูจู้คนนี้มีฝีมือกล้าหาญ เราจะไปทำการด้วย แล้วก็ขี่ม้าตามไทสูจู้ไป ไทสูจู้มิได้อยู่ท่าผู้ใด สองคนกับทหารนั้นรีบขึ้นไปบนเนินเขา ทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้นชวนกันแลดูไทสูจู้แล้วก็หัวเราะ

ฝ่ายซุนเซ็กครั้นแลดูกระบวรทัพเล่าอิ้วเสร็จแล้ว ก็ชักม้าลงมาจากเนินเขา พอได้ยินไทสูจู้ร้องว่าซุนเซ็กมึงจะหนีไปไหน ซุนเซ็กเหลียวหลังมา เห็นทหารสองคนขึ้นม้าควบตามมา ซุนเซ็กจึงให้ทหารรออยู่ริมเชิงเขา แต่ตัวนั้นยืนม้าอยู่หน้าทหาร ไทสูจู้ตามมาทันจึงร้องถามว่า ผู้ใดชื่อซุนเซ็ก ๆ จึงตอบว่าเราชื่อซุนเซ็ก ตัวนั้นชื่อไรเล่า ไทสูจู้จึงว่าเราไทสูจู้ จะมาจับตัวซุนเซ็ก ๆ หัวเราะแล้วจึงว่า ตัวจะมาจับเราแต่สองคนนี้เรามิได้กลัว แม้เรากลัวเราก็มิใช่ชาติทหาร ไทสูจู้จึงตอบว่า เราผู้เดียวให้ตัวออกมาทั้งสิบสองคนนั้นเราก็ไม่กลัว ซุกเซ็กโกรธจึงขับม้าเข้ารบกับไทสูจู้ได้ห้าเพลง ไทสูจู้เห็นฝีมือซุนเซ็กนั้นเข้มแข็ง แล้วก็อยู่ในพวกทหารก็ชักม้าหนี

ซุนเซ็กจึงร้องว่า รบกันยังมิทันแพ้ชนะแลท่านมาหนีเราดังนี้ เหมือนหนึ่งมิใช่ชาติทหาร ไทสูจู้ทำเปนมิได้ยินก็ชักม้าหนีล่อให้ซุนเซ็กไล่ ซุนเซ็กก็ขับม้าไล่ไทสูจู้ไป พอทันเข้าที่ตำบลเพ้งฉวน ไทสูจู้เห็นซุนเซ็กตามมาทันเข้า ก็กลับหน้ามารบกับซุนเซ็กได้ห้าสิบเพลง ซุกเซ็กเอาทวนแทงไทสูจู้ ๆ เอามือรับจับทวนไว้ได้ ไทสูจู้เอาทวนแทงซุนเซ็ก ๆ ก็จับทวนไว้ได้ ต่างคนต่างชิงทวนกันจนพลัดตกม้าทั้งสองข้าง ทวนนั้นหลุดมือมิทันจะหยิบได้ ก็ลุกขึ้นปล้ำกันจนเกราะแลเสื้อนั้นขาด ซุนเซ็กจึงชักเอาทวนสั้นที่เหน็บหลังไทสูจู้อยู่นั้นได้ ไทสูจู้ก็ชิงได้หมวกของซุนเซ็ก ๆ เอาทวนแทงไทสูจู้ ๆ เอาหมวกรับไว้ พอทหารทั้งสองฝ่ายตามมาทัน ทหารข้างไทสูจู้มาประมาณพันเศษ ทหารซุนเซ็กนั้นสิบสองคนโห่อึงมา ซุนเซ็กกับไทสูจู้เห็นทหารมา ก็ผละกันออกทั้งสองข้าง ไทสูจู้จึงวิ่งเข้าหาพวก ฉวยได้ทวนเล่มหนึ่ง ขึ้นขี่ม้ากลับออกมาจะสู้กับซุนเซ็ก ๆ ก็ขี่ม้าถือทวน แต่ทหารนั้นน้อย ซุนเซ็กก็รบพลางหนีพลาง ไทสูจู้ไล่รบตามมาจนถึงที่ตั้งค่าย พอจิวยี่เห็นก็ให้ทหารออกช่วย ซุนเซ็กรบกันอยู่จนพลบค่ำ เกิดพายุฝนตกหนักก็เลิกทัพเข้าค่ายทั้งสองข้าง

ฝ่ายซุนเซ็กคิดแค้นนอนมิหลับ ครั้นเวลาเช้าซุนเซ็กยกทหารมาถึงหน้าค่ายเล่าอิ้ว ๆ จึงยกออกจากค่ายจะรบกับซุนเซ็ก ๆ จึงขับม้าออกยืนอยู่หน้าทหาร แล้วเอาทวนของไทสูจู้ซึ่งชิงได้ไว้นั้นชูขึ้นแล้วร้องว่า เวลาวานนี้เหตุว่าไทสูจู้หนีทัน หาไม่ก็จะตายเพราะทวนเล่มนี้ ไทสูจู้ได้ยินดังนั้นจึงชูหมวกของซุนเซ็กขึ้น แล้วร้องว่านี่สีสะของใครเราได้ไว้ ต่างคนต่างเยาะเย้ยกันไปมา เล่าอิ้วจึงขับไทสูจู้ให้ออกรบกับซุนเซ็ก เทียเภาเห็นไทสูจู้ขี่ม้าออกมา ก็ออกไปจะรบกับไทสูจู้ ๆ เห็นเทียเภาจึงร้องว่า มึงเปนคนต่ำไม่ควรจะสู้กับกู มึงจะตายเสียเปล่า ให้ซุนเซ็กนายมึงออกมาจึงจะควรกับฝีมือกู เทียเภาโกรธก็ขับม้าเข้ารบไทสูจู้ได้สิบสามเพลง

ฝ่ายจิวยี่เมื่อซุนเซ็กยกไปรบเล่าอิ้ว จิวยี่ก็คุมทหารวกหลังยกลงไปขยกโอ๋ ครั้งนั้นตันบูชาวเมืองโลกั๋ง พาเอาพรรคพวกจะมาหาซุนเซ็ก เข้าอาศรัยอยู่ในเมืองขยกโอ๋ ตันบูคนนี้มีกำลังมากรูปใหญ่สูงห้าศอกเศษหน้าเหลืองตาแดง ครั้นรู้ว่าจิวยี่ยกมาถึงขยกโอ๋ ตันบูจึงเปิดประตูรับจิวยี่ ๆ ก็เข้าอยู่ในค่ายขยกโอ๋ ทหารเล่าอิ้วซึ่งอยู่รักษานั้นก็หนีมาหาเล่าอิ้ว ๆ รู้ดังนั้นตกใจจึงให้ตีม้าฬ่อเรียกไทสูจู้ ๆ ก็ขับม้ากลับมาหาเล่าอิ้ว ไทสูจู้จึงว่าแก่เล่าอิ้วว่าข้าพเจ้ารบกับเทียเภาจะมีชัยอยู่แล้ว เหตุไฉนท่านจึงตีม้าฬ่อเรียกข้าพเจ้า เล่าอิ้วจึงเล่าเนื้อความให้ไทสูจู้ฟัง แล้วก็ยกทหารจะไปหาซีเหลฉกหยงตำบลวัวเหลง

ฝ่ายตันบูก็มาหาซุนเซ็ก บอกเนื้อความซึ่งได้ทำการนั้นให้ฟัง เตียวเจียวที่ปรึกษาจึงว่ากับซุนเซ็กว่า บัดนี้ตำบลขยกโอ๋ก็เปนของเรา เล่าอิ้วก็ยกหนีไปแล้ว สงครามเราได้ทีจำจะยกตามไปจึงจะควร ซุนเซ็กเห็นชอบด้วย ก็พาตัวตันบูยกทหารตามไปในเวลากลางคืน พอทันเล่าอิ้วกลางทาง เล่าอิ้วก็ให้ไทสูจู้ออกรบ ไทสูจู้ทานฝีมือซุนเซ็กมิได้ ไทสูจู้กับทหารสิบห้าคน ก็พากันหนีไปเมืองเก๋งก๋วน ทัพเล่าอิ้วก็แตกไปตั้งอยู่ตำบลงิวจู๋

ฝ่ายฉกหยงซีเหลยกออกจากค่ายจะมารับเล่าอิ้วไม่ทันที พอพบซุนเซ็กเข้า ซุนเซ็กก็ให้ตันบูออกตีทัพฉกหยง ซีเหลก็แตกกระจายกันออก ฉกหยงหนีไปตำบลงิวจู๋พบกันกับเล่าอิ้ว แต่ซีเหลเข้าค่ายได้ก็ปิดประตูค่ายไม่ต่อสู้ ตันบูเข้าแหกค่ายฆ่าทหารซีเหลตายประมาณหกสิบคน ซุนเซ็กก็ให้เลิกทัพยกไปตามเล่าอิ้ว เล่าอิ้วก็ยกทหารออกจากค่าย ซุนเซ็กเห็นเล่าอิ้วจึงร้องว่า มึงแตกหนีกูมาก็ตามมาทันแล้ว เหตุไฉนมึงจึงยอมแพ้

อิปีได้ยินซุนเซ็กว่าก็ควบม้าออกรบกับซุนเซ็ก สู้กันได้สามเพลงซุนเซ็กจับตัวอิปีได้หนีบรักแร้ไว้ แล้วขับม้าจะมาค่าย

ฝ่ายวัวเหลงเห็นก็ควบม้าถือทวนตามมาจะชิงเอาตัวอิปี ทหารซุนเซ็กเห็นวัวเหลงใกล้ซุนเซ็กเข้ามาจึงร้องบอกซุนเซ็ก ๆ เหลียวมาร้องตวาดเสียงดังฟ้าผ่า วัวเหลงพลัดตกจากม้าสีสะแตกตาย ซุนเซ็กก็ควบม้ามาถึงหน้าค่าย จึงคลายรักแร้ออกทิ้งอิปีลง อิปีนั้นตาย ทหารทั้งปวงก็สรรเสริญว่า ซุนเซ็กมีกำลังมากหาผู้ใดเสมอมิได้ จึงเรียกชื่อว่าเสียวปออ๋อง ภาษาไทยว่ามหาอุปราช

ฝ่ายเล่าอิ้วเสียทหารแลรี้พลเปนอันมาก ก็พาฉกหยงหนีไปอยู่เมืองอิเจี๋ยง ซุนเซ็กก็ยกกลับมาล้อมค่ายซีเหลไว้ แล้วร้องเรียกซีเหลว่าให้ยกมาหาเรา ซีเหลจึงขึ้นไปยืนบนสะพานเพลาะ เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกเข่าซ้ายซุนเซ็ก ๆ พลัดตกม้า ทหารวิ่งเข้ารับพาเอาไปค่าย ก็ชวนรักษาซุนเซ็กอยู่หลายวันจึงหาย ซุนเซ็กจึงคิดอุบายให้ทหารถอยค่ายเสีย แล้วให้ทำเปนร้องไห้ว่าซุนเซ็กถูกเกาทัณฑ์ตาย ครั้นเวลาค่ำซุนเซ็กจึงแยกทหารออกซุ่มไว้เปนสี่กอง ซีเหลมิได้รู้กลสำคัญว่าจริง เวลาดึกก็พาเตียวเอ๋งตันเหงกับทหารทั้งปวงยกออกมาจะจับทหารซุนเซ็ก

ฝ่ายทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นเห็นซีเหลออกจากค่าย ก็ชวนกันโห่ล้อมพวกซีเหลไว้ ซุนเซ็กก็ขี่ม้าถือทวนมายืนอยู่ตรงหน้าซีเหล แล้วร้องว่ากูชื่อซุนเซ็ก ทหารพวกซีเหลเห็นซุนเซ็กก็ตกใจ ชวนกันทิ้งอาวุธเสียสิ้นมิได้ต่อสู้ ยังแต่ซีเหลกับเตียงเอ๋งตันเหงยืนถือทวนอยู่ ทหารทั้งปวงก็รุมกันเข้าฆ่าซีเหลตาย ตันบูทหารซุนเซ็กก็วิ่งเข้าแทงเตียวเอ๋งตกม้าตาย จิวขิมยิงเกาทัณฑ์ถูกตันเหงตาย ซุนเซ็กจึงยกเข้าตั้งอยู่ในค่ายซีเหล จึงเกลี้ยกล่อมทหารซีเหลได้เปนอันมาก แล้วก็ยกไปตามไทสูจู้ ณ เมืองเก๋งก๋วน จึงให้ตั้งอยู่นอกเมือง แล้วปรึกษาจิวยี่ว่า ทำไฉนเราจะจับไทสูจู้ได้ จิวยี่จึงว่าขอให้ท่านจัดทหารยกเข้าตีเมืองเปนสามด้านเปิดไว้ด้านหนึ่ง แล้วจึงให้ทหารไปซุ่มอยู่ตรงหน้าเมืองไกลชั่วพักม้าหนึ่ง เอาเชือกขึงทางไว้ คอยจับตัวไทสูจู้ที่นั่นเห็นจะได้เปนมั่งคง ซุนเซ็กเห็นชอบด้วย เวลากลางคืนก็ยกเข้าตีเมืองเปนสามด้านเปิดไว้ด้านหนึ่ง

ฝ่ายไทสูจู้เสียใจนัก ครั้นจะยกออกรบกับซุนเซ็ก ทหารก็น้อยประมาณพันเศษ แล้วก็ไม่สันทัดในการรบ แต่ล้วนชาวบ้านนอก ไทสูจู้จึงเปิดประตูหนีออกจากเมือง ทหารซุนเซ็กรุมเข้ารบ แลแกล้งแหวกให้ไทสูจู้หนีไปตามทางซึ่งคิดทำการไว้นั้น ไทสูจู้ก็พลัดทหารควบม้าหนีไป ม้านั้นพานเชือกซึ่งทหารซุนเซ็กขึงขวางทางไว้ม้านั้นก็ล้มลง ทหารซึ่งซุ่มอยู่ก็ออกจับไทสูจู้มัดมาให้ซุนเซ็ก ๆ เห็นก็วิ่งออกมาแก้ไทสูจู้เสียแล้วจูงมือมานั่งจึงว่า เล่าอิ้วเลี้ยงท่านมิได้ถึงขนาด ถ้าท่านสมัคทำราชการด้วยเรา ๆ จะเลี้ยงท่านให้ดีกว่าเล่าอิ้วอีก ไทสูจู้ได้ยินซุนเซ็กว่าดังนั้นยินดีนัก จึงคิดว่าซุนเซ็กมิได้มีพยาบาท จึงว่าข้าพเจ้าจะสมัคทำราชการด้วยท่านสืบไป

ซุนเซ็กจับเอามือไทสูจู้แล้วหัวเราะว่า เมื่อครั้งเรารบกับท่านที่ตำบลสินเต๋งนั้น ถ้าท่านจับเราได้จะฆ่าเราหรือไม่ ไทสูจู้จึงตอบว่า ๆ ไม่ถูก แล้วซุนเซ็กกับไทสูจู้ก็ชวนกันหัวเราะ ซุนเซ็กจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง ซุนเซ็กกับไทสูจู้ก็กินพร้อมกัน ไทสูจู้จึงว่าสมัคพรรคพวกของเล่าอิ้วพลัดพรายกันอยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าจะลาท่านไปเกลี้ยกล่อมมาไว้จะได้เปนกำลังท่าน เกรงท่านจะไม่เชื่อ ซุนเซ็กจึงว่าเราก็เชื่ออยู่ แต่ท่านเร่งไปพรุ่งนี้เวลาตวันเที่ยง กลับมาให้ถึงเรา ๆ จะคอยท่าน ไทสูจู้รับคำซุนเซ็กทำคำนับแล้วลาไป

ฝ่ายที่ปรึกษาทั้งปวงจึงว่าแก่ซุนเซ็กว่า ท่านปล่อยไทสูจู้เสียดังนี้ที่ไหนจะกลับมา ซุนเซ็กตอบว่าไทสูจู้เปนคนดีมีความสัตย์ รับคำเราแล้วที่จะไม่กลับมานั้นเราไม่เห็นด้วย ที่ปรึกษาทั้งปวงก็ยังไม่สิ้นสงสัย หากเกรงซุนเซ็กก็นิ่งอยู่ ครั้นเวลาเช้าจึงชวนกันเอาไม้ไปปักไว้หน้าค่ายคอยจะจับเท็จไทสูจู้ ๆ ครั้นถึงกำหนดพอเงาตรง ไทสูจู้ก็พาคนมาถึงค่ายประมาณพันเศษ ทหารทั้งปวงเห็นไทสูจู้มาสมคำซุนเซ็กว่า ก็ชวนกันสรรเสริญซุนเซ็กว่า มีปัญญารู้จักน้ำใจคน

ซุนเซ็กได้ทหารประมาณสามหมื่น จึงยกไปเมืองกังตั๋ง ชาวเมืองทั้งปวงก็สมัคเข้าด้วยซุนเซ็ก ๆ ก็กำชับทหารทั้งปวง มิให้เบียดเบียฬราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน คนทั้งปวงก็อยู่เปนสุข จึงเรียกซุนเซ็กว่าซุนหลวง แล้วก็ชวนกันเอาสุราเครื่องเลี้ยงมาให้แก่ซุนเซ็ก ซุนเซ็กก็ให้เงินทองแพรผ้าแก่คนทั้งปวงตามสมควร แต่บันดาทหารของเล่าอิ้วซึ่งอยู่เมืองกังตั๋งนั้น ใครจะสมัคทำการด้วยซุนเซ็กก็เลี้ยงไว้ ที่มิยอมก็ให้เงินทองเปนอันมาก ให้กลับไปอยู่ตามภูมิลำเนา กิตติศัพท์ฟุ้งเฟื่องขึ้นกว่าเก่า ซุนเซ็กจึงแต่งทหารให้ไปรับมารดา กับอาว์แลน้องชายหญิงมาไว้ตำบลขยกโอ๋ แล้วตั้งให้ซุนกวนน้อยชายกับจิวท่ายไปรักษาเมืองฮวนเสีย ตัวซุนเซ็กก็ยกทหารทั้งปวงไปตีเมืองต๋องง่อ

ครั้งนั้นเงียมแปะฮอ ซึ่งตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าเรียกว่าเต๊กอ๋อง อยู่ ณ เมืองต๋องง่อ จึงแต่งทหารให้ไปรักษาตำบลออเสงแกหิน ซึ่งเปนแดนเมืองต๋องง่อ จัดแจงเมืองสำเร็จ มีทหารมาบอกว่าซุนเซ็กยกทัพมา เงียมแปะฮอจึงให้น้องชายชื่อเงียมอี๋ ยกไปตั้งอยู่สพานหองเกี๋ยวเปนทางสำคัญ เงียมอี๋ขี่ม้าถือกระบี่ขึ้นคอยซุนเซ็กอยู่บนสะพาน ทหารเอาเนื้อความมาบอกซุนเซ็กว่า เงียมอี๋ยกมาคอยรบอยู่ ซุนเซ็กซึงสั่งทหารว่า จะยกไปรบกับเงียมอี๋ เตียวเหียนที่ปรึกษาจึงว่า ทหารที่มีฝีมือก็มีอยู่ ซึ่งท่านจะไปรบกับเงี่ยมอี๋นั้นประดุจเอาทองไปรู่ศิลา

ซุนเซ็กเห็นชอบด้วย จึงแต่งให้ฮันต๋งคุมทหารเข้ารบกับเงียมอี๋บนสะพาน แล้วให้ตันบูจิวขิมลงเรือเล็กเอาเกาทัณฑ์ยิงกระนาบสองข้างสะพาน เงี่ยมอี๋เสียทหารเปนอันมาก ก็ถอยทัพคืนเข้าเมือง ฮันต๋งก็ไล่รบไปถึงเชิงกำแพง ซุนเซ็กก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองต๋องง่อไว้ทั้งบกทั้งเรือถึงสามวัน มิได้เห็นผู้ใดออกมาต่อสู้ ซุนเซ็กจึงพาทหารเที่ยวไปรอบกำแพงเมืองแล้วร้องว่า ใครจะเข้าด้วยก็ให้เร่งออกมา เรามิได้กระทำอันตราย

ฝ่ายทหารเงียมแปะฮอคนหนึ่งยืนอยู่บนหอรบ ได้ยินเสียงซุนเซ็กร้องมาก็โกรธ เอามือซ้ายท้าวแปหอรบ เอามือขวาชี้แล้วก็ร้องด่าลงมา ไทสูจู้เห็นจึงขึ้นเกาทัณฑ์พาดลูกไว้ แล้วเหลียวมาบอกทหารว่า เราจะตรึงมืออ้ายคนร้ายไว้กับแปหอรบ คนทั้งปวงเหลียวมา ก็เห็นลูกเกาทัณฑ์ตรึงมือทหารนั้นอยู่ ก็ชวนกันสรรเสริญไทสูจู้ว่า ชำนาญเกาทัณฑ์หาผู้เสมอมิได้

ฝ่ายทหารเจ้าหน้าที่ จึงเอาเนื้อความนั้นไปบอกแก่เงียมแปะฮอ ๆ ก็สั่นสีสะว่า ถ้าเราได้ทหารดังนี้ไว้แต่คนหนึ่ง เรามิได้กลัวผู้ใดเลย แล้วเงียมแปะฮอจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงเราจะคิดประการใด เงียมอี๋จึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปพูดกับซุนเซ็กโดยดี เงียมแปะฮอเห็นชอบด้วย เงียมอี๋ก็ลาออกไปหาซุนเซ็ก ณ ค่าย ซุนเซ็กเห็นเงียมอี๋เดิรเข้ามาทำดีใจยืนขึ้นคำนับ แล้วร้องเชิญให้นั่งชวนให้เสพย์สุรา ครั้นเงียมอี๋เมาสุราแล้ว ซุนเซ็กจึงถามว่า เงียมแปะฮอพี่ชายท่านคิดอ่านประการใด เงียมอี๋บอกว่า พี่ชายข้าพเจ้ากับที่ปรึกษาทั้งปวงคิดอ่านกันว่า จะขออ่อนน้อมจะแบ่งเมืองให้ท่านกึ่งหนึ่ง ซุนเซ็กโกรธจึงว่าเมืองต๋องง่ออยู่ในเงื้อมมือกูแล้ว มึงบังอาจเจรจาดังนี้ ซุนเซ็กก็สั่งทหารจะให้เอาตัวเงียมอี๋ไปฆ่าเสีย เงียมอี๋ได้ยินดังนั้น ฉวยกระบี่ลุกขึ้นจะฟันซุนเซ็ก ซุนเซ็กชักกระบี่เหน็บหลังนั้นคว่างออกไปถูกเงียมอี๋ตาย แล้วจึงให้ทหารตัดสีสะเงียมอี๋ทิ้งเข้าไปในกำแพง เงียมแปะฮอเห็นก็ตกใจ ครั้นจะคิดอ่านยกออกรบกับซุนเซ็กก็เกรงอยู่ เวลาค่ำเงียมแปะฮอจึงพาทหารหนีออกจากเมือง

ฝ่ายซุนเซ็กรู้ว่าเงียมแปะฮอทิ้งเมืองเสียแล้ว จึงแต่งให้อุยกายไปตีตำบลแกหิน ให้ไทสูจู้ไปตีตำบลออเสง ครั้นตีบ้านสองตำบลได้แล้ว ซุนเซ็กก็จัดแจงให้ราษฎรเมืองต๋องง่ออยู่เปนสุข แล้วจึงเลิกทหารยกไปตามเงียมแปะฮอ

ฝ่ายเงียมแปะฮอแปลงตัวเปนโจรป่า คุมพรรคพวกยกไปตำบลอิข้องเที่ยวเปนโจรอยู่ เลงโฉชาวบ้านอิข้อง ก็คุมเอาราษฎรชาวบ้านยกออกตีเงียมแปะฮอ ๆ หนีข้ามฟากไปตั้งอยู่ตำบลไซสิน จะไปเมืองห้อยเข

ฝ่ายซุนเซ็กยกตามมาถึงที่ตำบลอิข้อง เลงโฉรู้ก็พาเอาลูกชายสองคนออกมาหาซุนเซ็ก แล้วบอกว่าเงียมแปะฮอหนีไปทางเมืองห้อยเข ซุนเซ็กจึงตั้งเลงโฉเปนนายทหารรอง แล้วก็รีบยกทัพไปตามเงียมแปะฮอทันกันเข้าที่ตำบลไซสิน เทียเภาก็ขับทหารเข้าตีทัพเงียมแปะฮอ ๆ แตกหนีไปเมืองห้อยเข

ฝ่ายอ่องหลองเจ้าเมืองรู้ว่าเงียมแปะฮอแตกมา จึงให้จัดแจงทหารจะยกออกมาช่วยเงียมแปะฮอ งีห้วนชาวเมืองอีเหี้ยวซึ่งเปนที่ปรึกษาจึงว่าซุนเซ็กเปนคนมีฝีมือ แล้วก็ตั้งอยู่ในความสัตย์ เงียมแปะฮอเปนหยาบช้า ซึ่งท่านจะไปช่วยเงียมแปะฮอนั้นเห็นไม่ควร ขอให้ท่านคิดอ่านจับตัวเงียมแปะฮอส่งให้แก่ซุนเซ็ก อ่องหลองโกรธตวาดเอางีห้วน ๆ จนใจก็นิ่งอยู่ อ่องหลองจึงยกทหารออกมาหาเงียมแปะฮอ แล้วพากันไปตั้งอยู่ริมทุ่งริมเชิงเขาคอยรับซุนเซ็ก

ฝ่ายซุนเซ็กยกมาถึงค่ายเงียมแปะฮอ แลเห็นอ่องหลองยืนม้าถือกระบี่อยู่ ซุนเซ็กจึงร้องว่า เราทำการทั้งนี้ประสงค์จะให้ราษฎรได้ความสุข เงียมแปะฮอเปนคนหยาบช้า เหตุไฉนตัวท่านจึงมาเข้าด้วยคนผิด อ่องหลองได้ยินดังนั้นจึงร้องด่าซุนเซ็กว่า มึงเปนคนโลภเที่ยวรบพุ่งได้เมืองหลายตำบลแล้วยังมิหนำใจ บัดนี้ยกมาย่ำยีในแดนกู ๆ จึงยกมาให้เงียมแปะฮอแก้แค้นมึงให้จงได้

ซุนเซ็กโกรธก็ชักม้าเข้ารบกับอ่องหลองได้หกเพลง ไทสูจู้เห็นดังนั้นก็ควบม้าถือทวนออกมารบแทนซุนเซ็ก จิวเจียมทหารอ่องหลองเห็นก็ออกรบกับไทสูจู้ได้ห้าเพลง พอจิวยี่เทียเภายกมาทัน ก็วกหลังล้อมอ่องหลองไว้ อ่องหลองก็พาเงียมแปะฮอหนีกลับเข้าเมือง ชักสะพานคูปิดประตูไว้มั่งคง ซุนเซ็กก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้ ฝ่ายอ่องหลองจึงปรึกษากับเงียมแปะฮอว่า ซุนเซ็กมาล้อมเราไว้เราจะนิ่งอยู่ฉนี้เห็นมิควร จำเราจะยกทหารออกไปรบกับซุนเซ็ก ถึงจะตายก็จะได้ปรากฎว่าเปนชาติทหาร เงียมแปะฮอจึงว่า ซึ่งจะยกออกไปนั้นเห็นจะสู้ซุนเซ็กมิได้ ถ้าจะนิ่งอยู่ดังนี้ ซุนเซ็กสิ้นสเบียงอาหารแล้วก็จะเลิกทัพกลับไปเอง เราก็จะได้ทีติดตาม อ่องหลองเห็นชอบด้วยก็รักษาเมืองไว้

ฝ่ายซุนเซ็กล้อมเมืองห้อยเขไว้ถึงห้าวัน ก็มิได้เห็นผู้ใดออกมาสู้รบ ครั้นจะยกเข้าหักโหมก็เห็นจะเสียท่วงที จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่าเราจะคิดอ่านประการใด ซุนเจ้งจึงว่าเมืองห้อยเขนี้ ก็อาศรัยสเบียงอาหารในตำบลแจตอกเปนกำลังจึงตั้งมั่นอยู่ได้ ถ้าเรายกไปชิงเอาแจตอกได้ อ่องหลองก็จะขาดสเบียง ซุนเซ็กจึงสั่งให้เลิกทัพรีบยกทหารไปตีตำบลแจตอก

ขณะนั้นทหารเข้าไปบอกอ่องหลองว่า ซุนเซ็กยกไปตีแจตอกแล้ว อ่องหลองจึงขึ้นยืนดูบนหอรบ แลลงไปดูก็มิได้เห็นผู้คน เห็นแต่ธงปักไว้กับควันเพลิงที่หุงอาหารอยู่ อ่องหลองก็คิดสงสัย จิวเจียดจึงว่าการทั้งนี้ซุนเซ็กคิดทำไว้จะให้เราฉงนมิให้เราติดตามไป ข้าพเจ้าจะขออาสายกไปตามชิงเอาแจตอกไว้ให้ได้ อ่องหลองจึงให้จิวเจียดกับเงียมแปะฮอคุมทหารห้าพันเปนกองหน้ายกไปก่อน แล้วอ่องหลองจึงยกตามไปภายหลัง จิวเจียดกับเงียมแปะฮอยกออกจากเมืองได้สามร้อยเส้น ทันทัพซุนเซ็กที่ชายป่า ครั้นเวลาค่ำเงียมแปะฮอได้ยินเสียงกลองก็ตกใจ แลไปแสงเพลิงสว่างเห็นตัวซุนเซ็ก เงียมแปะฮอชักม้าหนี พอทหารซุนเซ็กยกเข้าล้อมไว้ทัน จิวเจียดก็ควบม้ารำกระบี่เข้าสู้กับซุนเซ็ก ๆ เอาทวนแทงถูกจิวเจียดตกม้าตาย เงียมแปะฮอก็ควบม้าหนีไปตำบลอิข้อง ฝ่ายอ่องหลองรู้ว่าทัพหน้าแตกแล้ว ก็พาทหารหนีไปตั้งอยู่ริมชายทะเล ซุนเซ็กมีชัยชนะก็กลับมาตั้งอยู่เมืองห้อยเข เกลี้ยกล่อมได้ทหารเปนอันมาก

ครั้งนี้ตังสิดซึ่งอยู่เมืองเหยียวรู้ว่าเงียมแปะฮอหนีมาอยู่ตำบลอิข้อง จึงจับตัวเงียมแปะฮอตัดสีสะมาให้ซุนเซ็ก ๆ ก็ดีใจแล้วเห็นตังสิดหน้าเหลี่ยมปากกว้าง สูงห้าศอกเศษสมควรที่จะเปนทหาร ซุนเซ็กจึงตั้งตังสิดให้เปนแปดเปาสุมานายทหารเอก ซุนเซ็กจึงแต่งให้ซุนเจ้งผู้อาว์อยู่รักษาเมืองห้อยเข ให้จูตีไปรักษาเมืองต๋องง่อ ตัวซุนเซ็กก็ยกทหารกลับไปอยู่เมืองกังตั๋ง

ฝ่ายซุนกวนกับจิวท่ายซึ่งไปอยู่รักษาเมืองอ้วนเสีย เวลากลางคืนมีโจรป่ายกมาล้อมไว้สี่ด้าน จิวท่ายเห็นจะสู้มิได้ จึงอุ้มเอาซุนกวนขึ้นม้าถือกระบี่หนีออกจากเมือง พวกโจรเห็นดังนั้น ก็รุมกันเข้าจับแทงถูกหลายแห่ง จิวท่ายก็ฆ่าโจรตายประมาณสิบห้าคน แล้วก็ควบม้าหนี โจรคนหนึ่งควบม้าไล่ตามไป จิวท่ายเหลียวมาเห็นเอากระบี่ฟันถูกโจรตาย พอมีคนเอาเนื้อความไปบอกซุนเซ็ก ๆ รู้ตกใจ จึงแต่งทหารให้ไปรับซุนกวนกับจิวท่ายมา จิวท่ายถูกทวนถึงสิบแผลเห็นว่าจะมิรอด ซุนเซ็กมีความวิตกนัก

ตังสิดจึงว่าเมื่อข้าพเจ้ายังเที่ยวเปนโจรอยู่ชายทะเลนั้น ก็ถูกทวนหลายแห่ง งีห้วนชาวเมืองห้อยเขมารักษาข้าพเจ้าสิบห้าวันหาย ซุนเซ็กจึงว่างีห้วนคนนี้กับข้าก็รู้จักกันอยู่ จึงให้เตียวเจียวกับตังสิดไปเชิญตัวงีห้วนมา ครั้นงีห้วนมาถึง ซุนเซ็กก็ออกไปรับกระทำคำนับแล้วซุนเซ็กจึงตั้งให้งีห้วนเปนที่ก๋งเชานายหมอ เอก จะให้รักษาจิวท่าย งีห้วนจึงว่าข้าพเจ้ารู้น้อย ฮัวโต๋อยู่ ณ เมืองไพก๊กเปนหมอเอกหาผู้ใดเสมอมิได้ ซุนเซ็กจึงให้ทหารไปเชิญฮัวโต๋

ครั้นเวลาเช้าฮัวโต๋มาถึง ซุนเซ็กเห็นฮัวโต๋รูปงามผมยาว จึงเชิญนั่งที่สูงจึงว่า ข้าพเจ้าเชิญท่านมาจะให้รักษาจิวท่าย ฮัวโต๋รับว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะรักษาสามวันให้หาย ครั้นฮัวโต๋รักษาจิวท่ายหายแล้ว ซุนเซ็กก็ยกทหารไปจับโจรซึ่งมารบซุนกวนกับจิวท่ายนั้น ครั้นจับโจรได้เสร็จแล้ว ซุนเซ็กจึงยกไปเมืองกังหนำ ตั้งเกลี้ยกล่อมตกแต่งบ้านเมือง แล้วแต่งหนังสือแจ้งเนื้อความทั้งปวงไปถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้กับโจโฉเปนทาง คำนับ แล้วให้ทหารไปเมืองลำหยงทวงตราหยกซึ่งฝากอ้วนสุดไว้นั้น


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 13

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnNUNrYVc3RTAxNUk/view?resourcekey=0-sIQuVxZUK9wkwMmuLO91lg



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #3 on: 21 December 2021, 21:24:21 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 14


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-14.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 14

เนื้อหา
อ้วนสุดให้ไปตีเมืองเสียวพ่ายของเล่าปี่
ลิโป้ห้ามทัพ
อ้วนสุดขอลูกสาวลิโป้ให้ลูกชาย
ลิโป้ชิงลูกสาวกลับเสียกลางทาง
เตียวหุยก่อเหตุให้เล่าปี่เกิดรบกับลิโป้
เล่าปี่หนีไปหาโจโฉที่เมืองฮูโต๋
เล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองอิจิ๋ว

ฝ่าย อ้วนสุดจำเดิมแต่ได้ตราหยกไว้ ก็คิดจะตั้งตัวเปนเจ้าอยู่มิได้ขาด ครั้นซุนเซ็กให้มาทวงตรา อ้วนสุดก็มิให้ ทหารก็ลาอ้วนสุดเอาเนื้อความมาบอกแก่ซุนเซ็ก

ฝ่ายอ้วนสุดจึงหาเอียวไต้เจียงเตียวหุนกิเหลงเตียวเสงลุยป๊กตันหลันกับ ทหารทั้งปวงมาปรึกษากันว่า ซุนเซ็กเมื่อแรกทำการอยู่กับเรา ๆ ก็ตั้งให้เปนขุนนาง แล้วขอทหารเราว่าจะไปช่วยน้าชาย จะแก้แค้นบิดาเราก็ให้ ซุนเซ็กอาศรัยกำลังเราก่อน จึงได้กำลังเปนอันมาก นัดนี้ซุนเซ็กได้เปนใหญ่ในฟากน้ำเมืองกังตั๋งแล้ว มิได้รู้จักคุณเรา ใช้ทหารมาทวงตราหยก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใดเราจึงจะได้ตัวซุนเซ็ก

เอียวไต้จึงว่าซุนเซ็กได้ฟากน้ำกังตั๋งแล้ว ทหารที่มีฝีมือก็มาก แดนเมืองกังตั๋งก็กว้างกว่าเราอีก จะยกไปทำการก็เห็นจะไม่ได้ ขอให้ทหารยกไปตีเล่าปี่เสียก่อน ถ้าได้เล่าปี่แล้ว ซุนเซ็กก็จะอยู่ในเงื้อมมือเรา อ้วนสุดจึงตอบว่า เล่าปี่ตั้งอยู่ตำบลเมืองเสียวพ่ายใกล้เมืองชีจิ๋ว กับลิโป้ชอบกันอยู่ เห็นลิโป้จะยกมาช่วย กำลังเล่าปี่จะมากขึ้น เราจะทำการมิสำเร็จ จำเราจะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมลิโป้เสียก่อน แล้วอ้วนสุดจึงให้หันอิ้นถือหนังสือกับเข้ายี่สิบหมื่นถังไปให้ลิโป้ ในหนังสือนั้นว่า เล่าปี่เปนคนหยาบช้ามิได้มีความสัตย์ เราจะยกไปกำจัดเล่าปี่ แม้นเล่าปี่จะมาพึ่งท่าน อย่าให้ท่านเอาธุระ

ฝ่ายลิโป้เห็นหันอิ้นเอาสิ่งของกับหนังสือมาให้ก็ดีใจรับคำ แล้วหันอิ้นก็ลาลิโป้กลับมาเมืองลำหยง บอกเนื้อความแก่อ้วนสุด ๆ จึงให้กิเหลงเปนแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่น ให้ลุยป๊ก ชตันหลันไปด้วยในกองทัพยกไปเมืองเสียวพ่าย

เล่าปี่จึงปรึกษากวนอูเตียวหุยซุนเขียนว่า อ้วนสุดให้กิเหลงยกทัพมาเราจะคิดประการใด ซุนเขียนจึงว่าเมืองเสียวพ่ายเปนเมืองน้อย เห็นจะต้านทานกิเหลงมิได้ ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปถึงลิโป้ให้ยกทหารมาช่วย เตียวหุยจึงว่าท่านจะหวังเอาใจลิโป้นั้นมิได้ เห็นลิโป้จะไม่มาช่วย เล่าปี่จึงตอบว่าซึ่งเจ้าว่านี้ก็ควรอยู่ แต่เราจะทำตามซุนเขียนว่าลองใจลิโป้ดูก่อน แล้วเล่าปี่จึงให้ทหารถือหนังสือไปถึงลิโป้ว่า ตัวข้าพเจ้าผู้ชื่อว่าเล่าปี่ กับสมัคพรรคพวกทั้งปวงมาตั้งอยู่เสียวพ่าย ได้ความสุขเพราะอาศรัยท่านเปนที่พึ่ง บัดนี้อ้วนสุดให้ทหารยกมารบ ข้าพเจ้ามิได้เห็นผู้ใด เห็นแต่ท่านจะช่วยทุกข์ได้ ขอให้ท่านยกทหารมาช่วย

ฝ่ายลิโป้แจ้งในหนังสือนั้นจึงปรึกษาตันก๋งว่า เดิมอ้วนสุดให้หนังสือกับสเบียงมาแก่เรา มิให้เรายกไปช่วยเล่าปี่ เราก็ได้รับคำแล้ว บัดนี้เล่าปี่ให้มีหนังสือมาให้เรายกไปช่วย เราคิดว่าเล่าปี่อยู่ในเมืองเสียวพ่ายเห็นจะไม่ทำอันตรายแก่เรา ถ้าเราฟังคำอ้วนสุด ๆ รบได้เมืองเสียวพ่ายแล้ว เราจะวางสีสะลงถึงหมอนเปนปรกตินั้นหามิได้ เห็นอ้วนสุดจะกำเริบยกล่วงมาตีเอาเมืองชีจิ๋วเปนมั่นคง จำเราจะยกไปช่วยเล่าปี่ป้องกันเมืองเสียวพ่ายไว้จึงจะควร ตันก๋งเห็นชอบด้วย ลิโป้ก็กะเกณฑ์ทหารยกไปช่วยเล่าปี่

ฝ่ายกิเหลงยกมาถึงเมืองเสียวพ่าย จึงตั้งค่ายอยู่ฝ่ายทิศใต้ เล่าปี่มีทหารอยู่ในเมืองประมาณห้าพัน จึงยกทหารออกตั้งค่ายรับกิเหลงอยู่นอกกำแพง ครั้นกิเหลงรู้ว่าลิโป้ยกมาช่วยเล่าปี่ จึงให้ทหารไปหาลิโป้ว่า เดิมท่านรับคำนายเราว่าไม่ช่วยเล่าปี่แล้ว เหตุไฉนท่านจึงยกกลับมาเล่า ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า เราจะคิดอ่านให้อ้วนสุดกับเล่าปี่มิให้พยาบาทต่อกัน ตัวกลับไปบอกกิเหลงมาหาเรา ทหารก็ลาลิโป้ไปบอกกิเหลง

ฝ่ายลิโป้ก็ให้ทหารไปหาเล่าปี่ กวนอูเตียวหุยจึงว่า ลิโป้กับอ้วนสุดคบคิดกันมาแต่ก่อน เกลือกให้หาไปจะทำอันตรายเรา เล่าปี่จึงว่าเรามีคุณต่อลิโป้อยู่ เห็นลิโป้จะไม่คิดร้ายต่อเรา แล้วเล่าปี่ก็ขึ้นม้าไปหาลิโป้ กวนอูเตียวหุยก็ตามไปด้วย ครั้นเล่าปี่มาถึงค่าย ลิโป้ก็ออกไปรับเล่าปี่ ลิโป้จึงว่าครั้งนี้เราจะช่วยท่านให้พ้นจากอันตราย นานไปท่านอย่าลืมคุณเรา แล้วลิโป้ก็จูงมือเล่าปี่เข้าไปนั่งในที่อันเดียวกัน กวนอูเตียวหุยก็ถือกระบี่ยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่ พอคนมาบอกลิโป้ว่ากิเหลงมาแล้ว เล่าปี่ตกใจสดุ้งกลัวลิโป้จะทำร้าย ลิโป้เห็นดังนั้นจึงว่าท่านอย่ากลัวเลย เราให้หามาบัดนี้จะให้ดีกันทั้งสองฝ่าย เล่าปี่ก็ยังไม่สิ้นสงสัย

ฝ่ายกิเหลงเดิรเข้าไป เห็นลิโป้กับเล่าปี่นั่งอยู่ด้วยกันก็ตกใจ ถอยหลังจะกลับไปหาทหาร ลิโป้ห้ามไว้ เมื่อลิโป้แลเห็นกิเหลงก็ลุกออกมาจูงมือกิเหลงเข้าไปให้นั่งเก้าอี้ กิเหลุงจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ท่านคิดทำการทั้งนี้จะฆ่าเราเสียหรือ ๆ จะฆ่าอ้ายเล่าปี่หูยาว ลิโป้ว่าเรามิได้คิดร้ายแก่ท่านทั้งสองข้าง แต่เล่าปี่กับเราเหมือนพี่กับน้อง บัดนี้ท่านจะมาทำอันตรายแก่เล่าปี่เราจึงยกมาช่วย กิเหลงตอบว่า ถ้าดังนั้นท่านจำจะฆ่าเราเสียก่อนเล่าปี่จึงจะได้ความสุข ลิโป้จึงว่า เราคิดจะให้ท่านทั้งสองเปนมิตร์ต่อกัน มิให้ไพร่พลได้ความลำบาก แล้วลิโป้ก็จูงมือกิเหลงให้นั่งด้วยกันกับเล่าปี่ ลิโป้เข้าไปนั่งกลางชวนกันกินสุรา แล้วจึงว่าท่านทั้งสองเห็นแก่หน้าเรา อย่าได้คิดพยาบาทกันเลย เล่าปี่ก็นิ่งอยู่ กิเหลงจึงว่า ตัวเราอ้วนสุดผู้เปนนายใช้ให้ยกทหารมาจับตัวเล่าปี่ แลเราจะกลับไปนั้นเห็นไม่พ้นความผิด

เตียวหุยโกรธถอดกระบี่ออก แล้วร้องตวาดว่า ท่านอย่าดูหมิ่นเรา ๆ มิใช่เด็ก แต่โจรโพกผ้าเหลืองครั้งนั้นยังมิอาจดูถูกพี่น้องเรา กวนอูเห็นเตียวหุยจะกระทำวุ่นวายจึงห้ามว่า เราคอยฟังคารมลิโป้ดูก่อนจะว่าเปนประการใด เมื่อไม่ตกลงกันแล้วเราจึงคิดต่อภายหลัง ลิโป้เห็นดังนั้นจึงว่า เราให้เชิญท่านทั้งสองมาบัดนี้ จะว่าให้ดีกันทั้งสองฝ่าย กิเหลงนั้นเขาก็นิ่งอยู่ แต่เตียวหุยทำหยาบช้า มิได้คิดแก่หน้าเราผู้เปนใหญ่ แล้วลิโป้ทำเปนโกรธจับเอาทวนขึ้นถือไว้ เล่าปี่กิเหลงเห็นดังนั้นก็ตกใจคิดว่าลิโป้จะทำร้าย ลิโป้จึงให้ทหารเอาทวนไปปักไว้ไกลประมาณห้าเส้น แล้วว่าเราจะเสี่ยงให้ประจักษ์แก่เทพดาทั้งหลาย แม้นยิงเกาทัณฑ์ไปมิได้ถูกปลายทวน จึงทำสงครามกันตามความคิดเถิด ถ้าเรายิงถูกท่านทั้งสองจงเลิกทัพกลับไปตามคำเราว่า แม้นผู้ใดมิฟังเรา ๆ ก็จะทำสงครามด้วยผู้นั้น

กิเหลงได้ยินลิโป้ว่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงคิดว่าที่ไหนลิโป้จะยิงไปถูกปลายทวน กูจะรับคำไว้แต่พอเปนที เมื่อลิโป้ยิงไม่ถูกแล้ว กูก็จะได้ทีกระทำการกับเล่าปี่ถนัด ลิโป้ก็จะช่วยเล่าปี่มิได้ คิดแล้วกิเหลงก็รับคำลิโป้ไว้ ลิโป้ก็ชวนเล่าปี่กิเหลงเสพย์สุรา แล้วลิโป้จึงจับเกาทัณฑ์ขึ้นร้องให้ทหารทั้งปวงดู แล้วก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกปลายทวนซึ่งปักไว้นั้น ทหารทั้งปวงก็ร้องสรรเสริญลิโป้ ว่าชำนาญเกาทัณฑ์หาผู้เสมอมิได้ ลิโป้หัวเราะแล้วจับเอามือเล่าปี่กิเหลงว่า เราเสี่ยงแก่เทพดาก็เห็นปรากฎอยู่ แล้วก็ชวนกันกินโต๊ะ กิเหลงจึงว่าบัดนี้เราก็เห็นประจักษ์ซึ่งท่านเสี่ยง ครั้นเราจะยกกลับไปเกรงอ้วนสุดจะมิเชื่อ ลิโป้จึงว่าท่านอย่าวิตกเลย แล้วแต่งหนังสือเปนสำคัญไปถึงอ้วนสุด กิเหลงก็รับเอาหนังสือ แล้วลากลับไปเมืองลำหยง

ลิโป้จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ครั้งนี้ถ้าเรามิได้ยกมาท่านก็จะไม่พ้นมือกิเหลง เล่าปี่คำนับลิโป้แล้วก็ลากลับไปเมืองเสียวพ่าย ลิโป้ก็ยกทหารไปเมืองชีจิ๋ว

ฝ่ายกิเหลงไปเมืองลำหยงจึงบอกเนื้อความทั้งปวงแก่อ้วนสุด แล้วเอาหนังสือของลิโป้นั้นไปให้ อ้วนสุดเห็นหนังสือนั้นก็โกรธ ว่าลิโป้เจรจามิได้มีความสัตย์ จึงสั่งทหารว่า เราจะยกไปจับตัวเล่าปี่ แล้วจะไปตีเมืองชีจิ๋ว กิเหลงจึงห้ามว่า ลิโป้นั้นเปนคนกล้าแข็ง ทหารที่มีฝีมือก็มีมาก ท่านจะยกไปบัดนี้เล่าปี่กับลิโป้ยังชอบกันอยู่ เกลือกจะยกเข้าตีกระหนาบ ข้าพเจ้าเห็นจะเสียท่วงที การเราที่คิดไว้เห็นจะมิสำเร็จ ขอให้ท่านไปขอลูกสาวลิโป้ซึ่งเกิดด้วยนางเหงียมซีนั้น มาให้แก่ลูกชายท่าน ลิโป้กับท่านก็จะสนิธกันเข้า ถ้าจะคิดอ่านจับตัวเล่าปี่ก็จะได้โดยสดวก อ้วนสุดเห็นชอบด้วย จึงแต่งให้หันอิ้นคุมเอาสิ่งของที่ดีเปนอันมาก ไปให้แก่ลิโป้ ให้ว่าตามซึ่งกิเหลงคิดนั้น

หันอิ้นไปถึงเมืองชีจิ๋ว เข้าไปหาลิโป้เอาสิ่งของนั้นให้แล้วจึงว่า อ้วนสุดนายข้าพเจ้าคิดถึงท่าน จึงให้ข้าพเจ้าเอาของทั้งนี้มาให้ท่าน จะขอลูกสาวท่านให้เปนภรรยาบุตรอ้วนสุด จะได้เปนไมตรีต่อกันสืบไป ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีใจยินดีรับเอาสิ่งของไว้แล้ว จึงเข้าไปปรึกษากับนางเหงียมซีผู้เปนภรรยา นางเหงียมซีจึงว่าอ้วนสุดเปนคนมีปัญญาทแกล้วทหารก็มาก ตั้งอยู่เมืองลำหยงเปนเมืองใหญ่ นานไปเห็นอ้วนสุดจะได้เปนเจ้า ลูกเราก็จะได้เปนใหญ่ด้วย ครั้นคิดเห็นพร้อมกันแล้ว ลิโป้จึงออกมาว่าแก่หันอิ้นว่า เราจะให้ลูกสาวเราไปตามคำอ้วนสุด แล้วเชิญให้หันอิ้นกินโต๊ะ แล้วหันอิ้นก็ลาลิโป้กลับไปเมืองลำหยง บอกเนื้อความแก่อ้วนสุดว่า ลิโป้มีความยินดีต่อท่าน รับว่าจะให้ลูกสาวแก่ท่าน

อ้วนสุดได้ยินหันอิ้นว่าดังนั้น เห็นว่าความคิดซึ่งคิดไว้นั้นจะสำเร็จ อ้วนสุดจึงตกแต่งสิ่งของให้หันอิ้นคุมไปเมืองชีจิ๋ว รับตัวลูกสาวลิโป้ หันอิ้นก็ลาอ้วนสุดไปเมืองชีจิ๋ว จึงเข้าไปหาลิโป้แล้วบอกว่า อ้วนสุดมีความยินดีนัก ให้ข้าพเจ้ามารับลูกสาวท่าน ลิโป้ได้ยินดังนั้นรับสิ่งของไว้แล้วเชิญให้หันอิ้นกินโต๊ะ แล้วจัดแจงให้ไปอยู่ที่ตึกรับแขก

ครั้นเวลาเช้าตันก๋งที่ปรึกษาลิโป้มาหาหันอิ้น ๆ เห็นตันก๋งก็ลุกออกมารับแล้วเชิญให้นั่ง ตันก๋งจึงว่าเล่าปี่อยู่ในอำนาจลิโป้ บัดนี้อ้วนสุดกับลิโป้ก็ชอบกันแล้ว ถ้าอ้วนสุดมาหาลิโป้ จึงจะปราถนาสีสะเล่าปี่ก็จะได้โดยง่าย หันอิ้นสดุ้งใจลุกจากเก้าอี้ห้ามตันก๋งว่า ท่านเจรจาดังนี้ไม่สมควร ใช่อ้วนสุดมาขอลูกสาวลิโป้จะประสงค์สีสะเล่าปี่นั้นหามิได้ ตันก๋งตอบว่าท่านอย่ารังเกียจเรา ๆ เห็นว่าการของท่านที่คิดนั้นจะทิ้งไว้นานไปเห็นจะไม่สำเร็จ เราจึงช่วยเตือนสติท่าน หันอิ้นเห็นว่าตันก๋งว่าตามจริง จึงว่าขอท่านช่วยเอาธุระด้วย ตันก๋งก็รับว่าท่านอย่าวิตกเลย ถ้าลิโป้ปรึกษาเรา ๆ จะว่าให้ลิโป้ส่งลูกสาวให้อ้วนสุด หันอิ้นดีใจจึงว่า แม้นท่านช่วยสำเร็จการครั้งนี้ อ้วนสุดจะรู้จักคุณท่าน ตันก๋งก็ลาหันอิ้นไปหาลิโป้ทำเปนถามว่า ได้ยินว่าท่านจะยกลูกสาวให้ลูกชายอ้วนสุดจริงหรือ ลิโป้ก็รับว่าจริง ตันก๋งจึงว่าท่านได้อ้วนสุดเปนเกี่ยวดองกันดังนี้ ข้าพเจ้าก็มีความยินดีนัก เมื่อใดท่านจะคิดแต่งการเล่า ลิโป้จึงว่าการนี้เปนการใหญ่ จำเราจะปรึกษากันให้ทั่วก่อน ตันก๋งตอบว่าธรรมเนียมแต่ก่อน ถ้าเปนกษัตริย์กำหนดปีหนึ่งจึงส่งตัวลูกสาว ถ้าขุนนางผู้ใหญ่กำหนดหกเดือน ขุนนางผู้น้อยกำหนดสี่เดือนถ้าราษฎรกำหนดสามสิบวัน ลิโป้จึงว่าบัดนี้อ้วนสุดได้ตราหยกไว้ ก็เข้าในระหว่างกษัตริย์อยู่แล้ว เราก็ยั้งการไว้ตามอย่างกษัตริย์ ตันก๋งจึงว่าเห็นช้านัก ทุกวันนี้บ้านเมืองก็ยังไม่ปรกติ ต่างคนต่างชิงกันเปนใหญ่ท่านจะหน่วงการไว้ดังนี้เกลือกคนทั้งปวงที่เปนศัตรู รู้ไป จะยกทหารตามมาคอยชิงเห็นจะได้ความรำคาญ ขอท่านให้ส่งลูกสาวไปให้อ้วนสุด อย่าให้ทันคนทั้งปวงซึ่งเปนศัตรูรู้ ลิโป้เห็นชอบด้วย ก็เข้าไปสั่งให้นางเหงียมซีเร่งรัดแต่งการให้สำเร็จแต่ในเวลากลางคืน ครั้นเช้าลิโป้จึงให้ลูกสาวขึ้นขี่เกวียนไม้หอม แล้วมอบตัวให้หันอิ้นกับสิ่งของตามธรรมเนียม ให้ซงเหียนกับงุยซกไปส่ง แลทหารแห่ออกจากเมืองเปนอันมาก

ตันกุ๋ยบิดาตันเต๋งซึ่งเปนคนผู้ใหญ่ ป่วยนอนอยู่ในเรือน ได้ยินเสียงกองม้าฬ่ออึงมา จึงถามคนใช้ ๆ บอกว่าลิโป้ยกลูกสาวให้บุตรอ้วนสุด ตันกุ๋ยพิเคราะห์ดูก็แจ้งในกลอ้วนสุด ตันกุ๋ยจึงคิดว่าแม้เรานิ่งเสียบัดนี้ เล่าปี่จะเปนอันตรายมั่นคง ตันกุ๋ยจึงแต่งตัวโพกผ้าขาวทำอาการเปนประหนึ่งจะไปเยือนศพ แล้วก็เข้าหาลิโป้ ๆ เห็นตันกุ๋ยมาผิดประหลาทหน้าตาโศกเสร้า จึงถามว่าท่านมาใย ตันกุ๋ยตอบว่าข้าได้ยินเสียงครึกโครม คิดว่าเขาประโคมศพท่าน จึงมาหวังจะเยือนศพท่าน ลิโป้ตกใจจึงซักถามตันกุ๋ยว่า ซึ่งท่านเจรจานี้เราเห็นประหลาดนัก หรือใครบอกเล่าว่าเราตาย ตันกุ๋ยจึงว่าแต่ก่อนท่านรับสิ่งของเปนสินบนของอ้วนสุด แล้วภายหลังท่านก็ยกไปช่วยเล่าปี่ ครั้นมาบัดนี้ได้ยินว่าท่านยกลูกสาวให้แก่บุตรอ้วนสุด เมื่อท่านกับอ้วนสุดเปนเกี่ยวดองกันแล้ว อ้วนสุดก็จะยกไปตีเมืองเสียวพ่าย ท่านจะไปช่วยเล่าปี่ก็มิได้ เมื่อเมืองเสียวพ่ายเสียแก่อ้วนสุดแล้ว เห็นว่าเมืองชีจิ๋วจะไม่เปนสุข อ้วนสุดจะเบียดเบียฬยืมทหารแลสเบียง ท่ายจะเสียอ้วนสุดมิได้ ราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความเดือดร้อน เห็นท่านกับอ้วนสุดก็จะผิดใจกันเปนมั่นคง ประการหนึ่งอ้วนสุดคิดขบถต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ หัวเมืองทั้งปวงก็ย่อมแจ้งอยู่สิ้น แลท่านจะมาคิดกับอ้วนสุดดังนี้ คนทั้งหลายก็จะพลอยเปนศัตรูท่าน ลิโป้เห็นจริงด้วย จึงว่าแก่ตันกุ๋ยว่า เราทำการทั้งนี้เพราะฟังคำตันก๋งจึงเสียการ

ลิโป้จึงให้เตียวเลี้ยวคุมทหารติดตามไป ชิงเอาลูกสาวกับตัวหันอิ้นมาแล้วให้จำหันอิ้นไว้ ลิโป้จึงให้หนังสือไปถึงอ้วนสุดว่า เรายังจัดแจงสิ่งของทั้งปวงอยู่ ถ้าสำเร็จแล้วเมื่อใดเราจึงจะส่งลูกสาวไปให้

ตันกุ๋ยจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ท่านจงส่งตัวหันอิ้นไปให้โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋จะได้มีความชอบแก่ท่าน ลิโป้ยังมิได้ว่าประการใด พอทหารเอาเนื้อความมาบอกว่า บัดนี้เล่าปี่เกลี้ยกล่อมส้องสุมทหารได้เปนอันมาก จะคิดประการใดมิได้รู้ ลิโป้จึงว่าซึ่งจะแคลงเล่าปี่มิได้ ด้วยธรรมดาทหารก็จำคิดอ่านจัดแจงไว้จะได้ป้องกันรักษาตัว

ครั้นอยู่มาลิโป้ให้ซงเหียนกับงุยซกไปซื้อม้า ณ เมืองซัวตั๋ง กลับมาบอกแก่ลิโป้ว่า ข้าพเจ้าไปซื้อม้าได้สามร้อย ครั้นมาถึงแดนเมืองเสียวพ่ายเวลากลางคืนมีผู้ร้ายมาตีชิงเอาม้าไปร้อยห้าสิบ ข้าพเจ้าสืบสาวได้เนื้อความว่า เตียวหุยน้องเล่าปี่คุมพวกเพื่อนปลอมเปนโจรป่ามาตีชิงเอาม้าไป ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้จัดแจงทหารพร้อมแล้วก็ยกไปเมืองเสียวพ่าย จะจับเอาเตียวหุยกับพวกเพื่อนซึ่งเปนโจร

เล่าปี่รู้ดังนั้นก็ตกใจคุมทหารออกมาตั้งรับ แล้วจึงร้องถามลิโป้ว่าพี่ยกกองทัพมานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ลิโป้จึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าแล้วร้องว่า ครั้งกิเหลงยกมารบเมืองเสียวพ่ายนั้น เรามีความเอ็นดูจึงช่วยคิดอ่านแก้ไขตัวจึงได้รอดชีวิตอยู่ ตัวมิได้รู้จักคุณควรหรือมาตีชิงเอาม้าของเราไว้ เล่าปี่จึงตอบว่าข้าพเจ้าให้ไปจัดซื้อม้าอยู่บ้าง แลจะได้ตีชิงเอาม้าของท่านไว้หามิได้ ลิโป้จึงว่าตัวใช้เตียวหุยผู้น้องไปตีชิงเอาม้าของเราไว้ร้อยห้าสิบ เปนไฉนตัวจึงไม่รับ

เตียวหุยได้ยินลิโป้ว่าหยาบช้าแก่เล่าปี่ดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าออกไปแล้วร้องตอบลิโป้ว่า ตัวกูตีชิงเอาม้าของมึงมาจริงอยู่ มึงจะทำไมกู ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงตอบว่า อ้ายผู้ร้ายตากลมนี้ทำการหยาบช้าดูหมิ่นกูเปนหลายครั้งมาแล้ว กลับท้าทายอีกเล่า เตียวหุยจึงตอบว่า กูตีชิงเอาม้าของมึงไว้นี่มึงโกรธหรือ ซึ่งมึงตีชิงเอาเมืองชีจิ๋วของพี่กูไว้นั้นมึงเข้าใจว่ากูหาโกรธไม่หรือ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าออกรบกับเตียวหุยได้ร้อยเพลง เล่าปี่คิดเกรงว่าเตียวหุยจะเสียทีแก่ลิโป้ จึงให้ตีม้าฬ่อขึ้น เตียวหุยกลับเข้ามาหาเล่าปี่ ครั้นเวลาค่ำเล่าปี่ก็ยกทหารกลับเข้าเมือง ลิโป้ก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน

ฝ่ายเล่าปี่จึงว่าแก่เตียวหุยว่า เกิดเหตุทั้งนี้เพราะตัวไปตีชิงเอาม้าลิโป้มา บัดนี้ตัวเอาม้าไปซ่อนไว้แห่งใด เตียวหุยจึงบอกว่า เอาไปซ่อนไว้ ณ วัดก๊กอี้บนเนินเขา เล่าปี่จึงให้ทหารออกไปขอขะมาลิโป้ ว่าเดิมนั้นมิได้รู้จึงไม่รับ บัดนี้จริงอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะเอาม้ามาคืนให้ ท่านอย่าได้พยาบาทเลย จะได้เห็นหน้ากันสืบไป ลิโป้ก็คลายโกรธ จึงว่าซึ่งเล่าปี่ให้มาขะมาเรานี้ เราก็ยอมตามคำแล้ว ตันก๋งจึงว่า ได้ทีแล้วท่านจะรั้งรออยู่ จะไม่กำจัดเล่าปี่เสียให้ได้ นานไปเล่าปี่ก็จะเปนศัตรูทำอันตรายแก่ท่าน ลิโป้เห็นชอบด้วย ก็ยกทหารเข้าตีเมืองเสียวพ่าย

เล่าปี่เห็นจะต้านทานมิได้ จึงปรึกษาด้วยบิต๊กกับซุนเขียนว่า ครั้งนี้ลิโป้มีกำลังเปนอันมาก ท่านจะคิดประการใด ซุนเขียนจึงว่า โจโฉมีน้ำใจพยาบาทลิโป้อยู่ เราจะรบฝ่าหนีออกไป ณ เมืองฮูโต๋ แล้วจะขอทหารโจโฉยกกลับมารบกับลิโป้ เล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงว่าผู้ใดจะอาสาตีฝ่าออกไป เตียวหุยก็รับอาสา เล่าปี่จึงจัดแจงทหารให้เตียวหุยเปนกองหน้า ตัวเล่าปี่คุมครอบครัวเปนกองกลาง กวนอูคุมทหารเปนกองหลัง ครั้นเวลาสามยามเดือนสว่าง เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกทหารเปิดประตูเมืองรบป้องกันฝ่าออกไปข้างทิศเหนือ

ฝ่ายซงเหียนงุยซกซึ่งคุมทหารอยู่ฝ่ายทิศเหนือ เห็นก็ยกทหารเข้ารบด้วยเตียวหุยเปนสามารถ เตียวหุยกับเล่าปี่ก็ออกไปได้ เตียวเลี้ยวเห็นกวนอูยกมาเปนกองหลัง ก็ขับทหารเข้าตามตีท้าย กวนอูขับม้ารบป้องกันออกมาได้พร้อมกันกับเล่าปี่เตียวหุย ก็ยกไปเมืองฮูโต๋ ลิโป้รู้ว่าเล่าปี่หนีไปก็มิได้ติดตาม จึงพาทหารทั้งปวงเข้าไปในเมืองเสียวพ่าย เกลี้ยกล่อมให้ราษฎรเปนปรกติ แล้วตั้งให้โกซุ่นอยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย ลิโป้นั้นก็ยกกลับไปเมืองชีจิ๋ว

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นยกมาถึงเมืองฮูโต๋จึงตั้งอยู่นอกเมือง แล้วให้ซุนเขียนเข้าไปบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้ลิโป้ยกมาตีเมืองเสียวพ่าย ข้าพเจ้าเล่าปี่แตกหนีมา จะขอพึ่งอยู่ด้วยท่าน โจโฉก็มีความยินดีจึงว่า เล่าปี่นี้อุปมาเหมือนแซ่เดียวกับเรา แล้วก็แต่งทหารให้ออกไปรับเล่าปี่เข้ามาในเมือง เล่าปี่จึงให้กวนอูเตียวหุยอยู่รักษาครอบครัวแลทหารทั้งปวง แล้วพาซุนเขียนกับบิต๊กเข้าไป โจโฉออกมารับถ้อยทีถ้อยคำนับ จึงเชิญเล่าปี่ให้นั่งที่สมควร เล่าปี่จึงเล่าเนื้อความแต่หลังจนลิโป้ยกมาตีเมืองเสียวพ่ายให้ฟังทุกประการ โจโฉจึงว่า ลิโป้นั้นเปนคนหยาบช้ามิได้รู้จักคุณท่านผู้มีคุณ ครั้งนี้ท่านได้มาถึงเราแล้ว อย่าได้เปนทุกข์เลยเราจะช่วยท่าน ๆ กับเราจะยกทัพไปตีเมืองชีจิ๋วกำจัดลิโป้เสียให้ได้ เล่าปี่จึงว่าท่านว่าทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะเชิญให้เล่าปี่กิน แล้วเล่าปี่ก็ลาโจโฉกลับออกไปยังกองทัพ

ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญา เห็นจะคบไว้มิได้ นานไปจะเปนอันตราย บัดนี้เล่าปี่มาถึงเงื้อมมือเราจำเราจะฆ่าเสีย โจโฉไม่เห็นด้วยก็นิ่งอยู่ ซุนฮกก็ลาไป พอกุยแกเข้าไปหาโจโฉ ๆ จึงเล่าเนื้อความให้กุยแกฟังตามซึ่งซุนฮกว่านั้น กุยแกจึงว่า ซึ่งซุนฮกว่านั้นไม่ชอบ ทุกวันนี้ท่านคิดการใหญ่ จะหาผู้มีสติปัญญาคิดการด้วย เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญา หนีร้อนมาพึ่งเย็น ถ้าท่านฟังคำซุนฮกฆ่าเล่าปี่เสีย คนทั้งปวงซึ่งหมายใจจะมาอยู่ด้วยท่านนั้นก็จะคิดถอยหลังกลับใจไป อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะครหานินทาเปนที่สงสัย ขอท่านคิดดูจงควร โจโฉเห็นชอบด้วยจึงว่า ท่านว่านี้ต้องความคิดเราทุกประการ ครั้นเวลาเช้าโจโฉเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงกราบทูลว่าจะขอตั้งเล่าปี่เปนเจ้าเมืองอิจิ๋ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ โจโฉก็ลากลับออกมาที่อยู่

เทียหยกจึงว่าแก่โจโฉว่า เล่าปี่มีสติปัญญา ซึ่งจะเปนผู้น้อยอยู่ในบังคับผู้ใดนั้นหามิได้ นานไปเห็นจะเอาใจออกหากท่าน ๆ จงจับเอาตัวเล่าปี่ฆ่าเสียจึงจะควร โจโฉจึงว่าบัดนี้เราคิดเอาใจคนอยู่ เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญา เราจะฆ่าเสียนั้นคนทั้งปวงรู้ไปก็จะเสียใจ เนื้อความทั้งนี้เราก็ได้ปรึกษากับกุยแกแล้ว แลท่านมาว่าทั้งนี้เห็นไม่ชอบ พอเล่าปี่เข้ามาหาโจโฉ ๆ จึงจัดทหารสามพันให้แก่เล่าปี่ แล้วโจโฉจึงว่าเรากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งท่านเปนเจ้าเมืองอิจิ๋ว ท่านไปอยู่เมืองอิจิ๋วแล้วจึงยกไปตีเมืองเสียวพ่าย แล้วตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนไว้จะได้เปนกำลังไปทำการกำจัดลิโป้ ณ เมืองชีจิ๋ว เล่าปี่ก็รับคำโจโฉกระทำคำนับ แล้วลาโจโฉไปตั้งอยู่ ณ เมืองอิจิ๋ว


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 14

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnX2hiaE1yZVo1Zlk/view?resourcekey=0-DhYEpOatKmnTNz6eAc66VQ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #4 on: 21 December 2021, 21:28:54 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 15


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-15.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 15

เนื้อหา
โจโฉไปตีเมืองอ้วนเซีย
เตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียอ่อนน้อมต่อโจโฉ
โจโฉแตกทัพเพราะได้นางเจ๋าซือ
โจโฉเกลี้ยกล่อมลิโป้
อ้วนสุดตั้งตัวเป็นเจ้า
อ้วนสุดไปรบแพ้ลิโป้
โจโฉเกลี้ยกล่อมซุนเซ็ก

ฝ่าย โจโฉก็ตระเตรียมทหารจะไปตีเมืองชีจิ๋ว พอทหารเอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า เตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียซึ่งเปนหลานเตียวเจ้นั้นได้กาเซี่ยงไว้เปนที่ ปรึกษา ซ่องสุมทหารไว้เปนอันมาก บัดนี้คบคิดกับเล่าเปียวซึ่งอยู่ ณ เมืองเกงจิ๋ว จะยกมาตีเมืองฮูโต๋

โจโฉจึงคิดว่า จะยกกองทัพไปรบเตียวสิ้ว ณ เมืองอ้วนเซีย แต่เกรงอยู่ว่า ลิโป้รู้จะยกกองทัพวกหลังมาตีเอาเมืองฮูโต๋ จึงปรึกษาแก่ซุนฮกว่า เตียวสิ้วจะมาตีเอาเมืองเรา ครั้นจะยกไปตีเตียวสิ้วก่อน ฝ่ายลิโป้รู้ก็จะยกกองทัพมาตีเมืองเรา เมื่อเปนกังวลอยู่ฉนี้จะคิดประการใด ซุนฮกจึงว่าลิโป้นั้นหาความคิดมิได้ เปนคนโลภกำเริบแต่จะเอายศถาศักดิ์ ขอให้มีหนังสือรับสั่งไปตั้งลิโป้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วให้เปนที่เปงตังจงกุ๋นแปลภาษาไทยว่าเจ้าพระยาปราบโจรฝ่ายตวันออก แล้วให้มีหนังสือของท่านนอกนั้นไปอีกฉบับหนึ่งว่า ให้ลิโป้กับเล่าปี่สมัคสมานกัน อย่าได้มีพยาบาทต่อกันสืบไป ถึงท่านจะยกไปรบเมืองอ้วนเสี้ยว ฝ่ายลิโป้นั้นก็จะมีใจภักดีต่อท่าน เห็นจะไม่ยกมารบเมืองฮูโต๋

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำซุนฮกว่า แล้วให้อ่องเจ๊กถือไปให้ลิโป้ แล้วโจโฉจึงให้จัดแจงทหารได้สิบห้าหมื่น ให้แฮหัวตุ้นกับอิกิ๋มเปนทัพหน้า แล้วแบ่งทหารออกเปนสามกอง ยกไปถึงแม่น้ำหยกซุย ก็ให้หยุดทัพตั้งค่ายอยู่เปนหลายวัน

ฝ่ายกาเซี่ยงรู้กิตติศัพท์ดังนั้นจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า โจโฉยกทหารมาครั้งนี้ประมาณยี่สิบหมื่น แล้วทหารเอกที่มีฝีมือเปนอันมาก เราจะออกรบด้วยบัดนี้เห็นจะเสียทีแก่โจโฉเปนมั่นคง จำเราจะออกไปเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉโดยดี จึงจะไม่เสียเมือง เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย จึงให้กาเซี่ยงออกไปหาโจโฉ ณ ค่าย จึงคำนับแล้วว่าบัดนี้เตียวสิ้วรู้ว่ามหาอุปราชยกกองทัพมา จึงให้ข้าพเจ้าออกมาอ้อนวอนจะขอเข้าเกลี้ยกล่อม อ่อนน้อมต่อท่านสืบไป

โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า กาเซี่ยงคนนี้พูดจาคมสันเปนคนมีสติปัญญา จึงว่าบัดนี้เตียวสิ้วกับท่านยอมจะทำราชการด้วยเรา ๆ จะตั้งให้ท่านเปนที่ปรึกษา กาเซี่ยงจึงว่า ครั้งข้าพเจ้าทำราชการอยู่ด้วยลิฉุย ๆ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน ความร้ายก็พลอยมีอยู่แก่ข้าพเจ้า ด้วยข้าพเจ้ายังมิได้มีความชอบแก้โทษก่อน ซึ่งมหาอุปราชจะตั้งข้าพเจ้าเปนที่ปรึกษานั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่เตียวสิ้วนั้นได้มีคุณแก่ข้าพเจ้า เตียวสิ้วมิได้มีผู้ใดเปนที่ปรึกษา ข้าพเจ้าจะขออยู่ทำราชการด้วยเตียวสิ้ว ก็เหมือนอยู่ในมหาอุปราช โจโฉมิได้ตอบประการใด กาเซี่ยงก็ลาไปบอกความแก่เตียวสิ้วทุกประการ ครั้นเวลารุ่งเช้ากาเซี่ยงจึงพาเตียวสิ้วออกไปหาโจโฉ ณ ค่าย โจโฉเห็นเตียวสิ้วกาเซี่ยงออกมาหาก็มีความยินดี ปราสัยไต่ถามกิจการบ้านเมืองว่ายังปรกติอยู่หรือ เตียวสิ้วก็บอกว่า ราษฎรทั้งปวงเปนสุขอยู่ แล้วเตียวสิ้วก็เชิญโจโฉให้เข้าไปตั้งอยู่ในเมืองอ้วนเซีย โจโฉได้ยินดังนั้นก็มิได้มีความสงสัย จึงให้ทหารตั้งค่ายรายทางมาใกล้กำแพงเมือง แล้วโจโฉก็พาทหารซึ่งสนิธเข้าไปในเมืองอ้วนเซีย เตียวสิ้วจึงให้แต่งโต๊ะเชิญให้โจโฉกิน แล้วจัดแจงที่ให้โจโฉอยู่เปนหลายวัน

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจโฉเสพย์สุราเมา จึงเข้าไปในที่นอนแล้วถามคนสนิธว่า ในเมืองนี้มีหญิงรูปงามบ้างหรือ โจอั๋นบิ๋นผู้เปนหลานจึงบอกว่า เวลาเย็นวันนี้ข้าพเจ้าไปเที่ยวเล่นเห็นหญิงคนหนึ่งรูปงาม ข้าพเจ้าสืบถามได้เนื้อความว่า เปนภรรยาเตียวเจ้ผู้อาว์เตียวสิ้ว บัดนี้เตียวเจ้ตายแล้ว หญิงนั้นเปนม่ายอยู่

โจโฉได้ฟังดังนั้นด้วยกำลังเมาสุราจะใคร่ได้ จึงใช้โจอั๋นบิ๋นกับทหารไปรับหญิงคนนั้นมาในเวลาพลบค่ำ โจโฉเห็นรูปร่างหญิงนั้นงามก็มีความยินดี จึงถามว่าเจ้าชื่อใด นางจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเจ๋าซือเปนภรรยาเตียวเจ้ผู้ตาย โจโฉจึงถามว่าเจ้ารู้จักเราหรือไม่ นางเจ๋าซือจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามิได้รู้จักท่าน ได้ยินเขาเล่าลือว่าท่านเปนมหาอุปราช ซึ่งข้าพเจ้าได้มาพบท่านครั้งนี้ ก็เปนบุญของข้าพเจ้า โจโฉจึงว่าเพราะเราเห็นแก่เจ้า เราจึงยอมให้เตียวสิ้วมาเข้าเกลี้ยกล่อม หาไม่เราจะฆ่าเตียวสิ้วแลญาติพี่น้องเสียให้สิ้น นางเจ๋าซือจึงคำนับแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชยกโทษไว้นั้นคุณหาที่สุดมิได้ โจโฉจึงว่าเราจะเลี้ยงเจ้าเปนภรรยาแล้วจะพาไปอยู่เมืองฮูโต๋ นางเจ๋าซือจึงว่าทั้งนี้ตามแต่ท่านจะเมตตา โจโฉก็พานางเจ๋าซือเข้าไปนอนอยู่ด้วยกันจนเวลาเช้า นางเจ๋าซือจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งจะอยู่ในเมืองนี้ ความครหานินทาก็จะมีเปนอันมาก ประการหนึ่งเตียวสิ้วรู้ก็จะมีความแหนงท่าน โจโฉจึงว่าเจ้าว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ พรุ่งนี้จะพากันออกไปอยู่ ณ ค่ายนอกเมือง ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงพานางเจ๋าซือออกไป ณ ค่าย แล้วสั่งเตียนอุยให้อยู่รักษาประตูค่าย อย่าให้ผู้ใดนอกนั้นเข้าออกได้ ต่อเราสั่งจึงให้เข้ามา โจโฉหลงด้วยนางเจ๋าซือมิได้ออกว่าราชการ แล้วก็มิได้คิดที่จะยกกลับไปเมืองฮูโต๋

ฝ่ายเตียวสิ้วรู้ว่าโจโฉให้ไปรับเอานางเจ๋าซือ ซึ่งเปนอาว์สะใภ้ออกไปไว้เปนภรรยาก็น้อยใจนัก จึงหากาเซี่ยงเข้ามาบอกเนื้อความทั้งปวงแล้วว่า จะคิดประการใดจึงจะแก้แค้นโจโฉได้ กาเซี่ยงจึงว่าท่านอย่าเพ่อทำวุ่นวายก่อน งดให้โจโฉออกว่าราชการ ท่านจึงไปหาโจโฉบอกว่าทหารซึ่งเกลี้ยกล่อมได้ใหม่นั้นหลบหนีไปเปนอันมาก จะขอออกมาตั้งแซกอยู่หว่างค่ายท่าน ทหารทั้งปวงจะได้กลัวบุญท่านจึงจะไม่หนีได้ ถ้าโจโฉยอมแล้วเราจึงจะคิดการจับโจโฉได้โดยง่าย เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งจึงไป ณ ค่ายโจโฉ พอโจโฉออกว่าราชการเตียวสิ้วจึงว่าแก่เตียนอุยผู้รักษาประตูว่า เราจะขอเข้าไปหาโจโฉ เตียนอุยก็ไปบอกแก่โจโฉ ๆ ว่าให้เข้ามาเถิด เตียนอุยก็พาเตียวสิ้วเข้าไป เตียวสิ้วคำนับแล้วว่าแก่โจโฉตามคำกาเซี่ยง ซึ่งคิดให้นั้นทุกประการ โจโฉจึงว่าท่านจะยกทหารออกมาตั้งอยู่ด้วยเราก็ตามเถิด เตียวสิ้วก็กลับมากะเกณฑ์ทหารออกไปตั้งอยู่ตามมุมค่ายโจโฉทั้งสี่ด้าน จึงปรึกษากับเฮาเฉียว่า ซึ่งเราจะคิดทำการจับโจโฉนั้น เกรงอยู่แต่เตียนอุยซึ่งรักษาประตูนั้นมีกำลังเปนอันมาก เราจะทำการมิได้สดวก

เฮาเฉียจึงว่าข้าพเจ้ามีกำลังแบกเหล็กได้ห้าร้อยชั่ง เดิรทางได้วันละเจ็ดพันเส้น ขอให้คิดอ่านเอาทวนสองเล่มซึ่งเตียนอุยถืออยู่นั้นมาเสียได้แล้ว ถึงเตียนอุยจะมีกำลังสักเท่าใดข้าพเจ้าก็จะสู้ได้ ขอให้ท่านเชิญเตียนอุยมากินโต๊ะ เสพย์สุราเมาแล้วกลับไปก็จะนอนหลับอยู่ ข้าพเจ้าจะปลอมเข้าไปลักเอาทวนสองเล่มมาให้ได้ ท่านจึงคิดทำการต่อไปอย่าได้กลัวเตียนอุยเลย

เตียวสิ้วจึงสั่งทหารทั้งสี่ค่ายให้ตระเตรียมอาวุธไว้จงพร้อม ในเวลากลางคืนวันนี้ให้ฟังสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดแล้วเมื่อใด จงยกเข้าปล้นค่ายจับตัวโจโฉให้จงได้ แล้วให้กาเซี่ยงไปเชิญเตียนอุยมากินโต๊ะ ณ ค่าย เตียนอุยก็มาเสพย์สุราเมานัก ครั้นเวลาพลบค่ำเตียนอุยก็ลาเตียวสิ้วกลับไปด้วยกำลังเมา เตียนอุยก็นอนหลับอยู่ในทัพริมประตูค่าย

เฮาเฉียจึงปลอมเข้าไปลักเอาทวนสองเล่มของเตียนอุยนั้นมาได้ ฝ่ายโจโฉกับนางเจ๋าซือเสพย์สุราอยู่ด้วยกัน พอได้ยินเสียงทหารอื้ออึง โจโฉจึงให้ทหารไปสืบดูกลับมาบอกว่า เตียวสิ้วเกณฑ์ทหารให้ตระเวนค่าย โจโฉมิได้มีความสงสัย ครั้นเวลาสองยามทหารจึงเข้ามาบอกโจโฉว่าเห็นเกวียนบันทุกหญ้าอยู่ข้างหลัง ค่ายนั้นเพลิงติดไหม้อยู่ โจโฉมิได้มีความสงสัยแล้วจึงว่าอย่าตกใจวุ่นวายไป ทหารทั้งปวงเอาหญ้ามาหุงอาหารแล้วมิได้ระวังให้เพลิงติดขึ้น จึงเร่งช่วยกันดับเสีย เมื่อโจโฉว่านั้นพอเห็นเพลิงติดสว่างขึ้นรอบค่าย ทั้งเสียงประทัดนั้นดังขึ้นทั้งสี่ด้าน เสียงทหารอื้ออึง โจโฉก็ตกใจจึงเรียกหาเตียนอุย ๆ ก็ตกใจตื่นขึ้นมิทันใส่เกราะ คว้าหาทวนสำหรับมือก็มิได้พบ ฝ่ายทหารเตียวสิ้วหักเข้ามาได้ถึงประตูค่าย เตียนอุยจึงวิ่งไปฉวยเอาดาบของทหารเลวฟันทหารเตียวสิ้วตายประมาณยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าคน ทหารทั้งปวงก็ถอยออกมารออยู่

ฝ่ายทหารเตียวสิ้วทั้งสองกองข้างหลังค่ายนั้น ก็หักเข้าไปได้เปนอันมาก เข้ากลุ้มรุมกันฟันแทงเตียนอุยต้องอาวุธบาดเจ็บทั่วกาย เตียนอุยนั้นมิได้ย่อท้อถือดาบฟันทหารเตียวสิ้วจนดาบนั้นหักไป จึงฉวยเอาศพข้างละมือป้องกันสู้รบ แล้วเอาศพนั้นฟาดถูกทหารเตียวสิ้วตายอีกเก้าคนสิบคน แลทหารเตียวสิ้วนั้นสู้เตียนอุยมิได้ ก็ถอยออกไปประมาณเก้าวาสิบวา แล้วเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไปถูกเตียนอุยเปนอันมาก เตียนอุยก็ยังยืนรบอยู่ ทหารกองหนึ่งวิ่งเข้ามาข้างหลัง เอาทวนแทงถูกเตียนอุยเปนหลายเล่ม จนเตียนอุยรากโลหิตออกมา แล้วซวนไปยืนพิงประตูค่ายอยู่จนสิ้นใจตาย แลทหารเตียวสิ้วซึ่งอยู่ข้างนอกนั้นมิทันรู้ว่าเตียนอุยตาย ต่างคนต่างกลัวฝีมือเตียนอุยก็มิได้เข้าไป

ในขณะเมื่อเตียนอุยยังรบสู้อยู่นั้น โจโฉจึงขึ้นม้าพาโจอั๋นบิ๋นกับทหารประมาณเก้าคนสิบคน หนีออกข้างหลังค่ายได้ ฝ่ายทหารโจโฉซึ่งอยู่ต่างค่ายนั้นแตกกระจัดกระจาย หนีข้ามแม่น้ำหยกซุยไปได้บ้าง เหล่าทหารเตียวสิ้วนั้นฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตาย ครั้นรู้ว่าโจโฉหนีออกไปข้างหลังค่ายจึงชวนกันยกติดตามไป เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกโจอั๋นบิ๋นตกม้าตาย โจโฉนั้นถูกเกาทัณฑ์แห่งหนึ่ง ม้าซึ่งโจโฉขี่นั้นมีกำลังเปนอันมาก ถูกเกาทัณฑ์สามดอกมิได้ล้ม โจโฉขับม้าหนีไปถึงแม่น้ำหยกซุยแต่ผู้เดียว ทหารเตียวสิ้วจึงเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไปถูกจักษุม้าล้มลงตาย

พอโจงั่งผู้บุตรโจโฉมาพบโจโฉเข้า จึงเอาม้านั้นให้บิดาขี่ไป พอทหารเตียวสิ้วยิงเกาทัณฑ์มาถูกโจงั่งตายอยู่กับริมฝั่ง โจโฉหนีไปพบทหารซึ่งแตกมาเปนอันมากก็พากันรีบหนีไป

ฝ่ายแฮหัวตุ้นซึ่งแตกมาก่อนนั้น คุมทหารไปเที่ยวตีชิงทรัพย์สิ่งสินของอาณาประชาราษฎร ซึ่งอยู่บ้านนอกได้ไว้เปนอันมาก

ฝ่ายอิกิ๋มซึ่งแตกนั้นคุมทหารมาได้ รู้ว่าแฮหัวตุ้นกับทหารทั้งปวงไปตีชิงราษฎรชาวบ้านนอก อิกิ๋มมีใจเอนดูแก่ราษฎร จึงคุมทหารออกไปไล่ฆ่าฟันทหารแฮหัวตุ้นล้มตายแตกกระจัดกระจายไปเปนอันมาก

ครั้นทหารแฮหัวตุ้นมาพบโจโฉต่างคนต่างร้องไห้ แล้วบอกเนื้อความแก่โจโฉว่า อิกิ๋มกระทำหยาบช้าไล่ฆ่าฟันข้าพเจ้าทั้งปวงล้มตายบ้างแตกหนีมาได้บ้าง เห็นอิกิ๋มจะเปนขบถต่อท่านจึงทำการทั้งนี้ โจโฉตกใจยังมิทันจะว่าประการใด ฝ่ายแฮหัวตุ้นเคาทูลิเตียนงักจิ้นมาบอกเนื้อความว่า อิกิ๋มทำการทั้งนี้ เห็นจะเอาใจออกหากท่าน ขอให้ท่านตระเตรียมทหารไว้ให้พร้อม จะได้คิดการจับอิกิ๋ม โจโฉจึงสั่งให้จัดแจงทหารเตรียมไว้

ฝ่ายอิกิ๋มให้ตั้งค่ายอยู่หวังจะรับโจโฉ แล้วจะได้ป้องกันกองทัพเตียวสิ้ว ครั้นอิกิ๋มรู้ว่าทหารโจโฉแตกมาใกล้แล้ว จึงให้ทหารทั้งปวงถือเครื่องศัสตราวุธรักษาค่ายอยู่เปนมั่นคง ทหารอิกิ๋มรู้กิตติศัพท์ว่าแฮหัวตุ้นกับทหารทั้งปวงไปบอกแก่โจโฉกล่าวโทษอิ กิ๋มว่าเปนขบถต่อโจโฉ จึงเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่อิกิ๋ม แล้วถามว่า เมื่อเขากล่าวโทษท่านอยู่ฉนี้ เปนไฉนจึงยังตั้งค่ายตระเตรียมทหารอยู่อีกเล่า ซึ่งท่านมิได้ไปหาโจโฉนั้น โจโฉก็จะเห็นสมร้ายด้วย

อิกิ๋มจึงตอบว่าซึ่งกล่าวโทษแก่เรานั้นเปนความริษยากัน ซึ่งเราตั้งค่ายไว้นี้ด้วยโจโฉหนีกองทัพเตียวสิ้วมาจะได้เข้าอาศรัย แล้วจะได้ต่อรบกับเตียวสิ้ว ข้อซึ่งผิดแลชอบนั้นจึงค่อยคิดต่อภายหลัง

ฝ่ายกองทัพเตียวสิ้วยกมาสกัดหน้าเปนสองด้าน พอพบค่ายอิกิ๋มซึ่งตั้งอยู่ อิกิ๋มก็คุมทหารขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยเตียวสิ้วเปนสามารถ เตียวสิ้วเห็นจะต้านทานอิกิ๋มมิได้ ก็พาทหารถอยไปทางแม่น้ำหยกซุย อิกิ๋มก็คุมทหารไล่ฆ่าฟันทหารเตียวสิ้วไปจนถึงโจโฉ ทหารโจโฉเห็นก็ชวนกันเข้าฟันทหารเตียวสิ้ว แตกกระจัดกระจายล้มตายเปนอันมาก เตียวสิ้วกับทหารซึ่งเหลือตายนั้นก็หนีไปหาเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว โจโฉก็มิได้ติดตาม แล้วตรวจตราซ่องสุมทหารทั้งปวงอยู่

อิกิ๋มจึงไปหาโจโฉบอกเนื้อความว่า ทหารแฮหัวตุ้นคบกันไปตีชิงเอาทรัพย์สิ่งของอาณาประชาราษฎร ข้าพเจ้าเห็นไม่ชอบจึงฆ่าทหารเสียเปนหลายคน โจโฉจึงถามว่า เรากับตัวต่างคนต่างแตกมา เปนไฉนตัวจึงมิได้หาเราให้พบก่อน ตัวไปตั้งค่ายอยู่กลางทางนั้นปราถนาสิ่งใด

อิกิ๋มจึงบอกแก่โจโฉตามที่คิดไว้ หวังจะป้องกันข้าศึกอันยกตามท่านมา ข้าพเจ้าจึงได้รบกับเตียวสิ้วจนแตกไป ซึ่งข้าพเจ้ามิได้เที่ยวหาท่านให้พบนั้น โทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงสรรเสริญว่า ซึ่งท่านคิดทำทั้งนี้ไว้จึงได้ชัยชนะคืน อันความคิดทั้งนี้ถึงทหารแต่ก่อนก็มิได้เสมอท่าน แล้วให้เครื่องทองแก่อิกิ๋มสำรับหนึ่งเปนบำเหน็จ ตั้งให้อิกิ๋มเปนเอกสิ้วเดงเฮา แปลภาษาไทยว่าพระยาอายุมาก แลแฮหัวตุ้นซึ่งมิได้กำชับทหาร ละให้ทำร้ายแก่ราษฎรนั้นให้คาดโทษไว้

โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะรินสุราเซ่นเตียนอุย แล้วจึงว่าแก่ทหารว่า ถึงบุตรกับหลานเราตาย ก็มิได้เสียดายเท่าเตียนอุยเลย แล้วก็ร้องไห้รักเตียนอุย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มีใจรักโจโฉเปนอันมาก ต่างคนต่างร้องไห้ด้วย ครั้นโจโฉค่อยคลายทุกข์โศกแล้ว จึงให้จัดแจงทหารแล้วก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋

ฝ่ายอ่องเจ๊กซึ่งโจโฉใช้ให้ถือหนังสือไปให้ลิโป้ เมื่ออ่องเจ๊กมาถึงเมืองชีจิ๋วนั้น ลิโป้รู้ก็ออกมารับ จึงเชิญเข้าไปในเมือง อ่องเจ๊กจึงเอาหนังสือรับสั่งให้ ลิโป้รับเอามาอ่านดู ในหนังสือรับสั่งเปนใจความว่า ให้ลิโป้เปนแปงต๋องจงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเปนขุนนางผู้ใหญ่สำหรับปราบโจรฝ่ายตวันออก แลในหนังสือโจโฉฉบับหนึ่งนั้นว่า ให้ลิโป้สมัคสมานกับเล่าปี่ อย่าให้มีพยาบาทกันสืบไป แลอ่องเจ๊กนั้นบอกแก่ลิโป้ว่า ทุกวันนี้มหาอุปราชมีความเมตตาท่านอยู่เปนอันมาก จึงกราบทูลเสนอความชอบ ให้ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี

ขณะนั้นพอทหารลิโป้เข้ามาบอกแก่ลิโป้ว่า บัดนี้อ้วนสุดให้ทหารมาหาท่าน ลิโป้ก็ให้หาตัวเข้ามาแล้วถามว่า อ้วนสุดใช้มาด้วยเหตุสิ่งใด ฝ่ายทหารจึงบอกว่า อ้วนสุดให้ข้าพเจ้ามาบอกว่า อ้วนสุดให้จัดแจงการซึ่งจะตั้งตัวเปนเจ้าแผ่นดิน แล้วจะตั้งบุตรนั้นเปนตงก๋ง แปลภาษาไทยว่าเปนที่ฝ่ายหน้า ให้ท่านเร่งส่งบุตรหญิงของท่านไป จะได้แต่งให้อยู่ด้วยกันทีเดียว

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงด่าอ้วนสุดว่า มันคิดการหยาบช้าเปนขบถต่อแผ่นดิน จึงให้เอาตัวทหารอ้วนสุดไปฆ่าเสีย แล้วให้เอาตัวหันอิ้นซึ่งจำไว้นั้นมาลงพืดเหล็กไว้ให้มั่น ลิโป้จึงให้แต่งหนังสือให้ตันเต๋ง คุมเอาตัวหันอิ้นขึ้นไปให้โจโฉ

โจโฉจึงเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าลิโป้คำนับมา ด้วยมหาอุปราชได้เมตตาข้าพเจ้า แล้วช่วยกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ข้าพเจ้าได้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะได้ทำราชการสืบไป โจโฉแจ้งในหนังสือแลเนื้อความนั้นแล้วจึงคิดว่า ครั้งนี้ลิโป้กับอ้วนสุดมีความขัดเคืองกัน เห็นขาดจากเกี่ยวดองกันแล้วจึงทำการทั้งนี้ โจโฉจึงให้ทหารเอาตัวหันอิ้นไปฆ่าเสีย

ตันเต๋งจึงกระซิบโจโฉว่า อันลิโป้นี้เปนคนหยาบช้า เหมือนหนึ่งสัตว์เดียรัจฉาน มีแต่กำลังหาปัญญามิได้ ซึ่งมหาอุปราชจะเลี้ยงลิโป้เปนใหญ่นั้น นานไปก็จะกลับเปนศัตรูท่าน

โจโฉจึงว่าเราแจ้งอยู่แล้ว จำเราจะคิดอ่านกำจัดลิโป้เสีย ตัวท่านสองคนพ่อลูกอยู่ในเมืองชีจิ๋วก็แจ้งความคิดลิโป้อยู่สิ้น เมื่อเราจะยกไปเมืองชีจิ๋วนั้น ถ้าขัดสนสิ่งใดท่านจงช่วยคิดอ่านด้วย ตันเต๋งจึงรับว่าแม้นมหาอุปราชจะยกไปเมื่อใด ตัวข้าพเจ้ากับบิดาจะคิดอ่านเปนไส้ศึกอยู่ในเมือง

โจโฉจึงตั้งตันเต๋งเปนเจ้าเมืองกองเหลงซึ่งขึ้นแก่เมืองชีจิ๋ว แล้วให้มีตรารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปเมืองชีจิ๋ว เติมส่วยให้แก่ตันกุ๋ยผู้เปนบิดาตันเต๋งเปนอันมาก ตันเต๋งก็คำนับลาโจโฉ ๆ จึงยุดมือตันเต๋งไว้ แล้วว่าการซึ่งคิดไว้ครั้งนี้ เราปลงใจไว้แก่ท่าน ๆ จงคิดอ่านกระทำการให้สำเร็จจงได้ ตันเต๋งก็รับคำโจโฉแล้วก็คำนับลากลับไปหาลิโป้ ณ เมืองชีจิ๋ว

ลิโป้จึงถามตันเต๋งว่า ท่านไปหาโจโฉ ๆ ว่าประการใดบ้าง ตันเต๋งจึงเอาตราตั้งสำหรับตัว กับตราซึ่งพระราชทานส่วยของบิดานั้นให้ลิโป้ดู ลิโป้เห็นดังนั้นก็โกรธ ว่าเราใช้ตัวไปด้วยการของเรา เหตุไฉนตัวจึงคิดอ่านให้ได้ดีแต่ตัวสองคนพ่อลูก เดิมเราจะยกลูกสาวให้แก่บุตรอ้วนสุด ตันกุ๋ยบิดาของตัวมาห้ามการเราเสีย แกล้งลวงให้เราไปเข้าด้วยโจโฉ บัดนี้เราใช้ตัวไปก็มิได้การแต่สักสิ่งหนึ่ง กล้วก็ชักกระบี่ออกจะฆ่าตันเต๋งเสีย

ตันเต๋งเห็นดังนั้นก็ทำเปนหัวเราะ แล้วว่าท่านฟังเนื้อความยังไม่สิ้นเปนไฉนท่านจึงด่วนโกรธดังนี้ ลิโป้จึงถามว่ายังมีเนื้อความสิ่งใดบ้าง ตันเต๋งจึงว่า เมื่อข้าพเจ้าไปหาโจโฉนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ว่าแก่โจโฉว่า จะเลี้ยงท่านนั้นจำจะให้เปนใหญ่ให้ถึงขนาด อุปมาเหมือนเลี้ยงเสือ ถ้าได้กินอิ่มก็จะเปนปรกติ ถ้ามิอิ่มก็จะเบียดเบียฬสัตว์ทั้งปวงเปนอาหาร

ฝ่ายโจโฉได้ยินข้าพเจ้าว่าดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าซึ่งจะเลี้ยงท่านก็ให้เต็มกองเหมือนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ ทุกวันนี้หากท่านยังขัดสนจึงอ่อนน้อมต่อ ถ้าท่านมีกำลังขึ้นแล้วก็เอาใจออกหากโจโฉ อุปมาเหมือนเหยี่ยวซึ่งอยากอาหาร คอยแสวงหาลูกไก่อันพลัดแม่ ได้ทีแล้วก็ฉาบลงเอา ถ้าเห็นยังมิได้ทีก็ค่อยทำความเพียรคอยอยู่กว่าจะได้ลูกไก่ ข้าพเจ้าจึงถามว่าซึ่งอุปมาว่าเหยี่ยวนั้นคือตัวลิโป้ อันลูกไก่นั้นคือผู้ใดเล่า โจโฉจึงบอกว่า ลูกไก่นั้นคืออ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวน เตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋ง ลิโป้ได้ยินดังนั้นดีใจสำคัญว่าจริงจึงวางกระบี่เสีย แล้วจึงว่าโจโฉนั้นมีสติปัญญาประมาณใจเราถูกทุกประการ

ฝ่ายอ้วนสุดตั้งแต่ได้ตราหยกของซุนเซ็กไว้ ก็คิดแต่จะตั้งตัวเปนเจ้า แล้วปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราได้ยินคำโบราณเล่าสืบๆ มาครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจแต่ยังมิได้ราชสมบัตินั้น เปนคนอนาถาอุปมาดังว่าอยู่ในท้องทะเล อุตสาหทำความเพียรมาเปนอันมากค่อยตั้งตัวได้ จึงได้ราชสมบัติทรงพระนามชื่อพระเจ้าฮั่นโกโจ พระราชวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อๆ มาได้ถึงสี่ร้อยปี จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ราชสมบัติ เกิดอันตรายจลาจลต่างๆ เห็นราชสมบัติก็ร่วงโรยจวนจะสูญอยู่แล้ว ตัวเราก็เปนเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน ราษฎรรักเราเปนอันมาก เราจำจะตั้งตัวขึ้นเปนเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

เอียมเซียงที่ปรึกษาจึงห้ามว่า เมื่อครั้งพระเจ้าติวอ๋องได้ราชสมบัติอยู่ในเมืองหลวง เบียดเบียฬให้ราษฎรได้ความเดือดร้อน ขณะนั้นจิ๋วบุนอ๋องซึ่งเปนขุนนางอยู่ ณ เมืองกิสันรู้การสงคราม หัวเมืองทั้งปวงอยู่ในอำนาจจิ๋วบุนอ๋องนั้นถึงสองส่วน อยู่ในอำนาจพระเจ้าติวอ๋องนั้นส่วนเดียว แลจิ๋วบุนอ๋องนั้นก็มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน มิได้ตั้งตัวเปนเจ้า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังมีพระชมน์อยู่ แล้วก็มิได้ทำอันตรายแก่ราษฎร ซึ่งท่านจะตั้งตัวเปนเจ้านั้นข้าพเจ้าเห็นไม่ควร

อ้วนสุดได้ยินจึงว่า ตราสำหรับกษัตริย์อยู่ในเงื้อมมือกู เหมือนหนึ่งเทวดามาเษกให้กูเปนเจ้า แม้ใครไม่ยอมจะให้ตัดสีสะเสีย คนทั้งปวงก็นิ่งอยู่ อ้วนสุดจึงให้จัดแจงบ้านเมืองแล้ว ตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าชื่อต๋องซือ คำไทยว่าเปนเชื้อพระเจ้างีซุ่นมาแต่ก่อน

ครั้นอยู่มาอ้วนสุดรู้ว่าลิโป้คิดกลับกลาย จับตัวหันอิ้นจำส่งขึ้นไปให้โจโฉ แล้วฆ่าทหารซึ่งอ้วนสุดใช้ให้ไปเตือนนั้นเสีย อ้วนสุดโกรธจะยกไปรบลิโป้ จึงให้เตียวหุนเปนแม่ทัพคุมทหารยี่สิบหมื่น ให้เกียวเสงกับตันกี๋เปนกองหน้า ให้ตันหลันเปนกองขวา ลุยป๊กเปนกองซ้าย ให้เอียวฮองกับหันเซียมเปนกองหลัง ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว แล้วให้มีหนังสือไปถึงกิมเซี่ยง ณ เมืองยวนจิ๋ว ซึ่งเปนเมืองขึ้นแก่อ้วนสุดว่า ให้กิมเซี่ยงจัดสเบียงอาหารให้แก่กองทัพซึ่งยกไปตีเมืองชีจิ๋วอย่าให้ขัดสน ถ้ากองทัพขัดสนด้วยสเบียงเราจะตัดสีสะกิมเซี่ยงเสีย แล้วแต่งให้กิเหลงเปนทัพหนุนยกตามไปอีก แล้วยังมิไว้ใจจึงให้โลหองเลียงก๋องงักจิวยกตามไปตรวจตรากองทัพทั้งปวง ให้เร่งรัดเข้าทำการให้พร้อม แล้วอ้วนสุดจึงคุมทหารสามหมื่นยกไปต่อภายหลัง

ฝ่ายเตียวหุนครั้นไปจะใกล้ถึงเมืองชีจิ๋ว จึงเกณฑ์กันแยกออกเปนเจ็ดกอง ให้เกียวเสงไปตีเมืองเสียวพ่าย ให้ตันกี๋ไปตีเมืองกินโต๋ ให้ลุยป๊กไปตีเมืองลองเอี๋ย ให้ตันหลันไปตีเมืองเกียดเซ็ก ให้หันเซียมไปตีเมืองแห้ฝือ ให้เอียวฮองไปตีเมืองจุนสัว ตัวเตียวหุนนั้นไปตีเมืองชีจิ๋ว แล้วก็แยกกันออกทั้งเจ็ดทาง เดิรทางวันละห้าร้อยเส้น

ฝ่ายลิโป้รู้จึงให้หาตันก๋งตันกุ๋ยตันเต๋ง กับนายทหารทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้อ้วนสุดยกทัพมาใหญ่หลวงนัก แล้วก็แยกกันไปตีเมืองขึ้นเราทุกหัวเมือง เราจะคิดประการใด ตันก๋งจึงว่าเกิดเหตุใหญ่ทั้งนี้ก็เพราะตันกุ๋ยตันเต๋งสองคนพ่อลูก ห้ามมิให้ท่านยกลูกสาวให้แก่บุตรอ้วนสุด แล้วคิดอ่านขึ้นไปหาโจโฉ ๆ จึงให้ตั้งตันเต๋งเปนขุนนาง ขอให้ท่านจับตัวตันกุ๋ยกับตันเต๋งตัดสีสะส่งให้อ้วนสุด แล้วแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้อ้วนสุดสิ้นสงสัย เห็นอ้วนสุดก็จะเลิกทัพไป ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้เอาตัวตันกุ๋ยตันเต๋งไปฆ่าเสีย

ตันเต๋งได้ยินก็หัวเราะ แล้วจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ท่านนี้แต่แรกข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีปัญญา มาบัดนี้เห็นความคิดท่านนั้นอ่อนนัก จะกลัวอันใดกับกองทัพอ้วนสุดเจ็ดกองเท่านี้ อุปมาเหมือนหญ้าเจ็ดกำอันใกล้ปากโค ถ้าจะคิดทำการ เห็นกองทัพอ้วนสุดนั้นจะไม่พอความคิดเสียอีก ลิโป้จึงตอบว่า ถ้าท่านรับอาสาจะสู้กับอ้วนสุดได้ เราก็จะยกโทษเสียทั้งสองคนพ่อลูก

ตันกุ๋ยจึงว่าแม้ท่านฟังคำข้าพเจ้า ๆ จะประกันเมืองชีจิ๋วไว้มิให้มีอันตรายเลย ลิโป้จึงถามว่า ความคิดของท่านจะทำประการใด ตันกุ๋ยจึงว่าทหารอ้วนสุดมากก็จริง แต่เปนคนสำส่อนไม่ชำนาญในสงคราม แล้วอ้วนสุดก็ไม่สู้ไว้ใจ ทหารในเมืองเราแต่ล้วนไว้ใจได้ แม้ยกออกไปรบกับอ้วนสุด เห็นทหารข้างเราจะมีชัยชนะ แลความคิดของข้าพเจ้าที่จะรักษาเมืองชีจิ๋ว แลจะต่อสู้กับอ้วนสุดนั้นก็ยังมีอยู่ ลิโป้จึงถามว่ากลอุบายของท่านคิดไว้ประการใด

ตันกุ๋ยจึงว่าหันเซียมเอียวฮองสองคนนี้ เดิมทำราชการอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นโจโฉกระทำเบียดเบียฬมิได้มีที่อาศรัยจึงหนีมาพึ่งอยู่ด้วยอ้วนสุด ๆ ก็มิได้เลี้ยงดูให้ถึงขนาด ข้าพเจ้าเห็นว่าหันเซียมกับเอียวฮองจะมิเปนใจทำราชการด้วยอ้วนสุด ขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงหันเซียมเอียวฮองว่า เมื่อท่านกับอ้วนสุดจะออกรบกันนั้น ให้หันเซียมเอียวฮองคิดอ่านเปนไส้ศึกขึ้น แล้วให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ ให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยยกทหารมาช่วยตีกระหนาบหลังอ้วนสุด เห็นอ้วนสุดก็จะเสียแก่เรา

ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือให้ตันเต๋งลอบไปหาหันเซียมเอียวฮอง ซึ่งไปตีเมืองแห้ฝือเมืองจุนสัว แล้วแต่งให้ทหารถือหนังสือขึ้นไปเมืองฮูโต๋ แจ้งเนื้อความแก่โจโฉฉบับหนึ่ง ไปถึงเล่าปี่ ณ เมืองอิจิ๋วฉบับหนึ่ง ครั้นตันเต๋งได้หนังสือแล้วกับทหารสามคนไปเมืองแห้ฝือก่อน

พอหันเซียมยกมาถึงเมืองแห้ฝือ ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ตันเต๋งก็เข้าไปหาหันเซียมในค่าย หันเซียมจึงถามตันเต๋งว่า ท่านเปนพวกของลิโป้ เหตุไฉนจึงมาหาเรา ตันเต๋งหัวเราะแล้วจึงตอบว่า เราเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทำไมท่านจึงเรียกเราว่าเปนพวกลิโป้ ตัวเรากับท่านก็เหมือนกัน ตัวท่านก็เปนข้าทำราชการอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระทุกข์ที่ด่านกวนต๋ง ท่านก็ได้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ ท่านก็ยังมีความชอบอยู่ เหมือนนกมีรังแล้ว บัดนี้ท่านทิ้งรังเสียมาอยู่ด้วยอ้วนสุดซึ่งเปนคนขบถ เราเห็นอ้วนสุดนั้นก็มิไว้ใจท่าน นานไปท่านจะได้ความเดือดร้อน ถ้าท่านคิดทำการเสียก่อน จึงจะพ้นเงื้อมมืออ้วนสุด

หันเซียมได้ยินตันเต๋งว่าก็คิดถึงความหลังก็ทอดใจใหญ่ แล้วจึงว่าทุกวันนี้เราก็คิดอยู่ แต่ได้ถลำมาอยู่ด้วยอ้วนสุดแล้ว ไม่รู้ที่จะทำประการใด ท่านช่วยเราคิดอ่านด้วย ตันเต๋งจึงเอาหนังสือของลิโป้นั้นให้หันเซียมดู หันเซียมแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงรับว่าอย่าวิตกเลย เราจะไปคิดอ่านกับเอียวฮอง ท่านจงเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิโป้เถิดว่าเรารับธุระแล้ว เมื่อลิโป้จะยกออกรบกับอ้วนสุดนั้น ถ้าเห็นเพลิงลุกขึ้นด้านใด ก็ให้ลิโป้เข้าตีด้านนั้น เราจะช่วยทำการให้สำเร็จ ตันเต๋งมีความยินดีนัก กระทำคำนับลาหันเซียม มาบอกเนื้อความแก่ลิโป้

ลิโป้จึงจัดทหารหมื่นเศษ แยกออกเปนสี่กอง ให้โกซุ่นคุมทหารยกไปเมืองเสียวพ่าย รบกับเกียวเสงกองหนึ่ง ให้ตันเต๋งยกไปเมืองกินโต๋ รบกับตันกี๋กองหนึ่ง ให้เตียวเลี้ยวยกไปเมืองลองเอี๋ย รบกับลุยป๊กกองหนึ่ง ให้ซงเหียนงุยซกยกไปเมืองเกียดเซ็ก รบกับตันหลันกองหนึ่ง ตัวลิโป้จึงจัดแจงทหารที่มีฝีมือ ยกออกตั้งค่ายอยู่นอกเมืองทางไกลสามร้อยเส้น ครั้นเตียวหุนยกมาถึงค่ายลิโป้ จึงให้ทหารเข้าไปเรียกลิโป้ชวนออกมารบ

ฝ่ายลิโป้คิดเกรงว่า กองทัพซึ่งเกณฑ์ไปรั้งไว้ทั้งสี่หัวเมืองนั้นก็จะยังมิถึง กลัวทหารเตียวหุนจะยกมาช่วยกัน แล้วก็ยังมิได้เห็นสำคัญซึ่งหันเซียมเอียวฮองสัญญา ลิโป้จึงให้เลื่อนทัพมาตั้งอยู่ใกล้เมืองทางสามร้อยเส้น เตียวหุนก็ยกตามมาตั้งค่ายประชิดลิโป้อยู่

ฝ่ายหันเซียมรับคำตันเต๋งแล้ว จึงไปปรึกษากับเอียวฮอง แล้วก็ชวนกันกลับมาหาเตียวหุน ณ ค่าย ครั้งเวลาสองยามหันเซียมเอียวฮองจึงให้ทหารเอาเพลิงเผาค่ายขึ้น ลิโป้เห็นสำคัญดังนั้น ก็ยกเข้าปล้นค่ายเตียวหุนแตก ทหารล้มตายเปนอันมาก เตียวหุนก็ขึ้นม้าฝ่าทหารหนีออกจากค่าย ลิโป้ก็ยกทหารไล่ตามเตียวหุนไป พอกิเหลงซึ่งเปนทัพหนุนเตียวหุนนั้นยกมาทัน ก็ขับม้าเข้ารบกับลิโป้ ยังมิทันแพ้ชนะกัน พอหันเซียมเอียวฮองยกตามทัน จึงรบกระหนาบกิเหลงเข้า กิเหลงก็ควบม้าหนี ลิโป้จึงยกทหารตามไป ถึงเชิงเขาแห่งหนึ่งที่กองทัพอ้วนสุดตั้งอยู่

ลิโป้แลเข้าไปในค่าย เห็นปักธงมังกรธงหงส์ เปนเครื่องสำหรับทัพกษัตริย์ แล้วเห็นอ้วนสุดใส่เสื้อพื้นทองถือกระบี่สองมือ ยืนขี่ม้ากั้นสัปทนทองอยู่ในค่าย ลิโป้จึงควบม้าขึ้นไปบนเนินเขาหน้าค่าย อ้วนสุดเอากระบี่ชี้ออกมาแล้วร้องด่าว่า ตัวมึงเปนคนชาติต่ำ มาบังอาจคิดขบถจะสู้กันกับกูผู้เปนเจ้าดังนี้เห็นมิควร

ลิโป้ขัดใจนัก จึงขับม้ารำทวนเข้าไปจะรบกับอ้วนสุด ๆ จึงให้โลหองออกสู้กับลิโป้รบกันได้สามเพลง ลิโป้เอาทวนแทงถูกโลหอง ๆ ก็ควบม้าหนีเข้าค่าย ลิโป้จึงขับทหารไล่ฆ่าฟันเข้าไปในค่าย อ้วนสุดมิทันจะรับรองก็แตกหนีออกจากค่าย ลิโป้เก็บเอาสิ่งของในค่ายได้เปนอันมาก แล้วก็ยกตามอ้วนสุดไป

ฝ่ายอ้วนสุดขับม้าไปไกลค่ายประมาณสามสิบเส้น พบกองทัพกวนอูซึ่งเล่าปี่ใช้ให้ยกมาช่วยลิโป้ กวนอูจึงร้องด่าอ้วนสุดว่า อ้ายขบถมึงตั้งตัวเปนเจ้า แล้วมึงจะหนีไปไหน อ้วนสุดโกรธจะเข้ารบกับกวนอู พอได้ยินเสียงทหารลิโป้โห่กระชั้นหลังมา อ้วนสุดก็ควบม้าไปเมืองลำหยง ลิโป้กวนอูหันเซียมเอียวฮองก็ชวนกันกลับมาช่วยทหารซึ่งให้ยกไปทั้งสี่หัว เมืองนั้น

ฝ่ายเกียวเสง ตันกี๋ ลุยป๊ก ตันหลัน ซึ่งเตียวหุนให้ไปตีหัวเมืองทั้งปวงนั้น ครั้นรู้ว่าทัพหลวงแตกแล้ว ก็ยกกลับไปเมืองลำหยง

ลิโป้กวนอูหันเซียมเอียวฮองก็พากันเข้าไปเมืองชีจิ๋ว ลิโป้จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง แล้วก็แจกเงินทองเสื้อผ้าแก่ทหารกวนอูหันเซียมเอียวฮองเปนอันมาก ครั้นเวลาเช้ากวนอูก็ลาลิโป้กลับไปเมืองอิจิ๋ว ลิโป้จึงคิดว่าจะตั้งหันเซียมให้ไปรักษาเมืองกินโต๋ ให้เอียวฮองไปรักษาเมืองลองเอี๋ย ลิโป้จึงทำเปนปรึกษาทหารทั้งปวงว่า หันเซียมเอียวฮองมีความชอบต่อเรา เราจะเลี้ยงไว้ในเมืองชีจิ๋วนี้หรือ ๆ จะให้ไปอยู่รักษาเมืองอันใด

ตันกุ๋ยจึงว่าหันเซียมเอียวฮองนี้ เดิมตั้งซ่องสุมพรรคพวกอยู่ตำบลซัวตั๋งฝ่ายตวันออก ขอท่านแต่งให้หันเซียมเอียวฮองไปอยู่เมืองกินโต๋เมืองลองเอี๋ย สมัคพรรคพวกของหันเซียมเอียวฮองรู้ก็จะพากันเข้ามาอยู่กับหันเซียมเอียวฮอง บ้านเมืองก็จะบริบูรณ์ขึ้น ลิโป้จึงให้หันเซียมเอียวฮองไปรักษาเมืองตามคำตันกุ๋ยว่า แล้วสั่งเอียวฮองหันเซียมให้คิดอ่านเกลี้ยกล่อมผู้คนไว้ให้มั่งคั่ง แม้นเราจะมีธุระสิ่งใดจะให้หนังสือไปถึงท่าน หันเซียมเอียวฮองก็ลาไปรักษาเมืองตามลิโป้สั่ง ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงต่างคนก็ลาลิโป้ไปบ้าน

ฝ่ายตันเต๋งกลับมาบ้านแล้วจึงว่าแก่บิดาว่า หันเซียมเอียวฮองสองคนนี้ถ้าอยู่ในเมืองชีจิ๋ว เมื่อเราจะทำการกับลิโป้จะได้อาศรัยเปนกำลัง เหตุไฉนบิดาจึงปรึกษาให้ไปอยู่เมืองอื่น ตันกุ๋ยจึงว่าหันเซียมเอียวฮองนี้ เปนคนไม่ยั่งยืนจะไว้ใจมิได้ แม้อยู่ในเมืองชีจิ๋วนานไปลิโป้เลี้ยงดูถึงขนาด หันเซียมเอียวฮองก็จะเปนใจด้วยลิโป้ เห็นเราจะทำการมิสดวก ตันเต๋งเห็นชอบด้วย จึงว่าความคิดของบิดานี้ดีนัก ข้าพเจ้าคิดมิถึง แล้วตันเต๋งก็ลาตันกุ๋ยมาที่อยู่

ฝ่ายอ้วนสุดเสียทหารแลสิ่งของแก่ลิโป้เปนอันมาก ก็คิดแค้นอยู่มิได้ขาด จึงให้ทหารถือหนังสือไปหาซุนเซ็ก ณ เมืองกังตั๋ง ขอทหารยกมาช่วยแก้แค้นลิโป้ ซุนเซ็กได้ยินดังนั้นก็ด่าว่าอ้วนสุดว่า ฉ้อเอาตราหยกของกูไว้ แล้วคิดขบถตั้งตัวเปนเจ้า กูคิดจะทำร้ายมันอีกบัดนี้กลับมาขอกองทัพอีกเล่า แล้วตอบไปแก่ทหารอ้วนสุดว่า ซึ่งนายมึงให้มาขอกองทัพนั้นกูมิได้ให้ กูจะยกทหารไปตีเมืองลำหยงแก้แค้นของกูอีก

ผู้ถือหนังสือก็ลาซุนเซ็กกลับมาบอกเนื้อความแก่อ้วนสุด ๆ จึงด่าซุนเซ็กว่า อ้ายเด็กน้ำนมยังมิทันพ้นปาก มันจองหองเจรจาว่าจะรบกับกู กูจะไปตีเมืองกังตั๋งจับตัวอ้ายซุนเซ็กให้จงได้ ว่าแล้วอ้วนสุดก็สั่งให้เตรียมทหาร

เอียวไต้เจียงที่ปรึกษาจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า เรายกไปตีเมืองชีจิ๋วพึ่งกลับมาถึง ทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ แลท่านจะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้น ซุนเซ็กก็มีฝีมือ ทหารก็เข้มแขง เห็นจะเสียทีแก่เขา อ้วนสุดเห็นชอบด้วย ก็ให้งดกองทัพไว้

ฝ่ายซุนเซ็กครั้นคนถือหนังสือกลับไปแล้ว คิดเกรงว่าอ้วนสุดจะยกทัพมา จึงเกณฑ์ทหารตั้งค่ายคอยรับอยู่ปากคลองเมืองกังตั๋ง พอโจโฉให้หนังสือมาถึงซุนเซ็กเปนใจความว่า ตั้งให้ซุนเซ็กเปนเจ้าเมืองห้อยเขแล้วให้ยกไปตีอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง ซุนเซ็กมีความยินดีจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราจะยกกองทัพไปตีเมืองลำหยง

เตียวเจียวจึงว่า เมืองลำหยงนั้นเข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ ผู้คนก็มั่งคั่งท่านอย่าเพ่อดูหมิ่น ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงโจโฉ ให้โจโฉยกกองทัพมาตีด้านหน้า เราจึงยกไปตีกระหนาบหลัง เห็นอ้วนสุดจะเสียแก่เราเปนมั่นคง ซุนเซ็กเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือขึ้นไปเมืองฮูโต๋ตามคำเตียวเจียวว่า


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 15

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgna0xjVUNfWV9KOHc/view?resourcekey=0-yowUQctIXR3i7roQ91lo3w



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #5 on: 21 December 2021, 21:36:47 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 16


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-16.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 16

เนื้อหา
โจโฉชวนเล่าปี่ ลิโป้ แลซุนเซ็กไปรบอ้วนสุด
อ้วนสุดหนีโจโฉ
โจโฉเผาเมืองลำหยงของอ้วนสุด
โจโฉคิดกลอุบายให้เล่าปี่แตกกับลิโป้ครั้งที่สอง
ตวนอุย งอสิบฆ่าลิฉุย กุยกี
โจโฉยกไปรบเตียวสิ้ว
โจโฉเสียกลเตียวสิ้ว
โจโฉถอยทัพทั้งกำลังรบติดพันกับเล่าเปียว เตียวสิ้ว
โจโฉคิดกำจัดอ้วนเสี้ยวกับลิโป้

ฝ่าย โจโฉจำเดิมแต่เสียเตียนอุยแล้ว มิได้มีความสบายคิดถึงเตียนอุย แต่งเครื่องเส้นไปมิได้ขาด แล้วเอาตัวเตียนมวนบุตรเตียนอุยมาตั้งเปนตองหลอง คำไทยว่าเปนคนสนิธ พอหนังสือซุนเซ็กไปถึงโจโฉ โจโฉเห็นหนังสือแล้วยังมิได้ว่าประการใด มีทหารเอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า เมืองลำหยงนั้นเข้าปลาอาหารก็ขัดสน บัดนี้อ้วนสุดแต่งทหารไปตีชิงอยู่ ณ เมืองตันลิว

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ในเมืองลำหยงนั้นทหารจะเบาบาง เราจะยกกองทัพไปตีเอาเห็นจะได้โดยง่าย จึงให้แต่งหนังสือไปถึงเล่าปี่ซุนเซ็กลิโป้ให้ยกกองทัพไปเมืองลำหยง โจโฉจึงให้โจหยินอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ แล้วจัดแจงทหารสิบเจ็ดหมื่นกับเข้าสเบียงพันเกวียน ยกไปถึงแดนเมืองอิเจี๋ยง ใกล้เมืองอิจิ๋วซึ่งเล่าปี่อยู่

ฝ่ายหันเซียมซึ่งลิโป้ให้ไปอยู่เมืองกินโต๋ กับเอียวฮองซึ่งอยู่เมืองลองเอี๋ย ทำหยาบช้าเที่ยวเปนโจรตีชิงอาณาประชาราษฎร มีคนเอาเนื้อความมาบอกเล่าปี่ ๆ จึงคิดกับกวนอูเตียวหุยว่า ให้ไปเชิญหันเซียมเอียวฮองมากินโต๊ะ ถ้าท่านเห็นเราทิ้งจอกสุราลงแล้ว ท่านทั้งสองจงเอากระบี่ตัดสีสะหันเซียมเอียวฮองเสีย แล้วเล่าปี่จึงให้ทหารไปเชิญหันเซียมเอียวฮองมากินโต๊ะ ครั้นกินจะใกล้สำเร็จ เล่าปี่กระทำเปนเมาทิ้งจอกสุราลง กวนอูเตียวหุยถือกระบี่แอบอยู่หลังฉาก ก็วิ่งมาตัดสีสะเอียวฮองหันเซียมเสีย พอทหารเอาเนื้อความมาบอกแก่เล่าปี่ว่าโจโฉจะยกไปเมืองลำหยง บัดนี้มาอยู่แดนเมืองอิเจี๋ยง เล่าปี่รู้ดังนั้นจึงจัดแจงทหารยกออกไปหาโจโฉ เอาสีสะหันเซียมเอียวฮองนั้นไปด้วย โจโฉแลเห็นเล่าปี่ก็ออกมารับ คำนับกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อย เล่าปี่จึงเอาสีสะหันเซียมเอียวฮองนั้นให้โจโฉ แล้วจึงว่าข้าพเจ้าทำการครั้งนี้ผิดนัก ข้าพเจ้าขออภัยมหาอุปราชเสียเถิด

โจโฉจึงว่าซึ่งท่านทำการทั้งนี้ชอบอยู่อีก ราษฎรที่ได้ความเดือดร้อนก็จะได้ความสุขเพราะท่าน เหตุไฉนท่านจึงว่ากระทำความผิด แล้วโจโฉก็ให้บำเหน็จแก่เล่าปี่เปนอันมาก โจโฉก็พาเล่าปี่ยกไปจากแดนเมืองอิเจี๋ยง ไปใกล้ถึงเมืองชีจิ๋ว

ลิโป้รู้ว่าโจโฉยกทหารมา ก็ออกไปหาโจโฉ ๆ จึงว่าแก่ลิโป้ว่าแม้สำเร็จการเราครั้งนี้แล้ว เราจะกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งท่านเปนใหญ่ แล้วโจโฉพูดจาเกลี้ยกล่อมลิโป้เปนอันมาก ลิโป้มีความยินดีนักลุกขึ้นคำนับโจโฉ แล้วโจโฉตั้งให้แฮหัวตุ้น อิกิ๋ม เปนทัพหน้า ให้เล่าปี่เปนปีกขวา ลิโป้เปนปีกซ้าย ตัวโจโฉเปนทัพหลวงยกไปตีเมืองลำหยง

ฝ่ายอ้วนสุดรู้ว่าโจโฉยกทัพมา จึงให้เกียวเสงคุมทหารห้าหมื่นยกออกไปตั้งคอยรับอยู่ปากทางตำบลฉิวฉุน เกียวเสงก็ยกทหารออกจากเมือง พอกองทัพแฮหัวตุ้นมาถึง เกียวเสงก็ควบม้าเข้ารบกับแฮหัวตุ้นสู้กันได้สามเพลง แฮหัวตุ้นเอาทวนแทงถูกเกียวเสงตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็หนีกลับเข้าเมือง

ฝ่ายซุนเซ็กซึ่งอยู่เมืองกังตั๋ง รู้ว่าโจโฉยกไปตีเมืองลำหยงแล้ว ก็จัดแจงทหารทัพเรือเปนอันมาก ยกไปเมืองลำหยงตั้งอยู่ทิศตวันตก โจโฉรู้ว่าซุนเซ็กยกมาแล้ว จึงให้ลิโป้ไปตั้งอยู่ด้านตวันออก ให้เล่าปี่กับกวนอูเตียวหุยยกไปตั้งด้านใต้ ตัวโจโฉกับทหารสิบเจ็ดหมื่นตั้งอยู่ด้านเหนือ แล้วให้สัญญากันว่าให้ยกเข้าล้อมเมืองจงพร้อมกัน

ฝ่ายอ้วนสุดเห็นโจโฉยกมาตั้งอยู่เปนสี่ด้าน จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เห็นการศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เอียวไต้เจียงจึงว่า เมืองเราครั้งนี้ราษฎรก็ขัดสนด้วยเข้าปลาอาหาร ซึ่งท่านจะคิดอ่านออกรบกับโจโฉนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารทั้งปวงจะได้ความลำบาก ขอให้ท่านแต่งทหารอยู่รักษาเมืองไว้ให้มั่นคง ตัวท่านจึงพาครอบครัวถอยไปตั้งอยู่ตำบลห้วยหนำ จะได้อาศรัยสเบียงอาหาร

อ้วนสุดเห็นชอบด้วย จึงให้โลหองหนึ่ง งักจิวหนึ่ง เลียงก๋องหนึ่ง ตันกี๋หนึ่ง กับทหารสิบหมื่นอยู่รักษาเมืองลำหยง แล้วอ้วนสุดจึงพาทหารกับครอบครัวทั้งปวงถอยไปตั้งอยู่ตำบลห้วยหนำตามเอียว ไต้เจียงว่า โจโฉมิรู้ว่าอ้วนสุดหนีจากเมือง ก็ให้ทหารเข้าล้อมเมืองไว้

ฝ่ายโลหอง งักจิว เลียงก๋อง ตันกี๋ ซึ่งอยู่รักษาเมืองนั้น มิได้ออกสู้รบกับโจโฉ ๆ ล้อมเมืองไว้ช้านานประมาณเดือนเศษจนสิ้นสเบียง จึงใช้คนให้ไปยืมอาหารซุนเซ็กทัพเรือ ได้สเบียงสิบหมื่นถัง โจโฉจึงเอาเข้ามอบให้แก่อองเฮาซึ่งเปนนายฉาง

อองเฮาจึงว่าแก่โจโฉว่า เข้าในฉางเรานี้ก็น้อยลงแล้ว นานไปเห็นทหารทั้งปวงจะขัดสน โจโฉจึงว่าถ้าดังนั้นท่านจงคิดแจกเข้าแก่ทหารให้ถังย่อมลงกว่าเก่า แต่พอประทังไว้กว่าการเราจะสำเร็จ อองเฮาจึงว่า ซึ่งท่านจะทำดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่า ทหารทั้งปวงจะมีความน้อยใจด้วยกำลังนั้นอิดโรยลง ก็จะไม่เปนใจทำการณรงค์สงคราม โจโฉจึงตอบว่า เราจะคิดอ่านมิให้ทหารทั้งปวงเสียใจได้ อองเฮาก็ทำถังเล็กตวงเข้าแจกทหารตามคำโจโฉว่า ทหารทั้งปวงได้อาหารไปกินไม่เต็มกำลังก็เสียใจ จึงชวนกันนินทาโจโฉว่าส่วนการนั้นจะเอา จ่ายเข้าให้กินแต่น้อย เมื่อเรากินไม่อิ่มดังนี้ จะทำการรบพุ่งต่อไปได้หรือ

ครั้นเวลากลางคืน โจโฉจึงใช้ให้คนสนิธไปเที่ยวฟังดูรู้เนื้อความว่า ทหารทั้งปวงเสียน้ำใจ ชวนกันครหานินทาโจโฉ ๆ จึงคิดจะเอาใจทหารทั้งปวงให้มีน้ำใจยกเข้าปล้นเมือง จึงลอบหาตัวอองเฮามาว่า เราจะขอของรักท่านสักสิ่งหนึ่งจะได้เอาใจทหาร ท่านจะให้หรือไม่ อองเฮาจึงว่า ข้าพเจ้ามิได้มีสิ่งใดที่จะให้มหาอุปราช โจโฉจึงกระซิบบอกว่าเราจะขอยืมสีสะท่าน อองเฮาตกใจจึงว่า ข้าพเจ้ามิได้มีผิดสิ่งใดเหตุไฉนมหาอุปราชจึงจะตัดสีสะข้าพเจ้าเสีย โจโฉจึงว่าตัวท่านก็มิได้มีความผิด แต่เราจะขอสีสะท่านกระทำการให้ทหารทั้งปวงมีน้ำใจ ซึ่งบุตรภรรยาพรรคพวกของท่านอยู่ภายหลังนั้น เราจะเลี้ยงดูมิให้ขัดสน อองเฮายังมิทันจะว่าประการใด โจโฉก็ให้ทหารเอาตัวอองเฮาไปตัดสีสะเสียบไว้ แล้วให้ร้องประกาศว่า อองเฮากระทำผิดฉ้อเข้ามหาอุปราช แล้วจ่ายเข้าให้ทหารด้วยถังเล็ก

ฝ่ายทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็สิ้นสงสัย โจโฉจึงป่าวร้องให้ทหารทั้งปวงมาเบิกเข้า ให้สำเร็จในสามวัน แล้วโจโฉจึงกำชับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกเข้าไปปล้นเมือง แม้นใครมิเปนใจกระทำการ แตกถอยออกมาเราจะตัดสีสะเสีย โจโฉจึงขับทหารทั้งปวงให้ขนดินเข้าถมคูเมือง

ฝ่ายทหารซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทิน ก็ยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ทหารโจโฉสองคนซึ่งเข้าไปถมคูนั้น กลัวจะถูกเกาทัณฑ์ก็ถอยหลังออกมา โจโฉเอากระบี่ตัดสีสะทหารสองคนนั้นทิ้งลงในคู ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มิอาจถอยออกมา โจโฉจึงเร่งทหารให้ถมคูปีนกำแพงทลายประตูเมืองเข้าไป ทหารโจโฉก็ฆ่าฟันทหารซึ่งอยู่ในเมืองนั้นล้มตายเปนอันมาก แล้วจับตัวโลหอง ตันกี๋ งักจิว เลียงก๋อง สี่คนนั้นได้ โจโฉจึงถาม รู้ว่าอ้วนสุดไปตั้งอยู่ตำบลห้วยหนำ แล้วให้เอาตัวทหารสี่คนไปตระเวนประจานกลางตลาดแล้วเอาไปฆ่าเสีย เข้าของทั้งปวงซึ่งได้ในเมืองนั้น โจโฉก็ให้แจกทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วให้เผาเมืองเสีย โจโฉจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราจะยกทัพไปตามอ้วนสุด ท่านทั้งปวงจะเห็นเปนประการใด

ซุนฮกจึงว่า บัดนี้สเบียงอาหารเราก็ขัดสน ซึ่งท่านจะยกไปตามอ้วนสุดนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารทั้งปวงจะได้ความลำบาก ขอให้ท่านยกกลับไปเมืองฮูโต๋ บำรุงทหารให้บริบูรณ์ก่อน ต่อฤดูเข้าในนาสุกจึงค่อยกลับมากระทำการ เห็นจะสำเร็จโดยง่าย โจโฉได้ยินดังนั้นยังมิทันจะว่าประการใด พอโจหองให้หนังสือมาถึงโจโฉว่า เตียวสิ้วหลานเตียวเจคบคิดกับเล่าเปียวซึ่งอยู่เมืองเกงจิ๋ว ยกมาตีเมืองเซียงหยง เมืองกังเหลง ได้รบพุ่งกับโจหองเปนหลายครั้ง โจหองทานฝีมือเตียวสิ้วมิได้ ขอให้มหาอุปราชยกทหารไปช่วย โจโฉแจ้งเนื้อความในหนังสือนั้นแล้ว จึงว่าแก่ซุนเซ็กว่า ท่านจงยกทัพเรือไปรั้งหลังสกัดต้นทางเมืองเกงจิ๋วไว้ ให้เล่าเปียวพว้าพวังอย่าให้คิดการสืบไปได้ เราจัดแจงสำเร็จแล้วจึงจะยกไปตีเมืองเซียงหยง เมืองกังเหลงตีด้านหน้า ซุนเซ็กรับคำโจโฉแล้วก็เลิกทัพกลับไปตามโจโฉสั่ง

ครั้นซุนเซ็กไปแล้ว โจโฉจึงให้หาลิโป้เล่าปี่มาว่า ท่านทั้งสองอย่าได้พยาบาทกันเลย จงช่วยกันคิดอ่านบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ เราจะขอให้เล่าปี่ไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ลิโป้รับคำโจโฉแล้วก็ลายกกลับไปเมืองชีจิ๋ว โจโฉจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านรู้กลเราหรือไม่ เราให้ท่านไปอยู่เมืองเสียวพ่ายบัดนี้ เราจะลวงให้เสือตกหลุม ท่านไปอยู่แล้วจงคิดอ่านกันกับตันกุ๋ยตันเต๋ง เร่งกระทำการให้สำเร็จจงได้ เล่าปี่ก็ลาโจโฉไปตั้งอยู่เมืองเสียวพ่าย

โจโฉก็ยกทัพกลับไปเมืองฮูโต๋ จึงจัดแจงทหารยกไปรบเตียวสิ้ว พอทหารเอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า ตวนอุยงอสิบ ฆ่าลิฉุยกุยกีเสียแล้ว บัดนี้เอาสีสะลิฉุยกุยกีกับสมัคพรรคพวกมาให้ท่าน โจโฉมีความยินดี ออกมารับตวนอุยงอสิบ แล้วให้ทหารเอาสมัคพรรคพวกของลิฉุยกุยกีไปตัดสีสะเสียบไว้ทุกประตูเมือง แล้วเอาเนื้อความทั้งปวงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ดีพระทัยตรัสว่า แผ่นดินเราครั้งนี้จะอยู่เย็นเปนสุข มิได้มีเสี้ยนหนามแล้ว จึงมีรับสั่งให้หาตวนอุยงอสิบเข้าไปในที่เสด็จออก แล้วพระราชทานโต๊ะให้ตวนอุยงอสิบกินกับขุนนางทั้งปวง แล้วตั้งตวนอุยเปนทองเค้าเจียงกุ๋น ให้งอสิบเปนเตียนโลเจียงกุ๋น คำไทยว่าเปนนายทหารกำจัดโจร แล้วมีรับสั่งให้ตวนอุยงอสิบคุมสมัคพรรคพวกไปรักษาเมืองเตียงอั๋น ตวนอุยงอสิบนั้นก็ถวายบังคมลาไปตั้งอยู่ตามรับสั่ง

โจโฉจึงทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า เตียวสิ้วคบคิดกันกับเล่าเปียวยกมาตีเมืองเซียงหยง เมืองกังเหลง ข้าพเจ้าจะถวายบังคมลาไปกำจัดเตียวสิ้ว ให้ซุนฮกอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ แล้วก็จัดแจงยกทหารออกจากเมือง พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปส่งโจโฉถึงประตูเมือง ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมาอยู่เมืองฮูโต๋ได้สามปี เมื่อโจโฉยกไปนั้นเปนระดูเข้าโภชน์สาลีสุก ราษฎรชาวบ้านรายทางทั้งปวงรู้ว่า กองทัพโจโฉยกมาก็ชวนกันแตกตื่นทิ้งที่ไร่นาเสีย โจโฉเห็นดังนั้นจึงกำชับนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดเบียดเบียฬชาวบ้าน แลเหยียบเข้าโภชน์สาลีเสียแต่ต้นหนึ่ง เราจะตัดสีสะนายทัพนายกองเสีย แล้วจึงให้ไปป่าวร้องให้ชาวบ้านทั้งปวง มาตั้งอยู่ตามปรกติตามภูมิลำเนา ราษฎรทั้งปวงเห็นเข้าของมิได้เปนอันตราย แล้วก็รู้ว่าโจโฉกำชับทหารดังนั้น ก็มีความยินดีชวนกันสรรเสริญว่า มหาอุปราชมีใจปรานีราษฎร หาผู้เสมอมิได้

ฝ่ายนายทัพนายกองทั้งปวง เมื่อยกทัพไปกลางทางนั้น ถ้าถึงไร่เข้า ก็ลงจากม้า มือหนึ่งจูงม้าแหวกต้นเข้าโภชน์สาลีไป ด้วยเกรงอาญาโจโฉ แต่ตัวโจโฉนั้นขี่ม้า ให้ทหารแหวกไปข้างหน้าม้า พอนกตัวหนึ่งอยู่ในไร่ได้ยินเสียงทหารอื้ออึงมา ก็ตกใจบินออกจากกอเข้าโภชน์สาลี ผ่านหน้าม้าโจโฉไป ม้านั้นตกใจตื่นเข้าไปในไร่ เหยียบต้นเข้าโภชน์สาลีหักเสียเปนอันมาก โจโฉจึงคิดอุบายหวังจะให้คนทั้งปวงนับถือว่าเปนสัตย์ธรรม จึงหานายทัพนายกองทั้งปวงมาว่า บัดนี้เราก็ทำผิดให้ท่านทั้งปวงปรึกษาโทษเราด้วย

จูเภาที่ปรึกษาจึงถามว่า มหาอุปราชกระทำสิ่งใด โจโฉจึงเล่าเนื้อความให้จูเภาฟัง ว่าเดิมเรากำชับว่าจะเอาโทษท่านทั้งปวง มาบัดนี้เรากระทำเอง ครั้นจะนิ่งเสียคนทั้งปวงก็จะติเตียนว่าเรามิได้ตั้งอยู่ในสัตย์ แล้วก็ทำเปนชักกระบี่ซึ่งเหน็บหลังออก จะเชือดคอเสีย

กุยแกตกใจจึงเข้ายุดกระบี่ไว้แล้วห้ามว่า ซึ่งมหาอุปราชกระทำดังนี้ก็ควรอยู่แล้ว แต่ตัวข้าพเจ้านายทัพนายกองแลราษฎรทั้งปวง ได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะบุญมหาอุปราช ๆ จะฆ่าตัวตายเสียบัดนี้ราษฎรทั้งปวงมิได้มีที่พึ่ง ก็จะได้ความเดือดร้อน โจโฉก็ทำทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า ท่านว่านี้ชอบอยู่แล้ว แต่ท่านจะขอเปนคำขาดนั้นมิได้ จำเราจะทำให้เปนตัวอย่าง แล้วโจโฉจึงเอากระบี่ตัดผมที่สีสะส่งให้ทหารเอาไปร้องประกาศทุกหน้าบ้านว่า มหาอุปราชกระทำผิดแล้ว มิได้คิดแก่ชีวิตจะฆ่าตัวเสีย นายทัพนายกองทั้งปวงห้ามไว้ มหาอุปราชจึงตัดผมออกแทนสีสะ ให้คนทั้งปวงดูเปนอย่างธรรมเนียมไว้ ทหารแลราษฎรทั้งปวงก็ชวนกันสรรเสริญรักโจโฉมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งกลัวอาญาเปนอันมาก โจโฉก็เร่งยกทหารไปจะรบเตียวสิ้ว

ฝ่ายเตียวสิ้วรู้ว่าโจโฉยกทัพมา จึงให้หนังสือไปถึงเล่าเปียวให้ยกมาตีวกหลัง ตัวเตียวสิ้วกับลุยฉีเตียวเสียน ยกทหารมาตั้งอยู่นอกค่ายคอยจะรบด้วยโจโฉ พอโจโฉยกมาถึง เตียวสิ้วเห็นโจโฉจึงร้องด่าว่า อ้ายช่างพูดดีแต่เจรจาลวงให้คนเชื่อ อันกูนี้รู้อยู่ว่ามึงโกหกหยาบช้าเหมือนหนึ่งสัตว์เดียรัจฉาน โจโฉได้ยินก็โกรธ ขับให้เคาทูควบม้าออกรบด้วยเตียวสิ้ว ๆ จึงให้เตียวเสียนออกรบกับเคาทูได้สามเพลง เคาทูเอาทวนแทงถูกเตียวเสียนตกม้าตาย เตียวสิ้วเห็นว่าจะสู้โจโฉนั้นมิได้ ก็ควบม้าพาทหารหนีเข้าเมืองเซียงหยง แล้วให้ปิดประตูเมืองเสีย จึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ให้มั่นคง โจโฉก็ยกทหารเข้าตั้งประชิดล้อมเมืองไว้ แล้วเห็นคูเมืองนั้นกว้างน้ำก็ลึก ซึ่งจะทำการเข้าไปนั้นไม่สดวก จึงให้ทหารขนไม้แลหญ้ามามัดเข้าไว้เปนอันมาก แล้วให้ปลูกหอคอยสี่ด้านกำแพงเมือง โจโฉจึงขึ้นดูทุกหอคอยถึงสามวัน เห็นทหารซึ่งรักษาหน้าที่ด้านตวันออกนั้นเบาบาง โจโฉจึงให้ทหารขนเอามัดหญ้า แลไม้นั้นไปกองไว้ข้างด้านตวันตก แล้วบอกทหารทั้งปวงว่าเราจะยกเข้าปล้นด้านนี้

ฝ่ายกาเซี่ยงที่ปรึกษาเห็นดังนั้นจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า ซึ่งโจโฉให้ทำการทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าทำกลอุบาย ข้าพเจ้าจะคิดซ้อนกลโจโฉ ให้เสียทีแก่เราให้จงได้ เตียวสิ้วจึงถามว่าท่านจะคิดซ้อนกลนั้นประการใด กาเซี่ยงจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นโจโฉขึ้นดูบนหอคอยถึงสามเวลา เห็นผู้คนซึ่งรักษาหน้าที่ด้านตวันออกนั้นเบาบาง โจโฉจึงให้ขนเอาไม้แลหญ้าไปไว้ข้างตวันตก จะให้เราจัดแจงป้องกันระวังข้างด้านตวันตก แล้วโจโฉจะคิดการข้างด้านตวันออกในเวลากลางคืนเปนมั่นคง ข้าพเจ้าจะให้ชาวเมืองแต่งตัว ปลอมเปนทหารขึ้นรักษาหน้าที่ฝ่ายด้านตวันตก แล้วจะยกเอาทหารนั้นมาซุ่มไว้หน้าที่ตวันออก ถ้าโจโฉยกมาทำการเมื่อใด จึงให้จุดประทัดสัญญา แล้วจะยกทหารซึ่งซุ่มไว้นั้นตีกระหนาบ เห็นโจโฉจะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย ก็ให้ทำตามกาเซี่ยงว่า

ฝ่ายทหารซึ่งอยู่บนหอคอยก็เอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้เตียวสิ้วเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่ตวันตกเปนอันมาก หน้าที่ข้างด้านตวันออกนั้นผู้คนเบาบางนัก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี หมายใจว่าจะสมความคิด จึงให้ทหารทั้งปวงแต่งตัวเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อม ครั้นเวลาสองยามเศษ โจโฉก็ให้ทหารทั้งปวงว่ายน้ำข้ามคูเข้าไป มิได้มีผู้ใดทักทาย ถอดขวากทำลายประตูเมืองเข้าไปได้

ฝ่ายทหารเตียวสิ้วซึ่งซุ่มอยู่นั้น ก็จุดประทัดสัญญาขึ้น แล้วชวนกันยกกระหนาบรบฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก ฝ่ายทหารโจโฉก็พากันถอยหลังกลับออกมา เตียวสิ้วยกทหารติดตามฆ่าฟันออกไป แลโจโฉกับทหารซึ่งรักษาค่ายอยู่นั้น ก็พลอยแตกตื่นไปด้วย เตียวสิ้วคุมทหารไล่ไปทางประมาณสามร้อยเส้น พอเวลารุ่งขึ้นเตียวสิ้วก็พาทหารกลับเข้าเมือง

ฝ่ายโจโฉเห็นอิกิ๋มกับลิยอยถูกเกาทัณฑ์เปนหลายแห่ง จึงให้ตรวจทหารดู ก็รู้ว่าเสียทหารประมาณห้าหมื่นเศษ ฝ่ายกาเซี่ยงเห็นโจโฉเสียทหารเปนอันมาก จึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าเปียวไปสกัดตีโจโฉเห็นจะจับตัวได้ เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือไปให้เล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว

ฝ่ายเล่าเปียวแจ้งในหนังสือแล้ว ก็จัดแจงทหารจะยกไปคอยสกัดโจโฉ พอรู้เนื้อความว่าซุนเซ็กยกทัพเรือมาตั้งอยู่ปากอ่าวเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวจึงปรึกษากับเก๊งเหลียงว่า เตียวสิ้วมีหนังสือมาถึงเราให้เรายกไปสกัดตีโจโฉ บัดนี้ซุนเซ็กก็ยกทัพมา เราจะคิดประการใด เก๊งเหลียงจึงว่า ซึ่งซุนเซ็กยกมาทำการทั้งนี้ เปนความคิดของโจโฉ บัดนี้โจโฉเสียทีแก่เตียวสิ้วแล้ว เห็นซุนเซ็กจะทำการมิตลอด เราจะยกไปตีซ้ำเติมให้กองทัพโจโฉแตก นานไปจึงจะไม่มีอันตราย เล่าเปียวเห็นชอบด้วย จึงให้หองจอคุมทหารไปตั้งขัดทัพซุนเซ็กไว้ เล่าเปียวนั้นก็คุมทหารยกไปตั้งสกัดโจโฉอยู่ ณ แดนเมืองอันจงก๋วน

ฝ่ายเตียวสิ้วครั้นให้หนังสือไปถึงเล่าเปียวแล้ว ก็จัดทหารยกตามโจโฉไป แลเมื่อโจโฉแตกมานั้น มิได้ให้ทหารทั้งปวงรีบร้อน ค่อยเดิรเปนปรกติไปจนถึงแม่น้ำหยกซุย โจโฉจึงแกล้งทำเปนร้องไห้ ทหารทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งใด โจโฉจึงบอกว่า เรามาถึงที่นี่ให้คิดระลึกถึงเตียนอุยซึ่งตาย เคยมาด้วยกันเปนเพื่อนยาก แล้วโจโฉก็ให้แต่งโต๊ะจุดธูปเทียนรินสุราเส้นแก่เตียนอุย ทหารทั้งปวงก็ร้องไห้ด้วย แล้วโจโฉจึงเส้นโจงั่งผู้บุตร โจอั๋นบิ๋นผู้หลาน กับทหารเลวซึ่งตายนั้น แล้วก็ยกทหารข้ามแม่น้ำหยกซุยไป พอม้าใช้เอาหนังสือซุกฮกมาให้โจโฉ ๆ ได้แจ้งความว่า เตียวสิ้วให้เล่าเปียวยกกองทัพมาตั้งสกัดอยู่ ณ แดนเมืองอันจงก๋วน ให้ท่านคิดป้องกันตัวจงดี

โจโฉจึงให้แต่งหนังสือตอบซุนฮกไปว่า ซึ่งเล่าเปียวยกมาสกัดทางไว้ แลเตียวสิ้วตามมานั้นเราก็แจ้งอยู่แล้ว เราจึงเดิรทัพแต่วันละร้อยเส้น หวังจะคิดการเปนกลอุบาย ลวงเตียวสิ้วกับเล่าเปียวให้มีใจกำเริบ แล้วเราจะตีเอาชัยชนะคืนให้ได้ ซึ่งซุนฮกเตือนสติมานั้นก็ขอบใจอยู่แล้ว อย่าให้ซุนฮกวิตกเลย แล้วโจโฉก็ยกไปใกล้จะถึงแดนเมืองอันจงก๋วน รู้กิตติศัพท์ว่ากองทัพเตียวสิ้วมาจะใกล้ทันอยู่แล้ว ครั้นเวลาพลบค่ำจึงให้ทหารทั้งปวงแยกกันเปนสองกอง ไปขุดหลุมซ่อนตัวอยู่บ้าง เข้าซุ่มอยู่ในพุ่มไม้แลกองหญ้าบ้างทั้งสองข้างทาง ไกลประมาณเก้าเส้นสิบเส้น แล้วให้ตั้งค่ายแอบอยู่ข้างเขาริมทาง ให้ทหารรักษาค่ายอยู่แต่น้อย ถ้าเตียวสิ้วตามมาถึงแล้ว ก็ให้ทหารในค่ายสงบอยู่ ต่อเตียวสิ้วยกเข้าตีค่ายเมื่อใด จึงจุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารทั้งสองกองจึงยกเข้าตีกระหนาบ

ฝ่ายเตียวสิ้วก็รีบตามไปในเวลากลางคืน มิทันเห็นค่ายซึ่งโจโฉตั้งไว้ เตียวสิ้วยกทหารล่วงพ้นขึ้นไป พบกองทัพเล่าเปียวจึงถามว่า พบโจโฉหรือไม่ เล่าเปียวบอกว่ามิได้พบ ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารจึงบอกเตียวสิ้วว่า โจโฉตั้งค่ายแอบเนินเขาอยู่ข้างหลัง ทหารในค่ายนั้นก็เบาบาง เตียวสิ้วกับเล่าเปียวยินดีนัก จึงให้ทหารทั้งสองฝ่ายเข้าบัญจบกันเปนกองเดียว แล้วก็ยกเข้าโจมตีค่ายโจโฉเวลากลางวัน

ฝ่ายโจโฉก็จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารซึ่งซุ่มอยู่ทั้งสองกองนั้นก็ยกออกตีกระหนาบเปนสามารถ ฆ่าฟันทหารเตียวสิ้วเล่าเปียวล้มตายเปนอันมาก เตียวสิ้วกับเล่าเปียวก็แตกหนีไป โจโฉก็ยกทหารรีบไปพ้นแดนเมืองอันจงก๋วน จึงให้ตั้งค่ายอยู่ เล่าเปียวจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า ครั้งนี้เราเสียทีแก่โจโฉด้วยรู้มิถึง เตียวสิ้วจึงว่า บัดนี้ทหารเรายังอิดโรยอยู่ จะตั้งมั่นพักทหารให้มีกำลังขึ้น แล้วจึงคิดแก้แค้นโจโฉให้ได้ เล่าเปียวเห็นชอบด้วยก็ให้ตั้งค่ายอยู่ในที่นั้น

ฝ่ายซุนฮกซึ่งอยู่รักษาเมือง ครั้นแจ้งในหนังสือโจโฉแล้ว พอรู้กิตติศัพท์ว่า อ้วนเสี้ยวจะยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋ จึงแต่งหนังสือบอกข้อเนื้อความทั้งปวงไปถึงโจโฉ ๆ รู้เหตุดังนั้นก็เสียใจ จึงจัดแจงทหารรีบยกกลับไปเมืองฮูโต๋

ฝ่ายเตียวสิ้วรู้ว่าโจโฉยกกองทัพรีบไปเมืองฮูโต๋แล้ว ก็ให้จัดแจงทหารยกไปตามโจโฉ กาเซี่ยงจึงห้ามว่า ซึ่งท่านจะยกตามไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเสียทีแก่โจโฉอีกเปนมั่นคง เล่าเปียวจึงว่าเมื่อได้ทีฉนี้แล้ว จะไม่ยกตามไปจะมาตั้งอยู่ให้ป่วยการทำไม เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย ก็ยกทหารประมาณหมื่นเศษ แล้วพาเล่าเปียวยกตามโจโฉไปทางประมาณร้อยเส้น พอทันโจโฉเข้า โจโฉก็ให้ทหารกองหลังออกรบฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก เตียวสิ้วเล่าเปียวก็แตกไป ณ ค่ายซึ่งตั้งอยู่นั้น เตียวสิ้วจึงว่าแก่กาเซี่ยงว่า ซึ่งเราตามโจโฉไปกลับแตกมาครั้งนี้ เพราะมิได้ฟังคำท่าน

กาเซี่ยงจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า บัดนี้ขอให้ท่านยกตามโจโฉไปอีกเห็นจะได้ชัยชนะเปนมั่นคง ถ้าไม่สมคำข้าพเจ้า ท่านจงตัดสีสะข้าพเจ้าเสีย เตียวสิ้วได้ฟังดังนั้น ก็ชวนเล่าเปียวยกไป เล่าเปียวไม่ยอม เตียวสิ้วก็คุมทหารยกไปตามโจโฉ ฝ่ายโจโฉมีน้ำใจกำเริบมิได้ยกเปนกระบวรทัพ ครั้นเตียวสิ้วยกมาโจมตี ทหารโจโฉมิรู้ตัวก็แตกกระจัดกระจาย ทิ้งเครื่องศัสตราวุธล้อเกวียนเสียเปนอันมาก เตียวสิ้วนั้นก็คุมทหารไล่ทหารโจโฉไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอได้ยินเสียงทหารบนเนินเขาโห่ร้องอื้ออึงยกลงมาเปนอันมาก เตียวสิ้วเห็นจะเสียที ก็พาทหารกลับมา ณ ค่าย เล่าเปียวกับกาเซี่ยงก็พากันออกมารับเตียวสิ้วเข้าไปในค่าย

เล่าเปียวจึงถามกาเซี่ยงว่า เมื่อเรายกไปครั้งก่อนนั้น ทหารทั้งปวงยังมีกำลังอยู่ ก็เสียทีมาเหมือนหนึ่งคำท่านว่า ครั้งนี้ทหารก็อิดโรยอยู่ ท่านหมายชนะแล้วจึงให้ยกไปก็มีชัยมาต้องคำของท่าน เหตุไฉนท่านจึงรู้การทั้งนี้ กาเซี่ยงจึงตอบว่า ท่านเคยทำศึกมาก็จริง แต่ความคิดท่านรู้ไม่ถึงโจโฉ เมื่อแรกโจโฉยกไปนั้น หมายว่ากองทัพเราจะตามไป จึงให้ทหารมาอยู่ป้องกันข้างท้าย ล้วนมีฝีมือกว่าทหารเรา ๆ จึงแตกมา ครั้งหลังโจโฉประมาท มิได้ตระเตรียมทหารไว้ตามกระบวรทัพ แล้วก็กังวลอยู่ที่จะรีบไปเมืองฮูโต๋ เราจึงตีแตกโดยง่าย เล่าเปียวกับเตียวสิ้วก็สรรเสริญความคิดกาเซี่ยงว่ามีสติปัญญาหาผู้เสมอยาก แล้วเล่าเปียวเตียวสิ้วก็ยิ่งรักกันกว่าแต่ก่อนเหมือนพี่กับน้อง แล้วต่างคนคำนับลากันยกทหารกลับไปเมือง

แลเมื่อทัพเตียวสิ้วยกมาโจมตีข้างหลังนั้น โจโฉได้ยินอื้ออึง เกณฑ์ทหารจะให้ลงไปช่วย พอทหารซึ่งแตกมานั้นบอกแก่โจโฉว่ากองทัพเตียวสิ้วยกมาโจมตี พอทหารกองหนึ่งยกลงมาจากเนินเขา เตียวสิ้วกลัวจะเปนทัพกระหนาบ ก็พาทหารกลับไป ถ้าหาไม่ข้าพเจ้าทั้งปวงก็จะล้มตายเปนอันมาก โจโฉจึงถามว่าจะเปนกองทัพผู้ใด

พอลีถองซึ่งยกลงมาจากเนินเขา พาทหารเข้าไปถึงหน้าม้าโจโฉ จึงลงจากม้าวางทวนเสีย แล้วเดิรเข้าไปคำนับ โจโฉจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด ลีถองจึงว่าข้าพเจ้าชื่อลีถอง เปนผู้รักษาเมืองยีหลำ รู้กิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชยกมารบกับเตียวสิ้ว ข้าพเจ้ายกทหารมาช่วย พอพบกองทัพเตียวสิ้วยกตามท่านมา เตียวสิ้วเห็นข้าพเจ้าจึงถอยกลับไป โจโฉมีความยินดี จึงตั้งลีถองเปนเกียงก๋งเฮ้า แปลภาษาไทยว่า ขุนนางมีความชอบต่อแผ่นดิน คงเปนเจ้าเมืองยีหลำ ให้คุมทหารตรวจตระเวนฝ่ายหัวเมืองตวันตก ป้องกันเล่าเปียวเตียวสิ้วอย่าให้ล่วงแดนมาทำอันตรายแก่ราษฎรได้ ลีถองก็มีความยินดีจึงคำนับโจโฉกลับไป ณ เมืองยีหลำ

โจโฉก็ยกทหารรีบไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วกราบทูลว่า ครั้งนี้ซุนเซ็กมีความชอบเปนอันมาก ขอให้ตั้งซุนเซ็กเปนโทเง็กเจียงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าขุนนางผู้ใหญ่ สำหรับปราบศัตรูในฟากกังตั๋ง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ โจโฉจึงแต่งหนังสือตั้งซุนเซ็กกับเครื่องยศ ส่งให้ทหารคุมไปให้ซุนเซ็ก ณ เมืองกังตั๋ง แล้วว่าให้ซุนเซ็กคิดอ่านกำจัดเล่าเปียวเสียจงได้ ครั้นเวลาออกจากเฝ้ากลับมาที่อยู่ ขุนนางทั้งปวงมาเยือนโจโฉเปนอันมาก

ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่ามหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกมาครั้งนี้ มิได้รีบร้อนค่อยเดิรเปนปรกติมา ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือไปเตือนสติท่าน ๆ ตอบว่าจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกนั้น ท่านหมายประการใด จึงต้องกับคำของท่าน โจโฉตอบว่า เราเสียทีแก่เตียวสิ้วนั้น ครั้นจะคิดรบพุ่งเอาชัยชนะคืน เห็นข้าศึกยังมีกำลังอยู่ ก็จะเสียทหารเปนอันมาก เราจึงล่อเดิรเปนปรกติมาถึงแดนเมืองอันจงก๋วนเปนช่องแคบ จึงให้ตั้งค่ายแอบเนินเขาอยู่ ให้ซุ่มทหารไว้สองข้างทาง เตียวสิ้วมิได้รู้กลศึก ยกเข้ามาตีค่ายเรานั้น เราจึงให้ทหารตีกระหนาบ กองทัพเตียวสิ้วก็แตกไป ซุนฮกได้ฟังดังนั้นก็สั่นสีสะ แล้วสรรเสริญว่า ความคิดมหาอุปราชชำนาญในกลศึกหาผู้ใดเสมอมิได้

พอกุยแกเข้ามาคำนับโจโฉ ๆ จึงถามว่า เหตุใดท่านจึงมาต่อภายหลังขุนนางทั้งปวง กุยแกจึงบอกว่า ช้าอยู่เพราะทหารอ้วนเสี้ยวถือหนังสือมาให้ จึงเอาหนังสือให้โจโฉดู แล้วบอกว่าบัดนี้อ้วนเสี้ยวจะยกกองทัพไปตีกองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง จะขอทหารแลสเบียงท่าน ในหนังสือนั้นว่ากล่าวหยาบช้า ถ้ามิได้ทหารแลสเบียงก็จะยกมาตีเมืองฮูโต๋ โจโฉแจ้งในหนังสือจึงว่า เราก็รู้ระคายอยู่ว่าอ้วนเสี้ยวจะยกกองทัพมาตีเมืองนี้ ครั้นรู้ว่าเรายกกองทัพกลับมาแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงว่าขอทหารแลสเบียงจะไปตีกองซุนจ้าน ซึ่งอ้วนเสี้ยวว่ากล่าวทั้งนี้เปนข้อหยาบช้า เราจะใคร่ยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว จับตัวอ้วนเสี้ยวฆ่าเสีย แต่เกรงอยู่ด้วยทหารเราน้อย แล้วก็อิดโรยมา ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

กุยแกจึงว่าครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจ กับพระเจ้าฌ้อปาอ๋องทำการศึกนั้น พระเจ้าฌ้อปาอ๋องกล้าแขง แล้วก็มีทหารเปนอันมาก ฝ่ายพระเจ้าฮั่นโกโจนั้นทหารก็น้อย แต่ชำนาญในศึก คิดเอาชัยชนะพระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ เนื้อความทั้งนี้ก็ย่อมแจ้งอยู่ ซึ่งอ้วนเสี้ยวมีทหารเปนอันมาก แต่หาความคิดมิได้ ท่านอย่าปรารมภ์ด้วยทหารเราน้อย ถ้ายกไปทำการศึกแก่อ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้าเห็นท่านจะมีชัยชนะสิบประการ แลอ้วนเสี้ยวนั้นจะแพ้แก่ท่านสิบประการ โจโฉจึงถามว่าเราจะชนะสิบประการนั้น แลอ้วนเสี้ยวจะแพ้สิบประการนั้นฉันใด ท่านจงวิถารให้เราแจ้ง

กุยแกจึงว่าท่านจะชนะสิบประการนั้น คือท่านมิได้ถือตัว ถ้าจะทำการสิ่งใด ถึงผู้น้อยจะขัดท่านว่าผิดชอบ ท่านก็เห็นด้วย ประการหนึ่งน้ำใจท่านโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง แล้วจะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนประมาณ คนทั้งหลายก็ยินดีด้วย ประการหนึ่งท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดมีสง่า คนทั้งปวงยำเกรงท่านเปนอันมาก ประการหนึ่งใจท่านสัตย์ซื่อ เลี้ยงทหารโดยยุติธรรม ถึงญาติพี่น้องผิด ก็ว่ากล่าวมิเข้าด้วยผู้ผิด ประการหนึ่งท่านจะคิดทำการสิ่งใด เห็นเปนความชอบก็ตั้งใจทำไปจนสำเร็จ ประการหนึ่งท่านจะรักผู้ใด ก็รักโดยสุจริตมิได้ล่อลวง ประการหนึ่งท่านเลี้ยงคนซึ่งอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ถ้าดีแล้วเลี้ยงเสมอกัน ประการหนึ่งท่านคิดการหนักหน่วงให้แน่นอนแล้วจึงทำการ ประการหนึ่งท่านจะทำการสิ่งใด ก็ทำตามขนบธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่งท่านชำนาญในกลสงคราม ถึงกำลังข้าศึกมากกว่าท่าน ๆ ก็คิดเอาชัยชนะได้ เปนสิบประการ

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวจะแพ้ท่านสิบประการนั้น คืออ้วนเสี้ยวเปนคนถืออิศริยยศ มิได้เอาความคิดผู้ใด ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวเปนคนหยาบช้า ทำการโดยโวหาร ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวจะว่ากิจการสิ่งใด มิได้สิทธิ์ขาด ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวเห็นแก่ญาติพี่น้องของตัว มิได้ว่ากล่าวตามผิดแลชอบ ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวจะคิดการสิ่งใด มักกลับเอาดีเปนร้าย เอาร้ายเปนดี มิได้เชื่อใจของตัว ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวจะเลี้ยงผู้ใดมิได้ปรกติ ต่อหน้าว่ารัก ลับหลังว่าชัง ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวมักรักคนชิดซึ่งประสมประสาน ผู้ใดห่างเหินถึงซื่อสัตย์ก็มีใจชัง ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวกระทำความผิดต่าง ๆ เพราะฟังคำคนยุยง ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวจะทำการสิ่งใด เอาแต่อำเภอใจ มิได้ทำตามอย่างธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่งอ้วนเสี้ยวมิได้รู้ในกลศึก แต่มักพอใจทำการศึกล่อลวง จะชนะก็ไม่รู้จะแพ้ก็ไม่รู้ เปนสิบประการ ข้าพเจ้าจึงว่าท่านจะชนะสิบประการ อ้วนเสี้ยวจะแพ้สิบประการดังนี้

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ เราก็แจ้งอยู่แล้ว แต่เกรงอยู่ว่า เราทำการรบบัดนี้จะไม่เหมือนคำของท่านว่า ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งกุยแกว่าท่านจะมีชัยชนะแก่อ้วนเสี้ยวสิบประการ แลอ้วนเสี้ยวจะแพ้ท่านสิบประการนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย เพราะอ้วนเสี้ยวหาความคิดมิได้ ถึงมาทว่าจะมีทหารมากกว่าท่าน ก็เห็นว่าจะแพ้ความคิดแก่ท่านเปนมั่นคง กุยแกจึงว่า ซึ่งท่านตั้งแต่งลิโป้ไว้นั้น ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าลิโป้เปนคนหยาบช้า มิได้รู้จักคุณท่าน ทุกวันนี้ลิโป้คิดจะทำร้ายท่าน แต่ยังมิได้ที อุปมาเหมือนหนามเหน็บอยู่ในอกท่าน บัดนี้อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้าน ถ้าท่านจะยกไปรบเอาเมืองอ้วนเสี้ยวก็เห็นจะได้โดยง่าย แต่เกรงอยู่ว่าลิโป้จะยกมาตีเอาเมืองฮูโต๋ ขอให้ท่านยกกองทัพไปกำจัดลิโป้ ซึ่งเปนศัตรูฝ่ายตวันออกให้ราบคาบแล้ว จึงยกล่วงไปตีเอาเมืองอ้วนเสี้ยว จึงจะไม่รู้ระวังหลัง โจโฉเห็นชอบด้วย จึงกะเกณฑ์ทหารเตรียมไว้ จะยกไปตีเมืองชีจิ๋ว

ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านจะยกทัพไปนั้น ขอให้มีหนังสือไปบอกแก่เล่าปี่ก่อน ให้เล่าปี่คิดทำการจับลิโป้ ถ้ามีหนังสือบอกมาถึงท่านแน่นอนประการใดแล้ว ท่านจึงยกกองทัพไป โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำซุนฮกว่า แล้วให้ทหารถือไปให้เล่าปี่ ณ เมืองเสียวพ่าย แล้วแต่งเปนหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งให้อ้วนเสี้ยวเปนเจ้าเมืองกิจิ๋ว แลเมืองเป๊งจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเซียงจิ๋ว สามหัวเมืองนี้ให้อยู่ในบังคับบัญชาอ้วนเสี้ยวผู้มีความชอบ แล้วแต่งหนังสือของโจโฉอีกฉบับหนึ่งว่า ให้อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้าน เราจะยกทหารไปช่วยอ้วนเสี้ยวทำการ ครั้นแต่งแล้วโจโฉก็ให้ทหารถือหนังสือสองฉบับไปให้อ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว อ้วนเสี้ยวเห็นหนังสือรับสั่งแลหนังสือโจโฉดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารเปนอันมาก แล้วยกกองทัพไปตีกองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 16

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnTGxmV2V4VDNMUlE/view?resourcekey=0-zF169dlu5ZtAo4YotcbEFA



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #6 on: 21 December 2021, 21:44:56 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 17


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-17.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 17

เนื้อหา
ลิโป้เกิดรบกับเล่าปี่ครั้งที่สอง
โจโฉช่วยเล่าปี่
กองทัพพวกโจโฉแพ้ลิโป้
เล่าปี่เสียเมืองเสียวพ่ายแก่ลิโป้
เล่าปี่หนีไปหาโจโฉครั้งที่สอง
โจโฉพาเล่าปี่ไปตีเมืองชีจิ๋วของลิโป้
ตันเต๋งเป็นไส้ศึกเข้ากับโจโฉ
เล่าปี่รับอาสาโจโฉไปสกัดทางระหว่างอ้วนสุดกับลิโป้
โจโฉตามไปรบลิโป้ที่เมืองแห้ฝือ
โจโฉทำกลอุบายตีเมืองแห้ฝือ
โจโฉจับลิโป้ได้

ฝ่าย ลิโป้ซึ่งอยู่ ณ เมืองชีจิ๋วนั้น มีความสุขเปนอันมาก ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารเนืองๆ ตันกุ๋ยกับตันเต๋งนั้นแกล้งพูดจาสรรเสริญลิโป้ว่ามีปัญญา น้ำใจก็โอบอ้อมอารีต่อทหารทั้งปวงเปนอัตรา ตันก๋งได้ยินตันกุ๋ยกับตันเต๋งแกล้งว่ากล่าวยกยอลิโป้เนืองๆ มา ก็มีความโกรธแค้นเปนอันมาก ครั้นอยู่มาวันหนึ่งตันก๋งจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ซึ่งตันกุ๋ยกับตันเต๋งพูดจาสรรเสริญความดีท่านนั้นแต่ปาก แลใจตันกุ๋ยกับตันเต๋งนั้นคิดจะทำร้ายท่านอยู่มิได้ขาด ซึ่งท่านจะหลงฟังคำมันพ่อลูกนั้น นานไปเห็นจะมีอันตรายแก่ท่าน ขอให้ท่านคิดอ่านระวังจงดี ลิโป้จึงร้องตวาดแล้วว่า ตัวเห็นว่าเรามีน้ำใจเอ็นดูตันกุ๋ยตันเต๋ง ตัวริษยาแกล้งเอาความร้ายยุยง ให้เราทำอันตรายแก่คนซื่อสัตย์เสีย ตันก๋งได้ยินดังนั้นก็เดิรทอดใจใหญ่ออกมา แล้วว่าลิโป้นี้หาปัญญามิได้ เราซื่อต่อกลับว่าร้าย นานไปเราจะพลอยเปนอันตรายด้วย ครั้นจะทิ้งลิโป้เสีย จะหาที่อาศรัยอื่นก็จะมีความครหานินทา ครั้นมาถึงบ้านก็คิดวิตกอยู่หลายวัน

อยู่มาวันหนึ่ง ตันก๋งจึงพาพวกประมาณสี่คนห้าคน ขึ้นม้าไปเที่ยวไล่เนื้อในป่า ใกล้เมืองเสียวพ่าย พอพบทหารโจโฉซึ่งถือหนังสือไปนั้นควบม้าออกมาแต่เมืองเสียวพ่าย ตันก๋งคิดสงสัยพาพรรคพวกขับม้ารีบไปสกัดหน้าม้าผู้นั้นไว้ แล้วถามว่าผู้ใดใช้ตัวมาด้วยเหตุผลสิ่งใด ทหารโจโฉได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ด้วยจำหน้าได้ว่าตันก๋งเปนทหารลิโป้ ผู้ถือหนังสือนั้นบอกเนื้อความออกมิได้ ตันก๋งจึงจับเอาตัว แล้วค้นได้หนังสือเล่าปี่ให้ไปถึงโจโฉ ตันก๋งจึงให้มัดผู้ถือหนังสือพาไปให้ลิโป้ ๆ จึงถามว่าใครให้หนังสือเองมา ทหารโจโฉกลัวจึงบอกตามจริงว่า มหาอุปราชให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้เล่าปี่ ณ เมืองเสียวพ่าย เล่าปี่ตอบหนังสือไป ซึ่งจะว่าประการใดนั้นข้าพเจ้ามิได้แจ้ง ลิโป้จึงฉีกหนังสือออกอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าเล่าปี่แจ้งในหนังสือมหาอุปราช ซึ่งให้มาถึงข้าพเจ้าให้ช่วยคิดอ่านกำจัดลิโป้เสียนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะเปนตัวทำการนั้นยังมิได้ ด้วยกำลังทหารน้อยกว่าลิโป้ ถ้ามหาอุปราชยกกองทัพมาเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะช่วยกำจัดลิโป้เสียให้จงได้

ฝ่ายลิโป้แจ้งในหนังสือดังนั้นจึงว่า อ้ายโจโฉมันคิดทำร้ายกู ๆ ก็มิได้กลัว แล้วสั่งให้เอาทหารโจโฉไปฆ่าเสีย แล้วลิโป้จึงให้ตันก๋งกับจงป้าไปเกลี้ยกล่อมซุนก้วนหนึ่ง งอตุ้นหนึ่ง อินเล้หนึ่ง เซียงหูหนึ่ง ซึ่งเปนนายโจรอยู่ ณ เขาไทสันได้เปนกำลัง แล้วให้ยกไปตีฝ่ายตวันออกกว่าจะถึงเมืองกุนจิ๋ว

แล้วให้โกซุ่นกับเตียวเลี้ยว ยกไปตีเมืองเสียวพ่าย จับเอาตัวเล่าปี่จงได้ ให้ซงเหียนกับงุยซก ยกไปทางตวันตกตีเมืองยีเอ๋ง ทหารทั้งสามกองนั้นก็ยกไปตามคำลิโป้สั่ง แลลิโป้นั้นก็คุมทหารยกออกไปตั้งตระเตรียมอยู่คอยฟังข่าวทัพทั้งสามกอง ถ้ากองใดเพลี่ยงพล้ำแก่ข้าศึกก็จะได้ยกหนุนไปโดยง่าย

ฝ่ายม้าใช้รู้ว่าลิโป้ให้โกซุ่นกับเตียวเลี้ยวยกมาตีเมืองเสียวพ่าย จึงเอาเนื้อความไปบอกแก่เล่าปี่ว่า ลิโป้ยกทัพมาจะทำอันตรายแก่ท่าน บัดนี้กองทัพมาใกล้เมืองเสียวพ่าย เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ซึ่งลิโป้ให้ยกกองทัพมาดังนี้ ท่านจะคิดประการใด ซุนเขียนจึงว่าขอให้ท่านแต่งหนังสือไปขอกองทัพโจโฉ ให้ยกลงมาช่วย เล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงว่าผู้ใดจะอาสาถือหนังสือไปถึงโจโฉได้ ตันหยงซึ่งมาทำราชการใหม่ได้ยินดังนั้น ก็รับอาสา

เล่าปี่จึงแต่งหนังสือว่า บัดนี้ลิโป้ให้ทหารยกมารบเมืองเสียวพ่าย ข้าพเจ้าเล่าปี่ขอกองทัพมหาอุปราชให้ยกมาช่วย ส่งหนังสือให้ตันหยงถือไป ณ เมืองฮูโต๋ แล้วเล่าปี่ให้แต่งค่ายคูประตูหอรบ กะเกณฑ์ทหารขึ้นประจำหน้าที่เชิงเทิน จึงให้เตียวหุยเปนสาระวัดใหญ่ รักษาด้านตวันออก ให้กวนอูอยู่รักษาด้านตวันตก ให้ซุนเขียนรักษาด้านใต้ เล่าปี่คุมทหารรักษาด้านเหนือ ให้บิต๊กผู้พี่บิฮองผู้น้องซึ่งเปนพี่ภรรยาเล่าปี่นั้น คอยระวังครอบครัว

ฝ่ายโกซุ่นเตียวเลี้ยวยกทหารเข้าตั้งประชิดอยู่ใกล้เชิงกำแพง เล่าปี่อยู่บนหอรบเห็นดังนั้น จึงร้องถามโกซุ่นเตียวเลี้ยวว่า เรากับลิโป้ก็มิได้มีความผิดต่อกัน เหตุไฉนจึงยกกองทัพมาตีเมืองเรา โกซุ่นจึงตอบว่าตัวท่านคิดอ่านกับโจโฉ ให้หนังสือกันไปมาจะคิดร้ายต่อนายเรา เนื้อความทั้งนี้ลิโป้แจ้งอยู่แล้ว เปนไฉนตัวจึงว่าไม่มีความผิดเล่า แล้วโกซุ่นก็ขับทหารให้เข้าล้อมเชิงกำแพง เล่าปี่ก็ให้ทหารทั้งปวงรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ ครั้นเวลาเช้าเตียวเลี้ยวจึงคุมทหารเข้าตีด้านตวันตก

กวนอูเห็นเตียวเลี้ยวรูปร่างงามสมเปนขุนนาง จึงร้องถามเปนกลอุบายว่า ตัวท่านมีสีสรรบริบูรณ์ เราเห็นว่าจะมีสติปัญญาแลความละอาย เปนไฉนมาอยู่ในเงื้อมมือลิโป้ซึ่งเปนคนหยาบช้านั้นเราเห็นไม่สมควร เตียวเลี้ยวได้ยินดังนั้น ก็มีความละอายมิได้ตอบประการใด กวนอูเห็นว่าเตียวเลี้ยวนั้นมีปัญญาทั้งมีความละอาย ก็มิได้ว่าหยาบช้าต่อไป เตียวเลี้ยวจึงคุมทหารถอยออกมา แล้วยกไปตีด้านตวันออก เตียวหุยเห็นก็คุมทหารออกไปจะรบด้วยเตียวเลี้ยว พอทหารเอาเนื้อความมาบอกกวนอูว่า บัดนี้เตียวเลี้ยวยกเข้าตีด้านตวันออก เตียวหุยก็ยกออกไปจะรบด้วย กวนอูได้ฟังดังนั้นก็รีบไป เห็นเตียวหุยออกจากประตูเมือง

ฝ่ายเตียวเลี้ยวเห็นเตียวหุยยกออกมาก็ตกใจกลัว พาทหารทั้งปวงถอยไป เตียวหุยเห็นได้ทีก็คุมทหารจะไล่ไป กวนอูจึงร้องห้ามว่าอย่าไล่ไปเลย ให้กลับมาเสียเถิด เตียวหุยได้ยินก็พาทหารกลับเข้าเมือง แล้วว่ากับกวนอูว่า เมื่อศึกได้ทีอยู่ฉนี้แล้ว เปนไฉนท่านจึงเรียกให้กลับมา กวนอูเล่าเนื้อความให้ฟังแล้วว่า ฝีมือเจ้ากับเตียวเลี้ยวนั้น ถ้าจะรบพุ่งกันเห็นพอจะก้ำกึ่งกัน แต่พี่คิดว่าเตียวเลี้ยวนั้นมีสติปัญญาทั้งมีความละอาย จึงพาทหารถอยออกไปทั้งสองครั้งนั้น พี่เห็นเตียวเลี้ยวคิดจะเอาใจออกหากลิโป้ พี่จึงห้ามเพราะเหตุฉนี้ เตียวหุยจึงสรรเสริญว่า พี่มีปัญญาประมาณน้ำใจคนถูก แล้วเตียวหุยก็ขับทหารกลับเข้าเมืองขึ้นรักษาหน้าที่ไว้ดังเก่า

ฝ่ายตันหยงซึ่งถือหนังสือเข้าไปหาโจโฉ เอาหนังสือนั้นให้แก่โจโฉแจ้งเนื้อความทั้งปวง โจโฉจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ลิโป้ยกมาตีเมืองเสียวพ่าย เราจะยกกองทัพไปช่วยเล่าปี่ ซึ่งอ้วนเสี้ยวจะยกมานั้นเรามิได้วิตก เราเกรงแต่เล่าเปียวเตียวสิ้วจะยกวกหลังมาตีเอาเมืองเรา ซุนฮิวจึงว่า เล่าเปียวเตียวสิ้วพึ่งเสียทีแก่เราเห็นไม่อาจที่จะคิดอ่านมา ลิโป้นั้นเปนคนมีฝีมือ ทั้งน้ำใจกำเริบที่จะตั้งตัวเปนใหญ่อยู่ ละไว้นานลิโป้กับอ้วนสุดคบคิดกันกำลังจะมากขึ้น ซึ่งท่านจะคิดกำจัดนั้นเห็นจะขัดสน

กุยแกได้ยินซุนฮิวว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งซุนฮิวว่านี้ชอบนัก ให้มหาอุปราชยกไปกำจัดลิโป้เสีย แต่กำลังอ่อนอยู่ฉนี้เห็นจะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงกองทัพให้แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน ลิยอย ลิเตียน สี่นายคุมทหารห้าหมื่นเปนกองหน้ายกล่วงไปก่อน โจโฉคุมทหารซึ่งมีฝีมือเปนอันมากเปนกองหลวง ยกไปช่วยเล่าปี่ ณ เมืองเสียวพ่าย ตันหยงซึ่งถือหนังสือไปนั้นก็มาด้วยกองทัพโจโฉ

ฝ่ายม้าใช้โกซุ่นเอาเนื้อความไปบอกแก่โกซุ่นว่า โจโฉให้แฮหัวตุ้นยกกองทัพมาช่วยเล่าปี่เปนอันมาก บัดนี้ยกมาถึงแดนเมืองเสียวพ่ายแล้ว โกซุ่นรู้เนื้อความดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ม้าใช้เอาเนื้อความไปบอกแก่ลิโป้ ๆ จึงให้แฮหัวเหลงหนึ่ง หลันเป้งหนึ่ง โจเสงหนึ่ง กับทหารม้าสองร้อยห้าสิบยกหนุนไปช่วยโกซุ่น ณ เมืองเสียวพ่าย ฝ่ายโกซุ่นได้กำลังมากขึ้นก็ถอยกองทัพออกมาตั้งค่ายคอยรับทัพโจโฉอยู่ใกล้ เมืองเสียวพ่ายทางสามร้อยเส้น ฝ่ายเล่าปี่เห็นโกซุ่นถอยออกไปดังนั้น ก็คิดเห็นว่าโจโฉยกทัพมาถึงแล้ว โกซุ่นกลัวโจโฉจะยกเข้าตีกระหนาบจึงถอยออกไป เล่าปี่จึงให้ซุนเขียน บิต๊ก บิฮอง อยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย แล้วพาเอากวนอูเตียวหุย กับทหารทั้งปวงออกตั้งค่ายอยู่นอกเมือง คอยรับทัพโจโฉ จะได้คิดอ่านกันทำการสืบไป

ฝ่ายแฮหัวตุ้นยกมาถึงแดนเมืองเสียวพ่าย พบกองทัพโกซุ่น แฮหัวตุ้นก็ขับม้าเข้ารบกับโกซุ่นได้ห้าสิบเพลง โกซุ่นสู้แฮหัวตุ้นมิได้ ก็ชักม้าหนีกลับเข้าค่าย แฮหัวตุ้นได้ทีก็ขับม้าไล่ตามไป โจเสงเห็นแฮหัวตุ้นไล่โกซุ่นมา จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกจักษุซ้ายแฮหัวตุ้น ลูกเกาทัณฑ์ปักอยู่ แฮหัวตุ้นร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง แล้วชักลูกเกาทัณฑ์ออกมาดู เห็นลูกตานั้นติดปลายเกาทัณฑ์อยู่ แฮหัวตุ้นจึงร้องว่า ลูกตานี้เปนดวงแก้วอันประเสริญไม่ควรจะทิ้งเสีย แฮหัวตุ้นก็ดูดเอาลูกตานั้นกลืนเข้าไป

ฝ่ายโจเสงนั้นประมาท เห็นว่าแฮหัวตุ้นถูกเกาทัณฑ์แล้ว ที่ไหนจะทำการสืบไปได้เล่า มิได้ระวังตัว แฮหัวตุ้นก็ควบม้าเข้าไป เอาทวนแทงถูกโจเสงตกม้าตาย แฮหัวตุ้นก็กลับมาค่าย ทหารทั้งสองฝ่ายก็สรรเสริญแฮหัวตุ้นว่า มีฝีมือหาผู้เสมอมิได้ ข้าศึกยิงถูกจักษุแล้วก็กลับเอาชัยชนะได้ ควรที่จะเปนทหารเอก โกซุ่นเห็นแฮหัวตุ้นถูกเกาทัณฑ์แล้ว กลับไปค่ายดังนั้น ก็ขับทหารไล่รบเข้าไปในกองทัพแฮหัวตุ้น ทหารแฮหัวตุ้นไม่ทันรู้ตัว ก็แตกกระจัดกระจาย แฮหัวเอี๋ยนตกใจ จึงพาแฮหัวตุ้นหนีออกจากค่าย ลิยอยกับลิเตียนก็พาทหารหนีไปตั้งอยู่ปลายแดนเมืองเจปัก

โกซุ่นก็ไล่ฆ่าฟันทหารแฮหัวตุ้นล้มตายเปนอันมาก แล้วยกทหารกลับมาจะตีเมืองเสียวพ่าย พอลิโป้ยกหนุนมาพบกันกับโกซุ่น ๆ จึงเล่าเนื้อความทั้งปวง ซึ่งแฮหัวตุ้นแตกไปนั้นให้ลิโป้ฟัง ลิโป้จึงพาโกซุ่นยกเข้าไปใกล้เมืองเสียวพ่าย เห็นเล่าปี่ออกตั้งอยู่นอกกำแพงเปนสามค่าย ลิโป้จึงให้โกซุ่นกับเตียวเลี้ยวยกเข้าตีค่ายกวนอู ตัวลิโป้นั้นยกเข้าตีเตียวหุย กวนอูเตียวหุยต่างคนต่างก็ยกทหารออกรบอยู่หน้าค่าย ลิโป้ก็แบ่งทหารวกเข้าตีหลังค่ายกวนอูเตียวหุย ๆ ไม่รู้ตัวแล้วทหารก็น้อยสู้ลิโป้มิได้ ก็แตกกระจัดกระจายออกจากค่าย

เล่าปี่เห็นกวนอูเตียวหุยแตก จึงพาทหารมาประมาณสามสิบคนหนีออกจากค่ายมาถึงประตูเมือง เล่าปี่ร้องเรียกให้ทหารในเมืองเปิดประตูรับ พอลิโป้ตามมาทัน ไล่รบเล่าปี่ ทหารทั้งสองฝ่ายปนกันเข้า เล่าปี่หนีเข้าในเมืองไม่ทันจะปิดประตู ลิโป้ก็ขับทหารไล่รบเข้าไปในเมืองเสียวพ่าย ทหารซึ่งอยู่ในเมืองก็แตกกระจัดกระจาย ต่างคนต่างเปิดประตูหนีออกจากเมือง เล่าปี่เห็นทหารลิโป้ไล่กระชั้นเข้ามา เห็นจะสู้มิได้ก็ทิ้งครอบครัวเสีย ควบม้าหนีออกจากเมืองทางประตูตวันตก ลิโป้ก็ไล่ฆ่าฟันผู้คนล้มตายเปนอันมาก

ฝ่ายบิต๊กซึ่งรักษาครอบครัวเล่าปี่อยู่นั้น เห็นลิโป้ไล่ฆ่าฟันผู้คนมาถึงหน้าบ้าน จึงออกไปคำนับลิโป้ ว่าข้าพเจ้าได้ยินโบราณว่าสืบ ๆ กันมาว่า ผู้ที่จะตั้งตัวเปนใหญ่ ถึงจะตีบ้านเมืองได้ เอาแต่ชัยชนะ ผู้ใดเปนเสี้ยนหนามก็ทำอันตรายแต่ผู้นั้น มิได้ทำอันตรายแก่บุตรภรรยาแลราษฎรทั้งปวง บัดนี้ท่านก็คิดอ่านจะตั้งตัวเปนใหญ่อยู่ จะเปนศัตรูของท่านก็แต่โจโฉผู้เดียว อันเล่าปี่นี้คิดถึงท่านอยู่เนืองๆ ว่าเมื่อครั้งอ้วนสุดให้กิเหลงยกมาตีเมืองเสียวพ่ายนั้น เพราะท่านยกมาช่วยเสี่ยงยิงเกาทัณฑ์ แล้วพูดจาเกลี่ยไกล่ให้กิเหลงยกกลับไป เล่าปี่จึงได้อยู่เย็นเปนสุขมา เล่าปี่ก็มีความกตัญญูต่อท่านอยู่ อนึ่งท่านกับเล่าปี่ก็มีคุณต่อกันมา ขออย่าให้ท่านทำอันตรายแก่ครอบครัวเล่าปี่เลย คุณของท่านนั้นก็จะอยู่กับเล่าปี่สืบไป

ลิโป้จึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เรากับเล่าปี่ก็เปนมิตร์กันมาแต่ก่อน ซึ่งครอบครัวของเล่าปี่นั้นเรามิได้ทำอันตราย แล้วจึงให้บิต๊กพาภรรยาเล่าปี่ไปไว้เมืองชีจิ๋ว ลิโป้จึงจัดแจงให้โกซุ่นกับเตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย ลิโป้ก็คุมทหารรีบไปทางตวันออก จะไปตีเมืองกุนจิ๋ว พอพบตันก๋งกับจงป้าเกลี้ยกล่อมโจรอยู่ ณ เขาไทสัน ลิโป้จึงให้ตันก๋งกับนายโจรทั้งสี่คนนั้นรักษาด่านเสียวก๋วน แล้วลิโป้ก็ยกไปตีหัวเมืองฝ่ายตวันออก

ฝ่ายกวนอูเมื่อหนีลิโป้ออกจากค่าย พบกับเตียวหุยกลางทาง กวนอูจึงถามเตียวหุยว่า ท่านพบเล่าปี่หรือไม่ เตียวหุยบอกว่าเมื่อเราแตกนั้นกระจัดกระจายกัน มิได้แจ้งว่าเล่าปี่จะหนีไปอยู่ตำบลใด กวนอูเตียวหุยคิดถึงเล่าปี่กอดคอกันร้องไห้ แล้วกวนอูเตียวหุยจึงพากันไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ในตำบลซอกเขาแห่งหนึ่ง

ขณะเมื่อเล่าปี่หนีออกจากเมืองนั้น ควบม้าไปไกลเมืองทางประมาณห้าร้อยเส้น พบซุนเขียนซึ่งอยู่รักษาเมืองหนีออกไปได้ก่อน เล่าปี่กับซุนเขียนก็ร้องไห้รักกัน แล้วเล่าปี่จึงว่ากวนอูเตียวหุยน้องเราจะตายหรือจะหนีไปแห่งใดก็มิได้แจ้ง ตัวเราบัดนี้ก็มิได้มีที่พึ่ง เหมือนว่ายอยู่กลางทเล ซุนเขียนจึงว่าเกิดเหตุทั้งนี้ ก็เพราะท่านคบคิดกับโจโฉทำร้ายลิโป้ ท่านจึงได้ความลำบากทั้งนี้ จำท่านจะไปหาโจโฉเปนที่พึ่ง จะได้ตั้งตัวคิดการต่อไป เล่าปี่ได้ยินซุนเขียนว่าดังนั้นก็คลายใจ จึงพาซุนเขียนลัดไปในป่า จะไปหาโจโฉ ณ เมืองฮูโต๋

ขณะเมื่อเล่าปี่กับซุนเขียนหนีไปนั้น อดอยากมิได้มีสเบียงอาหาร ครั้นถึงบ้านรายทางตำบลใด ก็ชวนกันเข้าไปในบ้านราษฎร ๆ ทั้งปวงรู้ว่าเล่าปี่หนีมาดังนั้นก็มีใจรักใคร่ จึงแต่งโต๊ะให้เล่าปี่ซุนเขียนกินทุกบ้านมิได้ขาด เวลาเย็นวันหนึ่งเดิรมาห่างระยะบ้าน เล่าปี่จึงปรึกษากันกับซุนเขียนว่า เรามาจากเมืองก็หลายวันแล้ว ก็มิได้ขัดสนด้วยสเบียงอาหารทุกเวลา แต่วันนี้มิได้มีที่อาศรัย เราจะคิดประการใด

ขณะเมื่อซุนเขียนกับเล่าปี่ปรึกษากันอยู่นั้น แลเห็นเรือนอยู่ในป่าเรือนหนึ่ง เล่าปี่ดีใจพาซุนเขียนเข้าไปจะอาศรัยในบ้านนั้น ฝ่ายเล่าอั๋นซึ่งอยู่บนเรือน แลเห็นเล่าปี่กับซุนเขียนมามิได้รู้จักว่าผู้ใด เล่าอั๋นจึงออกมารับเล่าปี่ ๆ จึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด เล่าอั๋นบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเล่าอั๋น เปนคนเข็ญใจอยู่สองคนกับภรรยา ทำไร่ปลูกผักหาเนื้ออยู่ในตำบลนี้ เล่าอั๋นจึงถามว่า ท่านทั้งสองนี้มาแต่เมืองใด เหตุไฉนจึงมาแต่สองคนไม่มีพวกเพื่อน เล่าปี่จึงบอกความหลังให้ฟัง เรามานี้จะไปหาโจโฉ บัดนี้เวลาพลบค่ำแล้ว จะขออาศรัยท่านสักคืนหนึ่ง เล่าอั๋นได้ฟังมีความยินดี จึงเชิญเล่าปี่กับซุนเขียนเข้าไปในบ้าน แล้วเล่าอั๋นจึงเข้าไปในเรือน จัดแจงหาของจะเลี้ยงเล่าปี่ มิได้มีสิ่งอันใด ครั้นจะไปเที่ยวหาเวลาก็พลบค่ำเห็นจะไม่ทันที เล่าอั๋นจึงฆ่าภรรยานั้นเสีย แล้วเชือดเอาเนื้อที่ลำแขนภรรยานั้น ผัดคั่วเปนเครื่องกับเข้า แล้วยกออกมาให้เล่าปี่กับซุนเขียนกิน

เล่าปี่จึงถามว่า นี่เนื้ออันใด เล่าอั๋นจึงบอกว่า เนื้อนี้ข้าพเจ้าได้มาแต่เวลาเช้า เล่าปี่สำคัญว่าจริงก็ชวนซุนเขียนกินเนื้อนั้นจนอิ่ม ครั้นเวลาค่ำเล่าอั๋นจึงเอาม้าของเล่าปี่ซุนเขียนนั้นไปผูกไว้หลังบ้าน แล้วเชิญเล่าปี่ซุนเขียนเข้าไปนอนในเรือน ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่ลาเล่าอั๋นจะไปแก้เอามา พอแลเห็นศพภรรยาเล่าอั๋นนั้นทิ้งอยู่ เล่าปี่ตกใจจึงถามเล่าอั๋นว่า นี่ศพผู้ใดจึงเอามาทิ้งไว้ดังนี้ เล่าอั๋นจึงบอกว่าศพภรรยาข้าพเจ้า แล้วเล่าอั๋นก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้เล่าปี่ฟัง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้น คิดสงสารก็ร้องไห้ แล้วจึงว่าคุณของท่านอยู่กับเราหาที่สุดมิได้ แม้เรายังมีชีวิตอยู่จะแทนคุณท่าน

แล้วเล่าปี่ก็ขึ้นม้าลาเล่าอั๋นออกจากบ้าน ไปได้สามร้อยเส้น เห็นกองทัพยกมาเปนอันมาก เล่าปี่เห็นธงสำคัญ ก็รู้ว่ากองทัพโจโฉยกมา เล่าปี่ค่อยมีความยินดี จึงพาซุนเขียนลัดทางออกไปหาโจโฉ เล่าปี่จึงบอกว่า เมืองเสียวพ่ายก็เสียทีแก่ลิโป้แล้ว กวนอูเตียวหุยน้องชายข้าพเจ้ากับบุตรภรรยาสมัคพรรคพวกทั้งปวง จะเปนจะตายประการใดมิได้แจ้ง ว่าแล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ โจโฉเห็นดังนั้นมีความสงสารก็ร้องไห้ด้วย เล่าปี่จึงเล่าเนื้อความซึ่งเล่าอั๋นฆ่าภรรยาให้กินนั้นให้โจโฉฟัง โจโฉมีความยินดี จึงให้ซุนเขียนเอาทองร้อยตำลึงไปให้เล่าอั๋นซึ่งมีคุณแก่เล่าปี่ แล้วโจโฉพาเล่าปี่ยกไปแดนเมืองเจปัก

ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนกับแฮหัวตุ้น ซึ่งพากันหนีไปนั้น พบลิยอยลิเตียนตั้งซ่องสุมทหารอยู่ แฮหัวเอี๋ยนแฮหัวตุ้นก็เข้าอยู่ด้วยกันกับลิยอย ครั้นรู้ข่าวว่าโจโฉยกมาถึงแล้ว จึงชวนกันออกไปรับโจโฉ เชิญโจโฉเข้ามา ณ ค่าย เล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งได้รบกับโกซุ่นนั้นให้โจโฉฟัง โจโฉรู้ดังนั้นจึงเข้าไปเยือน แฮหัวตุ้นป่วยหนักอยู่ โจโฉจึงให้ทหารพาเอาตัวแฮหัวตุ้นกลับไปเมืองฮูโต๋ แล้วแต่งทหารสอดแนมฟังข่าวว่าลิโป้จะคิดประการใด ทหารม้าใช้จึงไปสืบข่าวกลับมาบอกว่า ลิโป้กับตันก๋งจงป้าเกลี้ยกล่อมได้พวกโจรซึ่งตั้งอยู่เขาไทสันเปนอันมาก บัดนี้ยกไปตีหัวเมืองตวันออกได้หลายตำบลแล้ว

โจโฉได้ฟังดังนั้น จึงให้โจหยินคุมทหารสามพันไปตีเมืองเสียวพ่าย โจโฉจึงพาเล่าปี่กับทหารทั้งปวงยกตามลิโป้ไป ถึงด่านเสียวก๋วนเปนแดนเมืองตวันออก พบซุนก้วนหนึ่ง งอตุ้นหนึ่ง อินเล้หนึ่ง เซียงหูหนึ่ง ซึ่งเปนนายโจรอยู่เขาไทสัน คุมพรรคพวกประมาณสามหมื่นยกมาสกัดหน้าไว้ โจโฉจึงให้เคาทูออกรบด้วยพวกโจร เคาทูกับพวกโจรทั้งสี่นายนั้นรบพุ่งกันเปนสามารถแต่เช้าจนเวลาเที่ยง นายโจรทั้งสี่นั้นสิ้นกำลังอิดโรยลง โจโฉก็ขับทหารหนุนเคาทูไป รบพวกโจรล้มตายบ้าง แตกเข้าไปหาตันก๋งซึ่งอยู่ในด่านบ้าง โจโฉก็ยกทหารเข้าตั้งประชิดด่านเสียวก๋วนไว้

ฝ่ายลิโป้รู้เนื้อความว่าโจโฉตีพวกโจรแตก คิดกริ่งใจเกรงว่าโจโฉจะยกไปตีเมืองชีจิ๋ว จึงยกทหารกลับมาเมือง ลิโป้จึงตั้งให้ตันกุ๋ยอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว แล้วจัดแจงทหารเปนอันมาก จะยกไปด่านเสียวก๋วน ตันเต๋งรู้ดังนั้นจึงไปหาตันกุ๋ยผู้บิดาว่า เดิมทีการครั้งนี้โจโฉปลงธุระไว้แก่เรา บัดนี้โจโฉยกทัพมา เห็นลิโป้จะเสียทีแก่โจโฉเปนมั่นคง บัดนี้ลิโป้จะยกไปรบกับโจโฉ แม้แตกถอยกลับมาเมือง บิดากับบิต๊กคิดอ่านกันรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง อย่าให้ลิโป้เข้าเมืองได้ ข้าพเจ้าจะไปกับลิโป้จึงจะคิดทำการสืบไป ตันกุ๋ยจึงว่าเจ้าว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว ซึ่งลิโป้จะให้อยู่รักษาเมืองนั้น มิใช่แต่เราผู้เดียว ทหารของลิโป้อยู่ด้วยเปนอันมาก เห็นเราจะทำการมิสำเร็จ ตันเต๋งจึงว่าบิดาอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะคิดอ่านให้ลิโป้แบ่งทหารไปไว้เมืองอื่น แล้วตันเต๋งก็ลาตันกุ๋ยไปหาลิโป้

ลิโป้เห็นตันเต๋งมาก็มีความยินดี จึงชวนตันเต๋งว่าจะยกไปรบกับโจโฉด่านเสียวก๋วน ตันเต๋งจึงว่าซึ่งท่านจะละเมืองเสียบัดนี้ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเมืองชีจิ๋วนี้เปนเมืองหน้าศึก เกลือกโจโฉยกทหารตีโอบหลังเอาเมือง เรามิทันรู้ก็จะเสียทีแก่โจโฉ ขอให้ท่านจัดแจงเอาสเบียงอาหาร กับครอบครัวแบ่งไปไว้ ณ เมืองแห้ฝือ ถึงเมืองชีจิ๋วมีอันตราย เราจะได้อาศรัยเมืองแห้ฝือเปนกำลัง ลิโป้มิได้แจ้งว่าตันเต๋งจะคิดทำร้ายจึงสั่งซงเหียนกับงุยซก ให้คุมเอาครอบครัวแลสเบียงอาหารไปไว้เมืองแห้ฝือตามตันเต๋งว่า แล้วลิโป้ก็พาตันเต๋งกับทหารยกไปด่านเสียวก๋วน ไปถึงกลางทางตันเต๋งจึงพูดลวงลิโป้ว่า เราจะยกไปทำสงครามด้วยโจโฉครั้งนี้ มิได้รู้ว่ากำลังศึกจะมากน้อยประการใด ขอให้ท่านตั้งอยู่ตำบลนี้ก่อน ข้าพเจ้าจะขออาสาไปฟังดูกำลังโจโฉ แจ้งว่ามากน้อยแล้วจึงจะกลับมาบอกแก่ท่าน ลิโป้มิได้รู้เท่าจึงหยุดกองทัพไว้

ตันเต๋งก็ลาลิโป้ไปด่านเสียวก๋วน แล้วจึงเข้าไปหาตันก๋งในด่าน ตันเต๋งจึงว่ากับตันก๋งว่า ลิโป้แจ้งเนื้อความว่าโจโฉตีนายโจรทั้งสี่นั้นแตกแล้ว ยกมาตั้งประชิดด่านเสียวก๋วนไว้ ลิโป้โกรธว่าท่านทำการให้เสียทีแก่โจโฉ ลิโป้ยกมานี้จะเอาโทษแก่ท่าน ตันก๋งจึงว่า โจโฉยกทัพมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เราเห็นจะสู้ไม่ได้ เราจึงตั้งมั่นรักษาด่านไว้ ท่านกลับไปแจ้งเนื้อความแก่ลิโป้เถิดว่า จะต้านทานศึกโจโฉนั้นเห็นขัดสน ให้ลิโป้กลับไปรักษาเมืองชีจิ๋ว กับหัวเมืองไว้ให้มั่นคง อย่าให้เปนอันตราย ตันเต๋งได้ยินตันก๋งว่าดังนั้น ก็ไม่ตอบประการใด

ตันเต๋งจึงขึ้นไปเที่ยวดูบนเชิงเทิน เห็นกองทัพโจโฉตั้งประชิดเข้ามาใกล้เชิงกำแพงอยู่แล้ว เวลาค่ำตันเต๋งจึงเขียนหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงออกไป ในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้าตันเต๋งจะอาสาเปนใส้ศึกอยู่ในกำแพง ข้าพเจ้าจะเอาเพลิงจุดขึ้นเปนสำคัญ ให้มหาอุปราชยกเข้าปล้น ข้าพเจ้าจะช่วยทำการให้สำเร็จ ครั้นเวลาเช้าตันเต๋งก็ลาตันก๋งกลับมาหาลิโป้ แล้วบอกเนื้อความว่า เห็นกำลังโจโฉนั้นมากนัก แล้วซุนก้วนกับนายโจรทั้งปวงซึ่งท่านให้อยู่กับตันก๋งนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะเปนใจด้วยโจโฉอยู่แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้ากำชับตันก๋งให้รักษาด่านไว้มั่นคงกว่าท่านจะยกไปถึง ตันก๋งก็มีใจคร้ามนักอยู่ ขอท่านยกไปให้ถึงด่านเสียวก๋วนในเวลาวันนี้ จะได้ช่วยตันก๋งคิดอ่านทำการศึก

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าแก่ตันเต๋งว่า บัดนี้โจโฉยกเข้าล้อมด่านไว้แล้ว จะไปนั้นเห็นว่าจะเข้าด่านมิได้ ให้ท่านรีบไปก่อนบอกแก่ตันก๋งว่า เราจะยกไปให้ถึงในเวลาค่ำวันนี้ ให้เปิดประตูรับแล้วจุดเพลิงสัญญาขึ้น เราจะรบฝ่าทหารโจโฉเข้าไป ตันเต๋งก็ลาลิโป้ไปด่านเสียวก๋วน แล้วบอกแก่ตันก๋งว่าเราเอาเนื้อความทั้งปวงไปแจ้งแก่ลิโป้ ๆ ก็เห็นด้วยแล้ว บัดนี้ลิโป้สั่งมาว่า กำลังโจโฉมาก เห็นท่านจะสู้โจโฉมิได้ แล้วด่านเสียวก๋วนนี้ก็ไม่เปนที่สำคัญ ให้ยกทหารกลับไปเมืองชีจิ๋วจะได้ช่วยลิโป้ป้องกัน ตันก๋งมิได้แจ้งในกลตันเต๋งสำคัญว่าจริง ครั้นเวลาค่ำจึงพาทหารลอบหนีออกจากด่าน มิได้บอกให้นายโจรทั้งสี่รู้ ขณะเมื่อตันก๋งไปนั้น ตันเต๋งจึงลอบเอาเพลิงจุดขึ้น

ฝ่ายลิโป้ยกมาเห็นแสงเพลิงสว่าง ก็สำคัญว่าตันก๋งจุดรับ ก็ขับทหารรีบยกเข้าไป พบตันก๋งยกออกมา ลิโป้สำคัญว่ากองทัพโจโฉ ก็ขับทหารฟันเข้าไป ฝ่ายตันก๋งมิได้รู้ว่าลิโป้ สำคัญว่าโจโฉยกทหารมาสกัดทางไว้ ตันก๋งก็ขับทหารฟันฝ่าออกไป ทหารทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันล้มตายเปนอันมาก

ฝ่ายโจโฉเห็นเพลิงลุกขึ้นในกำแพง เหมือนหนังสือสัญญาตันเต๋ง โจโฉก็ให้ยกทหารหักเข้าไป นายโจรทั้งสี่ซึ่งรักษาด่านอยู่นั้น มิได้แจ้งประการใด ก็คุมพรรคพวกออกรบกับทหารโจโฉเปนสามารถ พวกโจรนั้นน้อยทานฝีมือทหารโจโฉมิได้ ก็แตกกระจัดกระจายหนีเอาตัวรอด โจโฉก็ยกเข้าตั้งอยู่ในด่านเสียวก๋วน

ฝ่ายลิโป้กับตันก๋งหลงรบพุ่งกันเปนสามารถ ครั้นสว่างขึ้นทหารทั้งสองฝ่ายรู้จักหน้ากันถนัด จึงถอยออกจากกัน ตันก๋งจึงเข้าไปหาลิโป้แจ้งเนื้อความทั้งปวงให้ลิโป้ฟัง ลิโป้กับตันก๋งก็แจ้งว่า เกิดเหตุทั้งนี้เพราะกลของตันเต๋ง ลิโป้จึงพาตันก๋งกับทหารทั้งปวงรีบกลับเข้าไปเมืองชีจิ๋ว ครั้นถึงเชิงกำแพง ลิโป้จึงเรียกทหารในเมืองให้เปิดประตูรับ

ฝ่ายบิต๊กรู้ว่าลิโป้กลับมา จึงให้ทหารซึ่งอยู่บนเชิงเทินนั้นเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมลงไป แล้วบิต๊กจึงร้องว่าแก่ลิโป้ว่า เมืองชีจิ๋วนี้มิใช่ของตัว เปนเมืองของเล่าปี่นายเราก่อนตัวยกมาชิงเอา บัดนี้จะคืนเอาเมืองของนายเราแล้ว ตัวจงยกทหารกลับไปเสียเถิด ลิโป้ตกใจจึงร้องถามบิต๊กว่า ตันกุ๋ยซึ่งเราให้อยู่รักษาเมืองนั้นไปไหนเล่า บิต๊กจึงตอบว่า ตันกุ๋ยนั้นเราจับฆ่าเสียแล้ว ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงเหลียวมาถามตันก๋งว่า ตันเต๋งบุตรตันกุ๋ยมาด้วยหรือไม่ ตันก๋งจึงว่า เปนไฉนท่านยังถามถึงอ้ายศัตรูอยู่อิกเล่า ลิโป้ก็ให้ตรวจดูในหมู่ทหาร ก็มิได้พบตัวตันเต๋ง ตันก๋งจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ซึ่งเราจะยกเข้าหักเอาเมืองชีจิ๋วนี้เห็นจะขัดสน ขอให้ท่านยกไปเมืองเสียวพ่าย จะได้คิดอ่านกับโกซุ่นแลเตียวเลี้ยว ยกกลับคืนมาเอาเมืองของเราให้ได้ ลิโป้เห็นชอบด้วย ก็ยกกองทัพไปเมืองเสียวพ่าย

ฝ่ายตันเต๋งเมื่อจุดไฟขึ้นในด่านแล้ว แลลงไปดูเห็นทหารลิโป้กับทหารตันก๋งหลงรบพุ่งกันเปนสามารถ ตันเต๋งจึงลอบออกจากด่านเสียวก๋วน รีบไปเมืองเสียวพ่ายบอกแก่โกซุ่นเตียวเลี้ยวว่า วานนี้โจโฉยกมาล้อมลิโป้ไว้ ลิโป้เห็นจะสู้โจโฉมิได้ จึงให้เรารีบมาหาท่าน ให้ท่านยกทหารไปช่วย โกซุ่นเตียวเลี้ยวตกใจสำคัญว่าจริง ก็ยกทหารออกจากเมืองเสียวพ่ายไปช่วยลิโป้ ตันเต๋งก็ออกไปหาโจหยิน พาเอากองทัพโจหยินเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองเสียวพ่าย

ฝ่ายโกซุ่นเตียวเลี้ยวยกไปถึงกลางทาง พบลิโป้ยกมาจึงเข้าไปหาลิโป้ ๆ คิดกริ่งใจจึงถามโกซุ่น เตียวเลี้ยว ว่า เราให้ท่านทั้งสองอยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย เหตุไฉนตัวจึงทิ้งเมืองเสีย โกซุ่น เตียวเลี้ยว จึงว่าตันเต๋งบุตรตันกุ๋ยไปบอกข้าพเจ้าว่า โจโฉล้อมท่านไว้ ให้ข้าพเจ้ายกทหารมาช่วย ซึ่งข้าพเจ้าทิ้งเมืองเสียนั้น โทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ซึ่งตันเต๋งมันคิดทำร้ายท่านดังนี้ ท่านจะคิดประการใด ลิโป้จึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งตันเต๋งทรยศต่อเรา เราจะตัดสีสะมันเสียให้ได้ แล้วลิโป้ก็พาโกซุ่นเตียวเลี้ยวกับทหารทั้งปวงยกไปเมืองเสียวพ่าย เห็นทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นคง แล้วเห็นธงซึ่งปักอยู่นั้นเปนธงกองทัพโจโฉ ลิโป้โกรธควบม้าเข้าไปถึงเชิงกำแพง แล้วร้องด่าตันเต๋งว่า ตัวมึงสองคนพ่อลูกกูรักใคร่ตั้งให้เปนขุนนาง บัดนี้มึงทรยศต่อกู ๆ จะตัดสีสะมึงเสียให้ได้

ฝ่ายตันเต๋งยืนอยู่บนเชิงเทิน จึงชี้มือลงมา แล้วร้องตอบลิโป้ว่าตัวอย่าโอหังเจรจา เราเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่างหาก เมื่อครั้งอ้วนสุดยกมาตีเมืองชีจิ๋วนั้น ก็เพราะความคิดของเรากับบิดาเรา ตัวจึงรอดจากความตาย บัดนี้กลับมาว่าเราทรยศอีกเล่า ลิโป้โกรธจึงขับทหารจะให้เข้าหักเอาเมืองเสียวพ่าย พอเตียวหุยซึ่งแตกไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ ณ เขาบองหยงนั้น รู้เนื้อความว่า ลิโป้ระส่ำระสายเสียความคิดตันเต๋งแล้ว เตียวหุยก็รีบยกทหารตามไปเมืองเสียวพ่าย ลิโป้เห็นก็ถอยทหารออกมา จึงให้โกซุ่นออกรบกับเตียวหุยได้ห้าเพลง ลิโป้เห็นโกซุ่นนั้นจะสู้เตียวหุยมิได้ก็ขับม้ารำทวนออกช่วยโกซุ่นรบเตียว หุย

ขณะนั้นโจโฉแจ้งว่า ลิโป้เสียเมืองแก่บิต๊กตันกุ๋ยแล้วยกไปเมืองเสียวพ่าย ก็รีบยกทหารตามไป เห็นลิโป้กับเตียวหุยรบติดพันธ์กันอยู่ โจโฉก็ให้ทหารล้อมไว้ ลิโป้ผละออกจากเตียวหุย ควบม้าฟันฝ่าทหารโจโฉออกไป เตียวหุยเห็นได้ทีก็ควบม้าไล่ลิโป้ไป

ฝ่ายกวนอูซึ่งแตกนั้น ไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ ณ เมืองไฮจิ๋ว รู้ข่าวว่าลิโป้เสียความคิดตันเต๋ง แล้วก็รีบยกทหารตามไปเมืองเสียวพ่าย พบลิโป้กลางทาง กวนอูจึงร้องว่า อ้ายลิโป้มึงจะหนีไปไหนเล่า ลิโป้โกรธขับม้ารบด้วยกวนอู พอเตียวหุยตามมาทัน ลิโป้ตกใจหนีเข้าเมืองแห้ฝือแล้วจัดแจงทหารให้ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้

ฝ่ายเตียวหุยไล่ลิโป้มาพบกับกวนอู ๆ จึงว่าแก่เตียวหุยว่า เมื่อเราสองคนพี่น้องจากกันที่ซอกเขานั้น พี่ไปซ่องสุมทหารอยู่ ณ เมืองไฮจิ๋ว เตียวหุยจึงว่าเมื่อข้าไปจากซอกเขานั้น ข้าไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ ณ เขาบองหยง ครั้นรู้ข่าวว่าลิโป้ระส่ำระสาย ข้าจึงยกทัพมารบกับลิโป้ บัดนี้เล่าปี่พี่เราเข้าอยู่ด้วยโจโฉแล้ว กวนอูได้ฟังดังนั้นมีความยินดี จึงพาเตียวหุยเข้าไปหาเล่าปี่ในกองทัพโจโฉ เล่าปี่เห็นกวนอูเตียวหุยมาก็ดีใจวิ่งออกมารับ แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงให้กวนอูเตียวหุยฟัง แล้วก็พากันเข้าไปหาโจโฉ โจโฉจึงพาเล่าปี่กับโจหยินตันเต๋ง ยกทหารมาเมืองชีจิ๋ว บิต๊กรู้ว่าโจโฉยกมา ก็ออกไปรับโจโฉเชิญให้เข้าอยู่ในเมือง แล้วบิต๊กจึงไปหาเล่าปี่ เล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งลิโป้พาครอบครัวมาไว้เมืองชีจิ๋วนั้นให้เล่าปี่ฟัง เล่าปี่แจ้งว่ามิได้เปนอันตรายก็มีความยินดี

ฝ่ายตันเต๋งครั้นมาถึงเมืองชีจิ๋ว จึงไปหาตันกุ๋ยผู้บิดา แจ้งเหตุทั้งปวงให้ฟัง แล้วพากันไปหาโจโฉ โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงตันกุ๋ย ตันเต๋งกับขุนนางนายทัพนายกองทั้งปวง แล้วโจโฉจึงปราสัยกับตันกุ๋ยตันเต๋งว่า ท่านทำการทั้งนี้มีความชอบต่อเราใหญ่หลวง โจโฉจึงยกหัวเมืองฝ่ายตวันออกสิบหัวเมืองให้เปนส่วนขึ้นแก่ตันกุ๋ย แล้วตั้งตันเต๋งเปนฮกโก๋เจียงกุ๋น แปลว่าเปนนายทหารผู้ใหญ่

ฝ่ายโจโฉได้เมืองชีจิ๋ว ตั้งฟังข่าวอยู่ บำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังพร้อมกัน โจโฉจึงสั่งทหารว่า จะยกไปเมืองแห้ฝือจับลิโป้ เทียหยกที่ปรึกษาจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปตีเมืองแห้ฝือบัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าลิโป้เปนสุนัขจนตรอก ก็จะรบจนกว่าจะสิ้นกำลัง แม้ลิโป้หนีออกได้ก็จะไปหาอ้วนสุด เมื่อลิโป้กับอ้วนสุดคบคิดกันเข้าแล้ว เห็นจะเปนศึกใหญ่ ขอให้มหาอุปราชแต่งทหารที่มีฝีมือ ไปตั้งสกัดไว้ที่ปากทางเมืองห้วยหนำ แม้ลิโป้หนีไปหาอ้วนสุด ก็จะได้สกัดไว้ ถึงอ้วนสุดจะยกไปช่วยลิโป้ก็จะมามิได้ ประการหนึ่ง ซุนก้วนอินเล้งอตุ้นเซียงหู ซึ่งเปนนายโจรแตกออกจากด่านเสียวก๋วนนั้น ก็มิได้แจ้งว่าไปตั้งอยู่ตำบลใด เกลือกจะยกมาช่วยลิโป้ ขอให้มหาอุปราชยกไปกำจัดพวกโจรเสียก่อน โจโฉจึงว่าเราจะใคร่ให้เล่าปี่ไปตั้งสกัดอ้วนสุดทางเมืองห้วยหนำ ทางพวกโจรจะยกมาช่วยลิโป้นั้น ท่านอย่าวิตกเลย เราจะรับประกันเปนธุระ

เล่าปี่ได้ยินโจโฉว่าดังนั้นจึงรับว่า ซึ่งจะไปตั้งสกัดลิโป้อ้วนสุดนั้นข้าพเจ้าจะขออาสา โจโฉก็ยอม ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่จึงให้บิต๊กกับตันหยงอยู่รักษาครอบครัว แล้วเล่าปี่กวนอูเตียวหุยซุนเขียนก็ยกทหารไปตั้งอยู่ปากทางเมืองห้วยหนำ โจโฉก็ยกทหารไปตีเมืองแห้ฝือ

ฝ่ายลิโป้ไปตั้งอยู่ในเมืองแห้ฝือ สเบียงอาหารก็บริบูรณ์ คูเมืองก็กว้างลึก ครั้นรู้ว่าโจโฉยกตามมา ก็มิได้คิดที่จะออกสู้รบกับโจโฉ จึงจัดแจงทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง ตันก๋งจึงว่าแก่ลิโป้ว่า บัดนี้โจโฉยกทัพมายังมิได้ที่มั่น เปนไฉนท่านจึงนิ่งอยู่ไม่คิดอ่านที่จะยกออกรบกับโจโฉ แม้โจโฉตั้งมั่นแล้วเห็นเราจะทำการยาก ลิโป้จึงว่าเราทำศึกเสียทีแก่โจโฉมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เราตั้งมั่นอยู่แต่ในเมือง คอยโจโฉจะยกข้ามคูล่วงเข้ามาถึงเชิงกำแพง เราจึงจะออกรบ เห็นโจโฉจะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง

ฝ่ายโจโฉยกมาถึงเมืองแห้ฝือ ตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองประมาณสิบเส้น โจโฉจึงขึ้นม้าข้ามคูเข้าไปถึงเชิงกำแพงแล้วร้องว่าแก่ลิโป้ว่า เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะเปนขบถ ท่านคิดอ่านฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย ท่านมีความชอบต่อแผ่นดินเปนอันมาก บัดนี้ท่านมาคบคิดกับอ้วนสุด ซึ่งเปนขบถต่อแผ่นดิน กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ขึ้นไปถึงเมืองฮูโต๋ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระพิโรธจึงให้เรายกทัพมา แม้ท่านมิได้คบคิดกับอ้วนสุด แลมีน้ำใจซื่อตรงต่อแผ่นดินอยู่ ก็เร่งออกมาหาเราโดยดี จะได้ช่วยแก้ไขกราบทูล เลี้ยงท่านเปนขุนนางสืบไป ถ้าท่านไม่ออกมาหาเราโดยดี เมื่อเราตีเมืองได้แล้ว ท่านจึงจะแจ้งในโทษท่าน ซึ่งกระทำความผิดไว้แต่ก่อน ลิโป้ร้องตอบลงมาว่า แม้มหาอุปราชกรุณาข้าพเจ้าแล้ว ก็ยกทหารกลับไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะหารือที่ปรึกษาทั้งปวงก่อน

ขณะเมื่อโจโฉกับลิโป้โต้ตอบกันอยู่นั้น ตันก๋งยืนอยู่หลังลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงลงไปถูกภู่หมวกโจโฉ ๆ แลขึ้นไปเห็นตันก๋งยืนอยู่ริมลิโป้ โจโฉจึงร้องว่า กูจะฆ่ามึงเสียให้ได้จึงจะหายความแค้น แล้วโจโฉก็ควบม้ากลับมา ขับทหารให้ยกประชิดเมืองแห้ฝือเข้าไป ตันก๋งจึงว่าแก่ลิโป้ว่า โจโฉยกมาจากเมืองฮูโต๋ช้านานแล้ว เห็นทหารจะอิดโรย ขอให้ท่านแบ่งทหารออกตั้งอยู่นอกเมือง ข้าพเจ้าจะคุมทหารอยู่รักษาเมือง แม้โจโฉยกเข้าตีเมือง ท่านจงยกเข้ากระหนาบหลังโจโฉ ข้าพเจ้าจะต้านหน้าไว้ ถ้าโจโฉจะเข้ารบกับท่าน ข้าพเจ้าจะยกทหารออกรบหลังโจโฉ แม้คิดเปนกลพ่อไว้ฉนี้ โจโฉก็จะพว้าพวัง สิ้นสเบียงอาหารแล้วก็จะเสียทีแก่เรา ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารไว้พร้อม แล้วลิโป้จึงเข้าไปหานางเหงียมซีซึ่งเปนภรรยา แจ้งเนื้อความทั้งปวงซึ่งตันก๋งว่าทุกประการ

นางเหงียมซีจึงว่า ซึ่งท่านจะยกออกไปอยู่นอกเมืองนั้น แม้เปนอันตราย ที่ไหนข้าพเจ้าจะได้ปฏิบัติรักษาท่าน ลิโป้ได้ฟังนางเหงียมซีว่ากล่าวอ้อนวอนดังนั้น ก็มีความรักมากขึ้น ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ลิโป้มิได้ออกว่าราชการถึงสามวัน ตันก๋งจึงเข้าไปหาลิโป้ว่า บัดนี้โจโฉยกทหารรุกเข้ามาถึงเชิงกำแพง เปนไฉนท่านจึงมานิ่งอยู่ฉนี้ เมืองจะมิเสียแก่โจโฉหรือ ลิโป้จึงว่าแก่ตันก๋งว่า ซึ่งเราคิดการไว้นั้น เห็นจะป่วยการเสียเปล่า เราคิดรักษาเมืองไว้ให้มั่นคงเห็นจะดีกว่า ตันก๋งจึงว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า สเบียงอาหารในกองทัพโจโฉเบาบางลงแล้ว บัดนี้โจโฉให้ทหารกลับไปเอาสเบียง ณ เมืองฮูโต๋ ขอให้ท่านยกไปสกัดชิงสเบียงโจโฉเห็นจะเสียทีแก่เรา

ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงเข้าไปปรึกษากับนางเหงียมซี ๆ จึงว่าซึ่งท่านจะไว้ใจให้ตันก๋งอยู่รักษาเมืองนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะสู้โจโฉไม่ได้ เมื่อท่านไปแล้ว อยู่ภายหลังเมืองเปนอันตราย ข้าพเจ้าจะเหลียวหน้าไปพึ่งผู้ใด เมื่อครั้งท่านทิ้งข้าพเจ้าไว้ที่เมืองเตียงอั๋นนั้น หากว่าบังสีช่วยคิดอ่านส่งข้าพเจ้าออกมาให้ท่าน ข้าพเจ้าจึงรอด บัดนี้ข้าพเจ้ามิได้เห็นผู้ใดที่จะเปนที่พึ่ง ซึ่งท่านจะยกไปครั้งนี้ ถึงจะได้ลาภสการเท่าใด ก็ให้คิดถึงข้าพเจ้าผู้เพื่อนยากนี้ก่อน แล้วนางเหงียมซีก็ร้องไห้ร่ำไรเปนอันมาก ลิโป้ก็มีความสงสารเปนกำลัง ไม่รู้ที่จะคิดอ่านผ่อนปรนประการใด จึงเข้าไปหานางเตียวเสียนซึ่งเปนภรรยาน้อย แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งตันก๋งว่านั้นให้ฟัง นางเตียวเสียนก็ห้ามปรามวิงวอนลิโป้ เหมือนนางเหงียมซีทุกประการ แล้วนางเตียวเสียนก็กอดเท้าลิโป้ร้องไห้ ลิโป้จึงปลอบว่าเจ้าอย่าวิตกเลย ถึงจะเปนประการใดเรามิให้เจ้าเปนอันตราย จะกลัวอันใดกับโจโฉ ทวนกับม้าของเรามีกำลังมาก เราจะตั้งมั่นอยู่ในเมืองดังนี้ ผู้ใดจะบังอาจเข้ามาทำอันตรายได้ แล้วลิโป้ก็กลับออกมาว่าแก่ตันก๋งว่า ซึ่งโจโฉให้ทหารขึ้นไปเอาสเบียง ณ เมืองฮูโต๋นั้น โจโฉกระทำกลจะลวงเราให้ยกไปคอยชิงสเบียง ภายหลังจะยกเข้าตีเอาเมืองโดยง่าย แลเราจะยกไปตามคำท่านนั้น เห็นจะเสียทีแก่โจโฉ

ตันก๋งได้ยินลิโป้ว่าดังนั้น ก็มิได้ตอบประการใด จึงลุกออกมาแล้วว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า ตัวเราทุกวันนี้เห็นจะถึงแก่ความตายสิ้น เพราะว่าลิโป้คิดการเสียไปแล้ว ฝ่ายลิโป้ก็มิได้ยกกองทัพออกรบกับโจโฉ ชวนนางเหงียมซี นางเตียวเสียนเสพย์สุราทุกวัน หวังจะให้คลายความทุกข์

ขณะนั้นเค้ากี๋อ๋องก้ายซึ่งเปนที่ปรึกษา เห็นลิโป้มิได้คิดการสงครามดังนั้น จึงเข้าไปหาลิโป้แล้วว่า ซึ่งท่านนิ่งอยู่ฉนี้ เห็นจะเสียเมืองแห้ฝือแก่โจโฉเปนมั่นคง บัดนี้อ้วนสุดซึ่งไปตั้งอยู่เมืองห้วยหนำนั้น ก็มีทแกล้วทหารเปนอันมาก ขอให้ท่านแต่งทหารไปหาอ้วนสุด ว่าท่านจะยกลูกสาวให้แก่บุตรอ้วนสุด ให้อ้วนสุดยกกองทัพมาช่วยตีกระหนาบ เห็นกองทัพโจโฉจะระส่ำระสาย ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือให้เค้ากี๋อ๋องก้ายถือไปให้อ้วนสุด เค้ากี๋จึงว่าข้าพเจ้าจะขอทหาร ออกไปส่งให้พ้นกองทัพโจโฉเสียก่อน

ลิโป้จึงให้เตียวเลี้ยวเปนกองหน้า ให้หลับเป้งเปนกองหลัง คุมทหารพันหนึ่งป้องกัน ครั้นเวลาสองยาม เค้ากี๋อ๋องก้ายก็ลาลิโป้ออกจากเมืองแห้ฝือ เตียวเลี้ยวกับหลันเป้งเค้ากี๋ถึงแดนเมืองห้วยหนำ หลันเป้งคุมทหารห้าร้อยไปด้วยเค้ากี๋อ๋องก้าย ให้เตียวเลี้ยวคุมทหารห้าร้อยกลับไปเมืองแห้ฝือ แลเค้ากี๋อ๋องก้ายหลันเป้งครั้นไปถึงเมืองห้วยหนำ จึงเข้าไปหาอ้วนสุด แล้วเอาหนังสือของลิโป้นั้นให้ อ้วนสุดรับเอาหนังสือมาอ่านดู เปนใจความว่าข้าพเจ้าลิโป้คำนับมาถึงอ้วนสุดว่า ซึ่งท่านให้มาขอบุตรหญิงข้าพเจ้าจะให้แก่บุตรท่านนั้น ข้าพเจ้ายังมิทันจะแต่งการ ด้วยบัดนี้โจโฉยกทัพมาเปนอันมาก เหลือกำลังข้าพเจ้า ขอให้ท่านยกทหารมาช่วยตีทัพกระหนาบ จะได้มีไมตรีต่อกันสืบไป

อ้วนสุดแจ้งในหนังสือนั้นแล้วจึงว่า ลิโป้เจรจาหามีความจริงไม่ เมื่อครั้งเราให้หันอิ้นไปขอลูกสาวนั้นก็รับคำว่าให้แล้ว ครั้นเราให้แต่งไปรับตามธรรมเนียม ลิโป้คิดกลับกลายจับตัวหันอิ้นส่งไปให้โจโฉ แล้วฆ่าทหารซึ่งเราให้ไปเตือนนั้นเสีย บัดนี้โจโฉยกมาถึงเมือง เปนไฉนจึงมิได้พึ่งโจโฉ กลับให้มาขอกองทัพเราอีกเล่า เค้ากี๋ได้ยินอ้วนสุดว่าดังนั้นจึงตอบว่า ลิโป้นายข้าพเจ้าจะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้ เมื่อท่านให้หันอิ้นไปขอลูกสาวนั้น ลิโป้ก็มีความยินดีจะยกลูกสาวให้แก่บุตรท่านโดยจริง เพราะโจโฉทำกลอุบายต่างๆ เนื้อความทั้งปวงนั้นจึงกลับกลายไป บัดนี้ลิโป้ก็สั่งมาว่า จะยกลูกสาวให้แก่บุตรท่านเปนมั่นคง

อ้วนสุดได้ฟังดังนั้นจึงว่า บัดนี้ลิโป้สู้โจโฉไม่ได้แล้วหรือจึงยกลูกสาวให้แก่บุตรเรา แม้จะเปนไมตรีกันสืบไปก็ให้ส่งลูกสาวมาให้เราก่อน เราจึงจะยกกองทัพไปช่วย ซึ่งจะให้เรายกไปก่อนนั้นเราเห็นใจลิโป้ครั้งหนึ่งแล้ว เค้ากี๋ได้ฟังอ้วนสุดว่าดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด จึงลาอ้วนสุดพากันออกจากเมืองห้วยหนำ มาถึงแดนต่อแดนเห็นค่ายเล่าปี่ตั้งสกัดอยู่ เค้ากี๋กับอ๋องก้ายจึงว่าแก่หลันเป้งว่า เราเปนผู้ถือหนังสือท่านเปนทหาร ลิโป้ให้มาป้องกันเรามิให้มีอันตราย เวลาค่ำวันนี้เราจะลอบไปให้พ้นค่ายเล่าปี่ก่อน ท่านจงคุมทหารป้องกันภายหลัง หลันเป้งก็รับคำเค้ากี๋อ๋องก้าย ครั้นเวลาค่ำเค้ากี๋กับอ๋องก้ายก็ลอบไปพ้นค่ายเล่าปี่ หลันเป้งจึงคุมทหารไปภายหลัง

ฝ่ายเตียวหุยอยู่ในค่ายได้ยินเสียงคนเดิรเปนอันมาก เตียวหุยคิดสงสัยจึงคุมทหารออกไปดู เห็นหลันเป้งคุมทหารผ่านหน้าค่ายไปก็ขับม้าไล่หลันเป้ง ๆ กลับหน้ามารบได้เพลงหนึ่ง เตียวหุยจับตัวหลันเป้งได้ ทหารห้าร้อยนั้นก็แตกกระจัดกระจายไป เตียวหุยจึงเอาตัวหลันเป้งมาให้เล่าปี่ ๆ ถามแจ้งข้อความทั้งปวงแล้ว เล่าปี่คุมตัวหลันเป้งไปให้โจโฉ ๆ ถามหลันเป้งว่าตัวไปไหนมา หลันเป้งแจ้งความแต่โดยจริงทุกประการ

โจโฉจึงให้เอาตัวหลันเป้งนั้นไปตัดสีสะเสียบไว้หน้าค่าย โจโฉจึงให้ทหารทั้งปวงเข้าล้อมเมืองแห้ฝือไว้ แล้วกำชับไว้ว่า คนในเมืองหนีออกมาได้หน้าด้านผู้ใด เราจะเอาโทษนายทัพนายกองซึ่งรักษาด้านนั้นถึงสิ้นชีวิต ฝ่ายเล่าปี่ได้ยินโจโฉกำชับทหารดังนั้นก็ลาโจโฉกลับมาค่าย จึงกำชับกวนอูเตียวหุยซุนเขียนว่า ให้ระวังระไวอย่าให้ลิโป้กับอ้วนสุดไปมาหากันได้

ขณะเมื่อเตียวหุยกับหลันเป้งรบกันอยู่นั้น เค้ากี๋กับอ๋องก้ายก็รีบมาถึงเมืองแห้ฝือ จึงเข้าไปหาลิโป้แล้วบอกว่า ข้าพเจ้าไปถึงเมืองห้วยหนำได้ว่ากล่าวอ้วนสุดเปนอันมาก อ้วนสุดว่าให้ท่านส่งลูกสาวไปก่อนจึงจะยกกองทัพมาช่วย ซึ่งจะยกมาก่อนนั้น อ้วนสุดว่าได้เห็นใจท่านครั้งหนึ่งแล้ว ลิโป้จึงปรึกษาว่า บัดนี้กองทัพโจโฉล้อมเมืองเราไว้ ทำไฉนเราจะส่งลูกสาวไปได้ เค้ากี๋จึงว่าโจโฉได้ตัวหลันเป้งไปถาม รู้เนื้อความทั้งปวงแล้ว ซึ่งผู้อื่นจะไปนั้นเห็นขัดสน ขอให้ท่านคุมทหารที่มีฝีมือไปส่งถึงแดนเมืองห้วยหนำ แม้โจโฉจะทำประการใดจะได้รบพุ่งป้องกัน ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้เตียวเลี้ยวกับโกซุ่นจัดทหารสามพัน กับเกวียนน้อยเล่มหนึ่งไว้ แล้วลิโป้จึงว่าเราจะให้ท่านคุมตัวลูกสาวเราไปส่งอ้วนสุด เราจะตามไปส่งถึงเมืองห้วยหนำ แล้วลิโป้จึงให้ลูกสาวใส่เกราะแต่งตัวมั่นคง ครั้นเวลาสองยามลิโป้ก็เอาแพรสีสามพับนั้นผูกลูกสาวให้แน่นแล้วตะพายแล่ง เข้าแล้วจึงขึ้นม้าถือทวน พาโกซุ่นเตียวเลี้ยวกับทหารสามพันนั้นลอบหนีออกจากเมือง

ฝ่ายทหารโจโฉซึ่งล้อมอยู่นั้นมิทันสังเกต ครั้นลิโป้มาถึงแดนเมืองห้วยหนำ พอกวนอูเตียวหุยคุมทหารไปเที่ยวตรวจค่าย เห็นลิโป้กับทหารลอบมา เตียวหุยจึงร้องว่าอ้ายลิโป้มึงจะหนีไปไหน ลิโป้เห็นกวนอูเตียวหุยยืนขวางหน้าอยู่ก็ชักม้าจะหนี พอเล่าปี่คุมทหารสกัดมาด้านหนึ่ง แล้วซิหลงกับเคาทูซึ่งเปนทหารโจโฉนั้นก็ยกตามมาทัน ลิโป้ตกใจกลัวลูกสาวจะเปนอันตราย ก็ตีฝ่าทหารโจโฉกลับมาเมือง ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกตามมา เห็นทหารซึ่งล้อมอยู่ด้านตวันตกนั้นน้อย ลิโป้ฝ่าเข้าเมืองได้ เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ให้ทหารเข้าล้อมด้านตวันตก

ฝ่ายลิโป้ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ก็เสพย์แต่สุราทุกวันมิได้ขาด ฝ่ายโจโฉล้อมเมืองแห้ฝือไว้ถึงสองเดือน ลิโป้ก็มิได้ออกสู้รบ ครั้นโจโฉจะยกทหารเข้าหักโหม ก็เห็นลิโป้รักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นคงอยู่ พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกโจโฉว่า เตียวเอ๋งเจ้าเมืองโห้ลายรู้ว่ามหาอุปราชยกมาล้อมเมืองแห้ฝือ เตียวเอ๋งกะเกณฑ์ทหารจะยกมาช่วยลิโป้ เอียวสิวนายทหารไม่เห็นด้วย ลอบฆ่าเตียวเอ๋งเสีย แล้วตัดสีสะจะเอามาให้ท่าน พอถึงกลางทางอุยก้อเปนคนสนิธของเตียวเอ๋งตามมาทันฆ่าเอียวสิวเสีย แล้วเอาสีสะเตียวเอ๋งกลับไปเมืองได้

โจโฉได้ยินดังนั้น จึงให้สูหวนคุมทหารยกไปฆ่าอุยก้อเสีย แล้วหานายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้เตียวเอ๋งก็ตายแล้ว ศัตรูเราฝ่ายเหลือยังเกรงอยู่แต่อ้วนเสี้ยว ฝ่ายตวันตกนั้นเล่าเปียวเตียวสิ้วก็มีกำลังอยู่เราจะไว้ใจมิได้ บัดนี้เรามาล้อมเมืองแห้ฝือไว้นานแล้ว ทหารทั้งปวงก็อิดโรย เราคิดจะกลับเมืองฮูโต๋ บำรุงทแกล้วทหารให้บริบูรณ์ก่อน จะได้ป้องกันอันตรายเมืองเราด้วย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

ซุนฮกจึงว่า เราทำการครั้งนี้ลิโป้ก็เสียทีแก่เราเปนอันมาก จวนจะได้ตัวอยู่แล้ว ซึ่งจะกลับไปเสียนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าลิโป้จะมีกำลังขึ้น ถึงเราจะทำการสืบไปนั้นก็ยืดยาว กุยแกได้ยินว่าดังนั้น จึงว่าแก่โจโฉว่า มหาอุปราชอย่าวิตกเลย เมืองแห้ฝือนี้ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายให้แตกจงได้ โจโฉจึงถามว่าท่านจะทำประการใด กุยแกจึงว่าบัดนี้ก็เปนเทศกาลน้ำเหนือหลั่งลงแม่น้ำใหญ่ ซึ่งไหลผ่านมาริมเมืองแห้ฝือนั้น ทางทิศตวันตกขอให้ท่านคิดอ่านเกณฑ์ทหารทดน้ำไว้ข้างใต้เมือง แล้วฟากแม่น้ำข้างตวันตกนั้น ให้ทำทำนบกั้นน้ำอย่าให้บ่อออกได้ ให้น้ำไหลเข้าเมืองแห้ฝือ ลิโป้ก็จะเสียทีแก่เรา

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารให้ลงไปทดน้ำ แล้วให้ก่อเปนคันไว้โดยรอบ จำเพาะให้น้ำไหลเข้าไปในเมือง ครั้นฝนตกหนักน้ำซึ่งไหลมาแต่เนินเขาแลแม่น้ำใหญ่นั้น ก็ท่วมเข้าไปในเมืองโดยรอบ เปนดอนอยู่แต่ประตูตวันออกด้านเดียว ผู้คนซึ่งอยู่ในเมืองนั้นก็ได้ความลำบาก ทหารจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิโป้ ๆ จึงว่าเราจะกลัวอันใดกับน้ำ ม้าเซ็กเธาว์ของเรามีกำลังมาก ข้ามแม่น้ำเหมือนควบบนบก แล้วลิโป้ก็ไม่เอาใจใส่ ตั้งแต่กินสุรามิได้ขาด ลิโป้นั้นก็สิ้นราศีลง วันหนึ่งภรรยายกกระจกมาให้ลิโป้ส่อง ลิโป้เห็นหน้าตาเสร้าหมอง ก็คิดว่าเปนเหตุทั้งนี้เพราะกินสุรา ๆ นี้เปนโทษมากนัก ถึงผู้ใดรูปงามก็เสร้าหมองเพราะสุรา ลิโป้จึงออกไปประกาศห้ามทหารทั้งปวงว่า แต่นี้ไปเมื่อหน้าถ้าผู้ใดกินสุราเราจะตัดสีสะเสีย

ขณะนั้นคนซึ่งเลี้ยงม้าของลิโป้ คิดยักย้ายแบ่งม้าสิบห้าตัวส่งไปให้เล่าปี่ เฮาเสงผู้เปนนายกองรู้ ตามไปจับตัวคนเลี้ยงม้านั้นฆ่าเสีย นายทัพนายกองทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ชวนกันมาเยือนเฮาเสง ฝ่ายเฮาเสงคิดจะใคร่เลี้ยงสุรานายทัพนายกองทั้งปวงก็เกรงอาญาลิโป้ จึงเข้าหาลิโป้แล้วบอกว่า มีผู้ร้ายลักม้าส่งไปให้เล่าปี่ ข้าพเจ้าตามไปทันฆ่าผู้ร้ายนั้นเสียแล้ว เพราะบุญของท่านไม่เคยเสียของแก่ข้าศึก บัดนี้นายทัพนายกองทั้งปวงมาเยือนข้าพเจ้าเปนอันมาก ข้าพเจ้าจะขอเลี้ยงสุราท่านจะโปรดประการใด

ลิโป้โกรธจึงว่า เราได้ห้ามว่าสุรานี้เปนโทษจะให้เสียการทั้งปวง ถ้าผู้ใดกินสุราเราจะตัดสีสะเสีย แต่ตัวมาบังอาจเจรจาดังนี้จะให้เสียการของเราหรือ แล้วก็สั่งทหารให้เอาตัวเฮาเสงไปฆ่าเสีย ซงเหียนกับงุยซกจึงขอโทษเฮาเสงไว้ ลิโป้จึงว่าเฮาเสงกระทำผิดโทษถึงตาย เราเห็นแก่ท่านจะไว้ชีวิตครั้งหนึ่งก่อน แล้วลิโป้จึงให้ทหารเอาตัวเฮาเสงไปตีด้วยแซ่หวายห้าสิบที ฝ่ายทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เสียใจ ซงเหียนงุยซกจึงชวนกันไปเยือนเฮาเสง ณ บ้าน เฮาเสงก็ออกไปรับซงเหียนงุยซกแล้วว่า เวลาวานนี้แม้ท่านทั้งสองมิช่วยข้าพเจ้า ที่ไหนข้าพเจ้าจะรอดชีวิตอยู่ ว่าแล้วเฮาเสงก็ร้องไห้

ซงเหียนจึงว่า ทุกวันนี้ลิโป้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว มิได้เอาใจทหาร เชื่อฟังแต่คำภรรยา จนทหารโจโฉเข้าล้อมกำแพงไว้เปนสามารถ ทดน้ำท่วมเข้าในเมืองเปนอันมากฉนี้แล้ว ลิโป้ก็ไม่เอาใจใส่ เราท่านทั้งปวงนี้เหมือนคนไข้หนัก มิได้แจ้งว่าจะตายวันใด เราจำทิ้งลิโป้เสีย คิดอ่านหนีเอาตัวรอดจึงจะพ้นความตาย

งุยซกจึงว่า เราจะหนีไปนั้นดุจมิใช่ชาติทหาร แม้นเราช่วยกันจับตัวลิโป้ส่งให้แก่โยโฉ เห็นจะได้ความชอบเปนอันมาก เฮาเสงจึงว่า ลิโป้นี้มีกำลังมากอยู่ด้วยม้าเซ็กเธาว์ตัวเดียว แม้จะคิดจับลิโป้ ข้าพเจ้าจะลักเอาม้าเซ็กเธาว์ไปให้โจโฉเสียก่อน ซงเหียนงุยซกเห็นชอบด้วยก็ลาเฮาเสงกลับไปบ้าน

ครั้นเวลาค่ำเฮาเสงจึงเข้าไปลักม้าเซ็กเธาว์มาได้ ออกไปหาโจโฉทางประตูเมืองตวันออก แลเฮาเสงเอาม้านั้นให้โจโฉแล้วบอกว่า ข้าพเจ้ากับซงเหียนงุยซกคิดกันจะจับตัวลิโป้ส่งให้มหาอุปราช โจโฉได้ฟังดังนั้นมีความยินดี จึงเขียนหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมืองเปนใจความว่า บัดนี้ลิโป้ก็สิ้นอำนาจแล้ว เหมือนหนึ่งเสืออยู่ในจั่น แม้ผู้ใดจับตัวลิโป้ส่งให้เราได้ เราจะปูนบำเหน็จให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นเวลาเช้าโจโฉก็ขับทหารให้ทำลายประตูปีนกำแพงเมืองเข้าไป ทหารที่รักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่นั้นก็รบพุ่งฆ่าฟันกันเปนอันมาก

ลิโป้ได้ยินเสียงอื้ออึงก็ตกใจ เรียกหาม้าเซ็กเธาว์ ทหารซึ่งรักษาม้านั้นบอกว่า เฮาเสงลักเอาไปให้โจโฉแต่เวลาคืนนี้แล้ว ลิโป้ก็จับทวนขึ้นไปบนเชิงเทิน เห็นซงเหียนงุยซก ลิโป้จึงว่า เหตุไฉนตัวเปนใจให้อ้ายเฮาเสงลักเอาม้ากูไปแม้สำเร็จการครั้งนี้แล้ว กูจะตัดสีสะมึงเสียให้จงได้ แล้วลิโป้ก็เร่งทหารให้รบพุ่งเปนสามารถ แต่เช้าจนเวลาเที่ยงทหารโจโฉก็ถอยไป ลิโป้ก็ลงมานั่งเก้าอี้อยู่ที่ประตูเมือง แล้วเอาทวนพิงไว้ก็ม่อยหลับไป

ซงเหียนงุยซกเห็นได้ทีดังนั้นก็ทำดังจะเข้าไปปรึกษาราชการ จึงขับทหารซึ่งรักษาลิโป้อยู่นั้นให้ถอยออกไป งุยซกจึงหยิบเอาทวนไปวางไว้ไกลมือลิโป้ แล้วซงเหียนงุยซกลุกขึ้นพร้อมกันเอาเชือกมัดลิโป้ ๆ ตกใจผวาตื่นขึ้นร้องให้ทหารช่วย ทหารทั้งปวงก็มิได้ช่วยลิโป้ ครั้นมัดลิโป้ไว้มั่นคงแล้ว งุยซกจึงเปิดประตูเมืองร้องบอกทหารโจโฉว่า เราจับลิโป้มัดไว้แล้ว ให้ท่านเร่งยกเข้ามาเถิด

แฮหัวเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ควบม้าเข้ามาถึงประตูเมือง แล้วคิดสงสัยว่าลิโป้จะทำกลก็ยั้งม้าไว้ งุยซกจึงเอาทวนของลิโป้ทิ้งออกไปเปนสำคัญ แฮหัวเอี๋ยนแลทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สิ้นสงสัย ตรูกันเข้าไปในเมืองแห้ฝือ

ฝ่ายโกซุ่นเตียวเลี้ยวซึ่งรักษาหน้าที่ด้านตวันตกอยู่นั้น แจ้งว่าซงเหียนงุยซกคิดร้ายต่อลิโป้ ก็ลงจากเชิงเทินจะมาช่วยลิโป้ พอทหารโจโฉทลายประตูเมืองเข้ามาจับตัวโกซุ่นเตียวเลี้ยวได้ ตันก๋งเห็นทหารโจโฉหักเข้าในเมืองได้ ก็ควบม้าหนีออกจากเมืองโดยประตูด้านใต้ พบซีหลงคุมทหารเข้ามาจับตัวตันก๋งได้ โจโฉก็ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองแห้ฝือ จึงเกณฑ์ทหารไปทลายทำนบซึ่งกั้นน้ำนั้นเสีย แล้วก็ปราบปรามอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนปรกติ โจโฉจึงชวนเล่าปี่ขึ้นไปนั่งบนหอรบชื่อว่าเบ๊กบุนเหลา กวนอูเตียวหุยก็ตามขึ้นไปด้วย โจโฉจึงให้เอาตัวลิโป้มา

ฝ่ายลิโป้เห็นทหารทั้งปวงรุมกันเข้ามัดผูก เจ็บปวดเหลือกำลังจึงร้องว่า มหาอุปราชโปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย โจโฉจึงว่า อันธรรมดาเสือจำจะผูกให้มั่นคง ซึ่งจะคลายออกนั้นไม่ได้ ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็จนใจ จึงเหลียวมาเห็นเฮาเสงซงเหียนงุยซกยืนอยู่ ลิโป้จึงว่าเราก็เลี้ยงดูท่านถึงขนาด เปนไฉนท่านจึงทรยศคิดร้ายต่อเรา ซงเหียนจึงว่า เราคิดการทั้งนี้เพราะท่านมิได้เชื่อฟังคำเรา ท่านนับถือแต่ภรรยา กลับจะมาทำโทษแก่เราแล้วยังจะว่าเราทรยศอีกเล่า ลิโป้ได้ยินดังนั้นไม่รู้ที่ตอบประการใด

ฝ่ายทหารซึ่งจับตัวโกซุ่นได้นั้น ก็มัดขึ้นไปให้โจโฉ ๆ จึงถามโกซุ่นว่า ท่านจะว่าสิ่งใดแก่เราหรือไม่ โกซุ่นนั้นก็นิ่งอยู่ โจโฉโกรธจึงให้ทหารเอาตัวโกซุ่นไปฆ่าเสีย ขณะนั้นซิหลงคุมตัวตันก๋งมัดขึ้นไปให้โจโฉ ๆ จึงถามตันก๋งว่า แต่ท่านจากเรามายังค่อยสบายอยู่หรือ ตันก๋งได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าโจโฉเยาะก็โกรธจึงตอบว่า ตัวท่านหยาบช้าเจรจามิได้มีความสัตย์ซื่อ มีแต่ฬ่อลวงให้คนหลงด้วยกลอุบายเราจึงเอาตัวหนี โจโฉจึงว่าเราเปนคนชั่วตัวจึงคิดออกจากเราแล้ว เหตุไฉนจึงมิได้อยู่กับผู้อื่น ฉะเพาะมาอยู่กับลิโป้ซึ่งเปนคนหยาบช้า ตันก๋งจึงตอบว่า ลิโป้นั้นเปนคนหยาบช้าหาความคิดมิได้ก็จริง แต่มิได้เปนคนโกหกเหมือนตัวเราจึงมาอยู่ทำการด้วย โจโฉจึงว่าลิโป้หาปัญญาไม่ ตัวเปนคนมีความคิด เหตุไฉนจึงให้ลิโป้เสียทีแก่เราเล่า

ตันก๋งได้ฟังจึงเหลียวมาว่าแก่ลิโป้ว่า เพราะตัวมิได้ฟังคำเราจึงได้เสียการทั้งนี้ แม้ทำตามคำเราที่ไหนจะได้อัปยศแก่ทหารทั้งปวง โจโฉได้ยินตันก๋งว่าดังนั้นจึงว่า ลิโป้ไม่ฟังคำตัวจึงเสียการ บัดนี้จะคิดประการใดสืบไป ตันก๋งโกรธจึงร้องตวาดว่า ตัวกูบัดนี้ก็ถึงที่ตายอยู่แล้ว มึงจะมาซักไซ้ถามเอาเนื้อความสิ่งใดอีกเล่า โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนไม่โกรธจึงถามว่า ซึ่งตัวว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่มารดากับภรรยานั้นตัวจะคิดประการใด ตันก๋งได้ฟังดังนั้น คิดอาลัยถึงมารดากับภรรยาจึงตอบโจโฉว่า อันธรรมดาชาติทหารจะตั้งตัวเปนใหญ่ ถึงจะจับข้าศึกได้ก็ไม่ทำอันตรายแก่บิดามารดาแลบุตรภรรยา ผู้ใดผิดก็ทำโทษแต่ผู้นั้น บัดนี้ตัวเราก็ทำผิดถึงที่ตายอยู่แล้วก็มิได้อาลัยแก่ชีวิต เราจะขอฝากมารดากับภรรยา มหาอุปราชจงกรุณาช่วยเลี้ยงดูไว้ด้วย

ฝ่ายโจโฉคิดถึงบุญคุณตันก๋งซึ่งมีมาแต่หลัง จะใคร่เลี้ยงตันก๋งไว้แต่ยังมิได้ว่าประการใด ตันก๋งก็ดึงลงมาจากหอรบจะให้ทหารฆ่าตัวเสีย โจโฉเห็นดังนั้นจึงให้ทหารยุดตัวไว้ตันก๋งก็มิได้ฟัง โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความสงสาร เดิรร้องไห้ตามหลังไป จึงว่าแก่ตันก๋งว่า ตัวท่านมิพอใจอยู่แล้วก็ตามทีเถิด อันมารดาแลภรรยาของท่านนั้นอย่าเปนกังวลวิตกเลย เราจะเลี้ยงไว้ให้ปรกติ แลตันก๋งนั้นครั้นมาถึงนอกประตูเมืองรีบให้ทหารลงดาบ ทหารโจโฉก็ฟันตันก๋งตาย โจโฉจึงให้เอาศพตันก๋งไปแต่งการศพฝังไว้ แล้วให้คุมมารดาแลภรรยาตันก๋งขึ้นไปเลี้ยงรักษาไว้ ณ เมืองฮูโต๋ จึงกำชับมิให้ผู้ใดทำอันตรายแก่มารดาแลภรรยาตันก๋ง

ฝ่ายลิโป้ยังอยู่บนหอรบจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า มหาอุปราชนับถือท่านอยู่ ครั้งนี้ข้าพเจ้าเปนคนโทษถึงตาย ท่านจงคิดอ่านว่ากล่าวขอชีวิตข้าพเจ้าไว้ให้รอด คุณท่านจะมีสืบไป เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นยังมิได้ตอบประการใดแต่พยักเอา พอโจโฉกลับขึ้นมาถึงหอรบ ลิโป้จึงว่าแก่โจโฉว่า ทุกวันนี้มหาอุปราชคิดการใหญ่ เกรงอยู่แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวว่าเปนเสี้ยนหนาม บัดนี้ก็จับข้าพเจ้าได้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้ทำการสนองคุณท่าน นานไปราชสมบัติก็จะเปนสิทธิ์แก่ท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงถามเล่าปี่ว่า ซึ่งลิโป้ว่าฉนี้ท่านจะเห็นประการใด เล่าปี่จึงตอบว่า ครั้งเต๊งหงวนกับตั๋งโต๊ะตายนั้นท่านก็รู้แจ้งอยู่ เปนไฉนจึงกลับมาย้อนถามหารือข้าพเจ้าฉนี้เล่า

ลิโป้ได้ยินเล่าปี่ว่าดังนั้นก็โกรธจึงถลึงตาเอาแล้วว่า เล่าปี่นี้มิได้รู้จักคุณเรา โจโฉจึงให้ทหารเอาตัวลิโป้ลงไปฆ่าเสีย ขณะเมื่อทหารเข้าลากนั้นลิโป้จึงร้องว่า อ้ายเล่าปี่หูยาวมิได้คิดถึงคุณกู เมื่อครั้งกิเหลงจะทำอันตรายแก่มัน หากกูคิดกลอุบายยิงเกาทัณฑ์ให้ถูกทวนมันจึงรอดชีวิตอยู่ ครั้งนี้มันกลับซ้ำเติมเอาอิกเล่า พอทหารโจโฉจับตัวเตี้ยวเลี้ยวมัดมา เตียวเลี้ยวได้ยินลิโป้ว่าดังนั้นจึงว่าแก่ลิโป้ว่า เกิดมาเปนชาติทหารแล้วสิจะคิดรักชีวิตเล่า ถึงตายก็ให้ลือชื่อไว้ ลิโป้ได้ฟังเตียวเลี้ยวว่าก็นิ่งอยู่ ทหารทั้งปวงก็พาเอาลิโป้ไปฆ่าเสีย แล้วตัดสีสะเสียบไว้

ฝ่ายทหารซึ่งจับเตียวเลี้ยวมานั้น ก็พาเอาตัวขึ้นไปบนหอรบ โจโฉเห็นจึงว่า เตียวเลี้ยวนี้รูปร่างเข้มแขงสมเปนทหาร ประหนึ่งว่าจะจำได้ ๆ รบกับเราครั้งหนึ่ง เตียวเลี้ยวจึงว่า ครั้งเมืองปักเอี้ยงนั้นท่านลืมไปแล้วหรือ เรายังคิดเสียดายอยู่ โจโฉจึงว่าท่านคิดเสียดายสิ่งใด เตียวเลี้ยวจึงตอบว่า เราเสียดายครั้งเมืองปักเอี้ยงนั้นเพลิงยังน้อยนักอยู่ ถ้าเพลิงมากก็จะเผาอ้ายศัตรูราชสมบัติตายเสียแล้ว โจโฉได้ยินดังนั้นมีความอัปยศนักจึงว่า ตัวมึงเปนชะเลย ชีวิตจะตายอยู่แล้วยังบังอาจว่ากล่าวหยาบช้าแก่กูอีกเล่า โจโฉชักกระบี่ออกเงื้อขึ้นจะฟันเตียวเลี้ยวเสีย เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นมิได้กลัวความตาย จึงยื่นคอออกไปให้โจโฉฟัน พอกวนอูเข้ายุดมือโจโฉไว้แล้วคำนับว่า ซึ่งท่านจะฆ่าเตียวเลี้ยวนั้นขอให้งดก่อน ด้วยเตียวเลี้ยวเปนคนสัตย์ซื่อ ควรจะเลี้ยงไว้ให้ทำราชการด้วยท่าน ถ้าสืบไปเตียวเลี้ยวเอาใจออกหากคิดร้ายต่อท่าน จึงตัดเอาสีสะข้าพเจ้าแทนเถิด

โจโฉได้ฟังดังนั้นมีความยินดีจึงว่า เราแจ้งอยู่ว่าน้ำใจเตียวเลี้ยวนี้สัตย์ซื่อนัก ซึ่งเราทำทั้งนี้หวังจะลองใจเตียวเลี้ยว ว่าเปนทหารจะกลัวความตายหรือไม่ บัดนี้เราเห็นน้ำใจแน่นอนมั่นคงควรจะเลี้ยงไว้ โจโฉจึงลุกไปแก้มัดเตียวเลี้ยวออกเสีย เอาเสื้ออย่างดีให้เตียวเลี้ยวใส่ แล้วจูงมือมาให้นั่งที่สมควร เตียวเลี้ยวมีความยินดีจึงคำนับแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชไว้ชีวิตจะเลี้ยงข้าพเจ้านั้นคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะขอทำราชการอยู่ด้วยท่านกว่าจะตาย โจโฉจึงตั้งเตียวเลี้ยวเปนจงลงเจียง แปลคำไทยว่านายทหารโท แล้วโจโฉจึงให้เตียวเลี้ยวไปเกลี้ยกล่อมจงป้าซึ่งเปนทหารลิโป้

ฝ่ายจงป้าครั้นรู้ว่าลิโป้ตายแล้ว เตียวเลี้ยวก็เข้าอยู่กับโจโฉ จงป้าจึงชักชวนซุนก้วนหนึ่ง งอตุ้นหนึ่ง อินเล้หนึ่ง แต่เซียงหูนั้นหนีไป จงป้าจึงพานายโจรทั้งสามคนกับทหารทั้งปวงไปหาโจโฉ ณ เมืองแห้ฝือ โจโฉเห็นจงป้าพาทหารทั้งนั้นมาก็มีความยินดี จึงตั้งจงป้าให้เปนนายทหารผู้ใหญ่ นายโจรทั้งสามคนเปนทหารรอง แล้วให้คุมทหารทั้งปวงไปตระเวนแดนเมืองชายทเลป้องกันศัตรู


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 17

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnSzJLZUI5RFJqd3c/view?resourcekey=0-D3i8BvkwWaHCZkxUL_5LXg



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #7 on: 21 December 2021, 21:55:45 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 18


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-18.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 18

เนื้อหา
พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เล่าปี่มีตำแหน่งในเมืองหลวง
โจโฉทำกิริยาเอิบเอื้อมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้
พระเจ้าเหี้ยนเต้เขียนหนังสือด้วยโลหิต
ตังสินรวมสมัครพรรคพวกคิดกำจัดโจโฉ
เล่าปี่เข้าเป็นพวกตังสิน

ขณะ นั้นโจโฉปูนบำเหน็จทแกล้วทหารใหญ่น้อย แล้วให้คุมเอาครอบครัวลิโป้ขึ้นไปไว้ ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉจึงยกกองทัพมาถึงเมืองชีจิ๋ว อาณาประชาราษฎรทั้งปวงรู้ดังนั้น ก็แต่งโต๊ะจุดธูปเทียนออกมาคำนับโจโฉเปนอันมาก ราษฎรทั้งปวงจึงว่าแก่โจโฉว่า ขอให้ท่านตั้งเล่าปี่ไว้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋วเถิด โจโฉจึงตอบว่าครั้งนี้เล่าปี่มีความชอบ เราจะพาขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ก่อน ถ้าพระราชทานบำเหน็จแล้วจึงจะให้กลับลงมาเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วสั่งให้รักษาครอบครัวเล่าปี่ไว้ด้วย

โจโฉก็พาเล่าปี่ยกกองทัพกลับขึ้นไปถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบทูลว่า ครั้งนี้เล่าปี่ทำราชการมีความชอบเปนอันมาก พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้หาเล่าปี่เข้ามาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า ตัวเปนบุตรผู้ใด เล่าปี่จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าเปนบุตรเล่าเหง แลบิดาข้าพเจ้าเปนเชื้อพระเจ้าเฮ้าเก๋งเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้น จึงให้หาอาลักษณ์เอาจดหมายลำดับกษัตริย์มาดู นับตามพระราชวงศ์ต่อ ๆ ลงมาก็แจ้งว่าเล่าปี่เปนอาว์ของพระองค์ แล้วตั้งให้เล่าปี่เปนที่ยีเตงเฮ้า แปลภาษาไทยว่าเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง แต่นั้นมาพระเจ้าเหี้ยนเต้นับถือเล่าปี่ว่าเปนอาว์ โจโฉกับเล่าปี่ก็ถวายบังคมลา ต่างคนต่างออกไปที่อยู่

ซุนฮกจึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้นับถือเล่าปี่ว่าเปนเชื้อพระวงศ์ นานไปเห็นเล่าปี่จะทำร้ายท่านเปนมั่นคง โจโฉจึงตอบว่า ถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้จะนับถือเล่าปี่ว่าเปนเชื้อพระวงศ์ก็ดี อันราชการทั้งปวงเปนสิทธิ์อยู่แก่เราสิ้น อุปมาเหมือนอยู่ในเงื้อมมือเรา ถึงมาทว่าเล่าปี่จะคิดทำอันตรายแก่เรา ๆ จะกลัวอะไร ทุกวันนี้เราเกรงแต่เอียวปิวซึ่งเปนพี่น้องกับอ้วนเสี้ยวอ้วนสุดนั้น จะเปนไส้ศึกอยู่ในเมืองหลวง แล้วอ้วนเสี้ยวอ้วนสุดก็มีกำลังอยู่ ซุนฮกเห็นชอบด้วย

โจโฉจึงคิดกลอุบายให้พรรคพวกของตัวนั้นฟ้องว่า เอียวปิวให้หนังสือลับไปถึงอ้วนสุดว่า ให้อ้วนสุดยกทัพมาตีเมืองฮูโต๋ เอียวปิวจะรับเปนไส้ศึก โจโฉจึงให้จับเอาตัวเอียวปิวมาจำคุกไว้ แล้วให้หมันทองปรึกษาโทษ

ฝ่ายขงหยงรู้ดังนั้นจึงมาหาโจโฉแล้วว่า เอียวปิวทำราชการเปนขุนนางสืบ ๆ กันมาแต่ปู่แลบิดาจนถึงตัวเอียวปิว ก็ยังมิได้เห็นความร้ายสิ่งใด แต่ท่านจะเชื่อฟังแต่ผู้ฟ้อง มิได้พิจารณาให้เห็นเท็จแลจริงนั้นไม่ควร ขอให้ท่านพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อน โจโฉจึงตอบว่า การทั้งนี้เปนการรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิใช่เราทำตามอำเภอใจ ขงหยงจึงว่ามหาอุปราชเปนผู้สำเร็จราชการ ถึงรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จำจะพิจารณาให้เห็นผิดแลชอบก่อน โจโฉได้ยินดังนั้นก็มีความละอาย จึงให้ปล่อยเอียวปิวออกแล้วถอดเสียจากที่ขุนนาง

เอียวงันซึ่งเปนขุนนางอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้แจ้งว่า โจโฉกระทำหยาบช้าดังนั้น จึงทำเรื่องราวกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า โจโฉทำการแอบรับสั่งเอาตัวเอียวปิวมาทำโทษ แล้วถอดเสียจากที่ขุนนาง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มิได้ตรัสประการใด โจโฉรู้ดังนั้นจึงให้ทหารไปจับตัวเอียวงันฆ่าเสีย แต่นั้นมาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองฮูโต๋ก็เกรงโจโฉเปนอันมาก

เทียหยกที่ปรึกษาจึงว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจมหาอุปราชสิ้น เปนไฉนมหาอุปราชจึงมิคิดเอาสมบัติ จะนิ่งไว้ทำการเมื่อไรเล่า โจโฉจึงตอบว่า บัดนี้ขุนนางซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้พระทัยก็มีมากอยู่ เห็นเราจะทำการไม่สำเร็จ เราคิดอ่านจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปประพาสป่าดูท่วงทีก่อน โจโฉก็จัดแจงเครื่องสำหรับประพาสป่าไว้พร้อมแล้ว จึงกราบทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปประพาสป่า

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า จะไปเล่นป่านั้นก็จะป่วยการไพร่พลมิได้มีประโยชน์สิ่งใด โจโฉจึงทูลว่า ประเพณีกษัตริย์แต่ก่อนเสด็จไปประพาสป่าปีหนึ่งสี่ครั้ง แล้วจะได้ลองฝีมือทหารทั้งปวง ด้วยบัดนี้บ้านเมืองเรายังไม่ปรกติ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปประพาสป่า จะได้ทอดพระเนตร์ข้าราชการทหารทั้งปวง พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ไม่อาจที่จะขัดใจโจโฉได้ โจโฉจึงให้ตรวจตราทหารสิบหมื่น พร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง ขุนนางทั้งปวงกับเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ขี่ม้าตามเสด็จไป แต่โจโฉนั้นทำทีเปนเจ้าขี่ม้าเคียงม้าพระที่นั่ง มิได้ยำเกรงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นเสด็จไปถึงชายป่ากว้างแห่งหนึ่ง จึงให้หยุดทหารทั้งปวงไว้ ขุนนางกับทหารทั้งปวงไล่ฝูงเนื้อเข้ามาถึงเนินเขาช่องแคบตรงหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสแก่เล่าปี่ว่า เราจะขอดูฝีมือเกาทัณฑ์ท่าน เล่าปี่ๆรับสั่งแล้ว จึงขึ้นม้ายิงเกาทัณฑ์ไปถูกลมั่งตัวหนึ่งล้มลงกับที่

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงทรงเกาทัณฑ์ยิงกวางก็ไม่ถูก จึงตรัสแก่โจโฉว่า ท่านจงยิงกวางตัวนั้นให้ถูก โจโฉจึงทูลว่า ถ้าพระองค์จะใคร่เห็นฝีมือข้าพเจ้า จงพระราชทานพระแสงเกาทัณฑ์นั้นมา ข้าพเจ้าจะยิงถวายให้พระองค์ทอดพระเนตร พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เอาเกาทัณฑ์ซึ่งทรงนั้นยื่นให้โจโฉ ๆ รับเอาพระแสงเกาทัณฑ์มายิงถูกกวางตัวนั้นล้มลง ขุนนางทั้งปวงซึ่งอยู่ใกล้นั้น เห็นพระแสงเกาทัณฑ์เกลียงมังกรนั้นต้องกวางล้มลง ก็คิดว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรง ต่างคนต่างก็เข้ามากราบถวายบังคมหน้าพระที่นั่ง โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงขับม้าผ่านหน้าม้าพระที่นั่งออกไปแล้วร้องว่า ตัวเรายิงเกาทัณฑ์ไปถูกกวางแล้วหรือ ขุนนางแลทหารทั้งปวงเห็นโจโฉทำหยาบช้าต่อหน้าที่นั่งก็ตกใจตลึงอยู่สิ้น

แต่กวนอูเห็นโจโฉทำดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ามาเงื้อง้าวขึ้นจะฟันโจโฉ แล้วแลมาดูเล่าปี่ ๆ เห็นดังนั้นจึงกระหยิบตา แล้วสั่นสีสะเปนทีห้ามกวนอูอย่าให้ทำกวนอูก็หยุดอยู่ เล่าปี่จึงว่าแก่โจโฉว่า ฝีมือเกาทัณฑ์มหาอุปราชนี้หาผู้ใดเสมอมิได้ โจโฉจึงแกล้งตอบว่า ฝีมือเราเปนแต่ประมาณ แล้วกลับหน้ามาคำนับพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้ายิงไปถูกกวางนั้น เพราะพระแสงเกาทัณฑ์แลบารมีของพระองค์ พระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้แจ้งกลอุบายโจโฉ ชวนขุนนางทั้งปวงไล่เนื้อเล่นอยู่จนเวลาเย็น แล้วก็เสด็จกลับเข้าเมือง โจโฉก็เอาพระแสงเกาทัณฑ์ไว้เปนกรรมสิทธิ์มิได้ถวายคืน ขุนนางทั้งปวงก็กลับไปบ้าน

กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โจโฉทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ข้าพเจ้าจะฆ่าเสียเหตุใดพี่จึงห้ามไว้ เล่าปี่จึงตอบว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้กับตัวเราอยู่ในหว่างทหารโจโฉ ถ้าเจ้าฆ่าโจโฉเสียทหารเขานั้นก็จะฆ่าพี่เสียบ้าง ทั้งจะทำอันตรายพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย พี่จึงห้ามเจ้าเพราะเหตุฉนี้

ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เข้าไปหานางฮกเฮาผู้เปนมะเหษี จึงตรัสเล่าเนื้อความซึ่งไปประพาสป่า โจโฉทำหยาบช้าทั้งปวงนั้นให้นางฮกเฮาฟังทุกประการ แล้วตรัสว่าตัวเราได้เสวยราชสมบัติมีแต่ความระกำใจ ครั้งตั๋งโต๊ะนั้นก็ทำหยาบช้าแก่เราเปนอันมาก ครั้งลิฉุยกุยกีก็คิดทำอันตรายแก่เราต่างๆ ครั้งนี้เราคิดว่า โจโฉจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ก็กลับมาทำหยาบช้าแก่เราอีกเล่า อันชีวิตของเรากับเจ้านี้ ไม่รู้จักว่าความตายจะมาถึงวันใด แล้วก็ทรงพระกรรแสง นางฮกเฮาได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้แล้วทูลว่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงซึ่งกินเบี้ยหวัดผ้าปีก็มิได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่น ดิน ละให้พระองค์ทรงพระทุกข์อยู่ฉนี้ก็เปนสำหรับกรรมของพระองค์กับข้าพเจ้า

ขณะนั้นพอฮกอ้วนผู้เปนบิดานางฮกเฮานั้นเข้าไปเฝ้าที่ข้างใน เห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกรรแสงจึงทูลถามว่า พระองค์ขัดเคืองสิ่งใด พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสเล่าเนื้อความซึ่งโจโฉทำการหยาบช้าให้ฮกอ้วนฟังทุก ประการ ฮกอ้วนจึงทูลว่า เมื่อเสด็จไปประพาสป่าวันนั้นข้าพเจ้าเห็นประจักษ์อยู่สิ้นแล้ว แต่มิรู้ที่จะทำประการใด ขุนนางทั้งปวงเล่าก็มิได้มีใจเจ็บร้อนด้วยพระองค์ ข้าพเจ้าเห็นแต่ตังสินซึ่งเปนพระราชวงศ์ จะช่วยคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียได้

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า การครั้งนี้ควรจะหาตังสินเข้ามาปรึกษาหรือประการใด ฮกอ้วนจึงทูลว่า ทุกวันนี้โจโฉจะได้ไว้ใจหามิได้ คิดอ่านแต่งหญิงคนสนิธเข้ามาสอดแนมดูดีแลร้ายในพระราชวังอยู่เปนนิตย์ ซึ่งจะให้หาตังสินเข้าปรึกษาราชการนั้น เกลือกรู้ไปถึงโจโฉ การที่คิดไว้จะเสียไป ขอให้ทรงพระอักษรซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ จึงให้หาตัวตังสินเข้ามาเอาเสื้อนั้นประทานให้ แล้วบอกตังสินว่า เมื่อไปถึงบ้านแล้วให้เอาพระอักษรนั้นออกมาอ่านดู เห็นโจโฉจะไม่รู้ความลับ พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นชอบด้วย ฮกอ้วนก็ลาออกไป

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเอาพระแสงแทงนิ้วพระหัดถ์ให้โลหิตไหลออกมาแล้ว เอาเขียนลงกับแพรขาวตามพระราชดำริห์ แล้วส่งให้นางฮกเฮาเย็บซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ จึงให้หาตัวตังสินเข้ามาแล้วตรัสว่า เวลาคืนนี้เรากับนางฮกเฮาคิดถึงท่าน เมื่อครั้งพาเราหนีลิฉุยกุยกีไปนั้นความชอบท่านมีเปนอันมาก เราจึงเอาเสื้อผืนนี้ให้เปนบำเหน็จ แล้วค่อยกระซิบสั่งว่า ถ้าไปถึงบ้านแล้วจงเอาหนังสือในกลีบเสื้อออกซ่อนอ่านดู แม้เห็นความทุกข์ของเรา จงเร่งคิดการให้สำเร็จอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ ตังสินก็รับเอาเสื้อใส่ แล้วกราบถวายบังคมลาออกจากประตูวังข้างในจะไปบ้าน

ขณะนั้นหญิงซึ่งเข้าไปสอดแนมก็มาบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาตังสินเข้ามาเฝ้าที่ข้างใน แล้วประทานเสื้อให้ผืนหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นปลาดอยู่ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็รีบเข้าไปในวัง พอพบตังสินเข้าที่ประตูวัง จึงถามว่าท่านไปไหนมา ตังสินจึงบอกว่า รับสั่งให้หาเข้าไปพระราชทานเสื้อ โจโฉจึงถามว่า ซึ่งประทานเสื้อนั้นท่านมีความชอบสิ่งใด ตังสินจึงบอกว่า ทรงพระดำริห์ถึงเมื่อครั้งข้าพเจ้าพาเสด็จหนีลิฉุยกุยกีไป โจโฉได้ฟังดังนั้นก็กริ่งใจ จึงทำเปนว่าท่านมีความชอบได้พระราชทานเสื้อ จงถอดมาให้เราจะชมสักหน่อยหนึ่ง ตังสินได้ยินดังนั้นก็ตกใจ บิดพลิ้วอยู่มิได้ถอด โจโฉเห็นตังสินบิดพลิ้วอยู่ก็มีความสงสัย จึงให้ทหารถอดเอาเสื้อนั้นมาดูก็มิได้เห็นสิ่งใด โจโฉเอาเสื้อใส่เข้าทำเปนหัวเราะ แล้วว่าเสื้อนี้สมตัวเรา ท่านให้เราเถิดหรือ ตังสินจึงตอบว่า เสื้อนี้เปนของพระราชทาน ซึ่งข้าพเจ้าจะให้ท่านนั้นไม่ควร ถ้าท่านจะต้องประสงค์แล้วจะเอาไว้ก็ตามเถิด โจโฉจึงตอบว่า เราจะปราถนาอะไรแก่เสื้อนี้ แล้วโจโฉก็ถอดเสื้อให้ตังสิน ๆ ก็ลาโจโฉไปบ้าน

ครั้นเวลาค่ำตังสินอยู่ในที่นอนแต่ผู้เดียว จึงเอาเสื้อมาพิเคราะห์ดูเปนช้านาน ก็เห็นแพรขาวแล้วเลาะออกมาดู เปนลายพระหัตถ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระอักษรด้วยโลหิตเปนใจความว่า แต่โจโฉเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้สี่ปีแล้ว ทำการหยาบช้าต่าง ๆ จะตั้งขุนนางแลลงโทษผู้ใดก็มิได้ยำเกรงบอกกล่าวให้เรารู้ สุดที่จะอดกลั้นทนทานได้ เราจึงเอาโลหิตในนิ้วมือเขียนอักษรเปนความลับมาให้แจ้ง แม้ตังสินเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ก็ให้ชักชวนกันทำการกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ ตัวเราแลขุนนางกับราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป

ตังสินเห็นอักษรดังนั้นก็มีความสงสารนัก ร้องไห้รักพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ตังสินคิดตรึกตรองถ่ายเททุกข์ร้อนแต่ในเวลากลางคืนนั้นนอนไม่หลับจนรุ่ง ขึ้น จึงเอาพระอักษรนั้นถือเข้าไปในหอดูหนังสือ เอนตัวลงดูพระอักษรพลาง ๆ คิดที่จะล้างโจโฉ แต่ยังไม่เห็นช่องประการใด จึงเอาพระอักษรนั้นใส่ในมือเสื้อไว้ ด้วยกำลังอดนอนก็หลับไป

พอจูฮกขุนนางซึ่งเปนเพื่อนรักกับตังสินเคยไปมาหากันก็เข้าไปถึงหอดู หนังสือ เห็นตังสินนอนหลับอยู่ หน้าตาเสร้าหมอง เอามือนั้นพาดอกไว้ เห็นแพรขาวในมือเสื้อจึงเอาออกมาดู เห็นเปนอักษรเขียนด้วยโลหิต จึงอ่านดูก็รู้เนื้อความว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้คิดอ่านให้ตังสินฆ่าโจโฉเสีย จูฮกจึงเอาพระอักษรมาใส่ไว้ในมือเสื้อของตัว แล้วปลุกตังสินขึ้นว่า เหตุไฉนช่างมีความสบายนอนหลับได้ดังนี้ ตังสินตื่นขึ้นไม่เห็นพระอักษรในมือเสื้อก็ตกใจตัวสั่น จูฮกเห็นดังนั้นจึงแกล้งว่าท่านจะคิดทำร้ายโจโฉหรือ เราจะไปบอกโจโฉให้แจ้ง ตังสินได้ฟังจูฮกว่าดังนั้นก็ยิ่งตกใจดังชีวิตจะออกจากกาย แล้วว่าซึ่งท่านจะไปบอกโจโฉนั้นใช่จะตายแต่ตัวเราหามิได้ เหมือนหนึ่งท่านแกล้งฆ่าชีวิตพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียด้วย จูฮกจึงว่าอย่ากลัวเลย เราจะใคร่ลองใจท่านดอก ตัวเราก็เปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งใจทำราชการโดยสุจริต แต่ขัดสนด้วยยังหาผู้ใดจะคิดเปนหลักมิได้ ถ้าท่านจะคิดกำจัดโจโฉ เราจะขออาสาแผ่นดินร่วมคิดด้วย

ตังสินได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าถ้าท่านตั้งใจสุจริตต่อแผ่นดินอยู่ฉนี้ เห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมีพระบารมีอยู่ จูฮกจึงว่าเรากับท่านจะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินแล้ว จงให้หนังสือสัญญาไว้ต่อกันให้เปนสำคัญ จึงคิดการสืบไป พอคนมาบอกตังสินว่า บัดนี้ตันอิบกับโงห้วนซึ่งเปนขุนนางจะมาหาท่าน ตังสินได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงบอกแก่จูฮกว่า ตันอิบกับโงห้วนเปนเพื่อนรักของเรามา ท่านจงเข้าไปแอบอยู่ในม่านก่อน เราจะให้ไปรับตันอิบโงห้วนเข้ามา แล้วตังสินก็ให้คนออกไปเชิญเข้ามา ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน ตันอิบจึงว่าแก่ตังสินว่า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่านั้น โจโฉทำการหยาบช้าก็เห็นอยู่ ยังมีความแค้นบ้างหรือไม่ ตังสินจึงบอกว่า เราเห็นประจักษ์อยู่แต่มิรู้ที่จะทำประการใด

โงห้วนจึงว่า เกิดมาเปนชายแล้ว ๆ ก็เปนข้าราชการ ถึงตัวจะตายก็ไม่ว่า แต่ให้ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุขเถิด จะได้มีชื่อปรากฎไว้ภายหน้า จูฮกซึ่งแอบอยู่ในม่านได้ยินดังนั้นจึงออกมาว่าแก่ตังสินว่า ท่านจงเปนพยานเราด้วย บัดนี้ตันอิบกับโงห้วนคิดกันจะทำร้ายโจโฉ เราจะเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉให้แจ้ง ตันอิบได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เกิดมาเปนข้าราชการจะอาสาแผ่นดิน มิได้กลัวความตาย ตังสินจึงห้ามตันอิบว่า อย่าโกรธเลย เนื้อความทั้งนี้ได้คิดกับจูฮกไว้ก่อนท่านทั้งสองอีก แล้วจึงปรึกษาแก่ท่าน ซึ่งจูฮกว่านี้จะลองใจท่านดอก แล้วตังสินก็เอาพระอักษรนั้นออกให้ตันอิบกับโงห้วนดู ตันอิบกับโงห้วนเห็นพระอักษรก็ร้องไห้รักพระเจ้าเหี้ยนเต้

จูฮกจึงว่า ท่านทั้งสองอยู่กับตังสินก่อน เราจะไปหาจูลันมาปรึกษาความลับด้วย แล้วจูฮกก็พาจูลันมา แล้วจึงเอาพระอักษรออกให้ดู จึงคิดพร้อมใจกันลงชื่อไว้เปนสำคัญทั้งห้าคน ตังสินจึงให้แต่งโต๊ะมาแล้วชวนกันเสพย์สุรา แล้วสาบาลไว้ต่อกันว่า มิได้เอาเนื้อความทั้งนี้ไปแพร่งพราย

ฝ่ายม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงเข้ามาในเมืองหลวง เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่านั้นได้ตามเสด็จไปด้วย ม้าเท้งเห็นโจโฉกระทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็มีความเจ็บแค้นเปนอันมาก อยู่มาวันหนึ่งม้าเท้งไปจะเข้าหาตังสิน นายประตูจึงไปบอกตังสินว่า ม้าเท้งมาหาท่าน ตังสินนั่งเสพย์สุรากับขุนนางสี่คนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ยกโต๊ะออกมาเสีย แล้วให้ขุนนางสี่คนนั้นแอบซ่อนอยู่หลังฉาก ตังสินก็ลุกออกไปรับ ม้าเท้งก็คำนับกันตามสมควร ม้าเท้งเห็นหน้าตังสินสดใสบริบูรณ์อยู่ สำคัญว่าตังสินไม่เจ็บร้อนต่อแผ่นดิน ม้าเท้งทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า ตัวท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ เสียแรงพระเจ้าเหี้ยนเต้นับถือท่านว่าเปนเชื้อพระวงศ์ ควรหรือไม่เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน เราจะลาท่านกลับไปแล้ว ตังสินคิดกริ่งใจยุดชายเสื้อม้าเท้งไว้แล้วว่า เหตุไฉนท่านจึงว่าเราไม่เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ม้าเท้งจึงตอบว่า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่า โจโฉกระทำหยาบช้า เราเปนแต่ข้าราชการหัวเมืองยังมีใจเจ็บแค้น ท่านเปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดมานิ่งสบายอยู่ฉนี้ ไม่คิดกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย

ตังสินยังไม่ไว้ใจม้าเท้ง ทำเปนตกใจแล้วตอบว่า เหตุไฉนท่านจึงเอาความนี้มาเจรจา ทุกวันนี้โจโฉเปนมหาอุปราช สำเร็จราชการช่วยบำรุงแผ่นดิน แลท่านมาเจรจาดังนี้ ถ้ามีผู้รู้เห็นเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ เราจะมิพากันตายเสียหรือ ม้าเท้งจึงว่า ท่านยังนับถือโจโฉเปนดีอยู่อีกเล่า ท่านเปนคนสอพลอรักชีวิต ไม่เปนใจที่จะบำรุงแผ่นดินให้เปนสุข ท่านค่อยอยู่เถิดเราจะลาไปแล้ว ตังสินเห็นว่าม้าเท้งมีใจซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงว่าท่านอย่าเพ่อโกรธ ขอให้งดฟังดูก่อน แล้วตังสินก็เอาพระอักษรของพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นมาให้ม้าเท้งดู ม้าเท้งแจ้งในพระอักษรดังนั้นก็โกรธ กระทืบเท้าขบฟันจนโลหิตใหลออกจากปาก แล้วจึงว่าแก่ตังสินว่า เร่งคิดอ่านกระทำการในนี้เถิด เราจะกลับไปเมืองเสเหลียง จึงจะยกทหารมาช่วยกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียให้จงได้ ตังสินจึงให้ขุนนางสี่คนนั้นออกมาหาม้าเท้ง แล้วกระทำสัตย์สาบาลลงชื่อพร้อมกันทั้งหกคน แล้วตังสินจึงว่าแก่ม้าเท้งว่า การซึ่งจะบำรุงแผ่นดินครั้งนี้จะสำเร็จเพราะท่าน

จูฮกจูลันตันอิบโงห้วนจึงว่า เราจะคิดประการใดจึงจะได้ผู้ซึ่งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินมาช่วยคิดอ่านอีก ตังสินจึงว่า การทั้งนี้เปนความลับเราจะแพร่งพรายนักก็จะเสียการไป ม้าเท้งได้ยินขุนนางทั้งสี่คนกับตังสินพูดกันดังนั้นคิดขึ้นได้ถึงเล่าปี่ ก็ตบมือหัวเราะว่า เราได้อีกคนหนึ่งแล้ว ตังสินจึงถามว่าผู้ใด ม้าเท้งจึงว่า เล่าปี่ก็เปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดท่านจึงมิได้คิดการด้วย ตังสินจึงว่าเล่าปี่เปนเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่อยู่ในอำนาจโจโฉ เราจะไว้ใจมิได้ก่อน ม้าเท้งจึงว่า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่า ขุนนางทั้งปวงเข้าถวายบังคม โจโฉชักม้าผ่านหน้าพระที่นั่งออกมา ทำอาการประหนึ่งจะรับคำนับขุนนางทั้งปวง กวนอูโกรธเงื้อง้าวขึ้นจะฟันโจโฉ เล่าปี่กระหยิบตาสั่นสีสะห้ามกวนอู เราเห็นกิริยาเล่าปี่จะคิดร้ายโจโฉอยู่ แต่หากเกรงว่าทหารซึ่งเปนใจแก่โจโฉนั้นมาก เล่าปี่กลัวจะเสียทีจึงห้ามกวนอูไว้ ท่านจงคิดอ่านพูดจากับเล่าปี่ดูเถิด ตังสินเห็นชอบด้วย ม้าเท้งกับขุนนางทั้งสี่คนนั้นก็ลาตังสินกลับไปบ้าน

ครั้นเวลาค่ำตังสินจึงเอาพระอักษรของพระเจ้าเหี้ยนเต้ลอบไปหาเล่าปี่ ๆ เห็นตังสินมาก็ดีใจเชิญให้กินโต๊ะ ตังสินจึงถามเล่าปี่ว่า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปประพาสป่า กวนอูเงื้อง้าวขึ้นจะฟันโจโฉ เหตุไฉนท่านจึงห้ามไว้ เล่าปี่ตกใจจึงว่า ทำไมท่านจึงเห็นการทั้งนี้ ตังสินจึงว่าผู้อื่นมิได้สังเกต แต่เราผู้เดียวเห็นอยู่

เล่าปี่ได้ฟังตังสินว่าเห็นประจักษ์อยู่ดังนั้น ครั้นจะปฏิเสธเสียก็จะเปนเท็จจึงตอบว่า กวนอูเห็นมหาอุปราชทำเกินอยู่หน่อยหนึ่ง น้องเราจึงโกรธ เพราะเจ็บร้อนด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตังสินได้ยินเล่าปี่ว่าดังนั้น คิดถึงพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ร้องไห้ ว่าแม้ขุนนางทั้งปวงมีใจเจ็บร้อนเหมือนกวนอูนี้แล้ว ไหนเลยพระเจ้าเหี้ยนเต้จะได้ความเดือดร้อนดังนี้ เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็คิดสงสัยว่า โจโฉแกล้งแต่งกลอุบายให้ตังสินมาพูดจา จึงแกล้งตอบว่าทุกวันนี้โจโฉเปนมหาอุปราช ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอยู่ เหตุไฉนท่านจึงว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อนนั้นไม่ควร ตังสินโกรธลุกขึ้นว่า ท่านเปนผู้ใหญ่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็นับถือว่าเปนเชื้อพระวงศ์ เหตุไฉนท่านจึงยกย่องอ้ายขบถ จะลองใจเราหรือ

เล่าปี่เห็นว่าตังสินสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตอบว่า เดิมทีเราสงสัย คิดว่าท่านแต่งกลอุบายมาลวงเรา ๆ จึงแกล้งเจรจาทั้งนี้ ตังสินจึงเอาพระอักษรนั้นให้เล่าปี่ดู เล่าปี่เห็นพระอักษรแล้วคิดสงสารก็ร้องไห้ ตังสินจึงเอาหนังสือสัญญาซึ่งคิดจะทำการด้วยกันทั้งหกคนให้เล่าปี่ดู เล่าปี่จึงว่า ซึ่งท่านคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียนั้นเราจะขอทำการด้วย ตังสินจึงว่า แม้ท่านจะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยเราก็ให้เขียนหนังสือสัญญาไว้เปนสำคัญ จะได้ช่วยกันทำการสืบไป เล่าปี่ก็เขียนหนังสือสัญญาเข้าชื่อด้วยอีกคนหนึ่งนั้นให้ตังสินแล้วกำชับ ว่า ซึ่งจะทำการครั้งนี้ให้ท่านคิดตรึกตรองจงดี แม้แพร่งพรายไปการเราจะไม่สำเร็จจะเสียท่วงที ตังสินรับคำเล่าปี่แล้วก็ลาไปบ้าน


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 18

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnajlrNTc0ekE3RXc/view?resourcekey=0-5cYdS2gvUkEd-2D9VOVUVw



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #8 on: 21 December 2021, 22:00:23 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 19


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-19.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 19

เนื้อหา
โจโฉลองใจเล่าปี่
เล่าปี่คิดอุบายหนีโจโฉ
เล่าปี่อาสาคุมกำลังไปรักษาเมืองชีจิ๋ว
เล่าปี่รบกับอ้วนสุด
อ้วนสุดตาย
โจโฉได้ตราหยก
โจโฉลอบสั่งให้กำจัดเล่าปี่
เล่าปี่ได้กลับเมืองชีจิ๋ว


ฝ่าย เล่าปี่รับคำตังสินแล้ว ครั้นจะคิดทำการสิ่งใดก็กลัวโจโฉจะไม่ไว้ใจ จึงแกล้งทำการถ่อมตัว เอาไม้มาทำเปนรั้ว ทำสวนปลูกผักเองทุกวันมิได้ขาด กวนอูเตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า การซึ่งจะคิดเหตุใดจึงไม่คิด แลพี่มาทำการเปนคนหาตระกูลมิได้ดังนี้จะประสงค์สิ่งใด เล่าปี่จึงตอบว่า เจ้าทั้งสองไม่รู้ความคิดพี่ อย่าว่าให้วุ่นวายไปเลย กวนอูเตียวหุยก็นิ่งอยู่

อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ไปบอกแก่โจโฉว่า เล่าปี่สร้างสวนปลูกผักเองทุกวัน โจโฉจึงให้เคาทูเตียวเลี้ยวกับทหารยี่สิบคนไปเชิญเล่าปี่ เคาทูเตียวเลี้ยวเข้าไปในบ้านเล่าปี่ มิได้เห็นกวนอูเตียวหุย เห็นแต่เล่าปี่ปลูกผักอยู่ในสวน เคาทูเตียวเลี้ยวก็เข้าไปหาเล่าปี่ แล้วบอกว่ามหาอุปราชให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไป เล่าปี่ตกใจจึงถามว่า มหาอุปราชให้มาหาเราจะว่าเนื้อความสิ่งใด เคาทูจึงว่ามหาอุปราชจะมีธุระสิ่งใดข้าพเจ้ามิได้แจ้ง แต่ให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไป เล่าปี่ขัดมิได้ก็มากับเคาทูเตียวเลี้ยว โจโฉเห็นเล่าปี่มาจึงสัพยอกถามว่า ท่านอยู่บ้านทุกวันนี้ทำการใหญ่หลวงนัก เล่าปี่ได้ยินโจโฉว่าดังนั้น สังเกตว่าโจโฉแจ้งเนื้อความทั้งปวงก็ตกใจ นิ่งอยู่ไม่รู้ที่จะตอบประการใด โจโฉจึงจูงมือเล่าปี่พาไปถึงหลังสวนแล้วว่า ท่านอยู่บ้านคิดอ่านทำสวนปลูกผักยังเหมือนสวนของเรานี้หรือ เล่าปี่เห็นว่าโจโฉไม่มีความสงสัยก็ค่อยคลายใจ จึงตอบว่าข้าพเจ้ามาพึ่งบุญท่านอยู่ มิได้มีการสิ่งใด ข้าพเจ้าจึงทำสวนปลูกผักแต่พอให้สบายอารมณ์ จะสนุกเหมือนสวนของท่านหรือ

โจโฉนั่งพูดอยู่กับเล่าปี่แลเห็นต้นมะเฟือง โจโฉจึงชี้ให้เล่าปี่ดูแล้วว่า เมื่อครั้งเราไปรบกับเตียวสิ้ว ทหารทั้งปวงอยากน้ำนัก เราจึงคิดกลอุบายลวงว่า ให้อุตส่าห์เดิรไปอีกหน่อยหนึ่งเถิด จะพบดงมะเฟืองมีผลสุกเปนอันมาก ทหารทั้งปวงได้ยินออกชื่อของเปรี้ยว ก็ให้บังเกิดเขฬะมีมาทุกคน ซึ่งหยากน้ำนั้นก็ค่อยคลายลง เล่าปี่จึงสรรเสริญโจโฉว่าความคิดท่านดีนักหาผู้ใดเสมอมิได้ โจโฉจึงเชิญเล่าปี่ให้นั่งบนที่นั่งเย็นที่กลางสวน แล้วชวนกินโต๊ะเสพย์สุรากับมะเฟือง

ขณะเมื่อโจโฉกับเล่าปี่เสพย์สุราอยู่ด้วยกันนั้น พอบังเกิดพายุหนักมืดฟ้ามัวฝน ทหารแลคนทั้งปวงร้องว่า มังกรสำแดงฤทธิ์บนอากาศจึงเกิดพายุหนักดังนี้ โจโฉกับเล่าปี่ได้ยินคนทั้งปวงร้องก็เงยหน้าขึ้นดู เห็นเมฆมืดมัวไปทั้งอากาศ เล่าปี่กับโจโฉก็รู้ว่ามังกรสำแดงฤทธิ์ โจโฉจะใคร่ดูปัญญาเล่าปี่จึงแกล้งถามว่า ท่านแจ้งหรือไม่ คือมังกรสำแดงฤทธิ์จึงเกิดลมเมฆมืดดังนี้ แลมังกรนั้นมีฤทธิ์ประการใด

เล่าปี่ก็แกล้งตอบว่า มังกรสำแดงฤทธิ์ประการใดนั้นข้าพเจ้ามิได้แจ้ง โจโฉจึงว่าอันมังกรสำแดงฤทธิ์นั้น จะทำให้ใหญ่และน้อยเท่าใดก็ได้ ถ้าจะขึ้นไปบนอากาศกระทำฤทธิ์ต่างๆ แล้ว อากาศนั้นยังแคบอยู่ ไม่เสมอด้วยฤทธิ์ แม้จะลงในท้องมหาสมุทร กระทำฤทธิ์ให้กายนั้นน้อยเข้าแอบอยู่ในเงื้อมชะง่อนเขาก็ได้ อันเทศกาลนี้เปนฤดูฝน มังกรจึงสำแดงฤทธิ์ฉนี้ อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง ถ้าจะทำการสิ่งใดคะแนการตามสมควร แม้เห็นว่าการใหญ่ก็ทำให้ใหญ่ ประมาณการน้อยก็ทำแต่น้อย ทุกวันนี้ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์ฉนี้บ้าง ท่านจงบรรยายให้แจ้ง

เล่าปี่แกล้งตอบว่า ข้าพเจ้าหาสติปัญญามิได้ ซึ่งได้เปนขุนนางมีคนนับถือนี้ ก็เพราะบุญของมหาอุปราชช่วยทูลเสนอให้ ข้าพเจ้าจึงมีความสุขมา ซึ่งผู้ใดจะมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์นั้น ปัญญาข้าพเจ้าคิดไปไม่ถึง โจโฉได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ความคิดท่านก็มีอยู่ เหตุใดแกล้งเจรจาถ่อมตัวนัก ถึงมาทว่าจะไม่มีปัญญาคิดไปไม่เห็นตลอด ก็ย่อมได้ยินคำเลื่องลือ แลรู้จักชื่อว่าผู้ใดมีสติปัญญาบ้าง เล่าปี่แกล้งว่า ข้าพเจ้าลำลึกได้ว่าทุกวันนี้ อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงมีสติปัญญากล้าแขง ทหารใหญ่น้อยก็มีฝีมือเปนอันมาก ทั้งสเบียงอาหารก็บริบูรณ์ โจโฉได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า อ้วนสุดนั้น อุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ แต่ความคิดอ้วนสุดนี้ เราจะไปมัดเอามาก็จะได้โดยง่าย

เล่าปี่ว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วเปนพี่อ้วนสุดนั้น ก็เปนเชื้อขุนนางต่อๆ มาถึงสามชั่วคนแล้ว บัดนี้อ้วนเสี้ยวก็ซ่องสุมผู้คนไว้เปนอันมาก ทั้งมีที่ปรึกษาหลายคน ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่า อ้วนเสี้ยวมีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งอยู่ โจโฉจึงว่า อ้วนเสี้ยวเปนคนบ้ายศฐาศักดิ์น้ำใจก็ขลาด คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ เล่าปี่จึงว่าเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วมีเมืองใหญ่ขึ้นถึงเก้าเมือง น้ำใจก็โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนฝูงทั้งปวง แล้วก็มีทหารเปนอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่ามีสติปัญญาจึงทำการเกลี้ยกล่อมได้ทั้งนี้

โจโฉจึงตอบว่า เล่าเปียวนั้นมีพวกเพื่อนแลทหารมากก็จริง แต่ไม่มีความสัตย์ เปนคนปากหวาน จะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ เล่าปี่จึงว่าซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋งนั้น กำดัดหนุ่มอยู่มีกำลังกล้าแขง ทั้งมีทหารเปนอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่ามีความคิดแลมีฝีมืออยู่คนหนึ่ง โจโฉจึงตอบว่าซุนเซ็กนั้นฝีมือเปนประมาณ หากว่าได้ทหารของซุนเกี๋ยนผู้เปนบิดาไว้จึงทำกำเริบได้ ซึ่งจะนับถือว่ามีความคิดนั้นเราไม่เห็นด้วย เล่าปี่ว่าฝ่ายหัวเมืองตวันตกนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวนมีสติปัญญา แล้วเปนเชื้อพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน โจโฉจึงตอบว่า เล่าเจี๋ยงนั้นถึงเปนเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่หาความคิดมิได้ อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นมิได้ เล่าปี่จึงถามว่า เตียวสิ้วหนึ่ง เตียวฬ่อหนึ่ง หันซุยหนึ่ง สามคนนี้ท่านเห็นเปนประการใดเล่า โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตบมือหัวเราะแล้วตอบว่า อันเตียวสิ้วเตียวฬ่อหันซุยนั้นมีแต่ซื่อ จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็ไม่ได้ ท่านเอามาว่าใยให้เสียปาก อันผู้มีสติปัญญานั้น ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนบุคคลกลืนแก้วอันเปนทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใด ถึงเวลาค่ำมืดก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าคิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนักที่เบาที่เสียที่ได้ ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง จึงจะนับได้ว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง เล่าปี่ได้ยินดังนั้นจึงแกล้งตอบว่า ทุกวันนี้จะหาผู้มีสติปัญญาเหมือนมหาอุปราชว่านั้นขัดสนนัก โจโฉจึงว่า ทุกวันนี้เราเล็งดูผู้ซึ่งมีสติปัญญานั้นสิ้นแล้ว มีอยู่แต่ท่านกับเราสองคนเท่านี้ เล่าปี่ได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็สดุ้งใจ ตะเกียบพลัดตกจากมือ พอได้ยินเสียงฟ้าร้อง เล่าปี่ก็ทำตกใจเอามือปิดหูไว้ โจโฉเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า เกิดมาเปนชายเหตุใดจึงกลัวเสียงฟ้า เล่าปี่จึงว่าโบราณท่านว่าไว้ ถ้าฟ้าคะนองให้ระวังตัวจงหนัก โจโฉมิได้รู้กลก็สิ้นสงสัย จึงนึกว่าเล่าปี่นี้ขลาดนัก จะคิดการใหญ่ไปมิได้ แต่นั้นมาโจโฉมิได้คิดแคลงระแวงเล่าปี่

ฝ่ายกวนอูเตียวหุยซึ่งไปหัดเกาทัณฑ์นั้น กลับมามิได้เห็นเล่าปี่ จึงถามคนใช้ว่าพี่เราไปไหน คนใช้บอกว่าโจโฉให้เชิญไป กวนอูเตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ทิ้งเกาทัณฑ์เสียจับเอากระบี่รีบตามเล่าปี่ไป ครั้นถึงประตูบ้านโจโฉ นายประตูห้ามมิให้เข้าไป กวนอูเตียวหุยก็มิฟัง เดิรเข้าไปในบ้านโจโฉ แจ้งว่าโจโฉพาเล่าปี่ไปอยู่ในสวน กวนอูเตียวหุยก็ตามไป โจโฉนั่งเสพย์สุราอยู่กับเล่าปี่ เห็นกวนอูเตียวหุยถือกระบี่เดิรเข้ามาจึงถามว่า ท่านทั้งสองถือกระบี่เข้ามาทำไม กวนอูเตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่ามหาอุปราชหาเล่าปี่มากินโต๊ะข้าพเจ้าจะมารำกระบี่ให้ท่านดู

โจโฉจึงว่า ท่านมาทำดังนี้เหมือนจดหมายเหตุครั้งพระเจ้าฌ้อปาอ๋องคิดร้ายแก่พระเจ้าเล่า ปัง พระเจ้าฌ้อปาอ๋องเชิญพระเจ้าเล่าปังมาเสวยโต๊ะ แล้วคิดกลอุบายให้หันจวงออกรำกระบี่จะทำร้ายพระเจ้าเล่าปัง ห้วนกุ๋ยเขยน้อยพระเจ้าเล่าปัง เห็นหันจวงรำกระบี่ใกล้เข้ามาไม่ไว้ใจ จึงว่าอันเพลงกระบี่นั้นจะรำแต่ผู้เดียวดูไม่งาม เราจะออกรำด้วย แล้วห้วนกุ๋ยก็ถอดกระบี่ออกลุกขึ้นรำด้วย แลหันจวงเงื้อกระบี่ขึ้นจะฟันพระเจ้าเล่าปัง ห้วนกุ๋ยก็รับกระบี่ไว้ พระเจ้าเล่าปังจึงไม่มีอันตราย ตัวเราบัดนี้จะได้คิดร้ายต่อเล่าปี่เหมือนพระเจ้าฌ้อปาอ๋องคิดจะให้ทำร้าย ต่อพระเจ้าเล่าปังหามิได้ ซึ่งท่านจะมาทำดังนี้ไม่ควร

กวนอูเตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าจะคิดทำฉนั้นหามิได้ แม้ท่านแคลงอยู่แล้วข้าพเจ้าก็ไม่รำ โจโฉจึงให้คนใช้รินสุราให้กวนอูเตียวหุยกิน ครั้นเวลาเย็นเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ก็คำนับลาโจโฉพากันกลับมาที่อยู่ กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้ากลับมารู้ว่าโจโฉให้หาท่านไป ข้าพเจ้าตกใจคิดแคลงโจโฉ จึงพากันรีบตามไป เล่าปี่จึงเล่าเนื้อความซึ่งโจโฉพาไปเที่ยวในสวน แลให้เสพย์สุรากับมะเฟืองนั้นให้กวนอูเตียวหุยฟัง กวนอูจึงว่า ซึ่งโจโฉทำดังนี้พี่จะเห็นประการใด เล่าปี่จึงว่า ซึ่งเราคิดอ่านทำสวนปลูกผักประสงค์จะให้โจโฉสิ้นสงสัย ว่าเราหาความคิดไม่ ครั้นโจโฉชวนกินโต๊ะพูดจาสรรเสริญว่าพี่มีความคิด พอเสียงฟ้าร้องพี่ทำตกใจทิ้งตะเกียบเสียแล้วเอามือปิดหูไว้ โจโฉก็สิ้นสงสัย กวนอูเตียวหุยจึงว่าความคิดพี่ทำนี้ดีนัก

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉให้เชิญเล่าปี่มากินโต๊ะอยู่ พอหมันทองซึ่งโจโฉให้ไปฟังราชการอ้วนเสี้ยวนั้น เอาเนื้อความบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้กองซุนจ้านแพ้อ้วนเสี้ยวแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามหมันทองว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวชนะกองซุนจ้านนั้นด้วยเหตุใด หมันทองจึงบอกว่า อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้าน แลกองซุนจ้านยกออกสู้รบเสียทีแก่อ้วนเสี้ยวเปนหลายครั้ง กองซุนจ้านจึงให้ไปปลูกหอคอยสูงยี่สิบวา แล้วกวาดเข้าปลาเข้าไว้ในเมืองเปนอันมาก เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง แลหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่กองซุนจ้านบอกหนังสือไปถึงกองซุนจ้านว่า อ้วนเสี้ยวคุมทหารมาตีบ้านเล็กเมืองน้อยแตกระส่ำระสายเปนหลายตำบล ขอให้ยกกองทัพมาช่วย กองซุนจ้านจึงตอบว่า ทหารหัวเมืองทั้งปวงมิได้เปนใจรบพุ่งคอยแต่จะให้ยกไปช่วย แลหัวเมืองทั้งปวงแจ้งในหนังสือดังนั้น ต่างคนต่างก็น้อยใจ ไปเข้าเกลี้ยกล่อมอ้วนเสี้ยวเปนอันมาก

กองซุนจ้านรู้ดังนั้น จึงแต่งหนังสือขึ้นมาจะให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ขอกองทัพไปช่วย ทหารอ้วนเสี้ยวจับผู้ถือหนังสือได้ แล้วกองซุนจ้านให้คนถือหนังสือไปถึงเตียวเอี๋ยนให้ยกกองทัพมาช่วย ถ้ามาถึงแล้วเมื่อใดให้จุดเพลิงขึ้นเปนสำคัญ กองซุนจ้านจะคุมทหารตีกระหนาบออกมา ทหารอ้วนเสี้ยวก็จับผู้ถือหนังสือได้อีก อ้วนเสี้ยวจึงแต่งทหารซุ่มอยู่เปนสองกอง ทหารกองกลางนั้นทำเปนจะทลายกำแพงเข้าไป อ้วนเสี้ยวจึงให้ทหารจุดเพลิงไกลค่ายประมาณสามสิบเส้น ฝ่ายกองซุนจ้านเห็นแสงเพลิงดังนั้นก็สำคัญว่าเตียวเอี๋ยนยกกองทัพมาช่วย กองซุนจ้านจึงเปิดประตูเมือง คุมทหารตีกระหนาบออกมา ทหารกองกลางอ้วนเสี้ยวนั้นถอยหนีแล้ว จุดประทัดขึ้นเปนสำคัญ แลกองทัพซุ่มอยู่ทั้งสองข้างนั้นจึงคุมทหารตีกระหนาบฆ่าฟันทหารกองซุนจ้าน ล้มตายเปนอันมาก กองซุนจ้านนั้นหนีกลับเข้าเมืองได้ อ้วนเสี้ยวจึงให้ทหารขุดอุโมงค์เข้าไปทลุขึ้นในเมือง แล้วให้จุดเพลิงเผาเมืองขึ้น กองซุนจ้านเห็นจวนตัวเข้าดังนั้นก็ฆ่าบุตรภรรยาเสียสิ้น ตัวนั้นเชือดคอตาย แลบัดนี้อ้วนเสี้ยวได้ทหารกองซุนจ้านไว้เปนอันมาก

เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มีความสงสารกองซุนจ้าน ด้วยมีคุณได้ทูลความชอบ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดให้เปนเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน แล้วคิดถึงจูล่ง ด้วยมิรู้ว่าเปนหรือตาย โจโฉจึงถามหมันทองว่า อ้วนเสี้ยวได้เมืองปักเป๋งแล้ว กิตติศัพท์จะคิดประการใดบ้าง หมันทองจึงบอกโจโฉว่า ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่า อ้วนสุดอยู่เมืองห้วยหนำ ตั้งตัวเปนเจ้าทำหยาบช้าข่มเหงอาณาประชาราษฎรทั้งปวงแตกตื่นหนีไปเปนอันมาก อ้วนสุดให้ทหารไปบอกแก่อ้วนเสี้ยวว่า จะส่งตราหยกให้แก่อ้วนเสี้ยว ฝ่ายอ้วนเสี้ยวไม่เชื่อน้องชาย จึงให้อ้วนสุดเอาตราหยกนั้นมาให้ก่อน บัดนี้พาครอบครัวอพยพออกจากเมืองห้วยหนำ จะเอาตราหยกไปให้อ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว ถ้าอ้วนเสี้ยวอ้วนสุดถึงกันแล้วก็จะมีกำลังมากขึ้น ซึ่งจะกำจัดเสียนั้นเห็นจะขัดสนนัก ขอท่านเร่งคิดอ่านอย่าให้สองคนพี่น้องเข้าถึงกันได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มิได้ว่าประการใด

เล่าปี่จึงคิดแต่ในใจว่า ครั้งนี้ได้ทีอยู่แล้ว จำจะคิดผ่อนผันให้พ้นเงื้อมมือโจโฉเสียก่อนจึงจะคิดการต่อไป เล่าปี่ก็ลุกขึ้นคำนับโจโฉแล้วว่า บัดนี้อ้วนสุดพาครอบครัวอพยพจะไปหาอ้วนเสี้ยว เห็นอ้วนสุดจะยกมาทางเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะขอทหารอาสายกไปสกัดตี เห็นจะจับอ้วนสุดได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยินดีนักแล้วว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทราบก่อน เล่าปี่ก็ลาโจโฉกลับไปที่อยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉกับเล่าปี่ก็เข้าไปเฝ้า โจโฉจึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า บัดนี้อ้วนสุดจะยกไปหาอ้วนเสี้ยว ถ้าสองคนนี้เข้าถึงกันก็จะคิดการใหญ่ขึ้น ข้าพเจ้าจะขอให้เล่าปี่คุมทหารห้าหมื่น ยกไปสกัดตีอ้วนสุดทางเมืองชีจิ๋ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ โจโฉถวายบังคมลาออกมาจัดทหารห้าหมื่นให้แก่เล่าปี่

พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นโจโฉแลขุนนางทั้งปวงออกไปก่อน ยังแต่เล่าปี่ จึงทรงพระกรรแสงแล้วตรัสแก่เล่าปี่ว่า นอกนั้นมิได้เห็นผู้ใด เห็นแต่ท่านผู้เดียว คิดไว้ว่าจะได้พึ่งสืบไป บัดนี้จะไปทัพเสียแล้ว เราจะทุกข์ใจอยู่ท่าท่านกว่าจะกลับมา เล่าปี่ก็กราบถวายบังคมลาออกมาหาโจโฉ ๆ ก็มอบทหารห้าหมื่นให้เล่าปี่ จึงให้จูเหลงล่อเจียวสองคนกำกับเล่าปี่ไปด้วย เล่าปี่ก็ลาโจโฉมาจัดสเบียงอาหาร แล้วพากวนอูเตียวหุยกับทหารทั้งปวงรีบออกจากเมืองฮูโต๋ ฝ่ายตังสินรู้ว่าเล่าปี่ยกกองทัพออกจากเมืองก็รีบไปสกัดเล่าปี่อยู่ ทำประหนึ่งว่าจะส่งกองทัพ แล้วตังสินก็ค่อยกระซิบกับเล่าปี่ว่า การซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้สั่งไว้ เราได้ร่วมคิดกันนั้นท่านอย่าลืมเสีย เล่าปี่ตอบว่าความลับนั้นข้าพเจ้ามิได้ลืม ตัวท่านเปนผู้ใหญ่อยู่ภายหลัง จงคิดอ่านปกปิดความอย่าให้ฟุ้งซ่าน ถ้าข้าพเจ้าไปได้ท่วงทีแล้วจะให้มีหนังสือลับมา แล้วเล่าปี่ก็ลาตังสินรีบยกกองทัพไปทั้งกลางวันกลางคืน

กวนอูเตียวหุยถึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านไปทัพทุกครั้งมิได้รีบรัดเดิรเหมือนครั้งนี้ ซึ่งท่านเร่งเดิรทัพทั้งกลางวันกลางคืนนั้นด้วยเหตุสิ่งใด เล่าปี่จึงตอบกวนอูเตียวหุยว่า ตัวเรามาอยู่ในเงื้อมมือโจโฉนี้ อุปมาเหมือนนกอยู่ในกรงปลาอยู่ในค่อง บัดนี้เขาปล่อยออกจากกรงแลค่องแล้วก็ยินดีนักจะรีบไปที่อยู่ แล้วเล่าปี่ก็ให้กวนอูเตียวหุยเร่งทหารทั้งปวงรีบยกไป

ฝ่ายเทียหยกกับกุยแก ซึ่งโจโฉให้ไปเร่งสเบียงณหัวเมืองทั้งปวง ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉให้เล่าปี่เปนแม่ทัพไปดังนั้นก็ตกใจ จึงรีบกลับเข้ามาถึงเมืองฮูโต๋ เทียหยกกับกุยแกจึงว่าแก่โจโฉว่า เหตุใดท่านจึงให้เล่าปี่เปนแม่ทัพไป โจโฉจึงตอบว่า บัดนี้อ้วนสุดจะยกไปเข้าด้วยกับอ้วนเสี้ยว เราจึงให้เล่าปี่เปนแม่ทัพคุมทหารไปสกัดตีอ้วนสุดทางเมืองกิจิ๋ว เทียหยกจึงว่าครั้งเล่าปี่หนีลิโป้มาหาท่าน ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่จะเปนเสี้ยนหนามไปภายหน้า ข้าพเจ้าได้ว่าให้มหาอุปราชฆ่าเล่าปี่เสีย ท่านมิได้ทำตาม แล้วก็ให้เล่าปี่ไปเปนเจ้าเมืองอิจิ๋ว จนได้กลับไปอยู่เมืองเสียวพ่าย แล้วเล่าปี่แตกลิโป้มาพึ่งอิก ซึ่งท่านไว้ใจให้เล่าปี่เปนแม่ทัพไปครั้งนี้ อุปมาเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า แลปล่อยจรเข้ลงในแม่น้ำ สืบไปเมื่อหน้าเล่าปี่ก็จะมีกำลังขึ้น เห็นท่านจะปราบปรามได้นั้นขัดสนแล้ว

กุยแกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านมิได้ฆ่าเล่าปี่เสีย เอาไว้ใช้สอยนั้นก็ควรอยู่ บัดนี้ให้เล่าปี่เปนแม่ทัพไปนั้นไม่ชอบ อันโบราณกล่าวไว้ว่าถ้าผู้ใดเปนแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ครั้งหนึ่ง ก็มีน้ำใจกว้างขวางคิดการกำเริบได้ถึงพันครั้ง ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่มีกำลังขึ้นจะเอาใจออกหากท่าน ภายหน้าไปท่านจะได้ความเดือดร้อนเพราะเล่าปี่เปนมั่นคง ให้ท่านเร่งคิดจงควร โจโฉได้ฟังเทียหยกกับกุยแกว่าดังนั้นก็สดุ้งใจ จึงให้เคาทูคุมทหารห้าร้อยไปหาเล่าปี่ให้ยกกองทัพกลับมา เคาทูคุมทหารห้าร้อยขี่ม้าครบกันรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน จะใกล้ถึงกองทัพเล่าปี่ ฝ่ายเล่าปี่เมื่อยกกองทัพไปนั้น เหลียวหลังมาเห็นผลคลีฟุ้งตลบ แล้วได้ยินเสียงเท้าม้าแลโกลนกระทบกันอึงอื้อมา จึงว่าแก่กวนอูเตียวหุยว่า ซึ่งเสียงอื้ออึงมานั้นชรอยโจโฉให้กองทัพมาตามจะให้เรากลับไป เล่าปี่จึงหยุดทัพอยู่ แล้วให้กวนอูเตียวหุยคุมทหารถืออาวุธยืนอยู่สองข้างทาง คอยระวังป้องกันอันตราย

ฝ่ายเคาทูครั้นมาถึงเห็นทหารเล่าปี่เตรียมตัวอยู่ดังนั้น จึงลงจากม้าเดิรไปกลางทหารแต่ผู้เดียวแล้วว่า บัดนี้มหาอุปราชให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านยกกองทัพกลับเข้าเมืองฮูโต๋ จะได้สั่งความแก่ท่านอีก เล่าปี่จึงตอบเคาทูว่า เมื่อมหาอุปราชพาเราเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนแม่ทัพยกไปสกัด ตีอ้วนสุด พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ เราก็ได้กราบทูลถวายบังคมลา ทั้งมหาอุปราชก็จัดแจงทหารให้เรา แล้วสั่งข้อราชการแก่เราทุกประการ เราจึงยกกองทัพมาตามรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ บัดนี้มหาอุปราชจะให้หาเราไป ครั้นเราจะกลับไปก็จะผิดรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านจงเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งแก่มหาอุปราชก่อนเถิด ถ้าเมื่อใดเราทำสงครามสำเร็จแล้วจึงจะยกกองทัพกลับเข้าไปกราบทูลพระเจ้า เหี้ยนเต้ แลแจ้งข้อราชการแก่มหาอุปราช

เคาทูได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นจึงคิดว่า เมื่อโจโฉใช้เราออกมานั้นจะได้สั่งว่า ถ้าเล่าปี่มิกลับไปให้เราหักหาญจับเอาตัวเล่าปี่เข้าไปให้ได้ก็หาไม่ ซึ่งเล่าปี่ว่าทั้งนี้ก็ชอบตามข้อรับสั่งอยู่ จำเราจะกลับเข้าไปแจ้งเนื้อความแก่โจโฉ ถ้าโจโฉจะให้ทำประการใดเราจึงจะรีบมาทำตามต่อภายหลัง แล้วเคาทูก็ลาเล่าปี่พาทหารทั้งปวงรีบกลับมาบอกแก่โจโฉตามคำเล่าปี่ว่าทุก ประการ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดวิตกอยู่ เทียหยกกับกุยแกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านให้ไปหาเล่าปี่แลเล่าปี่มิมานั้น ท่านเห็นประจักษ์เหมือนคำข้าพเจ้าว่าแล้วหรือ โจโฉจึงตอบว่า เราได้ออกปากให้เล่าปี่ไปแล้ว ถ้าจะขืนให้กลับมาก็จะได้ แต่จะเห็นว่าเราเจรจาเปนสองคำไป ถึงมาทว่าเล่าปี่จะมีใจกำเริบคิดร้ายต่อเรา เราก็จะกลัวอะไรกับฝีมือเล่าปี่เพียงนี้ แล้วเราก็ได้แต่งให้จูเหลงกับล่อเจียวกำกับไปด้วย ถ้าเล่าปี่คิดเอาใจออกหากเราดังนั้น เห็นจูเหลงกับล่อเจียวจะให้มีหนังสือลับมาแจ้งเนื้อความแก่เราเปนมั่นคง

ฝ่ายม้าเท้งซึ่งเปนเจ้าเมืองเสเหลียงมาอยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น ได้ร่วมคิดกับเล่าปี่ตังสินจะกำจัดโจโฉเสียตามพระอักษรพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นเล่าปี่ยกทัพไปแล้ว พอทหารมาบอกม้าเท้งว่า บัดนี้เมืองเสเหลียงเกิดศึก ม้าเท้งจึงเข้าไปกราบถวายบังคมลาพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วจัดแจงทหารยกกลับไปเมืองเสเหลียง ฝ่ายเล่าปี่ครั้นยกกองทัพมาถึงเมืองชีจิ๋ว กีเหมาซึ่งโจโฉให้รั้งเมืองนั้นรู้ว่าเล่าปี่ยกกองทัพมา ก็ออกไปรับเข้ามาในเมือง จึงให้แต่งโต๊ะเชิญเล่าปี่กินเสร็จแล้ว

ฝ่ายซุนเขียนกับบิต๊ก ซึ่งอยู่รักษาครอบครัวเล่าปี่ ครั้นรู้ว่าเล่าปี่กลับมาได้ก็ดีใจ จึงพากันไปหาเล่าปี่ แล้วบอกเนื้อความว่าครอบครัวของท่านปรกติอยู่ เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยินดี จึงลากีเหมาไปอยู่ ณ ที่ครอบครัว ขณะนั้นม้าใช้มาแจ้งข้อราชการแก่เล่าปี่ว่า อ้วนสุดทำการหยาบช้า ลุยป๊กกับตันหลันซึ่งเปนทหารอ้วนสุดนั้นได้ความเดือดร้อน พาทหารเลวหนีไปเปนโจรอยู่ในป่า อ้วนสุดอพยพพาครอบครัวจะเอาตราหยกไปให้อ้วนเสี้ยวผู้พี่ บัดนี้ยกมาถึงในแดนเมืองชีจิ๋วแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงคุมทหารทั้งปวงยกออกมาจากเมืองชีจิ๋ว พอพบกีเหลงเปนกองหน้าอ้วนสุด เตียวหุยก็ขับม้าเข้ารบด้วยกีเหลงได้สิบเพลง เตียวหุยร้องด้วยเสียงอันดัง ม้ากีเหลงนั้นตกใจซุดถอยหลังออกไป เตียวหุยได้ทีจึงเอาทวนแทงกีเหลงตกม้าตาย ทหารกีเหลงแตกกระจัดกระจายไปถึงอ้วนสุด ๆ รู้ว่ากีเหลงตายก็โกรธ จึงยกทัพใหญ่ขึ้นมาจะรบกับเล่าปี่

ฝ่ายเล่าปี่จึงให้กวนอูเตียวหุยเปนปีกขวา ให้จูเหลงล่อเจียวเปนปีกซ้าย เล่าปี่เปนกองกลาง แล้วสั่งปีกซ้ายปีกขวาว่า ถ้าเห็นอ้วนสุดรบไล่เรามา ท่านทั้งสองกองจงคุมทหารออกตีกระหนาบ ครั้นอ้วนสุดยกมาถึง เล่าปี่จึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร แล้วร้องด่าอ้วนสุดว่า อ้ายขบถไม่รู้จักวันตาย ได้ตราหยกไว้แล้วตั้งตัวเปนเจ้า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้กูยกกองทัพมาปราบ ถ้ามึงรักชีวิตอยู่ เร่งลงจากม้ามาคำนับกู แม้จะขัดแขงอยู่มิงอนง้อ ตัวมึงแลญาติพี่น้องก็จะพลอยตายเสียสิ้น อ้วนสุดได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องด่าเล่าปี่ว่า ตัวมึงชาติอ้ายทอเสื่อตระกูลต่ำ อ้างอวดว่าได้ถือรับสั่ง จะให้กูนบนอบนั้นกูหายอมไม่ อันฝีมือมึงนั้นก็แจ้งอยู่ว่าจะฆ่าใครตาย อ้วนสุดก็ขับทหารเข้าตีทหารเล่าปี่เปนสามารถ

ฝ่ายเล่าปี่ก็คุมทหารทำเปนถอยลงมา อ้วนสุดเห็นได้ทีก็ขับทหารฝ่าฟันเข้าไป เล่าปี่ก็ขับทหารรบป้องกันอยู่ ฝ่ายกวนอูเตียวหุยจูเหลงล่อเจียวซึ่งเปนปีกซ้ายขวา เห็นได้ทีแล้วก็ขับทหารออกโจมตีกระหนาบกองทัพอ้วนสุด ทหารเล่าปี่ไล่ฆ่าฟันทหารอ้วนสุดล้มตายเปนอันมาก ทรากศพนั้นก่ายกันดังขอนไม้ เลือดไหลเต็มแผ่นดิน กองทัพอ้วนสุดก็แตกกระจัดกระจายไป

ฝ่ายลุยป๊กกับตันหลัน ซึ่งเปนทหารอ้วนสุดหนีไปเปนโจรอยู่ป่านั้น รู้ว่าอ้วนสุดรบกันอยู่กับเล่าปี่ ลุยป๊กกับตันหลันก็คุมพวกโจรมาตีเอาทรัพย์สิ่งสินแลสเบียงของอ้วนสุดได้เปน อันมาก

ขณะนั้นอ้วนสุดแตกเสียทหารแลอาวุธ แล้วรู้ว่าพวกโจรตีเอาทรัพย์สิ่งสินแลสเบียงไปได้ด้วย อ้วนสุดก็คิดเสียใจ จึงพาครอบครัวแลทหารซึ่งเหลือนั้นหนีไปทางเมืองฉิวฉุน พวกโจรทั้งปวงนั้นรู้ก็คุมกันมาตีเอาทรัพย์สิ่งสิน แลเข้าปลาอาหารของอ้วนสุดไปเปนหลายพวก อ้วนสุดพาครอบครัวยั้งอยู่ตำบลกังเต๋ง เหลือทหารอยู่แต่ล้วนคนแก่คนเฒ่าประมาณพันเศษ เหลือเข้าโภชน์สาลีประมาณสามสิบเกวียน คนแก่ทั้งปวงอดหยากล้มตายบ้าง ไปขอทานชาวบ้านได้มากินมิเต็มกำลังบ้าง

ขณะเมื่ออ้วนสุดอยู่ตำบลกังเต๋งเปนระดูร้อน พ่อครัวทั้งปวงมีใจเจ็บแค้นว่า อ้วนสุดทำโทษมาแต่ก่อน จึงเอาเข้าโภชน์สาลีทั้งเปลือกหุงให้อ้วนสุดกิน อ้วนสุดจึงว่าเรากินมิลงคอ จงหาน้ำผึ้งมาให้เราจะละลายกิน พ่อครัวได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงว่า จะได้น้ำผึ้งที่ไหนในที่ทางกันดารเช่นนี้ มีแต่โลหิตคน อ้วนสุดได้ยินพ่อครัวว่าก็มีความน้อยใจ จึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง อ้วนสุดก็อาเจียนโลหิตออกมาประมาณทนานหนึ่ง ล้มตกลงจากเตียงก็ขาดใจตาย เมื่ออ้วนสุดตายนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้สี่ปีแปดเดือน

ฝ่ายอ้วนอิ๋นผู้หลาน เห็นอ้วนสุดผู้น้าตาย จึงเอาศพใส่โลง แล้วพาครอบครัวกับตราหยกแลศพอ้วนสุดนั้นจะกลับไปเมืองลำหยง ครั้นมาถึงเมืองโลกั๋งฝ่ายชีจิ๋วเป๋งชาวเมืองโกเหลงรู้ดังนั้น จึงคุมพวกเพื่อนมาสกัดตีอ้วนอิ๋น ชีจิ๋วเป๋งฆ่าอ้วนอิ๋นกับครอบครัวอ้วนสุดเสียสิ้น จึงได้ตราหยกเอาไปให้โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉได้ตราหยกก็มีความยินดี แล้วตั้งชีจิ๋วเป๋งเปนเจ้าเมืองโกเหลง ปูนบำเหน็จทรัพย์สิ่งสินเปนอันมาก

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นรู้ว่าอ้วนสุดตายแล้ว ก็แต่งหนังสือให้จูเหลงกับล่อเจียวถือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลบอกข้อราชการแก่โจโฉตามซึ่งได้รบพุ่งกับอ้วนสุด จนอ้วนสุดแตกไปตายตำบลกังเต๋ง แลทหารห้าหมื่นนั้นข้าพเจ้าขอไว้รักษาเมืองชีจิ๋ว จูเหลงกับล่อเจียวก็รับเอาหนังสือรีบมาให้โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉเห็นหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราให้ตัวทั้งสองกำกับเล่าปี่ไป แลตัวกลับมามิได้ทหารห้าหมื่นมาด้วย เปนไฉนจึงยอมให้ทหารอยู่กับเล่าปี่ จึงสั่งบู๋ซูให้เอาจูเหลงกับล่อเจียวไปฆ่าเสีย

ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านให้เล่าปี่เปนแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ไป จูเหลงล่อเจียวก็เปนลูกกองอยู่ในบังคับเล่าปี่ แลเล่าปี่เอาทหารห้าหมื่นไว้ ให้แต่จูเหลงล่อเจียวถือหนังสือมาแจ้งข้อราชการ ถึงมาทว่าจูเหลงล่อเจียวจะมีสติปัญญาประการใดก็มิอาจจะขัดเล่าปี่ได้ ซึ่งจะให้ฆ่าเสียนั้นขอท่านดำริห์ดูจงควรก่อน โจโฉได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย ก็มิได้ให้ฆ่าจูเหลงกับล่อเจียว ซุนฮกจึงว่าครั้งนี้เห็นประจักษ์อยู่แล้วว่าเล่าปี่เอาใจออกหากท่าน ซึ่งจะนิ่งไว้ช้าให้ข้าศึกศัตรูกำเริบใจนั้นไม่ได้ ขอให้ท่านมีหนังสือลับลอบไปให้กีเหมา ณ เมืองชีจิ๋ว ให้กีเหมาคิดอ่านฆ่าเล่าปี่เสีย

โจโฉเห็นชอบด้วย ก็แต่งหนังสือลับตามคำซุนฮกว่า แล้วให้คนสนิธถือไปให้กีเหมา ๆ แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงให้หาตันเต๋งมาปรึกษา ตันเต๋งจึงว่าการแต่เพียงนี้เห็นพอจะทำได้ บัดนี้เล่าปี่ก็ออกไปตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่นอกเมืองทุกวันมิได้ขาด เวลาพรุ่งนี้ขอให้ท่านแต่งทหารซุ่มไว้สองข้างทาง เมื่อเล่าปี่จะกลับเข้าเมือง ก็ให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นออกสกัดจับเล่าปี่ฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจะคุมทหารขึ้นอยู่บนกำแพง ถ้ากวนอูเตียวหุยยกตามเข้ามา ข้าพเจ้าจะให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ต้านไว้ มิให้กวนอูเตียวหุยเข้าเมืองได้ การทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยง่าย กีเหมาเห็นชอบด้วย ตันเต๋งก็ลามาหาตันกุ๋ยผู้บิดา แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ ตันกุ๋ยจึงว่าเล่าปี่เปนคนมีปัญญา น้ำใจโอบอ้อมแก่ราษฎรทั้งปวง แล้วก็เปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งโจโฉคิดอ่านจะทำร้ายเล่าปี่ แลเราจะคิดด้วยนั้นไม่ควร จำเราจะไปบอกให้เล่าปี่รู้ตัวจึงจะชอบ

ตันเต๋งได้ยินบิดาว่าดังนั้น กลับได้คิดเห็นชอบด้วย ตันกุ๋ยก็ให้ตันเต๋งลอบไปหาเล่าปี่ ครั้นมาถึงกลางทาง พบกวนอูเตียวหุยคุมทหารเข้ามาก่อน ตันเต๋งจึงเล่าเนื้อความซึ่งโจโฉมีหนังสือมาให้กีเหมาฆ่าเล่าปี่เสียนั้นให้ กวนอูเตียวหุยฟังทุกประการ กวนอูเตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ เตียวหุยจึงว่ากีเหมาคิดจะทำร้ายพี่เรา จำเราจะทำการหักเสียให้ได้ก่อน อย่าให้กีเหมาคิดอ่านสืบไปได้ กวนอูจึงว่ากีเหมาอยู่ในกำแพง ตระเตรียมการไว้พร้อมแล้ว เราจะยกเข้ารบซึ่งหน้าเห็นจะเสียท่วงที เราหยุดทัพอยู่ที่นี่ก่อน เวลาค่ำจึงแต่งทหารโจโฉซึ่งอยู่ด้วยเรานั้นให้เข้าไปร้องบอกกีเหมาว่า โจโฉให้เตียวเลี้ยวมาหา ให้เชิญกีเหมาออกมาจะว่าความลับสักสิ่งหนึ่ง ครั้นกีเหมาออกมานอกเมือง เราจึงยกทหารเข้าจับฆ่าเสีย ตันเต๋งจึงว่าแม้ท่านจับกีเหมามิได้ กีเหมากลับเข้าเมือง ข้าพเจ้าจะให้ทหารยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้ แล้วตันเต๋งก็กลับมาหาตันกุ๋ย

ครั้นเวลาสองยาม กวนอูจึงให้ทหารถือธงสำคัญของโจโฉเข้าไปถึงคูเมืองใกล้เชิงกำแพง แล้วร้องบอกนายประตูว่า มหาอุปราชให้เตียวเลี้ยวมาหากีเหมา จะว่าความลับสิ่งหนึ่ง นายประตูก็เอาเนื้อความมาบอกกีเหมา ๆ จึงหาตันเต๋งมาปรึกษาว่า บัดนี้ทหารมาบอกว่า โจโฉให้เตียวเลี้ยวมาหา ครั้นเราจะไม่ออกไปบัดนี้ แม้นโจโฉใช้มาจริงก็จะแคลงว่าเอาใจออกหาก ครั้นเราจะยกออกไปเวลาก็ดึก ไม่แจ้งว่าเตียวเลี้ยวจะมาจริงหรือ ๆ จะเปนกลศึก ตันเต๋งจึงว่าท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว จำเราจะขึ้นไปดูเชิงเทินให้แจ้งก่อน แล้วกีเหมาก็พาตันเต๋งขึ้นไปบนเชิงเทิน แลลงไปเห็นทหารเปนอันมากแต่ไม่รู้จักหน้า จำได้แต่ธงสำคัญของโจโฉ กีเหมาร้องลงไปว่า วันนี้เวลาดึกไปแล้ว มหาอุปราชใช้มาด้วยราชการสิ่งใดเวลาพรุ่งนี้จึงค่อยว่ากัน

ทหารกวนอูจึงร้องตอบว่า มหาอุปราชใช้มาว่าด้วยความลับ ครั้นจะนิ่งไว้เกรงเล่าปี่จะรู้ ให้ท่านเร่งเปิดประตูออกมา จะได้พูดกันอย่าให้ทันเล่าปี่รู้ กีเหมาได้ยินดังนั้นยังไม่สิ้นสงสัย ฝ่ายทหารซึ่งอยู่นอกกำแพงนั้นก็ร้องเตือนให้เปิดประตู กีเหมาได้ยินก็คุมทหารพันหนึ่ง จุดคบเปิดประตูข้ามสพานคูเมืองออกไป จึงร้องถามว่าเตียวเลี้ยวอยู่ไหนเล่า กวนอูเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้าไปตรงหน้ากีเหมา แล้วร้องว่าอ้ายคนร้าย ควรหรือมึงคบคิดกับโจโฉจะทำร้ายพี่กู กีเหมาได้ยินดังนั้นแลไปเห็นกวนอูก็โกรธ ชักม้าเข้ารบกับกวนอูได้สิบเพลง กีเหมาอิดโรยกำลังลงก็ชักม้าหนีเข้าเมือง

ฝ่ายตันเต๋งอยู่บนเชิงเทินเห็นดังนั้น จึงให้ทหารปิดประตูเมืองเสียแล้วเอาเกาทัณฑ์ยิงต้านไว้ กีเหมาเข้าเมืองมิได้ก็ควบม้าอ้อมกำแพงเมืองไป กวนอูก็ควบม้าไล่ตามไปทัน เอาง้าวฟันถูกกีเหมาตกม้าตาย กวนอูจึงตัดเอาสีสะกีเหมากลับมา แล้วร้องประกาศแก่ทหารซึ่งอยู่บนเชิงเทินว่า กีเหมาคิดร้ายต่อเรา ๆ ก็ฆ่าเสียแล้ว ท่านทั้งปวงยอมจะทำการด้วยเราก็ให้ชวนกันออกมาหาเราโดยดี เรามิได้ทำอันตราย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็เปิดประตูออกมาคำนับกวนอู ๆ เห็นชาวเมืองชีจิ๋วออกมาหาก็มีความยินดี จึงห้ามทหารทั้งปวงมิให้ทำอันตราย

ครั้นเวลารุ่งเช้า กวนอูก็ให้เตียวหุยเข้าไปอยู่รักษาเมือง แล้วจึงเอาสีสะกีเหมากลับไปให้เล่าปี่ พอพบเล่าปี่กลางทาง กวนอูเอาสีสะกีเหมาให้เล่าปี่ดู แล้วเล่าเนื้อความซึ่งกีเหมาคิดจะทำร้าย แลรู้เพราะตันเต๋งนั้นให้เล่าปี่ฟังทุกประการ เล่าปี่รู้ดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเนื้อความทั้งนี้ แม้รู้ถึงโจโฉ ๆ จะยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เรา ๆ จะคิดประการใด กวนอูจึงว่า ถึงมาทว่าโจโฉจะยกกองทัพมาทำร้ายแก่ท่าน ข้าพเจ้ากับเตียวหุยจะขออาสาสู้รบกับโจโฉ เล่าปี่ได้ยินดังนั้นยังไม่สิ้นวิตก จึงพากวนอูแลทหารทั้งปวงยกเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว ตันเต๋งกับราษฎรทั้งปวงก็ชวนกันมารับเล่าปี่

ฝ่ายเตียวหุยรู้ว่าเล่าปี่ยกเข้ามาในเมืองจึงมาหา แล้วบอกกับเล่าปี่ว่าครอบครัวกีเหมานั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียสิ้นแล้ว เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก จึงว่าน้องเราฆ่ากีเหมาแลครอบครัวกีเหมาเสียสิ้นฉนี้ เห็นโจโฉจะยกกองทัพมาทำร้ายแก่เราเปนมั่นคง ตันเต๋งจึงว่าซึ่งโจโฉจะยกมานั้น ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายมิให้ทำร้ายแก่ท่านได้ เล่าปี่จึงถามว่าท่านจะคิดประการใด ตันเต๋งจึงตอบว่า ทุกวันนี้โจโฉเกรงอยู่แต่อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว เพราะมีทหารเลวประมาณร้อยหมื่น ทหารเอกแลที่ปรึกษาเปนอันมาก แลเมืองเซงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเป๊งจิ๋ว สามเมืองนี้เปนหัวเมืองใหญ่ขึ้นแก่อ้วนเสี้ยว แลหัวเมืองน้อยซึ่งขึ้นแก่สามหัวเมืองนั้นก็มีเปนอันมาก ถ้าท่านให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาช่วยแล้ว ก็จะกลัวอะไรแก่โจโฉ


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 19

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnMUpVZVFIUk4yNDg/view?resourcekey=0-N84v-zxl7AMqiyH_f0E-Cg



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,537


View Profile
« Reply #9 on: 21 December 2021, 22:07:03 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 20


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-20.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 20

เนื้อหา
เล่าปี่เข้าเป็นพวกอ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวยกกองทัพไปปราบโจโฉ
อ้วนเสี้ยวประกาศโทษโจโฉ
โจโฉเตรียมรบอ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่
เล่าปี่จับนายทัพของโจโฉได้
เล่าปี่เตรียมสู้โจโฉ
โจโฉ อ้วนเสี้ยวต่างเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้ว
เตียวสิ้วเข้ากับโจโฉ

เล่าปี่จึงว่า ครั้งนี้อ้วนสุดตายก็เพราะเรายกกองทัพไปรบพุ่ง ซึ่งจะให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวนั้น เห็นอ้วนเสี้ยวจะไม่ยกมาช่วยด้วยมิได้มีไมตรีต่อกันกับเรา ตันเต๋งจึงว่า เต้เหี้ยนซึ่งอยู่ในเมืองชีจิ๋วนี้เปนเกี่ยวดองกับอ้วนเสี้ยว แล้วก็ชอบอัชฌาสัยกันกับท่านมาแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นท่านไปคำนับเต้เหี้ยนอยู่เนืองๆ ถ้าท่านจะขอหนังสือเต้เหี้ยนไปถึงอ้วนเสี้ยว เห็นอ้วนเสี้ยวจะยกมาช่วยท่านตามหนังสือเต้เหี้ยนเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า เต้เหี้ยนนั้นเปนครูสอนหนังสือเรามาแต่ครั้งอยู่เมืองตุ้นก้วน อยู่มาเต้เหี้ยนเข้าไปทำราชการเปนขุนนางอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นขันทีสิบคนทำการหยาบช้า เต้เหี้ยนก็ลาออกจากราชการมาอยู่เมืองชีจิ๋ว แล้วเล่าปี่ก็จัดแจงสิ่งของพาตันเต๋งไปหาเต้เหี้ยน ณ บ้าน เล่าปี่จึงคำนับเต้เหี้ยน แล้วเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ บัดนี้ข้าพเจ้ามีความทุกข์ เห็นแต่ท่าน ๆ จงเอนดูข้าพเจ้า จงแต่งเปนหนังสือของท่านไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวให้ยกมาช่วยข้าพเจ้ารบโจโฉ

ฝ่ายเต้เหี้ยนได้ฟังดังนั้นมีความเมตตา จึงเขียนหนังสือให้ตามคำเล่าปี่ว่า เล่าปี่รับเอาหนังสือแล้วก็ลาเต้เหี้ยนกลับมา จึงให้ซุนเขียนถือหนังสือไปให้อ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว อ้วนเสี้ยวเห็นหนังสือเต้เหี้ยนดังนั้นก็คิดแต่ในใจว่า เล่าปี่ทำร้ายแก่อ้วนสุดน้องเรา ๆ ก็คิดแค้นอยู่ ครั้นเราจะมิยกไปบัดนี้ ก็เกรงใจเต้เหี้ยนซึ่งได้มีหนังสือมาถึงเรา แล้วให้หาทหารผู้ใหญ่ทั้งปวงมาปรึกษาว่า ครั้งนี้โจโฉมีกำลังเปนอันมาก แล้วทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เราจะยกกองทัพไปกำจัดโจโฉ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

เตียนห้องที่ปรึกษาจึงว่า ท่านยกกองทัพไปทำสงครามทุกปีมิได้ขาด ทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ ประการหนึ่งสเบียงอาหารในฉางเล่าก็เบาบาง ยังมิได้ซ่องสุมไว้ให้บริบูรณ์ ซึ่งท่านจะยกไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารทั้งปวงจะได้ความอดหยากลำบากนัก ขอให้ท่านมีหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสห้ามปรามโจโฉอย่าให้ยกกองทัพไปทำอันตรายแก่หัวเมือง ทั้งปวงให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน ถ้าโจโฉมิทำตามรับสั่ง เราจึงยกกองทัพใหญ่ไปตั้งรายอยู่ทุกหัวเมือง เกลี้ยกล่อมผู้คน กวาดเข้าปลาอาหาร แต่งเครื่องศัสตราวุธล้อเกวียนเรือรบไว้ให้พร้อมจงมาก แล้วจึงให้มีหนังสือเข้าไปประกาศแก่ขุนนางในเมืองหลวงว่า โจโฉเปนศัตรูราชสมบัติ เมื่อขุนนางทั้งปวงเห็นด้วยพร้อมกันแล้วเราก็ได้ทีทำถนัด ประมาณสามปีการนี้ก็จะสำเร็จโดยง่าย

สิมโพยได้ยินเตียวห้องว่าดังนั้นจึงตอบว่า ท่านคิดทั้งนี้ไม่ชอบ อันทหารของนายเราครั้งนี้ล้วนมีฝีมือเปนอันมาก ถ้าจะคิดกำจัดโจโฉนี้ง่ายนัก อุปมาเหมือนพลิกมือคว่ำลง เปนไฉนท่านจึงคิดให้ยืดยาวไปฉนี้ ชีสิวได้ฟังสิมโพยว่าดังนั้น จึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ธรรมดาการสงครามใช่จะมีชัยชนะด้วยทหารมากหามิได้ ย่อมจะชนะเพราะมีสติปัญญาคิดกลอุบายต่าง ๆ อันโจโฉนั้นถึงมาทว่าจะมีทหารน้อยกว่าเราก็จริง แต่ความคิดโจโฉชำนาญในการสงครามลึกซึ้งนัก ที่ปรึกษาก็หลักแหลม ซึ่งจะทำได้โดยง่ายเหมือนกองซุนจ้านนั้นหาไม่ ขอให้ท่านทำตามคำเตียนห้องจึงจะสำเร็จ

กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ครั้งนี้ได้ทีทำอยู่แล้ว ซึ่งจะหน่วงไว้ตามคำเตียนห้องกับชีสิวนั้นโจโฉจะได้ความคิดมากขึ้น ไปภายหน้าทหารเราทั้งปวงจะได้ยาก แล้วเต้เหี้ยนก็ให้มีหนังสือมาถึงท่าน ถ้าท่านจะมิยกไปเต้เหี้ยนจะมีความน้อยใจ ประการหนึ่งเล่าปี่ก็เปนเชื้อพระวงศ์ทั้งมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ควรที่ท่านจะยกไปช่วยเล่าปี่ทำการกำจัดโจโฉเสีย พระมหากษัตริย์กับขุนนางแลราษฎรจะได้อยู่เย็นเปนสุขเพราะท่าน อ้วนเสี้ยวได้ฟังทหารสี่คนปรึกษามิตกลงกัน พอเห็นเขาฮิวกับซุนขามเข้ามา อ้วนเสี้ยวจึงคิดในใจว่า เขาฮิวกับซุนขามนี้มีสติปัญญากว่าคนทั้งปวง เราจะปรึกษาลองความคิดทั้งสองคนดูจะเห็นประการใด อ้วนเสี้ยวจึงบอกเขาฮิวกับซุนขามตามความทั้งสิ้น แล้วถามว่าท่านจะเห็นประการใด

เขาฮิวกับซุนขามจึงว่า ครั้งนี้ทหารท่านก็มีเปนอันมาก แล้วก็มีฝืมือกล้าแข็ง จำจะไปช่วยเล่าปี่ซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์อันมีกำลังน้อย จะได้กำจัดโจโฉซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติเสีย เหมือนท่านช่วยกู้แผ่นดินไว้ ความชอบก็จะมีแก่ท่านไปภายหน้า อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ความคิดท่านทั้งสองว่านี้เหมือนใจเราคิดไว้ แล้วแต่งหนังสือให้ซุนเขียนถือไปให้แก่เต้เหี้ยนเปนใจความว่า เราจะยกกองทัพไปกำจัดโจโฉ ให้เล่าปี่ยกไปบัญจบกันกับเรา ซุนเขียนก็รับเอาหนังสือแล้วลาอ้วนเสี้ยวกลับมา ครั้นถึงเมืองชีจิ๋วก็เอาหนังสือนั้นไปให้เล่าปี่

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวก็กะเกณฑ์ทหาร ให้งันเหลียงบุนทิวคุมทหารเปนทัพหน้า ให้สิมโพยกับอองกี๋เปนปลัดทัพบังคับทหารใหญ่น้อยทั้งปวง ตัวอ้วนเสี้ยวเปนทัพหลวง คุมทหารขี่ม้าสิบห้าหมื่น ทหารเดิรเท้าสิบห้าหมื่น เข้ากันเปนสามสิบหมื่น ให้เตียนห้องเขาฮิวซุนขามสามคนนี้เปนที่ปรึกษา ครั้นตระเตรียมทหารแล้ว คอยได้ฤกษ์ดีจึงจะยกทัพไป กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปกำจัดโจโฉครั้งนี้ จงทำการกั้นหัวเมืองแลราษฎรทั้งปวงอย่าให้เข้ากับโจโฉได้ อ้วนเสี้ยวจึงถามว่า ท่านจะให้ทำประการใด กัวเต๋าจึงว่าเมื่อท่านจะยกกองทัพไปนั้น ขอให้แต่งหนังสือไปปิดไว้ทุกหัวเมืองกล่าวโทษโจโฉว่า ทำการหยาบช้าเปนขบถต่อแผ่นดิน

อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าตันหลิมซึ่งเปนอาลักษณ์แต่ครั้งพระเจ้าฮั่นเต้ ซึ่งเปนพระไอยกาพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อตั๋งโต๊ะยกเข้ามาอยู่ในเมืองลกเอี๋ยงนั้น ตันหลิมจึงหนีมาอยู่กับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวจึงให้ตันหลิมแต่งหนังสือตามคำกัวเต๋าว่า ตันหลิมจึงแต่งหนังสือสิบแปดฉบับต้องกันเปนใจความว่า พระมหากษัตริย์เสวยราชสมบัติมาแต่ก่อน บ้านเมืองย่อมเปนอันตรายต่างๆ เพราะ มีผู้กล้าแข็งหยาบช้าประทุษฐร้ายต่อแผ่นดิน ขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจผู้นั้น ประการหนึ่งพระมหากษัตริย์เชื่อฟังสตรี บ้านเมืองจึงเปนอันตราย ประการหนึ่งกษัตริย์เชื่อฟังคนพาล ราชสมบัติจึงเปนจลาจลต่างๆ ข้อซึ่งมีผู้กล้าแข็งหยาบช้า ขุนนางทั้งปวงต้องอยู่ในอำนาจนั้น คือครั้งพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเต้เสวยราชสมบัติแต่พระชนมายุเจ็ดขวบ เตียวโก๋เปนขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเต้ไว้พระทัยเตียวโก๋ ๆ คิดการหยาบช้าจะชิงเอาราชสมบัติ ถือกระบี่เข้าเฝ้าเปนอัตรา ขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจเตียวโก๋เปนอันมาก อยู่มาวันหนึ่งเตียวโก๋จะใคร่รู้ว่า ขุนนางในเมืองหลวงจะสัตย์ซื่อมากหรือ ๆ จะเปนคนอาสัตย์สอพลอมาก จึงให้เอากวางสองตัวไปที่ชุมนุมขุนนาง แล้วเตียวโก๋ว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เราได้ม้ามาสองตัว ผู้ใดจะรู้จักหรือไม่ ขุนนางซึ่งอาสัตย์สอพลอก็ชวนกันว่า ท่านได้ม้าสองตัวมาแต่ไหนต้องลักษณดีนัก ซึ่งว่าม้าตามคำเตียวโก๋ประมาณเจ็ดส่วน ขุนนางซึ่งสัตย์ซื่อประมาณสามส่วน ก็ว่ากวางดอกมิใช่ม้า เตียวโก๋ได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจเราถึงเจ็ดส่วนแปดส่วน แต่นั้นมาเตียวโก๋ก็คิดการกำเริบ ว่าราชสมบัตินี้อยู่ในเงื้อมมือเรา ขุนนางซึ่งมิได้เข้าด้วยนั้น เตียวโก๋พาลเอาผิด ฆ่าเสียบ้างถอดออกเสียจากที่บ้าง พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเต้กับขุนนางแลราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน แผ่นดินจวนจะเปนอันตรายขึ้น ขุนนางทั้งปวงซึ่งมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงคิดพร้อมกันจับตัวเตียวโก๋กับญาติพี่น้องฆ่าเสียสิ้น ความชั่วเตียวโก๋ปรากฎมาจนทุกวันนี้

ข้อซึ่งพระมหากษัตริย์เชื่อถือสตรีนั้น คือครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้เสวยราชสมบัติ มีพระทัยรักนางลิเฮาผู้เปนพระมเหษียิ่งนัก แลนางลิเฮาจะพิททูลประการใด พระเจ้าฮั่นโกโจเชื่อฟังทุกประการ แล้วพระเจ้าฮั่นโกโจตั้งลิชันกับลิหลก ซึ่งเปนน้องนางลิเฮาเปนขุนนางผู้ใหญ่ซ้ายขวา แลลิชันกับลิหลกนั้นเข้าไปข้างในก็ได้ จะทำการสิ่งใดมิได้เกรงพระเจ้าฮั่นโกโจ แลทำหยาบช้าข่มเหงริบเอาทรัพย์สิ่งสินของราษฎรบ้าง ฆ่าเจ้าของเสียบ้าง ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจลิชันลิหลกสิ้น ถ้ามีผู้มาร้องทุกข์ราษฎรกล่าวโทษลิชันกับลิหลกว่าข่มเหงราษฎร นางลิเฮาก็ทูลขัดขวาง พระเจ้าฮั่นโกโจก็ฟัง อาณาประชาราษฎรก็ได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ครั้นอยู่มาพระเจ้าฮั่นโกโจสวรรคต ลิชันลิหลกคิดการกำเริบ ตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าเสวยราชสมบัติ ฝ่ายจิวบุดกับเล่าเจี๋ยงซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมือง มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงคิดอ่านชักชวนกันจับลิชันลิหลกกับญาติพี่น้องฆ่าเสียสิ้น แล้วเชิญอันบุนเต้ซึ่งเปนพระราชบุตรขึ้นเสวยราชสมบัติ บ้านเมืองจึงเปนสุขมา

ข้อซึ่งพระมหากษัตริย์เชื่อถือคำคนพาลนั้น คือพระเจ้าฮั่นเต้ได้เสวยราชสมบัติ เชื่อฟังขันทีทั้งปวง ฝ่ายโจเท้งซึ่งเปนปู่โจโฉ ก็เปนขุนนาง คบคิดกับพวกขันทีทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน บ้านเมืองจึงเปนจลาจลมา อย่างธรรมเนียมก็ฟั่นเฟือนแปรปรวนไป ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยราชสมบัติ ก็ได้ความเดือดร้อนพระทัยมาเปนหลายครั้ง ๆ นี้โจโฉมีทหารเปนอันมาก แล้วมีใจกำเริบคิดทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน หวังจะทำอันตรายราชสมบัติให้สาปสูญ ก็เสียขนบธรรมเนียมการแผ่นดินไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ได้ความเดือดร้อนอีกฉนี้ เราผู้ชื่ออ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเปนเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เห็นว่าโจโฉทำการไม่ชอบ จะทำร้ายพระมหากษัตริย์ เราจึงยกกองทัพมาหวังจะกำจัดโจโฉ ถ้าเจ้าเมืองทั้งสิบแปดหัวเมือง เห็นหนังสือซึ่งเราให้ไปปิดไว้นี้ ก็ให้คิดถึงพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลพระมหากษัตริย์แต่ก่อน อย่าให้หัวเมืองทั้งปวง แลราษฎรไปเข้าด้วยโจโฉเปนอันขาดทีเดียว ครั้นตันหลิมแต่งหนังสือแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงให้ทหารรีบเอาไปปิดไว้ทั้งสิบแปดหัวเมือง พอถึงวันฤกษ์ดีอ้วนเสี้ยวจึงพาตันหลิมแลทหารทั้งปวงยกกองทัพไปถึงตำบลลิมหยง ปลายแดนเมืองฮูโต๋ แล้วให้หยุดทหารตั้งค่ายมั่นอยู่

ฝ่ายทหารโจโฉ ครั้นเห็นหนังสือซึ่งอ้วนเสี้ยวให้ทหารเอาไปปิดไว้ณหัวเมือง จึงจำลองตามเรื่องเนื้อความ แล้วเอาไปให้โจหอง ณ เมืองฮูโต๋ โจหองก็เอาหนังสือนั้นเข้าไปให้โจโฉ ขณะนั้นโจโฉป่วยนอนอยู่จึงรับเอาหนังสือนั้นมาอ่านดู ก็แจ้งในเนื้อความสิ้นทุกประการ โจโฉโกรธเหื่อออกทุกเส้นขน จึงลุกขึ้นถามโจหองว่า หนังสือนี้ยังรู้ว่าผู้ใดแต่ง โจหองจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า หนังสือนี้ตันหลิมแต่ง โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า อ้วนเสี้ยวคิดทำการใหญ่ก็มีสติปัญญาอยู่ แต่หาทหารเอกที่มีฝีมือมิได้ ถ้าพร้อมกันทั้งสองประการเห็นอ้วนเสี้ยวจะคิดการใหญ่ตลอด เสียดายตันหลิมเปนคนมีสติปัญญา ซึ่งไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวนั้นเห็นจะป่วยการเสียเปล่า แล้วโจโฉก็หานายทหารทั้งปวงมาปรึกษาว่า ครั้งนี้อ้วนเสี้ยวยกทัพมา เราจะคิดรบพุ่งประการใด

ขงหยงจึงว่า อ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เห็นกำลังเราจะสู้รบไม่ได้ ขอให้ท่านแต่งคนไปว่ากล่าวเปนไมตรีแก่อ้วนเสี้ยวโดยดี เห็นอ้วนเสี้ยวจะเลิกทัพกลับไป ซุนฮกได้ยินดังนั้นจึงตอบขงยงว่า อ้วนเสี้ยวจะมีปัญญาความคิดแลฝีมือรบพุ่งก็หาไม่ เห็นแต่ว่ามีทหารเปนอันมาก ซึ่งจะให้ไปว่ากล่าวเปนไมตรีนั้นไม่ชอบ ขงยงจึงตอบว่าอ้วนเสี้ยวหามีฝีมือแลปัญญาความคิดไม่ก็จริง แต่มีเมืองขึ้นเปนหลายตำบล แล้วสเบียงอาหารก็บริบูรณ์ ทั้งสิมโพยเขาฮิวกัวเต๋าฮองกี๋ สี่คนมีสติปัญญาเปนที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยว อันทหารเอกซึ่งมีฝีมือนั้น คือเตียนห้องชีสิวงันเหลียงบุนทิวโกลำเตียวคับอิเขง แล้วก็มีใจสัตย์ซื่อต่ออ้วนเสี้ยว ทั้งทหารเลวก็มีเปนอันมาก เหตุใดท่านจึงมาดูหมิ่นอ้วนเสี้ยวฉนี้

ซุนฮกได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ทหารเอกอ้วนเสี้ยวซึ่งมีปัญญาแลฝีมือนั้น จะนับว่าชำนาญมิได้ อันเตียนห้องนั้นเปนคนหยาบช้าดื้อดึง แลเขาฮิวนั้นมีปัญญาก็จริง แต่เปนคนโลภ ทำสิ่งใดก็มักเสียการ สิมโพยนั้นเปนคนอวดรู้ ถึงผู้ใดว่าชอบก็ถือว่าผิด ฮองกี๋นั้นเปนคนโวหารเอาการมิได้ ทั้งสี่คนซึ่งเปนที่ปรึกษาอ้วนเสี้ยวนั้น ต่างคนถือตัวแก่งแย่งมิได้ประนอมกัน อันทหารเอกมีฝีมือทั้งเจ็ดคนนั้น มิรู้จักทีเสียทีได้ ถ้าได้ทำศึกใหญ่ครั้งนี้เห็นจะจับตัวได้เปนมั่นคง อันทหารเลวถึงจะมีมากสักเท่าใด ก็เปนแต่พลอยแพ้พลอยชนะด้วย ขงยงได้ยินดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด

โจโฉเห็นขงยงนิ่งอยู่ก็หัวเราะแล้วว่า ซุนฮกนี้ประมาณการสิ่งใดมิได้ผิด แล้วแต่งเล่าต้ายกับอองต๋งคุมทหารห้าหมื่น เอาธงสำคัญสำหรับทัพโจโฉไปด้วย จะให้ยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว เทียหยกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านจะให้เล่าต้ายอองต๋งไปเปนแม่ทัพนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะทานฝีมือเล่าปี่ไม่ได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็แจ้งอยู่แล้ว ซึ่งเราจะให้เล่าต้ายอองต๋งไปครั้งนี้ เหมือนหนึ่งจะกันกองทัพเล่าปี่ไว้ มิให้เข้าถึงกันกับกองทัพอ้วนเสี้ยว แล้วโจโฉจึงสั่งเล่าต้ายอองต๋งว่า ซึ่งท่านยกไปนั้น อย่าเพ่อเข้ารบพุ่งหักหาญเอาเมืองชีจิ๋วก่อน ให้ตั้งรอป้องกันไว้แต่พอเปนที ถ้ากองทัพเรารบอ้วนเสี้ยวแตกแล้วเมื่อใด จึงจะยกไปบันจบตีเอาเมืองชีจิ๋วทีเดียว เล่าต้ายกับอองต๋งก็คำนับรับคุมทหารห้าหมื่นยกไปทำตามคำโจโฉสั่ง โจโฉจัดแจงทหารได้ประมาณยี่สิบหมื่นแล้วยกไปถึงตำบลกัวต่อ จึงให้หยุดทหารตั้งค่ายมั่นไว้ ทางไกลค่ายอ้วนเสี้ยวประมาณแปดร้อยเส้น

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวรู้ว่ากองทัพโจโฉยกมาตั้งอยู่ดังนั้น จึงปรึกษากับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า จะยกออกรบโจโฉหรือประการใด ยังปรึกษาไม่ตกลงกัน เพราะเหตุเขาฮิวมีความน้อยใจว่า สิมโพยได้เปนปลัดทัพบังคับทหารทั้งปวง แล้วชีสิวมีความน้อยใจอ้วนเสี้ยวว่า จะปรึกษาราชการสิ่งใดไม่เห็นด้วย จึงมิได้ยกออกรบโจโฉ ทัพอ้วนเสี้ยวตั้งรอกันอยู่ตั้งแต่เดือนสิบจนถึงเดือนสิบสอง

ฝ่ายโจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวมิได้ยกออกรบ ก็เกรงว่าอ้วนเสี้ยวจะแต่งทัพอ้อมไปทำร้ายเมืองฮูโต๋ จึงให้จงป้าซึ่งเปนทหารลิโป้นั้น คุมทหารไปตั้งสกัดทางร่วมเมืองกิจิ๋วกับเมืองชีจิ๋ว อย่าให้ทหารอ้วนเสี้ยวแลทหารเล่าปี่เดิรไปมาหากันได้ ให้อิกิ๋มกับลิเตียนคุมทหารเปนกองหน้า ไปตั้งสกัดทางแม่น้ำฮองโหแดนเมืองฮูโต๋ไว้อย่าให้กองทัพอ้วนเสี้ยวข้ามมาได้ ให้โจหยินคุมกองทัพใหญ่ตั้งมั่นอยู่ตำบลกัวต่อโจโฉก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋ แล้วแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปถึงเล่าต้าย อองต๋งให้เร่งยกเข้าตีเอาเมืองชีจิ๋วจงได้

ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งอยู่ในเมืองชีจิ๋ว ครั้นรู้ว่ากองทัพมาตั้งอยู่ไกลเมืองประมาณแปดร้อยเส้น ก็ยังไม่แจ้งว่าทหารโจโฉผู้ใดยกมาเปนแม่ทัพ เล่าปี่ก็มิได้ยกออกรบพุ่ง เกณฑ์ให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง แล้วคอยข่าวอ้วนเสี้ยวซึ่งยกมารบโจโฉนั้นจะชนะหรือแพ้ประการใดก็ยังไม่แจ้ง

ฝ่ายม้าใช้จึงเอาหนังสือของโจโฉไปให้แก่เล่าต้ายอองต๋ง ณ ค่าย เล่าต้ายอองต๋งแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงปรึกษากันว่าผู้ใดจะยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วก่อน เล่าต้ายจึงว่าแก่อองต๋งว่า มหาอุปราชให้เราเปนแม่ทัพมา ท่านจงยกเข้าตีเมืองก่อนเรา อองต๋งจึงตอบว่า เมื่อมหาอุปราชให้ยกมานั้น จะได้สั่งจำเภาะให้แต่ท่านเปนแม่ทัพผู้เดียวหามิได้ สั่งให้เรากับท่านคุมทหารห้าหมื่นมา ซึ่งท่านจะตั้งตัวเปนแม่ทัพผู้เดียวนั้นเราไม่ยอม เล่าต้ายจึงตอบว่า ท่านกับเราปรึกษาไม่ตกลงกัน เราเขียนอักษรสองตัว ๆ หนึ่งเขียนว่าก่อน ตัวหนึ่งเขียนว่าหลัง แล้วจะเสี่ยงทายกัน ถ้าผู้ใดได้อักษรตัวก่อน จึงให้ยกเข้าตีเมืองก่อน อองต๋งเห็นชอบด้วย จึงเขียนอักษรเสี่ยงกันตามว่า อองต๋งเสี่ยงได้อักษรตัวก่อน ก็แบ่งทหารออกกึ่งหนึ่งยกเข้าไปจะตีเอาเมืองชีจิ๋ว

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นเห็นกองทัพยกมาแต่ไกล แล้วเห็นธงสำหรับทัพโจโฉ ก็สำคัญว่าโจโฉยกมาเอง ขณะนั้นม้าใช้สอดแนมมาบอกแก่เล่าปี่ว่า กองทัพอ้วนเสี้ยวนั้นปรึกษามิตกลงกัน ตั้งรอกันอยู่มิได้ออกรบพุ่งโจโฉ อนึ่งกองทัพโจโฉนั้น จะได้เห็นธงสำหรับโจโฉปักอยู่หามิได้ ครั้นข้าพเจ้ากลับมาพบกองทัพยกมาใกล้เมืองนี้ เห็นธงสำหรับโจโฉปักอยู่ แต่ตัวโจโฉจะอยู่ข้างกองโน้นหรือ ๆ จะมาข้างนี้ข้าพเจ้าไม่แจ้ง

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับตันเต๋งตามคำม้าใช้มาบอกทุกประการ แล้วว่าเรามีความสงสัย ไม่รู้ว่าโจโฉจะอยู่ข้างกองทัพไหน ตันเต๋งจึงว่าอันกลอุบายโจโฉนั้นมีหลายประการมิให้ผู้ใดรู้ถึง ซึ่งกองทัพตั้งรอกันอยู่กับอ้วนเสี้ยว แลมิได้มีธงสำหรับโจโฉนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าตัวโจโฉอยู่ในกองทัพนั้นเปนมั่นคง ซึ่งกองทัพยกมาข้างเมืองเรานี้ ทหารก็น้อยแต่มีธงสำหรับโจโฉมาด้วย ซึ่งโจโฉคิดทำการทั้งนี้ หวังจะให้ท่านเกรงว่าตัวโจโฉยกมาในกองทัพนี้

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามกวนอูเตียวหุยว่า น้องเราทั้งสองผู้ใดจะอาสาออกไปทำการให้รู้เหตุ ว่ากองทัพนี้โจโฉมาด้วยหรือไม่ เตียวหุยจึงรับว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปทำการดูให้รู้เหตุ ถ้าพบโจโฉแล้วข้าพเจ้าจะจับตัวมาให้ได้ เล่าปี่จึงว่าแก่เตียวหุยว่า ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความนัก แล้วน้ำใจดื้อดึงห้าวหาญซึ่งจะออกไปนั้นไม่ได้ กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกไป เล่าปี่จึงว่าถ้ากวนอูออกไปแล้วเราพอจะไว้ใจได้ กวนอูจึงลาเล่าปี่แล้วคุมทหารขี่ม้าสามพันยกออกไป ขณะนั้นเปนเทศกาลน้ำค้างลง ทหารทั้งปวงหนาวนัก กวนอูจึงอุตส่าห์พาพวกทหารเข้าไปถึงหน้าค่ายอองต๋ง กวนอูจึงชักม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวงแล้วร้องว่า ผู้ใดซึ่งเปนแม่ทัพจงเร่งออกมา เราจะสนทนาด้วย

อองต๋งได้ยินกวนอูร้องมาดังนั้น ก็ขี่ม้าออกยืนอยู่หน้าค่าย แล้วร้องตอบว่ามหาอุปราชยกมาถึงนี่แล้ว เหตุใดตัวจึงไม่เข้ามาคำนับ กวนอูจึงตอบว่าถ้ามหาอุปราชมาจริง จงเชิญให้ออกมาเราจะแจ้งเนื้อความแก่ท่าน อองต๋งจึงตอบว่า ตัวเปนแต่ผู้น้อย ควรหรือจะให้มหาอุปราชออกมาหา กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวรุกเข้าไป อองต๋งก็ขับม้ารำทวนออกรบด้วยกวนอูได้ห้าเพลง กวนอูทำเปนชักม้าถอยหนีมา อองต๋งมีใจกำเริบมิรู้กลกวนอู ก็ขับม้าไล่ตามไปถึงเนินเขา กวนอูนั้นรอป้องกันอยู่ ครั้นใกล้จึงแสร้งเอาง้าวฟันให้อองต๋งหลบ แล้วกวนอูก็รวบจับเอาตัวอองต๋งได้บนหลังม้า แลทหารอองต๋งก็แตกกระจัดกระจายไป กวนอูก็ให้ทหารมัดเอาตัวอองต๋งพาเข้าไปให้เล่าปี่ แล้วบอกเนื้อความให้ฟังทุกประการ

เล่าปี่ได้ฟังมีความยินดี แต่มิรู้จักอองต๋ง จึงถามว่าตัวเปนขุนนางตำแหน่งใด เหตุใดตัวจึงแต่งกลอุบายทำเปนโจโฉมาในทัพนี้ อองต๋งจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่ออองต๋ง เปนที่ทหารโทของโจโฉ แต่ตัวโจโฉนั้นหามาไม่ ให้ข้าพเจ้ากับเล่าต้ายยกมา ความคิดข้าพเจ้าจะได้ทำกลศึกมาเองหามิได้ ซึ่งเอาธงสำหรับโจโฉปักมาในกองทัพนี้ เพราะโจโฉเปนนายบังคับให้ทำ ข้าพเจ้ากลัวอาญาจึงทำตามโจโฉ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เอาเสื้อผ้ามาให้อองต๋ง จึงแต่งโต๊ะเชิญให้อองต๋งกิน แล้วให้ทหารเอาตัวอองต๋งไปคุมไว้ ถ้าจับเล่าต้ายได้เมื่อใดจึงจะได้คิดการต่อไป

กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าประมาณใจท่านเห็นว่ายังคิดเกรงโจโฉอยู่ข้าพเจ้าจึงไม่ฆ่าอองต๋งเสีย จับเปนมาให้ท่าน เล่าปี่จึงตอบว่าซึ่งเรามิให้เตียวหุยออกไปนั้นเพราะเราคิดว่าน้ำใจเตียวหุย ดื้อดึงห้าวหาญอยู่ ถ้าจับแม่ทัพได้เห็นจะฆ่าเสีย ซึ่งเราได้อองต๋งไว้นี้ ถึงโจโฉจะว่าประการใดก็จะผ่อนผันแก้ไขโดยง่าย

เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า กวนอูไปจับตัวอองต๋งมาได้แล้ว ข้าพเจ้าจะขออาสาไปจับตัวเล่าต้ายมาให้ได้ เล่าปี่จึงตอบว่าอันเล่าต้ายนั้นเปนเจ้าเมืองกุ๊ยจิ๋ว ครั้งสิบแปดหัวเมืองยกไปกำจัดตั๋งโต๊ะนั้นเล่าต้ายก็ได้คุมทหารไปทำการด้วย ครั้งนี้โจโฉเห็นเล่าต้ายมีสติปัญญาจึงให้เปนแม่ทัพยกมา ซึ่งเจ้าจะยกออกไปจับตัวเล่าต้ายนั้น พี่เห็นจะไม่ได้สมความคิด เตียวหุยจึงตอบว่า จะนับถืออะไรแก่ฝีมือเล่าต้าย ข้าพเจ้าจะจับเอามาให้ได้ เล่าปี่จึงว่าพี่เกรงอยู่ว่าเจ้าไปรบพุ่งจะทำอันตรายชีวิตเล่าต้ายเสีย จะไม่ได้ตัวเปนมาเหมือนกวนอู เตียวหุยจึงว่าข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย ถ้าข้าพเจ้าฆ่าเล่าต้ายก็ดี แลจับตัวไม่ได้ก็ดี ท่านจงตัดศีรษะข้าพเจ้าเสียเถิด เล่าปี่ได้ฟังก็มีความยินดี จึงจัดทหารขี่ม้าสามพันให้เตียวหุย ๆ ก็ลาเล่าปี่ แล้วคุมทหารสามพันยกไปจะจับตัวเล่าต้าย

ฝ่ายเล่าต้ายครั้นรู้ว่ากวนอูจับอองต๋งไปได้ บัดนี้เตียวหุยก็ยกออกมา เล่าต้ายกลัวเตียวหุยมิได้ออกรบพุ่ง ให้รักษาค่ายไว้เปนมั่นคง เตียวหุยครั้นไม่เห็นเล่าต้ายยกมารบพุ่งก็ตั้งค่ายมั่นลงไว้ จึงคุมทหารเข้าไปถึงหน้าค่ายเล่าต้าย แล้วให้ทหารร้องด่าเล่าต้ายเปนข้อหยาบช้า เล่าต้ายก็นิ่งเสียมิได้ยกออกมารบพุ่ง แต่ตั้งรอกันอยู่ถึงห้าวัน เตียวหุยคิดกลอุบายแล้วจึงสั่งทหารทั้งปวงว่า กลางคืนวันนี้เวลาสามยามเศษเราจะยกไปปล้นค่ายเล่าต้าย ให้ทหารเตรียมตัวไว้ให้พร้อมกัน

เตียวหุยเสพย์สุราอยู่แล้วทำกิริยาเมา จึงพาลเอาผิดทหารคนหนึ่งให้ตีประมาณสามสิบที แล้วว่าแก่ทหารซึ่งต้องตีนั้นว่า เวลาสองยามวันนี้ จะตัดสีสะตัวเส้นธงเสีย แล้วจึงจะยกเข้าปล้นค่ายเล่าต้าย เตียวหุยก็ให้มัดทหารนั้นไว้ ครั้นเวลายามเศษเตียวหุยจึงลอบสั่งคนสนิธให้ไปแก้มัดทหารนั้นเสีย ทหารซึ่งต้องตีนั้นมีใจเจ็บแค้นแลกลัวตายก็หลบหนีไป ณ ค่ายเล่าต้าย จึงเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่เล่าต้ายทุกประการ เล่าต้ายได้ฟังดังนั้น แล้วเห็นหลังทหารนั้นต้องตีสำคัญว่าจริง จึงเกณฑ์ทหารทั้งปวงออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายสองกอง ไว้แต่ค่ายเปล่ามิได้มีคน

ฝ่ายเตียวหุยครั้นรู้ว่าทหารซึ่งต้องตีนั้นหนีไป จึงคิดว่าดีร้ายมันจะหนีไปบอกเหตุทั้งปวงแก่เล่าต้าย เห็นเล่าต้ายจะทิ้งค่ายเสีย จะให้ทหารแยกกันซุ่มอยู่นอกค่าย กูจะคิดซ้อนกลจับเล่าต้ายให้จงได้ ครั้นเวลาสองยามเตียวหุยจึงเกณฑ์ทหารแยกกันไปซุ่มอยู่เปนสองกองแล้วสั่งว่า ถ้าเห็นแสงเพลิงไหม้ค่ายเล่าต้าย ก็ให้คุมทหารตีกระหนาบเข้ามา ตัวเตียวหุยเปนกองกลางคอยหนุน แล้วสั่งทหารสามสิบคนเปนกองหน้าเข้าไปปล้นจุดเพลิงเผาค่ายให้จงได้ ทหารสามสิบคนก็ยกเข้าปล้นค่ายจุดเพลิงไหม้ขึ้น

ฝ่ายทหารเล่าต้ายซึ่งซุ่มอยู่ทั้งสองกอง ครั้นเห็นดังนั้นก็ยกตีกระหนาบเข้ามา ทางทหารเตียวหุยซึ่งซุ่มอยู่ภายนอก แลเตียวหุยนั้นเห็นแสงเพลิงไหม้ขึ้นในค่ายเล่าต้าย ก็รีบยกตีกระหนาบเข้าไปเปนสามด้าน ฝ่ายทหารเล่าต้ายเห็นทหารเตียวหุยตีกระหนาบหลังเข้ามาฆ่าฟันล้มตายบ้างแตก กระจัดกระจายไปบ้าง แต่ตัวเล่าต้ายควบม้าหนีไปพบเตียวหุยเข้า เตียวหุยก็รบกับเล่าต้ายได้ยกหนึ่ง เตียวหุยจับตัวเล่าต้ายได้ จึงให้ทหารมัดไว้ บันดาทหารซึ่งแตกไปนั้นก็กลับเข้าด้วยเตียวหุยเปนอันมาก เตียวหุยจึงให้ทหารรีบเข้าไปบอกเล่าปี่ ๆ ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าแก่กวนอูว่า เตียวหุยเปนคนใจเร็วดื้อดึง ครั้งนี้คิดเปนกลอุบายจับตัวเล่าต้ายได้ ซึ่งเตียวหุยมีสติปัญญาขึ้นดังนี้ เห็นจะประกอบบุญเราขึ้น เราค่อยมีความสบายนัก

ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่ก็พากวนอูออกไปรับถึงนอกเมือง เตียวหุยเห็นเล่าปี่ออกมาก็เข้าไปคำนับแล้วจึงว่า พี่ติเตียนข้าพเจ้าว่าเปนคนใจเร็วดื้อดึง บัดนี้ข้าพเจ้าคิดอ่านจับตัวเล่าต้ายได้ พี่ยังเห็นปัญญาข้าพเจ้าแล้วหรือ เล่าปี่จึงตอบว่าถ้าพี่ไม่ข่มเจ้าไว้เจ้าก็เลินเล่อใจ ที่ไหนจะจับตัวเล่าต้ายได้ เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ เล่าปี่จึงลงจากม้าเข้าแก้มัดเล่าต้ายเสียแล้วจึงว่า ซึ่งน้องเราทำแก่ท่านนั้น เราขออภัยเสียเถิดอย่าถือโทษเลย แล้วเล่าปี่พาเล่าต้ายกลับเข้าไปในเมือง จึงให้แต่งโต๊ะแล้วเอาตัวอองต๋งมากินโต๊ะกับเล่าต้าย

เล่าปี่จึงว่าแก่เล่าต้ายอองต๋งว่า เดิมเรายกมานี้จะได้คิดร้ายต่อมหาอุปราชนั้นหามิได้ เราคิดจะสนองคุณมหาอุปราชอยู่ทุกเวลามิได้ขาด แลกีเหมาเปนคนหยาบช้าคิดจะทำร้ายเราให้ถึงสิ้นชีวิต เราจึงฆ่ากีเหมาเสีย มหาอุปราชมิได้แจ้งว่ากีเหมาคิดร้ายต่อเราก่อน จึงให้ท่านทั้งสองคุมทหารเปนแม่ทัพมาจับเรา ธรรมดาเกิดมาก็ย่อมรักชีวิตอยู่เหมือนกันทุกคน เราจึงคิดรักษาตัวด้วยความจำเปน ซึ่งกวนอูเตียวหุยทำแก่ท่านทั้งสองนั้น ท่านอย่าได้พยาบาทเลย บัดนี้เราจะให้ท่านทั้งสองกลับไปแจ้งข้อราชการแก่มหาอุปราช ท่านช่วยว่ากล่าวให้เห็นความจริงของเรา ไมตรีท่านทั้งสองจะได้มีต่อเราสืปไป

เล่าต้ายอองต๋งได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็มีความยินดีจึงตอบว่า ซึ่งท่านไว้ชีวิตข้าพเจ้าคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะกลับไปแจ้งข้อราชการบอกความแก่มหาอุปราชว่า ท่านมีใจซื่อสัตย์สุจริตมิได้คิดประทุษฐร้ายแก่มหาอุปราช ซึ่งทำการทั้งนี้เพราะความจำเปน ถ้ามหาอุปราชไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะเอาบุตรภรรยาไว้เปนจำนำ แม้สืบไปเมื่อหน้า ท่านคิดร้ายประการใดก็ให้ฆ่าบุตรภรรยาข้าพเจ้าเสีย เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงคำนับแล้วว่า ซึ่งท่านรับธุระเราทั้งนี้เราขอบใจนัก แล้วจัดทหารซึ่งเตียวหุยได้มานั้นคืนให้แก่เล่าต้ายอองต๋ง แลเล่าต้ายอองต๋งก็ลาเล่าปี่ แล้วพาทหารทั้งปวงออกจากเมืองชีจิ๋วไปทางประมาณห้าร้อยเส้น

ขณะเมื่อเล่าปี่ว่าจะปล่อยเล่าต้ายอองต๋งไปนั้น เตียวหุยคิดแค้นคุมทหารลอบไปสกัดอยู่ กวนอูเห็นเตียวหุยยกไปก็มีความสงสัย จึงขึ้นม้าแลพาทหารสี่คนห้าคนสกดรอยตามเตียวหุยไป ฝ่ายเตียวหุยครั้นเห็นเล่าต้ายอองต๋งคุมทหารมา ก็ขึ้นม้ารำทวนออกไปขวางหน้าไว้ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วว่า มึงพูดจาล่อลวงพี่กูประการใด พี่กูจึงปล่อยมึงทั้งสองมา เล่าต้ายอองต๋งได้ยินเตียวหุยร้องตวาดดังนั้น ก็ตกใจกลัวตัวสั่นมิได้ตอบประการใด พอกวนอูตามมาเห็นเตียวหุยสกัดอยู่ดังนั้น จึงร้องว่าเตียวหุยอย่าวุ่นวาย พี่เราปล่อยให้เขาไปแล้ว เตียวหุยจึงว่าแม้ปล่อยอ้ายสองคนนี้ไป ดีร้ายจะกลับมาทำอันตรายแก่เราเปนมั่นคง กวนอูจึงตอบว่า ถ้าเขาไม่รู้จักคุณ จะกลับมาทำร้ายแก่เราอีก เราจึงค่อยฆ่าเสีย หาความนินทามิได้

เล่าต้ายอองต๋งได้ฟังดังนั้น จึงว่าครั้งนี้เล่าปี่มีคุณแก่เรานัก แม้ว่ามหาอุปราชให้เรายกมาอีกเราก็ไม่อาจมา ถึงมหาอุปราชจะฆ่าบุตรภรรยาเราเสียก็ตามเถิด ท่านทั้งสองจงปล่อยให้ไปโดยดี เตียวหุยจึงว่าอันสีสะมึงทั้งสองนี้กูละให้อยู่กับกายแล้ว ถึงมาทว่ามึงจะไปยุยงโจโฉประการใด โจโฉยกมากูจะฆ่าฟันทหารทั้งปวงเสียมิให้เหลือไป เล่าต้ายอองต๋งได้ฟังดังนั้น ทั้งกลัวทั้งมีความยินดี ก็ขับม้าพาทหารรีบไป

ฝ่ายกวนอูเตียวหุยกลับมาเมืองชีจิ๋ว จึงว่ากับเล่าปี่ว่า ซึ่งท่านปล่อยเล่าต้ายกับอองต๋งไป ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะยกกองทัพมาทำร้ายท่านเปนมั่นคง ซุนเขียนได้ยินกวนอูเตียวหุยว่าดังนั้น จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งน้องท่านทั้งสองว่านั้นก็ชอบอยู่ ถ้าโจโฉยกมาท่านจะตั้งรับอยู่ในเมืองชีจิ๋วนี้เห็นจะเสียแก่โจโฉ ขอให้แบ่งทหารไปตั้งอยู่ ณ เมืองเสียวพ่ายกองหนึ่ง เมืองแห้ฝือกองหนึ่ง จะได้ช่วยรบเปนทัพกระหนาบ เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงให้กวนอูคุมทหารกำกับนางกำฮูหยินนางบิฮูหยิน ซึ่งเปนภรรยาเล่าปี่นั้นไปรักษาไว้ ณ เมืองแห้ฝือ ให้ซุนเขียนกับตันหยงบิต๊กบิฮอง สี่คนนี้อยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว แล้วเล่าปี่กับเตียวหุยก็คุมทหารไปรักษาเมืองเสียวพ่าย

ฝ่ายเล่าต้ายอองต๋งไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงบอกแก่โจโฉตามซึ่งรบพุ่งกับกวนอูเตียวหุยนั้นทุกประการ แล้วว่าเล่าปี่มีใจสุจริต คิดถึงคุณท่านอยู่มิได้ขาด จะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้ ซึ่งให้กวนอูเตียวหุยออกมารบด้วยข้าพเจ้านั้นเปนธรรมดารักษาชีวิต บัดนี้เล่าปี่ปล่อยข้าพเจ้ามาให้แจ้งข้อราชการแก่ท่านโดยสุจริต

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า อ้ายทหารเดนตายเช่นนี้จะเลี้ยงไว้มิได้ แล้วสั่งบู๋ซูให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ขงยงจึงห้ามโจโฉว่า อันฝีมือเล่าต้ายอองต๋ง ซึ่งจะทานฝีมือความคิดเล่าปี่นั้นไม่ได้ แลท่านจะให้ฆ่าเล่าต้ายอองต๋งเสีย ทหารทั้งปวงจะทำการสืบไปก็จะเสียใจ โจโฉเห็นชอบด้วยจึงสั่งบู๋ซูว่าอย่าให้ฆ่าเลย แต่ให้ถอดเสียจากนายทหาร เอาตัวไปไว้ใช้เปนไพร่ แล้วโจโฉให้กะเกณฑ์ทหารจะยกไปรบเล่าปี่ ขงยงจึงว่าซึ่งมหาอุปราชจะยกไปนั้นเปนเทศกาลหนาว ทหารทั้งปวงจะได้ความลำบากนัก ขอให้แต่งทหารไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเตียวสิ้วให้ขึ้นอยู่กับท่านก่อน ถึงจะยกไปทำการแห่งใดก็จะไม่เปนกังวลหลัง อันเมืองชีจิ๋วนั้นเหมือนอยู่ในเงื้อมมือท่าน จะคิดเอาเมื่อใดก็ได้โดยง่าย

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งให้เล่าหัวซึ่งมีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้ว เล่าหัวก็ลาโจโฉไปถึงเมืองเชงเอี๋ยง แล้วเข้าไปหากาเซี่ยงซึ่งเปนที่ปรึกษาเตียวสิ้ว เล่าหัวคำนับกาเซี่ยงแล้วจึงว่า ครั้งนี้โจโฉได้เปนมหาอุปราช มีใจโอบอ้อมอารี บำรุงน้ำใจทแกล้วทหารทั้งปวงให้เปนสุขกว้างขวาง บัดนี้ให้เรามาว่ากล่าวเตียวสิ้ว ซึ่งรบพุ่งกันมาแต่ก่อนนั้นอย่าให้มีพยาบาทกันเลย จงคิดประนอมกันทำนุบำรุงแผ่นดิน กาเซี่ยงได้ฟังดังนั้นจึงว่า วันนี้จวนค่ำแล้ว พรุ่งนี้เราจึงจะพาท่านเข้าไปหาเตียวสิ้ว กาเซี่ยงก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าหัว

ครั้นเวลารุ่งเช้ากาเซี่ยงก็ให้เล่าหัวอยู่ ณ บ้านก่อน กาเซี่ยงจึงเข้าไปบอกเตียวสิ้วทุกประการ เตียวสิ้วยังมิได้ตอบประการใด พอทหารอ้วนเสี้ยวเอาหนังสือมาให้เตียวสิ้ว แล้วเตียวสิ้วรับมาอ่านดูกับกาเซี่ยง ในหนังสือนั้นเปนใจความว่า อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วมาถึงเตียวสิ้วว่า โจโฉได้เปนมหาอุปราชอยู่ในเมืองฮูโต๋ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน พระเจ้าเหี้ยนเต้กับขุนนางแลราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เราจึงให้หนังสือไปเชิญเตียวสิ้วมาช่วยคิดราชการกำจัดโจโฉเสีย จะบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป กาเซี่ยงได้แจ้งในหนังสือนั้น จึงรับเอาหนังสือมาจากเตียวสิ้ว แล้วถามผู้ถือหนังสือว่า เมื่อเดือนสิบนั้นเราได้ยินกิตติศัพท์ว่าอ้วนเสี้ยวนายของตัวยกกองทัพไปรบ กับโจโฉ ยังหาแพ้ชนะกันไม่หรือทหารอ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า นายข้าพเจ้ายกกองทัพไปถึงตำบลเลหยงปลายแดนเมืองฮูโต๋ โจโฉก็ยกกองทัพมาตั้งค่ายไกลกันประมาณแปดร้อยเส้น พอเปนเทศกาลหนาว อ้วนเสี้ยวให้ทหารตั้งรอกันอยู่กับทหารโจโฉ ตัวโจโฉกับอ้วนเสี้ยวต่างคนต่างยกกลับไปเมือง

กาเซี่ยงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงเอาหนังสือนั้นฉีกเสียแล้วว่า แต่อ้วนสุดผู้น้องนายของตัวนั้น ก็มิได้ปรกติปรองดองกันกับอ้วนเสี้ยวผู้พี่ บัดนี้จะมาเกลี้ยกล่อมผู้อื่นนอกเนื้อไปคิดการด้วย ก็ให้ขับผู้ถือหนังสือนั้นออกไปเสียจากที่ เตียวสิ้วเห็นกาเซี่ยงทำดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเหตุใดท่านจึงทำหยาบช้า ฉีกหนังสือของอ้วนเสี้ยวเสียดังนี้ อ้วนเสี้ยวก็มีฝีมือ ทหารก็มีเปนอันมาก ถ้าอ้วนเสี้ยวแจ้งไป เห็นจะยกกองทัพมาทำอันตรายเมืองเรา ท่านจะคิดแก้ไขประการใด

กาเซี่ยงจึงตอบว่า ถ้าท่านเกรงอยู่ดังนั้นเราจำจะเข้าทำการด้วยโจโฉ ถึงอ้วนเสี้ยวจะยกมาทำร้ายท่านโจโฉก็จะได้ช่วย เตียวสิ้วจึงตอบว่า ทุกวันนี้โจโฉเปนมหาอุปราชก็จริง แต่ทหารน้อยกว่าอ้วนเสี้ยว แล้วประการหนึ่งโจโฉก็ได้รบพุ่งกันมากับเราแต่ก่อน เห็นจะคิดพยาบาทเราอยู่ กาเซี่ยงจึงว่า ซึ่งจะกลัวโจโฉพยาบาทนั้นอย่าวิตกเลย ถ้าจะไปเข้าด้วยโจโฉ ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยสามประการ

ประการหนึ่งโจโฉได้เปนมหาอุปราช แม้จะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนประมาณ ขุนนางอยู่ในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงก็ยำเกรงทำตามเปนอันมาก

ประการหนึ่งถึงโจโฉมีทหารน้อย แต่มีสติปัญญากว้างขวาง จะทำการสงครามแห่งใด ก็ย่อมมีชัยชนะมากกว่าแพ้ ซึ่งท่านคิดเกรงอ้วนเสี้ยวแลจะไปเข้ากับอ้วนเสี้ยวซึ่งมีทหารมากนั้น อุปมาเหมือนคนมีทรัพย์มาก ท่านจะเอาทรัพย์ไปให้เห็นอ้วนเสี้ยวจะไม่มีความยินดี อันโจโฉนั้นเหมือนคนไร้ทรัพย์ ท่านเอาทรัพย์ไปให้แต่น้อยก็มีความยินดีเปนอันมาก

ประการหนึ่งโจโฉทำการครั้งนี้ มีใจโอบอ้อมอารีต่อทหารทั้งปวง ถึงผู้ใดผิดก็ทำตามผิด ผู้ใดชอบก็ปูนบำเหน็จโดยความชอบ แล้วมิได้มีพยาบาทแก่ผู้ใด คิดเอาราชการเปนประมาณ ข้าพเจ้าเห็นชอบสามประการดังนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าให้ท่านไปเข้าด้วยโจโฉดีกว่าอ้วนเสี้ยว เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย

กาเซี่ยงจึงกลับออกไป ณ บ้าน แล้วบอกแก่เล่าหัวทุกประการ เล่าตัวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ก็เข้าไปกับกาเซี่ยง จึงคำนับเตียวสิ้วแล้วว่า ท่านอย่าแคลงใจมหาอุปราชเลย ถ้ามีใจพยาบาทอยู่แล้วก็จะยกกองทัพมารบท่านเอาชัยชนะให้จงได้ นี่สิ้นความพยาบาทแล้ว จึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญให้ท่านช่วยคิดการทำนุบำรุงแผ่นดิน เตียวสิ้วได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารแล้วพาเล่าหัวกาเซี่ยงยกไปเมืองฮูโต๋ เล่าหัวจึงนำเตียวสิ้วกาเซี่ยงเข้าไปหาโจโฉ เตียวสิ้วกับกาเซี่ยงคำนับโจโฉแล้วก็คุกเข่าอยู่แต่เบื้องต่ำ

โจโฉเห็นเตี้ยวสิ้วกาเซี่ยงมาก็มีความยินดี จึงลงไปจูงมือเตียวสิ้วขึ้นมานั่งที่สมควรแล้วว่า ก่อนนั้นเราได้ประมาทมีความผิดต่อท่านนั้นท่านจงอดโทษเสีย อย่ามีความพยาบาทเราเลย โจโฉจึงตั้งเตียวสิ้วเปนที่เอียงปูจงกุ๋น แปลเปนภาษาไทยว่าเปนนายทหารผู้ใหญ่ ให้กาเซี่ยงเปนที่กิมจิมง่อ แปลภาษาไทยว่าเปนที่ปรึกษา แล้วโจโฉจึงว่าแก่เตียวสิ้วกาเซี่ยงว่า ให้แต่งหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว กาเซี่ยงจึงว่า เล่าเปียวนั้นมักคบเพื่อนซึ่งมีสติปัญญา ถ้าจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้น จงจัดหาผู้ซึ่งมีสติปัญญาจึงจะได้

Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 20

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnaEJuMXN2dlpUTkk/view?resourcekey=0-AJlu34zf_WWTIOXICp5_QQ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.382 seconds with 21 queries.