Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
19 May 2024, 01:37:55

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,701 Posts in 12,500 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  วิถีสู่ชีวิตแห่งความพอเพียง  |  ความสุขทางเลือก (Moderator: SATORI)  |  เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 4 หนังกลางแปลง : ผีหลอก กับการวัดใจเพื่อน
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 4 หนังกลางแปลง : ผีหลอก กับการวัดใจเพื่อน  (Read 148 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,554


View Profile
« on: 20 November 2021, 15:21:07 »

เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 4  หนังกลางแปลง : ผีหลอก กับการวัดใจเพื่อน



เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 4
หนังกลางแปลง : ผีหลอก กับการวัดใจเพื่อน

มีนโยบายของทางโรงเรียนที่จะให้นักเรียนเดินทางมาเรียนด้วยกันเป็นกลุ่ม เพื่อต้องการให้คอยดูแลกันและกันในช่วงของการเดินทาง และเพื่อช่วยกระตุ้นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ให้ตื่นทันเวลาไปเรียนจะได้ไม่ไปโรงเรียนสาย

ใครที่บ้านอยู่ไกลก็จะต้องมีหน้าที่ต้องตื่นเร็วกว่าเพื่อน รีบแต่งตัว คว้าเอาธง ที่เป็นสัญลักษณ์กลุ่มเดินผ่านตามบ้านของเพื่อนที่มีทิศทางที่ต้องไปทางเดียวกัน เมื่อถึงบ้านเพื่อนคนไหนที่ยังไม่ตื่น ก็ต้องเรียก แล้วรอ จนกว่าจะพร้อมเดินทางไปด้วยกัน

ดังนั้น เพื่อนๆในกลุ่มก็จะเกิดความเกรงใจคนที่อยู่ไกล จึงต้องตื่นให้ทัน และแต่งตัวรอ เมื่อแถวมาถึงหน้าบ้านก็พร้อมเดินตามแถวเรียงหนึ่งไปโรงเรียนด้วยกัน ซึ่งกลุ่มของน้อยเป็นกลุ่มเด็กที่อยู่ด้านหลังโรงเรียน เวลาจะไปโรงเรียนจะต้องเดินผ่านด้านหลังตามทางเล็กๆที่ใช้สัญจรไปมาด้วยการเดิน หรือ จักรยานเป็นส่วนใหญ่

บ้านของน้อยอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก น้อยจึงเป็นคนท้ายๆที่ต้องรอขบวนแถว แล้วจึงเดินเข้าแถวไปพร้อมเพื่อนๆ พร้อมกับการพูดคุยสนุกสนานตามประสาเด็ก ทางเดินไปโรงเรียนเองก็จะต้องเดินผ่านถนนดินลูกรังปนกรวด และยังมีพวกหนามเล็กๆน้อยๆ ซึ่งต้องคอยระมัดระวังในเวลาเดิน เพราะส่วนมากจะไม่มีรองเท้าแตะใส่กันเลย ยิ่งรองเท้าผ้าใบนี่ไม่ต้องพูดถึง

สองข้างทางที่ต้องเดินผ่าน จะเป็นพุ่มไม้ตามรั้วธรรมชาติ สลับกับกอไผ่ ต้นกระถิน หนามพุงดอ เครือเถาวัลย์ ผักริมรั้วฯ ก่อนทางเข้าด้านหลังโรงเรียนก็จะมีป่าละเมาะที่รกครึ้มพร้อมกับต้นไม้ที่ขึ้นหนาตา กอไผ่กอใหญ่ตรงมุมด้านซ้าย และต้นมะขามใหญ่ด้านขวา ที่ขึ้นอยูระหวาางช่องทางเดิน และยังมีหลุมที่ภารโรงขุดเอาไว้ทิ้งขยะ ทำให้บริเวณด้านหลังโรงเรียน จะไม่ค่อยมีคนอยากเดินผ่าน ยิ่งในเวลาค่ำมืด เพราะจะมีกลิ่นของขยะ และไม่มีแสงสว่างส่องให้เห็นทางเลย แต่ก็จำเป็นต้องใช้สำหรับคนที่มีบ้านอยู่หลังโรงเรียนหากมีธุระจำเป็น

ช่วงบ่ายขณะที่นั่งเรียน เด็กๆได้ยินเสียงจากรถขายยาที่วิ่งกระจายเสียงว่าจะมีหนังกลางแปลงมาฉายที่วัดประจำหมู่บ้าน พร้อมกับขายยา สามัญให้ชาวบ้านได้ซื้อหา เก็บไว้ใช้

นั่นคือเสียงแห่งความสุขของชาวบ้าน ย่านนั้นเลยทีเดียว เพราะความบันเทิงของชาวบ้านนั้นนอกจาก วิทยุ หรือบางบ้านที่มีทีวี ขาว-ดำ แล้ว หนังกลางแปลง กับลิเก ก็เป็นความบันเทิงอีกอย่างที่นานๆจะได้ชมกัน

แม่เล่าให้น้อยฟังว่า ตอนน้อยยังตัวเล็กเล็ก แม่เคยเอาน้อยใส่ตระกร้าข้างนึง แล้วอีกข้างก็จะใส่อุปกรณ์พวกเสื่อ ผ้าห่ม ตระกร้าหมาก ของใช้จุกจิก ขึ้นบ่าหาบไปดูหนัง หรือลิเก มาแล้ว ระยะทางจากบ้านก็ประมาณกิโลกว่าๆ แล้วถ้าวันไหนจะมีหนัง ลิเก มาเปิดการแสดง ช่วงกลางวันก็จะกำชับให้เด็กๆไปนอนพัก ป้องกันเวลากลางคืนเดี๋ยวจะง่วงนอนแล้วจะงอแงร้องกลับบ้าน ซึ่งจะเป็นปัญหากวนใจพวกผู้ใหญ่ที่อยากดูให้จบ

หลังเลิกเรียนช่วงเดินแถวกลับบ้าน น้อยกับเพื่อนๆจึงนัดแนะกันเรียบร้อยว่าจะหาอะไรไปเล่นที่ลานวัดบ้าง

ตกค่ำกลุ่มของเด็กๆพร้อมผู้ใหญ่อีกหลายคนก็เตรียมตัวเสร็จพร้อมเดินทาง เสื่อ สำหรับปูนั่ง ตระกร้าหมากที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนกินหมาก ต้นปอแห้งที่ใช้จุดเป็นแสงสว่างนำทาง ซึ่งต้องเตรียมสำรองไว้ด้วย

พอถึงลานวัด ก็เห็นแสงสว่าง และจอหนังซึ่งทางเจ้าของหนังได้เปิดไฟ เพื่อให้มองเห็นใบปิดโฆษณาที่อยู่รอบๆตัวรถ และลานวัด ซึ่งมีบริเวณกว้างขวาง มีเขตรอยต่อกับป่าช้าที่ใช้เป็นที่ตั้งเชิงตะกอนไว้ในการเผาศพ  ก็จับจองพื้นที่บริเวณหน้าจอ ซึ่งก็เต็มไปด้วยชาวบ้านมาจากหลายๆกลุ่มต่างก็ปูเสื่อจับจองพื้นที่เต็มลานกันเลยทีเดียว แสงสว่าง และเสียงเพลงจากรถฉายหนังก็ดัง สลับกับโฆษณาสรรพคุณยาที่จะนำมาขาย

"สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องที่อยู่บริเวณลานวัด วันนี้ทางกระผมมียาดี มาขายให้พี่น้อง ไม่ว่าจะปวดหัว ปวดตา ปวดแข้งปวดขา ไปหาหมอที่ไหนมาไม่หาย แต่ยาของเรา กินปุ๊บหายยยยปั๊บ ........บลาบลาบลาาา"

เสียงเจ้าหน้าที่ที่มากับรถฉายหนังทำการประกาศถึงสรรพคุณยาของตัวเองว่ามีดีอะไรบ้าง ยาวเหยียดใช้เวลานาน จนมีเสียงกลุ่มวัยรุ่นโห่ฮา พร้อมตะโกนบอกให้ฉายหนังได้แล้ว

พอหนังเริ่มฉาย แสงสว่างก็ปิด ทำให้บริเวณรอบๆก็จะมืดสนิท  ทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ พร้อมกับเสียงตู้ลำโพงที่ดังแบบแตกซ่า จอภาพเป็นเส้นๆไม่คมชัด แต่ทุกคนก็มีความสุขและตั้งใจดูกันมาก  ยิ่งเรื่องที่นำมาฉายวันนี้เป็นหนังผีแล้วด้วยบรรยากาศยิ่งน่ากลัวเพิ่มเข้าไปอีก

พอหนังมาถึงกลางเรื่อง เนื้อเรื่องกำลังสนุก หนังก็หยุดฉาย แสงไฟก็ถูกเปิดขึ้น พร้อมกับเสียงไมโครโฟนของ ทางเจ้าหน้าที่ประกาศขายยา จึงได้ยินยินโห่ฮาของชาวบ้านอีกระลอก

"ถ้าหากพี่น้องช่วยกันซื้อตอนนี้ แค่อีก 30 ขวดเท่านั้น หนังก็จะทำการฉายให้ท่านได้ชมต่อเลย มาเร็วครับ ช่วยกันซื้อเยอะๆจะได้ดูหนังกันเร็วขึ้น"

เทคนิค ที่ทางคนขายยาได้ประกาศเพื่อเร่งเร้าให้ชาวบ้านรีบซื้อจะได้รีบดูหนังต่อโดยไม่เสียเวลา ซึ่งก็ได้ผล เพราะชาวบ้านอยากดูหนังที่กำลังสนุกๆก็ต้องเจียดเงินเอามาซื้อยาเก็บไว้ใช้ทั้งที่บางครั้งก็ไม่จำเป็น

พอหนังฉายจบแสงสว่างถูกเปิด ชาวบ้านก็ปลุกลูกหลานที่นอนหลับกัน เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน บางคนลูกร้องไห้ก็ทยอยกลับไปก่อนพร้อมกับได้ยินเสียงบ่นพึมพัม เพราะอยากดูต่อ

เด็กๆ และวัยรุ่นบางกลุ่มก็ยังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกัน กลุ่มของน้อยกับเพื่อนๆก็วิ่งเล่นโดยไม่ยอมกลับบ้านพร้อมพวกผู้ใหญ่ จนทางทีมงานหนังกลางแปลงเก็บของ เรียบร้อย จึงปิดไฟแสงสว่างทำให้บริเวณวัดมืดสนิท กลุ่มคนที่เหลือจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน

น้อยกับเพื่อนๆที่เหลืออยู่ 4 คนที่ต้องกลับบ้านทางเดียวกัน จึงเริ่มทยอยเดินกลับบ้าน ตามกลุ่มอื่นที่ยังพอมองเห็นประปรายในความมืด พอเดินมาถึงบริเวณทางเข้าหน้าโรงเรียน ซึ่งต้องเดินผ่านสนามฟุตบอลตัดไปด้านหลังโรงเรียน ก็เหลือแต่กลุ่มของน้อย ที่มี สืบ หม่าว และทูน เท่านั้นที่ต้องเดินผ่านไปด้านหลังของโรงเรียนด้วยกัน

เงาตะคุ่มๆของ หมาหลายตัว ที่อยู่กลางสนาม บางตัวยังวิ่งเล่น บางตัวก็นอน บางตัวก็ส่งเสียงเห่าหอน ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

"กูว่าเราเดินจับมือต่อกันเดินไปดีกว่า "เสียงหม่าวเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเดินลัดสนาม

"ทำไมละ กลัวผีเหรอวะ"สืบโพล่งขึ้นมา

"ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวกูเดินร้องเพลงนำหน้าเอง" สืบนำเสนอ

"เราเดินจับมือกันพร้อมกับให้ สืบมันร้องเพลงไปก็ดี "ทูนเสนอบ้าง

"งั้นเอาแบบที่ทูนว่า" น้อยสรุป

พอเดินมาถึงบริเวณอาคารเรียนหลังสุดท้ายก่อนจะถึงบริเวณป่าด้านหลัง เด็กๆจึงเอามือคล้องแขนกัน แล้วสืบก็เปล่งเสียงร้องเพลง พร้อมกับเดินรั้งแขนเพื่อนๆให้ก้าวตาม

เสียงลมพัดปะทะต้นมะขามที่กิ่งใบ ไหวเอนตามแรงลม กับเสียงกอไผ่ที่ต้องแรงลมเสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าด  หนำซ้ำเสียงหมาที่หอนตอบรับกันเป็นทอดๆ ยิ่งเร้าบรรยากาศให้น่ากลัวเข้าไปอีก

ท่ามกลางความมืด เสียงเพลงของสืบที่ส่งเสียงดังยิ่งดังขึ้นอีกเมื่อยิ่งใกล้กับต้นมะขาม กับกอไผ่ แต่แฝงมาด้วยเสียงที่สั่นแทบจะไม่เป็นเพลง พลันหยุดเสียงลงกะทันหันพร้อมกับการหยุดเดินของทุกๆคน

"หยุดร้องทำไมวะสืบ"น้อยเอ่ยถาม

"พวกมึงได้ยินเสียงอะไรมั้ยวะ"สืบพูดเบาๆแทบกระซิบ

"เสียงอะไร"หม่าวกระซิบถาม

"ลองฟังดูซิ" สืบบอก

บรรยากาศที่เงียบอยู่แล้ว ยิ่งเงียบเข้าไปอีก พร้อมกับมีกลิ่นเน่าที่โชยตามสายลม

เสียงดังแกร็บ พรึบ พรึบ จากทางกอไผ่ ทั้งสี่คนขยับตัวเข้ามาชิดกันโดยอัตโนมัติ

ตุบ ตุบ ตุบ.. เสียงฝีเท้าใครคนใดคนนึงในกลุ่มวิ่งออกตัวนำไปในทิศทางที่จะต้องกลับบ้าน

"เห้ย ใครวิ่งวะ "น้อยเอ่ยถาม

"ไอ้สืบ มันไปแล้ว "หม่าวตอบ

หลังจากนั้น น้อย หม่าว ทูน ออกตัวแทบจะพร้อมกัน วิ่งสุดชีวิต พร้อมส่งเสียง "รอด้วยยยยย"

ทางด้านสืบ ได้ยินเสียงตามหลังมาแว่วๆ "รอด้วยยยย.....   รอด้วยยย....."  ยิ่งตกใจกลัว ได้แต่ร้องออกมาสุดเสียง 
"กลัวแล้วววว....กลัวแล้ววววว..." พร้อมกับหมาของชาวบ้านสองข้างทางเห่าดังระงม

พอวิ่งมาถึงหน้าบ้านน้อย เห็นสืบนั่งหอบ พร้อมกับตัวสั่นรออยู่ก่อนแล้ว

"มึงวิ่งทำไม ทำไมไม่รอคนอื่น" น้อยถามด้วยความโมโหเพื่อน

"กู กู กูเห็นที่กอไผ่ มีคนยืนอยู่ โบกมือมาทางพวกเราด้วย" สืบตอบแบบตะกุกตะกัก

"กูว่าผีหลอกพวกเราแน่ๆ"

"แถมยังมีกลิ่นเน่าลอยมาด้วยนะ"

"ตรงนั้นไม่มีคนเลย ดึกขนาดนี้แล้ว พวกมึงคิดดูซิ" สืบให้เหตุผล

ที่เหลือได้แต่มองหน้ากันแล้วคิดตามที่สืบพูด

...................................................................

ตอนเช้าในขนะที่เดินแถวไปโรงเรียนพอจะผ่านจุดที่เกิดเหตุเมื่อคืน น้อยชำเลืองมองไปที่กอไผ่ พร้อมกับอมยิ้มแล้วหันไปมองหน้า สืบ

"นี่ไงสืบ ผีของมึง" น้อยชี้นิ้วไปที่ถุงปุ๋ยสีขาว กับถุงพลาสติก คงจะปลิวมาจากกองขยะที่ยังไม่ได้ฝังกลบและมาเกี่ยวติดกับหนามไผ่พอโดนลมพัดเลยมีการเคลื่อนไหวพร้อมกับเสียงดัง ส่วนกลิ่น ที่โชยมากับลม ก็คงมาจากหลุมขยะ นั่นเอง



*ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.055 seconds with 16 queries.