Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
28 April 2024, 20:03:00

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,608 Posts in 12,441 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร  (Read 258 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,461


View Profile
« on: 20 November 2021, 10:03:24 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16  โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 ตอนที่ 1


บทที่ 16

ตอนที่ 1

          อรุณรุ่งของเช้าวันใหม่ หมอกยังลงหนาทึบ เพราะยังไร้แสงของดวงอาทิตย์ มันเป็นเพียงแสงเรืองๆที่พอจะจับสังเกตุเห็น บริเวณและบรรยากาศโดยรอบ ในรัศมีระยะใกล้ๆเท่านั้น เพราะว่าป่าที่ทึบทะมึนมีความสูงใหญ่ผิดปกติไป จนทำให้เรือนยอดที่แผ่ปกคลุม ประดุจหลังคาธรรมชาติ ปิดทึบเสียจนแทบไม่มีช่อง ที่จะสามารถให้แสง ส่องผ่านพ้นรอดมาได้ เสียงสรรพสัตว์นานาชนิด เริ่มส่งเสียงร้องระงมไพร นกกา นานาพันธุ์ ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว อยู่ตามพงไพรและยอดไม้ใหญ่สูงริบ แต่ก็ยังจับสังเกตุ หรือจะสำรวจอะไรไปได้ไม่ถนัดนัก เพราะหมอกที่ลงหนาทึบไปหมด ตามพื้นดินและลำต้นของพืชพรรณ ต่างชุ่มชื่นไปด้วยหยาดน้ำค้าง บางส่วนก็ไหลรินราวกับน้ำตกขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริเวณของลำต้น ของต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่มีเรือนยอดใบสูงขึ้นไป เปรียบเสมือนตาข่ายหรือมิฉะนั้น ก็ร่างแหหรืออวนขนาดใหญ่ ที่คอยตักตวงหรือกักเก็บ ละอองหมอกเหล่านั้นไว้ เมื่อมากเกินปริมาณก็พากันกลั่นตัวกันเป็นหยาดน้ำค้างไหลรินลงสู่ที่ต่ำ

          เสียงเก้ง หรือไม่ก็ กวาง ร้องเป๊บ ออกมาด้วยอาการตกใจอะไรบางอย่าง อยู่ที่ริมสายน้ำแห่งนั้น ก่อนที่มันจะกระโจนแผ่ว หลบหายเข้าไปในป่าหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอก  คงได้ยินแต่เพียง เสียงของมันควบกระโจนไปตามหมู่หินดัง กรุบกรับ เพียงไม่นานเสียงของมันก็เงียบหายไปในดงทึบ สายน้ำที่ทอดยาวสายนั้น ยังคงไหลเอื่อยต่อไป และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด บนผิวน้ำก็ถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอกไม่แตกต่างกัน มองไปทางไหน ก็ดูขาวโพลนขมุกขมัว นานๆครั้งถึงจะมีเสียงปลา หรือสัตว์น้ำบางชนิด ฮุบน้ำเสียงดังตูม แว่วเข้ามาให้ได้ยิน สักครั้งหนึ่ง

          “พว กมันคงไม่ออกมาแล้วมั๊งไอ้เบ นี่ฟ้าก็จะสางแล้ว”พรานโส่ยร้องถามพรานนำทาง ซึ่งขณะนี้ยังคงสอดส่องสายตาไปรอบๆบริเวณอย่างไม่ละสายตา มือทั้งสองข้างของเขา ยังกุมกระชับปืนลูกซองคู่กายไว้แน่น

        “ข้าว่า พว กมันคงไปกันหมดแล้ว ไอ้บ่างผีลงพวกนี้ มันคงไม่ถูกกับแสงทุกชนิด แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ อดใจรอไปอีกหน่อย รอให้หมอกจางลงอีกนิด เราค่อย ขยับขยายกันอีกที อยู่ในแค้มป์เราแบบนี้แหละดีแล้ว”พรานเบกล่าวออกมา

          “มีใครเป็นอะไรบ้างกันหรือเปล่า ถูกพวกมันกัดเอาบ้างมั๊ย”

          “ไอ้บ่างผีลงพวกนี้ น่ากลัวจริงๆ ดูเขี้ยวของมันแต่ละตัวสิ แหลมอย่างกับหอก ถ้าโดนมันกัดคอ มีหวังหลอดลมทะลุ”พรานแปะร้องบอกคณะ พูดจบก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบจนแก้มตอบ และนี่ ก็เป็นบุหรี่ยาเส้นตัวแรก นับตั้งแต่ถูกฝูงบ่างนรกเข้ารุมเล่นงาน สายตาก็กวาดมองไปยังร่างของบ่างนรก ที่นอนตายแยกเขี้ยวขาวแหงให้เห็นอยู่เป็นกอง

          “น่าจะไม่มีนะ น้าแปะ นอกจากไอ้พะเปรียว ที่โดนกัดหลังจนเลือดสาด แต่ฉันดูแผลมันแล้ว ไม่น่าเป็นห่วงอะไรมาก ถ้ามันเลียแผลของมันถึง ไม่กี่วันก็หาย นอกนั้นพวกเราก็แค่ถลอกปอกเปิก”เจ้าเคิ้งร้องตอบ พลางใช้มือลูบหัวเจ้าพะเปรียว ที่ตอนนี้นอนหมอบกระดิกหางอยู่ข้างๆ บาดแผลบนหลังของมัน ที่ถูกคมเขี้ยวของค้างคาวนรกตัวนั้น ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ ซึ่งมองไปแล้วก็ไม่ได้ฉกรรจ์อะไรมากนัก เลือดบริเวณบาดแผลที่เห็น ในตอนนี้ก็แห้งเกรอะกรัง ส่วนคนอื่นๆก็นั่งสำรวจเนื้อตัวกันไปพลางๆ เจ้าเคิ้งมีแผลถลอกตามตัวเล็กน้อย เจ้าพุ่มหัวโน ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งมารู้สึกตัว แต่ก็จำไม่ได้ว่าไปพลาดเอาตอนไหน เหน๋อผู้ซึ่งตาขาวที่สุดในคณะ ซวยกว่าเพื่อน เพราะหน้าแข้งแตกทั้งสองข้าง แต่บาดแผลก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็ทำให้เดินเขยกไปอีกสองสามวัน พรานแปะก็ได้เลือดเล็กน้อยบริเวณข้อศอกทั้งสองข้าง พรานโส่ยหัวแม่โป้งเท้าข้างขวาห้อเลือด แกคงวิ่งเตะก้อนหินหรืออะไรต่ออะไรในช่วงที่ชุลมุนกัน มีเพียงสองพรานเท่านั้น ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย นั้นก็คือ พรานเบ และ พรานพร

          “เป็นอันว่า นอกจากเราจะต้องระวังสัตว์ป่าแล้ว พวกเรายังต้องระวังไอ้บ่างผีพวกนี้อีกหรือนี่ ซวยพับผ่า เจอทั้งเสือ เจอทั้งช้าง แถมไอ้เข้ในน้ำอีก คิดว่าจะรอดแล้วเชียว ยังจะมาเจอบ่างผีลงอีกเป็นฝูง ดุจริงๆ ป่านรกอะไรก็ไม่รู้”พรานพรโพล่งออกมา

          “พวกเราจะรอดมั๊ยน้าเบ น้าพร”

          “ดูทรงแล้วเราจะพากันตายห่ ากันหมดเสียไม่ว่า”เหน๋อบอกเสียงสั่นด้วยความกลัว

          “อย่าเสือ กปากหม าไปไอ้นี่ ไม่โดนไอ้พว กนี้กัดตายห่ าก็บุญเท่าไหร่แล้ว มัวแต่เสือ กไปหลบคลุมโปงอยู่ได้ เขายิงปืนกันแทบป่าแตก อะไรมันจะตาขาวได้ถึงขนาดนั้น มาด้วยกัน ไปด้วยกัน ถ้าจะรอด ก็ต้องรอดไปด้วยกัน มากับไอ้เบ เอ็งไม่ต้องทำเป็นใจเสาะ มีอะไรต้องช่วยเหลือกัน ไม่ใช่คิดจะเอาตัวรอดคนเดียว นี่ถ้าไม่ได้ไอ้แปะถ่อไปช่วยละก็ ป่านนี้เอ็งเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว”พรานโส่ยตวาด พูดจบแกก็ใช้ฝ่ามือตบไปที่ท้ายทอย ของเหน๋อดังฉาด เล่นเอาคนถูกตบถึงกับหัวถิ้ม จนพรานพรที่นั่งฟังและเห็นอยู่ใกล้ที่สุดร้องห้าม

          “เอาๆ พอ พอกันได้ทั้งสองคนนั้นแหละ เหลือกันอยู่แค่นี้ ยังจะมาทะเลาะกันอีก คนบ้านเดียวกันแท้ๆ ตาโส่ยแกก็อย่าไปถือสามันให้มากเลย เราก็รู้ๆว่าไอ้เหน๋อมันขี้กลัว กลัวไปเสียทุกเรื่อง ค่อยๆบอก ค่อยๆสอนกันไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง มันกลัวกันทุกคนแหละ ไม่มีใครไม่กลัว ข้าก็กลัว ไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม ก็กลัว ทุกคนในนี้ก็กลัวกันทุกคน อยู่ที่ว่าใครมันจะกลัวมากกลัวน้อยก็แค่นั้นเอง”

          “และไอ้เหน๋อ ข้าขอเตือนเอ็งไว้อีกคน เอ็งหัดเข้มแข็งไว้บ้าง เกิดเรื่องร้ายอะไร ก็อย่าไปปอดแหกให้มากนัก พวกเรายังอยู่กันครบ ขาดก็แค่ไอ้สิงห์ มันหนะ น่ากลัวและน่าเป็นห่วงกว่าพวกเราทางนี้อีกมาก มันตัวคนเดียว ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไง คิดจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงพวกเรา และไอ้สิงห์เข้าไว้ คนเรามันก็รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครไม่กลัวตายหรอก ข้าก็เข้าใจเอ็งนะ แต่ข้าก็อยากจะให้เอ็งสู้ อย่าไปปอดแหกอะไรให้มาก ดูไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม เป็นตัวอย่าง มันเด็กกว่าเอ็งเป็นสิบๆปี ใจมันยังกล้ากว่าเอ็งเลย ถ้าเมื่อคืนเอ็งสติแตก วิ่งเตลิดเข้าป่าเข้าดงไป เอ็งคิดดูสิ ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ตั้งสติเข้าไว้ เอ็งไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแบบไอ้สิงห์มันนะ แหกตาดูไปรอบๆตัว มีแต่พวกเราทั้งนั้น”พรานพรกล่าว เชิงอบรมสั่งสอน เหน๋อได้แต่นั่งคอตกไม่กล้ากล่าว หรือพูดโต้ตอบอะไรกลับมาอีก

          เมื่อมีคนกล่าวถึงชายหนุ่มที่มาบัดนี้ สูญหายไปจากคณะ บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าสลดลงไปอีก เหตุเพราะมันล่วงเลยเวลามาพอสมควรแล้ว ที่คณะไม่พบร่องรอยหรือเค้าโครงอะไรเลย ที่จะเชื่อมโยงให้ไปพบกับบุคคลที่สูญหาย ที่ทำได้ในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดาสุ่มเท่านั้น มีเพียงแต่พิธีกรรมของพรานชรา ซึ่งพอจะสร้างกำลังใจให้คณะขึ้นมาบ้าง แต่มันจะศักดิ์สิทธิ์หรือได้ผลอะไรหรือไม่ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรับประกันได้ แม้แต่ตัวพรานเฒ่าผู้ทำพิธีเอง หรือนี่จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของคณะ ที่จะต้องยกเลิกการติดตามคนหาย เพราะที่ผ่านมา มันไร้ซึ่งจุดหมายปลายทางมากไปทุกที และป่าดงทึบแห่งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เต็มเปี่ยมไปด้วย พิษภัยต่างๆนานับประการ ไม่ว่าภัยจากสัตว์ร้าย และภัยจากสิ่งลี้ลับต่างๆ ที่อาจจะซ่อนมาในภัยมืด แต่อีกใจของทุกคน ก็ยังมีความหวังที่จะออกค้นหา เพราะไม่อาจจะทอดทิ้งความเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่คนในครอบครัวออกไปได้ ถึงแม้จะใช้เวลายาวนานสักเท่าใด คณะก็ไม่อาจทอดทิ้งชายหนุ่มลงไปได้ แม้แต่ศพ พวกเขาก็จะเอากลับสู่ภูมิลำเนา ต่อให้ยากเย็นแสนเข็นขนาดไหน แม้เลือดตาจะกระเด็นก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ล้มเลิกความคิด

          “พว กมันมาแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวเลยจริงๆ ถ้าไม่ได้ไอ้แปะ ช่วยข้าไว้ตอนนั้น แล้วไอ้เบยิงสกัดไว้ ป่านนี้ข้าคงไม่รอด”

        “มันเป็นยังไง มายังไง เอ็งถึงตื่นขึ้นมาทันการณ์ ไม่ได้เอ็งอีกคน ข้าคงแย่”พรานโส่ยกล่าว พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่พบไอ้บ่างนรกฝูงนั้น ที่ครั้งแรก พรานแปะเข้าใจว่า สิ่งที่เห็น เป็นเพียงบ่างธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว เพราะในช่วงเวลาที่ตัวพรานเฒ่าตกตะลึงอยู่นั้น บ่างผีตัวนั้นก็ร่อนดิ่งตรงมาทางแก ถ้าจังหวะนั้น ไม่ได้พรานแปะกระโจนผลักแกให้พ้น โอกาสที่หลอดลมทะลุก็มีเปอร์เซ็น แถมเมื่อไอ้นร กตัวนั้นพลาดเป้า ที่หมายถึงก้านคอของแก ไอ้ตัวใหม่ก็ร่อนถลาลงมาอีก และจังหวะนี่เอง ที่แก้วหูของแกถึงกับอื้อ เพราะเสียงปืนลูกซองของพรานเบ ระเบิดอยู่ไม่ห่างกัน

          “ข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน”

          “ทีแรกข้าก็คิดว่าหลับฝันไป แต่พอสะดุ้งลืมตาขึ้นมา ข้าก็เห็นไอ้บ่างผีลงตัวนั้นแล้ว”พรานเบตอบ สายตาก็จับจ้องไปที่แท่นหินประหลาด ที่รูปทรงคล้ายฤาษีก้อนนั้น

          “ในฝัน ข้ามองเห็นพวกเราในแค้มป์นี่แหละ ทุกคน กำลังนอนหลับกันทั้งหมด ไฟก็จะมอดดับทุกกอง ข้าก็ลุกขึ้นไปเติมฟืน ขนาดเขย่าเรียกไอ้พร ที่นอนอยู่ข้างๆมันก็ไม่ยอมตื่น พอเติมฟืนสุมไฟ ข้าก็ออกเดินส่องไฟสำรวจ ป่าในความฝัน มันเงียบเชียบ ไม่มีเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงฟืนในกองที่ไหม้ไฟอยู่ ข้าออกเดินส่องไฟไปรอบๆ เพื่อดูความเรียบร้อยของแค้มป์เรา แต่ก็นึกขึ้นได้ ว่ายังมีแพอีกสองลำ ที่ผูกล่ามไว้ ตอนนั้นหมอกก็เริ่มลงหนา ข้าก็เลยส่องไฟไปตรวจดูแพของเรา ว่ามันยังเรียบร้อยกันอยู่หรือเปล่า แต่ไม่ทันที่ข้าจะเดินไปถึงแพเลย ไฟฉายของข้าก็ส่องไปเจออะไรบางอย่าง พวกเอ็งอยากรู้มั๊ย ว่าข้าเจอกับอะไร”พรานเบกล่าว พลางมองหน้าทุกคน

          “อะไรหรือน้าเบ”เหน๋อผู้เงียบไปนาน ร้องถาม

          “พระฤาษี”พรานเบตอบ

          “พระฤาษี”ทุกคนแทบจะร้องออกมาพร้อมๆกัน

          “ใช่ พระฤาษีตัวเป็นๆเลย เป็นฤาษีแก่ๆ แกก็นั่งในท่าที่เราเห็นอยู่นี้แหละ แต่ไม่ใช่ก้อนหินแบบที่เราเห็นอยู่นี้”พรานเบ อธิบาย

          “แล้วยังไงต่อไอ้เบ”พรานโส่ยร้องเร่ง

          “แกมาดี แถมยังฝากขอบใจแก มาด้วยตาโส่ย ที่ทำเครื่องเซ่นไปถวายเขา แกอยู่เฝ้าป่าดงแห่งนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว หมากพลูอะไร ไม่เคยได้ชิมเลยสักคำ”พรานเบกล่าว พลางเล่าเรื่องราวต่างๆไปเป็นตอนๆ ตามที่ตัวเองพอจะจำได้ โดยมีสมัครพรรคพวกมานั่งรายล้อมตั้งใจฟังทุกคน โดยเฉพาะพรานโส่ยถึงกับพนมมือไหว้ท่วมหัว เมื่อรู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวเอ่ยถึงแก

        “พ่อพราน เจ้ามิต้องตกใจ หรือตื่นกลัวอันใด ข้ามิมีพิษ มีภัย อันใดต่อเจ้าดอก”

          “ไหน เจ้าเข้ามาหาข้าใกล้ๆหน่อยสิ ข้ามีเรื่องที่จะนำความมาบอกพวกเจ้า”ฤาษีชราร้องบอกด้วยเสียงอันแหบพร่า แต่ก็อ่อนโยน ดูเป็นมิตร ซึ่งพรานนำทาง ก็สามารถสัมผัสได้ ทั้งคำพูดและอากัปกิริยา รวมถึงรูปร่างลักษณะ ของฤาษีที่มาปรากฏกายให้เห็น ใบหน้าที่ดูชราภาพ มีริ้วรอยให้เห็นยับไปหมดบ่งบอกถึงอายุอานาม แต่ก็มีแววตาเมตตา กรุณา หนวดเครายาวจนปกคลุมริมฝีปาก ยาวเสียจนจรดพื้น ดูขาวโพรนเป็นสีดอกเลา ซึ่งมันก็เป็นสีเดียวกันกับขนคิ้ว และเส้นผมที่มัดขมวดอยู่หลังท้ายทอย เสื้อผ้าการแต่งกาย หรืออัฐบริขาร ทำจากหนังเสือลายพาดกลอน ดูสะอาดตา ถึงไม่เคยเห็นที่ไหน ก็รู้ว่าเป็นฤาษี พรานเบที่กำลังส่องไฟฉาย จับไปยังร่างนั้น ที่ตอนนี้กำลังนั่งชันขาอยู่ ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อในครั้งแรก  แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็รีบทรุดตัว ก้มลงกราบทั้นที

          “ขะ..ข้า ขะ ขอกะ..กราบ นมัสการ ท่านฤาษี”

          “ทะ...ทา ท่านมาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมพวกข้าถึงไม่เห็นท่านมาก่อนเลย”พรานเบ ร้องบอกเสียง ตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้น จับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าจะพูดหรือเอ่ยถ้อยคำอะไรให้เหมาะสม และสุภาพที่สุด แต่ด้วยความรู้ไม่มี เพราะตัวเองก็ไม่เคยไปโรงเรียน แถมยังเป็นลูกป่าโดยกำเนิด เรื่องทำบุญเข้าวัดนั้นไม่ต้องพูดถึง นานๆครั้งเท่านั้นถึงจะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง ขนบธรรมเนียม ที่ควรจะปฏิบัติอะไรนั้นจึงไม่ถนัดนัก

        “โฮะๆ ข้าก็อยู่ของข้าที่นี่ มานับร้อยๆปีแล้ว มิต้องแปลกใจอันใดดอก พ่อพราน”ฤาษีตนนั้นตอบ พลางหัวเราะเสียงกังวาน

        “ข้ามีนามว่า พรหมโลก มาอาศัย แลมาบำเพ็ญพรตตบะอยู่ ณ ป่าดงแห่งนี้มาเป็นเพลาเนิ่นนานแล้ว ตัวเจ้าละ พรานเบ เจ้ากับ พวกของเจ้า เข้ามาทำการณ์ใด ในป่าเปลี่ยวดงดำแห่งนี้”

        “ข้ามาตามหาพวกของข้า หนึ่งคน ที่หลงเข้ามาในป่าแห่งนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง นี่พวกเราก็ตามหากันมาหลายวันแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววอะไรเลย”

        “เจ้าสิงห์นั่นเรอะ โฮะๆ มันยังมิตายดอก พ่อหนุ่มคนนั้น ดวงมันยังมิถึงคาด พวกเจ้าอย่าได้ทุกข์ร้อนไปเลย เมื่อโอกาสเหมาะสม พวกเจ้าทั้งหมด จักได้พบกัน โฮะๆ”ฤาษีชรา ที่มีนามว่า พรหมโลก กล่าวออกมา

        “ท่านรู้ได้ยังไงกันนี่ ว่าคนของข้า ที่หายไป ชื่อ สิงห์”

        “พรานเบ มิมีเรื่องใด ในป่าแห่งนี้ ที่ข้าจักมิรู้ หึหึ..”

        “ตั้งแต่พวกเจ้าทั้งหมด หลงเข้ามาเหยียบในดินแดนแห่งนี้ ข้าก็รับรู้ถึงจุดประสงห์ของพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว พวกเจ้าอีกหกคน แลสุนัขอีกหนึ่งตัว เข้ามาตามหาบุคคลสูญหาย ที่มีนามว่า สิงห์ ถูกต้องมิใช่ฤา”

        “พรานที่อายุไล่เรี่ยกับเจ้ามีนามว่า พร ที่หนุ่มลงมาอีกหน่อยมีนามว่า แปะ ส่วนตาเฒ่าที่เอาเครื่องเซ่นมามอบให้เรานั้น มีนามว่า โส่ย เด็กหนุ่มสองคนนั่น คนหนึ่งมีนามว่า เจ้าเคิ้ง ซึ่งเป็นลูกชายของตาพรานเฒ่าคนนั้น อีกคนที่เป็นเกลอของเจ้าเคิ้ง มีนามว่า เจ้าพุ่ม ส่วนอีกคนที่ขี้ขาดตาขาวที่สุด มีนามว่า เจ้าเหน๋อ จักให้ข้าบอกเจ้า ด้วยอีกหรือไม่ ว่าสุนัขที่ติดตามมาด้วยตัวนั้น พวกของเจ้าเรียกมันว่า ไอ้พะเปรียว”ฤาษีชรากล่าว พลางชี้นิ้วไปตามบุคคลที่ตนเองเอ่ยนามมา พรานเบถึงกับยืนคอแข็ง ขนตามร่างกายลุกซู่ขึ้นมาทันที”

          “ข้า.....ข้าเชื่อท่านแล้ว ท่านผู้วิเศษ ท่านฤาษี โปรดช่วยข้า และพวกของข้าด้วยเถอะ พวกของข้ามีความทุกข์ใจมาก เกี่ยวกับการหายไปของ ไอ้สิงห์ โปรดบอกข้ามาที ว่าไอ้สิงห์มันอยู่ที่ไหน พวกของข้า จะรีบออกตามหา และรับมันกลับมา”พรานเบ พูดละล่ำละลัก

          “ข้าบอกเจ้าไปแล้วมิใช่ฤา ว่าเจ้าสิงห์ พ่อหนุ่มคนนั้น มันยังอยู่ดี เจ้ามิต้องกลัวอันใด เจ้าสิงห์มันมีไหวพริบปฏิภาณ ที่จักเอาตัวรอดได้ ผิดกับพวกเจ้าทั้งหมดนี้ ที่จักเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกว่า ถึงพ่อหนุ่มคนนั้น จักอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ก็มีเทพอารักษ์ คอยปกป้อง เภทภัยให้อยู่มิห่าง”

          “เทพอารักษ์!”พรานเบอุทาน

          “ใช่แล้ว เทพธิดา รูปงามเสียด้วย นางตนนั้นเฝ้าติดตาม เจ้าสิงห์ตั้งแต่พวกเจ้าอยู่ป่าด้านนอกแล้ว โฮะๆ”

          “นางเป็นเทพธิดา ตนสุดท้าย ของป่าดงพงไพรแห่งนี้ ดวงจิตของนาง มีความผูกพันกับเจ้าสิงห์มานานแล้ว แต่โอกาสเพิ่งจักโครจรมาครบบรรจบกัน อาจเป็นไปได้ ที่ชาติปางก่อน นางแล เจ้าสิงห์เคยเป็นคู่รักกัน แต่เรื่องราวมันจักเช่นไร ข้าก็มิอาจบอกเจ้าได้”

          “ไอ้สิงห์มันอยู่ที่ไหนครับท่านฤาษี โปรดบอกข้ามาเถอะ” พรานเบร้องเร่ง แทนคำตอบของ ฤาษีพรหมโลก ฤาษีชรา ชี้นี้วออกไปทางปลายน้ำ

          “อันที่จริง พวกของเจ้าก็เดินทางกันมาถูกต้องแล้ว ส่วนระยะเพลาที่จักได้พบเจอนั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง จงใช้สติปัญญาของเจ้า ไตร่ตรองดูเอาเถิด”

          “โปรดบอกข้ามาเถอะท่าน ข้าจนปัญญาที่จะติดตามมันแล้วจริงๆ ข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์มันเหลือเกิน”พรานเบกล่าวออกมาร้อนรน



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,461


View Profile
« Reply #1 on: 20 November 2021, 10:06:33 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 ตอนที่ 2


บทที่ 16

ตอนที่ 2       

        “ถ้าเยี่ยงนั้น เจ้าและพวกเจ้า ก็จงปล่อยให้เจ้าสิงห์ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเสียที่นี่ แลพวกเจ้าทั้งหลาย ก็จงหันหลังกลับไปเสีย ก่อนที่จักมิเหลือใคร อยู่รอดแม้นแต่คนเดียว โฮะๆ”ฤาษีชรากล่าวออกมาเสียงเข้มขรึง พลางใช้มือลูบไปตามเครา ช้าๆ พรานเบถึงกับหน้าถอดสี ใจเสียลงไปอีก

          “ในเมื่อท่านจะช่วยพวกข้าแล้ว ก็ขอให้ช่วยพวกข้าด้วยเถอะ สิ่งใดที่ข้าและคนของพวกข้า ได้ล่วงเกินท่าน จะด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี อย่าได้ถือโทษโกรธพวกข้าเลย”พรานเบกล่าวจบ ก็ก้มลงกราบพื้นอย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่ตนเองเคยปฏิบัติมา

          “ก็ได้...ข้าจักช่วยเจ้า แต่มีข้อแม้ ที่เจ้าแลพวกคณะเจ้า จักต้องให้สัจแก่เรา”

          “บอกข้ามาเถอะ ว่าจะให้พวกข้าทำอะไร”

          “ข้าอยากให้เจ้า เลิกการเป็นพรานเสีย เลิกเข่นฆ่าเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะพวกมัน ก็ล้วนแล้วแต่รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น อย่าได้ก่อเวรก่อกรรมต่อไปอีกเลย เว้นเสียแต่ความจำเป็น ที่พวกเจ้า และเจ้า มิอาจเลี่ยงได้ อธิ การป้องกันชีวิตของพวกเจ้าเอง แลอาศัยเป็นแหล่งอาหาร ที่มีความจำเป็นมาถึงขีดสุด ข้าขอเพียงเท่านี้ เจ้าจักทำได้หรือไม่ เพราะพวกสรรพสัตว์ในดงแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบริวารของข้า ยกเว้นแต่พวกสัตว์ร้ายที่มาจากอบายภูมิเท่านั้น ที่ไม่ใช่บริวาร”ฤาษีชราที่มีหนวดเคราสีขาวโพรนกล่าวออกมาด้วยความการุณ

        “ได้ ข้าทำได้ เรื่องล่าสัตว์ ข้าก็ล่ามาเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น ไม่เคยคิดจะล่าเพื่อความสนุก หรือล่ามาเพื่อขายหากำไลอะไรทั้งนั้น ชีวิตพรานป่าแบบข้า ถ้าคิดจะฆ่าสัตว์ ก็ฆ่ามาเพื่อเป็นอาหารประทังชีวิตไปวันๆ แต่คนอื่นข้าไม่รู้ แต่สำหรับข้า ไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน หรือถ้าเป็นคนในกลุ่มของข้า คนใดคนหนึ่ง ข้าจะเป็นคนตักเตือนพวกนั้นเอง”พรานเบกล่าว ขณะนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ที่ทรวงอก

      “ดีมาก... ขอให้เจ้ายึดถือ สัจจะวาจา ที่มีให้แกเราไว้อย่างเคร่งครัด ถ้าหากแม้นทำผิดจากที่กล่าววาจาไว้แก่ข้า ภัยพิบัติ จักเกิดแก่เจ้าและคณะของพวกเจ้าทุกคนไป โฮะๆ”ฤาษีชรา กล่าวจบ ก็หยิบหมากพลูขึ้นมามวนเป็นแท่ง แล้วยกขึ้นใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ แสดงสีหน้าความพอใจ พรานเบได้แต่มองตาปริบๆ ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรหรือจะสอบถามอะไรอีก เพราะเห็น อากัปกิริยาของฤาษีตนนั้น กำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเซ่นต่างๆที่กองอยู่ตรงหน้า ปากก็เคี้ยวหมากไปพลาง ยกบุหรี่ยาเส้นสูบไปพลาง พยักหน้าตัวเอง อยู่หงึกหงัก แสดงความพึงพอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

      “มีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะเตือน อีกมิช้านานต่อจากนี้ จักมีเหล่าอสูรร้าย ที่พวกเจ้าเรียกมันว่า บ่างผี พว กมันจักแห่แหน กันมารุมล้อมทำร้ายเจ้าแลคณะ จงระวังตนให้จงหนัก อย่าได้ด่วน ผลีผลาม ชะล่าใจ แม้นเช่นนั้น คณะของเจ้าทุกผู้ ทุกตัวไป ก็จะวิบัติ”

      “พรานเบ เจ้าจงเตรียมตัว เตรียมใจไว้ให้พร้อม อีกมิเกินชั่วยามนี้ อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ไม่เกินรุ่งอรุณ พว กมันจักถอยทับผละไปเอง”

        “มา...เข้ามา ขยับมาใกล้ๆข้า ข้าจะมอบของบางอย่างให้แก่เจ้า”ฤาษีชราบอกออกมาเสียงเนิบๆแหบพร่า แต่แสดงถึงมิตรไมตรีจิต ไม่มีวี่แววว่า จะส่อในทางเจตนาร้ายใดๆทั้งสิ้น เมื่อฤาษีชราตนนั้น กล่าวจบ ก็ค่อยๆคายชานหมากออกมากองไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็หลับตา ทำปากขมุบขมิบ  ท่องคาถาออกมา แต่ไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้ถูก ว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินเป็นภาษาอะไร เพียงไม่กี่อึดใจ ก็ลืมตา แล้วเป่าลมพรวดลงไปบนกองชานหมากที่อยู่บนฝ่ามือนั้นสามครั้ง

      “รับมันไว้ นี่คือยาวิเศษ ไม่ว่าคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายมีพิษชนิดใดบนโลกนี้ หรืออสุรกายตนใด ยาของข้าที่มอบให้เจ้านี้ ก็จักสามารถรักษาพิษนั้น ให้กลับหายเป็นปกติได้ แต่ก่อนที่จักใช้มัน เจ้าจงระลึกถึงข้าไว้ ตัวยาถึงจะมีผลครบอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าหากแม้นพวกเจ้าได้กลับออกไปสู่โลกภายนอกแล้ว ตัวยาวิเศษนี้ ก็จักสูญสลายไปเอง”ฤาษีพรหมโลก กล่าวออกมา พลางยื่นมือที่ถือชานหมากนั้นไปตรงหน้าของพรานเบ พรานนำทางค่อยๆรับมาประคองไว้ด้วยมืออันสั่นเทา แต่เมื่อได้เห็นใกล้ๆ ชานหมากที่ครั้งแรกเขาเห็นมันเป็นกองขุยสีคล้ำ มาตอนนี้กลับกลายมาเป็นรูปทรงกลม ขนาดเท่าลูกมะขามป้อม จำนวนสามลูก พรานเบได้แต่นิ่งจังงัง ละคนมึนงง กับภาพที่ตัวเองเห็นต่อหน้า ตาก็จับจ้องวัดถุหรือยาวิเศษบนมือ สลับกับมองไปที่ฤาษีตนนั้นไปมา

        “แลจงจำไว้ให้ขึ้นใจ จงใช้ยาวิเศษนี้ ในคราวจำเป็นเท่านั้น จงใช้มันให้คุ้มค่า อย่าให้มันต้องสูญเปล่าไป โฮะๆๆ”ฤาษีผู้มอบยาวิเศษให้บนฝ่ามือของพรานนำทางกล่าว พลางหัวเราะก้อง จบประโยค ฤาษีตนนั้นก็คว้าจอกไม้ไผ่ ที่บรรจุเหล้าป่าขึ้นจ่อบริเวณจมูก พลางส่ายสูดดมกลิ่นไปมา อึดใจก็ยกจอกที่บรรจุเหล้าป่าจอกนั้นขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

        “มีอีกเรื่อง....ข้าฝากขอบใจตาพรานเฒ่าคนนั้นด้วยนะ พ่อพราน ข้าขอขอบใจ ที่ทำหมากพลูมาให้ข้า ยาเส้นยาฉุนนี่ก็ดีนัก เหล้าป่าก็ร้อนแรงชื่นใจเยี่ยงนัก ข้าวปลาอาหารก็รสเลิศ”กล่าวจบ ฤาษีตนนั้น ก็ยกเหล้าป่าที่อยู่ในจอกอีกโฮก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ฤาษีตนนั้น ได้ยกเหล้าขึ้นดื่มไปหมดจอกแล้ว แต่เป็นที่น่าแปลกใจของพรานเบ เพราะดูเหมือนว่า ไม่ว่าฤาษีตนนั้นจะดื่ม หรือบริโภคอาหารเหล่านั้นเข้าไปมากเท่าไหร่ อาหารและเครื่องเซ่นทั้งหลายแหล่ ก็ดูเหมื่อนว่า จะไม่พร่องลงเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่พรานเบ เฝ้ามองอยู่ด้วยความแปลกใจอยู่นั้นเอง ฤาษีตนนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า

          “เจ้าไปทำกิจของเจ้าเถิด มิต้องมาคอยเฝ้ามองเราอยู่เยี่ยงนี้ โน่น ไอ้พว กบ่างผี พวกมันพากันแห่ เข้ามากันแล้ว รีบไปเสียเถิด โฮะๆๆ”สิ้นเสียงของฤาษีที่มีนามว่า พรหมโลก ร่างนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไป ราวกับหมอกควันจางๆ พรานเบได้แต่จ้องตะลึง ตาเบิกโพลง สับสนต่อเหตุการณ์ที่เห็น เพราะตลอดทั้งชีวิตพรานไพรของแก ไม่เคยพบ หรือเคยเห็นเรื่องราวลี้ลับอะไรแบบนี้มาก่อน

          “พอข้าลืมตาตื่นขึ้นมา ข้าก็เห็นบ่างผีลงพวกนั้นพอดี ทีแรกข้าก็คิดว่าตาข้าฝาดไป พอขยับจะไปปลุกไอ้พรที่นอนอยู่ข้างๆ ข้าก็เห็นไอ้บ่างห่ าลงตัวนั้นพอดี ไอ้ตัวที่ทำท่าว่าจะร่อนลงมาหาแกแหละตาโส่ย”พรานผู้เล่าเรื่องราวลี้ลับ ที่ตนเองประสบมา ให้คณะได้รับฟังจบก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบ สายตาก็สอดส่องมองออกไปรอบๆทิศทาง ซึ่งตอนนี้ บรรยากาศก็เริ่มมองเห็นทัศนียภาพได้รอบด้าน ละอองหมอกที่เคยลงอยู่หนาทึบ เมื่อช่วงแรก มาตอนนี้ก็เริ่มจางลงไปทุกขณะ เพราะแสงสว่าง จากดวงอาทิตย์ เริ่มทอแสงสีทองอ่อนๆเข้ามา

          “เฮี้ยนจริงๆ ป่าแถวนี้”

        “ข้าว่า พวกมันคงไม่ออกมาแล้วแหละ เตรียมเก็บของ จัดเสบียง แล้วออกเดินทางกันต่อดีกว่า ส่วนไอ้ซากเวรพวกนั้น”พรานเบร้องบอกคณะ พลางบุ้ยปากไปที่ซากของค้างคาวหรือบ่างผี ที่นอนตายแยกเขี้ยวแหงชวนให้สยอง

        “ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง แล้วก็ เอ็ง ไอ้เหน๋อ ช่วยกันสุมไฟเข้า แล้วช่วยกันเอาไอ้ผีตายซาก พวกนั้นไปเผาให้หมด อย่าให้เหลือ ข้าเห็นแล้วกินข้าวไม่ลง”

        “ส่วนที่เหลือช่วยกันเก็บของ พอกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเราจะออกเดินทางกันทันที เวลามันไม่คอยท่า ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ไอ้สิงห์ ก็น่าเป็นห่วงมากขึ้นเท่านั้น รีบกันก่อน ที่อะไรๆมันจะสายเกินไป”พรานนำทางร้องบอกคณะ ซึ่งทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่มีคนใดแสดงท่าทาง หรืออาการเกี่ยงงอน กับคำสั่งของพรานนำทาง ที่ประกาศออกไป เด็กหนุ่มทั้งสองและเจ้าเหน๋อ ต่างช่วยกันลากฟืน เข้าไปสุมไฟ ในกองไฟที่อยู่ตำแหน่งเดิม เพียงไม่นาน กองไฟกองใหญ่ก็ถูกจุดสุมขึ้นมาอย่างง่ายดาย เปลวไฟสว่างจ้าร้อนแรง เสียงฟืนประทุไหม้อยู่ในกอง ดัง เปรี๊ยะ ส่งควันและเปลวไฟกรุ่น ซากของบ่างผี ที่นอนตายแยกเขี้ยว บางร่างก็แหลกเละ เหลือแต่หนังคลุกฝุ่น กะรุ่งกะริ่ง บางร่างก็ขาดแหวกออกจากกัน เศษลำไส้ และเครื่องใน มองเห็นอยู่กระจัดกระจาย ตามพื้นดิน และโขดหิน เลือดสีแดงคล้ำ มาตอนนี้ก็เริ่มแห้งกรัง บางส่วนมีมดและแมลงขึ้นไต่ตอมอยู่ดำมืด ทั้งหมดถูกโยนเข้าไปเผาทำลาย กลิ่นไหม้จากเศษเนื้อและเศษขน เหม็นตลบ อบอวน จนแทบจะทนไม่ไหว แต่ทั้งหมดก็ต้องฝืนทำงานกันต่อไป เจ้าเหน๋อถึงกับโก่งคออ้วกออกมา เพราะไม่อาจ ทนทาน ต่อกลิ่นอันชวนคลื่นเหียน ในขณะที่ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตัวเองอยู่นั้น พรานโส่ย ที่กำลังแบกของ สัมภาระต่างๆอย่าง พะรุงพะรัง เพื่อลำเลียง เตรียมขนย้าย ไปที่แพของแก ก็ต้องร้องลั่น เพราะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ที่แท่นหินรูปฤาษีนั้น

          “เฮ้ย!!”

          “ทุกคน มาดูอะไรที่นี่เร็ว”พรานโส่ยร้องบอกคณะ ด้วยอาการตื่นเต้นละคนตกใจ กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า สมาชิกที่กระจัดกระจายกันทำงานของตัวเองอยู่ ต่างวิ่งกรูกันไปที่พรานเฒ่า ยกเว้นเจ้าเหน๋อที่ทำท่าจะหมดแรง นั่งหน้าเหลืองอยู่ข้างกองอ้วกของตัวเอง เมื่อคนที่เหลือมาถึง แล้วมองไปยังตำแหน่ง ที่พรานชราชี้มือบอก ทุกคนก็แทบจะอุทานพร้อมกันว่า

        “ยาวิเศษ!”

          “ยาของพระฤาษี ดูนั่น ชานหมากทำไมถึงเป็นก้อนกลมๆได้แบบนั้น ตามที่น้าเบบอกไว้เลยไม่มีผิด”เสียงใครคนใดคนหนึ่งโพล่งออกมา พลางชี้โบ๊ชี้เบ๊ ไปที่ก้อนชานหมาก ที่มีลักษณะเป็นก้อนกลม เหมือนยาลูกกลอน ขนาดของมันใหญ่ไม่เกินลูกมะขามป้อม ซึ่งตอนนี้ถูกวางกองกันอยู่ บนใบไม้ ที่แต่เดิมเคยถูกใช้รองรับชุดหมากพลู ยาฉุน และบุหรี่ยาเส้น ที่พรานโส่ยทำเป็นเครื่องเซ่นบูชา เมื่อช่วงก่อนค่ำ ของเมื่อวันก่อน มาตอนนี้ชุดหมากพลูที่ว่า ได้อันตรธานไปเสียแล้ว เหลือไว้แต่เพียงสำรับกับข้าวในกระทงใบไม้ ซึ่งตอนนี้มีมดและแมลงไต่ตอมอยู่บ้างเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนอัศจรรย์ใจมากที่สุดคือ ชานหมากที่เหมือนถูกใครปั้นเป็นก้อนกลมๆอยู่นี้ มันมาปรากฏอยู่ได้อย่างไร

          “ไอ้เบ เอ็งรีบเก็บขึ้นมาเร็ว พระฤาษีท่านเขาเป็นคนมอบให้เอ็ง มีเอ็งเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สมควรจะเก็บมันขึ้นมา เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ จนอายุแก่มาจนปูนนี้ ข้าก็เพิ่งจะเจอดี ก็มาวันนี้เนี๊ยแหละ  โอ้ย ผีสาง เทวดา ช่วยพวกลูกช้างด้วย”พรานโส่ยพูดพลาง พนมมือกราบไหว้ไปรอบๆทิศทาง ทำให้คนอื่นๆ รีบปฏิบัติตามแก ไม่เว้นแม้แต่พรานเบ ที่ยืนอึ้งกับภาพที่เห็น ตัวของพรานนำทางเอง ก็แทบจะไม่เชื่อสายตา ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่นี้ มันจะตรงและเป็นไปตามที่ฝันไป ลูกกลมๆที่ทำจากชานหมาก ทั้งสามลูก ตามที่ฤาษีตนนั้นที่บอกไว้ ว่าขอมอบให้เขา นำไปใช้ในยามจำเป็น หรือจะเรียกว่า ยาวิเศษนั้น มันจะมีอยู่จริง จะว่ามีคนในคณะแกล้งทำขึ้นมาหลอกเล่น ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ที่ผ่านมา มันร้ายแรงนัก คงไม่มีใครคิดอุตริ เล่นพิเรนทร์ ในเวลาเช่นนี้

          พรานเบ ก้มลงกราบพื้น บริเวณหน้าแท่นหิน ที่ประดิษฐานก้อนหินรูปฤาษีนั้น จากนั้นก็ค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบ ก้อนชานหมาก หรือ ยาวิเศษ ที่กองอยู่ตรงหน้า มือของพรานนำทางถึงกับสั่น เพราะความตื่นเต้น พรานนำทางก็ยกขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ ท่ามกลาง การมุงดูของสมาชิกที่รายล้อม ลักษณะของมัน แทบจะเรียกได้ว่า กลมเกลี้ยงราวกับลูกแก้ว ผิดแต่ว่ามันถูกปั้นหรือถูกคลึง จนเป็นก้อนกลมเสมอกัน ไม่มีส่วนใดบิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย แต่ละก้อนที่เห็น มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เจือไปกับสีแดงอ่อนๆของปูนแดง ซึ่งแต่ละก้อนก็พอที่จะสังเกตุเห็น เศษของใบพลู และยาฉุนบ้างเล็กน้อย หลังจากพิจารณากันอยู่ชั่วครู่ พรานนำทางก็ค้นอะไรบางอยู่ ที่เก็บอยู่ไว้ในย่ามหลัง อึดใจก็คว้ากระปุกหรือกระอับสังกะสีเก่าๆ ลักษณะทรงกระบอกเล็กๆ เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกินสามนิ้ว สูงอย่างมากไม่เกินสองนิ้ว ข้างในบรรจุ ยาสามัญประจำบ้าน ที่มีอยู่ติดตัวชนิดต่างๆ  ทั้งหมดอยู่ในซองพลาสติกกันน้ำอีกชั้นหนึ่ง มีทั้งยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้ท้องเสีย ชนิดผงคาร์บอล    พลาสเตอร์ปิดแผล สำลีฆ่าเชื้อ รวมถึงยาทาฆ่าเชื้อ ชนิดแอลกอฮอล์ขวดเล็กๆ ซึ่ง สิงห์เป็นคนแบ่งและแจกจ่ายให้กับทุกๆคน ก่อนที่จะออกเดินทาง พรานเบหยิบเอาซองพลาสติกใส่ยาขึ้นมาซองหนึ่ง ซึ่งภายในซอง บรรจุยาบางชนิดอยู่ในแผงฟรอยอลูมิเนียม พรานเบนำยาแผงนั้นออกมาจากซองพลาสติก แล้วบรรจงสอดยาวิเศษลักษณะเป็นก้อนยาลูกกลอนนั้นเข้าไปแทนที่หมดทั้งสามก้อน ก่อนที่จะปิดฝา พรานนำทางยกกระอับยาเก่าๆ ขึ้นจรดหัว พลางระลึกถึงฤาษีตนนั้น จากนั้นก็ปิดฝากระอับแล้วเก็บลงย่ามหลังของแก

          “แบบนี้ เห็นทีจะมีหวังแล้วพวกเรา”

          “ร้อยทั้งร้อย ข้าว่า ไอ้สิงห์รอดแน่นอน”พรานพรโพล่งออกมาด้วยความยินดี เจ้าพุ่ม เจ้าเคิ้ง พากันกระโดดโลดเต้นออกมาด้วยความยินดี พรานแปะถึงกับโผเข้าไปเขย่าแขนของพรานนำทาง พร้อมกล่าวออกมาว่า

          “ให้มันได้แบบนี้สิอาจารย์”

          “ไม่เสียแรง ที่ฉันขอมาเป็นลูกศิษย์ ต่อให้ออกไปสุดหล้าฟ้าเขียว หรือนรกที่ไหน ฉันก็ไม่กลัวแล้ว มีน้าเบอยู่ไหน ฉันก็อยู่ด้วย”พรานแปะ กล่าวออกมาหนักแน่น คนอื่นๆก็พากันเฮตะโล เกาะกลุ่มกันอยู่ที่พรานเบไม่ห่าง ส่วนพรานโส่ยหลังจากได้เห็นยาวิเศษมาเป็นบุญตาของแกแล้ว แกก็ปลีกตัวไปที่แท่นหินรูปฤาษี ก้มกราบแท่นหินประหลาดนั้นอยู่ปะหลกปะหลก ปากก็พร่ำบอกว่า

        “ถ้าอยากได้อะไรอีก ก็มาเข้าฝันบอกลูกช้างด้วยเถอะ”

        “จะเอาหมากพลู ยาเส้น ยาฉุน บุหรี่ใบตอง หรือเหล้าโรงอะไร ก็ขอให้บอกไม่ต้องเกรงใจ ลูกช้างจะเอามาเซ่นถวายอีก ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เลย พ่อปู่ฤาษีนี่”กล่าวจบแกก็ก้มลงกราบ แต่ไม่ทันที่พรานชราจะเงยหน้าขึ้น แกก็ต้องสะดุ้ง เพราะมีเสียงไอโขลกๆเหมือนคนแก่แว่วเข้ามา จากทางด้านหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งของแท่นหินฤาษี พรานโส่นถึงกับตัวแข็ง เกิดอาการกลัว ไม่กล้าที่จะเงยหน้าออกมาพิสูจน์

          “แคร๊กๆ”

          “ยา...ขอยาหอมหน่อย ตาโส่ย”เสียงแหบพร่า ร้องออกมาแผ่วๆ พรานโส่ยที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ กลัวอย่างลนลาน ปากก็ร้องบอกไปเสียงสั่นๆว่า

        “ฮะ..ฮ้า..”

        “พ่อปู่ฤาษี พุดกะฉันด้วยรึนี่ โอ้ย..ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ลูกช้างกลัวแล้ว”พรานโส่ยสำลักออกมาแทบไม่เป็นภาษา

        “เร็ว...แคร๊กๆ”

        “บอกว่าขอยาหอมหน่อย ไม่ได้ยินรึไง เร็วๆ”เสียงแหบพร่า ร้องเร่งเข้ามาเสียงดุๆ พรานชราถึงกับสะดุ้ง รีบก้มหน้าก้มตา ควานหาขวดยาหอมที่แกใส่ไว้ในย่ามส่วนตัวของแกที่สะพายอยู่ เมื่อค้นเจอแล้วก็ประคองส่งให้ แต่ก็ก้มหน้าไม่กล้ามองด้วยอาการนอบน้อม

      “ขอ..ระ..รับ”

      “นะ..นี่..ขอรับ ยะ ยา..ยาหอมที่พ่อปู่ท่านต้องการ”พรานโส่ยบอกเสียงสั่น พลางยื่นขวดยาหอมของแกส่งไปเบื้องหน้า อึดใจขวดยาหอมก็เหมือน มีอาการถูกกระชากออกไปจากมือของแกโดยไว พรานเฒ่ารีบหดมือของแกลงทันทีด้วยอาการหวาดเสียว

      “นะ..น้ำด้วย”

      “ตะ..ตาโส่ย มีติดมาด้วยสักหน่อยมั๊ย เอามาให้ฉันสักแก้วเถอะ”จบประโยคอันแหบพร่า ก็มีเสียง โอ๊ก อ๊าก คล้ายคนกำลังโก่งคออ้วกอยู่ข้างๆ ด้วยความแปลกใจ บวกกับความกล้าของพรานเฒ่า ที่เริ่มจะมีขึ้นมาบ้าง แกจึงค่อยๆ รวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้แกถึงกับตกใจร้อง เฮ้ว ขึ้นมาสุดเสียง ผงะหลังหงายท้องผลึ่ง หัวใจแทบวาย เพราะใบหน้าอันเหลืองซีดของเจ้าเหน๋อ ยื่นหน้าเข้ามาจ่อ ห่างจากแกไม่ถึงศอก แขนข้างหนึ่งยันพื้น อีกข้างก่ายเกยอยู่กับแท่นหินรูปฤาษี ไม่รู้ว่ามันแอบคลานมาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

        “ไอ้ฉิบหา ย!”

        “กูก็คิดว่าพ่อปู่ฤาษีเล่นกูให้เข้าแล้ว โถ่ ไอ้เว ร”พรานโส่ย ตวาดแหว หลังจากตั้งหลักขึ้นมาได้ แกก็สับมะเหงก ลงไปบนกลางกบาล ของเจ้าเหน๋อ ดัง โป๊ก เหน๋อคราง อู้ ใช้มือลูบหัวไปมาหยอยๆ อาการของเหน๋อและพรานโส่ย ทำให้ทุกคนในคณะพากันหัวเราะ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,461


View Profile
« Reply #2 on: 20 November 2021, 10:09:16 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 ตอนที่ 3



บทที่ 16

ตอนที่ 3

          เหตุการณ์เ ลวร้าย ที่ผ่านมาเมื่อตอนค่ำ มาตอนนี้ถูกคลี่คลายไปในทางที่ดี บรรยากาศเริ่มกลับมาดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากที่ทุกคนเคร่งเครียดมาตลอดทั้งคืน ยิ่งได้ของวิเศษมาอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้แล้ว มันยิ่งเป็นตัวเพิ่มขวัญและกำลังใจของทุกคน สิ่งของวิเศษชิ้นเล็กๆเพียงแค่สามชิ้นที่ได้มา เปรียบเสมือนจุดยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ รวมไปจนถึง คำบอกเล่าจากพรานนำทาง ที่กล่าวมาว่า ฤาษีตนนั้น ได้บอกความเป็นอยู่ และสภาพของบุคคลที่สูญหายแล้ว ยิ่งเพิ่มกำลังใจในการออกติดตามมากขึ้นไปอีก ทุกคนในคณะ ต่างมีความกระตือรือร้น รีบเร่งที่จะออกติดตาม เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากอาหารเช้า ที่กินกันอย่างง่ายๆ ซึ่งก่อนอาหารเช้ามื้อนั้น หรือแทบจะทุกมื้อ พรานโส่ย ผู้รับหน้าที่เป็นเจ้าพิธีหรือกลายเป็นหน้าที่ของแกไปแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะทำชุดเซ่นไหว้ของแกทุกครั้งไป ข้าวปลาอาหารและชุดหมากพลู ก็จัดหาตามประสาของแก  และเพื่อกันไม่ให้เกิดไฟป่า กองไฟทุกกอง จึงถูกพรากออกมาจากกอง ไม่เว้นแม้แต่กองไฟ ที่ใช้เป็นเชิงตะกอน เผาซากไอ้บ่างผีลงพวกนั้น ซึ่งตอนนี้เหลือแต่เศษกระดูกและเศษเนื้อดำปี๋เป็นตอตะโก แพทั้งสองลำ ที่ถูกบรรจุคนของคณะพร้อมสัมภาระต่างๆ ก็พร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้ง โดยการนำทางของพรานเบ ที่ตั้งเข็มให้แพทั้งสองลำ ไหลล่องไปตามกระแสน้ำ ตามการชี้นำ ของฤาษีพรหมโลก ที่เคยบอกใบ้ไว้กับพรานนำทางในความฝัน ส่วนจะใช้เวลาเนิ่นนาน หรือใกล้ไกลขนาดไหน ค่อยมาช่วยกัน คิดวิเคราะห์กันอีกที ก่อนที่แพทั้งสองลำ จะค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปจากฝั่ง พรานเบก็พูดออกมาดังๆว่า

          “ลาก่อนพ่อปู่ฤาษี”

          “พวกเราทุกคนจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่าน”พรานนำทางร้องบอก พลางโบกมือไปมาเป็นสัญญาณว่าลาก่อน คนอื่นๆก็พลอยทำตามแกไปด้วย พรานโส่ยป้องปากตะโกนออกมาอีกว่า

        “อย่าลืมนะพ่อปู่ อยากกิน หรืออยากได้อะไร ก็ให้มาเข้าฝัน บอกลูกช้างด้วย ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง ลูกช้างจะหามาให้”สิ้นเสียงของพรานเฒ่า แพทั้งสองลำก็ลอยลิ่วไปตามกระแสน้ำ ทิ้งให้ภาพ ของก้อนหินรูปฤาษีก้อนนั้น เว้นระยะห่างออกไปทุกขณะ เพียงไม่นานก็เรือนลับกลืนหายไปในกองหมู่หินที่รายล้อม และหมอกควันจางๆ

        แพทั้งสองลำ ลอยเอื่อยไปตามสายน้ำใส ผ่านเกาะแก่ง และโขดหิน สูงๆต่ำๆ ที่ขึ้นโผล่พ้นน้ำอยู่เรียงราย ซึ่งระดับน้ำที่ผ่านมานั้น ดูไม่ลึกนัก สังเกตุได้จากไม้ ที่ใช่ถ่อแพ มันจมลึกลงไป เต็มที่ก็ไม่เกินสองวา  พื้นกรวดที่อยู่ด้านล่าง ก็พอที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน พอแพทั้งคู่ ลอยผ่านหมู่หินใหญ่ ที่มองเห็นอยู่เป็นดงชายตลิ่ง ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ยืนตายพรายแทรกอยู่ พรานโส่ยที่ถ่อแพตามหลังมา ก็ร้องบอกพรานเบ ว่าจะขอแวะดูซากเสือดาว และซากกวาง ที่เสือกัดตายไว้เมื่อวานเย็น เผื่อว่า จะใช้ประโยชน์จากซากกวางตัวนั้นได้บ้าง พรานนำทางโบกมือไปมา แสดงสัญญาณปฏิเสธ พลางชี้มือไปที่ช่องก้อนหินใหญ่ ลักษณะเป็นปากโพรงถ้ำตื้นๆให้ดู ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างถนัดจากบนแพ ภายในนั้นพอจะมองเห็นซากกวางใหญ่ได้อย่างชัดเจน แต่สภาพของมันในตอนนี้ เหลือแต่โครงกระดูก กระจัดกระจาย มีเพียงเศษเนื้อบางๆเท่านั้น ที่เกาะติดอยู่ ต่ำลงมาบนพื้นด้านล่าง เกือบจะถึงโคนของไม้ใหญ่นั้น ก็พบกับกองกระดูก ของสัตว์อีกชนิดหนึ่ง สภาพของมันก็ไม่แตกต่างจากซากกวางที่เห็น ถ้าดูจากหัวกะโหลกที่ถูกแยกส่วนห่างออกไปร่วมวา ก็น่าจะเป็นซากของเสือดาว ตัวที่พรานเบยิงตายไว้ เพราะสังเกตุได้จากเขี้ยวด้านบนทั้งสองข้างยังอยู่ครบ ส่วนเขี้ยวคู่ล่างที่ติดอยู่กับกระดูกขากรรไกร ถูกแยกส่วนหายไป ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า มันเป็นผลงานของสัตว์ชนิดใด ระหว่างสัตว์กินซากจำพวกหมาไน หรือไอ้บ่างผีนรกพวกนั้น

          แสงแห่งอรุณรุ่ง ของเช้าวันใหม่ เริ่มทอแสงแผ่รัศมีและไออุ่น ลมโชยพัดยอดไม้ไหว โอนเอนจนทำให้น้ำค้างที่เกาะจับตัวกันเป็นหยดน้ำ ตามเรือนใบและกิ่งก้าน ตกร่วงลงพื้นดินดัง กรู กราว กระรอกดงสามสี่ตัว พากันวิ่งไล่ไต่กันไปมา ตามกิ่งก้านและเครือเถาวัลย์ ที่ทอดยาวเกาะเกี่ยวไปตามลำต้นของต้นไม้และเชิงผา แต่ละเส้นใหญ่โตขนาดโคนขาขึ้นไป ลักษณะดูบิดเบี้ยวหงิกงอ บางเครือของเถาวัลย์ก็ออกดอกสีสันสวยงามดูแปลกตา บ้างก็ออกฝัก ออกผลเป็นพวงๆกลายมาเป็นอาหารของพวกกระรอกและนกนานาชนิด พวกมันพากันแทะและจิกกินผลไม้สุกเหล่านั้น บางผลก็ร่วงหล่นตกลงมา กลายมาเป็นอาหาร ให้กับสัตว์ที่หากินอยู่เบื้องล่าง ไม่ว่าจะเป็น เก้ง กวาง หมูป่า ไล่ไปจนถึง วัวแดง กระทิง หรือแม้แต่ช้าง ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะต่างก็ชื่นชอบผลไม้สุกประเภทนี้เช่นกัน นอกจากผลสุกของเครือเถาวัลย์ชนิดนั้นแล้ว ตามพงรกชายน้ำ ยังดาษดื่นไปด้วยมะเดื่อป่า แต่ละต้นออกผลดก ซึ่งตอนนี้กำลังสุกงอม มีร่องรอยของสัตว์ชนิดต่างๆลงกิน บางลูกที่ร่วงหล่นกลิ้งลงน้ำ ก็กลายมาเป็นอาหารปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาตะเพียน ปลากระแห ปลาตะพาก หรือปลาเกล็ดชนิดต่างๆ ล้วนแล้วแต่ชื่นชอบผลสุกของลูกมะเดื่อ ผลสุกกลิ้งตกลงไปที ก็แย่งฮุบแย่งกินกันจนน้ำแต กกระเซ็น

          ที่ริมน้ำชายตลิ่งตื้นๆ ที่ทอดยาวออกไป แลเห็นแต้มสีขาวนวล ของนกกระยาง และนกยางใหญ่ ออกเดินเลาะเลียบหากินลูกกุ้งลูกปลา ขยับออกไปจากชายตลิ่งที่มีกอหรือดงของสาหร่ายหางกระรอกและกอกกขึ้นแซมอยู่หรอมแหรม นกเป็ดน้ำ และนกกระทุง พากันดำผุดดำว่ายหากินปลาที่อาศัยอยู่ในดงสาหร่ายนั้น ไกลออกไปในดงไม้ล้มริมน้ำ ฝูงนากหลายสิบตัว ดำน้ำผลุบๆโผล่ๆ อยู่ในดงไม้และตอไม้ ไม่นาน ก็มีนากตัวหนึ่งจับได้ปลากดเหลืองขนาดเขื่องเท่าแขน มันรีบลากขึ้นไปแทะกินบนชายตลิ่ง โดยมีนากตัวขนาดย่อมกว่าอีกสามสี่ตัว ซึ่งอาจจะเป็นลูกๆของมัน วิ่งไล่ไต่ตลิ่งตามขึ้นไปด้วย แต่เพียงไม่นานพวกมันก็ต้องแตกกระเจิง เพราะเสียงไม้ไร่กอพง ที่มันเพิ่งจะเข้าไปหลบกินอาหาร หักลั่นดังโผงผาง ไหววูบ ลู่มาเป็นทาง ติดตามมาด้วยภูเขาขนาดย่อมๆสีเทาดำ เจ็ดแปดลูก ก็ค่อยๆโผล่พ้นพงรกออกมา มันคือช้างป่า ที่พากันลงมากินและแช่น้ำ ช้างป่าโขลงนี้ มีทั้งช้างพลาย ช้างพัง และลูกช้างวัยกำลังซน ขนาดไล่ๆกันอีกสามตัว

          ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง เพราะไร้ซึ่งก้อนเมฆบดบัง แลเห็นเป็นสีฟ้าครามไปทั่วทั้งท้องฟ้า ดวงอาทิตย์เริ่มลอยโผล่พ้นทิวเขา ทางด้านทิศตะวันออก แผ่รัศมีสีเหลืองทอง สว่างจ้ามองเห็นเป็นเส้น สาดกระทบทุกพื้นผิวที่ปราศจากสิ่งบดบัง ป่าทึบดงเถื่อน ที่ไร้ซึ่งการถูกรบกวนจากมนุษย์ ปราศจากการตัดโค่นและเผาทำลาย ราวกับป่าดึกดําบรรพ์ ต้นไม้แต่ละต้นใหญ่โตเกินที่จะนับอายุได้ ยอดเรือนที่เบียดชิดกัน จนแทบไม่เห็นช่องส่องลงมา ทำให้พื้นล่างชุ่มชื่นเหมือนถูกราดรดด้วยน้ำอยู่ตลอดเวลา ใบไม้และเศษซากของพืชชนิดที่ต่ำกว่า ถูกทับถมหมักหมมจนมองไม่เห็นพื้นดิน บรรยากาศภายในดงทึบจึงอับชื้น และมืดมน ดูวังเวงมีเลศนัย ผิดกับป่าด้านนอก ที่มีสภาพโปร่งโล่งมากกว่า เพราะมีทั้งทุ่งหญ้า ป่าเถาวัลย์ และไม้ที่มีสภาพแคระแกร็น แต่ก็ยังดูใหญ่โต สัตว์ป่ากินพืช น้อยใหญ่พากันออกหากินไปตามทุ่งหญ้า มองเห็นเป็นทิวแถว บางตัวก็กระโดดโลดเต้น ไปตามโขดหินที่ก่ายกองกันเป็นชั้นๆ หรือแม้แต่ตามหน้าผาที่สูงชัน สัตว์จำพวกแพะภูเขา หรือไม่ก็เลียงผา มีมากมายจนนับไม่ไหว พวกมันพากันหากินพืชพรรณ ที่ขึ้นอยู่ตามหน้าผา บางตัวก็มีอาการไต่กระโจนไปตามแง่หิน น่าหวาดเสียวว่าจะพลาดตกลงมา

          แสงแดดอ่อนในยามเช้า ส่องลอดพุ่มไม้ที่ขึ้นเบียดชิด ลำแสงของมันสาดพุ่งมาเป็นลำ ราวกับไฟฉายที่สาดส่องในยามค่ำคืน ลำแสงนั้นส่องรอดไปยังตำแหน่ง ปากโพรงถ้ำ ที่กินเว้าตื้นๆเข้าไปในผนังหิน มันสาดกระทบเข้ากับร่างที่อาศัยอยู่ภายในนั้น ซึ่งตอนนี้กำลังนอนคุดคู้อยู่บนผืนผ้าขาวม้าที่ใช้ปูนอน กองไฟกองใหญ่ที่เคยก่อสุมไว้หน้าปากโพรง มาตอนนี้เหลือแต่กองขี้เถ้า และปลายท่อนฟืนสั้นๆเท่านั้น ที่ยังมีการเผาไหม้อยู่เบาบาง เพราะยังแลเห็นควันจางๆอยู่สองสามท่อน ที่เหลือมอดดับเสียสนิท ส่วนอีกกองที่อยู่ภายในถ้ำดับลงไปมานานแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ด้วยอาการสะลึมสะลือ อึดใจใหญ่ถึงได้ยันกายขึ้นมานั่ง ด้วยอาการมึนงง พลางมองไปรอบๆกาย เหมือนจะลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เคยผ่านมา สิ่งแรกที่เขานึกได้ก็คือ หญิงสาวอันเป็นที่รัก ซึ่งในตอนนี้ได้อันตรธานไปเสียแล้ว แท้จริงแล้วตัวเขาก็คุ้นชิน กับเหตุการณ์ละหว่างหล่อนและตัวเขา  แต่ก็อดที่จะใจหายไม่ได้ในทุกครั้ง ที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบหล่อน และครั้งนี้มันผิดไปกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ มันลึกซึ้งกว่าครั้งก่อนๆ

          “ที่รักของผม”

          “ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน”ชายหนุ่มได้แต่คิด ไม่ได้กล่าวคำใดออกมา พลางก็กวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนจะสำรวจ เผื่อว่าจะพบร่องรอยอะไรของหล่อนมาบ้าง เพราะตัวเองก็เริ่มสับสน ว่าที่ผ่านมามันคือความจริง หรือความฝัน เขานึกย้อนไปถึงตอนที่เข้ามาหลบนอนในโพรงถ้ำนี้ ตั้งแต่ก่อนค่ำของเมื่อเย็นวาน ลำดับเหตุการณ์ต่างๆก็ยังจดจำได้ดี ว่าครั้งแรกตัวเองนอนข้างกองไฟ ที่ก่อไว้ภายในถ้ำ ใช้เป้หลังหนุนหัวต่างหมอน แล้วห่มด้วยผ้าขาวม้า จนมาถึงกลางดึกเมื่อคืน เสือลายพาดกลอนตัวหนึ่ง ได้เข้ามาวนเวียนรอบๆที่พัก จะว่าฝันก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะมองเห็นกระสุนปืนขนาด.22 ตกกระจายเกลื่อนพื้น ซึ่งจำได้ว่าเขาเองเป็นคนโยนกระสุนปืนบางส่วนเข้าไปในกองไฟด้านนอก เพื่อทำให้มันระเบิด เกิดเสียงไล่เสือร้ายไปได้ หรืออาจจะทำตกหล่นตอนมุดเข้ามาก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตัวเองเก็บเอาไว้ในห่อปิดมิดชิด และเก็บยัดไว้ในเป้หลัง ซึ่งสภาพของเป้หลังของเขาในตอนนี้ นอนตะแคงกระเท่เร่ อยู่ที่มุมในสุดหลังโขดหินใหญ่ ที่สำคัญมีรอยรื้อค้นให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน แล้วหลังจากนั้นไม่นาน หล่อนก็มาปรากฏกายขึ้นมาให้เขาเห็น และได้ชักชวนให้หล่อน เข้ามาภายในถ้ำแห่งนี้ และเขาเองนั้นแหละ ที่เป็นคนใช้ผ้าขาวม้า มาปูรองพื้นให้หล่อนคนนั้นนั่ง ซึ่งมันก็เกือบจะเป็นที่รองรับเพลิงสวาทละหว่างหล่อนและเขาไปแล้ว เมื่อคิดได้ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็แทบจะสร่างจากอาการงัวเงียขึ้นมาทันที แต่พอหันกลับไปมองตำแหน่งที่เขาเคยหนุนตักหล่อนคนนั้นชายหนุ่มก็ต้อง ตกใจยิ่งกว่าเห็นเสือลายพาดกลอนตัวนั้นเสียอีก

          ณ ตำแหน่งที่เขาเคยนอนหนุนตักหล่อนคนนั้นต่างหมอน ก่อนตัวเขาจะเคลิ้มหลับไป ตำแหน่งนี้เอง ที่ปรากฏวัตถุปริศนา ลักษณะของมันเหมือนผ้าผืนบางๆมันวาวเหมือนผ้าใหม ซ้อนพับกันหลายๆทบ มันเป็นผ้าสีเขียวอ่อน เหมือนสีของใบตองอ่อน สภาพใหม่เอี่ยมไม่มีร่องรอยของสิ่งสกปรกใดๆเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ไม่ผิดแน่ ผ้าผืนนี้ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า จะให้เป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก ผ้าสะไบ ของหล่อนคนนั้น ชายหนุ่มถึงกับขนลุก เบิกตาโพลง กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ผสมอยู่ในอาการเดียวกันจนตัวเองสับสนไปหมด ชายหนุ่มค่อยๆยื่นมือเข้าไปแตะเพื่อที่จะสัมผัส มืออีกข้างก็ขยี้ตาตัวเองอยู่ไปมา เพราะไม่แน่ใจว่า ตัวเองจะตาฝาดไปหรือไม่ แต่พอมือที่ยื่นไปสัมผัสโดนผืนผ้าปริศนาผืนนั้นแล้ว หัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          “ค..คะ..คุณพลับพลึง!”

          “นะ..นี่ ระ..เรา ไม่ได้ ฝันไปใช่มั๊ย”ชายหนุ่มสำลักออกมาแทบไม่เป็นคำพูด หลังจากคว้าผืนผ้าสะไบนั้นขึ้นมาตรงหน้า พร้อมๆกับจูบลงไปบนผืนผ้าสะไบนั้นอย่างหนักหน่วง ใช่แน่ หล่อนคนนั้นแน่ๆ เพราะกลิ่นที่หอมฟุ้งนั้น สัมผัสได้ ว่ามันเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคย เพราะมันเป็นกลิ่นเดียว กับกลิ่นกายของหล่อน ชายหนุ่มทั้งจูบ ทั้งหอม ทบผ้าสะไบผืนนั้นก่อนที่จะเอามากอดไว้แนบอก พลางยกดู แล้วเอามากอด สลับกันไปแบบนั้น อย่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง

          ชายหนุ่มเดินประคองผ้าสะไบผืนนั้น ออกมายังบริเวณหน้าปากโพรงถ้ำ ที่ตนเองใช้เป็นที่หลบอาศัยชั่วคราว สายตาก็มองสาดไปรอบๆบริเวณ บนลานหินรอบที่พัก ยังมีเศษถ่านก้อนดำๆ กระจัดกระจายเกลื่อน เหมือนใครเอามาโปรยทิ้งไว้ ส่วนกองฟืนกองใหญ่ที่เคยก่อสุมไฟ สภาพตอนนี้ไฟได้โทรมเหลือแต่ขี้เถ้าหมดแล้ว มีแต่ส่วนของปลายไม้ท่อนใหญ่ๆที่ยังไหม้ไม่หมด และที่สำคัญ ภายในกองไฟนั้น มองเห็นปลอกทองเหลือง ของกระสุนปืนขนาด .22 ตกอยู่ภายในหลายปลอก แต่ละปลอกมีสภาพแหกฉีก ด้วยอาการระเบิดอีกหลายสิบนัด มีสี่ถึงห้านัด ที่ไม่ได้ระเบิดหรือถูกไฟเผา เพราะมันตกห่างจากกองไฟออกไปมาก นอกจากร่องรอยของกระสุนปืนที่เขาใช้ไล่เสือแล้ว รอยตีน ของเสือลายพาดกลอน ตัวเจ้าปัญหาตัวนั้น ก็มีปรากฏให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจน รอยของมันย่ำวนเวียนรอบๆที่พัก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตัวจะใหญ่ขนาดไหน เฉพาะรอยตีนของมันก็ใหญ่กว่าฝ่ามือกางๆของเขาแล้ว แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มันก็ยังสร้างความตื่นเต้นได้ไม่เท่า ผ้าสะไบเฉียงของหล่อน ซึ่งตอนนี้ มันได้มาอยู่ในมือของเขาอย่างไม่คาดคิดไม่คาดฝัน แสดงเป็นเครื่องหมายบ่งบอกให้เน้นย้ำและมั่นใจได้ว่า ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ฝันไป

          บุคคลสูญหาย ที่ตัวเองก็ไม่อาจบอกได้ว่า เขาได้พลัดพรากจากหมู่คณะมายังสถานที่แห่งใด มันดูมืดมนไปหมดเสียทุกทาง มีเพียงสายน้ำใหญ่เส้นนั้น ที่พอจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวและใช้กำหนดทิศทางได้ ความว้าเห่ว เปล่าเปลียว ทำให้ท้อแท้อยู่หลายครั้ง มีเพียงหล่อนคนนั้น ที่คอยให้คำปรึกษา พูดคุย ให้เขาได้คลายกังวล ถึงแม้จะเป็นแค่ในยามวิกาลเท่านั้น เขาก็พอใจและยินดีแล้ว จนมันกลายมาเป็นความรักขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งนี้ มันได้สร้างแรงผลักดัน และขวัญกำลังใจอย่าน่าอัศจรรย์ ยากนักที่จะอธิบายให้ใครต่อใครได้เข้าใจ ว่าความรักที่เขามีให้แด่หล่อน ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา มันมีมากมายเกินจะกล่าว

          หลังจากเดินสำรวจโดยรอบจนเป็นที่พอใจแล้ว ชายหนุ่มก็รีบจัดเก็บข้าวของและสัมภาระต่างๆ ใส่เป้หลัง ไม่ลืมที่จะเก็บลูกกระสุนปืนที่ตกเรี่ยราด อยู่ตามพื้นภายในถ้ำและบริเวณรานหินเบื้องหน้า ส่วนผ้าสะไบผืนนั้น เขาบรรจงพับเก็บไว้เป็นอย่างดีภายในเป้หลังของเขา โดยห่อทับไว้ด้วยผ้าขาวม้าอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้า ล้างหน้าล้างตา ในแอ่งน้ำที่เกิดจากน้ำซับ ที่ขังเป็นแอ่งอยู่ภายในถ้ำ พอให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาบ้าง เมื่อเสร็จธุระของตัวเอง ก็มาสำรวจบาดแผลตามเนื้อตัว ทั้งแผลเก่าที่ฝ่ามือ ตอนนี้บาดแผลดูแห้งสนิทตกสะเก็ด ไม่มีอาการอักเสบให้เห็นเหมือนครั้งก่อนๆ เพียงแค่ทายาฆ่าเชื้อรอบๆบาดแผล นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนแผลใหม่ที่เกิดจากระว่างการเดินทางของเมื่อวาน เป็นเพียงรอยถลอกบ้างเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการเดินแบบสมบุกสมบัน สำรวจเนื้อตัวเสร็จ ก็มาจัดการกับอาหารเช้า ดังนั้นหัวมันเทียนเผาอีกหัว ที่เขาเก็บไว้เป็นเสบียงมื้อสุดท้ายก็หมดไปอย่างรวดเร็ว หลังจากดื่มน้ำที่ขังแอ่งนั้นจนอิ่มแปร้ ก็พร้อมที่จะเดินทางอีกครั้ง และครั้งนี้ของเขา มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง และขวัญกำลังใจ โดยเฉพาะกำลังใจที่ได้มาจากหล่อนคนนั้น

          เขาเดินลัดเลาะไปตามเชิงเขา ที่ทอดยาวเป็นกำแพงสูงยาวสุดตาทางด้านขวามือ โดยยึดให้เส้นทางขนานไปกับแม่น้ำสายนั้นซึ่งตอนนี้อยู่ทางด้านซ้ายมือ โดยการเดินในลักษณะ ทวนย้อน ซึ่งตลอดเส้นทางเริ่มโปร่งโล่ง ไม่รกทึบเหมือนที่ผ่านมา เพราะเส้นทางที่เดินฝ่า หนาแน่นไปด้วยไม้ใหญ่ แต่ละต้นสูงใหญ่หลายคนโอบ ไม่ว่าจะเป็น ไม้ยาง ไม้ตะแบก ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ ก็ล้วนแล้วใหญ่โตทั้งนั้น เรือนใบแต่ละต้น ทอดแผ่เบียดกันเป็นหลังคาทึบ แทบไม่มีช่องให้แสงตะวันลอดผ่านได้ จึงทำให้พืชชนิดอื่นๆไม่สามารถเจริญเติบโตได้ นอกจาก พืชจำพวกเฟิร์นและบุกบางชนิด ซึ่งขนาดของมันก็ใหญ่โตไม่แพ้กัน บางต้นก็ใหญ่โต มีพุ่มใบเหมือนต้นมะพร้าว หรือพืชตระกูลปรงและปาล์ม บางต้นก็มีลักษณะเป็นเถา ห้อยระย้าเหมือนผ้าม่านดูแปลกตา หรือบางต้นก็มีลักษณะเหมือนกะหล่ำปลีแต่ขนาดของมันใหญ่พอๆกับตุ่มมังกร ก้านใบลักษณะเป็นกาบ มีหนามปกคลุมเต็มไปหมด ดูไปแล้วก็ไม่น่าไว้วางใจ ต้องคอยเดินหลบหลีกอยู่เสมอ นอกจากพืชพรรณนานาชนิด ที่เขาไม่เคยเห็นแล้ว ในดงทึบแห่งนี้ สัตว์ป่าก็มีอย่างชุกชุม จนบางจังหวะก็แทบจะเดินชนกัน และเป็นโชคดีของเขาอีก เมื่อสัตว์ที่เขาเผชิญล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์จำพวกกินพืชเป็นอาหาร ไล่ตั้งแต่กระจง ไปจนถึงกวางขนาดใหญ่ ใหญ่สุดก็ช้าง ซึ่งต้องคอยระวัง เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหลบแอบซุ่ม หรือรอจนกว่าพวกมันจะผ่านกันไป ทุกก้าวของเขาจึงต้องเต็มไปด้วยความระมัดระวังภัยขีดสุด มีครั้งหนึ่ง เขาเดินไปตามด่านสัตว์ ที่เดินย่ำทิ้งไว้เป็นช่อง ตามดงเฟิร์นที่สูงเสมอเอว มีต้นกระวานและต้นปุด ขึ้นแซมเป็นระยะ ชายหนุ่มก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหว เพราะจับสังเกตุเห็น ซุ้มลักษณะประหลาด เหมือนใครมาตัดหรือกองใบไม้ไว้ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นใบเฟิร์น ต้นกระวาน หรือเศษวัชพืชต่างๆ สภาพกองพืชนั้นก็ยังสดใหม่อยู่ ทุกกองสุมระดับสูงเกือบถึงอกของเขา รัศมีที่กะด้วยสายตา มันกว้างประมาณห้าวา เกือบจะเป็นรูปวงกลม สัมผัสได้ถึงกลิ่นสาบแปลกๆ

          “ถ้าเจอรังแบบนี้ เอ็งอย่าเที่ยว เข้าไปใกล้ จำเอาไว้ นี่แหละ ซุ้มหมูป่า”

          “ถ้าตัวมันไม่อยู่ แต่เห็บ บนตัวมัน จะพากันเข้ามาอยู่ในรังแบบนี้ ทั้ง เห็บลม เห็บแรด ระวังให้ดี”นี่เป็นเสียงของพรานเบ ที่แทรกแว่วเข้ามาในโสนประสาท ของชายหนุ่ม หลังจากที่เคยท่องเที่ยวเดินป่ามาด้วยกัน ซึ่งครั้งนั้น พรานนำทางพามาพบเข้ากับรัง หรือ ซุ้มหมูป่า และตัวพรานนำทางเอง ได้บอกสอนเขา ซึ่งไม่ได้ประสีประสา อะไรเลยในตอนนั้น



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,461


View Profile
« Reply #3 on: 20 November 2021, 10:12:02 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 ตอนที่ 4



บทที่ 16

ตอนที่ 4


          หลังจากพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มก็ค่อยๆเดินถอยหลังช้าๆ พอกะว่าพ้นระยะและเห็นว่าน่าจะปลอดภัย จึงมองหาลู่ทางเบี่ยงหรืออ้อมหลบ ในจังหวะที่กำลังกวาดตามองหาเส้นทางใหม่ ซึ่งตอนนี้มันรกชัฏไปด้วยดงเฟิร์น ถึงแม้จะมีด่านของสัตว์ป่าเดินเปิดเป็นช่องไว้ แต่ก็ดูสับสนไปหมด จังหวะนั้นเอง ซุ้ม หรือ รังหมูป่า ก็มีอาการไหวโยกเยก ดัง สวบสาบ พริบตานั้นเอง ร่างอันเป็นเจ้าของซุ้ม ก็โผล่พรวดออกมาจากซุ้ม ที่เปรียบเสมือนบ้านของมัน มันเป็นหมูโทนเพศเมียขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังตั้งท้องแก่เต็มที่ เพราะสังเกตุเห็นท้องที่พองโต รวมถึงราวน้ำที่เต็งคัด ชายหนุ่มใจหายวาบ รีบกระโจนหลบวูบไปบัง ยังบริเวณโคนไม้ใหญ่ ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับเจ้าหมูป่าตัวนั้น มีอาการแหงนจมูกส่ายไปมาบนอากาศ เหมือนจะกระสากลิ่นอะไรบางอย่าง ซึ่งตัวมันเองก็ไม่เคยสัมผัสกับกลิ่นแปลกปลอมชนิดนี้มาก่อน โชคดีที่เขาอยู่ใต้ลม มันจึงไม่สามารถจับทิศทางของกลิ่นนั้นได้ หลังจากมันเดินวนเวียน สูดกลิ่น สำรวจซุ้มที่มันสร้าง และเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ มันก็มุดกลับเข้าไปในซุ้มเช่นเดิม ปล่อยให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นตึกๆอยู่กับภาพที่เห็น ซึ่งตอนนี้ตัวของเขาเองก็ไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนไปไหน เพราะเกรงว่ามันจะสำเนียกในการมาของเขา เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ที่เขาได้แต่เฝ้ามองซุ่มด้วยหัวใจระทึก เสียงของอะไรบางอย่างก็แว่วออกมาจากซุ้มนั้น มันดัง อู๊ด อี๊ด แทรกขึ้นมาเบาๆ พร้อมๆกับเสียงลมหายใจหนักๆ ดัง ฟูด ฟาด เป็นจังหวะ

          “สงสัยจะออกลูกแล้ว”ชายหนุ่มกล่าวออกมาภายในใจ พลางก็จับจ้องซุ้ม ที่ตอนนี้แม่หมูป่ากำลังออกลูก เมื่อฟังจากเสียงที่แว่วมา น่าจะมีหลายตัวที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลก

        เมื่อสบโอกาส ชายหนุ่มจึงรีบผละออกมาจากบริเวณนั้น เพราะไม่อยากรบกวนและตกเป็นเป้าผิดสังเกตุใดๆจากหมูแม่ลูกอ่อน เขาเดินเลาะไปตามทางด่าน ซึ่งค่อนข้างที่จะเดินสะดวก แต่ก็ต้องคอยหลบหลีกฝูงทาก ที่พากันชูสลอน ที่มีอย่างชุกชุม แต่ถึงแม้จะระวังมากขนาดไหน ก็หนีไม่พ้นทากกระหายเลือดพวกนั้น ขาแข้ง ของเขาจึงโชกไปด้วยเลือดสดๆ แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ปิดมิดชิดรัดกุม มากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่อาจป้องกันพวกมันได้ กว่าจะรู้สึกตัว ก็ต่อเมื่อ พวกมันกินเลือดของเขาจนอิ่มและทิ้งตัวหล่นจากตัวเขาไปแล้ว เหลือไว้แต่รอยบาดแผล ที่เกิดจากคมเขี้ยวของมัน ที่ฝากไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น ครั้นจะเปลี่ยนไปเดินไต่ตามหน้าผา ก็เห็นทีจะไม่ไหว เพราะสภาพผาหินที่ตั้งชัน เกือบจะทำมุมฉาก มันเกินกำลังของตน ที่จะไต่ผ่านไปได้ โดยไม่มีอุปกรณ์ในการช่วยไต่ จะเลี่ยงมาเดินชายน้ำแบบวันก่อน ก็ยังหวาดเสียวไม่หาย เพราะตัวเองได้เผชิญกับภาพสยดสยองมาแล้ว เมื่อเลือกไม่ได้ ก็ต้องจำใจเดินฝ่าดงทากนี้ไป อาศัยปัดป้องไปตามกำลังของตัวเองที่จะทำได้

          กว่าชั่วโมง ที่เขาเดินฝ่าดงทากแห่งนั้นมาอย่าง ทุลักทุเล จนในที่สุด สภาพพื้นที่ก็เริ่มเปลี่ยนไป ความหนาทึบของไม้ใหญ่ เริ่มโปร่งขึ้นเป็นลำดับ เนื้อที่บริเวณของป่าทึบ ก็เริ่มแคบน้อยลง เพราะระดับน้ำเริ่มกินอาณาบริเวณของป่า เหมือนบริเวณนี้อยู่ในที่ลุ่มน้ำ หรือป่าพรุ ต้นไม้หลายต้น เริ่มเปลี่ยนสภาพมายืนต้นตายพราย หลายต้นก็ล้มโค่น ราวกับว่า มันถูกน้ำท่วมมาเป็นเวลานาน ต้นไม้บางต้นก็ดูแคระแกร็น บิดงอผิดรูป บางต้นก็มีรากโผล่ออกมาดูเก้งก้าง เหมือนไม้โกงกางตามป่าชายเลน แต่ละต้นมีพืชจำพวกมอสและไลเคน เกาะเขียวพรืดไปหมด พื้นที่แห่งนี้ กินอาณาบริเวณไปเกือบจรดหน้าผาหิน ที่กั้นเป็นฉากอยู่ทางเบื้องขวา ซึ่งตอนนี้เริ่มตรอกแคบลง จนแทบไม่เหลือพื้นที่แห้ง หรือแผ่นดิน

          ชายหนุ่มลังเล ในสภาพและเส้นทางที่ตัวเองได้เผชิญอยู่ ณ ขณะนี้ สายตาก็กวาดสำรวจบริเวณ เพื่อสอบหาเส้นทางที่พอจะผ่านไปได้ ซึ่งพอมองเห็นลู่ทางอยู่เลาๆ เพราะป่าที่ตนเองอยู่ในขณะนี้ มีสภาพโปร่ง พอที่จะมองลอดผ่านช่องของต้นไม้ ที่ขึ้นอยู่ไม่รกทึบนักไปได้ เขามองเห็นแม้กระทั้ง ป่าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งตอนนี้มีสายน้ำใหญ่กั้นกลางอยู่ ลักษณะเหมือนจะแคบเข้ามาบรรจบพบกัน ที่ส่วนปลายของหน้าผาหิน ฝั่งเดียวกันกับที่เขายืนอยู่นี้ และป่าฝั่งตรงข้ามที่มองเห็นตำแหน่งชิดกันที่สุด แลเห็นเส้นเถาวัลย์เกาะเกี่ยวกันระโยงระยาง ราวกับสะพานธรรมชาติ ที่น่าจะสามารถไต่ข้ามไปได้ มันอยู่เหนือขึ้นไปบนสายน้ำที่กั้นขวาง สายน้ำยังคงไหลตามปกติ มองเห็นและสัมผัสได้ถึง ละลอกคลื่นของสายน้ำนั้น เพราะสภาพเหมือนป่าโกงกางที่ขึ้นซ้อนกัน ทำให้สายน้ำที่มองเห็นว่าไหลอยู่จากด้านนอก ดูนิ่งสนิทเมื่ออยู่ภายใน แต่ก็พอที่จะสัมผัสถึงการไหลของกระแสน้ำอยู่บ้าง ถึงแม้จะดูเบาบางก็ตาม

          พื้นที่แห้งก็มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงไปทุกขณะ จนในที่สุดก็ไม่หลงเหลือพื้นดินให้เขาเหยียบย่ำ เพราะพื้นที่ทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นโคลนตม ทำให้การสัญจร เป็นไปด้วยความยากลำบาก มาถึงตรงนี้ ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องเดินลุยน้ำลุยโคลนอีกครั้ง เพราะลักษณะของรากไม้ที่ขึ้นเหมือนต้นโกงกาง มันขึ้นแซมกันถี่ยิบ ราวกับลูกกรง ทำให้มั่นใจว่า สัตว์ร้ายจำพวกจระเข้ คงไม่สามารถฝ่าแนวรากไม้ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นแบบนี้ได้  ชายหนุ่มพยายามลุยเดินฝ่าเข้าไปตามแนวของต้นไม้ ที่พอจะมีช่องทางอยู่บ้าง แต่ก็ดูคดเคี้ยว วงไปวนมา ตามรัศมีของรากไม้ที่แผ่ออกไป บ่อยครั้งที่ก้าวขาไม่ออก เพราะขาของเขาจมลึกลงไปในดินโคลนที่เดินย่ำ ต้องออกแรงเหนี่ยวโหนรากไม้พวกนั้น เพื่อพยุงร่างกายให้หลุดพ้นออกมา ครั้งสองครั้งก็พอทนไหว แต่เมื่อหลายๆครั้งเข้า ร่างกายก็ชักจะอ่อนล้า จนบางทีถึงกับต้องยืนพักหอบจนตัวโยน หนักเข้าก็ต้องมองหาเส้นทางที่คิดว่าสะดวกกว่านี้ ความคิดที่จะเดินลุยไปตามดินโคลน จึงเปลี่ยนมาเป็นไต่เดินไปตามรากไม้ที่ขึ้นระเกะระกะ และดูเหมือนว่าจะง่าย กว่าการเดินลุยไปในปลักโคลน แต่ก็ต้องระวังลื่น เพราะแต่ละรากถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและมอส แต่ละก้าวจึงต้องเหยียบย่างไปด้วยความระมัดระวัง โชคดีที่มีเถาวัลย์และกิ่งก้านของต้นไม้ พอจะใช้ประคองให้เป็นหลักเหนี่ยวรั้งร่างกายของเขาได้ ซึ่งวิธีนี้ ทำให้การเดินทางของเขารวดเร็วและสะดวกสะบายมากขึ้น

          ตั้งแต่เช้า จนตลอดถึงสายของวันนี้ ที่เขายังเดินไต่คลำไปตามเส้นทาง ถึงแม้จะเสียเวลาน้อยกว่าการเดินลุยโคลนตม ถึงกระนั้นก็ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา ทั้งภัยที่อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ ที่เกิดจากสภาพของป่าและต้นไม้ที่ใช้เหยียบและเหนี่ยวรั้ง บางชนิดก็มีความลื้น ทั้งที่เกิดจากตะไคร่น้ำและมอส และสภาพของเปลือกที่ห่อหุ่มมันเอง บางชนิดก็มีหนามแหลมคมขึ้นปกคลุมราวกับต้นกระบองเพชร หรือแม้แต่สภาพผุพังของตัวมันเอง ที่อาจจะยืนต้นตายพรายมาเป็นเวลานาน มดแมลง รวมถึงสัตว์มีพิษต่างๆก็ต้องดูให้ถ้วนถี่ โดยเฉพาะ งู ทุกชนิด จะคว้า จะจับก็ต้องคอยสังเกตุทุกครั้งไป ครั้งหนึ่งสิงห์ก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียงโครมคราม ดังมาจากริมตลิ่งติดเชิงเขา เสียงของมันวิ่งย่ำน้ำและดินโคลน จนน้ำกระเพื่อมเป็นละลอกคลื่น เสียงมันดังห่างออกไปราวยี่สิบวา ครั้งแรกก็คิดว่าเป็นจระเข้ จึงรีบตะเกียกตะกาย ปีนสูงขึ้นไปบนต้นไม้ แต่พอสังเกตุออกไปยังตำแหน่งของเสียง ก็ต้องโล่งอก เพราะเสียงที่ว่ามา เกิดจากสมเสร็จแม่ลูกคู่หนึ่ง มันคงตกใจอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็กระสากลิ่นของเขา  ทั้งสองตัวพากันวิ่งๆหยุดๆ แสดงอาการลุกลี้ลุกลน หันรีหันขวาง ชั่วไม่นานเจ้าตัวแม่ก็พาลูกน้อยของมัน ควบโขยกหายไปในดงไม้

            ตลอดเส้นทางของชายหนุ่ม มักพบเจอกับสิ่งที่น่าตื้นเต้นอยู่ตลอดไม่ขาด ทั้งสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ที่ออกหากินกันอยู่ในป่าลุ่ม หรือป่าพรุแห่งนี้ สัตว์เล็กจำพวก นก และกระรอกหลากสี ซึ่งพบเห็นอยู่ไม่ขาด รวมไปถึงสัตว์เลื้อยคลาน ประเภท กิ้งก่า และตะกอง แต่ละตัวใหญ่โต มีสีสันสวยงามดูแปลกตา งู ก็เป็นสัตว์เลื้อยคลานอีกชนิด ที่เขาไม่อยากจะพบเจอ แม้จะพยายามเลี่ยง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ บางตัวเพียงใช้หอกไม้เขี่ยเบาๆ พวกมันก็พากันเลื้อยหนี แต่บางตัวก็ดื้อด้าน แถมมีอาการทำท่าว่าจะฉกกัด ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่เขาจะต้องตีและกำจัดมันออกให้พ้นเส้นทาง สัตว์น้ำประเภทปลา มีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ บางชนิดก็หาดูได้ยาก เช่น ปลาตะพัด ปลาเสือตอ และเสือตอพ่นน้ำ ก็มีให้เห็นอยู่มากมายเป็นฝูงๆ เพราะระดับน้ำไม่ได้มีความลึกอะไรมากนัก จึงพอที่จะมองเห็น ปลาเล็กปลาน้อยหลากหลายชนิด ที่อาศัยอยู่ตามแขนงของรากไม้ บางครั้งก็เห็นปลาใหญ่ ไล่ฮุบไล่กินลูกปลา ทั้งปลาช่อน ปลากระสูบ ปลาเวียน และปลานักล่าชนิดอื่นๆที่ไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักมาก่อน พวกมันพากันว่ายวนเวียนไปตามรากไม้ เพื่อไล่กินปลาเล็กปลาน้อยเหล่านั้น แต่ก็ได้แต่มองทำตาปริบๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ นอกจากนึกเสียดาย ถ้ามีฉมวก หรือ ตัวเบ็ดพร้อมสาย ติดตัวมาด้วยสักชุด ก็คงจะดีไม่น้อย อย่างน้อยๆเขาก็ไม่พลาดเมนูปลา ถึงแม้ตัวเขาจะทดลองใช้หอกไม้ปลายแหลม ไล่แทงพวกมันแล้วก็ตาม ซึ่งมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้เลย

          เกือบครึ่งทางแล้ว ที่เขาเพียรพยายาม เดินไต่เลาะมาบนเส้นทางสายวิบาก ร่างกายและกำลังเริ่มอ่อนล้าลงทุกขณะ พลังงานจากหัวมันเผาเมื่อตอนมื้อเช้าก็เริ่มลดน้อยลง ผลไม้ป่าที่พอจะเก็บกินได้ในป่าแห้งนี้ก็ไม่สามารถเก็บกินได้เลย ถึงแม้จะมีอยู่ดาษดื่ม ถึงแม้จะมีร่องรอยของสัตว์ป่าบางชนิดกัดกินไว้ก็ตาม ตัวเขาเองก็เคยทดลองมาแล้วในครั้งที่พบเจอ แต่ด้วยกลิ่นและรสชาติที่ลองดมและแตะชิมดู สัมผัสได้ถึงพิษภัยที่อาจจะตามมา ผลไม้ป่าบางลูก ก็มีสีสันน่ากิน แต่พาใช้มีดพับปอกฝานดูเนื้อใน ก็ปรากฏยางสีขาวไหลทะลักส่งกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนออกมา บางลูกก็มีลักษณะผลแบบลูก กีวี่ มีขนเล็กๆปกคลุมเหมือนกำมะหยี่ แต่สัมผัสโดนก็มีอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันที หรือแม้แต่ผลที่ดูเหมือนฝัก คล้ายๆ ฝักมะรุม มีรอยกระรอกแทะแกะกินอยู่เกลื่อน พอที่จะมองเห็นความหวังได้บ้าง แต่พอลองหักแกะดู กลิ่นของมันก็เหม็นเขียวแถมมีรสขมจัด ยากที่จะทนกินเข้าไปได้ บางชนิดก็ส่งกลิ่นหอมน่ากิน แต่เอาเข้าจริงๆก็กินไม่ได้ เพราะสภาพของมันมีแต่เปลือกหากินเนื้อในอะไรไม่ได้เลย ความหวังที่จะหาเก็บกินพืชหรือผลไม้ในป่าพรุแห่งนี้จึงไม่สามารถทำได้ ผิดจากป่าที่เขาเคยเดินฝ่ามาในดงทึบ เพราะตลอดเส้นทางดาษดื่นไปด้วยผลไม้ที่เขาสามารถเก็บกินได้มากมาย คิดแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ สู้เก็บใส่เป้หลังติดมาเป็นเสบียงระหว่างทางเสียก็ดี เพราะความคิดที่ว่า ผลไม้ป่าคงมีมากมายทุกที่ไป คงมีให้เก็บกินไปได้ตลอดเส้นทางอย่างที่หวังไว้ ถูกต้องว่าผลไม้ป่ามันมีทุกที่ แต่เขาลืมคิดไปว่า ไม่ใช่ทุกชนิด ที่คนจะสามารถกินได้ถึงแม้สัตว์ป่าจะสามารถกินได้ก็ตา

          เสียงแมลงกรีดปีก ส่งเสียงแซ่ระงม คละเคล้าไปกับเสียงนกกา นานาชนิด ที่ออกหากินแมลงอยู่ในดง บรรยากาศเริ่มร้อนอบอ้าว เพราะดวงตะวันฉายแสงแรงกล้า ถึงแม้จะอยู่ในร่มเงาของหมู่พรรณไม้ก็ตาม ฝูง นาก หลายตัว กำลังดำผุดดำว่าย อยู่รอบๆซุ้มรากไม้ และ ต้นไม้ใหญ่ที่ล้มเกยกันอยู่สองต้น แต่ละต้นที่นอนแช่น้ำอยู่นั้น รัศมีเส้นรอบวงของมันไม่ต่ำกว่าสองเมตร มันล้มในลักษณะพาดยาวไปคู่กัน ครึ่งหนึ่งของลำต้น จมแช่น้ำอยู่ ส่วนด้านบนเริ่มผุพัง จนส่วนโค้งของลำต้น เกือบจะเป็นแนวเรียบ ราวกับใครเอาขวานยักษ์มาถากเนื้อไม้บริเวณนั้นหายไป มีมอสและเฟิร์นบางชนิดขึ้นแซมอยู่หรอมแหรม ส่วนที่เป็นรากและกิ่งก้านต่างๆ ไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งคงจะผุพังไปตามกาลเวลา นากฝูงนั้นยังคงดำผลุบโผล่ อยู่ไม่ห่าง บางตัวก็จับได้ปลาตะเพียนขนาดใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ พอจับได้ก็นอนหงายท้องแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย บางตัวงมได้ กุ้ง ได้ปู  ก็พากันกัดกินกัน เสียงดัง กรอบแกรบ แต่ละตัวที่ออกหากิน ไม่มีตัวไหน ที่หาอาหารไม่ได้เลย บ่งบอกถึงความชุกชุมและอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ จังหวะที่ฝูงนากหลายตัวกำลังชุลมุนอยู่กับการงมกุ้ง งมปลา มีนากตัวหนึ่ง จับได้ปลาช่อนขนาดเขื่อง ขนาดของเหยื่อที่จับได้ ไล่เลี่ยกับตัวมัน ซึ่งตอนนี้กำลังดิ้นสะบัดตัวสุดฤทธิ์จนน้ำบริเวณนั้นแตกกระเซ็น ภายใต้คมเขี้ยวที่กดฝังลึกลงไปบริเวณคอของปลาช่อนเคราะห์ร้าย มีเพียงส่วนลำตัวและหางของมัน ที่สะบัดแกว่งกวัดบิดไปมา  เมื่อสู้กันในน้ำทำท่าว่าจะเสียเปรียบ เพราะขนาดความโตของเหยื่อ ใหญ่เกินขากรรไกรที่จะอ้าคาบได้ เจ้านากตัวนั้น ก็พาร่างของตัวมันตะกายไต่ขึ้นไปตามรากไม้ แต่ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะน้ำหนักของเหยื่อถ่วงไว้และไม่ได้อยู่นิ่ง กว่าจะไต่ขึ้นไปได้ ก็พลาดร่วงตกน้ำหลายหน จนในที่สุดเหยื่อของมันก็สิ้นฤทธิ์ไม่กระดิกกระเดี้ย กลายเป็นอาหารอันโอชะ

            ในขณะที่นากตัวนั้น กำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อใหญ่ คือปลาช่อนตัวเขื่อง ที่มันกำลังกัดแทะส่วนหัวและพุงปลาอย่างเมามันในรสชาติอยู่นั้น บรรดาญาติพี่น้องของมัน ที่กำลังสาละวนอยู่กับการหาปลา ก็พากันส่งเสียงร้องเอะอะ บางตัวผลุบดำหายลงไปใต้น้ำ บางตัวว่ายเข้าไปหลบตามพุ่มรกแนวรากไม้ บางตัวก็กระโจนบีนขึ้นมาบนรากไม้ แล้วยืนสองขา หันไปมองสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างที่มันก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน รวมถึงเจ้าตัวที่กำลังกัดแทะปลาช่อนใหญ่ตัวนั้นด้วย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่มันสำเนียกได้ และกำลังเข้ามาใกล้ ทำให้ความระแวกระวังภัยตามสัญชาตญาณเริ่มทำงาน พวกมันจึงพากันแตกตื่นหนีหายไป เมื่อเห็นอะไรชนิดหนึ่ง ไต่งุ่นง่านมาตามรากไม้ใกล้เขามา

          “อ้าวเฮ้ย”ชายหนุ่มอุทาน เมื่อเห็นปลาช่อนตัวเขื่อง นอนตายแน่นิ่งอยู่บนท่อนซุงใหญ่ ที่มีลักษณะผิวไม้เป็นลานเรียบ เมื่อเข้าไปพิจารณาใกล้ๆซากปลาที่พบเห็น ก็พบว่ามันมี ร่องรอยการกัดแทะกินของสัตว์อะไรชนิดหนึ่ง สภาพยังสดๆใหม่ๆอยู่ มีบริเวณหัวและเครื่องในบางส่วนที่แหว่งหายไป เจ้าของซากนั้น เพิ่งจะผละหนีไปเมื่อไม่กี่อึดใจนี้เอง แถมบริเวณพื้นที่ยังเปรอะเปื่อนไปด้วยคราบดินโคลน ซึ่งปรากฏรอยตีน และรอยลากหางขนาดย่อมๆของตัวอะไรชนิดหนึ่งทิ้งไว้เป็นเทือกไปหมด ขนาดของมันเขื่องกว่าตีนแมวหรือชะมด จะว่าเป็นตัวเหี้ ยหรือตะกวดก็ไม่น่าใช่ เพราะร่องรอยที่พบมันฟ้องว่าเป็นคนละชนิดที่พบเห็น

          เมื่ออาหารมื้อใหญ่มากองอยู่ตรงหน้า อย่างไม่ได้คาดคิดมาก่อน โอกาสดีๆแบบนี้ถ้าไม่รีบคว้าไว้ ก็ไม่รู้ว่าจะพบเจออีกหรือไม่ ยืนพิเคราะห์อยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจ กิ่งไม้แห้งที่มีอยู่มากมาย หาได้ง่ายในดงแห่งนี้ ถึงแม้จะอยู่ในป่าพรุที่มีน้ำท่วงขัง มันก็มีอยู่ดาษดื่น ทั้งไม้ที่ยืนต้นตายพราย ทั้งกิ่งแห้งที่หล่นร่วงค้างอยู่ตามรากไม้ ก็สามารถหาเก็บได้มาไม่ยาก พื้นที่ ที่จะทำการก่อไฟ ก็ไม่มีอะไรยากเย็นเกินกำลัง เพราะลักษณะของท่อนซุงนั้น เกือบจะราบเรียบพอที่จะมีพื้นที่ให้นั่งนอนได้อย่างสบาย ไม่นานกองไฟกองขนาดย่อมๆก็ถูกจุดขึ้นอย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะความชื่นของท่อนซุงมีสูง ถึงแม้จะมีสภาพผุพังมากก็ตาม จึงไม่ต้องกลัวว่าพื้นด้านล่างที่ก่อไฟจะไหม้ลุกราม  และมันก็แข็งแรงและสามารถรองรับน้ำหนักของเขาได้อย่างสบาย เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดความใหญ่โตของท่อนซุงกับมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย

          ปลาช่อนตัวเขื่อง ถูกไม้สดเสี้ยมปลายแหลม เสียบแทงไปตามความยาวของมัน ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรมาก แค่ล้างน้ำทำความสะอาดนิดหน่อยก็ใช้ได้ ปลาช่อนถูกย่างบนกองไฟทั้งเกล็ด พอโดนความร้อนเข้า ก็เริ่มส่งกลิ่นหอม ยิ่งมีน้ำและน้ำมันในตัวปลาหยดลงไฟดัง ฉี่ ฉ่า ส่งควันและกลิ่นตลบอบอวน ความรู้สึกหิวที่มีเป็นทุนเดิม ก็ทวีเพิ่มขึ้นมาอีก จนแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว  พลิกย่างอยู่พักใหญ่ เพราะขนาดของปลาเขื่องจึงต้องใช้เวลา นึกขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาอยู่ในใจ ที่ดลบันดาล ให้เขามาพบกับอาหารมื้อนี้ เปรียบเสมือนเป็นการต่อชีวิตให้มีกำลังได้สู้ต่อไปอีกครั้ง เกล็ดที่ดูว่าไหม้เกรียมแต่ซ่อนเนื้อขาวน่ากินไว้ภายใน ปลาสดๆถูกย่างจนสุกได้ที่ สัมผัสแรกที่ลิ้มรสชาติ มันหอมหวานราวกับได้กินอาหารจากสวรรค์ ยิ่งบริเวณที่เป็นส่วนของท้องปลาที่อุดมไปด้วยไขมัน รสชาติอร่อยลิ้นจนแทบหยุดกินไม่ได้ เพียงไม่นาน ปลาช่อนย่างก็เหลืออยู่เพียงครึ่งตัว พร้อมๆกับความรู้สึกที่อิ่มแปร้

          หลังจากจัดการกับอาหารมื้อเที่ยง ซึ่งมาได้กินเอาเมื่อยามบ่าย ส่วนที่เหลือ ชายหนุ่มห่อเก็บไว้ในเป้หลัง อย่างน้อยๆก็ทำให้อุ่นใจ ว่ามีเสบียงเพิ่มมาอีกมื้อ หลังจากตรวจดูฟืนไฟที่ก่อไว้ว่าดับดี และไม่มีท่าทีว่าจะไหม้รุกราม แบตเตอร์รี่ที่ใกล้หมดกำลัง พอได้ชาร์ตเสียหน่อยก็กลับมามีแรงอีกครั้ง การเดินทางของเขาจึงเริ่มขึ้น โดยยึดเส้นทางที่ตัวเองหมายตาไว้ คือเลาะไปตามแนวหน้าผา ที่เห็นแนวเถาวัลย์เกาะเกี่ยวกันเป็นสายอยู่ไม่ไกลนัก

          การเดินทางของเขา ยังคงใช้วิธีเดินไต่ไปตามรากไม้ ที่ขึ้นระเกะระกะอยู่ทั่วไป ตลอดเส้นทางยังคงยึดขนานไปกับแนวหน้าผา ที่กั้นไว้เป็นแนวกำแพงสูงชัน เมื่อใกล้ที่ตำแหน่งที่หมายตาไว้ สภาพบริเวณก็เริ่มเปลี่ยนไป พื้นที่ป่าเริ่มแคบลง ความลึกของระดับน้ำ ก็เริ่มมากขึ้น เพราะบริเวณพื้นเริ่มชันขึ้นเป็นลำดับ ลักษณะเหมือนเหวลึกลงไป จนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง บางช่วงก็ดูมืดวังเวงราวกับอยู่ในเหวนรก ต้นไม้ที่ขึ้นถี่ ก็เริ่มบางตา จนในที่สุดก็ไม่สามารถเดินทางได้ต่อไป เพราะแนวป่าพรุได้หมดสิ้นลง เหลือแต่เวิ่งน้ำสีเขียวมรกต กับหน้าผาที่กั้นเป็นแนวกำแพงซึ่งมันก็ทอดยาวเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด จะเดินไต่หน้าผาก็ทำไม่ได้  เพราะความชันของหน้าผา มันเกินความสามารถของเขาที่จะทำได้ เมื่อมองไล่ไปตามเส้นเถาวัลย์ที่ทอดไปยังฝั่งตรงข้าม ไล่เรื่อยมายังหน้าผาฝั่งของเขา ก็สังเกตุว่ามันเกาะเกี่ยวอยู่บนแง่หิน และต้นไทรใหญ่หลายคนโอบ ที่ขึ้นสูงขึ้นไปบนหน้าผา มีส่วนที่เป็นรากฝอย และรากอากาศห้อยระย้าลงมายังเบื้องล่าง ลักษณะของเถาวัลย์ที่เกาะเกี่ยวกับต้นไทร ทอดระโยงระยางหลายสิบเส้น บางเส้นขนาดเท่าโคนขา บางเส้นก็เท่าแขน เถาวัลย์บางเส้นก็ห้อยระลงมาบนผิวน้ำ มองเผินๆก็เหมือนสะพาน

          เมื่อไม่มีทางเลือก ก็ต้องเสี่ยง ชายหนุ่มเลือกที่จะไต่ไปตามรากไทร ที่ทอดยาวลงมาตามกำแพงหิน บางช่วงก็ไต่ขึ้นไปง่าย เพราะมีแง่หินให้เหยียบ บางช่วงก็ลำบาก เพราะต้องห้อยตัวไต่ไปตามรากไทร เนื่องจากหน้าผาหินมีลักษณะเว้าเข้าไป แต่ก็มั่นใจในขนาดของรากไทรที่ตัวเองใช้โหนตัว กว่าจะไต่ขึ้นมาถึงตำแหน่งโคนของต้นไทร ก็เล่นเอาเหนื่อยจนซี่โครงบาน ความสูงที่มองย้อนกลับลงไป ทำให้รู้สึกใจหายวาบ เพราะไม่คิดว่ามันจะมีระดับความสูงถึงเพียงนี้ อย่างน้อยๆก็ไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร นึกแล้วก็หวาดเสียว ถ้าเกิดพลาดตกลงไปก็คงจะแหลกเหลว แต่อีกใจก็นึกภูมิใจในตัวเอง ที่สามารถขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ ความสูงของต้นไทรที่เกาะอยู่บนหน้าผาชัน ทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ในระยะไกล เมื่อมองย้อนกลับไปในตำแหน่งที่ตัวเองเดินฝ่ามา มองเห็นเป็นดงทึบเบื้องล่าง ลักษณะเป็นป่าพรุสลับกับป่าดงดิบที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบ โดยมีภูเขาและหน้าผาสูงชัน กั้นเป็นฉากหลัง คู่ไปกับสายน้ำที่คดเคี้ยว ราวกับงูยักษ์ทีนอนทอดยาวไปจนสุดตา ซึ่งตอนนี้สะท้อนแสงแดดอยู่ระยิบระยับ ส่วนฝั่งตรงข้าม ผิดไปจากป่าฝั่งนี้โดยสิ้นเชิง เพราะไม่มีป่าพรุหรือที่ลุ้มน้ำเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับอุดมไปด้วยไม้ใหญ่ ที่ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น บางช่วงก็มองเห็นที่ว่าง เหมือนหาดอยู่ริมน้ำ บางช่วงก็เป็นแนวหมู่โขดหินขนาดใหญ่ แต่พอมองเหนือขึ้นไป ลักษณะของมันก็ดูว่าจะเป็นโค้งเว้า มีเหลี่ยมเขามาบดบังแลดูสลับซับซ้อน ทำให้ไม่สามารถคาดคะเนเส้นทางได้ นอกจากสายน้ำเส้นนั้น ที่จะยึดเป็นเส้นทางหลัก แต่ก็ไม่อาจจะมั่นใจได้ว่า สายน้ำที่เห็น มันจะมีสาขาแยกออกไปอีกหรือไม่



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,461


View Profile
« Reply #4 on: 20 November 2021, 10:14:54 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 ตอนที่ 5



บทที่ 16

ตอนที่ 5

          ลมโชยพัดมาตามช่องระหว่างภูเขาและหน้าผาหินชัน บางครั้งก็มีเสียงดัง ครวญคราง หวีดหวิว ราวกับเสียงของปีศาจ กิ่งไม้ยอดไม้ โยกไหวเอนไปมา เกิดเสียงลั่น ออดแอด บางครั้งก็มีเสียงดัง โครมคราม ของต้นไม้ล้ม หรือ ไม่ก็กิ่งไม้แห้งหักโค่นลงมา ลมที่พักกระโชก ทำให้เส้นเถาวัลย์ที่ห้อยพาดไปมาทั้งสองฝั่ง เกิดอาการโยกไหวแกว่งไกวไปมาน่าหวาดเสียว บนเส้นเถาวัลย์ที่ห้อยพาดระโยงระยาง ปรากฏร่างของมุนษย์ตัวกระจ้อย เมื่อเทียบกับขนาดความใหญ่โตของเส้นเถาวัลย์ อย่าว่าแต่คนตัวเล็กๆแบบเขาเลย ต่อให้ช้างตัวใหญ่ๆทั้งตัว ก็น่าจะสามารถไต่เส้นเถาวัลย์เส้นนี้ไปได้อย่างสบาย ความกว้างของเถาวัลย์ที่เขากำลังไต่เหยียบไปนั้น มันกว้างราวๆฟุตเศษ ลักษณะของผิวหรือเปลือก มีความสากกระด้าง บางช่วงก็เป็นลอน บิดเป็นเกลียว แบบเดียวกับบันไดลิง  ไม่ลื้น ทำให้ง่ายในการเดินไต่ โดยใช้เส้นเถาวัลย์ขนาดแขน ที่อยู่สูงเลยหัว ไว้พยุงโหนร่างกายของเขาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งมันก็อยู่สุดช่วงแขนของเขาพอดี ลักษณะในการไต่ จึงเกือบจะเป็นการโหนอยู่ในท่าตะแคง อาการไหวยวบยาบของเส้นเถาวัลย์ ทำให้การไต่เป็นอย่างน่าหวาดเสียว ยิ่งการไต่ล้ำเข้าไปในระยะกึ่งกลาง อาการโยกก็ยิ่งมากขึ้น ลมที่พัดผ่าน ก็มีทีท่าว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปด้วย จนบางครั้งก็เกือบจะพัดร่างของเขาให้หลุดลอยออกไปตามกระแสลม ซึ่งบางขณะก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ รอจังหวะให้กระแสลมเบาบางลง กว่าจะข้ามมาถึงฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ ก็เล่นเอาแข้งขาสั่นไปหมด แขนและฝ่ามือที่ใช้เกาะโหนเส้นเถาวัลย์ก็ชาเกือบจะไม่รับรู้ความรู้สึก ต้องนั่งพักเอาแรงอยู่ยกใหญ่ ถึงจะเริ่มไต่ลงมาจากกอซุ้มเถาวัลย์นั้นลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง

          ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่กำหนด โดยยึดเส้นทางที่ขนาบไปตามริมน้ำ เพราะสภาพพื้นที่ค่อนค้างโล่ง จึงเดินได้อย่างสะดวก ถึงแม้ถัดเข้าไป จะเป็นดงทึบของไม้ใหญ่ก็ตาม เส้นทางนั้นมีสภาพคดเคี้ยวลัดเลาะไปมา บางช่วงก็มีลำน้ำแยกมาบรรจบกันหลายสาย หรือบางตอนก็มีลำห้วย แทรกออกมาจากแนวป่าเหมือนน้ำตกขนาดเล็ก ชายหนุ่มหยุดพักล้างหน้าล้างตา และวักน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะบ่ายคล้อยลงไปทุกขณะ ด้วยสภาพป่าที่มีความทึบ อุดมไปด้วยไม้ใหญ่ ทำให้ยอดใบบางส่วนบนบังแสงจากดวงอาทิตย์ ยิ่งทำให้สภาพป่าดูครึ้ม ตลอดเส้นทางที่เขาสัญจร เปรอะไปด้วยร่องรอยของสัตว์ป่านานาชนิด หรือบางครั้งก็พบเข้ากับเจ้าของรอยเท้าทั้งหลาย การเดินทางถึงแม้จะอยู่ในที่โล่ง เขาก็ไม่ประมาท บางจังหวะที่ไม่แน่ใจในเส้นทาง ก็ต้องหยุดดูสำรวจให้ถี่ถ้วน เพราะบางครั้ง ก็เดินทับเส้นทาง ทางด่าน ที่สัตว์ป่าเดินย่ำไว้ให้เปรอะ เส้นทางที่โล่ง ทำให้มองเห็นชัยภูมิได้ในระยะไกล บางช่วงก็เป็นป่าหินน้อยใหญ่สลับไปกับป่าของต้นไคร้น้ำเตี้ยๆ ทำให้ไม่มีอะไรบดบังทัศนวิสัย
       
          เลยจากป่าหินขึ้นไป แลเห็นหาดทรายกว้างขวาง เนื้อที่ไม่ต่ำกว่าห้าไร่เศษ นกยูงหลายตัว กำลังหากินปะปนไปกับไก่ฟ้าและไก่ป่าอีกหลายสิบตัว บนพื้นทรายนั้น มีนกยูงตัวผู้ อยู่สามตัว กำลังรำแพน อวดความสวยงามของแผ่นหาง ที่คลี่ออกมาเหมือนพัดขนาดใหญ่เป็นรูปครึ่งวงกลม สีสันสวยงาม ราวกับปีกของแมลงทับ ดูวิจิตรตระการตา ชายหนุ่มหยุดดูอยู่ครู่ ก็ต้องรีบขยับแอบเข้าไปหลบอยู่หลังโขดหินใหญ่ เพราะสายตาแลเห็นอะไรบางชนิด ลักษณะเป็นสีดำสนิทไปทั้งตัว สิ่งนั้นนอนหมอบนิ่งอยู่ที่ซุ้มไม้ห่างจากฝูงนกยูงนั้นออกไปไม่มาก ถ้าไม่สังเกตุดีๆก็แทบจะมองไม่เห็น เพราะสีของมันกลืนสนิทไปกับเงาไม้นั้น มันเป็นเสือดำขนาดเขื่อง ที่หมอบนิ่งรอจังหวะที่จะกระโจนออกมาตะครุบเหยื่อของมันไม่ตัวใด ก็ตัวหนึ่ง ที่กำลังเดินคุ้ยเขี่ยอย่างไม่ได้ทันระมัดระวังตัว พริบตาเดียวเท่านั้นเอง นกยูงตัวหนึ่ง ที่กำลังมัวแต่รำแพนหางอวดโฉม เพราะแผ่นหางที่กางบังหลังมันไว้ ทำให้มันไม่สามารถมองเห็นทิศทางจากทางเบื้องหลังได้ เจ้าเสือดำที่หมอบนิ่งอยู่นั้น ก็กระโจนเข้าตะครุบเหยื่อของมันทำที พร้อมๆกับเสียงร้องเอะอะของเหล่าบรรดา นกยูง ไก่ฟ้า และไก่ป่า ซึ่งตอนนี้บินแตกฮือ กระจัด กระจายไปคนละทิศคนละทางด้วยความตกใจ มีไก่ฟ้าบางตัวบินเฉียดหัวของชายหนุ่มไปแบบชนิดฉิวเฉียด

          ความอลหม่านของบรรดาสัตว์ปีก ที่พากันบินกระจัดกระจายไปทั่วทิศ พร้อมๆกับเสียงไก่ป่า กระต๊าก อยู่ลั่นดง เพราะความตกใจ ไม่มีโอกาสได้แก้ตัว สำหรับนกยูงเคราะห์ร้ายตัวนั้น เพราะไม่กี่อึดใจ มันก็แน่นิ่งตายสนิทกล่ายเป็นอาหารอันโอชะของไอ้ดำ หลังจากที่คว้าชัย ที่ได้รับเป็นรางวัล มันก็คาบซากเหยื่อของมัน แล้วกระโจนแผ่วลับหายไปในดงหินที่ขึ้นอยู่สลับซับซ้อน ชายหนุ่มได้แต่แอบเฝ้ามองด้วยหัวใจที่เต้นระทึก โชคดีแค่ไหน ที่ตัวเองสังเกตุเห็นเสือดำตัวนั้นก่อน ที่จะเดินถลำไป ไม่เช่นนั้น ตัวเขานั้นแหละที่อาจจะตกเป็นเหยื่อแทนเจ้านกยูงตัวนั้นก็เป็นได้

          ความปกติสุขกลับมาอีกครั้ง หลังจากเสือดำตัวนั้นผละจากไป สรรพสำเนียงของบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่ก็เริ่มกลับเข้าสู้ภาวะปกติ เสียงพญาลอ ร้องกู้ก้องไปทั้งแนวป่า ผสานไปกับเสียงไก่ป่าที่ร้องแจ้วอยู่ที่ชายดง ที่ริมหาดทราย ผีเสื้อน้อยใหญ่หลากสี นับร้อยนับพันตัว พากันเกาะกลุ่มกันดูดกินเกลือแร่และสารอาหารกันเป็นหมู่ๆ ดูสวยงามทุกครั้ง เวลาพวกมันขยับปีกเผยิบผยาบ เกาะพราวอยู่ตามพื้นดินและพื้นทราย เก้งหม้อผัวเมียคู่หนึ่ง เดินลับๆล่อๆอยู่ตามแนวโขนหินชายดง เมื่อสำรวจแล้วไม่พบสิ่งแปลกปลอม พวกมันก็พอกันเดินเหยาะย่างกันลงมากินน้ำ เฉียดแนวบังไพรที่ชายหนุ่มหลบซุ่มอยู่ ห่างออกไปไม่เกินสิบวา เมื่อมีสัตว์จำพวกเก้งกวางเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มคิดเบาใจขึ้นมาเป็นกอง เพราะพวกมันเหล่านั้นเปรียบเสมือนปราการด่านแรก ที่คอยเฝ้าระวังภัยจากสัตว์ร้ายต่างๆ โดยเฉพาะเสือ หลังจากเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มจึงเริ่มต้นเดินทางอีกครั้ง

        เส้นทางลัดเลาะไปตามชายน้ำ ซึ่งทางด้านขวามือเป็นตลิ่งสูงชัน ลักษณะเหมือนเคยถูกกระแสน้ำกัดเซาะ เมื่อครั้งฤดูน้ำหลาก เพราะพอที่จะสังเกตุเห็นเศษซากของพื้ชพรรณต่างๆลอยมาเกาะเกย และติดค้างอยู่ บางช่วงก็มีต้นไม้ใหญ่ล้มโค่น ชนิดถอนรากถอนโคน บางต้นก็หักเหลือแค่ครึ่งต้น เหลือแต่ส่วนโคนโด่เด่ แต่ละต้นใหญ่โตหลายคนโอบทั้งนั้น ทำให้การเดินทางในบางครั้ง ต้องใช้วิธีมุดลอดไป บางช่วงก็ต้องเดินอ้อม เพราะไม่สามารถมุดผ่านไปได้ เนื้องจากส่วนที่เป็นลำต้นของต้นไม้จมหรือไม่ก็แนบชิดติดพื้น ทำให้ไม่มีช่องทะลุผ่าน โชคดีที่เส้นทางนี้อยู่ต่ำลงมาจากแนวป่า ทำให้ไม่มีวัชพืชขึ้นรก นานๆครั้งถึงจะมีไม้เลื้อยจำพวกเถาวัลย์เส้นเล็กๆขึ้นปะปนและกีดขวางเส้นทางอยู่บ้าง หรือบางครั้งก็ใช้วิธีเดินเลี่ยงไปตามแม่น้ำ เพราะระดับน้ำมีความตื้น เนื้องจากพื้นที่มีลักษณะลาดเอียงลงไป ไม่ได้เป็นตลิ่งชันแบบป่าที่เคยผ่านมา พื้นก็เป็นกรวดทราย ไม่มีโคลนทำให้เดินง่ายสะดวก

          ชายหนุ่มหยุดพักเอาแรง ณ ตำแหน่งหัวแหลมตอนหนึ่ง ซึ่งมีเงาของไม้ใหญ่ขึ้นบทบังแสงแดดดูครึ้ม ลมเย็นพัดผ่านมาตามช่องเขา ทำให้ยอดไม้ไหวดังซู่ซ่า ไล่มาเป็นระลอกคลื่น ทำให้รู้สึกสบายผ่อนคลาย บรรเทาความเหนื่อยล้า ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ทอดเป็นเงาล้ำลงไปในแม่น้ำ หมู่ปลาเล็กปลาน้อย จำพวกปลาหนามและปลากระแห พากันแหวกว่ายหากินอยู่ตามพื้นกรวดหิน พอพลิกตัวก็แลเห็น เกล็ดสีเงินวูบวาบ ดูลานตาไปหมด

          “ถ้ามีแห หรือ เบ็ดติดมาด้วยก็คงจะดี”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ขณะมองดูฝูงปลาเล็กปลาน้อยอย่างเพลิดเพลิน แต่ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้ง เพราะมีเสียงกรอบแกรบลั่นกราวมาจากทางท้ายน้ำ มันเป็นเสียงกระทบกันของกรวดหินที่อยู่ใต้น้ำ พร้อมๆกับเสียง ฮุบดังตูมตาม จนน้ำกระเซ็น แลเห็นส่วนที่เป็นครีบหลัง สีแดงส้มได้อย่างถนัด มันเป็นปลากระสูบฝูงขนาดใหญ่ ที่พากันว่ายไล่ต้อนลูกปลาเหล่านั้น ซึ่งตอนนี้พวกมันพากันว่ายหนีตาย ขึ้นมาออกันแน่นที่ชายตลิ่งตื้นๆดูมืดไปหมด บางตัวที่หนีไม่ทันก็ตกเป็นอาหารของปลาใหญ่ ดูสับสนไปหมด นกกระยางและนกกระเต็น พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะพวกมันพากันลงจิกกินลูกปลาได้อย่างง่ายดาย พอถูกนกไล่กิน ก็พากันว่ายแตกตื่นลงน้ำลึก แต่ไม่กี่อึดใจ ก็ถูกฝูงปลากระสูบไล่ฮุบ ไล่กินจนน้ำแต กกระจายมาอีก มีหลายตัวหนีตายกระโดดขึ้นมาดิ้นกระแด่วๆบนพื้น แต่ละตัวขนาดไม่ต่ำว่าสามนิ้ว ซึ่งทีแรกเขามองผ่านๆคิดว่าตัวเล็ก ชายหนุ่มรีบผละออกมาไล่ตะครุบปลาที่ขึ้นมาเกยตื้น อย่างน้อยๆก็คว้าโอกาสทองมาได้ถึงหกเจ็ดตัว ทั้งหมดเป็นปลาหนามขนาดใหญ่ไม่เกินสามนิ้วมือ ถึงจะขนาดเล็กไปหน่อย แต่มันก็ถือได้ว่าเป็นเสบียงในยามจำเป็น ซึ่งไม่สามารถเลือกได้ในขณะนี้ อะไรคว้าได้ หาได้ก็ต้องเก็บตุนไว้ก่อน หลังจากใช้เส้นเถาวัลย์ร้อยเหงือกปลาที่จำได้ทำเป็นพวง ชายหนุ่มก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มบ่ายคล้อยลงไปทุกขณะ ดวงอาทิตย์ลอยต่ำเหนือยอดไม้ไปไม่มาก อากาศที่เคยอบอุ่น เริ่มจะมีอุณหภูมิลดต่ำลง เส้นทางที่เคยใช้สัญจร ก็เริ่มทึบทะมึนด้วยต้นไม้ใหญ่ทุกขณะ มองผ่านๆแล้วเหมือนตัวเองจะเดินเข้าไปในอุโมงค์มหายักษ์ ซึ่งมีแนวยอดไม้ขึ้นเบียดเป็นร่มเงามืดครึ้ม

            จากป่าโปรง ถึงดงทึบ ต้นไม้แต่ละต้น แลดูสูงใหญ่ ราวกับยักษ์ บางต้นมีรูปทรงบิดเบี้ยว คดงอ ทรวดทรงประหลาดตา มองผ่านๆเหมือนกับอสูรกายที่มาจากขุมนรก ยิ่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบวังเวง ยิ่งเพิ่มความทะมึนทึนน่ากลัว มีเพียงสรรพสำเนียงของสัตว์ป่าที่ร้องแว่วเข้ามาบ้างบางครั้ง ทำให้บรรเทาความเงียบวังเวงลงไปบ้าง ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ บรรยากาศก็ดูน่ากลัวมากเท่านั้น อากาศโดยรอบก็ดูขมุกขมัว มืดสลัว คละเคล้ากับกลิ่นอับๆของซากใบไม้เน่า ที่กองทับทมกัน บางช่วงมองเห็นควันแก๊สสีขาวๆเหมือนควันไฟลอยจางๆออกมาจากกองใบไม้เหล่านั้น ยิ่งกองใบไม้ที่มีลักษณะเป็นกองพูน สูงๆต่ำๆ มองผ่านๆราวกับว่า เขาเดินอยู่ท่ามกลางสุสาน หรือไม่ก็ป่าช้ารกร้างที่ใดสักแห่ง ถัดจากบริเวณนี้ไปอีกไม่ไกล ชายหนุ่มก็แว่วเสียงดังซู่ซ่าของกระแสน้ำเบื้องหน้า เมื่อเดินโผล่พ้นโค้งน้ำไป ก็แลเห็นเกาะแก่งหินสูงๆต่ำๆ กระแสน้ำบริเวณนั้นไหลเชี่ยว มองผ่านๆก็เหมือนน้ำตกขนาดใหญ่ กระแสน้ำไหลลัดเลาะ กระโจนตกกระทบไปตามแก่งหินนั้น แก่งหินแต่ละก้อน มีลักษณะแหลมคม เป็นแง่หินตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด กระแสน้ำบางช่วงก็ดูเป็นวังน้ำวน บางตอนก็ตื้นเขินมองเห็นกรวดทรายละเอียด นึกแปลกใจในตัวเอง ว่าเขารอดชีวิตจากสถานที่แบบนี้มาได้อย่างไร เดินไต่ไปตามโขดหินอย่างทุลักทุเล เพราะก้อนหินทุกก้อนมีแต่ตะไคร่น้ำเกาะเต็มไปหมด ทำให้ลื่นก้าวแต่ละก้าวต้องระมัดระวัง แต่ก็ไม่แคล้วหน้าแข้งถลอก เพราะเหยียบพลาดทำให้ลื่นพลิกไถลเกือบที่จะพลัดตกลงมา โชคดีที่คว้ารากไม้ที่งอกโผล่ออกมาได้ กว่าจะโผล่พ้นจากแก่งหินตอนนั้นออกมาได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่พอมองรอบๆบริเวณก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะภูมิประเทศดูแปลกตา ราวกับภาพวาด วิวทิวทัศน์ของเมืองกุ้ยหลินหรือไม่ก็เขาเหลียงซาน จากสีน้ำมันของจิตกรชาวจีน ภูเขารูปทรงแปลกๆขึ้นแซมสลับไปมากับไม้ใหญ่ มันขนาบไปกับภูเขาและหน้าผาหินชั้น ที่ทอดยาวดูคดเคี้ยว  ภูเขาบางลูกมีลักษณะเหมือน เขาตะปูของจังหวัดพังงา ราวกับถูกก๊อปปี้แล้วยกเอามาตั้งไว้ บางลูกก็มีลักษณะเป็นหินปูนหินย้อย รูปทรงดูประหลาด มีต้นไม้หงิกๆงอๆเหมือนไม้บอนไซขึ้นแซมอยู่ห่างๆ ภูเขาบางลูกก็ดูโล้นเตียนปราศจากพันธ์พืชทุกชนิด หินบางก้อนที่โผล่อยู่กลางสายน้ำ แลดูเป็นเกาะแก่ง บางก้อนก็เหมือนหินอ่อน สีเขียว สีส้ม สีขาว บางก้อนก็สีเหมือนงาช้างดูสวยงาม ราวกับเมืองของสวรรค์ แต่บางมุมก็เหมือนอยู่ในขุมนรก เพราะความผิดแปลกพิสดาร ดูน่ากลัว เพราะบางมุมมอง หรือบางเหลี่ยมมุมทำให้มองนานๆแล้วเกิดเป็นภาพจินตนาการชวนให้หลอนตัวเอง ภูเขาหินทั้งลูก บางลูก มองผ่านๆก็แลดูเหมือนหัวกระโหลกขนาดยักษ์ แง่หินบางมุมก็ดูเหมือนปีศาจที่กำลังแสยะยิ้มทะมึนทึน หรือแม้แต่เงา ที่ถูกแสงแดดตกกระทบทำมุม ก็ดูเหมือนเป็นเงาของผีที่ยืนจังก้าดูน่าขนหัวลุก แต่สิ่งที่เห็นเหล่านี้ มันยังไม่ทำให้เขาหนักใจเท่า สายน้ำในเวลานี้ ซึ่งแต่เดิมมันมีอยู่แค่สายเดียว แต่ ณ ตอนนี้ มันได้แยกออกมาเป็นหลายสาย ดูสลับซับซ้อนไปหมด บางช่วงก็เป็นโตรกแคบๆ เหมือนเกาะแก่ง ไล่ลงมาราวกับน้ำตก บางตอนก็เป็นเวิ้งกว้าง มองเห็นเป็นวังน้ำวน ดูลึกลับ สลับไปกับตอไม้และต้นไม้ที่ยืนต้นตายพรายแช่น้ำอยู่เป็นกลุ่มๆ

          สมองเริ่มตันตื้อคิดอะไรไม่ออก เพราะมืดแปดด้าน เมื่อมองไปตามทิศทางของกระแสน้ำที่เคยใช้สัญจร ถึงแม้จะไหลมาบรรจบกัน แต่มันก็ดูวกวนแตกออกไปหลายสาย จนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ว่าจะเลือกหรือจับเส้นทางไหนเป็นหลัก ในเมื่อไม่มีทางเลือก ก็ต้องเดินยึดเส้นทางที่ตัวเองเดินมา โดยเดินเลาะไปตามชายตลิ่งฝั้งซ้ายมือ หรือถ้ามีช่องทางที่สามารถจะเดินตัดลัดผ่านไปได้ ก็เลือกเพื่อเป็นการย้นระยะทาง แต่ทุกเส้นทางที่เลือกนั้น ต้องไม่เป็นอันตรายจนมากเกินไป ไม่ว่าจะอันตรายด้วยสภาพเส้นทางก็ดี หรืออันตรายจากสารพัดสัตว์ร้ายต่างๆก็ดี ชายหนุ่มล้วนแล้วแต่ใช้ความระมัดระวังภัยจนถึงขีดสุด เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา สอนให้เขาได้เรียนรู้

          บรรยกาศเริ่มขมุกขมัว เพราะดวงอาทิตย์ลับทิวเขาไปแล้ว แต่ก็ยังพอมองเห็นแสงรัศมีสีส้มฉาบอยู่ตามเรือนยอดไม้และผาหิน อุณหภูมิเริ่มลดลงต่ำ เพราะปราศจากอายอุ่นจากดวงตะวัน นกกานานาชนิด ร้องเจื้อยแจ่วเตรียมบินกลับรวงรัง ผสานกับเสียงแมลงนานาชนิด ที่ร้องเซ็งแซ่ระงมไพร เมื่อเริ่มสิ้นแสง ความมืดทะมึนของพงไพรก็เริ่มครอบงำ สัตว์ป่าที่เตรียมออกหากินในยามวิกาล เริ่มคึกคัก ร้องกู่ก้องอยู่ทั่วไป ภายใต้หมอกจางๆที่เริ่มแผ่ตัวปกคลุมอยู่เกือบทุกอณู นกเค้าแมวตัวหนึ่ง บินโผออกมาจากโพรงไม้ใหญ่ริมทาง ก่อนที่จะมาจับคอนไม้แห้งตายซาก ที่ยืนตายโด่เด่อยู่ริมดง ครั้นแล้วสายตาอันคมกริบของมัน ก็จับนิ่งฝ่าความมืดสลัวไปยังตำแหน่งพื้น ที่กลาดเกลื่อนไปด้วยใบไม้แห้ง หนูหวายตัวเขื่องกระโจนไต่ไปตามรากไม้และซากกองใบไม้เหล่านั้น มันกำลังควานหาอาหารที่มีอยู่กลาดเกลื่อนขึ้นแทะกิน เสียง กรอดๆ จากฟันที่แทะกระทบกับวัดถุเปลือกแข็ง ซึ่งอาจจะเป็นเมล็ดของพืชอะไรบางอย่าง เสียงมันหยุดๆหายๆเป็นจังหวะ แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ลิ้มรสชาติจากอาหารของมัน กรงเล็บยมทูตที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใด ก็พรากร่างกายและวิญญาณของมันไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.101 seconds with 20 queries.