Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
27 April 2024, 20:24:21

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,605 Posts in 12,440 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 15 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 15 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร  (Read 220 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« on: 19 November 2021, 23:24:50 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 15  โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 15 ตอนที่ 1


[/b]

บทที่ 15

ตอนที่ 1


          ในขณะที่คณะตามหาคนหาย รบลาอยู่กับฝูงค้างคาวนรก อีกฟากฝั่งนั้นเอง ณ เพิงชะง่อนหิน ลักษณะเป็นโพรงเล็กๆใต้ภูเขา กองไฟกองใหญ่กำลังไหม้คุกรุ่นอยู่บนท่อนฟืนแห้งขนาดใหญ่ ที่ถูกจุดสุมเป็นกองหน้าปากโพรงถ้ำนั้น นอกจากกองไฟกองใหญ่แล้ว ปากทางเข้านั้น ยังถูกกิ่งไม้สะปิดกั้นไว้อย่างแน่นหนา ร่างของชายหนุ่มนอนตะแคงหนุนเป้หลังไว้แทนหมอน มีผ้าขาวม้าคลุมกายแทนผ้าห่ม เขาเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียมาทั้งวัน หลังจากกินหัวมันเทียนที่เหลือจากมื้อเช้าไปสองหัว ส่วนอีกหัวที่เหลือชายหนุ่มห่อใบตองเหน็บติดไว้กับผนังหิน กะว่าเอาไว้เป็นอาหารมื้อเช้า อากาศเย็นยะเยือกลงทุกขณะ ทำให้ต้องทนนอนขดตัวอยู่แบบนั้น กองไฟกองเล็กที่เขาก่อไว้ภายในถ้ำ มาบัดนี้เหลือแต่ถ่านแดงๆไม่กี่ก้อน เพราะใกล้หมดเชื้อไฟ และอีกไม่นานนักก็เหลือแต่ขี้เถ้าขาวโพลน

          ชายหนุ่มเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มาสะดุ้งและรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่ร่างกายรู้สึกหนาวสะท้านจนทนนอนต่อไปอีกไม่ไหว เมื่องัวเงียตื่นขึ้นมา ก็เห็นแต่กองไฟแดงๆเหลือแต่ถ่านอยู่ภายนอก ส่วนกองข้างในดับลงไปนานแล้ว เพราะสภาพภายในนั้นมืดสนิท  สภาพอากาศก็ทวีความหนาวขึ้นทุกขณะ หมอกก็ลงหนาทึบ จนมองอะไรไม่ถนัดนัก โชคดีที่ตัวเองเก็บฟืนมาสำรองไว้ภายในมากพอสงควร แต่กองไฟที่ก่อไว้ดับลงเสียแล้ว ครั้นจะก่อใหม่ก็กลัวว่าจะเปลืองไม้ขีดไฟ เพราะของมีอยู่จำกัดและต้องใช้อย่างประหยัด  กะว่าจะออกไปเติมฟืนด้านนอก แล้วจะต่อไฟจากกองนั้นเข้ามา แต่พอขยับกาย เพื่อจะออกไปจากโพลงถ้ำ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเงาอะไรบางอย่างดำตะคุ้มๆอยู่ภายนอก ครั้งแรกที่เห็นคิดว่าเป็นก้อนหิน แต่ก็จำได้ว่า ตอนที่มาสำรวจ บริเวณนี้เป็นลานหินราบเรียบ จะว่าท่อนฟืนที่ตัวเองลากมากองไว้ ก็ไม่ใช่อีก เพราะจำได้ว่าวางเรียงไว้ทางด้านขวาใกล้ปากโพรง ซึ่งตอนนี้มันก็ยังกองอยู่ให้เห็นไม่ได้ขยับไปไหน เมื่อคิดดังนั้น จึงค่อยๆควานมือไปคว้าหอกไม้ที่พาดไว้กับผนังถ้ำ โดยสายตายังจับจ้องไปที่เงาประหลาดนั้นอย่างไม่คลาดสายตา จะด้วยความมืดมิดของภายในถ้ำ หรือความร้อนรนของตัวเขาเอง ทำให้มือที่กวาดไปมาอย่างสะเปะสะปะ กวาดไปโดนหอกไม้ล้มกระแทกพื้นดังโครม ทันใดนั้นเองเงาประหลาดที่ตัวเองจ้องอยู่นั้นก็มีอาการกระโจนวูบ เฉียดกองไฟ หายเข้าไปในความมืด แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่แสงเรืองๆจากถ่านในกองไฟฉาบกระทบ เขายังทันเห็นริ้วแถบสีของมัน แม้จะมองเห็นไม่ถนัดนัก ชายหนุ่มก็รู้ได้โดยทันที

          “เสือ!”ชายหนุ่มอุทาน พร้อมๆกับอาการขนรุกซู่ขึ้นมาทันที อาการง่วงเหงาหาวนอนที่เคยเป็นอยู่ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายของเขาแข็งทื่อด้วยความตกใจไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื่อน ราวกับถูกสาปไว้ให้กลายเป็นหิน เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดขึ้นที่หน้าผาก ถึงแม้อากาศในยามนี้จะเย็นยะเยือกก็ตาม เคยเห็นแต่ตัว ที่อยู่แต่ในสวนสัตว์ แต่ไม่น่ากลัวเท่านี้เพราะมันถูกขังอยู่แต่ในกรง แถมดูเชื่องอีกต่างหาก แต่ที่เห็นนี่ตัวเป็นๆไม่ได้ถูกล่ามหรือถูกขังไว้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเตลิดเปิดเปิงออกไปมากกว่านี้ ทันใดนั้นหูของเขา หรือไม่ก็โสตประสาทก็แว่วเสียงของใครคนใดคนหนึ่งแว่วเข้ามา

          “ท่านจงใช้สติ โปรดอย่าได้ตื่นตระหนก กับสิ่งที่ท่านได้พบเห็น”

          “ทำสมาธิให้แน่วแน่ สำรวมจิตและกำหนดลมหายใจของท่านให้สอดคล้องกัน” ราวกับเสียงสวรรค์ หรือไม่ก็แสงแห่งความหวัง ที่ประทานพรมาให้ชายหนุ่ม ซึ่งเลือดในกายเคยจับกันเป็นก้อนแข็ง ให้กลับมาไหลเวียน สูบฉีดขึ้นมาอีกครั้ง กำลังใจที่เคยห่อเหี่ยว ตอนนี้กลับมาเพิ่มพูนจนล้นปรี่ ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากหล่อนที่ตัวเองคุ้นเคย ทุกเหตุการณ์ไม่ว่าเรื่องดี หรือเหตุการณ์ร้าย หล่อนคนนี้ก็ไม่เคยทอดทิ้งเขาในทุกสถานการณ์

          “คุณพลับพลึง”

          “คุณอยู่ที่ไหนครับ”ชายหนุ่มละล่ำละลัก เงียบ ปราศจากเสียงตอบรับใดๆกลับมา อาจเป็นไปได้หรือไม่ ที่หูของเขาอาจจะฝาดไป จากสถานการณ์เช่นนี้ มันกดดัน จนทำให้จิตประสาทของเขาสร้างภาพ และเสียงขึ้นมาหลอกหลอนตัวเอง เมื่อลองร้องเรียกหล่อนออกไปอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรเปลี่นแปลง นอกจากความเงียบสงัด

          “โถ่...คุณพลับพลึง คุณอย่าเงียบไปแบบนี้สิครับ”

          “ล้อเล่นแบบนี้มันไม่สนุกนะครับ มาเป็นเพื่อนผมก่อน ข้างนอกเสือมันจ้องจะเล่นงานผมอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”ชายหนุ่มรำพึงในใจ ในขณะที่กำหอกไว้ในมือทั้งสองข้าง ทำท่ากล้าๆกลัวๆ ไฟในกองก็ทำท่าริบหรี่จวนมอด ครั้นจะแหย่ฟืนเข้าไปในกองก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะระยะของกองฟืน กับกองไฟห่างออกไปร่วมห้าวา อะไรไม่สำคัญเท่า สิ่งที่ตัวเองเห็นตัวนั้น ถ้าใช่เสือจริงๆจะทำอย่างไร มันอาจจะซุ่มดักรออยู่  อีกใจก็บอกกับตัวเองว่า มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้ เหนือนในหัวสมองตอนนี้ มีตัวเขาอีกคนกำลังโต้เถียงกันอยู่

          ในช่วงเวลาที่สับสนนั้นเอง เหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ออก จึงรีบคลำไปที่เป้สะพายของเขา รื้อค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ กรุกกรัก ครู่หนึ่ง ก็คว้าห่อกระสุนลูกปืน.22 ที่ติดอยู่ที่เป้ออกมาได้ ถึงแม้จะไม่มีปืน แต่ลูกปืนที่เขามีติดตัวมาด้วยก็น่าจะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง อย่างน้อยๆก็ดินปืนที่บรรจุอยู่ภายในปลอกกระสุน น่าจะสร้างแรงระเบิดหรือทำให้เสียงดังอะไรได้บ้าง หากเขาคิดจะโยนมันเข้าไปในกองไฟ ชายหนุ่มเดาะลูกกระสุนปืนอยู่ในมือลูกหนึ่ง เพื่อกะน้ำหนัก พร้อมๆกับใช้หอกไม้เขี่ยแหวก กิ่งไม้ที่ใช้สระปิดช่องทางไว้ด้านหน้า พอได้ช่องกว้างพอที่จะขว้างลูกปืนออกไปได้ ก็ลงมือขว้างลูกปืนนัดนั้นออกไปทันที กะไว้ว่าจะให้มันลอยเข้าไปในกองไฟ นัดแรกออกแรงน้อยไปหน่อย ลูกปืนกระดอนกลิ้งอยู่กับพื้นห่างกองไฟเกือบศอก นัดที่สองก็แรงไปอีก เพราะมันโด่งข้ามเลยกองไฟเข้าไปตกอยู่ในพุ่มรก ลูกที่สามหลังจากกะน้ำหนักและทิศทางได้ นัดนี้หล่นผลุบเข้าไปในกองไฟ ชายหนุ่มรีบหลบฉากบังหลังก้อนหินทันที เพียงอึดใจก็มีเสียง ระเบิดของลูกกระสุนนัดนั้นดัง เปรี๊ยะ ลูกไฟในกองกระเด็นออกเป็นสะเก็ด พร้อมๆกับเสียงลูกปืนแฉลบพื้นหินดัง เฟี้ยว

          “โฮก..”ไม่ใช่ความฝันหรือเขาจิตรหลอนอะไร เพราะเสียงร้องของพยัคฆ์ เจ้าแห่งพงไพรร้องคำรามสะเทือนลั่น พร้อมกับเสียงวัดถุหนักๆกระโจนเข้าไปในพุ่มไม้ดังสวบ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะเสียงร้องของมันดังอยู่ไม่ไกลจากปากโพลงนี้เลย อารามด้วยความตกใจ ลูกกระสุนปืนอีกหลายสิบนัด ที่กำไว้อยู่ในมือ ก็ถูกขว้างหายเข้าไปในกองไฟ ครั้งนี้ราวกับเสียงประทัดวันตรุษจีน เพราะลูกปืนที่อยู่ในกองไฟระเบิดเสียงดังระรัว สะเก็ดไฟในกอง กระเด็นกระดอนไปรอบทิศทาง ราวกับพลุแตก เสียงลูกปืนที่ระเบิดออกมาจากปลอกกระสุนแฉลบไปกับพื้นหินดัง เฟี้ยว ฟ้าว กระทบไม้ไร่ที่ขึ้นอยู่โดยรอบดังกราว บางนัดแฉลบมากระทบเข้ากับแง่หินบริเวณปากถ้ำ เศษหินแตกกระจายเป็นสะเก็ด ไม่ถึงนาที ทุกอย่างก็เงียบสงบเช่นเดิม ภายนอกในตอนนี้กลากเกลื่อนไปด้วยลูกไฟแดงๆจากถ่านในกองฟืน ที่กระจัดกระจายวูบวาบพราวไปหมด

          เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆโงหัวออกมาจากแง่หิน ที่ใช้เป็นเกาะกันบังวิถีกระสุน แต่ก็ยังเก้ๆกังๆ เพราะยังไม่แน่ใจว่า กระสุนปืนที่โยนเข้าไปนั้น ระเบิดออกหมดทุกนัดแล้วหรือไม่ หลังจากกลั้นใจอยู่ชั่วครู่ จึงค่อยๆโผล่ออกมาจากที่ซ่อน พลางมองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง เพราะไม่แน่ใจว่าเสียงปืนที่ระเบิดออกไปจนป่าแตก จะส่งผลทำให้พยัคฆ์ไพรตัวนั้น ผละหนีออกไปหรือไม่

          เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ที่เขาซ่อนเร้นโดยที่ไม่กระโตกกระตากทำให้เกิดเสียงใดๆ สถานการณ์ ณ เวลานี้ก็ดูเงียบสงัด มีเพียง เสียงของแมลงกลางคืนบางชนิด ที่ยังคงกรีดปีกอยู่เป็นช่วงๆ บางครั้งก็มีเสียง ออด แอด ของกิ่งไม้และต้นไม้ไหวโอนเอนไปตามแรงลม พร้อมๆกับเสียง น้ำค้าง ที่จับอยู่ตามยอดใบ หยดลงมาตามพื้นดัง กราว ส่วนบนลานหิน ที่เคยมีสะเก็ดไฟพรมอยู่ทั่ว ตอนนี้ก็ดับมอดลงหมดแล้ว เหลือไว้เพียง ถ่านแดงๆที่ติดอยู่ตรงส่วนปลายของท่อนฟืน ยิ่งดึกสงัด อากาศก็ยิ่งเย็นยะเยือก ละอองหมอกที่หนาทึบ จับพราวไปทั่วบริเวณ ตามหมู่ไม้และก้อนหิน ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำค้าง

          “เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”ชายหนุ่มคิดในใจ เพราะเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว สิ่งที่ตนเองกระทำอยู่นี้ น่าจะได้ผลในระดับหนึ่ง อย่าว่าแต่เสือเลย ต่อให้ช้าง ก็คงจะหนีป่าราบ เขาคิดในแง่ดี นี้แหละหนา ที่เขาว่าทำใจดีสู้เสือ มันเป็นแบบนี้นี่เอง เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาอีกหน่อย แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะขยับกายไปไหน ก็ปรากฏเงาลางๆตะคุ่มๆอยู่ด้านนอกอีกครั้ง สิงห์กระโจนวูบ หลบไปอยู่หลังก้อนหิน มือก็คว้าเอากระสุนปืนที่เหลือมากำไว้แน่น กำลังคิดว่าจะขว้างมันเข้าไปในกองไฟแบบเดิม แต่แล้วก็ต้องชะงักมือ เมื่อมีเสียงหวานใสแว่วเข้ามา

          “ท่านสิงห์ เราเอง”

          “เพลานี้ มิมีภยันตรายใดๆ ที่จะเข้ามา กล้ำกลายท่านแล้ว โปรดจงวางใจ”เสียงจากบุคคลปริศนาที่ซ่อนร่างไว้ภายใต้หมอกหนาแว่วเข้ามาอย่างแจ่มชัด แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่า สิ่งที่ได้ยินนั้น จะเป็นของจริง หรือประสาทของเขากลับหลอนขึ้นมาอีกครั้ง

          “เสือสมิงหรือเปล่าวะนี่”ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจไม่ได้กล่าวออกมา เพราะเคยได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าจากพรานพื้นเมือง รวมทั้งเคยได้ยินได้ฟังมาจากนิทานข้างกองไฟมาก็ไม่น้อย ที่ว่า เสือสมิง มักชอบแปลงร่างเป็นคน หรือแปลงเสียงเป็นเสียงคนร้องเรียกให้ออกไปหา ผู้ใดที่พลาดท่า หลงกล ก็จะตกเป็นเหยื่อของเสือสมิงนั้น ชายหนุ่มกำลังคิดว่ามันแปลงร่างเป็นคนมาหลอกเขาอยู่นั้น ทันใดนั้น ร่างของใครคนใดคนหนึ่ง ที่เคยอยู่ในเงาของหมอกทึบ ก็ค่อยๆปรากฏขึ้น ร่างนั้นค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้า ทีละก้าว ทีละก้าว แล้วมาหยุด ยืนเด่นตรงหน้ากองไฟ ซึ่งตอนนี้มีแต่ถ่านคุกรุ่น แสงจากถ่านแดงๆ ฉาบไปตามเรือนร่าง มองเห็นอยู่ลางๆ

          “คุณพลับพลึง นั่นคุณจริงๆหรือนี่”ชายหนุ่มละล่ำละลัก ทำท่าจะพรวดพราดออกไปจากที่ซ่อน แต่แล้วก็ชะงัก ไม่กล้าขยับออกไปไหน เมื่อนึกถึง เรื่องราวของเสือสมิงที่ตนเองคิดไว้ก่อนหน้านี้

          “แมะ ไอ้นี่ มาหลอกว่าเป็นคุณพลับพลึง เสียด้วย ไม่ได้กินข้าหรอก”ชายหนุ่มสบถในใจ แต่เหมือนร่างนั้นจะหยังรู้ความคิดของเขา เพราะวินาทีต่อมา ร่างนั้นก็ค่อยๆก้าวอ้อมกองไฟ จากนั้นก็ก้มลงหยิบท่อนฟืน ที่ชายหนุ่มเก็บเรียงไว้เป็นกอง หญิงสาวในร่างนั้น ค่อยๆบรรจงวางท่อนฟืนแห้งลงไปเติมเชื้อไฟในกอง ที่ทำท่า ว่าจะมอดดับลง ราวกับมีเวทมนตร์ หรือไม่ก็เป็นภาพมายา เมื่อปรากฏเปลวไฟลุกพรึบ ขึ้นมาบนท่อนฟืนท่อนนั้นทันที เหมือนกับว่าท่อนฟืนท่อนนั้นถูกชุบหรือถูกราดน้ำมันลงไป

          เปลวไฟสว่างจ้า ทำให้มองเห็นร่างนั้น อย่างถนัดถนี่ มันเด่นชัดจนมองเห็นทุกสัดส่วน เส้นผมสีดำยาวดูสลวยเป็นมันขลับ ราวกับเส้นไหม ซึ่งตอนนี้พริ้วไหว ปกคลุมไปตามหัวไหล่ ไล่ลงมาถึงกลางแผ่นหลัง ตัดกับสีเขียวอ่อน ของผ้าสไบที่คาดเฉียง ปกปิดส่วนที่เป็นปทุมถันทั้งสองข้างอย่างเบาบาง จนแลเห็นส่วนที่เป็นส่วนปลายยอด ของปทุมถันนั้น เอวที่คอดกิ่ว รับกับสะโพกผายดูงอนงามถูกซ่อนไว้ ภายใต้ผ้าซิ่นสีเปลือกไม้ที่ถูกเหน็บคาดไว้ด้วยเถาวัลย์ ในส่วนของใบหน้า นอกจากช่อดอกไม้ที่เหน็บทัดหูแล้ว ดวงตาที่ดูโต รับกับโครงหน้ารูปไข่ ที่จับจ้องมาทางเขา ส่อแววอารีอยู่ในที จมูกดูเชิดเป็นสันโด่ง ริมฝีปากบางสีชมพู เป็นรูปกระจับ มีอาการ เหมือนจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้เขา ชายหนุ่มจ้องจังงัง ไม่กระพริบตา เหมือนถูกสะกดให้อยู่กับที่

          ลมดึกพัดมาอีกวูบ ทำให้เส้นผมของหล่อนคนนั้น พริ้วไหวไปตามแรงลม มันหอบเอากลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ป่าบางชนิด ให้ลอยไปตามสายลม กลิ่นนั้นมันลอยปะทะเข้ามาในโสตประสาทของชายหนุ่ม ซึ่งมันเป็นกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคย และปรารถนาที่จะพบเจอ ในทุกช่วงเวลาของลมหายใจ กลิ่นหอมหรืออีกนัย ก็คือกลิ่นกายของหล่อน หล่อนคนนั้นที่เขาถวิลหาในทุกราตรีกาล และมาบัดนี้หล่อนคนนั้น ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่ใช่เสือสมิง หรือ ภูตผีปีศาจที่ไหน ไม่ผิดหรือไม่ใช่ใครที่ไหนแน่ นอกจากหล่อนที่มีนามว่า พลับพลึง

          “คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มอุทานลั่น ก่อนที่จะพุ่งพรวดออกไปอย่างลืมตัว อารามด้วยความดีใจ จนลืมไปว่า ปากทางนั้น มีกิ่งไม้ที่เขาเองเป็นคนตัดสะปิดไว้อยู่ จึงทำให้ปะทะเข้าอย่างจัง เล่นเอาล้มกลิ้งหกคะเมน พอลุกขึ้นได้ชายหนุ่มก็กระโจนเข้าไปกอดร่างนั้นจนแน่น ปากก็ร้องเรียกนามหล่อนไม่หยุด

        “คุณพลับพลึง”

        “คุณพลับพลึงจริงๆด้วย นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย”แทนคำตอบหญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง พยักหน้าช้าๆพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างออกไปอีก แล้วกล่าวต่อมาว่า

          “ใช่แล้ว เราเอง เราที่จะมาพบท่านในทุกราตรีกาล”

          “ผมดีใจที่สุดเลยครับ ที่ได้พบคุณอีก ผมคิดว่าจะโดนเสือสมิงเล่นงานเอาเสียแล้ว”ชายหนุ่มร้องบอกด้วยความดีใจ พลางใช้มือลูบคลำ บีบไปมา ตามแขนของหล่อนทั้งสองข้างไม่หยุด

        “หลังจากนี้ จักมิมีสิ่งใดมารบกวน หรือก่อภยันตรายใดๆแก่ท่านอีก”

        “จงใช้สติ และปัญญาของท่านให้ถ้วนถี่ อย่าได้วิตกกังวล”หญิงสาวกล่าว พลางยิ้มเจื่อน ด้วยท่าทีขวยเขิน ชายหนุ่มเพิ่งจะมารู้สึกตัว ว่าเขาดีใจจนออกอาการมากเกินไป จนทำให้ลืมตัว แสดงอาการถึงเนื้อถึงตัวหล่อนมากไปหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นการไม่สุภาพ และเป็นการไม่เหมาะสมต่อสุภาพสตรี

          “เอ่อ.. ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมดีใจจนคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ”ชายหนุ่มกล่าว พลางใช้มือเกาท้ายทอยแกรกๆ แก้เขิน

          “เชิญตรงนี้ครับคุณพลับพลึง เรามานั่งคุยกันตรงนี้ดีกว่า”ชายหนุ่มว่า พลางมองรอบๆไปทั่วบริเวณ เพื่อหาทำเลเหมาะ ในการนั่งสนทนา แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะทุกที่ ถูกประพรมไปด้วยน้ำค้างจนดูเฉอะแฉะ แถมดูเปรอะเปื้อนไปด้วยถ่านและขี้เถ้า

          “น้ำค้างตกแรงจริงๆครับ เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่รังเกียจผม”

          “เอ่อ...จะเป็นอะไรมั๊ยครับ ถ้าผมจะเชิญคุณเข้าไปหลบน้ำค้าง และนั่งคุยกันในนั้น”ชายหนุ่มกล่าว พลางหันหน้ามองเข้าไปในปากโพรง ซึ่งเป็นสถานที่หลบภัย และใช้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว

          “ท่านมีสิ่งใด ให้เราคิดรังเกียจเดียดฉันท์ ในตัวท่าน”

          “มีแต่เราเท่านั้น ที่จะไต่ถามท่านเสียมากกว่า ว่า ท่านจักรังเกียจเดียดฉันท์ เราหรือไม่” หญิงสาวกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

          “ถ้างั้น...ก็ขอเชิญครับ”ชายหนุ่มกล่าว พลางผายมือขวาไปยังตำแหน่งปากโพรง ซึ่งเปรียบเสมือนประตูคฤหาสน์จำเป็น ส่วนมือซ้ายยืดส่งไปทางหล่อน หญิงสาวยิ้งละไม ก่อนจะส่งมือไปให้จับแต่โดยดี
 
          “มันอาจจะดูคับแคบไปหน่อยนะครับ”

          “แต่อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่ามานั่งตากน้ำค้างคุยกันอยู่แบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว พลางก้มลงหยิบ ท่อนฟืนติดไฟท่อนหนึ่งขึ้นมาถือ แล้วเดินจูงมือหล่อน ตามเขาไปอย่างช้าๆ โดยพาเดินเลี่ยงกองกิ่งไม้ที่เขาชนล้มขวางทางไว้

          “เชิญครับ”

        “คุณพลับพลึง นั่งรอผมตรงนี้สักเดี๋ยว ขอผมก่อไฟ และออกไปเติมฟืนข้างนอกอีกหน่อยนะครับ”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากใช้ผ้าขาวม้าที่ตัวเองใช้ห่มนอน ออกมาปัดไปมาตามพื้น เพื่อกวาดไล่ก้อนกรวด และเศษดินเศษหินเล็กๆ ออกจากพื้นหินราบเรียบที่เขาเคยใช้เป็นสถานที่หลับนอน จากนั้นก็คลี่ผ้าขาวม้าผืนนั้นออกมาปูรองพื้นอีกชั้นหนึ่ง เมื่อหญิงสาวหย่อนกายลงไปนั่งพับเพียบ ก็ใช้ท่อนฟืนที่ติดไฟก่อสุมกองไฟกองเล็กๆที่อยู่ภายใน ในตำแหน่งเดิม เมื่อกองไฟติดดีแล้ว ก็ผละออก แบกฟืนที่เก็บกองไว้ ไปสุมเติมเชื้อเพิ่ม จนบริเวณนั้นสว่างโพลน


เรื่องราวระหว่าง หญิงสาว และชายหนุ่ม ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามในตอนต่อไป

ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ





« Last Edit: 19 November 2021, 23:26:37 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #1 on: 19 November 2021, 23:29:49 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 15 ตอนที่ 2
[/b]


บทที่ 15

ตอนที่ 2


        บรรยากาศที่เงียบสงบ ถึงแม้จะเย็นยะเยือกเพราะความหนาวทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่ภายในโพรงถ้ำเล็กๆแห่งนั้น กลับอบอุ่นไปด้วยกลิ่นอายของความสุข ที่ทั้งสองก็ล้วนแล้วแต่สัมผัสได้ถึงกันและกัน โดยไม่ต้องบอกหรือแสดงออกมาให้เห็น มันเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้จากภายในของคนทั้งคู่ แววตาของหญิงสาว ดูมีสเน่ห์ทุกครั้ง เมื่อเขาแอบลอบมองอยู่บ่อยๆ ยิ่งมีรอยยิ้มที่เปรอะอยู่บนใบหน้าแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ จนประหม่าในบางครั้ง ผิวกายของหล่อนในตอนนี้ ถูกฉาบไปด้วยแสงไฟจากกองไฟกองเล็กๆ ดูเนียนตา ละเอียดละออไร้ตำหนิใดๆทั้งสิ้น ราวกับปุยนุ่นหรือสำลีดูอ่อนเยาว์ ผิดกับเขาที่ดูหยาบกระด้างกร้านเกรียม

            “ผมยังไม่ได้ขอบคุณ คุณพลับพลึลเลยนะครับ เรื่องเสบียงที่คุณจัดหามาให้ผม นี่ถ้าไม่ได้หัวมันที่คุณทิ้งไว้ให้ ผมก็คงจะลำบากน่าดู”

          “ถ้ามีปืนผาหน้าไม้อะไรติดมาด้วย ก็คงจะไม่ลำบากขนาดนี้ สัตว์ป่าแถวนี้มีอยู่ชุกชุมมาก คงจะล่ามาประทังชีพได้อย่างไม่ลำบากอะไรนัก”ชายหนุ่มกล่าว พลางเหลือบไปมองห่อมัน ที่ตัวเองเอาเหน็บไว้ที่ผนังถ้ำ

          “ทุกสรรพสัตว์ ล้วนแล้วแต่รักตัวกลัวตาย ด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่มนุษย์ทุกผู้ก็เช่นกัน มิมีผู้ใด มิกลัวตายดอก”

          “เราก็อยากจะขอร้องท่านเรื่องนี้เช่นกัน หากมิมีเหตุอันจำเป็น หรือ ภยันตรายใดๆ จากพวกสรรพสัตว์เหล่านี้ เราอยากจะให้ท่านละเว้น เพื่อจะได้มิเป็นบาป ก่อให้เกิดเป็นแรงพยาบาทต่อกัน เหมือนกับในภูมิภพ ที่ท่านได้เผชิญอยู่ในขณะนี้”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึงกล่าว พร้อมแววตาส่อความห่วงกังวล

          “ถึงแม้สัตว์ป่า มันจะมาทำร้ายผม แบบไอ้เสือตัวนั้น เมื่อตะกี้นี้ใช่ไหมครับ”

          “ผมควรจะปล่อยให้มันขบสมองผมเสีย ไม่น่าไปทำ หรือสร้างเรื่องอะไรให้มันตกใจผละหนีไป ซึ่งในตอนนั้นผมก็ควรที่จะเป็นอาหารของมันด้วยซ้ำ การกระทำของผมในตอนนั้นก็เหมือนไปขัดขวางมันหรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มกล่าว พลางยิ้มแห้งๆ ด้วยความรู้สึก ไม่สู้จะดีนัก

        “เรามิได้หมายความว่าเยี่ยงนั้นดอก ในเมื่อมีกฏ ทุกอย่าง มันก็มีข้อยกเว้นเสมอ การกระทำของท่าน ก็เป็นการกระทำเพื่อปกป้องชีวิตของท่านเอง อย่างที่เราเคยกล่าวไปแล้ว ทุกชีวิต ล้วนรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อพยัคฆ์ไพรตัวนั้น จะเข้ามาทำร้ายท่าน ท่านก็มีสิทธิ์ ที่จะปกป้องตัวท่านเองได้ หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ท่านจะนำมาดำรงชีวิตของท่านก็ด้วย หากมันถึงกาล อันสมควร และมีเหตุอันจำเป็นมาถึงขีดสุด ท่านก็สามารถกระทำได้” หญิงสาวกล่าว เว้นระยะ แล้วกล่าวขึ้นมาอีกว่า

          “หากถึงเพลา หรือถึงเคราะห์คราว ของสรรพสัตว์เหล่านั้น ทุกชีวิต มีเกิด และมีวันดับสูญ เมื่อถึงเพลาของมัน”

        “อารมณ์ประมาณ สัตว์ตัวไหนถึงคราวเคราะห์ ดวงซวย เจ็บป่วย ใกล้ตาย หรือแม้แต่คิดเข้ามาทำร้ายผม ผมก็สามารถจัดการกับพวกนี้ได้ใช่ไหมครับ”

        “แต่ผมคิดว่าน่าจะยาก แค่คลำทางกลับยังลำบากเลย ทั้งตัวมีอาวุธแค่ มีดพับเล็กๆอันเดียว ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจ ว่าจะรอดไปได้นานแค่ไหน วินาทีสุดท้ายของชีวิต ถ้าทางมันตันจนมืดมนเข้าจริงๆ ผมอาจจะใช้มันปาดคอตัวผมเองก็ได้”สิงห์พูดออกมาแค่นๆอย่างไม่ยี่หระกับชีวิต

          “ท่านจักกริ่งเกรงไปใย ขณะนี้ หรือ เพลานี้ ตัวท่านเอง ยังสามารถเผชิญกับสิ่งต่างๆ และสามารถ ก้าวผ่านมาได้ ถึงแม้นจักมีอุปสรรค เข้ามากั้นขวาง ท่านก็ยังผ่านมาได้ด้วยดี”

          “ดังเช่น พยัคฆ์ไพร ตัวนั้น ท่านแน่ใจหรือ ว่ามันประสงค์ต่อชีวิตท่าน แล้วท่านแน่ใจได้เยี่ยงไร ว่าแค่ขวากหนาม และกองเพลิงกองเล็กๆแค่นั้น จักปกป้องรักษาให้รอดพ้น ต่อคมเขี้ยวของพยัคฆ์ไพรตัวนั้นได้ ท่านจงตรองดูเถิด ท่าน และ คณะของท่าน เปลียบเสมือนสิ่งแปลกปลอม ที่ล่วงเข้ามาในดินแดนสนธยาแห่งนี้ มิแปลกดอกที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จักกระสากลิ่นอายของสิ่งแปลกปลอมที่ ก้าวล่วงมา”หญิงสาวกล่าว ด้วยถ้อยคำอ่อนโยน พลางเอื้อมมือมาสัมผัสบนหลังมือของชายหนุ่ม เหมือนแสดงการปลุกปลอบใจ เพราะหล่อนอาจจะสัมผัสได้กับอาการวิตกกังวลของเขา

          “เมื่อตอนบ่ายก็ทีหนึ่งแล้ว ที่ผมเกือบจะโดนไอ้เข้ คาบไปกิน ดีที่รอดมาได้  ตกค่ำ เสือ ก็ย่องเข้ามาเยี่ยมอีก ต่อจากนี้จะเจออะไรอีกหรือครับ อสูรกาย สัตว์ประหลาด หรือ ไดโนเสาร์ แต่ก็เอาเถอะครับ จะมาในรูปแบบไหน ผมก็พร้อมแล้วครับ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เอาจริงๆ ชีวิตผมในตอนนี้ ก็เหมือนตายไปแล้วด้วยซ้ำ”

          “แต่...เอ..ตะกี้คุณว่าอะไรนะครับ ที่ว่า ผม และ คณะของผม เปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอมที่ก้าวล่วงมา”ชายหนุ่มพึมพำ อึดใจต่อมาก็ทำตาโตแล้วร้องออกไปว่า

        “ฮ้า...คุณหมายความว่า คณะของผม ในตอนนี้ก็อยู่ในดงทึบแห่งนี้ใช่หรือเปล่าครับ นี่ผมเข้าใจถูกใช่มั๊ยครับคุณพลับพลึง”พูดจบก็ผวา จับต้นแขนของหล่อน ทั้งสองข้าง พลางเขย่าไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น แทนคำตอบหญิงสาวก้มศรีษะให้ชายหนุ่ม

        “แบบนี้ผมก็คงจะมีความหวังขึ้นมาแล้วสิ แล้วคุณพลับพลึงพอจะบอกผมได้หรือเปล่าครับ ว่าตอนนี้ พวกของผม เอ่อ..ผมหมายถึง คณะของผมในตอนนี้อยู่ที่ไหนกันครับ ห่างจากที่นี่สักเท่าไหร่ แล้วก็สบายกันดีหรือเปล่าครับ”

        “คณะของท่าน ทุกคนล้วนมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งทั้งหมด มิมีความกริ่งเกรงภยันตรายใดๆ แม้แต่น้อย โดยการนำพาของพรานท่านนั้น”

        “น้าเบ แน่ๆเลย”ชายหนุ่มกล่าวแทรกออกมา

      “ใช่แล้ว พรานท่านนั้น ที่มีความสามารถในการออกติดตามท่าน ซึ่งเส้นทางในการนำทางในครั้งนี้ ก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ถึงแม้จักมีอุปสรรคนานับประการเข้ามาขวางกั้น ทั้งหมดของคณะของท่าน ก็สามารถฝ่าฟันและ ผ่านพ้นมันมาได้ด้วยดี และทั้งหมดของคณะท่าน ล้วนแล้วแต่มีกำลังใจที่ดีเยี่ยม มิมีผู้ใดคิดทอดทิ้งท่านเลยแม้นแต่ผู้เดียว ท่านจงภูมิใจเถิด ที่ท่านได้สหายร่วมทางของท่านเยี่ยงนี้ ”

          “ส่วนคณะของท่าน ณ เพลานี้ อยู่ยังตำแหน่งชายดงทึบแห่งหนึ่ง เหนือขึ้นไปตามสายน้ำแห่งนั้น สายน้ำที่ท่านได้เผชิญผ่านพ้นมา แต่เรามิสามารถ บอกกับท่านได้ว่า อีกเพลาใด ทั้งหมดของคณะ จัดได้พบท่าน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต และกรรมเก่าของท่าน ที่เคยกระทำเมื่อครั้งภพภูมิก่อน ด้วยว่า มันเป็นการละเมิด และผิดศิลของเรา หวังว่าท่านจัดเข้าใจ”

          “เอาเถอะครับ เพียงเท่านี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับ ที่ทั้งหมดยังอยู่ดี และไม่คิดจะทิ้งผม ถึงแม้จะใช้เวลาในการออกติดตามนานสักเท่าไหร่ก็ตาม หรือแม้ว่าจะไม่เจอตัวผมตลอดไป ผมก็ไม่เสียใจแล้ว ที่มีเพื่อนตายแบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว ดวงตามีประกายแห่งความหวัง ถึงแม้ความหวังนั้นจะดูริบหรี่มากก็ตาม ซึ่งในก้นบึ้งส่วนลึกลงไปในหัวใจของเขา ก็คิดอยู่เสมอว่า ทุกคนในคณะ จะต้องออกติดตามเขา และจะไม่มีวันทอดทิ้งเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะไม่ได้เกิดกับตัวเขาก็ตาม หรือแม้ว่าจะเกิดเหตุกับบุคคลอื่นๆในคณะ ตัวเขาเองก็ไม่มีวันที่จะทอดทิ้งบุคคลเหล่านั้นเช่นกัน แต่นี่มันเกิดกับตัวเขาเองแล้ว จะมานั่งงอมืองอเท้าก็คงไม่ถูก ในเมื่อยังมีลมหายใจอยู่และเรี่ยวแรง ก็ยังไม่หมดสิ้น ตัวเขาเองนั้นแหละที่จะต้อง ดิ้นรนขวนขวาย พยายามเอาชีวิตรอด และหาเส้นทางย้อนกลับไปให้ได้ จะมานั่งทอดหมดอาลัยในชีวิต เห็นทีจะไม่ถูกเสียแล้ว

        “คุณพลับพลึงครับ” ชายหนุ่มกล่าวเรียกนามของหล่อนออกมาแผ่วเบา หลังจากนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง

        “มีบางเรื่องที่ผมอยากจะถามคุณมานานแล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสได้ถามคุณสักครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะตอบผมได้หรือเปล่าครับ”

          “ท่านมีเรื่องอันใดจะไต่ถามเรา หากมันมิเกินขอบเขต และศีลของเรา เราก็สามารถตอบท่านได้ ท่านมีเรื่องอันใด โปรดไต่ถามเรามาเถิด”

          “คือว่า ที่ผมอยากจะรู้ก็คือ อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ ป่า หรือ สถานที่อาถรรพ์ แห่งนี้ มันก็เปรียบเสมือนโลกอีกโลกหนึ่ง ในความรู้สึกของผม มันคงมีเรื่องลี้ลับ อะไรอีกมากมาย ที่ผมไม่อาจรู้ได้ รวมถึงเรื่องราวระหว่างเราสองคน เอ่อ..ผมหมายถึง ผม กับคุณพลับพลึง ซึ่งเราสองคนก็เหมือนว่าอยู่กันในคนละภพภูมิ โอกาสที่ผมจะพบคุณก็มีแค่ช่วงค่ำหลังดวงอาทิตย์ตกเท่านั้น หรือไม่ก็ในฝัน ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังสับสนตัวผมเองอยู่เหมือนกัน ว่าสรุปแล้ว เรื่องระหว่างเรานี้ มันเป็นความจริง หรือว่าความฝัน ประเด็นที่ผมอยากจะถามคุณก็คือ นอกจากคุณแล้ว ในป่าแห่งนี้ ยังมีผู้ใด หรือ เทพยดา เจ้าป่า เจ้าเขา หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะไรอีกหรือไม่ ที่ผมหรือคณะของผมสามารถสื่อสารได้ แบบเดียวที่ ผมกำลังสื่อสารกับคุณพลับพลึงเช่นนี้”

          “ทุกสถานที่ ทุกแห่งห่น ย่อมมีผู้พิทักษ์ปกปักษ์รักษา ส่วนจักสามารถสื่อสาร หรือมีจิตรผูกพัน เยี่ยงไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับชาญสมาธิ และบุญวาสนา ชักนำ ของแต่ละบุคคลไป ส่วนในดินแดนอาถรรพ์แห่งนี้ นอกจากเราแล้ว ยังมีผู้ปกปักษ์รักษา ทั้งทางด้านดี และทางชั่วร้าย รวมทั้งบริวาร ซึ่งอาจพบเห็นได้ในรูปแบบต่างๆ ตามกรรมและวาระ ที่พวกท่านและ ตัวท่าน จักพบเจอ”

          “ทั้งทางดี และ ทางชั่วร้าย”ชายหนุ่มกล่าวทบทวนคำของหล่อน

          “ท่านคิดว่าเรา อยู่ในข้อใด ระหว่าง ดี และ ชั่วร้าย”หญิงสาวกล่าว

          “โถ่...ก็ต้องดีสิครับ นี่ถ้าไม่ได้คุณคอยช่วยเหลือ ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม ผมคงตายไปนานแล้ว ว่าแต่..”

          “ตัวร้ายนี้มันจะร้ายขนาดไหนครับ ผมและเพื่อนๆของผมจะรับมือกับมันได้หรือเปล่า มีวิธี หรือสามารถเลี่ยงได้หรือไม่ครับ ถ้ามาเป็นรูปร่างที่สามารถมองเห็นได้ก็พอไหว แต่ถ้ามาในแบบที่มองไม่เห็น ผมคงรับมือลำบากแน่ๆ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยความกังวล ใช่สิ ถ้ามาในรูปแบบที่มองเห็น ไม่ว่าจะเป็นสิงสาราสัตว์ก็พอไหว พอจะหลบหลีกได้ แต่ถ้ามาในรูปแบบของ อาถรรพ์ที่มองไม่เห็นตัว วิชาความรู้ในเรื่องลี้ลับอะไรก็ไม่มี หรือพูดง่ายๆ คือเท่ากับศูนย์ เห็นทีจะลำบาก ลำพังพวกพรานกะเหรี่ยงคงไม่มีปัญหา เพราะแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีวิชาด้วยกันทั้งนั้น เพราะหากินอยู่กับป่าดงพงไพร เรื่องความเชื่อพวกนี้ จึงมีมากกว่าตัวเขาที่เป็นคนเมือง แค่ไหว้พระสวดมนต์ได้ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว

          “ท่านจงใช้ปัญญาไตรตรองดูเถิด ทุกปัญหา ย่อมมีทางออกเสมอ จงใช้สติ แลเชาวน์ปัญญา ของท่านให้มาก อย่าประมาท เพียงเท่านี้ ท่านก็จัดสามารถฟันฝ่าอุปสรรค แลสามารถผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ ออกไปได้ เราเชื่อในความสามารถที่ท่านมีอยู่”หญิงสาวกล่าวอ่อนโยน

          “แต่ผมไม่เชื่อมั่นในตัวผมเองนี่ซิครับ ว่าจะรอดไปได้นานแค่ไหน บอกตามตรง ถ้าผมไม่มีคุณเป็นเพื่อนแบบนี้ ป่านนี้คงถอดใจไปนานแล้ว”

          “ถ้าท่านไม่เชื่อใจในตัวท่านเอง ก็มิมีผู้ใดช่วยท่านได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”หญิงสาวกล่าวปลุกปรอบ พลางเอื่อมมือไปกุมหลังมือของชายหนุ่ม ให้กำลังใจ

          “ครับ ผมจะพยายาม ขออย่างเดียว คุณอย่าทิ้งผมไปไหนก็พอ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาหนักแน่น พลางเอื้อมมืออีกข้างมากุมมือของหล่อนไว้กระชับ แล้วกล่าวต่อมาอีกว่า

          “สัญญากับผมนะครับ ว่าคุณจะไม่ทิ้งผมไปไหน”แทนคำตอบของหญิงสาว หล่อนพยักหน้าให้ชายหนุ่ม

        “นี่ครับ เรามาสัญญากัน ถ้าสัญญากันแล้วห้ามผิดสัญญากันนะครับ”ชายหนุ่มพูด พลางยกนิ้วก้อยขึ้นมาชูตรงหน้าหล่อน หญิงสาวทำหน้างงไปครู่ สิงห์ก็กล่าวออกมาว่า

          “ในโลกของผม ตอนเด็กๆเวลาเราสัญญากับเพื่อนเรา หรือเราจะดีกัน หลังจากมีเรื่องทะเลาะผิดใจกัน เราจะใช้วิธีเกี่ยวนิ้วก้อยกันครับ ถ้าคุณสัญญากับผม ส่งนิ้วก้อยของคุณมาครับ แล้วเอามาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของผมแบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว พร้อมยกมืออีกข้างแล้วใช้นิ้วก้อยเกี่ยวให้หล่อนดูเป็นตัวอย่าง หญิงสาว ยิ้มพลางหัวเราะคิก แต่ก็ยอมปฏิบัติตามที่ชายหนุ่มว่ามาโดยดี

              “เราสัญญากันแล้วนะครับ ว่าเรา ผมหมายถึง คุณพลับพลึง จะไม่ทิ้งผม”ชายหนุ่มพูดพลางเขย่ามือที่เกี่ยวก้อยนั้นไปพลาง

            “เฉพาะราตรีกาลเท่านั้น ที่เราจัดมิทอดทิ้งท่านไปไหน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราให้สัญญา”หญิงสาวตอบ พร้อมๆกับรอยยิ้มหวานละมัย จนปรากฏรอยบุ๋มที่แก้มทั้งสองข้าง จนชายหนุ่มหน้าแดง บอกกับตัวเองไม่ถูกว่าอาการนี้มันเกิดกับเขาอีกแล้ว เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดขึ้น ที่ขมับและหน้าผาก ทั้งๆที่อากาศตอนนี้เย็นยะเยือกก็ตาม หัวใจที่อยู่ภายใต้หน้าอกข้างซ้าย เริ่มเต้นถี่รัวไม่เป็นจังหวะ เหมือนจะมีอาการหวิวๆผสมโรงอยู่ด้วย จนในบางครั้งเขาเองต้องเป็นฝ่ายหลบตาหล่อน เพราะทนกับความสวย และน่ารักของหล่อนไม่ไหว

          “สวยอย่างกับนางฟ้า”ชายหนุ่มได้แต่คิดอยู่ในใจ แต่แล้วก็มีเสียงหวานใสของหล่อนตอบมาแผ่วเบา แต่ทำให้คนที่มีความคิดเช่นนี้ ถึงกับสะดุ้ง

          “ท่านเคยพานพบนางฟ้ามาแล้วกระนั้นฤา”

          “ปะ...เปล่า ครับ ถ้าจะเคยเจอ ก็คุณนั้นแหละครับ นางฟ้า คนแรก”ชายหนุ่มแข็งใจตอบกลับไป ใช่สิ ก็หล่อนทั้งสวย ทั้งน่ารักแบบนี้ ถ้าได้ขึ้นเวลาประกวด นางสงกรานต์ หรือนางงามที่ไหน ถ้าไม่ติดอันดับ เขานี่แหละจะยอมให้เยียบคอเลย

          “ท่านมีความที่จัดถามเราเพียงเท่านี้รือ”หญิงสาว หรือนางฟ้าจำแลง ที่มีนามว่า พลับพลึงร้องถาม

            “อะ..เอ่อ..ก็มีอยู่หลายเรื่องครับ เอาเป็นว่าผมจะไล่ถามคุณเป็นข้อๆแล้วกัน ของแรกผมก็ได้คำตอบไปแล้ว งั้นผมขอถามคุณในข้อต่อไปแล้วกันนะครับ ส่วนจะตอบผมได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่คุณพลับพลึงจะกรุณาครับ”

          “ภูต เทวดา นางฟ้า เอ่อ...ยังไงดีหละ”

          “ผมหมายถึง เทพยดา ในลักษณะแบบคุณเนี้ย ยังมีอยู่ในป่าแห่งนี้อีกหรือเปล่าครับ”

          “มิมีดอก”คำตอบของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับสลดหดหู่ เพราะนอกจากคำตอบที่ได้รับฟังแล้ว แววตาของหล่อนก็ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

          “เป็นไปได้หรือครับ ก็ป่าแถวนี้ก็ยังเป็นดงดิบ แถมยังเป็นป่าอาถรรพ์ ต้นไม้แต่ละต้นก็อายุนับร้อยๆปี คุณพลับพลึงแน่ใจแล้วหรือครับ”

          “เราเคยเรียนท่านไปแล้ว เมื่อครั้งก่อน มีเราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ยังหลงเหลืออยู่ ทุกดวงจิตร แบบเราได้สูญสลายไปนานแล้ว แม้แต่ในดงดำแห่งนี้ เราเพียรพยายามตั้งสมาธิ เพื่อค้นหา แต่ก็มิมีประโยชน์อันใด”หล่อนก้มหน้าตอบออกมาแผ่วเบา ชายหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาทันที่ หลังจากฟังคำตอบของหล่อนออกมา



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #2 on: 19 November 2021, 23:33:21 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 15 ตอนที่ 3


บทที่ 15

ตอนที่ 3


        “ผม..ผมขอโทษด้วยนะครับ ที่ถามคุณไปแบบนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจ”

          “งั้นก็เป็นบุญของผมแล้วครับ อย่างน้อยๆเราก็ได้มาพบกัน คุณเองก็ไม่เหงาอีกต่อไป ถึงแม้เราจะอยู่กันคนละภูมิภพ ผมก็ยินดี”ไม่พูดเปล่า สิงห์คว้ามือของหล่อนขึ้นมาแนบแก้มของเขา

        “เราขอขอบใจท่านมาก ที่ท่านไม่รังเกียจเรา”

          “ไม่หรอกครับ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยินดีที่ได้พบและรู้จักกับคุณ”กล่าวจบ ชายหนุ่มค่อยๆประคองมือของหล่อนไว้ตามเดิม

          “เรื่องนี้ผมจะไม่ของถามคุณให้สะเทือนใจอีกแล้วนะครับ ผมต้องขอโทษ คุณพลับพลึงอีกครั้งหนึ่ง เรื่องต่อไปที่ผมจะถาม มันอาจจะไม่มีสาระอะไรมาก เพราะผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องนี้ก็คือ เพราะอะไรเราถึงได้พบกันเฉพาะเวลาค่ำคืนแบบนี้หละครับ ทั้งๆที่ผมก็สัมผัส แตะต้องคุณได้แบบนี้ แล้วมันต่างอะไรกับเวลากลางวัน หรือช่วงเช้า ผมตื่นมาครั้งใด ผมก็ไม่พบคุณแล้ว”

          “ชาญสมาธิ และดวงจิตของเรา สามารถกำหนดให้พบท่านได้เพียงช่วงราตรีกาลเท่านั้น เว้นแต่...”

          “เว้นแต่ อะไรหรือครับ?”ชายหนุ่มร้องเร่ง

          “ชาญสมาธิของเรา จะเสื่อมถอยลง เราก็จัดปรากฏกายให้ท่านได้เห็น ในช่วงอรุณรุ่ง แต่ดวงจิตของเราก็จัดดับสูญสลายไป ไม่เกินสามราตรีกาล”

          “โอ้ว...น่ากลัวแท้ งั้นอย่าให้เกิดเลยครับ ผมยังอยากพบคุณอีกนาน”ชายหนุ่มอุทาน

          “แต่ก็แปลกครับ ทำไม เวลานี้คุณก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไป เนื้อหนังมังสา ผมก็สามารถแตะต้องคุณได้ แบบเดียวกับคุณก็สามารถจับต้องผมได้เหมือนกัน ไม่เหมือนที่ผมเคยดูให้หนังเลย ที่ว่าเป็นภาพวิญญาณ คนเดินทะลุไปได้ เหมือนธาตุอากาศประมาณนั้น แต่กับคุณ ดูไปก็เหมือนผมทุกอย่าง”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความสังสัย

          “จิตสัมผัสในกายหยาบของท่าน แล จิตสัมผัสในกายหยาบของเรา ล้วนแล้วแต่เป็นจิตอันผูกพันต่อกัน บุคคลอื่นอาจมิอาจจัดสามารถสัมผัสได้เยี่ยงท่านก็เป็นได้”

          “ที่เขาเรียกว่า บุพเพสันนิวาส หรือเปล่าครับ แต่ของผมมันต่างจากคนธรรมดาทั่วๆไป”

          “ต่างกันเยี่ยงไรรือ”หล่อนถาม

          “บุพเพสันนิวาส ของคนปกติทั่วๆไป ก็คือเจอคนกับคนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนในชาติเดียวกัน ผมหมายถึง คนประเทศเดียวกัน อาจจะต่างพื้นที่ ต่างอำเภอ หรือแม้แต่ คนละต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ถ้า บุพเพสันนิวาส มันชักนำมาให้พบกัน อยู่ห่างไกลกันแค่ไหนก็ได้เจอ แต่สำหรับคุณกับผมนี้สิ เราอยู่กันคนละภูมิภพกันเลย จะว่าไปมันก็ไร้พรมแดนจริงๆ ไอ้ บุพเพสันนิวาส อะไรนี่”ชายหนุ่มกล่าว พลางเกาหัวแกรกๆ

          “มันอาจเป็นเยี่ยงนั้นก็เป็นได้ ในเมื่อจิตของเราทั้งคู่ สามารถสื่อสารกันได้ ก็มิแปลกอันใดดอก ที่ท่าน และ เรา จะได้พบกันเยี่ยงนี้ ถึงแม้นจักเป็นช่วงเพลา ของราตตรีกาลสั้นๆ เราก็สุขใจ และยินดียิ่งแล้ว”

          “มันก็ดีสำหรับคุณ แต่เริ่มจะเป็นทุกข์สำหรับผมนี่สิครับ”

          “บอกตรงๆแบบไม่อาย เพราะไม่รู้จะอายไปทำไม และไม่รู้ว่าวันข้างหน้า หรือวันพรุ่งนี้ ผมจะมีโอกาสได้บอกคุณหรือเปล่าก็ไม่รู้”

          “ท่านมีความอันใดจักบอกเรา ก็โปรดแจ้งต่อเรามาเถิด”หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มค่อยๆประคองมือของหล่อนขึ้นมากุมอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง

          “มันอาจจะดูบ้าบอไปหน่อยนะครับ แต่ผมก็ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้มันจะดูแปลก และพิสดารไปหน่อยก็ตาม ผมขอสารภาพกับคุณพลับพลึงเดียวนี้เลยก็แล้วกันนะครับ”

        “อันใดฤา”

        “ผมรักคุณครับ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมได้พบคุณ ความรู้สึกของผมก็บอกกับตัวผมเองโดยทันที ว่าผมชอบและรักคุณเข้าแล้ว ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า ผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้รู้จักกับคุณมานานแสนนาน ผมก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเพราะอะไรผมถึงคิดไปแบบนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อาจจะห้ามหัวใจของผมได้ครับ ทุกครั้งที่ผมได้พบคุณ ผมมีความสุขมาก มันมากจนไม่อยากจะให้คุณห่างไปไหน แต่ผมก็ต้องเศร้าและเสียใจทุกครั้ง ที่ตื่นเช้ามาแล้วไม่พบคุณ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างจริงใจ

        “ผมถึงสับสนตัวผมเองอยู่นี่ไงครับ ว่าสรุปมันเป็นแค่ความฝันใช่มั๊ย ที่ผมและคุณได้พบกันเช่นนี้ หรือถ้ามันเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ ผมก็อยากจะหลับแบบนี้ไปตลอดกาล ถ้าเป็นไปได้”

        “มิใช่ความนิมิตร อันใดดอก ดวงจิตของท่าน และดวงจิตของเรา นั้นต่างมีความผูกพัน ซึ่งกันและกัน อย่างที่เราได้เคยบอกท่านไปแล้ว เราดีใจ ที่ท่านมีจิตต่อเราเยี่ยงนี้ แต่...”หญิงสาวเว้นระยะ พลางก้มหน้าหลบสายตา

        “คุณไม่ได้มีความรู้สึก แบบผมที่มีความรู้สึกกับคุณ ใช่มั๊ยครับ ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ไม่เสียใจหรอกครับ ผมทำใจและเข้าใจคุณดี”

          “เรามิได้หมายความว่าเยี่ยงนั้น เรากับท่าน อยู่ห่างกันคนละภูมิภพ มันผิดกฏธรรมชาติที่ถูกบัญญัติไว้แล้ว บนโลกนี้ ถึงแม้นท่านจักรัก หรือมีใจ ต่อเรามากเพียงใด หรือ เราจักรักแล มีใจให้ท่านมากเยี่ยงไรก็ตาม ความรักของเราทั้งสองก็มิอาจสามารถบรรจบพบกันได้ นอกจากจัดเป็นเส้นขนานที่มิมีวันบรรจบกัน เยี่ยงนี้”

        “ชั่งกฎเกณฑ์ อะไรนั้นไปเถอะครับ ผมแค่อยากให้คุณรู้ ว่าผมรักคุณ แค่นั้น เพียงเท่านี้ผมก็สุขใจแล้วครับ แค่รู้ว่าคุณก็ไม่ได้รังเกียจอะไรผม ที่เป็นแค่มนุษย์ตาดำๆ ไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไร ผมไม่สนและไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ภูมิไหนก็ตาม ในเมื่อ บุพเพสันนิวาส หรือไม่ก็ พรหมลิขิต กำหนดให้เรามาพบกันแล้ว ผมก็จะรักคุณไม่มีวัน
เปลี่ยนแปลง”กล่าวจบชายหนุ่มก็ยกมือของหล่อนที่กุมอยู่ ขึ้นมาจูบอย่างแผ่วเบา หญิงสาวมีอาการสั่นน้อยๆ ก่อนที่จะซบหน้าลงที่อกของชายหนุ่ม หยาดน้ำตาที่เอ่ออยู่ก่อนแล้ว พลันรินไหลออกมาเป็นทาง อาบทั้งสองแก้มของหล่อน

        “เราก็มิต่างอันใด จากท่านดอก ที่ทุกข์ทรมานในความรักเยี่ยงนี้”หญิงสาวกล่าวสะอื้น ชายหนุ่มโอบประคอง กอดหล่อนไว้ พลางปลุกปลอบขึ้นมาว่า

        “อย่าร้องไห้เสียใจไปเลยครับ ความรักมันก็เป็นแบบนี้แหละ มีทั้งสุข มีทั้งทุกข์ ประปนกันไป ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมกันแบบคนปกติสุข ที่เขาทำกันไม่ได้ ได้เพียงเท่านี้ ผมก็พอใจแล้ว และผมก็สัญญาว่า ผมจะรักคุณตลอดไป ตลอดจนลมหายใจสุดท้ายของผม”กล่าวจบ ชายหนุ่มก็จับปลายคางของหล่อนเชิดขึ้นช้าๆ แล้วใช้หัวแม่มือทั้งสองข้าง ปาดเช็ดน้ำตาของหล่อนที่ไหลอาบแก้มอยู่

            ตาประสานตากันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันยาวนานกว่าปกติ ราวกับถูกมนต์สะกด หรือ อะไรมาบันดาล ดลจิต ดลใจ ให้ชายหนุ่มเกิดความกล้า บ้าระห่ำ ก็ไม่อาจทราบได้ ชายหนุ่มค่อยๆก้มใบหน้าลงไปชิดหล่อน ก่อนที่ ริมฝีปากของเขาจะค่อยๆ ประกบจูบบนริมฝีปากของหล่อนแบบแนบสนิท ร่างของหล่อน ถูกประคองให้เอนราบไปกับพื้นช้าๆ ในขณะที่หล่อนหลับตาพริ้ม ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด นอกจากอาการสั่นเทิ้ม ของหล่อนเท่านั้น แก้มทั้งสองข้างของหล่อน ถูกระดมจูบ และหอมอย่างหนักหน่วง แต่ก็ดูแผ่วเบาและอ่อนโยน ไล่ไปจนถึงซอกหู และซอกคอ ที่ถูกซุกไซ้ไปมาทั้งสองฝั่ง มันยิ่งทำให้ชายหนุ่ม สัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของหล่อนได้อย่างลึกซึ้ง มันหอมรัญจวนเกินกว่าจะห้ามใจไหว เหมือนเป็นตัวเร่งเพิ่มเชื้อไฟให้โหมกระพือขึ้นไปอีก จนหล่อนสะท้านไปทั้งร่าง

            กองไฟที่ลุกโชนอยู่ภายนอก ก็ยังร้อนแรงไม่เท่า ไฟรักไฟปรารถนา ที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในคูหาน้อยๆแห่งนั้น ซึ่งตอนนี้ก็เปรียบเสมือนคูหาสวรรค์ของคนทั้งคู่ มันร้อนระอุไปด้วยเปลวไฟเสน่ห์หา ของบุคคลทั้งสอง ที่ตอนนี้แทบจะกลืนหาย ละลาย หล่อหลอมเข้าไปในร่างเดียวกัน ผ้าสะไบผืนบาง ที่ไม่อาจปกปิดสองประทุมถรรของหล่อนได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่คอยปิดบังอำพรางไว้เพียงแค่หมิ่นเหม่ แค่ใช้มือปัดออกเบาๆ ก็เปิดเผยให้เห็นประทุมถรรทั้งสอง ได้อย่างง่ายดาย มันตระหง่านขาวโพลนอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นแม้กระทั้ง ตุ่มเม็ดสีทับทิมอ่อน ที่ประดับอยู่บนส่วนของปลายยอดของถรรนั้น ทั้งสองถรรถูกเคล้าคลึง อย่าทะนุถนอม มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่สร้างสรรค์ ให้บุรุษนั้นคู่กับสตรีเพศ แต่ระหว่างเขาและหล่อนสิ มันผิดธรรมชาติ ฝืนกฎเกณฑ์ และผิดเพี้ยนเสียไปหมด มนุษย์หรือ ที่จะมาสมสู่กับหญิงที่เปรียบเสมือน เทพธิดานางไม้ แต่ความรู้สึกของเขามันบอกกับตัวเองว่า หล่อนไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน ทุกสัดส่วน เนื้อตัวที่ถูกสัมผัส รวมไปถึงกลิ่นกายที่หอมรัญจวนใจ มันแตะต้อง และสัมผัสได้ ริมฝีปากที่ อ่อนนุ่ม อบอุ่น ไม่แข็งกระด้าง เหมือนจูบกับก้อนหินก้อนดินที่ไหน เนื้อตัว หรือผิวกายของหล่อน ก็นุ่มเนียน ไม่ผิดกับผิวกายของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วๆไป หรือนี่จะเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆที่เกิดจากจิตสำนึก ที่เขาได้มโนสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ให้กลับกลายเป็นภาพหลอน ในห้วงจินตนาการ แต่ให้ตายเถอะ ต่อให้ฟ้าเป็นพยาน ก็หล่อนคนนั้นได้มาอยู่แนบชิดกายเขาอยู่นี่ มันไม่ใช่ภาพหลอนหรือช่วงความฝันอะไรทั้งนั้น

            ในบัดดลนั้นเอง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโรมรัน และเคลิบเคลิ้มในไฟพิศวาส ที่ตัวเขาเอง ก็ไม่อาจจะควบคุม และยับยั้ง มันเป็นพลานุภาพ แห่งกามารมณ์ ที่เริ่มก่อตัวเพิ่มมากขึ้น เป็นทบทวีคูณ มันร้อนแรงเกินกว่าจะหักห้ามใจ แต่ในเสี้ยวของอารมณ์และความหน้ามืดตามัวนั้นเอง ยังเปิดโอกาสให้ โสตประสาท ที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ สติได้ยั้งคิดในคำพูดของหล่อน ที่เคยกล่าวกับเขาว่า

              “ชาญสมาธิของเรา จะเสื่อมถอยลง เราก็จัดปรากฏกายให้ท่านได้เห็น ในช่วงอรุณรุ่ง แต่ดวงจิตของเราก็จัดดับสูญสลายไป ไม่เกินสามราตรีกาล”

            ชาญสมาธิของหล่อน หรืออาจจะเป็นจิตวิญญาณของหล่อน ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด ถ้าสิ่งที่เขากระทำกับหล่อนอยู่ในขณะนี้ มันจะส่งผลกระทบโดยตรง หรือมีส่วนทำให้ศีลหรือตบะ ที่หล่อนเพียนปฏิบัติมาเกิดราคี หม่นหมอง มันจะเกิดความเป็นไปกับหล่อนหรือไม่ ถ้าเกิดเหตุการณ์ตามที่หล่อนเคยว่าไว้ เขาจะแก้ไขได้อย่างไร เพียงแค่หล่อนเคยบอกว่า ชีวิตของหล่อน หรือดวงปราณ จะคงเหลือเพียงแค่สามราตรีกาล จิตวิญญาณของหล่อนก็จะสูญสลายไป แค่คิดเพียงเท่านี้ หัวใจของเขาก็แทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ โอ้ว นี่เรากำลังทำอะไรลงไป คิดเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก

          “ไม่...ผมทำแบบนี้ไม่ได้”

          “ผมไม่อยากเสียคุณไป เพียงเพื่อสนองอารมณ์ของผมแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าวออกมา พลางผละออกมานั่งใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับ

          “ผม..ผม...”

          “ผม ไม่ควรกระทำกับคุณแบบนี้เลย นี่ผมทำอะไรลงไป”ชายหนุ่มพึมพัมบอกกับตัวเอง

          “ท่านมิได้ทำการใดผิดไปดอก”

          “เพื่อคนที่เรารักแลปรารถนา แม้นจิตวิญญาณของเรา เราก็จัดอุทิศให้ได้ เพียงเพื่อคนที่เรารักแลปรารถนามีความสุข มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงกล่าว พูดจบหล่อนก็โผเข้ากอดชายหนุ่มจากทางด้านหลัง ก่อนที่ร่างของหล่อนจะสั่นเทิ้ม พร้อมๆกับอาการสะอื้นไห้

        “ถ้าเป็นแบบที่คุณว่า ผมก็เป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว และเลวทรามที่สุด เพียงเพื่อสนองอารมณ์และตัณหา ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงว่า ใครจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคนที่ตัวเองรักแบบนี้”

          “การที่ผมกระทำอะไรลงไป แล้วจะทำให้คุณ มีอันเป็นไปแล้วละก็ ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลยจริงๆครับ ผมมีความสุขทุกครั้งที่ผมได้พบคุณ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม  แต่ผมจะอยู่ต่อไปไม่ได้ หากผมไม่มีโอกาสได้พบกับคุณอีก เรื่องชีวิตของผมในตอนนี้ เอาจริงๆผมก็ไม่เสียดาย และอาทรอะไรแล้ว ตั้งแต่ผมรู้จักและได้พบคุณ”ชายหนุ่มกล่าว พลางพลิกกายเข้าไปหาหล่อนอีกครั้ง ก่อนที่จะกล่าวต่อมาอีกว่า

        “ใช่ว่าผม จะไม่ต้องการคุณนะครับ คุณพลับพลึง แต่ถ้าความต้องการของผม มันทำให้ผมเสียคุณไปตลอดกาล ผมไม่ขอแลกกับมันแน่นอนครับ ขอให้ผมได้รัก ได้พบคุณไปแบบนี้ตลอดกาลยังจะดีกว่า”

        “ทีนี้ คุณเชื่อผมแล้วหรือยังครับคุณพลับพลึง ว่าผมรักคุณจริงๆ ผมรักด้วยใจบริสุทธิ์ ถ้าคุณไม่เชื่อในความรักที่ผมมีให้ต่อคุณ จะให้ผมพิสูจน์ให้คุณเห็นอย่างไรก็ได้ครับ ผมพร้อมทั้งนั้น”ชายหนุ่มกล่าวออกมาหนักแน่น กล่าวจบก็ก้มลงจูบหน้าผากของหล่อนหนึ่งครั้ง หญิงสาวพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่ง

          “เราเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ท่านได้กล่าวบอกเราทุกประการ แต่ความรักของเรานั้น มันมิอาจเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้ มันเป็นความรักที่แสนจะปวดร้าว ทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก”

          “ที่เรายอมพลีจิตวิญญาณให้กับท่านนั้น ก็เพราะความรักที่เราก็มีต่อท่านเช่นกัน ถึงจิตวิญญาณของเราจะดับสลายไป เราก็พร้อม ถ้าหากสิ่งนั้นจักทำให้ ท่านมีความสุข “

          “ไม่หรอกครับ ถ้าคุณทำแบบนั้น ผมก็ไม่ใช่คน”

          “เพียงเท่านี้ เพียงเท่านี้จริงๆครับ ผมก็สุขใจ และพอใจแล้ว มันไม่จำเป็นแล้วสำหรับผมในตอนนี้ ขอเพียงแค่ได้พบคุณ ได้อยู่กับคุณไปแบบนี้ มันไม่คุ้มหรอกครับ ถ้าจะแลกกันด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของคุณ เพียงเพื่อความสุขแค่เวลาสั้นๆของผม ผมไม่ขอแลกกับมันหรอกครับ”

          “แล้วก็ช่างกฎเกณฑ์บ้าบอ อะไรไปเถอะครับ ผมไม่แคร์หรอก ถ้าผมจะมารักกับผีหรือนางไม้นางตะเคียน ความรักมันไม่มีพรมแดนหรอกครับ ผมเชื่อ เชื่อในความรู้สึกของผมลึกๆว่า สักวันหนึ่ง เราจะได้พบกันและได้อยู่ร่วมกันตลอดไป ยิ้มสิครับ คนดีของผม คุณยิ้มให้กับความรักของเรา เวลานี้อย่าไปคิดกังวลอะไรทั้งนั้น พรุ่งนี้มันจะเป็นอย่างไรช่างหัวมัน ขอให้วันนี้ และวินาทีนี้ของเรา มีแต่ความสุขแบบนี้ตลอดไปเถอะครับ”ชายหนุ่มกล่าวส่งยิ้มออกมาอ่อนโยนให้กับหล่อน หล่อนยิ้มตอบ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปรอะไปด้วยน้ำตา มันก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงความสดใส ทำให้คนเห็นพลอยใจชื้นขึ้นมาบ้าง

            แสงไฟในกองฟืนในตอนนี้เริ่มโรยราอ่อนแสงลง เพราะเริ่มหมดเชื้อไฟ อากาศที่เคยอบอุ่นเพราะรับอิทธิพลจากไอความร้อนของกองฟืน มาบัดนี้ ก็เริ่มเย็นยะเยือกลงทุกขณะ เหมือนกับอารมณ์แห่งไฟราคะ ที่เคยโหมกระพือร้อนแรงกัดกินอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม มาในตอนนี้มันมอดดับลงแล้วอย่างสนิท ความรัก มันไม่จำเป็นแล้วสำหรับเขา ถ้าหากจะต้องแลกมาด้วยจิตวิญญาณของหล่อนคนนั้น มันไม่ยุติธรรมสำหรับหล่อนเลย ถ้าหากเพียงเพื่อความสุขเพียง แค่ชั่วครั้งชั่วคราวของเขาเอง มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาแลกกับชีวิต และไม่จำเป็นที่หล่อน จะต้องมาสังเวยความรักของหล่อนที่มีให้เขา เพียงเพื่อสนองกับราคะ ความเป็นคนจะหมดสิ้นไป หากสิ่งที่เขาคิดกระทำอยู่นั้นมันส่งผลให้หล่อน ต้องจากเขาไปตลอดกาล ชีวิตเขาก็ไร้ซึ่งความหมายหากไม่มีหล่อน

          หญิงสาวและชายหนุ่มในตอนนี้รู้ซึ้งแล้ว ซึ่งจิตใจต่อกัน ความรักของเขาทั้งคู่ ถึงแม้จะอยู่คนละภพ คนละชาติ แต่คนทั้งสองก็ไม่แคร์อะไรแล้ว คงปล่อยให้มันดำเนินไปตามครรลอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ก็ช่างมัน คงปล่อยมันไปตามธรรมชาติ ตามลิขิตของสวรรค์ จะไม่ฝืน ไม่อาทร ไม่เรียกร้องใดๆ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ปล่อยตัวปล่อยใจ ให้เหมือนสายน้ำที่ไหลไปตามกาลเวลา ทุกคนต่างทำใจและยอมรับกับมันแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ต้องจาก แต่เมื่อได้เวลาก็ต้องพบ มีพบและมีจาก ไปตามกาลเวลาที่กำหนด คนทั้งคู่ต่างยิ้มให้กับโชคชะตา ถึงแม้จะมีความรู้สึกปวดร้าวหัวใจด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองก็ไม่แสดงให้คนตรงข้ามได้เห็นหรือได้สัมผัสถึงอาการ และความรู้สึกของกันและกัน สำหรับหญิงสาวนั้นย่อมเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกได้ดีกว่าชายหนุ่ม เพราะหล่อนไม่ใช่คนปกติทั่วๆไป หล่อนหยั่งรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของคนฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี ผิดกับชายหนุ่ม ที่ไม่สามารถอ่านใจหรือทายใจหล่อนคนนั้นได้เลย ถ้าหากจะวัดความปวดร้าวทางด้านหัวใจแล้ว คนที่น่าสงสารก็คงหนีไม่พ้นหล่อนแน่นอน

          “นี่ก็คงจวนได้เวลาที่คุณจะต้องจากผมไปอีกแล้วสินะครับ”ชายหนุ่มกล่าว ขณะที่ตัวเองนอนหนุนตักของหญิงสาวต่างหมอน พลางใช้มือสัมผัส เกลี่ยเรี่ยไปบนแก้มของหญิงสาว

          “ใช่แล้ว จวนจักใกล้เพลา ที่เราจัดต้องจากท่านไปแล้ว”หญิงสาวกล่าว พลางใช้มือลูบไรผมของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา

          “เวลามันช่างไวเสียจริงๆ ผมยังไม่อยากให้คุณจากผมไปไหนเลย แต่ผมก็เข้าใจ และทำใจที่จะต้องจากคุณไปแบบนี้ ถ้านี่เป็นเพียงแค่ความฝันของผม ผมก็อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป ผมไม่อยากหลับตา แล้วตื่นขึ้นมา แล้วไม่พบคุณอีก”

          “เราสัญญากันแล้วนะครับ ว่าคุณจะมาหาผมในทุกๆคืน อย่าผิดสัญญานะครับ คุณพลับพลึง”สิงห์กล่าวออกมาแผ่วเบา พลางยกมือของหล่อนขึ้นมาจูบ แล้วนำมือข้างนั้น ขึ้นมาไว้แนบชิดแก้มของเขา

          “เราให้สัญญา ในทุกราตรีกาล เราจัดได้พบกัน ตราบชั่วชีวิตแลจิตวิญญาณของเรา”พูดจบหล่อนก็ก้มลงจูบ ไปที่ยังตำแหน่งหน้าผากของชายหนุ่ม

          “ราตรีจงมีสวัสดิ์แด่ท่าน”

        “ครับ..คุณพลับพลึง”
 
        “ผมจะรอ สุดที่รักของผม”กล่าวจบ ชายหนุ่มที่มีความคิดอุตริไปหลงรักนางไม้นางตะเคียน ก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลง อย่างช้าๆ ภายใต้กลิ่นหอมรัญจวนที่เขาคุ้นเคย ผสมกับเสียงหริ่งหรีด เรไร ที่เหมือนจะคอยกล่อม ท่วงทำนองบรรเลงเพลงไพร ทุกกลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้ มันแทรกลึกลงไปในทุกอณู ทุกสัดส่วนและจิตใจ จะเรียกได้ว่าทุกเสี้ยวจิตวิญญาณของหล่อนเลยทีเดียว นี่แหละหนา ความรักไร้พรมแดน ความรักมันมากมายเกินขอบเขตของห้วงจักรวาล ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกวัย และไม่เลือกสถานะ แม้แต่จิตวิญญาณ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.122 seconds with 18 queries.