Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
08 May 2024, 22:41:55

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,649 Posts in 12,466 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เหนือเกล้าชาวสยาม  |  พระบรมโพธิสัตว์เจ้าแห่งแผ่นดินสยาม (Moderator: Smile Siam)  |  พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  (Read 277 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,502


View Profile
« on: 30 October 2021, 21:12:35 »

พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ





.....

พวกเดียวกัน

ในการเสด็จออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดีและความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชาศัพท์ แต่ถึงกระนั้นกำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบบังคมทูลให้ถูกต้องตามแบบแผน อุตสาห์ไปซ้อมเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ แต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็รายงานตัวออกไปว่า

“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า…” 

“เราพวกเดียวกันนะ…” รับสั่งด้วยความเมตาอย่างพ่อพูดกับลูก

ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา

.....

ผู้หญิงตกเป็นของใคร

บางครั้ง ในหลวงของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ

รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า

“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป… ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล

สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้…”



.....

แจกปริญญาหลับใน

...ประมาณสองปีมาแล้ว ตอนเช้าได้ทำฟัน คือว่าหมอฟันมาเจาะฟัน เจาะจนเกือบจะทะลุคางไป (เสียงฮา) … เพราะว่าทะลุฟันซี่นั้นถึงราก ถอนเอาประสาทออก แล้วหมอฟันทั้งหลายก็สนุกสนานไป (เสียงฮา) กินเวลาประมาณสองชั่วโมง เวลาบ่ายโมงครึ่งก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็รับประทานไม่ไหวปากมันชาไปหมดที่เขาฉีดไว้ ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็ต้องมาแจกปริญญาที่นี่…

นับจำนวนผู้ที่มารับปริญญาแล้วก็ดูนาฬิกา จะได้รู้เวลา นับไปนับมา แจกไปแจกมา ก็มีคนหนึ่งทำให้ตกใจ เขาเดินเข้ามาหา มารับปริญญา แล้วก็ด้วยความพอใจของเขา เขาร้องออกมาว่า “ทรงพระเจริญ” (เสียงฮา) … แต่บังเอิญตอนนั้นการแจกปริญญาก็ส่วนแจกปริญญา ส่วนปวดฟันก็ส่วนปวดฟัน (เสียงฮา) ส่วนหลับในก็ส่วนหลับใน (เสียงฮา) มีเสียงเขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ” ต้องโสตประสาท ตกใจตื่นทั้งตัว 

แต่ว่าหลังตกใจตื่นขึ้นมา อาการปวดฟันหายไปจริงๆ นี่พูดตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าที่จะแจกปริญญาต่อไป ทำด้วยความรู้ตัวด้วย แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเรามีกำลังใจ ที่เขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ”…



.....

เพื่อนเยอะ
           
การเสด็จประพาสอเมริกาครั้งนั้น ควรจะได้เล่าถึง “บ๊อบ โฮ้พ” ไว้ด้วย เพราะทรงคุ้นเคยกับดาราผู้นี้ตั้งแต่ครั้งบ๊อบ โฮ้พ มาแวะกรุงเทพฯ เพื่อจะไปเปิดการแสดงกล่อมขวัญทหารอเมริกันในเวียดนาม ระหว่างแวะพักที่กรุงเทพฯ บ๊อบ โฮ้พ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรฯ โดยโปรดเก้าพระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย
           
บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนไปด้วย”
           
“ได้เลย… ไม่ขัดข้อง” รับสั่งตอบ “พาเพื่อนของคุณมาได้เลย”
           
“ต้องขอขอบพระราชหฤทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคนของข้าพระพุทธเจ้าด้วย”
           
คืนนั้น บ๊อบ โฮ้พ ได้นำวงดนตรีของเขา เข้าไปเล่นถวายอยู่จนดึก จึงกราบกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ที่บ้านของเขา รับสั่งว่า

“ยินดี… ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ”
           
บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลเสียงอ่อยๆ ว่า “ติดด้วยเกล้า ว่าตกลงพ่ะย่ะค่ะ”



.....

ทรงพระนามว่าเกาะช้าง

ครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถาม ข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า

“เกาะนั้นชื่ออะไร”

ข้าราชการทูลตอบว่า “เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้างพะย่ะคะ”

ตรัสว่า “ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ” (ถ้างง ก็กลับไปอ่านอีกรอบ)

(การเรียกชื่อเกาะใช้คำว่า"ชื่อ"ธรรมดา เพราะคำว่า"ทรงพระนาม" เป็นราชาศัพท์ใช้กับราชวงศ์เท่านั้น)



.....

ส่งเสี่ยกลับวัง

เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปรพระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโดยลำพังพระองค์

มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า “ไปไหมเสี่ย”

ปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ

เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร



.....

ใช่แล้วพระเจ้าครับ

เคยได้ฟังคนเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งในหลวงทรงเสด็จไปที่ ห่างไกลทุรกันดาร เพื่อที่จะทรงงาน ขณะที่จะกลับ มีชายคนหนึ่งมาถวายผ้าไหม โดยทหารไม่ให้เข้าเฝ้าแต่ในหลวงให้เข้าเฝ้า ชายคนนั้นถวายผ้าไหมให้ในหลวง

ในหลวงจึงตรัสถามว่า “ผ้าไหมนี้ทำเองใช่ไหม”

ด้วยความที่ชายคนนั้นไม่รู้คำราชาศัพท์ จึงกราบทูลพระองค์ว่า “ใช่แล้วพระเจ้าครับ”

.....

ลิเกเข้าเฝ้า

เรื่องแรกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภาคอีสานเมื่อครั้งเสด็จไปเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายอดแปลกใจในการกราบบังคมทูล ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงทรงมีพระราชปฏิสันถารถึงสาเหหตุในการใช้ราชาศัพท์ดีนี้ จึงกราบบังคมทูลว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้อายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า..”

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงเลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า “เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว”

พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า

“มีทั้งหมดสามตัวพระเจ้าข้า พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”

เรื่องนี้ ดร.สุเมธ ผู้ตามเสด็จครั้งนั้นด้วย เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้ในหลวง



.....

พระประชวรเกี่ยวกับพระฉวี(หน้า)

พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวี (ผิวหน้า) มีพระอาการคัน มีหมอผิวหนังคณะหนึ่งเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า

“เอ้อ..ทรง...อ้า..ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพระยะค่ะ”

พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้อย่างไร”

แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า

“อ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ”

เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการเป็นภาษาอังกฤษไป



.....

หมึกไม่ออก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อนงค์รัตน์ สุขุม เล่าว่า วันที่ 19 กรกฎาคม 2526 เป็นวันพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่นายกสโมสรอาจารย์จะเป็นผู้ดูแลถวายปากกาให้ทรงลงประปรมาภิไธย แต่ในปีนั้น ดิฉันในฐานะอุปนายกสโมสรอาจารย์ได้รับหน้าที่นี้แทน ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนิน เราก็ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะปากกา ลองกันหลายครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่

พอเสด็จฯ มาถึง ท่านก็ทรงลงพระปรมาภิไธย ปรากฏว่าทรงจรดปากกาลงไปแล้วแต่ไม่มีหมึกออกมา เราก็ตกใจมากเลย ไม่รู้จะทำยังไงดี นึกในใจว่าเป็นความบกพร่องของเราแน่ๆ ลองมากไปจนหมึกหมด ดิฉันก็เลยถวายกระดาษทิชชูเปล่าๆ ที่อยู่ในมือให้ท่าน เพื่อจะให้ท่านทรงเช็ดปากกา แต่ท่านทรงพระเมตตามากเลย

สีพระพักตร์ที่ท่านมองดิฉันเหมือนกับจะตรัสว่า “ไม่ต้องตกใจ” แล้วก็ทรงนำปากกามาลองที่มือดิฉันที่มีกระดาษทิชชู่ ปรากฏว่าหมึกออก

จากนั้นก็ทรงหันไปลงพระปรมาภิไธยในสมุด พอท่านเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามาดูกระดาษที่ทรงลองปากกาแผ่นนั้นกันใหญ่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ บอกว่า “พี่ๆ ขอหน่อยเถอะพี่ จะเอาไปเป็นมงคล” ก็เลยแบ่งให้อาจารย์ไปส่วนหนึ่ง..




................................................................


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.066 seconds with 17 queries.