Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
20 May 2024, 09:11:37

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,703 Posts in 12,501 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เหนือเกล้าชาวสยาม  |  พระบรมโพธิสัตว์เจ้าแห่งแผ่นดินสยาม (Moderator: Smile Siam)  |  ความในใจ ปีที่คนไทยไม่ต้องการความจริง ลาก่อนปีเก่าที่ไม่อยากจดจำ
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ความในใจ ปีที่คนไทยไม่ต้องการความจริง ลาก่อนปีเก่าที่ไม่อยากจดจำ  (Read 238 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,556


View Profile
« on: 16 October 2021, 19:33:40 »

ความในใจ ปีที่คนไทยไม่ต้องการความจริง ลาก่อนปีเก่าที่ไม่อยากจดจำ



“ ความในใจ ปีที่คนไทยไม่ต้องการความจริง ลาก่อนปีเก่าที่ไม่อยากจดจำ ”
WASON WANICHAKORN·SATURDAY, DECEMBER 31, 2016-pz5JhcNQ9P.png

จากเสียงชัตเตอร์ ที่เคยได้ยิน ด้วยความสุขเสมอมา แต่ค่ำวันนั้น วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่เสียงชัตเตอร์นั้นแสนเศร้าปนน้ำตาเอ่อ เป็นครั้งแรกที่ต้อง
ถ่ายภาพผ่านม่านน้ำตาของตัวเอง ต้องถ่ายภาพความเศร้าโศกเสียใจของปวงพสกนิกรที่สูญเสีย “พ่อหลวง” ในขณะที่ในใจกำลังปวดร้าว เศร้าสร้อยอย่างที่สุด



ค่ำคืนแห่งความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปวงชนชาวไทย
ในฐานะพสกนิกร การสูญเสีย “พระองค์ท่าน” เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตผม แต่เนื่องจากผมไม่ได้อยู่ในฐานะพสกนิกรของพระองค์ท่านเท่านั้น
แต่ยังมีฐานะเป็น “ช่างภาพข่าว” ของสำนักข่าวเอพี มีหน้าที่ต้องบันทึกภาพเหตุการณ์สำคัญในประเทศที่เกิดขึ้น เพื่อส่งเผยแพร่ออกไปทั่วโลกด้วย
การบันทึกภาพประวัติศาสตร์ครั้งนี้จึงเป็นการถ่ายภาพครั้งที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต



หัวใจที่แตกสลาย ณ ตรงหน้า
ผมต้องต่อสู้กับความรู้สึกโศกเศร้า เสียใจอย่างที่สุด เมื่อมองเห็นเพือนร่วมชาติ ร่วมใจรักและภักดี หัวใจนั้นแตกสลายอยู่ตรงหน้า ส่งความรู้สึกทางสีหน้าและ
หยดน้ำตา ผ่านทะลุเลนส์โดยตรง แต่ก็ด้วยความตั้งใจมั่นว่า การถ่ายภาพครั้งนี้ ต้องถ่ายภาพเพื่อสะท้อนให้ชาวโลกได้เห็นว่าคนไทยรักพระองค์ท่านมากมาย
เพียงใด และต้องการสะท้อนให้ชาวต่างชาติคิดกลับมาว่า พระองค์ท่านต้องรักและทำอะไรให้คนไทยอย่างมากมายมหาศาลจริงๆ จึงทำให้คนไทยจำนวนมาก
ขนาดนี้ โศกเศร้า เสียใจได้มากมายและยาวนานอย่างคาดไม่ถึง ผมจึงต้องอดทน อดกลั้นอารมณ์เอาไว้ เพื่อทำงาน ทำหน้าที่ของตนเอง แด่พระองค์ท่านต่อไป
ให้จงได้



ด้วยรักและภักดีอย่างสุดขั่วหัวใจ
ด้วยความที่ผมเป็นช่างภาพ (Stringer) ของสำนักข่าวเอพี ภารกิจถ่ายภาพให้สำนักข่าวเอพีมีเพียงบางวันเท่านั้น และนี่คือภาพประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ
หากผ่านไปแล้ว ไม่สามารถจะย้อนกลับมาได้ ผมจึงพยายามมาถ่ายภาพทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะต้องเดินทางมาจากต่างจังหวัดก็ตาม และนับตั้งแต่ วันนี้เป็นต้นไป
หรือ ในช่วงงานที่ผ่านมา ภาพทุกภาพ แม้ผมจะไม่ได้รับมอบหมายงานจากสำนักข่าว ถ้าผมมีจังหวะเวลา ผมก็จะเข้ามาเก็บบันทึกมันเอาไว้ ให้เป็นประวัติศาสตร์
ของชาติ ของคนไทย และของตัวเอง ซึ่งผมคิดว่า ผมในฐานะ ช่างภาพในรัชกาลของพระองค์ท่านคนหนึ่ง ผมต้องบันทึกมันไว้ไม่ว่าภาพนั้น มันจะทำความยาก
ลำบากให้กับผมมากมายขนาดไหน ผมก็จะบันทึกมันไว้



ในช่วงค่ำพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แต่ก็ไม่มีใครทิ้งแถวเพื่อหลบฝนนั้น



"ฉันเปียกได้ แต่ในหลวงของฉันห้ามเปียก"





ในวันที่ 29 ตุลาคม 2559 เป็นวันหนึ่งที่ผมมองเห็นถึงความจงรักและภักดีต่อพระองค์ท่านอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต เป็นวันแรกที่มีการเปิดให้ประชาชน
เข้าไปกราบถวายอาลัยพระบรมศพ ประชาชนจำนวนมากทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา คนพิการแขนขา ตาบอด มีทุกรูปแบบต่าง เข้ามารอคิวเพื่อกราบถวายอาลัย
ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 28 นอนกลางดิน ทั้งยุง ทั้งฝน รอคอยอย่างอดทนด้วยรักและภักดี ช่วงเช้าถึงเย็นก็ยังยืนรอต่อคิวตากแดดเต็มพื้นที่ของสนามหลวง ทั้งร้อน
ทั้งหิว กว่าสิบสามชั่วโมง และช่วงค่ำวันนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถทำลายความมุ่งมั่น ของประชาชนได้ พวกเขาไม่หนีแถว ยังคงยืนรอสู้ทนพายุ
ฝนอันรุนแรง ไม่ไปไหน





ในวันนั้นผมจึงต้องถ่ายภาพเหล่านี้ท่ามกลางสายฝน หลายคนมาถามว่าไม่กลัวกล้องพังหรอ ?
ผมตอบกลับไปว่า "กล้องผมพัง ผมหาที่ซ่อมได้ แต่ภาพประวัติศาสตร์เหล่านี้ ผมไม่สามารถหามันได้อีกแล้ว ถ้าวันนี้ผมไม่ถ่ายเก็บมันไว้"
ผมถือว่านี่คือภาพแห่งความรักและภักดีอย่างสุดขั้วหัวใจ ไม่มีใครที่ไหน มาทำอะไรแบบนี้หรอก นอกจากจะทำให้ในหลวง ในหลวงองค์เดียวเท่านั้น
ที่จะทำให้ประชาชนคนไทยยอมทนแดด ทนฝน ทนหิว ทนทุกอย่าง เพื่อเฝ้ารอที่จะได้เข้าเฝ้า ได้กราบลา ได้อยู่ใกล้ๆ กับพระองค์ท่านอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย




เธอเป็นครูอยู่ต่างจังหวัด มาต่อคิวตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 29 ตุลาคม พร้อมพวงมาลัยดอกมะลิที่เธอเองบรรจงร้อยเรียงมากับมือ ในระหว่างวันพวงมาลัยดอกมะลิ
นี้ก็จะอยู่ในสองมือเธอ ไม่เคยวาง จวบจนประตูมหาราชวังปิด เธอไม่ได้เข้าไปกราบอย่างที่ตั้งใจ ในมือพนมถือพวงมาลัยมะลิกราบพ่อหลวงอยู่ด้านนอกกำแพง
พระบรมมหาราชวังน้ำตาคลอ ท่ามกลางสายฝนที่ยังตกไม่ขาดสาย




ประชาชนที่มาเฝ้ารอคอยเพื่อเข้าเข้ากราบลาพ่อหลวงเป็นครั้งสุดท้าย ในวันแรก 29 ตุลาคม ที่เปิดให้เข้ากราบถวายอาลัย ยืนพิงกำแพงพระบรมมหาราชวัง
อย่างหมดหวังหลังจากถึงเวลาปิดประตูตามเวลาที่กำหนด 21.00 น.



ประชาชนบางส่วนที่มาเข้าคิวตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ทันเวลาที่กำหนด จึงนำดอกไม้มากราบลาพ่อหลวงอยู่ด้านนอกกำแพงพระบรมมหาราชวัง
อีกวันที่ผมถือว่าเป็นการถ่ายภาพยาก คือ การถ่ายภาพกิจกรรมเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันครบ 1 เดือนของการการจากไปของพ่อหลวง




ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา




จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา




โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่ เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน

วันนั้นผมรู้สึกได้ว่าขณะที่พี่น้องประชาชนร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงต้นไม้ของพ่อ โดยเฉพาะบทเพลงพระราชนิพนธ์ "ความฝันอันสูงสุด"
พวกเขากำลังสื่อสารอยู่กับพระองค์ท่านด้วยความเป็นสมาธิ ความเป็นส่วนตัว ความจริงผมไม่อยากรบกวนอารมณ์ของพวกเขาเลย แต่ผมก็เชื่อว่าการที่พวกเขาเห็น
ผมร้องเพลงไปด้วย น้ำตาไหลนองอาบแก้มไปด้วย ขณะค่อยๆขยับเข้าไปถ่ายภาพ พวกเขาก็คงรับรู้ได้ว่าผมก็อยู่ในอารมณ์เดียวกันกับพวกเขา เพียงแต่ผมก็ต้อง
ทำหน้าที่ของผมไปด้วย




จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย และจากร้อยเป็นพัน เป็นพันหัวใจที่คิดถึงพ่ออย่างที่สุด

.....

ในค่ำคืนวันที่ ๕ ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ เป็นครั้งแรกที่มาสนามหลวงแล้วรู้สึกเงียบเหงาระคนเศร้าซึม ต่างคน ต่างกลุ่ม ต่างมา บ้างนั่งสวดมนต์
บ้างรวมกลุ่มเล็กๆ จุดเทียนคุยกับพ่อ ไร้งานอย่างเป็นทางการที่จะทำให้พ่อที่นี่ เหมือนที่เคยทำมาตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา



พสกนิกรผู้รักและเทิดทูนหลายๆ กลุ่ม จากหลายๆ ที่ที่มีหัวใจเดียวกัน หัวใจที่รักพ่อ หัวใจที่คิดถึงพ่อ ไม่มีอะไรมาหยุดหัวใจอันภักดีของพวกเขาเหล่านี้ได้
จากกลุ่มเล็กๆ เวลาผ่านไป จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย และจากร้อยเป็นพัน เป็นพันหัวใจที่คิดถึงพ่ออย่างที่สุด




วันนี้ไม่มีพ่อแล้ว ไม่มีเสียงตะโกน"ทรงพระเจริญ"อันกึกก้องไปทั้งท้องสนามหลวงเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่พ่อจะมีหัวใจเหล่านี้ ที่นี่เสมอในทุกๆวันที่ ๕ ธันวาคมและตลอดไป"


“พ่อเจ้าหลวง เหนราวเปงคงไทย ราวจึงร่ายเปงคงไทย” เป็นคำบอกเล่าถึงความรู้สึกภายในใจลึกๆ



บางคนพูดไทยไม่ชัด บางคนพูดไทยไม่ได้ แต่พวกเขาทุกคน ก็รู้ว่าพ่อเจ้าหลวงคือใคร
ใครคนนั้น... ที่มองเห็นพวกเขา ในวันที่พวกเขาไม่มีใคร
ใครคนนั้น... ที่คอยห่วงใยพวกเขา ในวันที่พวกเขาไม่มีอาชีพอะไร
ใครคนนั้น... ที่ให้แผ่นดินให้ชีวิตให้อนาคต จนพวกเขามีวันนี้
ใครคนนั้น... คือคนที่พวกเขาก็จงรักและภักดีไม่แพ้ใครๆ
ใครคนนั้น... ก็คือคนที่พวกเขาเรียกว่า “พ่อเจ้าหลวง"




ชาวเขาชาติพันธุ์ 41 ชนเผ่า กว่า 5,200 คนทั่วประเทศ เดินทางมาสักการะพระบรมศพในหลวง ร.9 ด้วยเงินทุนส่วนตัว ด้วยเพราะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
เป็นล้นพ้น อันหาที่สุดมิได้

พวกเขาบางกลุ่มเดินเท้าข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า บางกลุ่มเดินเท้าข้ามคืนข้ามวัน จุดหมายเพื่อมาขึ้นรถที่หมู่บ้านแล้วเดินทางต่อไปขึ้นรถไฟที่เชียงใหม่
มาลงยังหัวลำโพง เข้าพักแรมที่สนามม้านางเลิ้ง และตอนเช้าตรู่ มาทำพิธีส่งดวงพระวิญญาณตามความเชื่อของพวกเขา และเข้าต่อแถวตอนแปดโมง
ตามคิวจนได้เข้ามาในพระบรมมหาราชวัง สี่ห้าโมงเย็น พวกเขาบอกว่านานเท่าไหร่ก็จะรอ "รอเพื่อพบพ่อเจ้าหลวง"

บางส่วนใส่ชุดชาวเขาที่ทั้งหนักและหนา แต่เพื่อให้สมพระเกียรติ พวกเขาบอกว่า พวกเขาทนได้ พ่อหลวงไปหาพวกเขาที่บ้าน ลำบากมากกว่านี้อีก
แม้ดูพวกเขาจะเหนื่อยและเมื่อยล้า แต่ทุกคนก็อดทนเพื่อขอเข้ากราบลา “พ่อเจ้าหลวง" ครั้งสุดท้าย




.....

ครั้งนั้น . . . ฟ้าเคยโน้มลงมาบรรจบพื้นดิน
วันนี้ . . . เม็ดดินเล็ก ๆ จะเดินทางมาส่งฟ้า



ความรู้สึกของประชาชน พวกเขาเหล่านี้ อยู่ในสายตาที่มองผ่านเลนส์ของผมตลอดระยะเวลาตั้งแต่ค่ำวันที่ 13 ตุลาคมจนมาถึงในวันนี้ ผมจดจำได้ทุกความรู้สึกที่
รับเข้ามา รู้ไหมว่าภาพ ภาพหนึ่งกว่าที่จะตัดสินใจกดชัตเตอร์ลงแต่ละครั้ง เราต้องใช้เวลาจ้องมอง เราต้องต้องซึมซับเอาความรู้สึกที่อยู่ตรงหน้า เข้ามาเก็บไว้ใน
ตัวเองมากมายขนาดไหน ความรู้สึกที่ผมได้รับมาเหล่านี้ มันทำให้ผมรับรู้เลยว่าพระองค์ท่านทรงมีพระบารมีที่ยิ่งใหญ่มหาศาลอย่างที่สุดไม่มีใครเทียบได้ ใน
ความรู้สึกรักและภักดีของพวกเขา ในแต่ละวันที่ผ่านมา ยิ่งถ่าย ยิ่งบันทึกภาพไปเรื่อยๆ ไม่มีเลยที่ความรู้สึกเหล่านี้จะจางหายไป มันกลับท่วมท้น ทวีคูญเพิ่มมากขึ้น

แม้วันเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานหลายเดือนแล้ว เพียงแต่ความรู้สึกที่เคยร้องไห้ โศกเศร้า น้ำตาไหล แปรเปลี่ยนไปเป็นการกระทำความดี เป็นคนดี เดินตามรอย
ตามปณิธาน คำสอนของพ่อ




การถ่ายภาพครั้งนี้ ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะนอกจากภาพถ่ายที่เน้นอารมณ์และความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อในหลวง ผมยังเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ
ในฐานะที่เคยถวายงานพระองค์ท่านไว้ในเฟซบุ๊คของผมด้วย ซึ่งมีการแชร์ทั้งภาพและเรื่องราวที่ผมเขียนออกไปจำนวนมาก



นอกจากนี้ภาพของผมคือภาพ “หยาดเหงื่อของพ่อ หยดน้ำตาของลูก” ที่ผมถ่ายไว้เมื่อเช้าวันที่ 15 ตุลาคม ที่บริเวณหน้าประตูพระบรมมหาราชวัง ในระหว่างที่
ประชาชนมารอเข้าร่วมลงนามถวายความอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ได้รับคัดเลือกให้
มาจัดแสดงในนิทรรศการ “ทรงสถิตในดวงใจไทยทั้งชาติ” ของกระทรวงวัฒนธรรม ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เป็นภาพที่ได้คะแนนโหวตให้เป็นภาพที่
ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดอันดับหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 9 “ภาพแห่งความภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจะนำ
มาจัดทำเป็น “จดหมายเหตุ” ทำให้มีสื่อกระแสหลักจำนวนมาก ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และนิตยสารต่างๆ มาขอสัมภาษณ์

แม้ผมจะได้รับความชื่นชมอย่างมากมายอย่างที่ไม่เคยมาก่อน และหลายๆ ครั้งมันดีต่อใจอย่างที่สุด มีคนรู้จักผมเพิ่มมากขึ้น ชื่นชมผม เพราะภาพเหล่านี้ หรือ
เพราะงานๆ นี้ บอกเลยว่าผมไม่ต้องการ หากเป็นไปได้ ผมขอ “ในหลวง” กลับคืนมา

“ผมไม่อยากได้ภาพแบบนี้ ใจจริงๆ ถ้าเลือกได้ ไม่อยากเห็นภาพแบบนี้เลย แต่ที่สุด ไม่ว่าภาพนั้นมันจะสุขหรือทุกข์ สุดท้ายแล้วมันจะงดงามในทุกๆ ความรู้สึกเสมอ”
#ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป #ช่างภาพบ้านนอก
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๐

https://www.facebook.com/notes/739184333605874/
www.facebook.com/notes/wason-wanichakorn/-ความในใจ-ปีที่คนไทยไม่ต้องการความจริง-ลาก่อนปีเก่าที่ไม่อยากจดจำ-/1378618885511182


วสันต์ วณิชชากร (ช่างภาพบ้านนอก)



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.046 seconds with 16 queries.