ppsan
|
|
« on: 16 October 2021, 09:12:37 » |
|
"ดี้-นิติพงษ์" เล่าเรื่อง รอยแย้มพระสรวลแห่งเมตตาที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน..
"ดี้-นิติพงษ์" กลั่นหัวใจเล่าเรื่องราวชีวิตเฝ้าฯกราบพระบาท กับรอยแย้มพระสรวลแห่งเมตตาที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน..
Nitipong Honark ขึ้นต้นข้อความว่า
" ไม่รู้ฉันเคยเล่าเรื่องนี้หรือเปล่าแม่ประไพ...ฉันเคยเล่าให้เพื่อนฟังบ้าง เล่าให้น้องๆ ฟังบ้าง...แต่จำไม่ได้ว่าเคยเล่าให้แม่ประไพฟังไหม... ...แต่ถ้าเคยเล่าแล้ว ฉันก็ขอเล่าอีกละกัน...อย่าถือสาเลย..
...เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว...วัดทุกวัดที่ต้องมีการยกช่อฟ้าอุโบสถใหม่ในประเทศไทยเรานี้ ผู้ที่จะเป็นผู้กดปุ่มยกช่อฟ้าไปติดบนยอดอุโบสถ มีพระองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าอยู่หัว..และตามเสด็จด้วยพระราชินี และพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ...
...ตอนนั้นฉันอายุประมาณสิบสองขวบ ได้ยินข่าวว่า ในหลวงจะเสด็จมาพร้อมพระราชินี ที่วัดแถว ๆ อำเภอบ้านหมี่ มายกช่อฟ้า ฉันก็ชวนเพื่อนนั่งรถไปเลย จากอำเภอเมือง ไปถึงบ้านหมี่นี่ก็ไกลมากสำหรับเด็กสิบสองขวบ หลายสิบกิโลอยู่....
..มีที่นั่งกับพื้นตามรายทางที่จะเสด็จ มีเชือกกั้น ฉันก็ได้ไปอยู่แถวหน้าเชือกกั้นกับเพื่อน...ถึงเวลาเสด็จ..ในหลวงก็เสด็จมาตามลาดพระบาท มีพระราชปฏิสันถารกับชาวบ้านสองข้างทางเดิน...ในเวลานั้น ฉันเป็นเด็กพิการนิดหน่อย ตาซ้ายเสีย ใส่ตาปลอมพลาสติก แต่ยังดูไม่เรียบร้อย ตาโปนออกมาผิดปกติ ดูผิดสังเกตมาก...
ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปปฏิสันถารกับราษฏรอีกฝั่งของทางเดิน...ส่วนสมเด็จพระราชินีนาถ สังเกตเห็นฉัน ว่าฉันไม่ปกติ..จึงทรงหยุด...แล้วทรุดพระวรกายลงนั่ง ทอดพระเนตรมาที่ฉัน...
"ตาเป็นอะไรจ๊ะ...." "ตาเสียครับ..."......ในเวลานั้นฉันตอบฉลาดกว่านี้ไม่ได้เลย
ในเวลาเดียวกันนั้น พระธิดา เจ้าฟ้าสิรินธร กับเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ก็ทรงย่อพระองค์ลงขนาบซ้ายขวาพระมารดา แล้วทอดพระเนตรมาที่ฉันคนเดียว
"ชอบเรียนหนังสือไหม"....พระราชินีทรงถามเด็กชายอายุสิบสอง "ชอบครับ".... "ดีละ...ตั้งใจเรียนให้เหมือนลูกสาวฉันสองคนนี้นะ จะได้เรียนให้เก่งๆ "
แล้วทั้งสามพระองค์ก็ทรงลุกขึ้น ตามเสด็จพระราชดำเนินในหลวงต่อไป...
มันลืมไม่ได้ดอกแม่ประไพ...จำได้แบบไฮเดฟินิชั่นเลย...จำพระเนตรแห่งเมตตาได้...ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้...
จนผ่านไปสี่สิบปีกว่า...จากเด็กบ้านนอก มาถึงวันที่เติบโตเป็นที่ยอมรับ ก็ได้รับเชิญไปดูโขนพระราชทาน เมื่อหลายปีมานี่เอง...บัตรเชิญที่ได้รับอยู่ตรงแถวติดกับทางเสด็จพระราชดำเนิน...ก็จะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด เวลาทรงเสด็จผ่านที่นั่งของฉัน ซึ่งอยู่สูงกว่าทางเดิน ก็คือ ที่นั่งของฉันต้องสูงกว่า เวลาท่านเสด็จผ่านที่นั่งของฉัน...ท่านจะอยู่ต่ำกว่า...แล้วพระราชินีท่านก็เสด็จพระราชดำเนินผ่านที่นั่งของฉันที่สูงกว่า แล้วเงยพระพักตร์มาแย้มพระสรวลให้ ในระยะไม่เกินสองเมตร...ฉันตัวลีบ....ที่สุดเท่าที่จะลีบได้แล้ว...
แต่จำได้เลยว่า นี่คือ รอยแย้มพระสรวลแห่งเมตตา ภาพเดียวกันกับที่ฉันเคยได้รับตอนเมื่อสี่สิบปีก่อนนั้น ไม่ต่างกันเลย....
อีกเรื่องคือเรื่องเล่าจากปากของท่านผู้หญิงที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์... คนไทยกี่คนจะรู้...ว่า พระราชินี ทรงต้องกระโดดจากเฮลิคอปเตอร์ ที่สูงเกือบสองเมตรเหนือพื้นดิน เพราะหญ้าในป่ามันสูง จนเฮลิคอปเตอร์ลงไม่ได้...เพื่อจะไปช่วยพวกผู้อพยพ ในฐานะองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย...เห็นที่ทรงต้องดูดีงาม เพื่อรักษาภาพราชินีของคนไทย ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ไทย....
แต่มีคนไทยไม่มากหรอก ที่จะรู้ว่า พระแม่ราชินีของเรานี่ ทรงลำบากอะไรที่เราไม่เคยรู้เลย...อยากให้คนไทยได้รู้เสียจริงให้รู้ว่า เรามีพระราชินีที่เมื่อถึงเวลาสง่างามก็สง่างาม เมื่อถึงเวลาที่ต้องกระโดดลงจากเครื่องบินก็ทรงทำ ถึงเวลาที่ทำงานหนักก็ต้องทำคนไทยเอย...
บอกเลยนะ ถ้าวันนี้ในหลวงกับพระราชินี ไม่ต้องทรงต้องแบกภาระหน้าที่ขนาดนี้...ท่านคงจะทรงพระสำราญมากนักแล้วในโลกนี้ไม่มีพระราชาองค์ใด สมบุกสมบันขนาดนี้ และ ไม่มีพระราชินีองค์ใด ที่ต้องทรงพลอยสมบุกสมบันขนาดนี้ด้วย
คำว่าทรงพระเจริญ...พูดได้ตามความเหมาะสม...แต่วันนี้...ฉันอยากพูดคำว่า....นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราจะขอร้องให้ช่วยดูแลพระพ่อพระแม่ของเรา ฉันอยากให้...คนไทย หันกลับไปดูแลองค์พ่อองค์แม่ของเราให้มากที่สุด...คนดี ๆ เรายังอยากเอาใจช่วยเลย...แต่นี่คือ พ่อแม่ของเราและคนทั้งเมือง...ซึ่งมีแต่ให้...ช่วยกันดูแลพ่อแม่หลวงเรากันนะ ...
|