Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 June 2025, 01:21:32

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,264 Posts in 13,292 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
41
Animals / Frankfurt : ห่านอียิปต์
« Last post by ppsan on 09 June 2025, 10:26:52  »
Frankfurt : ห่านอียิปต์




เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมต้องเดินทางไปเยอรมนีอีกครั้ง
หลังจากเคยไปที่นั่นเมื่อหลายสิบปีก่อน
ความสุขไม่ได้มีมากนัก ด้วยอายุที่มากขึ้น
แต่เมื่อเป็นงาน เราก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปไป แต่ก็ได้รูปนกมา 2 ตัว
แบบว่าเข้าเมืองไปเดินเล่นริมน้ำ มันก็เดินผ่านไปผ่านมา
ประมาณว่าเราเดินผ่านนกพิราบแถวท้องสนามหลวง
ซึ่งหากนกพวกนี้อยู่เมืองไทย รับรองว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนี้แน่
 
ห่านอียิปต์ (Egyptian goose) เป็นชื่อของนกตัวแรก
แบบว่ามากันเป็นครอบครัวหลายตัวมาก เราไม่ได้พกกล้องไป
แค่หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่าย ง่ายๆ แค่นั้นเอง 
 
ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ในทวีปแอฟริกา ต่ำจากทะเลทรายซาฮาราลงไปถึงทางใต้
มีบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่ลุ่มน้ำไนล์ ในประเทศอียิปต์ ซึ่งน่าจะเป็นที่แรก
ที่นักวิทยาศาสตร์พบและตั้งชื่อให้พวกมันว่า Alopochen aegyptiaca
ชื่อสกุลนั้นมาจาก สีน้ำตาลลตรงแผ่นหลัง ที่ตรงกับสีของหมาจิ้งจอก



มันไม่ควรพบเห็นได้ที่นี่ แต่ก็เหมือนหลายเหตุการณ์
ที่มีการนำเข้าสัตว์แปลกต่างๆ เพื่อความสวยงามไปทั่วโลก
ในศตวรรษที่ 18 ในอังกฤษมีการนำห่านอียิปต์มาเลี้ยง
ตามสวนสาธารณะและบ้านของเศรษฐี

ปี 1967 มีการนำห่านอียิปต์ไปเลี้ยงในเนเธอร์แลนด์
ปี 1971 ในอังกฤษจัดเป็นนกประจำถิ่น เพราะพบได้ตลอดแม่น้ำเทมส์
แต่จำนวนนั้นก็ยังไม่มาก ปี 1982 มีการนำห่านอียิปต์ไปเลี้ยงในเบลเยี่ยม
ในช่วงกลางทศวรรษ 198x พบว่าพวกมันกระจายไปทั่วทั้งภาคพื้นทวีปยุโรป
 
การศึกษาพบว่า นกที่นำเข้าไปในเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยมนั้น
ในปี 1980 กลายเป็นนกกว่า 1,200 คู่ และจำนวน 11,421 คู่ ในปี 2010
 
พวกมันก้าวร้าวต่อสัตว์อื่น โจมตีแม้กระทั่งโดรนที่บิน 
ในถิ่นอาศัยเดิมพวกมันถูกควบคุมประชากรตามธรรมชาติ
โดยเสือดาว สิงห์โต ชีตาร์ ไฮยีนา จระเข้ และนกแร้ง

ปัจจุบันจัดเป็นสัตว์ที่ห้ามนำเข้าไปยังสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์ที่เป็น alien species ในอเมริกา
ส่วนนกอีกตัวนั้น คือเป็ดหัวเขียว (mallard)
ซึ่งเราเคยเขียนถึงไว้แล้วในบล็อก Snowy Hokkaido


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2024&date=02&group=22&gblog=107
.




42
บางปู : นกหัวโตหลังจุดสีทอง




การถ่ายนกชายเลนนอกจากต้องทนต่อแสงแดดอันแผดกล้า
นกชายเลนนั้นก็มีความระวังภัยสูง ไม่ค่อยยอมเข้าใกล้คน
และอุปสรรคที่มากที่สุดนั้น ก็คือปริมาณนกที่มากมาย
การที่จะใช้สายตาแยกแยะนกหายากออกมานั้นทำได้ยาก
สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ ถ่ายก่อนแล้วค่อยมาแยกที่หลัง
 
สมัยก่อนนั้นเราต้องใช้หนังสือ bird guide อย่างเดียว
แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ปัจจุบันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น
คือการใช้แอปพลิเคชัน ที่ช่วยให้เราสามารถจำแนกชนิดนกได้
หากไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยไปถามในกลุ่มคนถ่ายภาพนกเอา
 
วันนี้ที่เราเห็นนกรูปร่างแปลกตาจากภาพที่ถ่ายมาจากบางปู
ก็คือ นกหัวโตหลังจุดสีทอง (Pacific golden plover)
ที่อยู่ในชุดขนฤดูผสมพันธ์ ทำให้มีสีสันดูสะดุดตา
จากรอยคาดขาว และริ้วขนสีทองบนแผ่นหลังตามชื่อ
 
ซึ่งหากเราถ่ายได้ในช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์ นั้นน่าจะแยกได้ยาก
จากขนสีน้ำตาลมีลายจุดๆ ที่คล้ายกับนกชายเลนตัวอื่น
แต่เมื่อถึงช่วงปลายฤดูกาลอพยพ ที่นกพร้อมจะบินกลับบ้าน
มันจะเปลี่ยนเป็นชุดขนฤดูผสมพันธ์ ที่มีลวดลายอันโดดเด่น


none-breeding 16/3/2568 เดอะเกลือคาเฟ่


นกหัวโตหลังจุดสีทอง (Pluvialis fulva) อาศัยอยู่ใน
ทุ่งทุนดราของรัสเซีย และชายฝั่งของรัฐอลาสกาของสหรัฐอเมริกา
จนกระทั่งย่างเข้าสู่ฤดูหนาว จึงพากันอพยพด้วยระยะทางอันแสนไกล
ลงมายังหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงชายฝั่งทวีปเอเชีย
และลงใต้ไปถึงทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะนิวซีแลนด์
 
นกหัวโตในสกุล Pluvialis  มีจำนวน 4 สายพันธ์
อีก 3 ชนิดนั้นคือ European, American และ Grey plover
ซึ่งก็หน้าตาคล้ายๆ กัน ในประเทศไทยนั้นยังมีโอกาส
ที่จะเห็นได้อีก 1 ชนิด นั่นก็คือ นกหัวโตสีเทา  (Grey plover)
 
แต่รูปนกหัวโตสีเทาที่เค้าโพสต์กันใน facebook ของคนไทย
ก็ยังไม่เห็นภาพไหน อยู่ในชุดขนฤดูผสมพันธ์ ซึ่งจะแยกได้ง่าย
จากนกหัวโตสีเทาจะมีแถบสีขาว ใหญ่กว่านกหัวโตหลังจุดสีทอง
ใหญ่จนพาดไปบนศรีษะ กลายเป็นนกหัวสีขาวตรงกลางเลย
และขนบนหลังมีแค่สีน้ำตาลกับดำ ไม่ออกเป็นหลังสีทอง
 
ถึงตรงนี้ นกก็ธรรมดา รูปก็ไม่สวย จะเขียนไปทำไม
คำตอบคือ เป็นการฝึกฝนตนเอง เพื่อที่จะได้มีความสามารถ
ในการจำแนกนกชายเลน เพราะหากเราแยกนกธรรมดาออกไม่ได้
การแกะนกหายากอย่างนกชายเลนปากช้อนนี่เป็นไปไม่ได้เลย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=09-2024&date=26&group=22&gblog=108
.




43
ศูนย์วิจัยข้าว ปทุมธานี : นกช้อนหอยดำเหลือบ




ในช่วงหน้าฝน นกอพยพไม่มี คนดูนกส่วนหนึ่งก็จะไปที่ ศวขป
ซึ่งเป็นที่ชื่อย่อของ ศูนย์วิจัยข้าว ปทุมธานี  เพื่อไปดูนกน้ำ
โดยเฉพาะนกที่ไม่ค่อยพบในที่อื่นอย่าง นกโป่งวิด
เป็นนกที่ผมก็อยากจะได้บ้าง ก็ลองไปหาดูกัน
 
เช้าวันหนึ่งเราก็ออกเดินทาง ไปยังสถานที่แห่งนี้ มีนักดูนกไม่มาก
ต่างกระจัดกระจายกันไป เพราะเป็นสถานที่วิจัย
ดังนั้นก็จะมีการจัดการพื้นที่แตกต่างกันไปในแต่ละแปลง
แน่นอนว่า เราหานกหายากไม่ค่อยจะเจอกับเค้า
 
 นกที่ดีที่สุดที่พบในวันนี้คือ นกช้อนหอยดำเหลือบ (Glossy ibis)
 
หากย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน เมื่อพูดถึงนกช้อนหอยในประเทศไทย
ก็จะพูดว่ามีเพียงชนิดเดียวคือ นกช้อนหอยขาว (Black-headed ibis)
ที่พบได้อย่างยากลำบาก แถวอ่างเก็บน้ำตามแนวชายแดนอีสานใต้
นั่นเพราะแหล่งทำรังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งสุดท้ายนั้นอยู่ในกัมพูชา

เช่นเดียวกับนกช้อนหอยอีก 2 ชนิด ที่คาดว่าเคยมีถื่นอาศัยในประเทศไทย
และหายสาปสูญไปเมื่อนานมาแล้วนั่นก็คือ นั่นก็คือนกช้อนหอยใหญ่ (Giant Ibis)
และนกช้อนหอยดำ (White-Shouldered ibis) ที่ยังสามารถพบเห็นได้ที่เขตอนุรักษ์เสียมปัง
ซึ่งเป็นแหล่งสุดท้ายของนกและสัตว์หายากอย่าง นกแร้ง นกฟินฟุต กระทั่งจระเข้สยาม
ในพื้นที่ป่าสามเหลี่ยมรอยต่อระหว่างประเทศกัมพูชา ลาว และเวียดนาม



ในเวลาต่อมาก็มีคนพบนกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์ (Sacred ibis) หลุดมาจากซาฟารีเวิร์ล
หลังจากนั้นก็มีรายงานนกช้อนหอยดำเหลือบที่เป็นนกอพยพในประเทศไทย
นานไปก็มาอาศัยทำรังวางไข่ที่บึงบอระเพ็ด ทำให้กลายเป็นนกประจำถิ่นของไทย
และกระจายตัวอย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศ รวมถึงจำนวนที่พบเป็นฝูงขนาดใหญ่อีกด้วย

ทั้งโลกมีนกช้อนหอยราว 28 ชนิด นกช้อนหอยดำเหลือบเป็นนกโลกเก่า (old world)
เป็นนกน้ำขนาดตัวกลางๆ ประมาณนกยางเปีย ตามรูปภาพด้านบน
เดิมพบเฉพาะในทวีปแอฟริกาตามแนวเส้นศูนย์สูตร และลงมาทางตะวันออกของทวีป
เมื่อ 200 ปีก่อน พวกมันอพยพตามลมสินค้าไปยังทวีปอเมริกาตรงพื้นที่ชุ่มน้ำฟลอริดา

อีกราว 100 ปี ต่อมา ก็พบนกช้อนหอยดำเหลือบที่ออสเตรเลีย
และ 50 ปีต่อมา พวกมันเริ่มสร้างรังบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของอนุทวีปอินเดีย
ซึ่งนกกลุ่มนี้น่าจะเป็นประชากรที่อพยพมายังประเทศพม่าและไทยในเวลาต่อมา
และในช่วงเวลาทีเริ่มพบในประเทศไทยนั้น ก็มีรายงานนกช้อนหอยดำเหลือบในยุโรปด้วย

แสดงให้เห็นว่านกข้อนหอยดำเหลือบประสบความสำเร็จในการขยายพันธ์ได้เป็นอย่างดี
จัดอยู่ในสถานะ Less concern ในขณะที่นกช้อนหอยขาวนั้นอยู่ในสถานะเกือบถูกคุกคาม
แต่ปัจจุบันเราพบนกช้อนหอยขาวได้มากขึ้น ซึ่งน่าเป็นประชากรที่อพยพมาจากอินเดีย
เพราะจุดที่พบแรกๆ นั้น คือพื้นที่ภาคกลางไม่ต่างไปจากนกช้อนหอยดำเหลือบ


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=09-2024&date=23&group=22&gblog=109
.




44


โคอุสุภราช หรือ โคนนทิ คือ โคเผือกที่เป็นพาหนะประจำขององค์พระศิวะ


.

หัวโขน โคอุศุภราช หรือ นนทิราช


นนทิในร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์


เทวรูปโคนนทิที่ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์





45
Animals / สวนรถไฟ : นกเค้ากู่
« Last post by ppsan on 07 June 2025, 10:08:40  »
สวนรถไฟ : นกเค้ากู่




นกเค้ามี 2 กลุ่มคือ วงศ์นกแสก และวงศ์นกเค้า
ในประเทศไทย พบนกแสก 2 ชนิดคือ นกแสก และนกแสกแดง

ตอนเด็กๆ เคยเจอลูกนกแสกตกมาจากต้นไม้
ซึ่งคนไทยมีความเชื่อว่าหากนกแสกไปเกาะบ้านใคร
คืนนั้นจะมีคนตาย ทำให้ไม่มีใครชอบนกแสก
แต่การที่นกแสกหายไปน่าจะมาจากอาคารร้างที่มันอยู่นั้นหายากขึ้น
สมัยนี้ยังพอเห็นได้บ้างตามสวนปาล์มซึ่งปล่อยให้มันช่วยกำจัดหนู

ส่วนวงศ์นกเค้าในประเทศไทย พบ 16  ชนิด
ถือว่ามาก แต่ว่าส่วนใหญ่หายากเพราะอยู่ตามป่า หรือไม่ก็เป็นนกอพยพ
 ที่เราคุ้นกันดีและเป็นนกประจำถิ่นก็คือ เค้าจุด เค้าโมง และเค้ากู่

ส่วนนกฮูกที่เราเรียกติดปาก ก็คือนกเค้ากู่นั่นเอง มีขนาดตัว 23-25 ซม.
จัดเป็นนกขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้ แต่ว่าเล็กว่ากลุ่มนกแสก

ลำตัวมีสีได้ตั้งแต่เทาอ่อนไปถึงน้ำตาล
ลักษณะเด่นที่ใช้แยกจากนกเค้าอื่น คือขนสีดำที่ขึ้นเป็นกรอบรอบใบหน้า
เป็นที่มาของชื่อว่า collared scops-owl (Otus lettia)
และมีขนขึ้นยาวสูงสองข้างของศรีษะจนดูราวกับว่าเป็นใบหู

@ สวนรถไฟ
6/10/2567

ถิ่นอาศัยพบตามแนวเขาหิมาลัย ตั้งแต่ตอนเหนือของปากีสถาน อินเดีย
เนปาล รัฐอัสสัม จากนั้นกระจายไปทั่วประเทศพม่า จีนตอนใต้
ไต้หวัน ถึงเกาะไหหลำ ลงมายังเวียดนาม ลาว กัมพูชา
จนมาจบที่เหนือคอคอดกระของประเทศไทย

ส่วนนกเค้ากู่ที่พบในอนุทวิปอินเดียที่หน้าตาคล้ายกันเป็น
indian scops-owl (Otus bakkamoena) 
ในขณะที่คนไทยเชื่อว่าสัตว์ที่โง่คือควาย
ในอินเดียกลับเชื่อว่าเป็นนกฮูก

นอกจากนี้ยังเชื่อว่านกฮูกเป็นสัตว์ที่นำโชคร้าย
เหมือนกับที่คนไทยเชื่อเรื่องนกแสก
แต่ในทางศาสนาเชื่อว่า เป็นสัตว์พาหนะภูเขาของพระลักษมี
ส่วนในชนบทของอินเดียยังมีความเชื่อเรื่องฆ่านกฮูกเพื่อนำมาบูชายัญ

กลับมาที่ที่สวนรถไฟ พบว่ามีนกเค้าที่หาง่ายทั้ง 3 ชนิด
แต่ที่คนถ่ายกันได้มาก คือนกเค้าจุดตรงลานจราจร
แต่ก็ไม่ใช่ง่าย ผมเองยังต้องอาศัยคนที่กำลังถ่ายตรงนั้น
เพราะเดินเองไม่รู้ว่าอยู่ต้นไหนกันแน่   

ส่วนที่คนถ่ายได้มากรองลงไปคือ นกเค้ากู่ ตัวนี้นี่เอง
ที่แม้คนจะบอกว่าอยู่ตรงไหน แต่ว่าการไปหาเองนั้น ก็ยังไม่เคยเจอ



จนวันหนึ่งที่ผมหยุดงาน เพื่อไปตามหานกแซวสวรรค์สีน้ำตาล
ซึ่งก็โชคดีในโชคร้ายที่เห็นนกได้ผ่านกล้องสองตา
แต่พอจะกดถ่ายภาพมา กลับไม่รู้ว่าตั้งค่ากล้องไว้ที่ซูม 1.6 เท่า
ก็เลยหานกใน view finder ไม่เจอ กว่าจะรู้ตัว เค้าก็บินหายไปแล้ว

รอสักพักก็ถอดใจเดินไปที่อื่น เจอพี่คนหนึ่งแต่งชุดเหมือนนักวิ่งเทรล
มาลากไปบอกว่า มาถ่ายนกเค้าหูยาวตรงนี้ แล้วก็พาเดินไปที่หลังห้องน้ำ
ชี้ๆ ขึ้นไปบนต้นปาล์ม มองตามยังไงก็ไม่เห็น พี่เค้าก็บอกนั่นไงๆ
จนต้องพาอ้อมไปอีกด้าน พร้อมค่อยๆ บอกแบบไล่ไปทีละก้านถึงจะเห็น

นี่ล่ะความยาก ในการตามหานกตัวนี้ ขนาดมีคนชี้ให้ดู ยังหายากเลย
ที่ยากไปกว่านั้น หลังจากมองให้เห็นก็คือ จะถ่ายยังไง
เพราะว่าใบไม้บังแทบจะมิดตัว ระบบโฟกัสของกล้องนี่จบเลย
เอ หรือว่าเราต้องเปลี่ยนกล้องใหม่ที่มีระบบจับดวงตาสัตว์แล้ว
 
จากนั้นพี่เค้าก็พาไปดูจุดที่พบนกเค้าหูเล็ก นั่นคือชื่อที่พี่เค้าเรียก
ที่คนส่วนใหญ่เรียกว่านกเค้าโมง (นกเค้าแมว) แต่ว่าไม่เจอ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณพี่คนนั้นจริงๆ
ที่ทำให้สวนรถไฟแห่งนี้ ยังมิตรภาพดีๆ อยู่
 
และนี่ก็คือประสบการณ์ของฤดูกาลนกอพยพในปีนี้ที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=09-2024&date=17&group=22&gblog=110
.




46
กาญจนบุรี : แซงแซวเล็กเหลือบ




ปีนี้เป็นปีที่เหนื่อยอีกปีหนึ่งเลย
อาจจะทำให้หายไปนาน มาพบกันน้อยลง
ปลายปีแบบนี้ราชการก็มักไปต่างจังหวัด มาที่นี่หลายครั้ง
แต่เป็นครั้งแรกที่เอากล้องมา ไมด้า รีสอร์ท กาญจนบุรี
 
มาถึงก็เปิดตัวด้วยนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ที่อยากจะถ่าย
นกบั้งรอกลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ แถวลานจอดรถ
ดูน่าจะถ่ายไม่ยาก แต่ก็ถ่ายมาไม่ได้ ติดแต่ต้นไม้
เพราะมันมุดไปมุดมา ราวกับกระรอกสมชื่อจริงๆ
 
เดินไปยังริมน้ำมีกระเต็นอกขาวอยู่อีกฝั่ง
กระเตแต้เว๊ด นกยางหากินอยู่ริมหาด ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ย้อนกลับไปตรงเข้ามา เป็นสวนป่าที่มีบ้านร้างตั้งอยู่
นกสีดำที่เงาราวกับอีกกา แต่ว่าตัวเล็กกว่ามาก

คิดไม่ออกว่าเป็นนกอะไร ถ่ายไปก่อน
มีนกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ ที่เห็นได้บ่อยเกาะกิ่งไม้อยู่ในสวนร้าง



กลับมาอัพโหลดภาพลงมือถือ
ใช้โปรแกรม Merlin bird IDในการหาชื่อนก
นกที่เป็นไปได้ แซงแซวเล็กเหลือบ (Bronzed drongo๗ 
หนึ่งในนกแซงแซว 7 ชนิดที่พบในประเทศไทย
 
ที่เราคิดว่าใช่เพราะเคยเห็นแซงแซวหางปลาที่คล้ายกันบ่อยๆ
แต่ตัวใหญ่กว่ามาก หางก็มีแฉกขนาดใหญ่คล้ายหางปลาตามชื่อ
ที่สำคัญแซงแซวหางปลานั้นสีดำด้าน ไม่ออกมันเหลือบแบบนี้
เสียดายที่แม้จะใช้ขาตั้งกล้อง แต่นกก็ไม่ได้อยู่ให้ถ่ายนาน
 
ในชีวิตนกแซงแซวหายากที่เคยเห็น คือแซงแซวหางบ่วงเล็ก
ตอนที่เดินผ่านไปยังน้ำตกทีลอซู สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย

นี่ก็ผ่านไปอีกปีแล้ว เพราะเริ่มมีข่าวนกอพยพเข้ามา
หวังว่าปีนี้จะเป็นที่โชคดีอีกสักครั้ง ที่ได้นกใหม่หลายๆ ตัว


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=09-2024&date=02&group=22&gblog=111
.




47
กรมประชาสัมพันธ์ : นกจับแมลงสีน้ำตาล




ย้อนกลับไปในช่วงสงกรานต์ เราไปตามหาแต้วแร้วนางฟ้า
ที่พุทธมณฑลแต่ว่าไม่เจอ แผนสำรองคือไปที่กรมประชาสัมพันธ์
ซึ่งมีข่าวว่ามีคนถ่ายนกจับแมลงหลังเขียวได้
 
เคยมีบุญวาสนาได้เจอนกจับแมลงตะโพกเหลือง
เมื่อมีนกจับแมลงที่ยังไม่เคยได้มา ต้องอยากไปแน่ๆ
 
จากสถานี BTS อารีย์ เดินฝ่าแดดยามเที่ยงของเดือนเมษายน
จนไปถึงสวนสาธารณะกรมประชาสัมพันธ์ ดูแล้วมีขนาดเล็กมาก
สอดส่องมองหา มีแต่นกธรรมดาอยู่นิดหน่อย ถอดใจเลยทีนี้
ไม่รู้จริงจุดที่เค้าถ่ายได้มันอยู่ที่ไหน แห้วซ้ำซ้อนเลย
 
เมื่อเปิดดูรูปที่โหลดออกจากกล้อง ตอนที่ถ่ายมาคิดว่าเป็นปรอดสวน
เพราะเห็นนกสีน้ำตาลทั้งตัว แต่สังเกตุใต้ปากเป็นสีส้มที่ไม่คุ้นตา
จนซึ่งปัญญาเข้าไปโพสต์ถามในกลุ่มที่เค้าเชี่ยวชาญสายนกสีน้ำตาล
ก็ได้รับคำตอบที่พอชื่นใจ เป็นนกอพยพมาจากไซบีเรีย
ชื่อว่า นกจับแมลงสีน้ำตาล
 
แต่สงสัยว่าทำไมภาษาอังกฤษเรียกว่า asian brown flycatcher ล่ะ
แปลว่าต้องพบครั้งแรกในเอเชียเป็นแน่ ซึ่งเราไม่ควรเป็นคนขี้สงสัย
เพราะเรื่องนี้จะพาลงไปในความลึกลับของนกสีน้ำตาล
ที่แสนจะธรรมดาตัวนี้ อย่างยาวนานเป็นสัปดาห์



ชื่อนกวงศ์ (family) Muscicapidae ตั้งขึ้นโดย John Flemming
นักธรรมชาติวิทยาชาวสกอต ในปี 1822 มาจากภาษาละตินสองคำ
Musca ที่แปลว่า แมลง และ capere ที่แปลว่า จับ
โดยขยายให้ครอบคลุมสกุล (genus) Muscicapa เดิมที่ตั้งโดย
Mathurin Jacques Brisson นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี 1760
 
ปัจจุบันแยกออกเป็น 3 sub spp. ได้แก่ Muscicapa dauurica dauurica
มีแหล่งผสมพันธ์ในไซบีเรียตะวันออก มองโกเลียเหนือ จีนตะวันออก
เกาหลี และญี่ปุ่น และอพยพหนีหนาวลงมาพบได้ตั้งแต่
จีนตอนใต้ เกาะไหหลำ ไต้หวันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จนถึงพม่าตะวันตก ฟิลิบปินส์ และเขตซุนดราใหญ่
 
นอกจากนี้ยังมีนกประจำถิ่นอีกสองชนิด M. d. poonensis 
อาศัยอยู่ในปากีสถานตอนเหนือ ภูฐาน และอินเดีย
และ M. d. siamensis อาศัยอยู่ในแถบตะนาวศรีของพม่า
ภาคเหนือและตะวันตกของไทย พบใต้สุดที่เพชรบุรี และตอนใต้ของเวียดนาม
 
ปัจจุบันชื่อของนกจับแมลงสีน้ำตาลกลุ่มหลักนั้นยังไม่เป็นที่ยุติ
ส่วนใหญ่ใช้ Muscicapidae dauurrica dauurrica, Pallas 1811
และยังมีส่วนน้อยที่ใช้คำว่า Muscicapidae latiostis, Raffles 1822


31/1/2568 กาญจนบุรี

Peter Simon Pallas เกิดในปี 1741 เป็นบุตรชายของศัลยแพทย์ในเบอร์ลิน
อายุเพียง 19 ปี ก็เรียนจบแพทยศาสตร์ แต่ในอีกด้านเค้าก็มีความสนใจ
ในด้านธรรมชาติวิทยาปี 1767 ได้รับเชิญจากพระนางแคทเธอลีนที่สอง
แห่งรัสเซีย ให้ไปเป็น Professor ที่มหาวิทยาลัย St. Pertersburg
 
ในปี 1768 ถึงปี 1774 ได้เป็นหัวหน้าคณะสำรวจเดินทางไปยัง
ตอนกลางของรัสเซียเลยไปจนถึงแถบไซบีเรีย
ได้แก่เทือกเขาอูราล เทือกเขาอัลไตทะเลสาปไบคาล แม่น้ำอามูร์
และทรานส์ไบคาลที่เป็นเทือกเขาที่นับจาก
ทะเลสาปไบคาลไปจนถึงสุดขอบตะวันออกไกลของรัสเซีย
 
ส่วนหนึ่งของบริเวณนี้เป็นพื้นราบที่ชาวเมือง nomadic เรียกว่า Dauria
ความสวยงามของบริเวณนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
และเป็นที่มาของคำว่า Dauurrica ของชื่อสายพันธุ์นกชนิดนี้
เมื่อกลับมาที่รัสเซียเค้าเป็นที่โปรดปรานของพระนางแคทเธอรีน
โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ผู้สอนบุตรหลานในราชวงศ์รัสเซีย
 
ปี 1784 ได้เริ่มเขียนหนังสือเรื่อง Flora Rossica
ปี 1793 ถึงปี 1794 เค้าได้ออกเดินทางสำรวจอีกครั้ง
ไปยังแถบไครเมีย และทะเลดำ เมื่อกลับมาถึง St. Petersburg
เค้าได้ชื่นชมความงามให้พระนางแคทเธอลีนฟัง
พระองค์ได้พระราชทานบ้านอันใหญ่โตที่เมือง Simferopol ให้
 
ปี 1799-1801 เขียนหนังสือภาษาเยอรมัน Pallas's remarks
on a trip to the southern governorships of the Russian Empire
เค้าอาศัยอยู่กับภรรยาคนที่สองจนเธอเสียชีวิตลงในปี 1810
หลังจากเหตุการณ์นี้จึงได้รับการอนุญาตให้กลับไปบ้านเกิดที่เยอรมัน
และเสียชีวิตลงที่เมืองเบอร์ลินในปี 1811
 
จากการสำรวจที่ไซบีเรียได้มีการออกยังมีหนังสืออีกหนึ่งเล่มชื่อ
Zoographica Rosso-Asiatica ความหนา 600 หน้า ด้วยภาษาละติน
ที่ได้เขียนถึงนกที่ชื่อ Muscicapidae grisola ß variety dauurrica
โดยปีที่หนังสือนี้ออกมาคาดว่าอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1811-1831



15/9/2567 วัดเทียนถวาย

Alfred Russel Walalce นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ
ระหว่างปี 1854-1862 ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อศึกษาธรรมชาติ
และเป็นต้นกำเนิดทฤษฏีที่เรียกว่า natural selection 
การเดินทางนี้รวมถึงพื้นที่มาลายา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
 
ตลอดการสำรวจสามารถเก็บตัวอย่างได้กว่าแสนรายการ
ส่งไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ประเทศอังกฤษ
 
ในปี 2013 ศูนย์วิทยาศาสตร์สิงคโปร์จะจัดนิทรรศการชั่วคราว
เพื่อเป็นการให้เกียรติกับ Walllace และจะกลายเป็นส่วนการจัดแสดงถาวร
ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งใหม่ของสิงคโปร์ ในปี 2014

 ระหว่างการจัดเตรียมงานมีการค้นพบตัวอย่างนกสีน้ำตาล
ที่ Raffles Museum of Biodiversity Research
โดยตรงป้ายนั้นเขียนว่า Muscicapidae latiostis, Raffles 1822
เป็นลายมือที่สามารถระบุได้ว่า เขียนโดย Walllace

M. latiostis ตั้งชื่อโดย Sir Thomas Stamford Bingley Raffles
ผู้ว่าการบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ในช่วงปี 1811-1816
เป็นรองผู้ว่าการเขตสุมาตราของอังกฤษ ในช่วงปี 1818-1822
และเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาเกาะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้าของอังกฤษ

ปริศนาของเรื่องนี้ก็คือ ไม่เคยมีหลักฐานว่า Wallace ได้มอบตัวอย่างใด
ให้พิพิธภัณฑ์ที่สิงคโปร์ การสืบค้นเรื่องราวนำมาซึ่งการคลีคลาย
การเดินทางอันแสนจะยาวนานของนกจับแมลงสีน้ำตาลดัวนี้
ที่สรุปได้ว่าในปี 1862 หลังจาก Wallace กลับไปถึงประเทศอังกฤษ

เค้าได้รับซื้อรับซื้อตัวอย่าง Asian brown flycatcher ที่ถูกส่งมาทางเรือ
จากวิศวกรชาวอังกฤษที่เข้ามารับจ้างคุมการขุดเหมืองในมาลายา
หลังจากนั้นตัวอย่างนกตัวนี้ได้ถูกขายไปเป็นทอดๆ
จนในที่สุดก็ตกไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในเยอรมันนี

ต่อมาในราวปี 1930 ได้มีการแลกเปลี่ยนตัวอย่างกับพิพิธภัณฑ์ราฟเฟิล
นำมาสู่การค้นพบตัวอย่างนกสีน้ำตาลตัวนี้ในปี 2012
เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ตัวอย่างนกตัวหนึ่งที่จากถิ่นฐานไปหลายสิบปี
ในที่สุดก็ได้กลับบ้าน



27/10/2567 วัดญานเวศกวัน

แม้งานสำรวจของ Pallas จะเก่ากว่าการพบตัวอย่างของ Raffles
แต่ความไม่แน่นอนของปีที่ตีพิมพ์หนังสือ Zoographia Rosso-Asiatica
ทำให้ตลอดมาเชื่อว่า นกจับแมลงสีน้ำตาลพบครั้งแรกที่สุมาตรา่
ในปี 1822 จึงใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Raffles เป็นหลัก

ปี 1909 มีผู้ยิงนกจับแมลงสีน้ำตาลได้ในอังกฤษ
เบื้องต้นถูกสันนิษฐานว่าเป็นนก pied flycatcher ชนิดที่ไม่เต็มวัย
ที่พบได้ทั่วไปในยุโรป แต่เมื่อส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญ มันถูกจำแนกว่า
เป็นนกจับแมลงสีน้ำตาล Muscicapa latirostris, Raffles
 
 ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับวงการนักปักษีวิทยาว่า
เป็นไปได้อย่างไรที่จะพบ asian brown flycatcher ในยุโรป
เพราะสถานที่ที่พบนกชนิดนี้ ใกล้ที่สุดคืออนุทวีปอินเดีย

จากเหตุการณ์นี้เป็นไปได้ว่า มันอาจจะมาจากไซบีเรีย
หลังปี 1930 จึงจะมีผู้ที่เริ่มจะเชื่อว่า
ผู้ที่ค้นพบนกชนิดนี้คนแรกคือ Pallas ไม่ใช่ raffles
จึงมีการใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์สองชื่อคู่กันมาโดยตลอด
 
ปี 1985 มีการเก็บตัวอย่างนกจับแมลงสีน้ำตาลจากเกาะ Attu
หมู่เกาะอลูเชียนไปไว้ที่ museum of  Alsaka university
ให้เลขรหัสว่า UAM 5245 ในปี 1995 Banks and Browning
ใช้ตัวอย่างนี้เพื่อพิจารณาว่า นกชนิดนี้ในทางอนุกรมวิธาน
ตรงกับ Muscicapidae latirostis, Raffles 1822

จึงมีการยอมรับชื่อทางวิทยาศาสตร์ของนกจับแมลงสีน้ำตาล
ที่อาศัยยอยู่ทางไซบีเรียและอพยพลงใต้ในฤดูหนาวว่า
M. d. dauurrica, Pallas 1811
แต่ชื่อสามัญ Asian brown flycatcher ก็ยังคงเดิม

แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นยุติยังมีการ correction ชื่อนกตัวนี้
ในวารสารอนุกรรมวิธานและรายชื่อนกสากลในแต่ละภูมิภาค
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน



https://flickr.com/photos/140734051@N08/41660215722

ในขณะที่เรื่องราวสายพันธ์หลักดูเป็นปริศนา
สายพันธ์ย่อย siamensis กลับมากยิ่งว่า
พบครั้งแรกโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน
Nils Carl Gustaf Fersen Gyldenstolpe
ที่เข้ามาสำรวจนกในประเทศไทยในช่วงปี 1914-1915
 
กล่าวถึงการพบนกที่สถานีรถไฟ Bang Ho Pong จังหวัดลำปาง
ตัวอย่างถูกส่งไปเก็บรักษาและจำแนกที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา Stockholm
ในปี 1916 ได้ตีพิมพ์บทความลงวารสาร Ornithologische Monatsberichte
เป็นภาษาเยอรมันว่า เป็นนกสายพันธ์ย่อยใหม่ Alseonas siamensis sp.n.
 
มีความคล้ายกับ  Alseonas latirolris Raffl
แต่ส่วนหลังจะเป็นสีน้ำตาลเข้มแทนที่จะเป็นสีจาง
ปลายปีกปกคลุมด้วยสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน
ปากมีลักษณะสั้นและหนากว่า A. latirotris
ถึงปัจจุบันก็ยังมีรายงานการพบนกชนิดย่อยนี้อยู่น้อยมาก
 
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง คือบางตัวมีส่วนอกขีดลาย
คล้ายกับนกจับแมลงสีน้ำตาลอกลาย Muscicapa williamsoni
ที่เป็นนกประจำถิ่นในคาบสมุทรมาลายา
พบเห็นได้ยากแต่ก็มีรายงานขึ้นมาได้ถึง จ. ชุมพร
แต่ M.d. siamensis จะพบได้ตั้งแต่ จ. เชียงใหม่ลงไปไม่เกิน จ. เพชรบุรี


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=06-2024&date=18&group=22&gblog=112
.




48
Animals / ลาดกระบัง : นกกระสาแดง
« Last post by ppsan on 07 June 2025, 09:54:24  »
ลาดกระบัง : นกกระสาแดง




การดูนกที่ลาดกระบังเป็นการดูนกในนาข้าวที่โล่งแจ้ง
การไปสายคือหายนะ แต่บางครั้งก็ไม่สามารถจะเลือกเวลาได้
เมื่อไม่เจอนกเป้าหมาย ก็ย้ายไปหาที่ร่มเพื่อดูนกน้ำกัน
ทางไปวัดอุทัยธรรมาราม ตอนนี้อยู่ระหว่างการสร้างถนน
 
ระหว่างทางก็ผ่านบ่อปลา ลองมองหานกกันไป
นกยาง ปากห่าง หรือกาน้ำ เป็นนกธรรมดาที่พบได้ตลอด
ส่องไปเรื่อยๆ จนเจอนกตัวใหญ่ตัวหนึ่งยืนอยู่ริมบ่อ
ท่าทางกำลังจะหาอาหารนั่นคือ นกกระสาแดง
 
บ้านเราเรียกนกกระสา (stork) เพราะว่าตัวใหญ่
แต่จริงๆ แล้วทางสากล จัดเป็นนกยาง (heron)
จุดที่ใช้ในการจำแนกความแตกต่างของนกสองกลุ่มนี้
คือในขณะบิน นกยางจะหดคอเหมือนตัว S

นกกระสาแท้ และหาดูง่ายคือ นกปากห่าง
นกกระสาแดง (purple heron) มีความสูง ราว 80-90 ซม
ตัวเล็กและผอมบางกว่านกกระสานวล (grey heron)
ซึ่งเป็นนกยางที่มีรูปร่างและใช้คำนำหน้าว่า นกกระสาเหมือนกัน

ชื่อภาษาอังกฤษนั้น ได้มาจากลำตัวที่มีสีอมม่วง
แต่ชื่อไทยนั้นตั้งตามขนสีแดงที่ยาวไปจากลำคอไปถึงหน้าอก
 ความหายากจัดอยู่ในสถานะไม่น่ากังวล (less concern)

ถูกตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ardea purpurea ในปี 1766
โดยนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน Carl Lineaus
บิดาแห่งอนุกรมวิธาน ที่เป็นรากฐานมาจนถึงปัจจุบัน



กำหนดชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาลาติน
เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว แม้เวลาผ่านไปความหมายก็ยังคงเดิม
โดยนำหน้าด้วย genus (สกุล) ตามด้วย species (ชนิด)
Ardea คือนกยาง และ purpurea คือสีม่วงแดง

เมื่อเวลาผ่านไปมีการพบว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
มีความต่างกันเล็กน้อยไปตามภูมิภาค ทำให้ต้องมีการเพิ่ม sub species
นกกระสาแดงในปัจจุบัน ถูกแบ่งออกจากกันเป็น 4 ชนิดย่อย

กลุ่มแรกเรียกว่า นกกลุ่มตะวันตก (A. p. purpurea)
พบนกในฤดูผสมพันธ์ในยุโรปไปจนถึงคาซักสถาน จนถึงฤดูหนาว
ก็จะบินลงมาทางใต้ หากินร่วมกับนกประจำถิ่นในทวีปแอฟริกาเหนือ
 
กลุ่มที่สองเรียกว่า นกกลุ่มตะวันออก (A. p. manilensis)
พบนกในฤดูผสมพันธ์ทางตะวันออกของจีนไปถึงรัสเซีย จนถึงฤดูหนาว
ก็จะบินลงมาทางใต้ หากินร่วมกับนกประจำถิ่นในอินเดีย
ไปจนถึงเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย

นกกระสาแดงที่พบในประเทศไทย จึงมี 2 สถานะ
uncommon resident ที่พบเห็นได้ทั้งปี
และ common winter visitor ที่พบได้เฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น

 กลุ่มที่สามเรียกว่า นกกลุ่มใต้ A. p. madagascariensis 
พบในเกาะมาดากัสการ์ ทางตะวันออกของแอฟริกา

 และนกกระสาแดงชนิดย่อยสุดท้าย A. p. bournei
พบเฉพาะที่หมู่เกาะ Cape Verde ทางตะวันตกของแอฟริกา
ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุปว่า จะยังเป็นนกกระสาแดงชนิดย่อย
หรือว่าจะถูกตั้งเป็นนกชนิดใหม่ว่า Bourne's heron (A. bournei)



15/2/2568

ปี 1951 Dr William Bourne แพทย์และนักปักษีวิทยาชาวอังกฤษ
เดินทางมาสำรวจนกที่หมู่เกาะ Cape Verde เมื่อถึงเกาะ Santiago
ได้สังเกตว่า นกกระสาแดงที่เกาะนี้แตกต่างไปจากที่แผ่นดินใหญ่
Bourne ส่งตัวอย่างนกไปยังปารีส

หนึ่งปีต่อมา René de Naurois นักบวชและนักปักษีวิทยาชาวฝรั่งเศส
ให้ความเห็นว่า นกตัวนี้สีจางกว่านกกระสาแดงที่พบโดยทั่วไป
ควรตั้งเป็นชนิดย่อยใหม่ A. p. bournei
และตั้งชื่อสามัญเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบว่า Bourne's heron

เป็นการพบนกชนิดย่อยใหม่ครั้งแรกในชีวิตของ Bourne
แต่ยังมีการเรียกชื่อนกชนิดย่อยนี้ ตามสถานที่ค้นพบ
Cape Verde heron,  Santiago heron
หรือ Cape Verde purple heron อีกด้วย
 
ปัจจุบันมีประชากรเหลืออยู่เพียง 40 ตัว
จัดอยู่ในสถานะถูกคุมคามอย่างวิกฤติ (critically endangered)
ในฤดูผสมพันธุ์พวกมันจะมาทำรังบนต้นมะฮอกกานี
ที่หมู่บ้าน Banana บนเกาะ Santiago แห่งเดียวเท่านั้น
 
สมัยก่อนการแยกนกชนิดย่อยใหม่ใช้เพียงรูปร่างภายนอก
ปัจจุบันการตัดสินใจแยกนกชนิดใหม่หรือหรือนกชนิดย่อยใหม่
ใช้การเจาะเก็บเลือด เพื่อตรวจลึกลงไปในระดับ DNA
ซึ่งมีความจำเป็นมากในกลุ่มนกที่แยกจากกันได้ยากอย่างนกกลุ่ม LBJ
 
ปี 2021 Dr William Bourne ได้เสียชีวิตลง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2024&date=30&group=22&gblog=113
.




49


พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ (จิตรกรรมลายรดน้ำ วัดสุทัศนเทพวราราม)

.


พระอินทร์กับนางศจีประทับบนช้างเอราวัณ วาดขึ้นเมื่อราว ค.ศ. ๑๖๗๐-๑๖๘๐ ภาพจากวิกิพีเดีย


ในทางศิลปกรรม “ช้างเอราวัณ” ถึงมีเพียง 3 เศียร ไม่ใช่ 33 เศียรอย่างที่ปรากฏในตำนานหรือคัมภีร์ที่เล่าขานกันยาวนาน
เหตุที่ในทางศิลปกรรมนิยมทำรูปช้างเป็นสามเศียรแทนสามสิบสามเศียรนั้น เป็นการลดรูปทางศิลปะให้มีสัดส่วนที่สมดุลงดงามลงตัว




50
วัดคุณแม่จันทร์ : นกอีวาบตั๊กแตน




มีคนถ่ายกระแตหงอนได้แถวลาดกะบัง
ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เรายังไม่เคยไป
เลยได้โอกาสไปสำรวจแถวนั้นกันสักหน่อย

เช้าวันหนึ่งเราออกเดินทาง
ก็ได้รับคลื่นความร้อน พร้อมกับความผิดหวังกลับมา
 
แถวนี้มีวัดหนึ่งที่น่าสนใจ ที่เปิดให้เข้าเฉพาะช่วงเช้า
เป็นวัดป่าวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ วัดคุณแม่จันทร์
น่าจะตั้งชื่อตามผู้บริจาค ประวัติข้ามไปเพราะเรามาถ่ายนก
ใครต้องการไปวัดที่ยังคงเป็นวัด สักครั้งหนึ่งควรจะแวะมา
 
สำรวจโดยรอบมีต้นไม้และกอไผ่ เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก
มีนกสีน้ำตาลบินไปบินมาหลายตัว นกกลุ่มที่คนทั่วไปจะมองผ่าน
โดยเรียกนกกลุ่มนี้ว่า LBJ (little brown jobbies)
ที่มักจะบินผ่านตามสวนหน้าบ้านของคนยุโรปช่วงฤดูหนาว
 
น่าสนใจเพราะมีสีน้ำตาลตามชื่อ เลยทำให้นกกลุ่มนี้แยกได้ยาก
แต่ก็นั่นล่ะท่านผู้ชม ที่ของหายากมักจะปนอยู่ในสิ่งที่ดูธรรมดา
เราถ่ายมาหลายรูป เมื่อเปิดดูก็พบว่า เป็นนกปรอดสวนทั้งหมด
ไม่มีนกหายากปนมา แต่อย่างน้อยก็มีนกสีแปลกๆ หลงมาหนึ่งตัว



วัดเที่ยนถวาย

ผู้ใหญ่ในวันนี้ ย่อมเคยเป็นเด็กน้อยมาก่อน
เรายังจำเพลงที่ผู้ใหญ่ ใช้ร้องกล่อมนอนได้
แม่นกกาเหว่าเอยไข่ให้อีกาฟัก
แม่กาก็หลงรักนึกว่าลูกในอุธร
 
ไม่รู้ว่ามีอุทาหรณ์สอนใจอะไรในเพลงนี้
แต่ก็ถือว่าเป็นประโยคติดหู ธรรมชาติที่คนสมัยก่อนรู้ว่า
นกกาเหว่าเป็นนกที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ให้นิยามว่า
นกปาราสิต หรือนกที่เบียดเบียนการเลี้ยงลูกของนกอื่น
 
คนทั่วไปอาจจะไม่เคยเห็นนกกาเหว่า
แต่อย่างน้อยมันต้องมีเยอะแน่ๆ จากเสียงร้องน่ารำคาญ
ที่คอยปลุกผู้คนในยามเช้า สำหรับคนถ่ายภาพ
ถ้าเจอนกตัวดำๆ ตาสีแดงก็ใช่เลย
 
นกอีวาบตั๊กแตน น่าจะเป็นนกปาราสิตที่มีมากรองลงไป
ลองหาเสียงนกนี้มาเปิดดู เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยิน
แต่นี่เป็นเป็นครั้งแรกที่เราเห็น และถ่ายภาพมาได้
 
เล่ากันว่า ได้ชื่อมาแบบงงๆ เพราะนักดูนกที่ทุกคนรู้จักคือ
นพ. บุญส่ง เลขะกุล เห็นมันถูกวางขายที่ท้องสนามหลวง
คนขายก็ไม่รู้จักชื่อนกแต่นพ. บุญส่ง เห็นว่าเค้าป้อนตั๊กแตน
ก็เลยได้ชื่อนี้มา แต่ในชีวิตจริงจับบุ้งจับหนอนกินเป็นอาหาร



กำแพงแสน

นกอีวาบตั๊กแตน (plaintive cuckoo, Cacomantis merulinus)
หรือนกคัคคูที่มีเสียงร้องแสนเศร้า แต่เราว่าเหมือนคนผิวปากมากกว่า
มีขนาดตัว 21-23 ซม ครึ่งหนึ่งของนกกาเหว่าที่มีขนาดตัว 39-46 ซม
เมื่อนกอีวาบตั๊กแตนมีขนาดตัวเล็กกว่า จึงไปฝากไข่ไว้กับแม่อีกาไม่ได้
 
นกที่โดนอีวาบตั๊กแตนแอบให้เลี้ยงลูกคือนกที่มีขนาดไม่เกิน 15 ซม
นกกระจิบธรรมดา นกขมิ้นน้อยธรรมดา และนกกระจิบหญ้าสีเรียบ
กลยุทธิ์การขยายพันธุ์ที่ทำให้พวกมันประสบความสำเร็จนั้น
ไม่ได้มาโดยง่าย

 พ่อแม่นกปรสิตจะทำการเลือกรังเป้าหมายและคอยเฝ้าสังเกตพฤติกรรม
เมื่อนกเป้าหมายเริ่มผสมพันธ์ุ ปรกติก็จะใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการออกไข่
โดยธรรมชาตินกปรสิตก็จะใช้เวลาในการฟักไข่ที่ใกล้เคียงกับ

แต่แม่นกปรสิตจะผสมพันธ์และเก็บไข่ไว้ก่อนแล้วในตัว
ซึ่งจะมีอุณหภูมิสูงกว่าการกกไข่โดยพ่อแม่นกในธรรมชาติ
เป็นการรับประกันว่าลูกนกปรสิตจะได้เกิดมาก่อนนกเจ้าบ้าน

ตัวเมียจะฉวยโอกาสตอนที่พ่อแม่นกออกไปหาอาหารแอบเข้าไปวางไข่
หากนกเจ้าของรังมีการเฝ้าระวัง ตัวผู้ก็จะเข้าไปล่อหลอกให้ออกไป
จากนั้นตัวเมียจะเข้าไป เขี่ยไข่ของนกเจ้าบ้านออก 1 ใบ
แล้วรีบวางไข่ของตัวเองแทนลงไป ในภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที



กระทรวงสาธารณสุข

เมื่อพ่อแม่นกกลับมาเห็นว่ามีไข่แปลกๆ ในรังพวกมันก็จะเขี่ยออกไป
ดังนั้นนกปรสิตจะต้องมีความสามารถพิเศษ ในการเลียนแบบทั้งสีและลวดลาย
ให้ใกล้เคียงกับไข่ของเหยื่อ เมื่อลูกนกปาราสิตบางสายพันธ์ฟักออกมา
จะมีพฤติกรรมทำลายไข่ การฆ่าหรือการเบียดลูกนกเจ้าบ้านให้ตกลงไป

แม้จะไม่มีพฤติกรรมกรรมที่โหดร้ายนี้ ลูกนกก็จะมีเพดานปากสีส้ม
ดึงดูดใจให้พ่อแม่บุญธรรมป้อนอาหารให้มันมากกว่าลูกนกเจ้าบ้านเอง
และโดยขนาดของนกปรสิต ก็จะใหญ่กว่านกเจ้าบ้านอยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกนกของเจ้าของรังที่แท้จริงตายไปในที่สุด
 
ในภาพจะเห็นนกอีวาบตั๊กแตนตัวเมียที่เป็นลายจุด
อันนี้ไม่มีคนเล่า แต่เราเดาว่าน่าจะเป็นการใช้พลางตัวเข้าไปวางไข่
เพราะนกตัวผู้ไม่ต้องใช้พฤติกรรมแอบพราง ก็เลยมีสีที่สดใสกว่า

 นกปรสิตสำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่าเป็นนกที่น่ารังเกียจ
แต่เพื่อนร่วมสายพันธ์อย่างนกคัคคูมรกตตัวผู้
เป็นหนึ่งในนกเทพสำหรับคนถ่ายภาพนกเลยทีเดียว
เคยมาสวนหลวง ร.9 ก็ทำนักถ่ายภาพต้องลากสังขารกันไป

อีกหนึ่งนกปรสิตที่จัดเป็นเทพในวงการคนถ่ายภาพคือ
นกคัคคูหงอนที่นักถ่ายภาพตั้งชื่อว่า นกในชุดทักซีโด้
ก็เคยมาสวนสมเด็จฯ อยู่หลายครั้ง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2024&date=27&group=22&gblog=114
.




Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.052 seconds with 12 queries.