Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:10:26

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
41
เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 - entertainment.trueid.net - Ep.1-20


https://entertainment.trueid.net/synopsis/P1QPv9XqJ9X6

เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 ช่องวัน31 (ตอนจบ) ตีแผ่ศึกสายเลือดตระกูลดัง





เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 EP.1      
เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 EP.20 ตอนจบ





“ทายาทหมายเลข1” เรื่องราวของศึกสายเลือดแห่งตระกูล “รพีธาดา” ยักษ์ใหญ่ผู้ครองอาณาจักรแสนล้านแห่งวงการ Retail เปิดฉากขึ้น เมื่อ ธารา(นก-สินจัย) พี่ใหญ่ของตระกูลและผู้นำหมายเลข1 ถึงเวลาต้องวางมือ จึงต้องหาทายาทมาเป็นผู้นำคนต่อไปของ “สยามรพีกรุ๊ป” การฟาดฟันเพื่อช่วงชิงตำแหน่ง “ทายาทหมายเลข1” จึงเริ่มต้นขึ้น!! แต่...ใครจะได้ขึ้นเป็น “ทายาทหมายเลข1” คนต่อไป? ระหว่างครอบครัวของน้องชายคนกลาง นที(แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์) กับสะใภ้คนเดียว วีริน(แหม่ม-คัทลียา) หรือครอบครัวของน้องสาวคนเล็ก โปรยฝน(แป้ง-อรจิรา) กับเขยของตระกูล พศิน(อ่ำ-อัมรินทร์) หรือ สีน้ำ(กรีน-อัษฎาพร) ลูกเมียน้อยที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอก็มีสายเลือดรพีธาดาอยู่ในตัว มาร่วมลุ้นไปกับศึกสายเลือดครั้งยิ่งใหญ่ ใครจะได้ครอบครองตำแหน่ง “ทายาทหมายเลข1” ออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. เริ่มตอนแรกวันพุธที่ 20 สิงหาคมนี้ ทางช่องวัน31





เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 EP.1
วันพุธที่ 20 สิงหาคม 2568

ได้เวลาเปิดอาณาจักรแสนล้าน “สยามรพี” ที่ไม่ใช่เพียงห้าง แต่คือภาระหน้าที่ของทุกคนในตระกูล “รพีธาดา” เมื่อ “ธารา” (นก-สินจัย) พี่ใหญ่ของตระกูลและผู้นำหมายเลข 1 ถึงเวลาต้องวางมือลงจากบัลลังก์ การค้นหาผู้สืบทอดจึงเริ่มต้นขึ้น

ระหว่างครอบครัวของ “นที” (แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์) น้องชายคนกลาง กับภรรยา “วีริน” (แหม่ม-คัทลียา), ครอบครัวของ “โปรยฝน” (แป้ง-อรจิรา) น้องสาวคนเล็ก และสามี “พศิน” (อ่ำ-อัมรินทร์) รวมถึง “สีน้ำ” (กรีน-อัษฎาพร) ลูกเมียน้อยที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือสายเลือดรพีธาดา ต่างก้าวเข้าสู่ศึกชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่ ใครจะก้าวขึ้นเป็น “ทายาทหมายเลข 1”

.

.

(กดลิงก์ ชมละคร ทายาทหมายเลข 1)
https://www.youtube.com/watch?v=9SnyNsR2qow

ทายาทหมายเลข 1 | Ep.01 (Full Ep) | 20 ส.ค. 68 | one31

.





เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 EP.2
วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568

เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อมีข่าวใหญ่ เครื่องบินเล็กที่ “นที” (แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์) และ “ชลธาร” (ตรี-ภรภัทร) โดยสาร เกิดขาดการติดต่อกลางอากาศ ทำให้ตระกูล “รพีธาดา” ต้องเผชิญกับความสั่นคลอนครั้งใหญ่ สองพ่อลูกจะรอดจากเหตุการณ์นี้หรือไม่? หรืออาณาจักรแสนล้าน “สยามรพี” กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

.

.

(กดลิงก์ ชมละคร ทายาทหมายเลข 1)
https://www.dailymotion.com/video/x9pg8eq

ทายาทหมายเลข 1 ตอนที่ 2 (EP.2) วันที่ 21 สิงหาคม 2568

.





เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 EP.3
วันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568
หลังจากตระกูลรพีธาดาพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ เพื่อความมั่นคงของตระกูล และธุรกิจแสนล้าน จึงต้องหา “ทายาทหมายเลข 1” คนต่อไป การขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่จึงเป็นเรื่องสำคัญ ทะเลหลวง (ต้นข้าว ชยุตม์) และ มหาสมุทร (นิว อัครวินท์) ต้องเข้ามาพิสูจน์ฝีมือกับงานโปรเจกต์ใหญ่ของ “สยามรพี” โดยมีแม่ ๆ อย่าง วีริน (แหม่ม คัทลียา) และ โปรยฝน (แป้ง อรจิรา) คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง เพราะนี่คือก้าวสำคัญในการแย่งชิงเก้าอี้ “ทายาทหมายเลข 1”

ขณะเดียวกัน ธารา (นก สินจัย) และ สีน้ำ (กรีน อัษฎาพร) คอยสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ก่อนจะนำไปสู่ศึกเดือดอีกระลอก เมื่อ วีริน ต้องปะทะกับ โปรยฝน แบบไม่มีใครยอมใคร ศึกในว่าใหญ่หลวงแล้ว ยังมีศึกนอกเมื่อธาราต้องปะทะคารมเดือดกับศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่าง จารึก (ดู๋ สัญญา) ที่ต่างฝ่ายต่างมีเบื้องหลังปมแค้นของตัวเอง ยิ่งทำให้ตระกูลรพีธาดาสั่นคลอนเกินคาดเดา

.

.

(กดลิงก์ ชมละคร ทายาทหมายเลข 1)
https://www.youtube.com/watch?v=vZBKLLAtoJA

ทายาทหมายเลข 1 | Ep.03 (Full Ep) | 27 ส.ค. 68 | one31

.





เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 EP.4
วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2568

ความเข้มข้นเดินหน้าไม่หยุด! วีริน (แหม่ม คัทลียา) และทะเลหลวง (ต้นข้าว ชยุตม์) พบเบาะแส ว่าเหตุการณ์เครื่องบินตกที่พรากชีวิต นที (แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) และชลธาร (ตรี ภรภัทร) อาจไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็นแผนฆาตกรรมที่ใครบางคนจ้องเล่นงานครอบครัวรพีธาดาอย่างเลือดเย็น

ด้านทะเลหลวงต้องเผชิญอุปสรรคหนักรอบด้าน ทั้งงานที่ได้รับมอบหมายกู้วิกฤตสยามรพีห้างสยามรพี การสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อและพี่ชาย รวมถึงปัญหาในครอบครัว เมื่อมุกดาว (ปาว ปวรดา) น้องสาวคนเดียว กลับได้รับผลกระทบจากการกระทำของเขา จนนำไปสู่ความขัดแย้งร้าวลึกระหว่างพี่น้อง และซีนใหญ่ที่คนดูต้องลุ้นจนใจหาย วีรินต้องเผชิญเหตุไฟไหม้ ทำให้เธอต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด! จนอาจต้องตั้งคำถามว่า… หรือวีรินจะเป็นเหยื่อคนต่อไป?

.

.

https://www.youtube.com/watch?v=XaqoWdMxUH8

ทายาทหมายเลข 1 | Ep.04 (Full Ep) | 28 ส.ค. 68 | one31

.





เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข1 EP.5
วันพุธที่ 3 กันยายน 2568

ธารา (นก สินจัย) เริ่มลุยสืบหาความจริงด้วยตัวเองอย่างเต็มกำลัง ว่าแท้จริงแล้ว จารึก (ดู๋ สัญญา) มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เครื่องบินตก ที่พรากชีวิตของน้องชายและหลานชาย นที (แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) และชลธาร (ตรี ภรภัทร) ไปหรือไม่? ขณะที่ จารึกยังเดินเกมสร้างความปั่นป่วนให้ตระกูลรพีธาดาไม่หยุด ด้านทะเลหลวง (ต้นข้าว ชยุตม์) ก็กำลังไปได้สวยกับการสร้างผลงานใหม่ให้ห้างสยามรพี หลังจากสามารถเคลียร์ปัญหาที่รุมเร้ามาได้ แต่ความสำเร็จนี้กลับสร้างความไม่พอใจให้มหาสมุทร (นิว อัครวินท์) ที่ไม่อาจปล่อยให้ทะเลหลวงก้าวขึ้นมาเหนือกว่า มหาสมุทรจึงพุ่งเป้าไปที่มุกดาว (ปาว ปวรดา) น้องสาวของทะเลหลวง งานนี้ทำให้ วีริน (แหม่ม คัทลียา) ต้องออกโรงอีกครั้ง ด้วยการเผชิญหน้าขู่โปรยฝน (แป้ง อรจิรา) อย่างดุเดือด ติดตามชม ละครทายาทหมายเลข 1 EP.5 วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 เวลา 20:30 น. ทางช่องวัน 31

.

.

https://www.youtube.com/watch?v=zkEskf0e3ME

ทายาทหมายเลข 1 | Ep.05 (Full Ep) | 3 ก.ย. 68 | one31

.



42
เปิดผังความสัมพันธ์ตระกูล รพีธาดา ในละคร ทายาทหมายเลข 1


https://drama.kapook.com/view294366.html

เปิดผังความสัมพันธ์ตระกูล รพีธาดา ในละคร ทายาทหมายเลข 1 ใครเป็นใครมาดูกัน





เปิดผังตระกูลดัง รพีธาดา แห่งอาณาจักรแสนล้าน ใครเป็นใครใน สยามรพี จากละคร ทายาทหมายเลข 1





รพีธาดา ตระกูลดังแห่งอาณาจักรแสนล้าน สยามรพี ผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงธุรกิจ มีใครบ้าง ? แต่ละคนมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรในสายเลือดนี้ และใครที่จะได้ก้าวขึ้นมาเป็น ทายาทหมายเลข 1


เรื่องราวของละคร ทายาทหมายเลข 1 เข้มข้นตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อผู้นำอาณาจักรแสนล้าน รพีธาดา อย่าง ธารา (นก สินจัย) ถึงเวลาลงจากบัลลังก์ แล้วใครจะได้เป็นผู้สืบทอด ?



.

เริ่มที่ครอบครัวของฝั่งน้องชาย นที (แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) น้องชายของธารา (นก สินจัย) ที่แต่งงานกับ วีริน (แหม่ม คัทลียา) มีลูก 4 คน ได้แก่ ชลธาร (ตรี ภรภัทร), ทะเลหลวง (ต้นข้าว ชยุตม์), มุกดาว (ปาว ปวรดา) และ มุกตะวัน (ซัน ปัณณธร)










.

ส่วนฝั่งครอบครัวของน้องสาวคนเล็ก โปรยฝน (แป้ง อรจิรา) ที่แต่งงานกับ พศิน (อ่ำ อัมรินทร์) มีลูก 2 คน ได้แก่ มหาสมุทร (นิว อัครวินท์) และ อันดามัน (พูม่า ภูปภพ)







.

นอกจากนี้ยังมี สีน้ำ (กรีน อัษฎาพร) ลูกเมียน้อย ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอก็มีสายเลือดรพีธาดาอยู่ในตัว



.

แผนผังความสัมพันธ์ตัวละครใน ทายาทหมายเลข 1





แต่ละคนต่างมีบทบาท มีความลับ และมีแรงจูงใจซ่อนอยู่ในการช่วงชิง ตำแหน่งทายาทหมายเลข 1 ส่วนใครจะได้ครอบครองตำแหน่งนี้นั้น ต้องติดตามชมกันต่อในละคร ทายาทหมายเลข 1 ที่ออกอากาศทุกวันพุธ - พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางช่อง one31

รายชื่อนักแสดงในตระกูล รพีธาดา
สินจัย เปล่งพานิช รับบท ธารา
ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง รับบท นที
คัทลียา แมคอินทอช รับบท วีริน
ภรภัทร ศรีขจรเดชา รับบท ชลธาร
ชยุตม์ นิติชาคร รับบท ทะเลหลวง
ปวรดา วีรวรรณ รับบท มุกดาว
ปัณณธร อนันต์กิตติเลิศ รับบท มุกตะวัน
อรจิรา แหลมวิไล รับบท โปรยฝน
อัมรินทร์ นิติพน รับบท พศิน
อัครวินท์ นันทิพัฒน์ รับบท มหาสมุทร
ภูปภพ โกมลโชติ รับบท อันดามัน
อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล รับบท สีน้ำ

.






.




43
เรื่องย่อละคร ทายาทหมายเลข 1 drama.kapook.com


https://drama.kapook.com/view294162.html

เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข 1 ศักดิ์ศรีของตระกูล รพีธาดา ที่ต้องแลกด้วยเกมอำนาจและศึกสายเลือด





ทายาทหมายเลข 1 เรื่องย่อ ละครช่อง one เปิดศึกสายเลือดหนึ่งตระกูลดัง รพีธาดา กับการช่วงชิงทั้งอำนาจและตำแหน่งแห่งอาณาจักรแสนล้าน สยามรพี หนึ่งเดียวในนี้ ใครจะได้ขึ้นชื่อเป็น ทายาทหมายเลข 1 ติดตามชมได้ทุกวันพุธ - พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. เริ่มตอนแรกวันพุธที่ 20 สิงหาคม 2568





เรื่องย่อ ทายาทหมายเลข 1

ทายาทหมายเลข 1 เป็นเรื่องราวของศึกสายเลือดแห่งตระกูล รพีธาดา ยักษ์ใหญ่ผู้ครองอาณาจักรแสนล้านแห่งวงการ Retail เปิดฉากขึ้นเมื่อ ธารา (นก สินจัย) พี่ใหญ่ของตระกูลและผู้นำหมายเลข 1 ถึงเวลาต้องวางมือ จึงต้องหาทายาทมาเป็นผู้นำคนต่อไปของ สยามรพีกรุ๊ป
       
การฟาดฟันเพื่อช่วงชิงตำแหน่ง ทายาทหมายเลข 1 จึงเริ่มต้นขึ้น !! ระหว่างครอบครัวของน้องชายคนกลาง นที (แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) กับสะใภ้คนเดียว วีริน (แหม่ม คัทลียา) หรือครอบครัวของน้องสาวคนเล็ก โปรยฝน (แป้ง อรจิรา) กับเขยของตระกูล พศิน (อ่ำ อัมรินทร์) หรือ สีน้ำ (กรีน อัษฎาพร) ลูกเมียน้อยที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอก็มีสายเลือดรพีธาดาอยู่ในตัว
         
มาร่วมลุ้นไปกับศึกสายเลือดครั้งยิ่งใหญ่ ใครจะได้ครอบครองตำแหน่ง ทายาทหมายเลข 1 ติดตามชมละคร ทายาทหมายเลข 1 ได้ทุกวันพุธ - พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางช่อง one31 เริ่มตอนแรกวันพุธที่ 20 สิงหาคม 2568

บทโทรทัศน์โดย : พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์, วรรณวิภา สามงามแจ่ม และ พิมสิรินทร์ พงษ์วานิชสุข
กำกับการแสดงโดย : สันต์ ศรีแก้วหล่อ

ทายาทหมายเลข 1 นักแสดง

สินจัย เปล่งพานิช รับบท ธารา
ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง รับบท นที
คัทลียา แมคอินทอช รับบท วีริน
ภรภัทร ศรีขจรเดชา รับบท ชลธาร
อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล รับบท สีน้ำ
สัญญา คุณากร รับบท จารึก
อัมรินทร์ นิติพน รับบท พศิน
อรจิรา แหลมวิไล รับบท โปรยฝน
ชยุตม์ นิติชาคร รับบท ทะเลหลวง
อัครวินท์ นันทิพัฒน์ รับบท มหาสมุทร
วิทยา เทพทิพย์ รับบท คีตะ
คุณากร ปุราโส รับบท เดินทัพ
วศิน อัศวนฤนาท รับบท ปราการ
ปวรดา วีรวรรณ รับบท มุกดาว
ภูปภพ โกมลโชติ รับบท อันดามัน
ญาณิน โอภาสสถาวร รับบท ปานชีวา
ปัณณธร อนันต์กิตติเลิศ รับบท มุกตะวัน
พิจิกา จิตตะปุตตะ รับบท จอมขวัญ
นที เอกวิจิตร รับบท หลวงพี่เสมอ (รับเชิญ)
พิมพ์ลภัส จึงสุระ รับบท นาฬิ (รับเชิญ)
รอง เค้ามูลคดี รับบท มานิต (รับเชิญ)





































.



..




44
ส่อง 10 นักแสดงเจน Z ดาวรุ่งพุ่งแรง ! ในละคร ทายาทหมายเลข 1


https://drama.kapook.com/view294677.html

ส่อง 10 นักแสดงเจน Z ดาวรุ่งพุ่งแรง ! ในละคร ทายาทหมายเลข 1





นักแสดงทายาทหมายเลข 1 มีใครบ้าง ? เปิดโผดาราเจน Z ที่ร่วมแสดงใน ทายาทหมายเลข 1 ละครฟอร์มยักษ์ปี 2568 บอกเลยว่าแต่ละคนคือดาวรุ่งที่น่าจับตาสุด ๆ





 ทายาทหมายเลข 1 ละครช่องวัน 31 ถือเป็นหนึ่งในละครฟอร์มยักษ์ที่แฟน ๆ ตั้งตารอมากที่สุดแห่งปี เพราะนอกจากพล็อตเรื่องที่เข้มข้นสะเทือนวงการแล้ว ยังได้ทัพนักแสดงเบอร์ใหญ่และรุ่นใหม่มาเสริมทัพกันแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะสายเจน Z ที่บอกเลยว่าเป็นรุ่นใหม่ฝีมือดีที่กำลังมาแรง และนี่คือ 10 นักแสดงเจน Z ที่น่าจับตาในละครเรื่องนี้


เปิดวาร์ปนักแสดงเจน Z ใน ทายาทหมายเลข 1

1. ตรี ภรภัทร ศรีขจรเดชา รับบท ชลธาร



ภรภัทร ศรีขจรเดชา หรือ ตรี เกิดวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2538 จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิงจากการประกวดและก้าวเป็นหนึ่งในนักแสดง New Gen ของช่องวัน 31 โดยมีผลงานละครเรื่องแรกคือ เธอคือพรหมลิขิต ในปี พ.ศ. 2560 และเป็นที่รู้จักจากบทบาท รวิศ ในละครเรื่อง ภาตุฆาต
         
สำหรับในละคร ทายาทหมายเลข 1 ตรี รับบทเป็น ชลธาร รพีธาดา ลูกชายคนโตของ นที (รับบทโดย แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) และ วีริน (รับบทโดย แหม่ม คัทลียา) ด้วยคาแรกเตอร์ที่สุขุม ใจเย็น และมีความเป็นผู้นำ ทำให้เขาเป็นตัวละครที่น่าจับตามองในศึกชิงอำนาจครั้งนี้

.

2. ต้นข้าว ชยุตม์ นิติชาคร รับบท ทะเลหลวง



ชยุตม์ นิติชาคร หรือ ต้นข้าว เกิดวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2542 เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงจากงานโฆษณาและงานเดินแบบ ก่อนจะมีผลงานการแสดงเรื่องแรกในละคร ตะวันยอแสง เมื่อปี 2560 รวมถึงซีรีส์และละครอีกหลายเรื่อง เช่น ฟ้าลั่นรัก และ Love Lesson 010 แบบฝึกรัก...ไม่รู้ล้ม
         
ในละคร ทายาทหมายเลข 1 ต้นข้าวได้รับบทเป็น ทะเลหลวง ลูกชายคนกลางของครอบครัว นที (รับบทโดย แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) และ วีริน (รับบทโดย แหม่ม คัทลียา) ด้วยบุคลิกที่ดูสุขุม เนี้ยบ และพร้อมจะปกป้องครอบครัว ทำให้ตัวละครนี้เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในศึกชิงอำนาจครั้งนี้

.

3. ปาว ปวรดา วีรวรรณ รับบท มุกดาว



ปวรดา วีรวรรณ หรือ ปาว เป็นลูกสาวของผู้กำกับชื่อดัง บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ เธอจบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นที่รู้จักจากผลงานการแสดงละครเวทีและละครโทรทัศน์หลายเรื่อง อาทิ ละครเวที สี่แผ่นดิน The Musical และ แฟนจ๋า The Musical รวมถึงละคร ไลลาธิดายักษ์ 2
         
ในละคร ทายาทหมายเลข 1 ปาวรับบทเป็น มุกดาว ลูกสาวของ นที (รับบทโดย แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) และ วีริน (รับบทโดย แหม่ม คัทลียา) ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ทุกคนในตระกูลยอมรับว่าเธอมีคุณค่าและคู่ควรกับการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

.

4. ซัน ปัณณธร อนันต์กิตติเลิศ รับบท มุกตะวัน



ปัณณธร อนันต์กิตติเลิศ หรือ ซัน เกิดวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2551 เป็นนักแสดงและศิลปินฝึกหัดในสังกัด ONE TRAINEE ของช่องวัน 31 โดยละคร ทายาทหมายเลข 1 ถือเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกของเขา ซึ่งซันรับบทเป็น มุกตะวัน ลูกชายคนเล็กสุดของ นที (รับบทโดย แท่ง ศักดิ์สิทธิ์) และ วีริน (รับบทโดย แหม่ม คัทลียา) ด้วยความที่เป็นน้องเล็กสุด มุกตะวันจึงเป็นที่รักและเป็นเหมือนแหล่งพลังงานของครอบครัวที่คอยมอบความสดใสและช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของเกมชิงอำนาจครั้งนี้

.

5. นิว อัครวินท์ นันทิพัฒน์ รับบท มหาสมุทร



อัครวินท์ นันทิพัฒน์ หรือ นิว เกิดวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 จบการศึกษาจากคณะนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เขาเริ่มมีผลงานการแสดงตั้งแต่ปี 2562 และเป็นที่รู้จักจากบทบาท แทน ในซีรีส์ Our Days รักได้ไหมนายไม่ยิ้ม ในปี 2565
         
ล่าสุดนิวได้ร่วมแสดงในละครฟอร์มยักษ์อย่าง ทายาทหมายเลข 1 กับบทบาท มหาสมุทร ลูกชายคนโตของครอบครัว พศิน (รับบทโดย อ่ำ อัมรินทร์) และ โปรยฝน (รับบทโดย แป้ง อรจิรา) ที่กลับมาจากต่างประเทศพร้อมความทะเยอทะยานที่จะช่วงชิงตำแหน่ง ทายาทหมายเลข 1 มาให้ครอบครัวให้ได้

.

6. พูม่า ภูปภพ โกมลโชติ รับบท อันดามัน



ภูปภพ โกมลโชติ หรือ พูม่า เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2549 เป็นนายแบบและนักแสดงดาวรุ่งภายใต้สังกัด OPEN LABEL ในเครือ The One Enterprise ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนวัตกรรมบูรณาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
         
โดยละคร ทายาทหมายเลข 1 ถือเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกของเขา ซึ่งพูม่าได้รับบทเป็น อันดามัน ลูกชายคนเล็กของ พศิน (รับบทโดย อ่ำ อัมรินทร์) และ โปรยฝน (รับบทโดย แป้ง อรจิรา) แม้ว่าคนในครอบครัวจะต้องการชัยชนะ แต่เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มุ่งหวังในการช่วงชิงอำนาจ เพียงแต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเท่านั้น

.

7. ทีม คุณากร ปุราโส รับบท เดินทัพ



คุณากร ปุราโส หรือ ทีม เกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เขาเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่เริ่มต้นเส้นทางในวงการจากการประกวดในรายการ The Next One ของช่องวัน 31 และได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด มีผลงานละครเรื่องแรกคือ ข้าวเหนียวทองคำ
         
สำหรับในละคร ทายาทหมายเลข 1 ทีมได้รับบทเป็น เดินทัพ ลูกชายของ จารึก (รับบทโดย ดู๋ สัญญา) จากตระกูลเตชะเมธีสกุล ซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับตระกูลรพีธาดา แม้จะเป็นคนนอก แต่ด้วยความแข็งแกร่งและพร้อมที่จะท้าชน ทำให้เดินทัพกลายเป็นตัวละครสำคัญที่อาจเข้ามาพลิกเกมการชิงอำนาจครั้งนี้ได้

.

8. นินน่า ญาณิน โอภาสสถาวร รับบท ปานชีวา



ญาณิน โอภาสสถาวร หรือ นินน่า เกิดวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2544 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เธอเข้าสู่วงการบันเทิงจากการเป็นนางเอก MV เพลง ไม่เดียงสา ของวง Big Ass ตั้งแต่อายุ 14 ปี และมีผลงานในฐานะศิลปินสังกัด MBO รวมถึงซีรีส์เรื่อง TASTE เด็กเจนแซ่บ รับบท ลูกจัน
         
ในละคร ทายาทหมายเลข 1 นินน่ารับบทเป็น ปานชีวา แม่ค้าร้านเบอร์เกอร์เล็ก ๆ ในห้างสรรพสินค้าของตระกูลรพีธาดา ถึงแม้จะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่เธอกลับกลายมาเป็นตัวละครสำคัญที่เข้ามาพัวพันและมีส่วนเกี่ยวข้องในเกมการช่วงชิงอำนาจครั้งนี้อย่างไม่คาดคิด

.

9. ก้อง วิทยา เทพทิพย์ รับบท คีตะ



วิทยา เทพทิพย์ หรือ ก้อง เกิดวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 เป็นนักแสดงดาวรุ่งของช่องวัน 31 ที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย ทั้งซีรีส์เรื่อง บางกอกคณิกา ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จัก และผลงานล่าสุดอย่าง ผาแดงนางไอ่
         
ในละครฟอร์มยักษ์ ทายาทหมายเลข 1 ก้องได้รับบทเป็น คีตะ ชายหนุ่มผู้มีฉายาว่า "ปราชญ์พยากรณ์" หรือซินแสผู้เป็นที่ปรึกษาลับของตระกูลรพีธาดา ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ตัวละครหลักคนหนึ่งได้ก้าวขึ้นเป็นทายาทอันดับ 1 ในที่สุด

.

10. โก้ วศิน อัศวนฤนาท รับบท ปราการ



วศิน อัศวนฤนาท หรือ โก้ เกิดวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2534 จบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าสู่วงการบันเทิงจากเวทีการประกวด และเริ่มมีผลงานมากมายทั้งงานพิธีกร ดีเจ และนักแสดง โดยมีผลงานละครเรื่องแรกคือ ชิงนาง ในปี พ.ศ. 2555 และโด่งดังจากการรับบทพระเอกในซีรีส์ ยัยเป็ดขี้เหร่ Ugly Betty
         
ในละคร ทายาทหมายเลข 1 โก้รับบทเป็น ปราการ เทรนเนอร์สอนกีฬาผู้ซึ่งเป็นคนนอกตระกูล แต่ได้กุมความลับบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อเกมชิงอำนาจครั้งนี้

.

นักแสดงเจน Z ทั้ง 10 คนในละคร ทายาทหมายเลข 1 ล้วนแล้วแต่เป็นดาราหน้าใหม่ที่มีศักยภาพและความสามารถในการแสดงที่น่าประทับใจ การที่พวกเขาได้มาร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ในละครฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พัฒนาฝีมือและสร้างชื่อเสียงในวงการบันเทิงไทย
         
สำหรับแฟน ๆ ที่อยากติดตามผลงานการแสดงของนักแสดงเจน Z เหล่านี้ สามารถติดตามชมพวกเขาได้ในละคร ทายาทหมายเลข 1 ที่ออกอากาศทุกวันพุธ - พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางช่อง one31




.




45
เรื่องย่อละคร ทายาทหมายเลข 1 - mgronline.com


https://mgronline.com/drama/detail/9680000076343

หน้าหลัก ละคร สกู๊ปละคร เรื่องย่อละคร

เรื่องย่อละคร “ทายาทหมายเลข 1”
เผยแพร่: 12 ส.ค. 2568 06:50   ปรับปรุง: 17 ส.ค. 2568 01:58   โดย: ผู้จัดการออนไลน์





เรื่องย่อละคร “ทายาทหมายเลข 1”

บทโทรทัศน์ : พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์, วรรณวิภา สามงามแจ่ม, พิมสิรินทร์ พงษ์วานิชสุข
กำกับการแสดง : สันต์ ศรีแก้วหล่อ
แนวละคร : ดราม่า
วันเวลาออกอากาศ : ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางช่องวัน31 และ ดูออนไลน์ทางแอป oneD ที่เดียว
ระยะเวลาออกอากาศ : ตอนแรกวันพุธที่ 20 สิงหาคมนี้


เรื่องย่อ

เมื่อผู้นำหมายเลข 1 แห่ง “ตระกูลรพีธาดา” ถึงเวลาลงจากบัลลังก์ คือจุดเริ่มต้นของการช่วงชิง และ ฟาดฟัน ที่ทุกคนในครอบครัวนั้น..อาจเป็นทั้งผู้สร้าง และผู้ทำลาย

เรื่องราวของศึกสายเลือดแห่งตระกูล “รพีธาดา” ยักษ์ใหญ่ผู้ครองอาณาจักรแสนล้านแห่งวงการ Retail เปิดฉากขึ้น เมื่อ ธารา (นก-สินจัย) พี่ใหญ่ของตระกูลและผู้นำหมายเลข1 ถึงเวลาต้องวางมือ จึงต้องหาทายาทมาเป็นผู้นำคนต่อไปของ “สยามรพีกรุ๊ป” การฟาดฟันเพื่อช่วงชิงตำแหน่ง “ทายาทหมายเลข1” จึงเริ่มต้นขึ้น!! แต่...ใครจะได้ขึ้นเป็น “ทายาทหมายเลข1” คนต่อไป? ระหว่างครอบครัวของน้องชายคนกลาง นที (แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์) กับสะใภ้คนเดียว วีริน (แหม่ม-คัทลียา) หรือครอบครัวของน้องสาวคนเล็ก โปรยฝน (แป้ง-อรจิรา) กับเขยของตระกูล พศิน (อ่ำ-อัมรินทร์) หรือ สีน้ำ (กรีน-อัษฎาพร) ลูกเมียน้อยที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอก็มีสายเลือดรพีธาดาอยู่ในตัว มาร่วมลุ้นไปกับศึกสายเลือดครั้งยิ่งใหญ่ ใครจะได้ครอบครองตำแหน่ง “ทายาทหมายเลข 1”

นักแสดง

สินจัย เปล่งพานิช : ธารา
ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง : นที
คัทลียาแมคอินทอช : วีริน
ภรภัทรศรีขจรเดชา : ชลธาร
อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล: สีน้ำ
สัญญาคุณากร : จารึก
อัมรินทร์ นิติพน : พศิน
อรจิราแหลมวิไล : โปรยฝน
ชยุตม์ นิติชาคร : ทะเลหลวง
อัครวินท์ นันทิพัฒน์ : มหาสมุทร
วิทยา เทพทิพย์: คีตะ
คุณากรปุราโส: เดินทัพ
วศิน อัศวนฤนาท : ปราการ
ปวรดาวีรวรรณ : มุกดาว
ภูปภพโกมลโชติ : อันดามัน
ญาณินโอภาสสถาวร : ปานชีวา
ปัณณธร อนันต์กิตติเลิศ : มุกตะวัน
พิจิกา จิตตะปุตตะ : จอมขวัญ

นักแสดงรับเชิญ

นที เอกวิจิตร์ : หลวงพี่เสมอ
พิมพ์ลภัส จึงสุระ : นาฬิ
รอง เค้ามูลคดี : มานิต



















































































..




46

๓๐



กุมารีทั้งหลาย เจ้าจึงสำเหนียก อย่างนี้เทอญ—

สามีใดขวนขวายหาเลี้ยงภรรยาอยู่เป็นนิจ ภรรยาดีย่อมไม่ดูหมิ่นสามีนั้น ผู้เป็นชาติชาย ผู้หาสิ่งพึงประสงค์มาให้ อนึ่งหญิงดีไม่พึงโกรธเคืองสามีเพราะความหึง (ย่อม) เป็นคนฉลาดต้อนรับ บูชาท่านผู้เป็นที่เคารพของสามี—สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี ประพฤติเป็นที่เจริญใจสามี คุ้มครองทรัพย์ที่สามีหามาได้—

 


บันลือมองดูกอไผ่ที่ไฟฉายจากรถทำให้เห็นเด่นอยู่ตรงหน้าอีก ๑๒ กิโลราว ๆ ๒๕ นาที ! เขาเห็นว่านายนพขับรถอย่างแน่ใจและแม่นยำในทางอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น บันลือก็อยากจะให้เขาขับดีกว่านี้อีก คืออยากให้รถแล่นเร็วขึ้น แต่ให้อยู่ในอาการที่เชื่อได้ว่าปลอดภัยดังที่กำลังเป็นอยู่ ที่จริง ๓–๔ วันมาแล้วบันลือมีความอยากให้ทุก ๆ สิ่งเร็ว ๆ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟที่เขาโดยสารมาวันนี้

เขาพอใจที่ได้จัดงานของคุณยายสำเร็จรวดเร็วสมความต้องการ หรือจะกล่าวให้ตรงทีเดียวเขาเป็นแต่เพียงผู้หาคนจัด แต่ธุระอันใดก็ตาม ถ้าหลานบันลือของท่านรับปากว่า “ผมจะจัดการ” แล้ว คุณยายก็วางใจได้

​ใกล้เข้ามาอีก ๕ กิโล แล้วก็อีก ๒ แล้วก็อีก ๒ แต่บันลือก็ยังรู้สึกว่าตัวยังไกลจากที่หมายปลายทางอีกมากเพราะเหตุว่าใจของเขาอยู่ในภาวะเร่งรีบอย่างที่เขาลืมคิดที่จะระงับ สี่วันระหว่างที่วิ่งเต้นทำธุระให้คุณยาย ไม่มีสักวันเดียวที่เขามิได้คิดคอยโทรเลขหรือจดหมายจากภรณี แต่จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาขึ้นรถไฟมานี้ เขาก็ยังมิได้รับสิ่งที่เขาคอยนั้น

เขาพยายามที่จะไม่คิดค้นหาเหตุแห่งความเงียบเชียบของหล่อน แต่ใจของเขาเดือดร้อนกระสับกระส่ายก็ชวนให้สมองคิดยุ่งไปต่าง ๆ ในที่สุดเข้าเขาต้องปรารภความสนเท่ห์ให้จิตราฟังโดยไม่มีเจตนาเจ้าหล่อนผู้นี้ให้คำตอบอันง่ายและตื้นแก่เขา “เขาคงไม่ต้องการอะไรถึงไม่โทรเลข ส่วนจดหมายท่าเขาจะกลัวว่ามันจะสวนทางกับเธอ ก็เลยขี้เกียจเขียน” ฟังดูก็เป็นเหตุผลที่น่าจะใกล้กับความเป็นจริง แต่ไม่เป็นเหตุผลที่ทำความพอใจให้แก่เขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจที่จะโกรธภรณี เขาเข็ดตัวเองพอแล้วในเรื่องความโกรธของตัวที่มีต่อภรณีโดยหาเหตุผลมิได้ ชีวิตของเขาในส่วนที่เกี่ยวกับภรณี จะต้องมีการตั้งต้นใหม่ และในเวลานี้ทั้งในจิตใจและสมองของเขาไม่มีความคิดอย่างใด นอกไปจากที่จะรีบเริ่มการตั้งต้นที่กล่าวแล้วโดยเร็วที่สุด

เมื่อสายตามองเห็นแสงไฟที่ในบริเวณบ้านของตนเองได้รำไร ความคิดอันแน่และกระจ่างของบันลือออกจะมีอาการ​เลือนและพร่า บันลือหัวเราะตัวเองและถาม “เรานี่กลัวผู้หญิงหรือ ?” เขาไม่เคยรู้ตัวว่ามีนิสัยขลาดเช่นนี้มาแต่ก่อน

เขาจำได้แน่ว่าส่องสีกับเขาได้แต่งงานกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างดูเหมือนจะมิได้มีการพูดจำเป็นเนื้อถอยกระทงความอย่างใดแก่กันเลย ภรรยาคนที่สองนั้นยกไว้ ในวันเดียวกับที่เขาได้ยินข่าวว่า ส่องสีจะหมั้นกับชายอีกคนหนึ่ง เขาก็ขอร้องให้มารดาของเขาหาภรรยาให้เขาใหม่ ต่อมาอีกเดือนเศษเขาได้แต่งงานกับกุลสตรีที่สวยพร้อมทั้งตัว แต่เหมือนจะไม่เคยใช้ปัญญาในทางใด นอกจากในทางรักษาผิวให้งามอยู่เป็นนิจ และรักษากิริยาให้เสงี่ยมหงิมจนถึงกับไม่ยอมสบตาชายผู้เป็นสามี ครั้นมาถึงภรรยาคนที่สามนี้—สมองของเขากำลังล้นไปด้วยข้อความที่เขาอยากจะกล่าวแก่หล่อน

รถหยุด บันลือโดดลงพร้อมกับขมวดคิ้ว ที่บนเฉลียงใหญ่ไม่มีภรณียืนอยู่เหมือนเช่นเคย บางทีหล่อนอาจไม่ได้ยินเสียงรถ หรือได้ยินแล้วแต่ยังติดธุระอันใดอยู่ หรือบางทีหล่อนจะกำลังอยู่ที่ครัวเตรียมอาหารสำหรับเขา

เดินตรงไปยังบันไดหน้าเรือน ชาวพื้นเมืองอยู่ที่นั่นสองคน คนหนึ่งเป็นหญิงรับใช้ประจำบนเรือนนี้กำลังจัดเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร อีกคนหนึ่งเป็นชายค่อนข้างผู้ใหญ่ เป็นคนงานที่ไร่ ​มาต้อนรับผู้เป็นนายด้วยศรัทธา เมื่อบันลือเข้ามาใกล้ เขาชักผ้าขาวม้าออกจากไหล่และพูดด้วยเสียงหัวเราะ

“พ่อคุณกลับได้ ค่อยดี พ่อคุณไม่อยู่มันเชียบนัก”

บันลือยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถาม

“แม่คุณอยู่ไหน ?”

“เห็นยืนอยู่สักกี้นี่เอง หายเข้าห้องเชียบแล้ว”

บันลือขึ้นบันไดแล้วมีอาการรีรอ ในที่สุดก็ตรงไปยังห้องภรณี และเรียก

“ภร ทำอะไรอยู่รึ ?”

ภรณีออกมาจากข้างตู้อันเป็นที่ ๆ หล่อนหลบเข้าไปยืนอยู่โดยเจตนา “เสร็จแล้ว” หล่อนตอบ

“ทุกคนสบาย ? ไม่มีใครเป็นอะไร ? ได้รับจดหมายของฉันหรือเปล่า ?”

“ได้”

“ทำไมไม่เห็นโทรเลขตอบ ?—พบ—คุณหลวงจำนงฯ ก็ต่อว่ามายืดยาวเรื่องเธอไม่ส่งข่าว—”

หล่อนมองดูเขาเป็นครั้งแรก ประจวบกับเขาก้มลงมองดูปลายรองเท้า แต่เขาทำเช่นนั้นเพียงชั่วขณะเดียวแล้วก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า

​“อำไพ อำไพใช่ไหมน้องสาวเธอ ? อำไพก็บ่นว่าพี่ภรลืมน้อง ข่าวคราวคำเดียวไม่เคยมีไปถึง โอ๊ะ มีอะไรต่ออะไรอีกเยอะถ้า—ถ้าเธอยังไม่นอนขอไปอาบน้ำกินข้าวก่อน วันนี้หิวจริงเดี๋ยวคุยกันใหม่” ขาดคำเขาหันหลังออกเดินปัง ๆ ไปโดยเร็ว

ภรณียืนนิ่งอยู่กับที่รู้สึกตัวคล้าย ๆ กับจับไข้ ชายตาไปดูกระเป๋าเดินทางที่หน้าเตียง สิ่งของที่หล่อนจะนำติดตัวไปในตอนเช้าอยู่ในกระเป๋านั้นเรียบร้อยแล้วถึงอย่างไรหล่อนจะไม่เปลี่ยนความคิดเพราะทีท่าอย่างใหม่และค่อนข้างแปลกของเขา ที่จริงคิดให้ดีก็จะเห็นว่าไม่แปลก บิดาและน้องของหล่อนอาจได้พบเขาโดยเผอิญ แล้วก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายหลวงจำนงฯ จะต้องเข้าทักทายเขา เพราะเหตุว่าคุณหลวงต้องการทราบข่าวเรื่องลูกสาวของตนบ้าง

หล่อนหัวเราะเยาะตัวเองที่คอยแต่ตื่นในเหตุเล็กน้อย ความตั้งใจจะต้องเป็นความตั้งใจเดิม แต่ประเดี๋ยว สำหรับคืนวันนี้จนถึงรุ่งอรุณแห่งวันพรุ่ง หล่อนได้ตั้งใจไว้ว่าจะทำอย่างใดบ้าง ? ๑ ไม่สนใจในกิริยาวาจาของเขาเลย ๒ ทำหน้าที่ ๆ เคยทำจนกว่าจะพ้นไปจากที่นี่แล้ว

​เพราะฉะนั้น หล่อนจะต้องไปที่ครัวดูว่านางเนียบและนายถีได้จัดอาหารสำหรับเขาเรียบร้อยเหมือนดังที่หล่อนสั่งไว้หรือไม่ เมื่อเขารับประทานอาหาร หล่อนจะไปนั่งฟังเขาพูด เพราะเขาสั่งให้หล่อนทำดังนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาบังคับหล่อนไม่ได้คือความสนใจของหล่อนในคำพูดของเขา

หลังจากนี้ไม่ถึง ๑๐ นาที บันลือนุ่งกางเกงแพรสีกรมท่า ใส่เสื้อชั้นในแพรขาว ออกมานั่งที่โต๊ะอาหาร เขาลงมือรับประทานได้สักครู่ภรณีก็มานั่งลงในที่ของหล่อน

เขาเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อนแต่เพียงแว่บเดียวพร้อมกับพูดว่า “ไก่นุ่มดีมาก” แล้วก็ทำธุระกับอาหารต่อไป ภายหลังจึงพูดขึ้นอีก

“ตกลงฉันไม่ได้อะไรมาฝากเธอจริง ๆ นอกจากหนังสือ หีบเครื่องเย็บก็ไม่ได้ จิตราหาให้ไม่ทัน เพราะพึ่งพบเขาเมื่อคืนนี้สี่ทุ่ม อ้อ มีลูกไม้มาสองชะลอมเบ้อเร่อ คุณยายบรรจุเองกับมือ ฝากมาให้เธอ เห็นแล้วหรือยัง ? หรือเจ้านพเอาติดรถไปเสียด้วยก็ไม่รู้ คุณยายสั่งแล้วสั่งอีกว่าถ้าฉันไปกรุงเทพฯ คราวหลังต้องเอาเธอกับเด็ก ๆ ไปด้วยให้ได้”

ภรณีเม้มริมฝีปากและกัดซ้ำ เพื่อบังคับมิให้สั่น

​“ไอ้ถีมานอนที่นี่หรือเปล่า ?”

“มานอนคืนหนึ่ง แล้วดิฉันก็เลยห้ามเสียเพราะไม่เห็นจำเป็น”

เขายิ้มและมองดูหล่อนอย่างผู้คุ้นเคย “พี่น้องเขาชมกันว่าเธอเก่งราวกับผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าเสน่ห์นะสั่นหัว บอกว่ายอมแพ้ เขาถามฉันว่าเธอเต้นรำเป็นหรือยัง แล้วที่ว่าเต้นไม่เป็นน่ะไม่เป็นจริง ๆ หรือแกล้งทำ ที่สุดเขาบอกว่าให้หาครูให้เธอ ไอ้บ้า ในหัวของมันไม่มีอะไรนอกจากพรรค์นี้นึกจะออกความเห็นอะไรก็ออกมาเหลว ๆ จะหาคนที่พูดภาษากันรู้เรื่องยังหาไม่ค่อยพบ จะให้หาครูเต้นรำ”

หล่อนเริ่มรู้สึกรำคาญเพราะต้องปล่อยให้เขาพูดข้างเดียวนานเกินไป เหลียวหาคนอื่นคนงานทั้งชายและหญิงเคยมานั่งมายืนมาเดินเตร่อยู่ตามริมเรือนเสมอในเวลาที่บันลือกลับจากกรุงเทพฯ เขาเหล่านี้เคยคุยกับบันลือ และชวนให้บันลือคุยกับเขา แต่คืนนี้เผอิญไม่มีใครแม้แต่สักคน จนใจจริง ๆ หล่อนจึงพูดขึ้นว่า

“ท่านเห็นจะสบายดี ?”

เขาเลิกคิ้วในท่าสงสัย แต่แล้วก็ตอบว่า

​“สบายดี แต่ออดแอดบ้าง ช่วยไม่ได้เรื่องของคนมีอายุ”

นิ่งเงียบไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย บันลือรู้ตัวอย่างจะแจ้งว่ามิได้รู้สึกในรสอาหารแม้แต่น้อย การที่ฝืนใจรับประทานเรื่อยๆ ไปก็เพื่อจะใช้เวลาสำหรับสะสางเรื่องราวที่เขาต้องการพูดแก่ภรณีให้เป็นระเบียบขึ้นเท่านั้นเอง ทันใดนั้นเขามองไปเห็นนายถียกที่กาแฟมา ก็รวมซ่อมและมีด และกวักมือเป็นเชิงเร่ง

“โน่นวางข้าง ๆ แม่คุณ” เขาสั่ง “ฉันผสมเองอร่อยสู้เธอผสมให้ไม่ได้” เขามองดูสีหน้าภรณีมีอะไรผิดปกติอยู่ในตัวหล่อน นัยน์ตาของเธอยืนยันแก่เขาเช่นนั้น “แปลกไหม คนเรา” เขาพูดต่อแกมหัวเราะ “รสปากของตัวเองแหละไม่รู้จัก คนอื่นเขารู้จักดีกว่า”

“ขอบใจมาก” เขากล่าวเมื่อรับถ้วยกาแฟจากมือหล่อน “ลงไปต่อข้างล่างอีกหน่อยนะ ถ้าเธอยังไม่ง่วงคืนนี้เดือนหงายน่าเดินเล่น”

เขาดื่มกาแฟอย่างเร็ว และไม่ขออีกเป็นถ้วยที่สองซึ่งผิดจากปกติของเขา ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วพยักเรียกภรณี เมื่อหล่อนลุกขึ้นและกำลังจะเดินตามเขา เขาถามขึ้นว่า

​“บุหรี่มีมั่งไหม ? นึกอยากสูบบุหรี่”

เห็นหล่อนทำท่าจะไปหยิบของที่เขาต้องการ “ให้เจ้าถีไปหยิบไม่ได้เรอะ?” เขาท้วง

“ไม่ได้ ไม่รู้ที่”

เขามองตามหล่อนเดินไปถึงหน้าห้อง แล้วหันมาถามคนใช้ของเขา “เฮ้ย ไอ้ถี ข้าสั่งให้เจ้ามานอนเป็นเพื่อนคุณผู้หญิง ทำไมเจ้าไม่นอน ?”

“ผมมาแล้ว แล้วคุณผู้หญิงไล่ผม—”

“เออ ข้ารู้แล้วแต่ถ้าเผื่อเขาเป็นอะไรไปเจ้าจะเอาที่ไหนมาใช้ข้า” เขาหัวเราะ “คุณผู้หญิงออกจะยึดอำนาจอะไร ๆ ไปจากข้าเสียหมดทุกอย่าง แต่ตัวข้าเองยังออกจะแย่ ๆ”

เขาหยุดพูดเมื่อภรณีกลับออกมานอกห้อง เมื่อเขาหยิบบุหรี่คาบไว้มวนหนึ่งและหนีบกระป๋องที่ปิดแล้วไว้ด้วยแขนข้างซ้าย เพื่อจะใช้มือขีดไม้ขีดไฟนั้นเขาพูดเป็นเชิงปรารภ

“ไปกรุงเทพฯ คราวนี้เกิดเป็นโรคสูบบุหรี่เสียยกใหญ่ วันหนึ่งไม่รู้ว่ากี่สิบมวน ค่าที่มีเรื่องคิดมาก”

ก่อนที่จะลงบันไดพร้อมกับภรณี เขาวางกระป๋องบุหรี่ไว้บนขอบลูกกรง แล้วเดินเอื่อย ๆ คู่ไปกับหล่อนจนพ้นแสงสว่างแห่งโคมที่แขวนอยู่บนระเบียงเรือน

​“ฉันยังเล่าเรื่องคุณพ่อเธอไม่จบ เมื่อเย็นวานมีเวลาว่างชั่วโมงกว่า เลยไปเยี่ยม แหม บ่นยาวเรื่องเธอไม่ส่งข่าวไปถึงเสียเลย ฉันแก้ว่าเมื่อเธอมาถึง ไอ้บ้านของฉันมันยังไม่เป็นบ้าน เธอยังยุ่งไอ้เรื่องจะทำให้มันเป็นบ้านขึ้นมา เลยไม่มีเวลาทำอื่น พอจะหายยุ่งเรื่องบ้านเผอิญมีแขกมาพักอยู่อีกด้วยเท่านั้น ๆ คน คุณหลวงค่อยเงียบไปหน่อย แต่ประเดี๋ยวพอเรียกลูกสาวลงมาให้รู้จัก แม่นั่นก็มาบ่นออด ๆ ว่า พี่ภรณีลืมน้อง หนังสือตัวเดียวไม่เขียนถึง ก่อนแต่งงานอยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องราวอะไรก็ไม่ค่อยมี ยังอุตส่าห์เก็บข่าวนั้นนิดนี่หน่อยเขียนเล่าให้ฟัง ต้องแก้ตัวกับแม่น้องสาวอีกพักใหญ่ พูดไปพูดมาแกรับออกมาว่า เมื่ออยู่โรงเรียนแกนึกว่าแกถูกลืมคนเดียว แกน้อยใจจะร้องไห้เสียหลายหน จนกระทั่งโรงเรียนปิดเทอมคราวนี้แกกลับบ้านรู้ว่าคุณพ่อก็ถูกลืมเหมือนกันถึงได้ค่อยยังชั่ว ข้างคุณนายพอเห็นหน้าก็—” เขาชะงักเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเล่าคำพูดประโยคแรกของนางจำนงฯ “แม่ภรท้องแล้วหรือยัง ?”

“ไม่ต่อว่า” เขาต่อประโยชน์ที่ค้าง “ถามแต่เรื่องทุกข์สุขแล้วว่าอำไพบ่นทุกวัน ว่าทำไมจะได้เห็นบ้านพี่ภร ฉันเกือบ​จะชวนเอามาเสียด้วยแล้ว เวลานี้โรงเรียนกำลังปิดเหมาะดีเสียด้วย แต่นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ”

ไม่มีคำตอบแม้แต่สักหนึ่งคำ ไม่มีแม้แต่อุทานแสดงความยินดียินร้าย ไม่มีแม้แต่เสียงแสดงว่าหล่อนรับรู้คำที่เขาพูด บันลืออัดบุหรี่โดยแรง ๓–๔ ครั้งติดกัน แล้วขว้างไปสุดกำลัง ด้วยความรู้สึกว่าได้ขว้างความพลุ่งพล่านในใจไปพร้อมกับกันบุหรี่ด้วย

“เดือนหงายดีจริงคืนนี้ เสียดายจิตรามาไม่ได้เห็นพระจันทร์สักคืนเดียวบ่นนักบ่นหนา อยากเห็นบ้านเราเวลาที่เดือนหงายสักคืนหนึ่ง”

ยังไม่มีคำตอบอยู่นั่นเอง และบันลือเริ่มเข้าใจได้ว่าภรณีพยายามจะเดินให้ห่างจากเขา สังเกตได้จากเส้นทางเดินซึ่งโค้งเป็นวงไปเกือบจะรอบจานใหญ่ เพราะเหตุว่าเขาเข้าใกล้หล่อนเพียงใดหล่อนก็ออกห่างจากเขาเพียงนั้น นั่นก็ช่างเถอะ ความหวงตัวอันเป็นสมบัติของสตรีที่รักนวลสงวนศรี แต่ข้อที่หล่อนขยันนิ่งเสียจนเหลือเกินเช่นนี้ จะทำให้เขาสิ้นปัญญาที่จะแถลงความรู้สึกในใจให้ปรากฏแก่หล่อนดังที่เขาตั้งใจไว้

เขานิ่งเงียบไปนานและดูเหมือนสิ่งที่มีชีวิตในพื้นพิภพจะพากันเงียบไปตามเขาทั้งหมดด้วย นัยน์ตาของเขาจับอยู่ที่ร่าง​อันแน่งน้อยที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างตัว ถึงแม้จะมีแสงเดือน เขาเห็นหล่อนด้วยใจด้วยสมองมากกว่าเห็นด้วยตา ร่างอันแน่งน้อยนี้ประกอบด้วยความสมทรงทุกส่วนสัด วงหน้าบริสุทธิ์เหมือนดอกมะลิเพิ่งแรกบาน กลิ่นหอมชนิดหนึ่งกระทบประสาทเขาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเขาก้าวเท้าเข้าประชิดตัวหล่อน แล้วกอดหล่อนไว้ทั้งตัว

เขากอดหล่อนแล้วกอดหล่อนอีก กอดแทนคำพูดที่จะพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่าเขาหมดอำนาจในตัวของเขา เพราะหล่อนเป็นผู้มีอำนาจเหนือใจเหนือกายของเขาโดยสิ้นเชิง กอดแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่าเขามีความสุขเพราะการสิ้นอำนาจที่หล่อนทำให้แก่เขานี้ กอดหล่อนแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า เขารู้ตัวว่าหล่อนจะเป็นผู้กำเส้นชีวิตของเขาไว้ตั้งแต่วันแรกที่สายตาของหล่อนประสานกับสายตาของเขา ชีวิตของเขาจะตั้งต้นด้วยหล่อนจบลงด้วยหล่อน เขาจึงจงใจที่จะต้านทานอำนาจในตัวหล่อนตั้งแต่บัดนั้นมา กอดหล่อนแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า เขาเสียสัตย์แก่ตัวเองในคืนวันที่มีงานฉลองการหมั้นคืนนั้นเองเขารักหล่อนด้วยความรัก ที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะให้แต่เฉพาะแก่หญิงที่เปรียบประดุจแก้วมณี เพื่อจะล้างอาย​ในข้อที่เลือกหญิงผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้นแล้ว ในคืนนั้นเอง ความระแวงได้เกิดขึ้นแก่เขา กอดแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า การพอใจโดยสถานประมาณในเรื่องความรักเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในตัวเขา เพราะเขารักหล่อนแรงยิ่งนักจึงชังหล่อนเพราะความระแวง กอดหล่อนแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า เขารู้อยู่ตลอดเวลาว่าหล่อนเป็นหญิงบริสุทธิ์ แต่เขาเพิ่งจะรู้ในภายหลังว่าความบริสุทธิ์ของหล่อนลอยเด่นอยู่เหนือความบริสุทธิ์ตามความหมายอย่างสามัญลอยอยู่สูงลิบเกินที่มลทินหรือแม้แต่กลิ่นไอแห่งมลทินจะกล้ำกรายได้

ภรณีตกใจจนสิ้นสติ แต่ความสิ้นสตินี้ไม่มีลักษณะที่จะทำให้หล่อนหมดความรู้สึก ตรงกันข้าม !–ก่อนที่จะรู้ตัวว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น ความรู้สึกชนิดหนึ่งได้เกิดขึ้นในหัวใจแล้วแผ่ซ่านไปทั่วตัวสมองร้องอยู่ว่า “ไม่ ไม่” แต่เสียงไม่ออกจากลำคอ คิดจะดิ้นลำตัวก็หมดกำลัง คิดจะใช้แขนดัน แขนก็เพลีย ขยับเขยื้อนมิได้ ยกมือขึ้นผลักอกมือก็ยกไม่ขึ้น เสียง ไม่ ไม่ ที่ในสมองเล่าก็อ่อนแรงลงทุกที

เขาคลายวงแขนออกเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าไม่มีการตอบแทนจากฝ่ายหล่อน ศีรษะของหล่อนเบียดอยู่กับบ่าของเขา เขาจับหน้าหล่อนเงยขึ้นแล้วจูบหล่อนทั่วทั้งหน้าจูบแทนคำว่า “ภร!” ​จูบแทนคำว่า “การต่อสู้กับความปรารถนาของเขาในตัวหล่อน เป็นการต่อสู้อันหนักที่สุดที่เขาได้เคยผจญ” จูบแทนคำว่า “ภรคนเดียว!”

“รักฉันมั่งไหม ภร?” เขากระซิบถาม

ไม่มีคำตอบ เขาจูบซ้ำแล้วถามอีก “ภรจ๋า รักฉันมั่งไหม ?”

หล่อนเบือนหน้าหนีมือที่เชยคางหล่อนอยู่อยากจะผลัก อยากจะทุบ อยากจะหยิบ แต่ทั้งแขนทั้งมือทั้งนิ้วไม่อยู่ในอำนาจของหล่อนแต่สักอย่างเดียว

เขารัดตัวหล่อนแน่น ดังหนึ่งจะทำให้เนื้อต่อเนื้อแนบสนิท มือหนึ่งลูบคลำตามเส้นผมซึ่งเขารู้สึกว่าอ่อนนุ่มดังเส้นไหม

“รักบันลือมั่งไหมจ๊ะ ภรณี ?”

เหลือที่จะทนทานอยู่ได้ หล่อนเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“ถามข้างเดียวใครจะตอบ”

“O Love sweet sacred love, thou art devine !”

“Loved one mine own, forever be mine๑ ทีนี้ตอบได้หรือยัง ?”

​“ไปเอาคำของใครเขามา !”

“ของใคร !” เขาหัวเราะกังวานแห่งน้ำเสียงซ่านไปทั่วตัวภรณี “ของฉันเอง คิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ตอบเธอเดี๋ยวนี้ ความรักทำให้หัวสมองฟุ้ง เธอไม่รู้ดอกรึ ?” ประคองหน้าของหล่อนขึ้นจูบซ้ำหลายหน “รักบันลือบ้างไหม ภรณี ?”

หล่อนเลิกคิดที่จะทำร้ายร่างกายเขา เลิกคิดที่จะทำสิ่งใดทั้งสิ้น สิ้นปัญญา สิ้นความคิด สิ้นความต้านทาน อ่อนระทวยอยู่ในวงแขนของเขา

เสียงฝีเท้าเดินอย่างหนัก และเสียงไอโดยเจตนา ชายหนุ่มหันไปดูพร้อมกับคลายวงแขนจากภรณี

ชายคนหนึ่งหยุดยืน รีรออยู่ในที่พอเห็นตัวกันได้ถนัด บันลือถามไปโดยทันที “นพใช่ไหมนั้น ? มีธุระอะไรแก?”

“ถีก็บอกว่าคุณผู้หญิงสั่งไว้ ถ้าผมจะไปนอนให้มาพบก่อน”

“งั้นรึ ? พรุ่งนี้ก็ได้กระมังแกไปนอนเสียเถอะไป๊”

“เดี๋ยวก่อน นายนพ” ภรณีค้าน แต่ครั้นแล้ว “อื๊อ—เอาเถอะ พรุ่งนี้ถึงค่อยพูดกัน”

​นายนพกลับหลังเดินห่างไปโดยเร็ว ภรณีมองดูหน้าชายที่ยืนอยู่ข้างหล่อนอย่างงงงวย มือของหล่อนอยู่ในมือของเขา เขารู้สึกสัมผัสอันอ่อนละมุนจากมือของหล่อน ลมเย็นพัดมาเรื่อย ๆ ดวงจันทร์ลับล่ออยู่ตามยอดไม้ อากาศรื่นไปด้วยความหอมแห่งธรรมชาติ ใจของเขาคิดถึงคำพูดที่ตระเตรียมล่วงหน้าไว้เป็นหลายวัน ใจของหล่อนคิดถึงความตั้งใจที่จะไปจากเขา คิดเหมือนฝัน พยายามจะจำความรู้สึกโกรธ รู้สึกเกลียดที่หล่อนเชื่อว่าหล่อนรู้สึกต่อเขาอย่างรุนแรง พยายามเท่าใดก็จำได้แต่เพียงเลือน ๆ ความเกลียดที่มีอยู่บัดนี้หาใช่บันลือไม่ เกลียดหญิงที่เคยเป็นภรรยาของเขา เจ้าประคุณเอ๋ยภรณีไม่เคยมีความรู้สึกเกลียดมนุษย์คนใดแรงเท่ากับเกลียดมนุษย์คนนี้เลย! เกลียดจนกระทั่งจำรูปพรรณสันฐานของเขาได้โดยละเอียดทุก ๆ ส่วนแห่งร่างกาย เกลียดจนกระทั่งจำกิริยาเคลื่อนไหวของเขาได้ทุก ๆ อิริยาบถ ฤทธิ์ร้อนของความเกลียดอ่อนลงบ้างด้วยอำนาจความเย็นแห่งธรรมชาติ—แต่ก่อนหล่อนคิดว่าหล่อนเกลียดส่องสีกับบันลือคู่กันไป หล่อนประมาณไม่ถูกว่าหล่อนเกลียดคนไหนมากกว่า บัดนี้เพื่อความยุติธรรม หล่อนพยายามจะแผ่​ความเกลียดที่มีต่อส่องสีให้คลุมถึงบันลือด้วย แต่ใจของหล่อนไม่มีความยุติธรรมสมกับที่หล่อนเจตนา

เสียงพูดแว่ว ๆ ตามลมมาจากที่ใดที่หนึ่ง “ค่ำนี่เดือนฉาย เดินเล่นเดือนมันเยียบจรี๊ง !”

“ฮะแอ้ม เดือนก็ฉายหญิงก็เฉิดมันทั้งเยียบทั้งซึม”

“แฮะ พ่อกุ่ม อย่าเอ็ดนัก นั่นพ่อคุณนี่ฉันว่า”

“ก็ใครว่าอื่นที่ไหน ?”

“งั้นอย่าเอ็ดไป ฉันว่าพ่อคุณไม่อยู่มันทั้งเยียบทั้งเชียบ กลับมาเสียทีก็ค่อยซึม”

“พ่อคุณอยู่คนเดียว มันหายเงียบหายเงียบ แต่แม่คุณอยู่มันไม่มีอึ้ด พ่อคุณน่ะทุกข์ไข้ก็บอกแต่กินยา ๆ แม่คุณน่ะแกพูดเยี่ยงเอาน้ำร่ำมาไล้”

บันลือยกแขนโอบรอบเอวภรณี “พ่อคุณน่ะเป็นแต่เพียงเพื่อนแก้เงียบ แม่คุณเป็นเจ้าของความเย็นใจ นี่เธอจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ฉันมั่งเทียวรึ ภร แม้แต่ความนิยมของคนงาน?”

หล่อนไม่สู้จะเข้าใจ แต่ก็ไม่คิดที่จะถาม

“เธอใช้น้ำอบอะไรจ๊ะ ภร?”

“เมื่อไหร่คะ ?”

​“เมื่อไหร่ก็ตามเถอะ เข้าใกล้เธอรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมติดจมูก จนกระทั่งนั่งคิดถึงเธออยู่คนเดียวก็หอมได้ เดี๋ยวนี้ก็หอม”

หล่อนหัวเราะเสียงใส “จมูกคุณฝันไปแล้วค่ะ ดิฉันมีน้ำอบชื่อไวท์ แมยิก๒ คุณจิตราให้เมื่อก่อนแต่งงาน แต่วันนี้ทั้งวันไม่ได้ใส่น้ำอบอะไรเลย”

“อืม์! เนื้อทิพย์ !” เขาดึงหล่อนเข้ามาใกล้ กอดไว้โดยละม่อม “แม่เนื้อหอมเมื่อไหร่จะตอบจ๊ะ เธอรักฉันหรือไม่รัก?”

หล่อนพยายามฝืนตัว อยากจะถามเขาว่า “รักภรคนเดียวหรือ ?” แต่พูดไม่ออก อำนาจของเขามีมาก กำลังใจของหล่อนไม่พอที่จะสู้เขา

“ขอตรึกตรองก่อนค่ะ พรุ่งนี้ถึงจะตอบ”

“ทำไมถึงต้องผลัดไปช้านักล่ะ เธอจะแกล้งทรมานฉันรึ?”

“เปล่า ไม่ใช่แกล้ง แต่ของพรรค์นี้จะรู้กันได้หรือใน ๒–๓ นาที”

“ตามใจเธอ” เขาตอบในเสียงหัวเราะ ประคองหน้าหล่อนขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง เพ่งตาลงในดวงตาของหล่อน ​“อย่างนี้ดาวหรือจะมาสู้ ! ภรจ๋า ฉันจะบอกให้ เธอรักฉันในวันเดียวเวลาเดียว ขณะจิตเดียวกับที่ฉันรักเธอ แปลว่าในอึดใจแรกที่ได้เห็นกัน”

หล่อนอยากจะว่าเขาให้เจ็บแสบ แต่ไม่ทันได้ว่า ริมฝีปากของเขาแนบสนิทอยู่กับริมฝีปากของหล่อน ภรณีปล่อยความรู้สึกไปตามความรักอันบริสุทธิ์ที่หล่อนได้ประสบเป็นครั้งแรก

.

๑. รักเลิศประเสริฐยิ่งแล้ว ขอพี่อย่าคลาดแคล้วชั่วฟ้าดินสลายเถิดรา ↩

๒. White Magic ↩

 


47

๒๙



​ความโกรธเป็นดังสนิมศาสตราในโลก

ความโกรธครอบงำในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น

 


เสียงเครื่องยนต์แรงขึ้น ควันและฝุ้นฟุ้ง ผู้ที่กำลังจะจากไปโบกมือไว้อาลัยแก่ผู้ที่อยู่หลัง รถแล่นเร็วขึ้นเลี้ยวไปตามทางโค้งแล้วกลับจากสายตา

ไปแล้วเขาไปกันหมดแล้ว เพื่อนเขาเมียเขาไปก่อนได้สองวัน และบัดนี้พี่เขาน้องเขาหลานเขากำลังไป พรุ่งนี้เป็นวันของหล่อน พรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ หล่อนจะเป็นผู้ไปบ้าง ภรณีรู้สึกว่าตัวสั่น เห็นจะเป็นที่อากาศเช้าวันนี้เย็นจัด เป็นธรรมดาที่ร่างกายของหล่อนถูกกระทบกระเทือน แต่ไม่กระเทือนถึงใจหล่อนดอก เพราะใจของหล่อนเย็นเหนือความเย็นของอากาศ ใจของหล่อนเย็นและแข็งเหมือนน้ำแข็งที่ไม่มีสิ่งใดทำให้แข็งขึ้นอีกได้ ​ทั้งไม่มีสิ่งใดทำความแข็งให้ละลาย ใจของหล่อนเป็นน้ำแข็งก้อนมหึมา ไม่มีสิ่งใดเจือปนนอกไปจากความแข็งและความเย็น มีจุดความคิดอันหนึ่งและอันเดียวอยู่ตรงกลาง ไป! ไปจากที่นี่ ไปให้พ้นจากชายคนนั้น และพ้นจากทุกๆ คนด้วย ถ้าจำเป็น

เป็นความคิดที่เกิดขึ้นหลายสิบชั่วโมงมาแล้ว เวลายิ่งล่วงไปมากขึ้นเท่าใด ความคิดยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น ไป! เป็นความคิดข้อแรกและข้อสุดท้าย ไป! เป็นข้อตัดสินอันดีที่สุดง่ายที่สุดภรณีหลับตาเสียจากสิ่งที่เห็นอยู่ภายนอก หลับตาเสียจากสิ่งที่เห็นอยู่ภายใน ดับประสาทแห่งโสดเสียจากเสียงที่ได้ยินจากภายนอก ดับประสาทแห่งโสดเสียจากเสียงที่ได้ยินจากภายใน ความลำบากในภายหน้า ความมัวหมองแห่งชื่อเสียง ความยินดีของศัตรู อุดมคติ ความเดือดร้อนเศร้าโศกของบิดา ความเจริญของน้อง ทั้งหมดนี้ภรณีกดไว้ใต้ความคิดข้อเดียว คือไปให้พ้นจากมนุษย์ที่โลกช่วยกันสมยอมว่าเป็นสามีของหล่อน

หล่อนได้อดทนมาถึงสิบวัน ไม่ใช่ทนให้แก่เขาหรือทนให้กับตัวเอง หล่อนทนให้ แก่มุกดา แก่มรกต แก่ไพฑูรย์ แก่เจริญ แก่จิตรา เขาเหล่านี้เป็นคนอื่น เป็นคนกลาง เป็นผู้แสดงความเป็นมิตรต่อหล่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตราเป็นผู้ที่มีความปรารถนาดีต่อหล่อนยิ่งนัก มิควรที่เขาเหล่านี้จะต้อง​ได้รับความตกอกตกใจ และตื่นเต้นไปในทางที่ตรงกันข้ามกับความชื่นชม

ในส่วนที่เกี่ยวแก่เขา ชายที่กระด้างต่อหล่อนดังก้อนหิน กระด้างต่อความสัมผัสแห่งมือที่ไปถูกต้อง ไม่มีความจำข้อใด หรือข้อระลึกอันใดที่จะยั้งความคิดของหล่อนอยู่ จริงสิ เขาเป็นสุภาพบุรุษดังที่จิตราว่า ความสุภาพของเขานั้นงดงามแนบเนียน กระทั่งสายตาของผู้หญิงเช่นจิตรา เช่นพี่ของเขา เช่นน้องของเขา ยังไม่สามารถมองทะลุเข้าเห็นความกระด้างของเขาได้ เขาเหล่านี้พากันว่าหล่อนว่า ‘ขี้อาย’ และขรึม กล่าวกิริยาของเขาว่าเต็มไปด้วยความพะวงถึงหล่อน เพราะเห็นว่าเขาพูดกับหล่อนเป็นความเฉพาะวันละสองหนสามหน เขาพูดกับหล่อนว่ากระไร ? ทุก ๆ ครั้งคำพูดของเขาเป็นคำถาม ของสิ่งนั้นมีหรือ ของสิ่งนี้ขาดไปหรือไม่ จะต้องการสิ่งนั้นอีกหรือ สิ่งนี้เป็นอย่างไร เขาพูดกับหล่อนแต่เรื่องที่พูดเป็นเรื่องของความห่วงพี่ ห่วงน้อง ห่วงเพื่อน ห่วงเมียของเขาต่างหาก เขาเหล่านี้กล่าวว่าสายตาของเขามีที่มองอยู่แห่งเดียวคือตัวภรณี ช่างน่าหัวเราะเสียนี่กระไร ในเวลาที่เขามองดูเมียของเขาจนถึงกับลืมตัวนั้นช่างไม่มีผู้ใดได้เห็นบ้างหรือหนอ ?

​ไปตายเอาดาบหน้า เดรัจฉานยังไม่อดตาย หล่อนเป็นมนุษย์มีมือมีสมอง ไม่มีปัญญาหาใส่ปากใส่ท้อง จะมิเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานหรือ ? นี่เป็นคติที่ภรณีกล่าวแก่ตัวเอง เพื่อทำความบึกบึนให้แก่ใจ

รู้สึกตัวเมื่อมายืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องนอน นี่หล่อนกำลังจะทำอะไร ? อ้อ กำลังจะจัดของลงกระเป๋าสำหรับการเดินทาง ทั้งการเงินและการบัญชีที่จะต้องส่งคืนให้เขาทั้งสิ่งของที่จะนำติดตัวไปและที่จะละไว้ อยู่ในความคิดของหล่อนครบถ้วนโดยเรียบร้อยทุกสิ่งหลายวันมาแล้ว—เตรียมจะหยิบกระเป๋าที่วางแอบอยู่ข้างหลังตู้ เห็นสภาพของห้อง ช่างรักจริง รกด้วยมุ้ง ด้วยที่นอน ด้วยผ้าห่ม และอื่น ๆ อีก ดูน่ารำคาญตา ใช่แต่ห้องนี้ห้องเดียวห้องอีกสี่ห้องก็รกด้วยเครื่องอุปโภคที่จัดให้แก่แขกที่มาพัก คิดขึ้นมาอีกทีหนึ่งหล่อนจะไปต่อยามรุ่งพรุ่งนี้ ยังมีเวลาอีกมากสำหรับจัดของ แม้จะจัดต่อกลางคืนก่อนเวลาที่จะเข้านอนก็ยังเหลือที่จะทัน วันนี้หล่อนยังอยู่ที่นี่ในบ้านนี้ ควรที่หล่อนจะทำหน้าที่เหมือนดังที่เคยทำให้เสร็จสิ้นก่อน ที่เรือนพักของนายนพและนายคิด ซึ่งเจ้าของบ้านจัดให้เป็นที่นอน สำหรับสหายและสำหรับตนเอง มีเตียงสนาม มุ้งหมอน ผ้าห่ม ​ที่ล้างหน้า ซึ่งจะต้องมีการซัก การตาก การเก็บ ภรณีจะต้องเป็นผู้สั่งผู้ดูแลให้คนใช้ทำ

คิดดังนี้แล้ว ภรณีก็ทำตามที่คิด ลงจากเรือนที่อยู่ไปยังเรือนที่พักสำหรับหัวหน้าคนงาน เรียกคนใช้ชายหญิงไปด้วย ที่นั่นเป็นที่ไกลตา ต้องจัดต้องทำให้เรียบร้อยก่อนที่อื่น ในระหว่างที่ทำงานด้วยมือบ้าง ด้วยตาบ้าง ด้วยปากบ้าง ความคิดคำนึงอันฟุ้งซ่านก็เกิด ๆ ดับ ๆ อยู่ในสมอง บางขณะเป็นความคิดรันทดดังหนึ่งชีวิตจะออกจากร่าง บางขณะเป็นความคิดอย่างแค้น บางขณะเป็นความคิดอย่างเกลียดชังถึงขีดเจตนาจะประหัตประหาร บางขณะเป็นความคิดเหมือนอย่างความฝัน เลื่อนลอย เหลวแหลก หาชิ้นหาอันมิได้ และเมื่อเลือนไปแล้ว ก็ทิ้งรอยช้ำไว้เป็นความรู้สึก

เมื่อหล่อนกลับมาถึงเรือนที่อยู่ ได้ยินเสียงเอะอะโครมครามดังมาจากห้องน้ำ เด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่องตื่นนอนแล้ว กำลังจัดแจงอาบน้ำให้ตัวเอง นางพวงตั้งแต่ได้ถูกสั่งให้ไปนอนที่เรือนครัวชั่วคราว ก็ทำทีเหมือนจะลืมเวลาตื่นนอนของเด็กที่ตนเลี้ยงเสียทีเดียว ภรณีแวะเข้าในห้องน้ำเห็นเด็กทั้งสองกำลังเล่นกันอย่างขนานใหญ่ น้ำนองไปทั่วห้อง ขัน สบู่ ฝาโอ่ง ทิ้งเกะกะอยู่บนพื้น ผ้าเช็ดมือประจำห้องน้ำแช่อยู่ในโอ่ง มิทันที่​หล่อนจะได้ออกปากว่า เด็กทั้งสองก็ฟ้องซึ่งกันและกันเสียงดังขรม

ให้เวลาแก่เด็กเสียสัก ๑๕ นาที เป็นเวลาที่ความคิดอย่างรันทด ปวดร้าว เด่นอยู่เหนือความคิดอย่างอื่นแล้วหล่อนบอกให้เด็กไปนั่งเล่น เดินเล่น จนกว่าจะถึงเวลารับประทานอาหาร

เวลา ๙.๓๐ นาฬิกำกับเศษเล็กน้อย เป็นเวลาที่ภรณีนั่งห้อยเท้าอยู่บนเตียง มองดูคนใช้ถูพื้นห้อง เสียงนาฬิกาตั้งที่บนโต๊ะเล็กเดินดังกิ๊ก ๆ หัวใจภรณีสั่นและเต้นแรงไปตามเสียงนาฬิกา ถูกแล้ว เขาจะกลับมาถึงภายใน ๑๕ นาทีเป็นอย่างช้า แต่การกลับของเขาเกี่ยวข้องอะไรกับหล่อน ? หล่อนมุ่งจะไปหาความเป็นไทให้แก่ตัว เขาไม่มีอำนาจอันใดที่จะยึดเหนี่ยวหล่อนไว้ พรุ่งนี้ตีห้าครึ่งหล่อนจะออกจากบ้านนี้ เขาจะยังอยู่ในที่นอนและจะรู้ว่าหล่อนไปแล้วก็ต่อเมื่อหล่อนพ้นเขาไปไกลหลายร้อยเส้น ถ้าเผอิญเขาตื่นขึ้นไต่ถาม ก็ไม่เห็นแปลกหล่อนจะบอกเขาคำเดียวว่าหล่อนจะไปกรุงเทพฯ ถ้าเขาขัดขวางไม่ยอมให้หล่อนใช้รถใช้คนของเขา เขาจะได้เห็นว่าหล่อนรู้จักใช้เท้าของหล่อนเมื่อถึงคราวจำเป็น

เพลินด้วยฟุ้งด้วย แค้นด้วย ยอกในอกด้วย เพราะความคิดเหล่านี้ ใจของหล่อนวาบขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่จับได้ว่า​เป็นเสียงเครื่องยนต์ แข็งใจนั่งนิ่งอยู่กับที่ และบังคับใจจะให้นิ่ง นานจริงกว่ารถจะมาถึง ทั้งเมื่อมาแล้วก็แล้วเลยหน้าเรือนไปไกล แน่ละซี เขาเลยไปกับรถเพื่อจะดูงานของเขา ที่เรือนนี้ไม่มีเครื่องล่อสำหรับเขาเสียแล้ว เขาเป็นเช่นนี้มาแต่แรก เป็นธรรมดาที่เขาเป็นเช่นนี้ต่อไป มิใช่เรื่องที่หล่อนควรฉงนสนเท่ห์อย่างใดเลย

หล่อนสะดุ้งทั้งตัวเมื่อนายถีกระแอมพร้อมกับเยี่ยมหน้าเข้ามาในประตูห้อง เมื่อหล่อนมองไปดูเขาตรงหน้าแล้ว นายถีพูดว่า

“คุณให้มาเรียนคุณว่าคุณไปกรุงเทพฯ—”

“อะไรนะ ?”

“คุณครับ ให้มาเรียนคุณว่าท่านต้องไปกรุงเทพ ฯ มีธุระด่วน ท่านเขียนจดหมายมา คุณให้ผมมาเรียนคุณ”

“ดีมาก” ภรณีกล่าว หัวเราะน้ำเสียงมีกังวานประหลาดจนแปลกหูตัวเอง “ไปได้ นายถี ขอบใจ”

“ดีมาก” ภรณีกล่าวซ้ำในใจหลายครั้ง ดีมากเขาไปเสียได้เช่นนี้เป็นการดีนัก พรุ่งนี้หล่อนจะได้ขึ้นรถออกไปจากที่นี่อย่างสะดวกสบาย ข้อคิดในเรื่องที่อาจจะต้องเดินเท้า หรืออาศัยเกวียนชาวพื้นเมืองไปยังสถานีรถไฟเป็นอันว่าสิ้นไป ดีมาก ธุระด่วนเผอิญจำเพาะจะเกิดขึ้นวันนี้ วันที่เขาไปกรุงเทพ ฯ ไป​โดยไม่ต้องเกรงใจพี่น้อง วันที่เขาไปได้ไม่ต้องเกรงว่าจะเสียความเป็นสุภาพบุรุษ เสียงเอ๋ยเสียงอย่ากระซิบเสียให้ยาก อย่าหน่วงเหนี่ยวเสียให้ยาก อย่าเตือนเสียให้ยาก ไม่มีประโยชน์อันใดดอก ไปจากนี้แล้วจะพบแต่ความลำบาก ? หล่อนรู้จักความลำบากเสียมากแล้ว ดีร้ายอย่างไรไปตายเอาดาบหน้า ความไม่รู้ทำให้เกิดการเดาซึ่งมักจะเอียงไปในทางอกุศล ? ถืออะไรกับการเดาของมนุษย์ เรื่องของหล่อนเป็นเรื่องที่จะไม่มีผู้ใดเข้าใจ เขาหรือใคร ๆ ก็ยกให้ว่าเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้ หล่อนจะยกการกระทำข้อใดของเขาขึ้นตำหนิมิให้มีผู้เห็นพ้องกับหล่อนได้ การปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้ที่มีสายสัมพันธ์ต่อกันโดยทางพฤตินัย หรือนิตินัย จะสางความยุ่งของโลกให้เรียบขึ้น ? เขากับหล่อนไม่มีความเข้าใจผิดในกันและกัน ตัวหล่อนไม่มีสิ่งที่เขาต้องเข้าใจ ตัวเขาไม่มีสิ่งที่หล่อนจะ เข้าใจได้มากกว่าที่เข้าใจแล้ว ชัยชนะของศัตรู ? ชีวิตคือการต่อสู้ ผู้แพ้ในวันนี้ไม่จำเป็นจะต้องแพ้อีกในวันหน้า อุดมคตินามสมบัติที่หล่อนรักนัก ? ความจำเป็นที่จะต้องหนีจากสิ่งอันเป็นพิษ สำคัญกว่าความยึดเหนี่ยวในอุดมคติ ความทุกข์ ความเศร้าโศก ความเดือดร้อนของบิดา อีกทั้งความเจริญของน้อง ? หล่อนต้องช่วยตัวของหล่อนก่อนสิ แล้วจึงจะมีเวลาคิดช่วยผู้อื่น

​เด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่องเข้ามาค้นอะไรกุกกักอยู่ในห้องข้าง ๆ แล้วก็มีเสียงพูดเสียงโต้เถียง “ค. คุณพ่อ อ. อาภร ป. ป้าจิตร” “อื้อ! ป. ป้ามุกด์ น. นมพวง” “จ้าง ! น. นพ” “ไม่เอา หนูเอา น. นมพวง” “ไม่เอา ฉันเอา น. นพ” “เฮ่อ น. นมพวง นี่ ค. คิด ถ. ถี ใช่ ไหมล่ะเฮ้อ” “ไม่ใช่ ค. ควาย ถ. ถุง เอาไหม ถามอาภร เฮ่อ ถามอาภรซี” เสียงตุบตับเสียงกระดาษฉีกดังแคว่กเสียงฝีเท้าวิ่งปัง ๆ ๆ เด็กหญิงป่องเข้ามาถึงตัวภรณีก่อนเด็กชายก้องตามเข้าติด ๆ กัน ๆ

ภรณีตัดสินชี้แจงที่ผิดที่ถูก เด็กทั้งสองกำลัง ‘เฟื่อง’ ตัวอักษรที่เขาได้ทำความรู้จักไว้แล้ว แต่ได้ละเลยเสียในหมู่ที่มีแขกมาพักอยู่ ก็นั่งลงแข่งกันออกเสียงท่องจำตัวอักษรเสียงลั่นไปทั้งห้อง เด็กชายก้องเบื่อก่อน ละหนังสือไว้ ออกไปทางหน้าเรือน เด็กหญิงป่องตามออกไปในไม่ช้า ภรณีเก็บหนังสือวางไว้ในที่ควร แล้วออกนอกห้องบ้างโดยไม่มีความมุ่งหมายอันใดเลย ได้ยินเสียงเด็กเล่นกันอยู่ทางบันไดโน้น เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องจ้าขึ้น พร้อมกับตะโกนเรียก “อาภร ! ตาก้องบ้า !”

เมื่อภรณีสาวเท้าไปถึง เห็นเด็กหญิงนั่งเหยียดเท้าดิ้นเร่า ๆ อยู่กับพื้นดิน ได้ความว่าเด็กชายก้องผลักน้องก้นกระแทก ​เพราะน้องพยายามจะแย่งกิ่งไม้ที่เขาหักมาเพื่อสมมุติเป็นธง ภรณีอุ้มเด็กหญิงขึ้น เช็ดน้ำตาให้ด้วยผ้าเช็ดหน้าของหล่อนเอง ปัดฝุ่นละอองที่ติดตามกางเกงและผิวหนัง แล้วจับมือเด็กชายมาให้ขอโทษน้อง หน้าเด็กชายก้องแดงก่ำ น้ำตาออกมาคลอตา การกล่าวคำขอโทษเป็นสิ่งที่เขาเกลียดยิ่งนัก ถ้าจะบอกให้เขาไหว้หรือทำสิ่งใดเพื่อล้างความผิดของเขา เขาเต็มใจที่จะทำมากกว่าที่จะให้คำว่าขอโทษออกจากปาก แต่ภรณีมีวิธีบังคับเด็กโดยละม่อมได้เสมอ ต่อมาไม่ถึงสามนาทีหล่อนนั่งบนบันได เด็กชายก้องคลอเคลียอยู่กับแขนกับบ่า เด็กหญิงป่องใช้กิ่งไม้เขียนแผ่นดินเป็นรูปรอยต่าง ๆ ทั้งที่ยังมีอาการสะอื้นหลงอยู่

บนบันไดห้องน้ำ ลูกแมว ๓ ตัวกำลังเล่นหางแม่เล่น ๆ แล้วก็หล่นตุ๊บทับกันลงไปบนแผ่นดิน ปีนบันไดกลับขึ้นมาได้ไล่คว้าหางแม่อีก นางแม่รำคาญ หรือเห็นว่าเล่นพอแล้ว มากนักจะเหนื่อยเกินกำลังก็ลุกขึ้นยืนเลียหลังลูกตัวนั้นบ้างตัวนี้บ้างโดยทั่วถึง มือของภรณีกำลังลูบคลำอยู่ตามเส้นผมอันละเอียดของเด็กชาย เด็กเอ๋ย ลูกแมวเป็นสัตว์ โตแล้วหากินเองได้ ยังมีแม่คอยประคบประหงม ตัวหนูนี้ ต้องจากความรักของแม่ ตั้งแต่ยังไม่รู้ความ—ความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ภรณีตะลึงจนลืมหายใจ เจ้าประคุณคุณพระช่วย ! เด็กกำพร้าทั้งสองนี้อยู่​ในความอารักขาของหล่อนแท้ ๆ เมื่อพ่อเขาไม่อยู่ หล่อนจะละทิ้งเด็กไปเสียได้อย่างไร

เวรกรรม ! หล่อนลืมความข้อนี้เสียสนิท และเมื่อนึกขึ้นได้แล้ว—ความร้อนความเย็นระเบิดซ้อนกันขึ้นในอก เมื่อหล่อนจะไป จะต้องไปโดยไม่ทิ้งความบกพร่องไว้เบื้องหลัง ถ้าหล่อนไปในระหว่างนี้ อันตรายอันใดเกิดขึ้นแก่เด็กเพราะขาดผู้ปกครอง—ภรณีรู้สึกเย็นไปทั้งตัว

เด็กชายลุกขึ้นไปจากหล่อน หายไปทางบนเรือน เด็กหญิงวิ่งหยอย ๆ ตามไป ทั้งสองลืมความโกรธเมื่อครู่ก่อนเสียสนิท เมื่อเขากลับมาใหม่ พี่ชายนำหน้า น้องสาวตามหลัง ทั้งคู่ถือช่อดอกรักอันติดอยู่กับกิ่งยาว ทำท่ารำเข้ากับจังหวะเพลงที่เขาร้อง

“รักเอ๋ยรักป่า เจ้าตามลมมาแต่แห่งหนไหน รักพี่หน่อยรา หาไม่พี่จะลาเจ้าไป รักเอ๋ยบรรเจิดบรรจง เจ้างามระหงทั้งช่อทั้งใบ รักพี่ด้วยสักคน หาไม่พี่จะทนไม่ไหว รักเอ๋ยรักคอย ได้แล้วพี่จะร้อยเป็นมาลัย รักเอ๋ยรักดอน รักอาภรณ์นี่เหลือใจ”

ฟังเขาร้องกลับไปกลับมาอยู่สองเที่ยว ทั้งสองเที่ยวเมื่อนึกถึงวรรคท้าย เด็กหญิงป่องก็หันมาเอียงคอกับผู้ฟัง ภรณีเริ่มคิดพิศวง ในที่สุดหล่อนจึงเรียก

​“หนู หนูจ๋า ก้อง ป้อง ใครสอนให้หนูร้องเพลงนี้ ?”

“คุณพ่อ” เด็กชายตอบ แล้วทำท่าจะร้องรำต่อไป

“เดี๋ยวก่อน หนู พูดกับอาภรก่อน คุณพ่อสอนเมื่อไหร่ ?”

“เมื่อวันนั้น”

“วันนั้น วันไหน ?”

“วันนั้นน่ะค่ะ”

ภรณียิ้มอย่างระอา เรื่องวันกับเวลาเด็กสองคนนี้ไม่มีความเข้าใจเสียเลย “คุณพ่อสอนคนเดียว ?” หล่อนตั้งคำถามใหม่

“ตากุ่มสอนจ้ะ” คราวนี้เด็กหญิงป่องเป็นผู้ตอบ

“อ้าว ! ไหนก้องบอกว่าคุณพ่อสอน ?”

“คุณพ่อสอนย่ะ” เด็กชายเถียง

“คุณพ่อสอนบอกรักอาภร รักอาภร ฮื่อ ! ตาก้องพูดไม่รู้เรื่อง” ทันทีนั้นก็ตั้งท่ารำและร้อง “รักเอ๋ยรักดอน รักอาภรณ์เหลือใจ”

ภรณีเม้มริมฝีปาก นั่งนิ่ง มองตะลึงไปข้างหน้า

อีกสามวันต่อมา ภรณีได้รับจดหมายจากบันลือฉบับหนึ่ง ในที่ ๆ ควรเขียนตำบลที่อยู่ บันลือเขียนว่า “ในรถไฟ” ต่อจากนี้คือข้อความในจดหมาย

​ภรที่รัก ขอโทษร้อยหนพ้นหนที่มาโดยไม่ได้บอกให้เธอรู้ล่วงหน้า จะเขียนจดหมายที่สถานีก็ไม่ทันเพราะมีธุระต้องสั่งเจ้านพหลายอย่าง ทางเสียมากมาถึงสถานีก่อนรถไฟถึงประเดี๋ยวเดียว มีเวลาพออ่านจดหมายคุณยายจบพูดกับเจ้านพ ๒–๓ คำ แล้วกระโดดขึ้นรถ เป็นห่วงกลัวเธอจะเหงา เคยมีคนคึ่กคั่กบทจะมาก็มากันเสียหมดไม่เหลือสักคน ฉันไม่ได้เอาไอ้ถีมาด้วยให้มันอยู่เป็นเพื่อนลูกเป็นเพื่อนเธอจูบลูกแทนที แล้วให้ลูกจูบเธอแทน ฉันไม่รู้ว่ากี่วันจึงจะได้กลับ ไม่รู้ตัวว่าจะต้อง มา ไม่ได้ร่ำลากันเลย เมื่อเธอรู้ว่าเป็นธุระของคุณยาย เชื่อว่าคงยกโทษ ในพวกหลาน ๆ คุณยายเคยใช้สอยอยู่แต่ฉันคนเดียว ยิ่งเป็นเรื่องถึงโรงถึงศาลท่านยิ่งจะไม่ไว้ใจคนอื่น ไอ้ใครคนหนึ่งมันรุกนาของท่าน ท่านกลัวจะ​ต้องเป็นความ ฉันจึงต้องรีบมาให้ท่านใจชื้น เธอต้องการอะไรบ้างจากกรุงเทพ ฯ ขอให้มีจดหมายบอกมาทันที ขอโทษ ใช้โทรเลขดีกว่า ถ้าเผื่อฉันจะกลับบ้านได้เร็วจะได้ไม่ต้องรอจดหมายโทรเลขยาวเท่าไรก็ช่างมัน ขออย่าได้เสียดายค่าส่ง ความสมใจของเธอกับเงินมันไม่พอกัน คิดถึงจนพูดไม่ถูก นั่งรถไฟเขียนจดหมายยากจริง ผู้หญิงพูดมากเสียด้วยคุยไม่หยุดปาก พี่มุกดาชมเธอว่าถี่ถ้วนสมเป็นแม่บ้านนัก นี่ไม่ใช่ความรู้ใหม่สำหรับฉัน แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ฉันเพิ่งรู้เมื่อสักครู่ว่าไพฑูรย์ปล้นเอาหีบเย็บของเธอมาใบหนึ่ง แปลกจริง ๆ เด็กคนนี้ตัวอยู่กรุงเทพฯ ซื้ออะไรก็ซื้อได้ อุตส่าห์ไปแย่งเอาของของคนที่อยู่หัวเมือง ฉันจะต้องกวนจิตราให้หาให้เธอใหม่ อย่าลืมโทรเลขบอกชื่อของที่เธอต้องการฉันคิดเองไม่ถูก เวลานี้คิดได้แต่หนังสือจะหาไปฝากที่เธออ่านได้เพลินทั้งนั้นทำไมถึงกล้าคุยดังนี้ ? เพราะฉันได้ยินเธอตัดสินหนังสือของ​ ป.ส. กับหนังสือของ ‘กรองทอง’ อย่างเฉียบแหลมมาก ฉันเคยอ่านหนังสือของ ‘กรองทอง’ เล่มเดียว แต่รู้จักเล่มอื่น ๆ ด้วย พอที่จะรู้ว่าคน ๆ นี้เขียนหนังสือดี แต่ดีไปในทางที่ต้องใช้ความฝันช่วยในเวลาที่อ่าน แกแต่งเรื่องของชีวิตอย่างที่แก อยากให้เป็นตรงกับที่เธอวิจารณ์ไม่มีผิด ส่วน ป.ส. เขาเขียนเรื่องชีวิตตามที่เป็นอยู่ทุกวัน นี่ก็ตรงกับที่เธอว่าอีกเหมือนกัน ฉันกะว่าเธอกับฉันพอจะอ่านหนังสือด้วยกันได้ ฉันควรจะซื้อวิทยุมาด้วยหรือไม่ ? ถ้าเห็นสมควรบอกมาในโทรเลข ถึงกรุงเทพฯ แล้ว จะส่งข่าวมาอีก เว้นเสียแต่จะรู้ว่าฉันจะถึงบ้านก่อนจดหมายไปถึง ก็จะเอาเวลาไว้ทำอื่น สำหรับให้ได้กลับบ้านเร็วเข้า คิดถึงภร ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เข้าใจ

ภรณีอ่านจดหมายหลายครั้งอ่านจบครั้งหนึ่งความคิดเปลี่ยนไปอย่างหนึ่ง เปลี่ยนจากดีเป็นร้าย เปลี่ยนจากร้ายเป็นดี สลับกันไปมา เมื่อหล่อนพับจดหมายกลับใส่ซอง หล่อนจำความในจดหมายได้เกือบทุกคำ แล้วก็นึกไปวิจารณ์ไปตลอดเวลาหลายชั่วโมง

​ในที่สุดความคิดของหล่อนมายุติลงเป็นแน่ว่า จดหมายฉบับนี้ไม่ทำให้ความคิดที่จะไปจากบันลือเปลี่ยนเป็นอื่น เอานิยายอะไรกับข้อเขียนซึ่งออกมาจากคำสั่งของสมอง การกระทำซึ่งออกจากคำสั่งของใจต่างหากเป็นสิ่งที่ควรยึดถือ เขาเป็นสุภาพบุรุษ จดหมายที่เขียนมานเยนมานั้นเขียนตามมารยาทของสภาพบุรุษที่พึงมีต่อหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตนตามนิติธรรมและประเพณี ถูกแล้วหล่อนได้แต่งงานกับชายที่เป็นสุภาพบุรุษแท้ เพียบพร้อมด้วยจรรยาของสุภาพบุรุษทุกกระดิกตัว เมื่อ ๘–๙ ปีก่อนนี้ ด้วยความที่เป็นสุภาพบุรุษ เขาได้ยอมให้ภรรยาหย่าเขาเพราะเหตุที่หล่อนมีความเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ถือใจเป็นใหญ่ และเป็นผู้ที่หล่อนไม่ประสงค์จะอยู่ด้วย สาเหตุที่จะเกิดขัดใจกันขึ้นเช่นนี้มีอยู่ว่า เมื่อสองแต่งงานกับบันลือแล้ว หล่อนพิมพ์นามบัตรขึ้นจำนวนหนึ่ง ตัวอักษรมีชื่อตัวของหล่อน นามสกุลของสามี และนามสกุลเดิมของหล่อนเอง บันลือขอมิให้ภรรยาใช้นามบัตรเช่นนี้ เขามีความเห็นว่าจะทำให้คนทั้งหลายขอดข้อนภรรยาว่าเห่อเหิมอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งจะทำให้ญาติในสกุลของเขาถือว่าส่องสียกสกุลของหล่อนข่มสกุลของสามีด้วย ส่องสีไม่เห็นด้วยกับเขา และไม่ยอมปฏิบัติตามที่เขาขอร้อง ด้วยมูลเหตุเพียงที่กล่าวแล้วทั้งสองฝ่ายก็ขาดจากความเป็นสามีภรรยากัน สังเกตตามเสียงที่จิตราเล่าเรื่องนี้ประกอบกับ​เสียงที่พี่น้องของบันลือพูดถึงความหลัง บันลือรักส่องสีอย่างดูดดื่มยิ่ง แม้กระนั้นด้วยความที่เป็นสุภาพบุรุษ เขายังตัดใจยอมให้ส่องสีเป็นอิสระแก่ตัวในคราวแรกที่สุดที่หล่อนออกปากว่าไม่อยากอยู่กับเขา ในปัจจุบัน ส่องสีมาหาเขาอีก ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษอีกเขารับรองหล่อนดังหนึ่งหล่อนเป็นเทพธิดา เขาเป็นสุภาพบุรุษจริง ถูกแล้ว หล่อนสิเป็นสุภาพสตรีไม่พอกับเขา เขาดีเกินหล่อนไปมาก เพราะฉะนั้น แน่เสียยิ่งกว่าแน่ หล่อนกับเขาจะอยู่ร่วมกันต่อไปอีกไม่ได้

 

48

๒๘



อานนท์ มาตุคามเป็นผู้มักโกรธ มาตุคามเป็นผู้มักริษยา มาตุคามเป็นผู้มักตระหนี่ มาตุคามเป็นผู้ทรามปัญญา—เหตุนี้แล มาตุคามจึงไม่ได้นั่งในสภา ไม่ประกอบการงาน ไม่ได้รส (สนุก) แห่งการงาน

 


นายนพหักพวงมาลัยให้ล้อหน้าพ้นจากขอนไม้ที่นอนขวางริมทาง รถเลี้ยวขวับแล้วก็ดังกึง ! กระเทือนไปทั้งคัน เพลารถกระแทกกับตอใต้ดินโดยแรง ทำให้เกิดเสียงดังนั้น และเสียงวี๊ด ! หลายเสียงก็ดังขึ้นตามมาด้วยศีรษะต่อศีรษะ บ่าต่อว่า กระทบกันหลายคู่

“ว้าย ! ตาย ยังงี้ตายแน่ไม่ไหวแล้ว บันลือ นึกว่ารถพังแล้ว แหม ไปกันทำไมน่ะ กลับบ้านดีกว่าอีก ไม่เห็นอยากไปเลย”

เสียงนี้แต่เพียงเสียงเดียว ทำให้ผู้ที่กำลังจะออกเสียงอีกหลายคนนิ่งเงียบไป แล้วเสียง ๆ เดียวกันนี้ก็บ่นต่อไปอีก

​“แหม แขนแมนเคล็ดหมด ป่าเป่อดูทำไมกันน่ะไม่เห็นมีอะไรเลย ก็ไอ้ต้นไม้บ้า ๆ ทั้งนั้น ว้าย !” กิ่งไม้เล็ก ๆ กิ่งหนึ่งขีดเสื้อที่ตรงหลังหล่อน “แหม ไม่รู้จะระวังตัวยังไงแล้ว กลับบ้านเถอะนะ บันลือ ถ้ำค้างคาวไปดูมันทำไม นอนอยู่บ้านเสียยังดีกว่า”

ความรำคาญเกิดขึ้น อย่างแรงกล้าแก่สุภาพสตรีอีกสามนางที่อยู่ในรถนั้นด้วย มุกดาก็เอ็ดเอาน้องสาวคนเล็กผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างหล่อน “ถอยไปหน่อยซี หัวเข่าดันก้นพี่จนเจ็บแล้ว”

“ก็มันเลื่อนไปเองนี่คะ คุณพี่ก็” ไพฑูรย์ตอบ

มรกตรู้สึกตัวว่านั่งเบียดน้องคนเล็กมากไปเหมือนกัน ก็ตั้งท่าจะถอย แต่ความกระเทือนของรถทำให้หล่อนเสียหลัก ตะโพกของหล่อนก็กระแทกเข้ากับตะโพกภรณีโดยแรง

ทั้งสองฝ่ายมองดูกันแล้วก็ยิ้ม มรกตกล่าวว่า “เอาอย่างพี่สะใภ้ฉันมั่งซี ใคร ๆ ไม่มีบ่นเลย”

มุกดาพยายามชะโงกหน้ามองดูภรณี แต่ไม่กล้าปล่อยมือจากเสาหลังคารถก็ดูไม่เห็น จึงส่งเสียงมาว่า

“แม่ภรเห็นจะเที่ยวเสียชำนาญแล้ว ไม่ได้ยินเสียงบ่นจนคำเดียวจริง ๆ เสียด้วย”

​ภรณีปัดมดแดงที่กระเด็นจากกิ่งไม้มาไต่อยู่บนคอเสื้อมรกตตัวหนึ่งวิ่งไปบนหน้าอกเสื้อหล่อน จึงบอก “มดค่ะคุณกลาง หันมาหน่อยดิฉันจะปัดให้”

มรกตก้มมองดูตัวเอง ไม่เห็นตัวสัตว์ที่ภรณีกล่าวถึงก็หันตัวมาตามที่ภรณีบอก ทันใดนั้นหล่อนกล่าวว่า

“ต๊ายเธอเองล่ะบนบ่าแน่ะตั้ง ๓–๔ ตัว ใครช่วยหน่อยเร้วไอ้มือซ้ายของฉันมันก็ทำอะไรไม่เป็นเสียด้วย”

“ผมเอง ผมเอง” เสน่ห์กล่าว แล้วไล่ปัดมดแดงบนบ่าเสื้อของภรณีด้วยมือทั้งสองข้างอย่างขวักไขว่ มดหนีมือหลบเข้าในคอเสื้อ

ภรณีรู้สึกและพยายามจะปัดอย่างใจเย็น เสน่ห์ไม่รั้งรอจับคอเสื้อหล่อนพับออก และหยิบตัวมดได้อย่างว่องไว

ภรณีกล่าวคำขอบใจเขา แล้วเสริมว่า “มดตัวนิดเดียวอำนาจมากจริง ยุ่งกันเสียแทบตาย”

“อี๊ ! ที่ฉันมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ อะไรยิบ ๆ อยู่ที่คอ บันลือดูทีเถอะน่ะ”

เจริญนั่งอยู่ชิดกับบันลือ เขาใช้เข่ากระแทกเข่าของเพื่อน แล้วพูดวางหน้าตาเฉย

“มด ! บอกว่ามด ไม่ได้ยินรึ ? เอ ทำเป็นพระมณี ฯ ไปได้แฮะ”

​มุกดามองดูผู้พูด แล้วมองดูน้องชาย พร้อมกับมองดูส่องสี ทั้งสองนี้นั่งอยู่ติดกัน หญิงผู้เป็นพี่ของฝ่ายชายรู้สึกรำคาญยิ่งนัก ยิ่งเห็นเขาทำตามที่ฝ่ายหญิงขอร้องด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม สีหน้ามุกดาก็บึ้งตึงขึ้นโดยที่หล่อนไม่รู้ตัว

แล้วบันลือพูดขึ้นพร้อมกับมองไปทางหญิงสี่นางที่นั่งตรงกันข้ามกับเขา

“ตอนนี้ระวังหน่อยเจ้าข้า เดี๋ยวเถอะโคลงยังกะลูกคลื่นทีเดียว”

ทั้งนี้เพราะรถกำลังเข้าในทางคดและแคบระหว่างพุ่มไม้สองข้าง ก็ทำอาการทั้งโยกทั้งโยนทั้งส่ายอยู่ไปมาเพียงชั่วสามนาที มรกตก็กระเด็นจากที่นั่งไปทับอยู่บนตักเจริญผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าหล่อน อุบัติเหตุเล็กน้อยนี้ทำให้ผู้ที่ได้เห็นอดหัวเราะมิได้ มรกตเองก็ขันตัวเองและกระดากเจริญด้วยหล่อนพึมพำว่า

“แหม ขอโทษนะคะ ไม่ได้เผลอตัวเลยทำไมเป็นอย่างนั้นก็ไม่ทราบ”

“ตัวคุณเบาน่ะครับ” เจริญตอบด้วยเสียงอันร่าเริง “ผมเองก็เกือบกระเด็นเหมือนกัน”

​“โอ๊ย แขนฉันไปแล้ว บันลือ ไม่ไหวละไอ้พนักรถนี่ เกะกะออกจะตาย”

“พังเสียได้ไหม บันลือ พนักนี่น่ะ ?” เจริญถาม “ใช้แขนคนต่างพนักมันนุ่มนวลดีกว่า”

“ไปช้า ๆ อีกหน่อยเถอะ นพ” บันลือบอกไปยังคนขับรถของเขา “มีผู้หญิงหลายคน ใจเร็วอย่างที่พวกเราไปกันเองไม่ได้”

“ยิ่งช้าก็ยิ่งไม่รู้จักถึง” ไพฑูรย์กล่าว หันหน้าออกทางนอกรถ นึกกล่าวหาบันลืออยู่ในใจว่าเขาห่วงส่องสีแต่ผู้เดียว จึงออกคำสั่งนั้นติดต่อไปกับคำโอดครวญของเจ้าหล่อนโดยปกติ ไพฑูรย์ทั้งรักทั้งเกรงพี่ชายของหล่อนมาก แต่หล่อนเป็นผู้ที่อยู่ใต้อำนาจแห่งความริษยาโดยง่าย

“เวลามีถมไป” พี่ชายตอบอย่างอารมณ์ดี “รับประกันว่ากลับถึงบ้านก่อนค่ำ”

“อีกกี่มากน้อยจึงจะถึงถ้ำที่เราจะดู ?” เสน่ห์ถาม

“ราวสักชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้” แล้วบันลือพูดต่อไปในเสียงหัวเราะ “นายอย่าเพิ่งแน่ใจว่าจะได้ดูถ้ำ อาจจะต้องไปนั่งแหงนคออยู่ตีนเขาก็ได้”

​“ตายละ ?” มุกดาอุทาน “แต่คุณเสน่ห์เป็นผู้ชายยังจะต้องอยู่แค่ตีนเขา พวกเราเป็นผู้หญิงจะได้เห็นอะไรล่ะพ่อปุ๊ ?”

“ก็เห็นเขาซีครับคุณพี่ เขาใหญ่สูงต้นไม้ต้นเบ้อเร่อ ๆ น่าดู แล้วที่พักก็เย็นสบาย นึกเสียว่าเรามาปิคนิคบนเขา”

“ฉันเอาละ ฉันชอบ” มรกตว่า “มาแล้วนี่ก็ต้องดูว่าป่าแท้ ๆ มันเป็นยังไง ที่จริงไอ้เรื่องป่าเรื่องทะเลมันถูกใจฉันอยู่แล้ว”

“ผู้หญิงบางคนอาจจะเก่งกว่าผู้ชายก็ได้นะ” ไพฑูรย์เสริม “ฉันยังไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ลอง พี่สะใภ้เคยเห็นแล้วหรือยังคะ “ถ้ำนี้—ว้าย!” ตัวหล่อนถูกโยนขึ้นด้วยกำลังกระแทกของรถ ทำให้ศีรษะพุ่งไปถูกบ่ามุกดาโดยแรง “ต๊าย ตาย คุณพี่เจ็บไหม ?”

“ตัวเองน่ะ เจ็บหรือเปล่า ?” พี่สาวใหญ่หันมาย้อนถาม “พ่อปุ๊กลับไปถึงบ้านพี่จะต้องหาหมอมานวด เอาแขนวางไม่ได้เลยนี่ ตัวจะหลุดจากที่นั่งเสียร่ำไป”

“ชวนกลับบ้านก็ไม่กลับนี่” ส่องสีว่า “ตัวฉันคงโปไปหลายแห่งแล้ว อย่าไปให้ถึงเลยน่ะ บันลือ กลับเสียแค่นี้เถอะ แหม ยังจะต้องไปอีกตั้งชั่วโมง แขนขาหลุดหมดกว่าจะถึง”

​“พ้นจากคดนี้ไปแล้วก็ถึงทางดีหรอกน่ะ” บันลือพูดด้วยเสียงปลอบ ทำให้ไพฑูรย์นึกหมั่นไส้เขาขึ้นมาอีกทันที หล่อนไม่รู้ว่าพี่ชายของหล่อนรำคาญส่องสีเพียงไร แต่อาศัยความรำคาญของเขาเอง เขาพอจะคาดถึงความรำคาญแห่งพี่น้องของเขาได้ ทำให้เขานึกสังเวชผู้ที่ถูกรำคาญ จึงพยายามจะเอาใจหล่อนไปตามสมควร

เขาพูดขึ้นอีกในครูต่อมา “นั่งอย่าตัวแข็งให้มากนัก ปล่อยให้เลื่อนไปตามจังหวะของรถจะรู้สึกว่าถูกกระแทกน้อยลง—คุณพี่ หลบหน้าเข้ามาเสียหน่อยครับ หนามกิ่งเบ้อเร่อ”

“ทางนี้ล่ะ บันลือ” ส่องสีถาม “ดูข้างซ้ายให้ฉันมั่งซี เธอน่ะดูแต่ข้างขวาข้างเดียวแหละ”

เขารู้สึกว่าหล่อนกวนเขามากด้วยการเรียกขานชื่อเขาไม่หยุดหย่อน และอ่านความหมั่นไส้ที่มีอยู่ในใจแห่งพี่น้องของเขาได้ถนัดยิ่งขึ้น โดยสายตาที่เจ้าหล่อนทั้งสามมองดูส่องสี เขาไม่ติพี่น้องของเขาในข้อที่มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่หวั่น ๆ อยู่ในใจว่าคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้จะทนความหมั่นไส้ไปไม่ได้นาน ก็จะระบายความรู้สึกออกมาโดยทางคำพูดอันระคายหู

มุกดาได้กล่าวแก่เขาอย่างเด็ดขาด ในคืนที่หล่อนมาถึงและพบส่องสีอยู่ที่บ้านน้องชายของหล่อน “พี่อยู่กับคนนี้นาน​ไม่ได้หรอก ถ้าเขาจะอยู่อีกหลายวัน พี่ก็จะหนีกลับพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้” และไพฑูรย์ก็เสริมว่า “ไม่เคยเห็นผู้หญิงอะไรหน้าด้านยังงี้”

บันลือไม่มีคำที่จะตอบแก่พี่น้อง ไม่ใช่เพราะว่าเขาจนปัญญา หรือรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิด แต่เป็นเพราะเขามองเห็นในอึดใจนั้นว่า พี่สาวน้องสาวของเขาจะเข้าใจความคิดความรู้สึกของเขาในเรื่องนี้ไม่ได้เสียแล้ว ความจริงมิใช่แต่เรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป แม้เรื่องอื่น ๆ ที่ตื้นกว่าง่ายกว่าพี่น้องของบันลือก็หาเข้าใจบันลือเสมอไปไม่ การที่ฝ่ายเขากับฝ่ายเจ้าหล่อนต่างมีความรักใคร่กันเป็นอันดีนั้น เป็นเพราะฝ่ายเจ้าหล่อนรักเขาอย่างที่เรียกว่าหลับตารัก และไม่เคยมีความคิดที่จะขัดความประสงค์ หรือขัดความต้องการของเขาเลย และฝ่ายเขามีความเข้าใจในเจ้าหล่อนทั้งสามอย่างละเอียดลออถี่ถ้วน และให้อภัยความบกพร่องประจำตัวของเจ้าหล่อนแต่ละคนโดยสิ้นเชิง

บันลือเป็นผู้ที่มีสมองอันเต็มไปด้วยเหตุผลสำหรับตัวเอง และสำหรับคน ๆ อื่นด้วย แต่เขาไม่เคยมีความพยายามที่จะช่วยคนเขลาให้ฉลาดขึ้น หรือช่วยคนที่มีความคิดสั้นให้คิดยาวขึ้น หรือช่วยคนที่มีความเห็นแคบอยู่ในขอบเขตจำกัดให้คิดเห็นอย่างกว้างขวางขึ้น เขามิได้คิดที่จะอธิบายให้แจ่มแจ้งแก่พี่น้องถึงข้อ​ที่เขาเชิญเจ้าหล่อนมา เพื่อประกอบความเจตนาของเขาในอันจะแสดงว่าเขาเลิกจำความหลังระหว่างตัวเขากับส่องสีเสียสิ้นแล้ว ในปัจจุบันนี้ส่องสีเป็นเพียงสุภาพสตรีที่รู้จักกับเขาอย่างเพื่อนธรรมดา ดังนั้นจึงมาเยี่ยมเยียนและอยู่ด้วยกันพร้อมญาติของบันลือและเพื่อนของบันลือ นอกจากตัวส่องสีเอง เพื่อความสนุกสนานชั่วครั้งคราว เขารู้ว่าถึงแม้เขาจะอธิบายเช่นนี้ พี่น้องของเขาก็จะเข้าใจเขาไม่ได้อยู่นั่นเอง เจ้าหล่อนทั้งสามอาจจะนิ่งไม่โต้แย้งว่ากระไร แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงจะเพ่งเล็งคิดอยู่ว่า ส่องสีเป็นภรรยาบันลือ หย่ากับบันลือไปแต่งงานใหม่ แล้วย้อนกลับมาหาบันลืออีก เพราะเป็นหญิงที่หาความอายมิได้ เพื่อตัดความเดือดร้อนอย่างมากของมุกดา ซึ่งปรากฏโดยคำพูดซ้ำ ๆ หลายครั้งหลายหน “ฉันไม่รู้เลยว่านังนี่อยู่ที่นี่ ไม่รู้เลยจริงๆ” บันลือได้บอกแก่หล่อนว่า “อีกสองวันเขาก็จะกลับแล้ว”

ข้างฝ่ายส่องสีจะเป็นด้วยหล่อนไม่รู้ถึงความรังเกียจแห่งพี่น้องของบันลือ หรือรู้จึงแกล้งทำให้หนักขึ้นเป็นการท้าทาย ตามธรรมดาของผู้ที่รู้ตัวว่าถูกกดในทางหนึ่งก็ยิ่งพยายามจะเด่นขึ้นในทางนั้น ? พี่น้องของบันลือรังเกียจการที่ส่องสีกับบันลือวิสาสะต่อกัน ส่องสียิ่งทำกิริยาคล้ายกับว่าหล่อนกับบันลือมิใช่แต่เพียงมีการวิสาสะต่อกันเท่านั้น หากมีการสนิทชิดเชื้อกันเป็น​ที่สุดแล้วด้วย หล่อนพยายามที่จะอยู่ใกล้เขาทุกเวลา หรือมิฉะนั้นก็หาเหตุให้เขามาอยู่ใกล้หล่อน ชื่อของเขาติดอยู่กับริมฝีปากของหล่อน คำหนึ่งก็บันลือ สองคำก็บันลือ จนถึงกับจิตราแอบกระซิบกับบันลือว่า “ไม่ไหวละเธอ อย่างนี้ถ้ายายภรแกไม่ใช่พระละก็แกต้องระเบิดแน่”

เขาออกจะเห็น ๆ ด้วยกับความคิดของจิตรา แต่นึกไม่ออกว่าอาการระเบิดของภรณีจะเป็นเช่นใด เมื่อวานนี้คือรุ่งขึ้นจากวันที่พี่น้องของเขามาถึง เขาเกือบจะไม่ได้พูดกับภรณีโดยตรงแม้แต่สักคำเดียว ประการที่หนึ่งหาเรื่องพูดให้เหมาะกับโอกาสไม่ได้ ประการที่สอง เพราะหญิงห้านาง คือพี่น้องของบันลือ จิตรา และภรณี ดูมีอาการเพลิดเพลินอยู่ในระหว่างหล่อนเองตลอดทั้งวัน คล้ายกับว่าโลกนี้มีแต่ตัวหล่อนห้าคนเท่านั้น บางเวลาเจ้าหล่อนรวมกันเป็นหมู่อยู่ในห้องภรณี รื้อเสื้อซื้อผ้าออกมาอวดกัน สิ่งของกระจุกกระจิกของใครมีอย่างไรก็อวดกันอีก แล้วก็ซักนั่นถามนี่ออกความเห็นต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดการหัวเราะกิ๊กก๊ากเสียงดัง หรือกระซิบกระซาบกันเป็นความลับระหว่างเจ้าหล่อน บางเวลาก็พากันเข้าไปรวมอยู่ในครัว หรือเข้าไปรวมอยู่ในห้องหนังสือ หรือเล่นกับเด็ก ๆ ซึ่งมีจำนวนห้าคน เพราะลูกของไพฑูรย์และลูกของมุกดามาสมทบ​ด้วย บันลือพอใจเมื่อเห็นภรณีกับพี่น้องของเขาเข้ากันได้สนิทดี และพอใจที่พี่น้องของเขาทำกิริยาเป็นกันเองต่อจิตรา โดยปกติเจ้าหล่อนทั้งสามกับจิตรา มักแสดงกิริยาต่อกันอย่างผู้ที่รู้จักกันเพียงเผิน ๆ บันลือรู้ว่าพี่น้องของเขาไม่ชอบจิตราเพราะเหตุว่า จิตราเรียกสามีของหล่อนว่า ‘เจริญ’ สั้น ๆ โดยไม่มีคำนำอันเป็นเครื่องแสดงคารวะต่อสามีนำหน้านาม ส่วนจิตราไม่เคยสนใจในพี่น้องของบันลือเท่าใดนัก เพราะเมื่อได้พบกันต่างฝ่ายต่างไม่มีเรื่องที่จะสนทนากัน คำว่าโลก ‘โลก’ สำหรับพี่น้องของบันลือมีความหมายเป็นขอบเขตจำกัดอยู่เพียงแค่ญาติมิตร พวกพ้องและบริวารของหล่อน ส่วนคำว่า ‘โลก’ สำหรับจิตรานั้น กว้างขวางไพศาลเท่าขอบเขตแห่งโลก ถ้าจิตราแสดงโลกของหล่อนแก่พี่น้องของบันลือ เจ้าหล่อนเหล่านั้นก็มีอาการคล้ายกับผู้หลงทาง หรือมิฉะนั้นก็คล้ายกับผู้ที่ตาบอดแต่กำเนิด ยอมเชื่อไม่ได้เป็นอันขาดว่าโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าแสงสว่าง ถ้าพี่น้องของบันลือแสดงโลกของหล่อนแก่จิตรา จิตราก็มีอาการคล้ายกับผู้ที่ถูกบังคับให้ดูการมหรสพที่เขาดูแล้วหลายครั้ง

รถแล่นออกจากทางคดและแคบ พ้นจากหมู่ไม้ที่หนาแน่นด้วยเถาวัลย์และกอหนามต่าง ๆ ไม้ใหญ่ต้นตรงสูงตระหง่านยืนเด่นอยู่เรียงราย ลักษณะความเป็นป่าอย่างแท้จริงโดยต้นไม้ ​และอากาศปรากฏแก่สายตาและความรู้สึก มรกตออกอุทานด้วยความตื่นเต้นและเบิกบานคลับคล้ายคลับคลาจะเห็นไปเองว่ามีเสือหมอบอยู่ข้างจอมปลวก และกวางทองยืนเล็มหญ้าอยู่ริมทาง นกต่าง ๆ บินพึ่บพั่บขึ้นจากพุ่มไม้เพราะตกใจด้วยเสียงเครื่องยนต์ บางตัวบินร่อนอยู่หน้ารถเหมือนจะดูให้รู้ว่าสิ่งใดแปลกปลอมมา

แล้วก็มาถึงทางที่สูงขึ้นเป็นเนิน แล้วก็กลับลาดลงพื้นแผ่นดินมีลักษณะเป็นหิน ห้วยน้อยขวางอยู่ตรงหน้ารถแล่นตรงไปสู่ที่นั้นแล้วทำท่าปักหัวลง ฝ่ายหญิงอุทานด้วยความตกใจ นี่อย่างไรกันรถยนต์จะแล่นลงน้ำ ? ส่องสีหันหลังให้หน้ารถคว้าตัวบันลือกอดไว้แน่น หลับตาร้องว่า “หยุด หยุด ฉันไม่ไป”

“พิโธ่ !” ฝ่ายเขาอุทาน น้ำเสียงแสดงความฉุนจนฟังได้ถนัด “อย่างนี้คนขับก็ขวัญเสียหมด ถ้ามีอันตรายใครเขาจะพามานะ”

เสียงน้ำแตกดังซ่ายาว เมื่อล้อรถหมุนผ่านแล้วรถก็ตั้งหัวขึ้น ครู่หนึ่ง แล้วจึงตั้งตัวตรงแล่นไปอย่างธรรมดา

เสน่ห์พึมพำว่า “เอาอยู่ ท่าทางยังกะช้างขึ้นเขา”

เจริญตอบว่า “รถหัวเมืองเขาเก่งยังงี้แหละ—คุณส่องสีพ้นแล้วครับ” เขาพูดต่อและทำหน้าพิกล

​บันลือฉุนส่องสียังไม่หาย แต่ก็อดกันไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อน “ปล่อยผมซี คุณ” เขาว่า “ถ้าอยากจะกอดประเดี๋ยวถึงค่อยกอดใหม่ ยังจะต้องผ่านอีกสามห้วย แล้วจึงจะถึงเขา”

มรกตแอบกระซิบแก่ภรณีว่า “ยังไงพี่สะใภ้ ? ของเรานะนั่นนะ ทำไมไม่เรียกเอาของเรามาไว้ จะเป็นจะตายยังได้กอดกัน”

ไพฑูรย์ใช้ข้อศอกถองพี่สาวโดยแรง แล้วว่า “โธ่ พี่เขียวยังไปยั่วแกอีก”

“ของธรรมดาค่ะ” ภรณีตอบ แต่หล่อนมิได้เงยหน้าของหล่อนขึ้นให้สองพี่น้องเห็น

ในระหว่างนี้บันลือกล่าวแก่ส่องสีว่า

“ถ้ากลัวจริง ๆ ลงเสียจากรถแล้วเดินบุกน้ำไปก็ได้ น้ำมันแค่ตาตุ่มเท่านั้นเอง หรืออย่างมากก็เพียงข้อเท้า”

“แล้วเกือกฉันจะได้เปียกหมดซี”

คำตอบของหล่อนทำให้เขาอึ้งไป รองเท้าเปียกน้ำกับแขนหักคอหัก ความสำคัญมันใกล้กันนักหรือ ? แต่นี่แหละคือตัวส่องสีแท้ ๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เหลวยิ่งกว่าเหลว แหลกยิ่งกว่าแหลก รักขึ้นมาก็ทำไปตามรัก เกลียดขึ้นมาก็ทำไปตามเกลียด กลัวขึ้นมาก็ทำไปตามกลัว อยากขึ้น​มาก็ทำไปตามอยาก สิ่งอื่นนอกไปจากที่ตัวกำลังรู้สึกอยู่เป็นอันว่าไม่นึกถึง เพราะเช่นนี้จึงเสียหูไปข้างหนึ่งเพราะน้ำมือของสามี ชายคนนั้นทำถูกที่ใช้กำลังเป็นเครื่องปราบส่องสี เขาเป็นคนฉลาดที่คิดถึงวิธีนั้นขึ้นได้ ตัวเขาเอง บันลือ หามีสติปัญญาที่จะปราบส่องสีให้อยู่มือไม่ แต่เขาก็ขอบคุณเทพยเจ้าตลอดทั่วรอบขอบจักรวาลที่มิได้บันดาลความฉลาดอันนี้ให้เกิดแก่เขา

เมื่อรถผ่านห้วยที่สอง ความเชื่อในแรงเครื่องยนต์และในความสามารถของผู้ขับได้ทำให้ความกลัวของผู้โดยสารถอยไปมาก และเมื่อมาถึงห้วยที่สี่ เขาเหล่านี้ได้สังเกตดูวิธีที่รถแล่นลงแล่นขึ้นด้วยความสนุก อันมีความหวั่นใจเจืออยู่ด้วยแต่เพียงเล็กน้อย ส่องสีมิได้กอดตัวบันลืออีก แต่มือของหล่อนยังเกาะแน่นอยู่ที่แขนของเขา และปากของหล่อนก็ยังคงบ่นพึมพำด้วยความเสียวไส้

จากห้วยสุดท้ายนี้ มองเห็นเขาใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาลูกยอดมีลักษณะเหมือนขวดปากบาน บันลือบอกแก่ผู้ที่ร่วมทางกับเขาว่า นั่นคือถ้ำค้างคาว รถแล่นต่อมาอีกครู่ใหญ่ก็ถึงเนินเขาและหมดทางที่รถจะแล่นผ่านต่อไปได้อีก

ทุกคนถอนใจยาวด้วยความโล่งอก เมื่อรู้สึกว่าในที่สุดตนก็ได้มาถึงที่หมายโดยปลอดภัย บางคนบ่นว่าหิวบางคนบ่น​ว่ากระหายน้ำ บางคนเหยียดขาแก้เมื่อย เจริญปรารภแก่ภรณีว่า “อย่างนี้ถ้าพี่สาวเธอมาด้วยก็แย่นะ”

บันลือสั่งให้คนใช้นำตะกร้าอาหาร และของใช้ที่จำเป็นบางอย่างล่วงหน้าขึ้นไปก่อน เหลือไว้แต่น้ำซึ่งทุกคนกำลังออกปากแสดงความต้องการ เจริญห่วงปืนเป็นที่สุดที่แล้ว และหวังว่าจะได้ยิงสัตว์ใหญ่อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ร่ำไป บันลือรู้อยู่แก่ใจว่าบนเขานี้มีหมู่บ้านคนและมีคนงานมาทำการขุดมูลค้างคาวเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นธรรมดาที่สัตว์ป่าย่อมไม่ออกมาให้เห็นตัวในเวลาที่พระอาทิตย์ส่องแสงเช่นนี้ เขาหัวเราะอยู่ในใจแต่ไม่ขัดคอเพื่อน ปล่อยให้เจริญแบกปืนแล้วก็เที่ยววางไว้ พิงไว้แล้วก็ต้องย้ายที่ใหม่ไม่หยุด เพราะคุณ ๆ ผู้หญิงเธอหวาดว่าปืนจะลั่นไปถูกเธอ

มุกดารับประทานน้ำแล้วก็ขอนั่งพักก่อนที่จะเดินขึ้นเขา ในที่นี้มีศาลาเล็กหลังคามุงด้วยไม้ พื้นทำด้วยไม้ไผ่ ไม่มีฝาทั้งสี่ด้านอยู่ศาลาหนึ่ง พี่น้องสามนางบรรจงไต่บันไดไม้ไผ่สองขั้นขึ้นไปนั่งอย่างเรียบร้อย ส่องสีเรียกร้องความช่วยเหลือของบันลือตามเคย และเมื่อขึ้นไปนั่งอยู่แล้วก็บ่นว่าเจ็บก้น เพราะพื้นศาลาต่ำ ๆ สูงๆ ไม่สม่ำเสมอกัน อากาศเย็นรื่นเป็นที่สบาย กล้วยไม้ออกดอกเป็นช่อระย้าอยู่บนไม้สูง นกใหญ่นกเล็กส่ง​เสียงเซ็งแซ่ บ้างบิน บ้างกระโดด บ้างเต้น บ้างจิกเอาอาหารจากพื้นดิน หญิงชาวพระนครส่งเสียงแสดงความตื่นเต้นและชี้ชวนให้กันดู ชายชาวพื้นเมืองหัวเราะเยาะความตื่นเต้นของหญิงชาวพระนครอยู่ในใจ

ภรณีเป็นคนสุดท้ายที่นึกถึงการพักผ่อนของตัวเอง หล่อนห่วงมากในการดื่มการบริโภคของผู้ที่มาด้วยกับหล่อน

เมื่อได้ปิดกระติกน้ำแข็งเรียบร้อย และส่งให้คนใช้คนหนึ่งไปแล้ว หล่อนจึงมองหาที่นั่ง บนศาลาน้อยมีคนนั่งห้อยเท้าในท่าสบายอยู่โดยรอบ และพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน หล่อนไม่มีความปรารถนาที่จะเข้าไปร่วมกับเขา ตรงกันข้ามต้องการจะหลบไปอยู่ในที่ใดที่หนึ่งโดยลำพัง แคร่สูงเก่าผุกว้างไม่ถึงศอก ตั้งอยู่ใกล้ร่มไม้ไกลออกไปจากหมู่คน ภรณีเดินตรงไปที่นั่นด้วยความยินดี

หล่อนไม่รู้สึกตัวว่าสายตาคู่หนึ่งมองตามหล่อนไปด้วยอย่างกระหาย สายตาคู่นั้นเห็นรูปโปร่ง เอวกลมและขาเรียวของหล่อนเป็นที่ต้องตา ความสัมผัสเสียดสีโดยปราศจากเจตนาของทั้งสองฝ่าย ในระหว่างชั่วโมงที่แล้วมา ได้ทำความรู้สึกประหลาดให้เกิดแก่ฝ่ายชาย เขาไม่มีความคิดอย่างอื่น นอกไปจากที่จะได้ถูกต้องร่างอันเป็นเสน่ห์นั้นอีก

​แคร่สูง สูงเพียงระดับหน้าอกของภรณี อาศัยความเคยชินกับที่พักในป่าในดงเช่นนี้ ภรณีรู้ว่าหล่อนจะต้องใช้กำลังแขนยกตัวขึ้นบนพื้นแคร่จะใช้ขาใช้เท้าหาได้ไม่ วางมือสองข้างลงบนพื้นไม้อย่างใจเย็น คะเนระยะให้พอเหมาะกับการเกร็งข้อเพื่อยกตัว พอขยับจะใช้กำลังดังที่ตั้งท่าก็รู้สึกว่ามีมือสองข้างมาจับที่เอว หล่อนอุทานด้วยความตกใจ และหย่อนตัวให้เท้าทั้งสองลงจรดพื้นดินในทันที

“อ้าว ผมนึกว่าจะช่วยยกตัวคุณ” เสน่ห์กล่าวสีหน้าเรี่ย ๆ ในทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับร่างของภรณีเขามีความรู้สึกว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่สมควร

หล่อนมิได้ไหวไปถึงเจตนาหรือความรู้สึกของเขาเลย ความไม่พอใจของหล่อนที่แล่นเร็วดังสายฟ้านั้นเกิดความหวงตัวอันเป็นนิสัยที่เกิดแต่การฝึกของสตรีเมื่อความตกใจและไม่พอใจพ้นไป หล่อนเชื่อในคำพูดแสดงเจตนาดีของเขาอย่างสนิท ยิ้มกับเขาแล้วตอบว่า

“ไม่ต้องค่ะ ดิฉันขึ้นเองได้”

หล่อนหันกลับเข้าหาแคร่ ในชั่วพริบตาเดียวก็ขึ้นนั่งอย่างเรียบร้อย

​“เก่งมาก” เสน่ห์ชมโดยจริงใจ “ให้ผมนั่งด้วยคนได้ไหม ?”

หล่อนขยับตัวหลีกที่ให้เขา เสน่ห์ทำท่าอย่างเดียวกับภรณี แต่เขาคะเนความสูงของแคร่ผิดไปจึงพลาด เขาต้องปล่อยตัวลงบนพื้นดินดังเก่าแล้วพูดว่า “เอผมนี่สู้คุณก็ไม่ได้” เขาหัวเราะและพยายามใหม่อีกครั้งหนึ่งจึงสำเร็จ

ความรู้สึกอย่างใหม่เกิดขึ้นแก่เขาอีก เมื่อเขาได้นั่งคู่อยู่กับหล่อนแล้วในระยะห่างกันราวหนึ่งศอก ภรณีหันหน้าจากเขา มองไปในที่ไกล สีหน้าของหล่อนค่อนข้างขรึมมาก แต่มิได้ทำความหาตำหนิมิได้แห่งวงหน้าให้บกพร่องไป สีหน้าขรึมของหล่อนทำให้เห็นเป็นผู้ใหญ่ แต่ความละเอียดแห่งผิวและส่วนรวมของเค้าหน้ายังบ่งถึงความเป็นดอกไม้แรกบานของหล่อนอย่างเต็มที่ เขานึกสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่ได้พบหล่อนก่อนที่หล่อนจะได้เป็นของบันลือ

“เมื่อเล็ก ๆ คุณเรียนหนังสือที่โรงเรียนไหน ?” เขาถามขึ้น

หล่อนหันมามองดูเขา แล้วบอกชื่อโรงเรียนเก่าของหล่อน

​“เอ ผมรู้จักพวกนักเรียนเก่าโรงเรียนนี้ตั้งเยอะแยะ ญาติของผมยังเรียนอยู่ที่นั่นก็มี ทำไมผมไม่ยักรู้จักคุณ”

หล่อนมีเหตุผลที่จะให้แก่เขาหลายอย่าง แต่เลือกเอาอย่างที่สั้นที่สุดและง่ายที่สุดขึ้นกล่าว “ดิฉันเป็นนักเรียนประจำค่ะ แล้วเวลาโรงเรียนหยุดก็ไปอยู่หัวเมือง”

เขานึกขึ้นได้ว่าเขาได้ยินความข้อนี้มาแล้ว รวมทั้งข้ออื่น ๆ อีกมาก เมื่อเขาเดินทางมากับพี่และน้องของบันลือ เจ้าหล่อนทั้งสามได้กล่าวขวัญถึงภรณี และเรื่องราวของภรณีอยู่พักใหญ่แต่เขาไม่ได้สนใจจำ หรือที่แท้เขาฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง จึงไม่สามารถที่จะปะติดปะต่อข้อความที่ได้ยินให้เป็นเรื่องเป็นราวได้

“พอออกจากโรงเรียนก็แต่งงาน ?” เขาถามต่อ

“โอ๊ะ ดิฉันออกจากโรงเรียนทั้งห้าปีมาแล้ว”

“ระหว่างนั้นคุณไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน จนกระทั่งบันลือไปค้นพบ ? หมอนั่นเคราะห์มันดีพิลึก!”

ภรณีก้มลงดูแผ่นดิน ชื่อบันลือเปรียบประดุจคมกริชตัดความรู้สึกใจชื้นเพราะความใหม่ ความแปลก ความสดชื่นแห่งธรรมชาติขาดป่นไปทันที

​เสน่ห์มองดูหล่อนโดยเพ่งเล็งยิ่งขึ้น เขารู้สึกถึงความผิดปกติแห่งอารมณ์ของหล่อนและสนเท่ห์อยู่ในใจ เขาชอบความไม่เอาใจใส่ในตัวเขาที่ปรากฏชัดในกิริยาของหล่อนบัดนี้ เพราะเป็นโอกาสที่เขาจะใส่ใจในหล่อนได้ข้างเดียวโดยไม่ต้องระวังกิริยา

แต่ในทันใดนั้นเอง มีอุปสรรคมาขัดความพอใจของเสน่ห์ เสียงบันลือพูดดังมาก ดังผิดปกติที่ผู้หนึ่งผู้ใดในที่นั้นเคยได้ยิน

“เชิญออกเดินเจ้าข้า ท่านที่แยกย้ายกันไปหาความสำราญในที่ต่าง ๆ เชิญออกเดิน”

บันลือมิได้พิเคราะห์ใจของตัวเองว่าเหตุใดจึงพูดดังนี้ และไม่รู้สึกด้วยว่าใจของตนเกิดพลุ่งพล่านขึ้นด้วยโทสะ

เขาออกเดินนำหน้าไป โดยไม่แยแสต่อเสียงโอดครวญของส่องสีซึ่งร้องว่า ทางชันหล่อนเดินไม่ไหว เดินอย่างเร็วไปจน ๒๐ เมตรกว่า จึงหยุดและหันมาดูทางเบื้องหลัง ทางนี้ชันจริง และเป็นทางหินมีตอนที่ลื่นและขรุขระเป็นตอน ๆ แต่ก็เป็นทางที่ผู้หญิงแม้อ่อนแอที่สุดก็ย่อมจะเดินได้ ไม่ถึงกับต้องมีผู้ช่วยฉุดช่วยจูง แน่ใจดังนั้นแล้วบันลือเดินต่อไปอีกด้วยฝีเท้าธรรมดา

​สิ้นระยะทางไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เขาหยุดอีกควักผ้าเช็ดหน้าออกเช็ดเหงื่อ ลมเย็นพัดมาต้องทำให้เกิดความรู้สึกชุ่มชื่น ความขุ่นมัวของบันลือค่อยคลายไป

บัดนี้เขารู้สึกตัวแล้วว่าสิ่งใดทำให้เขาพื้นเสีย “ไอ้บ้า! เขาบ่นในใจ “เห็นผู้หญิงไม่ได้ มันให้น้ำลายหยดไปเสียหมด”

มองดูไปยังแถวคน ที่เดินมาใกล้เขาทีละน้อย ๆ ยิ้มออกมาได้ด้วยความขัน เมื่อเห็นเจริญอยู่หลังแถวที่สุด และยังห่างจากแถวมากเสียด้วย เพราะมีส่องสีเป็นลูกตุ้มถ่วง ภรณีเดินอยู่ใกล้ไพฑูรย์ เสน่ห์เดินข้างภรณี “คนหนึ่งก็สำออยจนคลื่นไส้ อีกคนหนึ่งก็—” เขาต่อความรำพึงของตัวเองไม่ถูก เขาจะโกรธหล่อนเพราะเหตุที่หล่อนไม่ออกปากบ่นเรื่องความลำบากแม้แต่สักคำเดียวกระนั้นหรือ ! ลองคิดถึงว่า ถ้าหล่อนเกิดความต้องการผู้ช่วย ผู้พยุง และเสน่ห์จะเป็นผู้ยื่นแขนให้หล่อนเกาะ—“ไอ้เรามันก็สัตว์ตัวผู้” เขาปรารภพร้อมกับยิ้มอย่างระอา

ความจริงกิริยาที่เสน่ห์แสดงต่อภรณี ไม่มีลักษณะผิดแปลกอันควรที่ผู้ใดจะถือเป็นข้อสังเกตแม้แต่สักนิดเลย เสน่ห์ชอบผู้หญิงเป็นที่สุดแล้ว เขามีเพื่อนชายกี่คน เพื่อนเหล่านั้นคนหนึ่ง ๆ มีพี่น้องผู้หญิงกี่คน เสน่ห์ย่อมจะหาช่องทำความรู้จักกับ​เจ้าหล่อนได้ไม่ขาดจนคนเดียว และผู้หญิงส่วนมากก็ชอบเขาด้วย ข้อนี้เพื่อนของเสน่ห์ทุกคนย่อมจะรู้ดี ในเวลาที่บันลือไปถึงสถานีรถไฟเพื่อรับพี่น้องของเขานั้น เขาพบโทรเลขของเสน่ห์คอยเขาอยู่ มีใจความสั้น ๆ ว่า “มาด้วยคน” เขาไม่มีความรู้สึกอย่างอื่น นอกจากนึกขันนิสัยของเพื่อนคนนี้ นึกจะทำสิ่งใดก็ทำตามความพอใจ หาความสุขสบายได้เป็นนิจ ทั้งไม่มีผู้ใดคิดจะติเตียน หรือตั้งข้อรังเกียจการกระทำของเขา บางทีพี่น้องของบันลือจะได้ชักชวนเสน่ห์ให้ร่วมทางมากับหล่อน เพื่อความสนุก และเสน่ห์ก็พอใจที่จะทำตามความประสงค์ของเพื่อนหญิงตามเคยของเขานั่นเอง ครั้นเมื่อเสน่ห์มาพบปะพูดจากับภรณี ซึ่งเป็นสาวที่สุดในบรรดาหญิงหกคนที่อยู่ด้วยกันและ—และสวยที่สุดด้วย ก็เป็นธรรมดาที่เขาต้องเกิดความพอใจที่จะใกล้ชิดหล่อนยิ่งกว่าคนอื่น

ระยะทางตั้งแต่ที่รถจอดจนถึงที่พักยาวประมาณ ๓๐๐ เมตร ตัวที่พักเป็นศาลาใหญ่ กว้างขวางและเย็นสบาย ผู้เดินทางนั่งพัก พอหายเหนื่อยแล้วก็รับประทานอาหาร ในระหว่างนี้บันลือสนทนากับชาวถิ่น ผู้ซึ่งทำงานอยู่บนเขา ๒–๓ คนไปพลาง ส่วนคนอื่นๆ ปรารภกันถึงการที่เขาจะขึ้นไปให้ถึงถ้ำ เพราะทางระยะแรกซึ่งเขามองเห็นได้จากที่พักก็ทำให้ฝ่ายผู้หญิงบางคนหมดหวังที่จะ​ขึ้นได้เสียแล้ว มุกดาร้องว่า “ฉันยอมแพ้” ไพฑูรย์ก็ส่ายหน้าส่องสีนั้นรบเร้าขอให้ทุก ๆ คนล้มความคิดที่จะขึ้นไปดูถ้ำเสียทีเดียว และเมื่อเห็นมรกตทำท่ายึดมั่นอยู่ในความตั้งใจที่ว่า “มาแล้วต้องดูให้เห็น” และภรณีก็มีสีหน้าอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงความคิดคล้ายคลึงกับมรกต ส่องสีก็ตั้งหน้าอ้อนวอนบันลือให้อยู่เป็นเพื่อนหล่อน “ใครเขาเก่งก็ให้เขาขึ้นไปก็แล้วกัน เธออยู่เป็นเพื่อนคนไม่เก่งซี” หล่อนว่า “ไปกันเสียหมด พวกที่อยู่จะอยู่กับใครล่ะ ?”

“ก็ถ้าเผื่อผมไม่ไปด้วย คนที่จะขึ้นไปจะไปได้ยังไง ?” บันลือย้อนถาม

“ก็คนอื่นถมไป พวกนี้น่ะ....” ส่องสีพยักหน้าไปทางชาวพื้นเมืองสองคน ซึ่งเป็นคนงานของบันลือ “พวกนี้ขึ้นเขายังกับจิ้งจกไต่ฝาแล้วก็คุณเจริญคุณเสน่ห์อีกล่ะ”

“คุณจะขึ้นจริงๆ รึ?” เสน่ห์ถามภรณี

“ถามคุณกลาง” ภรณีตอบ

“คุณเขียว คิดดูให้ดีนา” เสน่ห์ว่า “นั่นมันไม่ใช่กระได รูปร่างมันก็พะองเราดี ๆ นี่เอง ดูซิ แล้วมันสูงคอตั้งบ่า คุณไต่พะองเป็นหรือ ?”

​“ถ้าพี่ปุ๊บอกว่าขึ้นได้ ฉันก็ขึ้นได้เหมือนกัน”

“ขวัญดี ๆ ขึ้นได้” บันลือพูด “ข้อสำคัญอย่าทำมืออ่อนตีนอ่อนง่าย ๆ เท่านั้น ขึ้นกระไดโตกว่าพะองนิดหน่อย แต่ช่วงยาวกว่าพะองมาก มีอยู่ ๗๘ ขั้น ประเดี๋ยวลองไปขึ้นดูสัก ๗–๘ ขั้นก่อนซี ถ้าเชื่อตัวว่าขึ้นได้ก็ขึ้นไป ถ้าใจไม่ดีก็อย่าขึ้นดีกว่า”

“๗๘ ขั้น” เสน่ห์พึมพำ “อย่าขึ้นไปเลยน้า”

“ลื้อเองน่ะแหละ อย่าขึ้นไปดีกว่า” เจริญว่า “เห็นอยู่แล้วไม่ใช่ที่เรียบๆ อย่างโรงเต้นรำ อยู่เป็นเพื่อนคุณส่องสีเถอะ บันลือน่ะ เมียเขาจะขึ้น เขาจะปล่อยให้ไปกับคนอื่นยังไง”

แล้วเจริญมองดูส่องสีเต็มตา นับแต่เวลาแรกที่เจริญได้ทำความรู้จักกับส่องสีในรถไฟ จนกระทั่งถึงเวลานี้ ความคิดของเจริญที่เกี่ยวกับส่องสีได้เปลี่ยนลักษณะไปหลายอย่างจากความสนเท่ห์เพราะเห็นแปลก อย่างที่บุคคลพึงรู้สึกแปลก เมื่อพบสิ่งที่ตนไม่เคยรู้จักมาแต่ก่อน ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงเป็นความเห็นขัน ครั้นเมื่อได้ขันเสียจนเบื่อ ความข้นก็เปลี่ยนเป็นความรำคาญ ต่อจากนั้นก็เป็นไปตามกฎธรรมดา เมื่อบุคคลหนึ่งรำคาญบุคคลหนึ่งบ่อยนัก ภายหลังจะเกิดความดูถูกผู้ที่ตนรำคาญ เจริญกระหายมานานแล้วที่จะเตือนส่องสีว่า ภรณีเป็นภรรยาของ​บันลือ ถ้าเขาไม่เกรงใจส่องสีในข้อที่เป็นหญิง เขาจะบอกแก่หล่อนอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาเห็นหล่อนเป็นผู้หาความคิดมิได้

เสน่ห์มีอาการลังเล เขาเป็นผู้ไม่มีนิสัยชอบการผจญภัย และไม่ชอบความลำบากกายเพื่อเหตุใดเลย ถึงแม้จะได้ร่วมทางไปกับภรณี แต่เป็นการร่วมโดยได้รับความลำบากไปด้วยกัน เขาไม่รู้สึกศรัทธานัก ในที่สุดจึงพูดอ่อยๆ ว่า

“อยู่ก็ได้ ที่จริงผู้ชายไปกันเสียหมด ผู้หญิงก็ว้าเหว่”

เรื่องการขึ้นเขาชั้นที่สองที่สามเป็นอันยุติอยู่เพียงนี้ การสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เจริญเล่าถึงความสนุกสนานในการเข้าป่ายิงสัตว์ให้พี่น้องของบันลือฟัง ต่อจากนั้นอีกครู่ใหญ่บันลือก็ชักนาฬิกาออกดูและพูดขึ้นว่า

“สี่โมงแล้วคณะใจเด็ดควรจะออกเดิน สายไปกว่านี้จะร้อนจัดมากไป แล้วจะขึ้นไปหิวอยู่บนโน้น เพราะว่ากว่าจะกลับลงมาถึงนี่อีกก็ราว ๆ บ่ายโมง”

มรกตหันมาพยักหน้ากับภรณีพลางกล่าวว่า “ไปเราเป็นพวกใจเด็ด” แล้วหล่อนจัดผม จัดเสื้อผ้า และรองเท้าให้กระชับขึ้น

​ชาวถิ่นผู้ชำนาญทางคนหนึ่ง กับคนของบันลือคนหนึ่ง มือถือกระติกน้ำเย็น ไต่บันไดซึ่งมีลักษณะเป็นพะองขึ้นไปก่อน ต่อจากนั้นก็ถึงบันลือ มรกต และภรณี เจริญยังยืนอยู่กับผู้ที่มายืนดู แหงนคอมองดูผู้ที่กำลังไต่บันได ออกนึกเสียวไส้แทนหญิงทั้งสอง ในระหว่างที่อยู่บนบันไดนี้ต่างคนต่างต้องช่วยตัวเอง ถ้าผู้อื่นพยายามช่วยกลับจะเป็นการเกะกะแก่การยึดเหนี่ยวและการก้าวเท้ายิ่งขึ้น บันลือหันหน้ากลับมาดูผู้ที่อยู่ข้างหลังเขาบ่อย ๆ และเตือนด้วยเสียงที่ช่วยให้ผู้ฟังใจชื้น “ใจเย็น ๆ อย่ามองลงไปดูข้างล่าง” ในใจเขาเองนั้นเขารู้สึกเช่นเดียวกับเจริญ ถ้าเจ้าหล่อนคนใดคนหนึ่งพลัดตกลงไป—เขาเกือบจะเสียใจที่มิได้คัดค้านความตั้งใจของหล่อนเสียแต่ต้นมือ

ราวเกือบครึ่งชั่วโมง มรกตจึงพ้นจากขั้นบันไดขึ้นยืนในทางแคบริมเขาได้เรียบร้อย ภรณีตามขึ้นมาในระยะติดกันแล้วยืนรอเจริญอยู่ครู่หนึ่ง มรกตสารภาพว่าขาของหล่อนสั่นเทา และต้องการที่นั่งเป็นอย่างยิ่ง เหงื่อออกชุ่มตามตัวหล่อน ภรณีไม่ปริปากว่ากระไร แต่บันลือเห็นว่าผิวหน้าของหล่อนแดงดังผลตำลึงสุก

ทางต่อไปเป็นทางแคบเฉพาะตัวคน และโค้งไปตามริมเขา ทั้งมิใช่ทางร่มรื่นดังทางเบื้องล่าง พ้นจากนั้นไปเป็นทาง​ชันจัด เกือบจะเรียกได้ว่าตั้งสูง เหลือความสามารถที่หญิงผู้เคยเดินแต่บนถนนในเมืองจะยันเท้าและทรงตัวไว้ได้ มรกตร้องเรียก “พี่ปุ๊” เสียงขรม แล้วคว้าแขนเขาไว้มั่นในทันที เขาเหลียวมาดูหล่อน เขาต้องนำตัวของเขาออกนอกทาง เพื่อจะจูงหล่อนให้เดินเคียงไปกับเขา จูงคนหนึ่งอยู่แล้วใจก็เป็นห่วงอีกคนหนึ่งยิ่งนัก นึกชมความกล้าแข็งของเจ้าหล่อนผู้นั้น แต่ทั้งที่นึกชมและเชื่อความกล้าแข็งของหล่อน เขาทนความเป็นห่วงที่วาบ ๆ อยู่ในใจไม่ได้นาน ก็หันไปกล่าวแก่เพื่อนว่า

“เจริญ ช่วยน้องสาวแกหน่อยซี ทางตรงนี้ไว้ใจไม่ได้ ลื่นเหลือเกิน นี่ค่าที่ฝนตกมากน่ะเอง แต่ก่อนไม่เคยลื่นมากอย่างนี้”

เดินบ้างหยุดบ้าง บ่นไปบ้างคุยไปบ้าง บางคราวก็ลื่นไถลจวน ๆ จะล้ม ก็อุทานแสดงความตกใจไปบ้าง ทั้งชายทั้งหญิงมีเหงื่อชุ่มโชกไปด้วยกัน แต่ทั้งที่เหนื่อยแสนเหนื่อย กลัวแสนกลัว ไม่รู้ว่าเท้าของตนจะพลิกแพลงเอากับตนเมื่อไร ทั้งมรกตและภรณีไม่แสดงความรู้สึกให้ออกนอกหน้า คนหนึ่งเกาะอยู่กับพี่ชาย มีความเบิกบาน เพราะได้เขาเป็นผู้คุ้มครองและเชื่อมั่นในความคุ้มครองของเขา คนหนึ่งทิษฐิมานะแรงกล้า แม้มี​ผู้เตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ก็แสดงว่าตัวเป็นผู้ไม่ต้องการความช่วยเหลือของใคร

๕๕ นาทีเต็มเขาพากันมาถึงที่หมาย เป็นลานกว้างริมลูกเขาอันสูง พื้นที่ประกอบด้วยหิน ดินทราย และมูลค้างคาวที่ทับถมกันอยู่นานจนกลายเป็นดินชั้น ๆ จะหาต้นไม้เป็นที่พักร้อนแม้แต่สักต้นก็ไม่มี มรกตแสดงความประหลาดใจ เมื่อไม่เห็นสิ่งประหลาดชวนดูแม้แต่สักสิ่งเดียว บันลือหัวเราะแล้วตอบว่า

“ก็พี่บอกตั้งแต่เมื่ออยู่บ้านแล้วว่า ไม่มีอะไรน่าดู ว่าถึงประหลาดทำไมจะไม่ประหลาด มีคนกี่คนเคยเห็นถ้ำค้างคาวใหญ่ ๆ ถึงกับมีขี้ให้ขนปีละหลาย ๆ สิบลำเรือ”

“แล้วปากถ้ำอยู่ที่ไหนล่ะคะ ? เราเข้าไปได้ไหม ?”

เขาตอบพร้อมกับหัวเราะอีก “ไอ้เนินสูงทั้งลูกนี่แหละคือตัวถ้ำ ปากถ้ำอยู่ตรงนี้ พอเลี้ยวไปก็เห็น แต่เราต้องหยุดอยู่จนหายหอบเสียก่อน ถ้าไม่ยังงั้นจะสำลักตาย มันเหม็นเหลือที่จะทนทาน เพราะยังงั้นไอ้เรื่องที่จะเข้าไปในถ้ำน่ะออกสงสัย”

“อ้อ ไอ้ขี้ค้างคาวกองโต ๆ ที่บ้านแกน่ะ เอาไปจากที่นี่เองสิ !” เจริญถาม

บันลือพยักหน้า แล้วเขาอธิบายถึงวิธีที่คนงานเข้าไปขุดและขนมูลค้างคาวในถ้ำ มีโคมให้ความสว่างและเครื่องมือใน​การขุดการขน คนงานคนหนึ่ง ๆ จะทนอยู่ในถ้ำนานกว่า ๑ ชั่วโมง หาได้ไม่ “รางที่เขาเทมันลงไปข้างล่างอยู่ตรงนั้น” เขาบอกในตอนท้าย และชวนให้ผู้ฟังเดินไปดู

ต่อจากนั้นเขาอธิบายการขนส่ง เมื่อมูลค้างคาวได้ถูกเทลงไปรวมอยู่ที่เชิงเขาแล้ว ใช้เกวียนหรือรถยนต์บรรทุกต่อไปโดยระยะทาง ๓๗ กิโลเมตร แล้วจึงถ่ายลงเรือ ล่องลงไปยังพระนคร

“เอ เราออกจากราชการแล้วมาถางป่าแถวนี้ทำไร่มั่งท่าจะดี” เจริญกล่าว ใช้มือป้องหน้ามองดูภูมิประเทศเบื้องต่ำโดยรอบ

“ฮะ ฮะ!” บันลือว่า “นี่แปลว่านายจะยอมเรียกฉันว่าพ่อยังงั้นรึ ?”

เจริญหันมามองดูด้วยความสงสัย ครั้นนึกขึ้นได้ก็หัวเราะแล้วตอบว่า

“เออน่า อย่าเพิ่งคุยโตไป ว่ากันไว้สามปีไม่ใช่รึ ? ให้มันสามเสียก่อนซี”

“ก็แน่ละ แต่การที่นายเกิดจะอยากมาเป็นชาวไร่ แถบนี้ ก็เพราะนายเกิดเชื่อขึ้นมาแล้วว่า งานของฉันมันจะเจริญได้ใช่ไหมล่ะ ?”

​“เฮ้ย มันสำคัญที่แม่ย่านางหรอกเพื่อน แม่ย่านางดีอยู่ที่ไหนอยู่ด้วยกันได้ ทำไมงานจะไม่เจริญ”

บันลือยกมือขึ้นแตะหมวก กล่าวว่า “ยอมให้” แล้วก็ยิ้มและหันไปดูภรณี แต่เจ้าหล่อนหันหลังให้เขา กำลังพูดอยู่กับมรกต

บันลือเห็นว่าทุกคนหายใจเป็นปกติดีแล้ว จึงชวนให้เดินต่อไป เลี้ยวจากที่โค้งตอนหนึ่งมองเห็นลานใหญ่เป็นแห่งที่สองตามริมนอกแห่งลาน มีรั้วไม้กั้นอยู่โดยรอบ คนงานหน้าซูบซีดมองเห็นผิวเป็นสีเหลืองแกมเขียว นั่งและยืนอยู่หลายคน เดินใกล้เข้าไปอีก มรกตสะดุ้งทำท่าจะสำลักจริงดังที่บันลือบอกล่วงหน้าไว้ หล่อนหันหลังกลับและวิ่งออกไปทางเก่า คนงานเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ เจริญแข็งใจเดินเข้าไปจนใกล้ปากถ้ำ และพยายามก้มมองฝ่าความมืดเข้าไปภายใน ภรณีหยุดยืนอยู่ในที่ต้นทางนั้นเอง บันลือหยุดยืนอยู่กับหล่อน มีความรู้สึกคล้ายกับว่า นี่เป็นครั้งแรกระหว่างเวลา ๔๘ ชั่วโมงมานี้ที่เขากับหล่อนได้พบกัน แต่สถานที่อันหาความสบายมิได้ และแม้แต่อากาศบริสุทธิ์ก็ไม่มีพอที่จะให้เขากับหล่อนหายใจ ทำให้เขาสิ้นความคิดที่จะปราศรัยกับหล่อน

 

49

๒๗



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ถึงความมั่งคั่ง แล้วตั้งอยู่นานไม่ได้ ย่อมเป็นเพราะสถานใด สถานหนึ่งใน ๔ สถาน คือ ๑. ไม่หาของที่หาย ๒. ไม่ซ่อมแซมของเก่า ๓. ไม่รู้จักประมาณการบริโภค ๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลเป็นแม่เรือนหรือพ่อเรือน

 


อีกสามวันต่อมา ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมด้วยภรณีและแขกผู้มาพักอยู่ด้วยทั้งสามคน บันลือได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งเขาฉีกออกอ่านแล้วมองดูกระดาษแผ่นนั้นนิ่งอยู่นาน ภายหลังอาการยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นในสีหน้าของเขา เขาพับโทรเลขใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง

โทรเลขนั้นส่งในนามของมุกดา แจ้งว่าหล่อนจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ จำนวนผู้ที่จะมาเป็นผู้ใหญ่ ๕ เด็ก ๒ บันลือยิ้มเพราะนึกขันตัวเอง ในข้อที่ไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดเขาจึงเขียนจดหมายไปป่าวร้องเชื้อเชิญพี่น้อง ​ในเมื่อเขาเองก็เพิ่งจะได้ละจากพี่น้องมาเมื่อไม่กี่วันนี้ และยังมิทันจะได้นึกอยากพบปะกับพี่น้องอีก หรือต้องการความครึกครื้นจอแจมาเปลี่ยนอารมณ์แต่อย่างใดเลย

ที่จริงเขารู้ดีว่าสิ่งใดเป็นเหตุให้เขาเขียนจดหมายถึงมุกดา เมื่อ ๒–๓ วันที่แล้ว ส่องสีคือตัวเหตุสำคัญ ข้อที่บันลือไม่เข้าใจ คือความตื่นเต้นของตัวเองในการมาของส่องสี จนถึงกับตกใจเที่ยววิ่งวุ่นร้องขอความคุ้มครองจากคนทั้งหลาย สมองของเขาฟั่นเฟือนไปเสียแล้วหรือ—หรือว่าจิตใจของเขาวิปลาศไปอย่างใด ?

มองดูส่องสีแล้วมองต่อไปยังภรณี เจ้าหล่อนทั้งสองจำเพาะจะนั่งคู่กันระหว่างมุมโต๊ะคั่น—ถูกละ ส่องสีทำให้เขาตกใจจนต้องการความคุ้มครองจากคนอื่น แต่ว่าคุ้มครองในแง่ไหน คุ้มครองบันลือให้พ้นภัยที่จะเกิดจากการพบปะอย่างใกล้ชิดกับส่องสีกระนั้นหรือ ? หามิได้เลย บันลือรู้ดีว่าไม่มีอำนาจใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางดีหรือทางชั่ว จะชักจูงให้เขาอภิรมย์ยินดีด้วยส่องสีได้อีก ความปรารถนาของเขาในความคุ้มครองของผู้อื่นนั้น เกิดจากความต้องการที่จะป้องกันความเข้าใจผิดของ—ของผู้ที่ยังรู้จักเขาไม่ดีพอ

​แต่หลังจากที่ได้อยู่ใกล้ส่องสีมาแล้ว ๕ วัน เขามองเห็นว่าความตื่นของตัวเข้าลักษณะที่เรียกว่าตื่นไปเองโดยไม่มีมูล มองดูส่องสีให้ทั่วทั้งร่างกาย แล้วเฝ้ามองต่อไปทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว แล้วเฝ้าฟังคำพูดของหล่อนทุกคำ จะหาสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเป็นเรื่องเป็นราวสักนิดก็ไม่มี คนเช่นนี้หรือจะเป็นภัยหรือเป็นประโยชน์แก่ใครได้ ? วิสัยคนธรรมดา จิตใจฝักใฝ่ไปในทางดี แต่อดที่จะมีส่วนชั่วปนอยู่มิได้ ทั้งการกระทำและคำพูดย่อมมีแก่นสารไปในทางที่ปนชั่ว ชั่วปนดี เป็นเครื่องสังเกตแก่ผู้ที่ได้พบเห็น คนพาลจิตใจฝักใฝ่ไปในทางเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว การกระทำเป็นไปในทางเบียดเบียน และคำพูดส่อไปในทางให้ร้าย ก็ยังมีร่องมีรอยให้ผู้เห็นผู้ฟัง จับเหตุจับผลอันเป็นแก่นสารในทางชั่วได้ แต่ส่องสีนี้ การกระทำของหล่อน คำพูดของหล่อน แม้บันลือจะได้คิดแล้วคิดอีก ตรองแล้วตรองอีก สังเกตแล้วสังเกตอีก ก็ไม่พบความหมายเป็นแก่นสารไปในทางใดเลย

เป็นไปได้หรือที่หญิงคนนี้ได้เคยเป็นสื่อแห่งความรักถึงขีดลุ่มหลงให้แก่เขา แล้วก็ได้เคยเป็นสื่อแห่งความโกรธถึงขีดพยาบาท ความเกลียดถึงขีดมุ่งร้ายให้แก่เขาด้วย ! อะไรทำให้​เขารักหล่อน เขารักหล่อนด้วยอะไร ? ถูกละ ถ้าผู้ใดกล่าวว่าส่องสีเป็นคนไม่สวย ผู้นั้นจะถูกหาว่าลำเอียงเพราะความเกลียด แต่ความสวยของส่องสีที่บันลือเห็นอยู่บัดนี้ มีลักษณะคล้ายดอกไม้ที่เหี่ยวเพราะถูกแดดเผาเสียก่อนที่จะได้บานเต็มที่ กิริยาของหล่อนประเปรียว ว่องไว แต่มีลักษณะรีบร้อนคล้ายผู้ที่จะรีบทำให้เสร็จ หรือรีบเร่งจะไปไหนเป็นพัก ๆ พ้นจากนั้นแล้วก็มีอาการอืดเกียจคร้าน แม้แต่จะกระดิกนิ้วกระดิกมือ มองดูหล่อนหยิบส้มโอใส่ปากและกัดเคี้ยวทีละน้อย ๆ เขารู้สึกคล้ายกับว่า ๆ กำลังมองดูหนูแทะแตงกวา ดวงตาของหล่อนไม่เคยอยู่นิ่ง มองส่ายไปทางนั้นมาทางนี้ ก็คล้ายกับตาของหนูที่คอยระวังอาหาร กลัวจะถูกสัตว์อื่นมาแย่งชิงเอาไปต่อหน้า เมื่อหล่อนใช้มือจับสิ่งของ เขารู้สึกว่าเขาเห็นหล่อนมีนิ้วมากกว่าคนธรรมดา ดูยุ่มย่ามอยู่ตามของที่หล่อนจับ นี่เห็นจะเป็นที่หล่อนไว้เล็บยาวมาก และทาไว้เป็นสีแดงเข้ม จนข่มสีอื่นตามอวัยวะต่าง ๆ ของหล่อนเสียสิ้น ลักษณะทั่วไปของหล่อนเป็นเช่นที่เป็นอยู่บัดนี้แต่ไหนแต่ไรมา หรือว่าเพิ่งจะเป็นก็เผอิญเขาได้เห็น?

หล่อนกำลังคุยไม่หยุดปากอยู่กับเจริญและจิตรา ถึงสมัยที่หล่อนอยู่ในต่างประเทศกับบิดามารดาของหล่อน ซึ่งเป็นสมัย​ที่จิตราได้ทำความรู้จักกับหล่อนเป็นครั้งแรก บันลือฟังพลางมองดูหล่อนอย่างเพลิน ในบางคราวเขาเป็นผู้ที่อาจจะเพลินในสิ่งที่ขัดตาได้เท่า ๆ กับเพลินในสิ่งที่เจริญตา ความรู้สึกที่เกิดแก่เขาในระหว่างความเพลินทั้งสองสถานนี้ แตกต่างกันในลักษณะที่เป็นความรังเกียจ สังเวช หรือเป็นความรื่นรมย์ยินดี

เขาได้ยินเจริญพูดกับภรณีเบา ๆ ในที่ไม่ต้องการแข่งเสียงกับผู้ที่พูดอยู่แล้ว เขามองไปยังภรณี เห็นหล่อนยิ้มกับเจริญแล้วเหยียดแขนออกเล็กน้อย เพื่อเอื้อมหยิบเกลือให้แก่เขาผู้นี้ ช้อนตักเกลือนั้นเล็กนิดตามธรรมดาของช้อนตักเกลือทั้งหลาย แต่เมื่ออยู่ระหว่างนิ้วมือภรณี ก็หาทำให้เห็นว่าขนาดของช้อนเล็กเกินขนาดมือของภรณีไม่ บันลือเคยสังเกตมาหลายครั้ง ภรณีมีวิธีจับของทั้งเล็กและใหญ่ให้เห็นว่าขนาดและน้ำหนักแห่งของพอเหมาะกับขนาดและกำลังแห่งมือหล่อนเสมอ เขาไม่เคยเห็นหล่อนมีท่าว่าเกร็งข้อ หรือเบ่งกล้ามเนื้อ หรือตึงเส้นเอ็นส่วนหนึ่งส่วนใดเลย

“วันนี้ไปเที่ยวอำเภอให้ได้นะ บันลือ” เสียงส่องสีพูดขึ้น

​เขามองกลับมายังหล่อน และตอบอย่างอารมณ์ดี

“ได้ แต่ประเดี๋ยวคุณก็หลับเสียจนเย็นเหมือนเมื่อวานนี้ คนอื่นก็พลอยเตรียมตัวค้างไปด้วย”

“ไม่หลับ วันนี้ไม่หลับ” ส่องสีตอบอย่างยืนยัน แล้วหัวเราะคิก ๆ เมื่อพูดต่อไป “เมื่อวานก็ไม่ได้หลับจนเย็น ตื่นขึ้นทีหนึ่งแล้ว แล้วนึกขึ้นมาว่าไม่รู้จะทำอะไรเลยหลับต่อไปอีก”

ภรณีพูดขึ้นว่า “ขอรับประทานโทษ” แล้วลุกจากเก้าอี้ เดินไปที่ริมระเบียงเรือน ชายชาวพื้นเมืองคนหนึ่งเดินมาถึงตรงนั้น มือซ้ายจับชายโสร่งโจงไว้ มือขวาถือตะกร้าใบใหญ่

ส่องสีมองตามภรณี “อะไรนั่น บันลือ ยางคู่ของเธอจะไปไหน ? เอ๊ะ นั่นตะกร้าอะไร ? ฮึอะไรน่ะ พี่จิตร ? เอ๊ะ ตะกร้าอะไร ?”

ความกระตือรือร้นของส่องสีทำให้เจริญกับจิตราต้องเหลียวไปทางที่ภรณียืนอยู่ด้วย แต่บันลือรู้ว่าไม่มีสิ่งที่น่าทึ่งน่าพิศวงอย่างใดเกิดขึ้นเลย ความสอดรู้สอดเห็นอย่างแรงกล้าจนเกินส่วนที่มีประจำอยู่ในสันดานมนุษย์ธรรมดา เป็นนิสัยอันหนึ่งของส่องสี เมื่อหล่อนอยากรู้อยากเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา หล่อนทำ​อาการเสมือนกับว่า ความเป็นความตายของหล่อนขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น เขาให้คำตอบแก่หล่อนโดยสุภาพ ทั้งที่สมองของเขากำลังรำพึงถึงเดรัจฉานวิสัย เกี่ยวด้วยสัญชาตญาณ ความสอดรู้สอดเห็นอันเป็นอาการแสดงออกส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณความรักตัว วิสัยสัตว์มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาตัวจากภัยอันเกิดแก่สัตว์ด้วยกัน จึงต้องมีความระแวดระวังสังเกตความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไม่ว่ามากว่าน้อยเป็นเครื่องช่วยตัวมนุษย์ซึ่งยังไม่ไกลจากเดรัจฉานวิสัย ก็มักจะมีความระแวดระวังอย่างมากตกค้างอยู่ในสันดาน แต่การแสดงออกของสัญชาตญาณความระวังตัวกลัวภัยนี้ มนุษย์ด้วยกันพากันเรียกว่าความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็มีความเข้าใจจำกัดอยู่ภายในขอบเขตแห่งความหมายของคำนั้นเอง

“เขาเอาไข่มาส่ง” เป็นคำอธิบายที่เขาให้แก่ส่องสี ส่วนชายผู้ถือตะกร้าไข่ มองมาเห็นเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียง

“ไอ้แดงหงอนของพ่อคุณท่ามันเพลีย วานนี้มันงึมไปชั่ววัน”

บันลือหันไปยิ้มรับคำพูดนั้น แล้วก็ลุกขึ้นจากที่เดินเข้าไปหาผู้พูด “หมั่นให้ยามันหน่อยซี” เขากล่าวเมื่อไปถึงริมระเบียงแล้ว

​“ไอ้หน่อยก็ไข้ชั่ววัน วานนี้ตัวมันอึ้ด นอนงึม เช้านี่ค่อยถอย ได้ยาแม่คุณ ตัวมันค่อยเยียบ”

“พ่อลุงกลับไปนี่ละก็ ให้เสียอีกเม็ดหนึ่งนะ” ภรณีสั่ง “แล้วให้นอนนิ่ง ๆ อย่าให้ถูกเยียบถูกอึ้ด แดดก็ถูกไม่ได้ ลมก็ถูกไม่ได้เข้าใจไหม ?” แล้วหล่อนสั่งต่อไป ให้เขานำตะกร้าไข่ไปที่เรือนครัว

ชายนั้นเดินห่างเจ้าของบ้านไป แล้วก็ปล่อยชายโสร่งที่เขาโจงไว้ให้ตกลงมากรอมขาตามเดิม บันลือควักโทรเลขจากกระเป๋าส่งให้ภรณี

เขายืนนิ่งดูหล่อนอ่านโทรเลข รู้สึกว่าหล่อนใช้เวลานานมาก ครั้นแล้วก็พับกระดาษแผ่นนั้นส่งคืนให้เขาโดยไม่พูดว่ากระไร ทั้งสีหน้าของหล่อนก็เฉย คล้ายกับไม่มีความรู้สึกอันใดเลย หมู่นี้ภรณีออกจะใช้สีหน้าเฉยเช่นนี้ทุกเวลาที่หล่อนพูดกับเขา หรือที่เขาพูดกับหล่อน ความสะดุดใจในข้อนี้ ทำให้บันลือเกิดโมโหมาหลายครั้งแล้ว แต่มิใช่โมโหอันเกิดจากความโกรธ ความแค้น และความชิงชัง เป็นโมโหอันเกิดจากความสนเท่ห์ งงงวย ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ จึงไม่เป็นโมโหที่ก่อให้เกิดมีการกระทำเพื่อตอบแทน ตรงกันข้าม บันลือโมโหเพราะความเฉย​ของภรณีมากเท่าใด ก็เกิดความใคร่ที่จะทำให้ภรณีพูดกับตัวด้วยลักษณะที่หล่อนพูดกับคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น

บัดนี้ หล่อนละจากเขากลับไปนั่งที่โต๊ะ แล้วในทันใดนั้นเอง ก็ยิ้มตอบคำพูดของเจริญที่พูดว่า

“ขอลาไปนอน ยิ่งอิ่มเข้าไปด้วย ลืมตาจะไม่ขึ้นเสียให้ได้”

ทั้งนี้เพราะในตอนกลางคืน เจริญได้เข้าป่าไปกับบันลือ พร้อมด้วยนายพรานชาวพื้นเมือง และผู้ชำนาญป่าอีกหลายคน พึ่งจะกลับมาถึงที่พักเมื่อแดดแข็งแล้ว กวาง ๑ ตัว อีเก้ง ๑ ตัว ที่เขาช่วยกันยิงมาได้ ทำให้เจริญร่าเริงมากตลอดเวลาสายจนถึงกลางวัน

“เราก็ควรจะนอนนะ ภร” จิตราว่า “เพราะเมื่อคืนเรานอนไม่เต็มอิ่ม อดเป็นห่วงไม่ได้ ตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ เผอิญตื่นพร้อมกันเสียด้วย เลยนอนคุยกันเสียเป็นนาน กว่าจะได้หลับอีกสักตีห้าได้ไหม ?”

“แล้วตอนเช้าพี่จิตรตื่นสายกว่าฉันเป็นไหน ๆ” ส่องสีกล่าว “ฉันตื่นขึ้นมาไม่พบใครสักคน เที่ยวเดินเบื่อแทบตาย”

​จิตรารำคาญคำว่าเบื่อของส่องสีมาหลายครั้งแล้วครั้งนี้หล่อนจึงว่า

“ส่องสีน่ะ รู้สึกว่าอยู่ในโลกโดยความเบื่อใช่ไหม ? เห็นแต่บ่นว่าเมื่อวันละหลายหน”

“ก็มันเบื่อจริง ๆ นี่นา” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ “ตื่นขึ้นหาคนจะพูดด้วยก็ไม่มี”

“พี่น่ะตรงกันข้าม” จิตราหันมาทางภรณี “หาเวลาเบื่อยังไม่ได้ มาถึงนี่ดูอะไร ๆ มันสบายไปหมด กินสบาย นอนสบาย นั่งเฉย ๆ ก็สบาย ถ้าไม่เกรงใจว่าหนุ่มสาวเขาแต่งงานกันใหม่ ๆ จะอยู่เสียสักสามเดือน”

“ใครแต่งงานใหม่ พี่จิตร ?” ส่องสีถาม

จิตราหัวเราะแล้วว่า

“ก็เจ้าของบ้านนี้น่ะซี เขาแต่งงานกันไม่ทันกี่วันเราก็มากวนแล้ว ที่จริงจะนับว่าเขากำลังอยู่ในระหว่างฮันนีมูนก็ได้”

“อะไรกัน !” ส่องสีอุทาน “เขาแต่งงานกันมาตั้งสามเดือนแล้วไม่ใช่หรือ ? นานพอที่จะเบื่อหน้ากันแล้วละเมื่อคราวฉันยังไง พอจวนจะครบสี่เดือนก็หย่ากันพอดี”

จิตราอึ้งไปเพราะความรำคาญ ที่กำเริบขึ้นมากลายเป็นความเบื่อหน่ายชิงชัง บันลือหัวเราะดังมาจากที่ ๆ เขายืนอยู่แล้วพูดว่า

​“คุณส่องสีชอบเอาตัวของเธอไปเที่ยวเปรียบกับใคร ๆ ทั่วไป ผมบอกให้ก็ไม่เชื่อ คุณน่ะเป็นมนุษย์ตัวอย่าง หาใครเหมือนอีกเป็นไม่มีแล้ว”

“ขอบใจ” ฝ่ายเจ้าหล่อนตอบด้วยเสียงอันแหลม “ฉันก็ไม่ชอบเหมือนใครในโลก”

“ภร” จิตราเอ่ยขึ้นในทันทีนั้น เพื่อระงับความอึดอัดของตัวเอง “ไปเล่นเปียโนให้พี่ฟังหน่อยเถอะ อากาศสบายอย่างนี้ เผื่อได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ละก็วิเศษเป็นไม่มีอะไรสู้เทียว”

ดูเหมือนภรณีจะเพลินอยู่กับการจัดสิ่งของที่ยังวางอยู่บนโต๊ะจนไม่ได้ยินคำพูดใด ๆ จิตราจึงพูดซ้ำอีก

“แหม ก็มือแค่ดิฉัน เพลงมันจะเพราะได้ยังไงล่ะคะ” ภรณีกล่าว สายตายังจับอยู่ที่โต๊ะและผิวหน้ากำลังเป็นสีแดงเรื่อ ๆ

“ทำไม เซเรเนด๑ ของ ชูเบอร์ต๒ ที่เธอเล่นเมื่อวานนี้น่ะ เพราะดีออก แล้วก็เพลงชุดของสเตร๊าส์๓ เธอก็เล่นได้ออกดี ไปไป๊ อย่าให้เสียอ้อนวอน”

​สีหน้าภรณีแดงจัดยิ่งขึ้น และรู้สึกว่านิ้วมือก็เริ่มสั่นเสียก่อนที่ตาจะได้มองเห็นเปียโน เมื่อวานนี้กับวันนี้ต่างกันมาก เพราะเมื่อวานนี้มีแต่จิตรากับส่องสีเป็นผู้ฟังและภรณีมีความทะนงที่จะแสดงความสามารถของตนเพื่อข่มการแสดงของส่องสีให้ราบคาบประจักษ์แก่ความคิดของจิตรา แต่วันนี้—อย่างไรก็ตาม หล่อนไม่อาจขัดคำขอร้องของจิตราได้ หลังจากที่คำขอร้องนั้นกลายเป็นคำวิงวอนและมีทีท่าจะกลายเป็นคำตัดพ้อ

หล่อนเดินไปเรียกคนใช้มาเก็บของที่โต๊ะอาหาร แล้วหล่อนเองก็เข้าในห้องของหล่อน

“บันลือ” ส่องสีเรียก “มานั่งที่นี่เถอะนะ ไปยืนอยู่ทำไม”

เมื่อเขาเดินมาใกล้จะถึงที่นั่งส่องสีก็พูดว่า “ที่บ้านเธอนี่น่ะมันขาดอะไรไปอย่างหนึ่งเธอรู้ไหม ? เก้าอี้ ไอ้เก้าอี้พวกนี้มันดีแต่สำหรับเวลากินข้าวเท่านั้นเอง”

“ก็ผมไม่เคยขาด ไม่เคยคิดว่าจะมีแขกชั้นสูงอย่างคุณ” เจ้าของบ้านตอบเรียบ ๆ “บ้านไร่บ้านป่าก็จำเป็นต้องขาด ๆ เหลือ ๆ อย่างนี้เอง”

“สั่งเอามาไว้สักชุดเถอะน่ะ แบบสวย ๆ ใหม่ ๆ มีถมไป ฉันซื้อไปไว้ที่บ้านเมื่อสองเดือนมานี่เองหกตัวด้วยกัน บ้าน​หัวเมืองนะไม่ใช่บ้านกรุงเทพฯ” แล้วส่องสีก็อธิบายลักษณะเก้าอี้ที่หล่อนซื้อใหม่อย่างยืดยาว พร้อมกับบอกชื่อห้างที่ขายเก้าอี้นั้นด้วย

ระหว่างนี้เสียงเพลงที่ดังขึ้นจากเปียโนก้องกังวานอยู่ครู่หนึ่งแล้ว จิตราทำท่าสงบอารมณ์ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง และพอใจที่ได้ทำดังนั้น เพื่อจะไม่ต้องเอาใจใส่กับคำพูดของส่องสี ส่วนบันลือมีความสนใจมากในเสียงเพลง แต่ต้องรักษากิริยาให้เป็นทีว่าเอาใจใส่ฟังส่องสีพูด จนกระทั่งส่องสีเองรู้สึกเบื่อที่ต้องส่งเสียงแข่งกับเสียงเพลงก็หยุดพูด ครั้นแล้วหลังจากที่ได้นั่งนิ่งอยู่ ๓–๔ นาทีหล่อนก็หาวหลายครั้งในที่สุดก็ลุกจากที่นั่งโดยไม่พูดจาว่ากระไร แล้วหายเงียบเข้าไปในห้องที่พักของหล่อน

จิตราหันมามองดูบันลือ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “หวังใจว่าจะนอนหลับเค้เก้ไม่ออกมาพูดกวนหูมนุษย์อีก”

“สัตว์ประหลาด” เขาตอบพร้อมกับส่ายหน้า

“แล้วยังไง ? ตราบเท่าที่แม่เทวดานี้ยังไม่กลับ ฉันก็จะต้องอยู่เป็น—เป็นอะไร ? จริงนะ ฉันก็ยังไม่รู้ว่าอยู่สำหรับเป็นอะไร ?”

“เป็นเพื่อน” บันลือตอบด้วยเสียงหนักและอ่อนโยน พร้อมกันนั้นเขาสอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกง ด้วยนึกจะหยิบ​โทรเลขให้จิตราดู แต่ครั้นแล้วก็กลับชักมือออกและพูดว่า “ก็ไหนคุณว่าอยู่ที่นี่สบาย อยากจะอยู่สักสามเดือน ถ้าไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน ?”

“นั่นมันส่วนความอยากความสบาย แต่ความเบื่อมันก็มีเหมือนกัน บอกตรง ๆ ฉันเบื่อส่องสีจวน ๆ จะทนไม่ได้อยู่แล้ว” จิตราส่ายหน้าประกอบคำพูด แล้วปรารภ “ภรแกรู้สึกยังไงมั่งนะ ? แหม แกช่างซ่อนความรู้สึกเก่งพิลึก อ่านอะไรของแกไม่ออกเลย”

บันลือมองดูผู้พูดด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับใช้ความคิดอย่างเพ่งเล็ง ภรณีมิได้แสดงความรู้สึกอย่างใดให้จิตรารู้ นี่จะแปลว่าภรณีไม่มีความรู้สึกอย่างใดเลยหรือจะแปลว่าภรณีเป็นผู้เชี่ยวชาญในการซ่อนความรู้สึกอย่างเอกอุ ? สีหน้าเฉยของหล่อนที่กวนเส้นประสาทเขาบ่อย ๆ นั้นมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าหาความหมายอันใดมิได้เลย ? ฟังเสียงเพลงที่หล่อนทำให้กังวานอยู่ในหูของเขาบัดนี้ เขานึกอยากจะเห็นสีหน้าและท่าทางของหล่อน—ที่จริง เขานึกอยากเห็นหล่อนเมื่อใดเขาก็เห็นหล่อนได้เมื่อนั้น โดยไม่พักต้องอาศัยสายตา ทั้งรูปร่างท่วงทีสีหน้ารวมทั้งสิ่งอื่น ๆ ที่ประกอบกันเป็นตัว​หล่อน อยู่ในความจำของเขาอย่างแม่นยำถนัดชัดเจน สิ่งเดียวที่เขานึกไม่ออก ตรองไม่เห็น เดาไม่ได้คือจิตใจของหล่อน เผอิญเขาก็สนใจในสิ่งนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมด เมื่อไร และโดยวิธีใด เขาจึงจะทำสิ่งนี้ให้พ้นจากลักษณะเป็นความลับสำหรับเขาได้

“ความอยากได้หน้าของฉันน่ะ มันไม่พอกับความรำคาญของฉันดอกนะ บันลือ” จิตราพูดสืบไป “แล้วเธอกับเจริญน่ะ เอาเปรียบฉันข้างเดียว เช้าขึ้นก็ออกเที่ยวเข้าป่าเข้าดงไปไหนไม่รู้วันยังค่ำ ๆ ส่วนฉันต้องนั่งฟังคนบ้าพูดบ้า ๆ อะไรอยู่คนเดียว”

“โถ !” เขาตอบอย่างอ่อนหวาน “เป็นพระเดชพระคุณอย่างที่สุด ผมเห็นใจคุณจริง ๆ ยังไม่เคยคิดสักอึดใจเดียวว่าคุณมาช่วยแก้ความขัดข้องให้ผมเพราะอยากได้หน้า คราวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ๆ ถ้าจะว่ามาเพราะความอ่อนแอละก็อาจเป็นได้ คนเราบางคนมีความอ่อนแออย่างประหลาด ผมคนหนึ่งละอ่อนแอพิลึก บางเวลาผมต้องช่วยใคร ๆ เพราะว่าถ้าไม่ช่วยกลัวเขาจะนินทาว่าใจดำ” แล้วบันลือก็หัวเราะ

​มองเห็นความเคืองปรากฏในสีหน้าจิตรา บันลือก็เอื้อมมือไปจับมือหล่อนบีบพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขันยิ่งขึ้น และพูดว่า

“อกตัญญูจริงนะบันลือนี่ !” เขาเปลี่ยนเสียง “เพราะรักดอกจึงหยอกเล่น ย่อมเป็นประเพณีเสน่หา—อย่าโกรธเล้ยคนสวย”

จิตราชักแขนของหล่อนให้พ้นจากมือเขา เมินหน้าพร้อมกับพูดว่า “เกลียด ไม่อยากพูดด้วย”

ขอร้อง “โธ่ !” เบา ๆ และก็ไม่พูดอะไรอีก

เสียงเพลงอันเป็นทำนองปลุกความร่าเริง ทำให้เขาเห็นสีหน้าหัวเราะของภรณี หล่อนหัวเราะบ่อยครั้งอยู่ในหมู่ ๒–๓ วันนี้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าหล่อนหัวเราะด้วยความร่าเริงอย่างแท้จริง หรือหัวเราะเพราะรู้สึกขันชั่วครู่ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม บันลือสังเกตเห็นว่า คำพูดของเขาไม่ว่าจะขบขันหรือคมคายเพียงใด ไม่เคยทำให้ภรณีหัวเราะได้เลย แต่คำพูดของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เจริญพูด เป็นเหตุให้ภรณีหัวเราะ ก่อนที่คนอื่นจะมองเห็นแง่ขันเสียด้วยซ้ำ

บันลือสังเกตเห็นอีกว่า ภรณีกับเจริญมีโอกาสนั่งคุยกันในที่ห่างจากคนอื่นคราวละนาน ๆ บ่อย ๆ เป็นเหตุให้เกิดความ​สงสัยว่าบุคคลทั้งสองนี้ เคยรักใคร่สนิทสนมกันมานานเพียงใด ยิ่งกว่านั้นความเพลิดเพลินที่ปรากฏเป็นอาการแห่งบุคคลทั้งสองในระหว่างที่เขาสนทนากัน เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยว่าเจริญมีลักษณะอย่างใดอยู่ในตัวจึงเป็นที่ถูกใจภรณีมากนัก

แท้จริงในเรื่องความชอบพอระหว่างเจริญกับภรณีนี้ ภรณีเป็นฝ่ายรับมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายให้ ไมตรีจิตที่เจริญมีต่อภรณีนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เจริญจะได้เห็นตัวภรณี ทั้งจิตราและภรณีจะประหลาดใจไม่น้อย ถ้าหล่อนรู้ว่าเจริญจำประวัติส่วนตัวของภรณีในบางตอนได้แม่นยำและละเอียดลออดีกว่าที่จิตราจำได้เสียอีก

จิตรารู้และจำได้ว่าภรณีเป็นลูกที่เกิดแต่มารดาที่มิได้แต่งงานกับบิดาของหล่อนตามประเพณีนิยม ถ้าจะกล่าวให้สั้นและง่ายโดยไม่กังวลถึงความเข้าใจของผู้ฟังและความรู้สึกของบุคคลสำคัญในเรื่อง ก็กล่าวได้ว่าเป็นลูกเมียน้อย ตั้งแต่เล็กทีเดียว จนกระทั่งถึงอายุที่ควรเล่าเรียน ภรณีอยู่กับมารดาและญาติทางมารดาของหล่อนและเพิ่งจะได้ทำความรู้จักกับบิดา เมื่อหล่อนเติบโตจนเกือบจะเป็นสาวแล้ว รายละเอียดนอกไปจากนี้จิตรารู้แล้วก็ลืมหาได้สนใจจำไว้ไม่ ส่วนเจริญสินอกจากจะจำรายละเอียดได้ถี่ถ้วนเท่าที่ภรรยาเคยเล่าให้ฟัง เขายังสามารถพิเคราะห์​เหตุการณ์และวิจารณ์รายละเอียดของเหตุการณ์ที่เขาจำไว้ได้ด้วย

ทั้งนี้ก็เพราะว่าประวัติการกำเนิด และบั้นต้นแห่งการเติบโตของภรณีคล้ายคลึงกับประวัติของเจริญเองมากที่สุดเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทุกชั่วคนและอาจจะเกิดต่อไปทุก ๆ ชั่วด้วย ญาติฝ่ายหนึ่งมียศ มีทรัพย์ มีความอารี ญาติอีกฝ่ายหนึ่งหลงใหลในยศในทรัพย์ ในความอารีของญาตินั้น แม้ลูกในอกก็ยกให้เขาไป เพราะหวังจะให้ลูกได้ความสุขจากส่วนแห่งยศแห่งทรัพย์ แห่งความอารีของเขาด้วย อีกหลายปีต่อมาลูกชายของฝ่ายผู้มีบุญทำหญิงที่บิดามารดารับฝากไว้จากญาติให้เป็นภรรยาของตน ครั้นแล้วก็ไม่มีการตบแต่งเชิดชูยกย่องออกหน้าลูกที่เกิดแต่พ่อหนุ่ม แม่สาว ที่ถือความพอใจของตนเป็นใหญ่กว่าความรู้สึกของบิดามารดาก็อยู่ในฐานะที่เรียกว่าเป็นลูกเมียน้อย หรืออย่างดีที่สุดก็เรียกว่าลูกเมียเดิม พ่อแม่ของเด็กที่มีกำเนิดเช่นนี้ บางคู่ก็เลิกร้างกันเสียตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์แม่ ส่วนปู่และย่ากับตา และยาย ก็กินแหนงแคลงใจกันแต่นั้นมา บางคราวถึงกับตัดความเป็นญาติ ขาดความเป็นมิตร มุ่งหน้าเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน

​เมื่อแรกรู้ความเจริญมีความรู้สึกมากในเรื่องกำเนิดอันไม่น่านิยมชมชื่นของเขา เขาจะเป็นชายที่มีปมด้อยขนาดใหญ่อยู่ในจิตใจ ซึ่งจะเป็นภัยส่วนหนึ่งแห่งความเจริญ ถ้าหากเขาไม่เผอิญเป็นผู้มีความเด่นบางประการอยู่ในตัว เช่นความเด่นในการเรียนเก่ง และความเด่นในการกีฬาเป็นเครื่องทดแทนความด้อยแห่งกำเนิด ถึงกระนั้นก็ดี เจริญไม่อาจยืนยันว่าตัวเป็นผู้ที่ไม่มีปมด้อยแฝงอยู่ในจิตไร้สำนึก เขาสงสัยว่ากรุณาจิตและมุทิตาจิตที่เขารู้สึกเป็นพิเศษ ต่อผู้มีกำเนิดอันคล้ายคลึงกับตัวเขาเป็นเครื่องแสดงออกของปมที่กล่าวแล้ว

เฉพาะภรณี หล่อนไม่เคยต้องผจญกับความน้อยหน้าต่อน้องซึ่งเกิดแต่ภรรยาแต่งของบิดา เพราะเมื่อมารดาของภรณีตั้งครรภ์ ความมีวาสนาแห่งญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายบิดาของภรณีก็กำลังเสื่อมลงอยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติกองใหญ่ละลายไปด้วยกรณีต่าง ๆ ซึ่งเจ้าของทรัพย์เองก็ไม่รู้ชัดว่าเกิดแต่เหตุใด หญิงผู้เป็นย่าของภรณีเกียจกันภรรยาคนแรกของลูกชาย มิให้ได้รับความยกย่องเป็นภรรยาที่ออกหน้า เพราะต้องการจะให้ลูกชายแต่งงานกับธิดาของผู้มั่งคั่งคนหนึ่งเพื่อจะใช้ความมั่งคั่งของหญิงนั้นฟื้นฟูฐานะแห่งครอบครัวของตน เหตุการณ์เป็นไปตามความปรารถนาแต่มิได้เป็นอยู่ยั่งยืน ความเสื่อมที่เกิดแล้วชะงัก​อยู่ชั่วคราว กลับเสื่อมทรุดลงไปอีกและบิดาของภรณีเป็นผู้มีสติปัญญาอยู่ในระดับอันค่อนข้างต่ำ การก้าวหน้าในทางราชการเป็นไปอย่างเฉื่อยช้า ฐานะส่วนรวมของครอบครัวนี้ก็ถอยลงมาจนเท่ากับฐานะแห่งญาติฝ่ายมารดาของภรณี และภรณีกลับเป็นผู้ที่มีโอกาสในการศึกษาดีกว่าน้อง ๆ ของหล่อน เพราะตาและยายของภรณีเป็นผู้ใฝ่ใจ ในการก้าวหน้าให้ทันเพื่อนและเต็มใจเสียสละส่วนทรัพย์อันไม่มากมายของตน เพื่อจะได้ชื่อว่าได้ให้หลานเล่าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดโรงเรียนหนึ่ง

เสียงเพลงชุดของสเตร๊าส์จบลงด้วยบลูดานุบ๔ ท่อนปลายในระหว่างความเงียบซึ่งกระแสคลื่นแห่งเสียงเพลงยังก้องอยู่ในกระแสคลื่นแห่งอากาศนั้น จิตราหันมาพูดแก่บันลือว่า

“เขาเล่นพอฟังได้นะ ถ้าเธอหมั่นติหมั่นสอนสักหน่อยจะดีขึ้นได้อีกเยอะทีเดียว”

บันลือยิ้มแทนคำตอบ เขาได้เคยฟังเพลงที่ภรณีเล่น ๒–๓ ครั้งแล้ว มีความคิดอย่างที่จิตรากล่าวแก่เขานี้ แต่เขาไม่เคยแสดงตัวให้ภรณีรู้ว่าเขาได้ยินเพลงที่หล่อนเล่น เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดจึงเป็นดังนั้น แต่ก็ปล่อยตัวให้เป็นดังนั้นเรื่อย​มา เสียงเพลงทำนองเซเรเนดกังวานมาแทนเพลงวอลต์ส บันลือฟังด้วยความตั้งใจ เขาจับความบกพร่องในทำนองแห่งเพลงได้หลายแห่ง และรู้ว่าผู้เล่นไม่เข้าใจเพลงที่คนเล่นลึกซึ้งพอ ถึงกระนั้นเขานึกชมหล่อนที่มีความรู้สึกในทางดนตรีพอสมควร จึงทำให้เสียงเพลงมีลักษณะอันหนึ่งที่เป็นอำนาจทำความรู้สึกของผู้ฟังให้เพลิดเพลินไปตามเพลงได้เหมือนกัน

.

๑. Serenade ↩

๒. Schubert ↩

๓. Strauss ↩

๔. Blue Danube ↩

 


50
นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 26-30 จบ


๒๖



ผู้ฉลาดจึงอยู่ในถิ่นอันสมควร—ผู้ใดไม่สำคัญหนาวและร้อนยิ่งกว่าหญ้า ทำกิจของบุรุษอยู่ผู้นั้นย่อมไม่คลาดจากความสุข คนผู้สงเคราะห์ทำตนให้เป็นมิตร วาทะของผู้อื่น ปราศจากความตระหนี่ เป็นผู้แนะนำแสดงเหตุผลต่าง ๆ เนือง ๆ ย่อมได้ยศ

 


ตอนเช้าแห่งวันรุ่งขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์เพิ่งจะส่งแสงเรื่อเรืองลงยังพื้นพิภพ จิตรายืนอยู่บนระเบียงเรือน มองดูสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏแก่ตาด้วยความพิศวงและตื่นเต้นระคนกัน หล่อนมีความรู้สึกว่าหล่อนตื่นขึ้นในบ้านอันมีลักษณะเป็นบ้านแท้ ๆ อย่างบ้านมนุษย์ที่มีความเจริญสูง แต่ครั้นแล้วก็รู้สึกตัวว่ากำลังยืนดูภูมิประเทศอยู่กลางป่าต้นไม้ใหญ่ไม่รู้ว่ากี่ชนิด แต่ละต้นไม่ต่ำกว่าครึ่งอ้อมแขน ขึ้นเป็นหย่อมเป็นทิวเป็นหมู่อยู่ทั่วไป ลักษณะถมึงทึงเหมือนจะยืนยันตัวเองว่าเป็นไม้เกิดในดงแล้วก็จะรักษาความอิสระของคงไว้ไม่แยแสต่อความข้องแวะของมนุษย์ บางต้นยืนอยู่โดดเดี่ยวสาขาใหญ่กว้าง ​กิ่งก้านน้อมลงปกคลุมพื้นดินมีลักษณะเหมือนจะแสดงความคุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอันดีและเตรียมพร้อมที่จะให้ความร่มเย็นแก่มนุษย์ที่จะเข้าอาศัยพักร้อนในร่มเงา นกต่าง ๆ บินขึ้นจากกิ่งไม้ แล้วถลาลงบนพื้นดินเป็นหมู่เป็นคู่เป็นฝูง เสียงร้องแปลก ๆ ต่าง ๆ บางเสียงคล้ายเสียงพูด บางเสียงคล้ายเสียงเพลงสลับกันอยู่แซ่ไป

จิตรายืนนิ่งอยู่นานมาก มีความรู้สึกเป็นสุขด้วยความเบิกบานและความสบายแห่งใจ ครั้นแล้วหล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังเข้ามาใกล้ บันลือเดินอย่างระมัดระวังมิให้ส้นรองเท้ากระทบพื้นเข้ามาหาหล่อน

หล่อนยื่นมือซ้ายซึ่งลอดจากปลายแขนเสื้อกิโมโนสีส้มอ่อนออกส่งให้เขา บันลือจับและกุมไว้พลางหยุดยืนอยู่เคียงหล่อน

“งามมาก” จิตรากล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา สายตามองตรงไปยังภูมิประเทศเบื้องหน้า “ถ้าเราเชื่อในเรื่องที่ ๆ เป็นชัยภูมิที่เหมือนอย่างที่คนโบราณท่านเชื่อ ฉันแน่ใจว่าเธอจะได้ความรุ่งเรืองจากที่นี่”

เขายิ้มแต่เพียงนิดเดียวแทนคำตอบ เช่นเดียวกับที่หล่อนได้พูดโดยมิได้มองดูหน้าเขา เขามิได้หันไปดูหน้าหล่อน มีบาง​เวลาที่ความซาบซึ้งตรึงใจของธรรมชาติทำให้ดวงจิตที่เป็นคู่มิตรแก่กัน มีความรู้สึกอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมิพักต้องอาศัยคำพูดหรืออาการอย่างใดเป็นสื่อในการนัดแนะ ชักชวน จิตรากับบันลือต่างยืนอยู่ด้วยกันเช่นนี้ครู่ใหญ่ แล้วฝ่ายหญิงจึงทำลายความเงียบขึ้น

“เดี๋ยวนี้ฉันไม่สงสัยแล้วว่าคนอย่างเธอ เกิดมาไม่เคยรู้จักว่าความลำบากเป็นอย่างไร ทำไมถึงมาทนอยู่ในบ้านป่าบ้านไร่ได้คราวละนาน ๆ ไม่รู้จักเข็ด ก็เพราะว่าป่าของเธอมันเป็นป่าวิเศษอย่างนี้เอง”

บันลือยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม เป็นการนิ่งเฉพาะอาการภายนอก เขากำลังนึกถึงคำลำบากที่จิตรากล่าว ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เขาได้ผจญมามากในระหว่าง ๒ ปีที่แล้วมา ความลำบากเกี่ยวแก่การตัดสินใจเลือกที่ ทำที่ๆ เลือกแล้วให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตัว ความลำบากในการขยายที่ให้กว้างขวางสมส่วนแห่งโครงการที่ได้วางไว้ ความลำบากเกี่ยวแก่การผูกมิตรกับชาวเมืองเจ้าของถิ่นเพื่ออาศัยแรงเขาด้วย อาศัยการร่วมมือของเขาด้วย อาศัยการสละสิทธิเดิมคือสละสิทธิในที่ ๆ เขาจับจองไว้แต่เก่าก่อนให้ด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นความลำบากในทางสมองที่เขาได้คิดหาอุบายอันแยบยลมาเป็นเครื่องบันดาลความสำเร็จ แล้วพร้อมกันนั้น​ต้องให้เป็นอุบายอันไม่เป็นไปในทางเอาเปรียบผู้ที่อ่อนสติปัญญากว่าตน หรือกระเดียดไปในทางที่เพี้ยนจากแนวศีลและธรรม ส่วนความลำบากทางกายนั้นเล่าขาดน้ำสำหรับอาบ บางคราวเป็นเวลาตั้ง ๒–๓ วันนอนอยู่กับกลิ่นสัตว์ กลิ่นสาบ กลิ่นอับ บริโภคอาหารอันแค้นคอโดยไม่เป็นกำหนด ไม่เป็นเวลา เมื่อมีความลำบากทางสมองและทางกาย ใจอันเป็นที่รวมรับความรู้สึกทั้งมวลก็ย่อมตกอยู่ในความลำบากด้วย แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องยืดยาว เป็นที่เขาจะนึกอยากเล่าแก่จิตราในเวลาเช้าอันสงัดสงบและสบายดังที่เขากำลังรู้สึกอยู่

“เธอสามารถอย่างไร บันลือ ถึงได้รักษาได้ลักษณะความเป็นป่าไว้ในเขตบ้านเธอได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเธอก็เป็นบ้านแท้ ๆ อย่างบ้านในกรุง”

เขามองดูหล่อนด้วยความพอใจในคำถามนั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นคำชมที่ถูกใจเขา เขาได้ใช้ความพยายามอย่างพิถีพิถันและละเอียดลออมากในการที่จะทำที่อยู่ของเขาให้มีลักษณะดังที่จิตรากล่าว แต่เขาตอบคำของจิตราในเสียงหัวเราะ

“รุกขเทวดาท่านดลใจ”

หล่อนหันมามองดูเขา แล้วเห็นเครื่องแต่งกายที่เขาแต่งอยู่ก็ถามว่า “เอ๊ะ นี่เธอจะไปไหน หรือไปมาแล้ว ?”

​“จะไปยิงนกกับเจริญน่ะซี นัดกันไว้จะไปก่อนแดดขึ้น แต่ไม่เห็นเขาตื่นจนเดี๋ยวนี้”

“อ้าว ทำไมไม่ปลุกล่ะ ? ก็นอนอยู่ด้วยกันแค่คืบนั่นแหละ”

“ไม่จำเป็น คิดว่าปล่อยให้นอนสบายดีกว่า นกบ้านเราจะยิงเมื่อไหร่ ๆ ก็ได้ เขาอยากจะเห่อไปเอง”

จิตราหันหน้ากลับออกไปทางที่แจ้ง “นกในบ้านเธอนี้ เธอยิงมันได้ยังไง ?” หล่อนถาม “ดูซิ มันมาเต้นหยอย ๆ ยักหน้ายักตาให้เธอดู มันไม่ได้นึกระแวงเสียเลยว่าเธอน่ะเป็นมหายักษ์คอยจ้องจะล้างผลาญพวกมัน”

บันลือหัวเราะออกมาทันที แล้วจับแขนหล่อนบีบเบา ๆ พลางพูดว่า “นี่มันเป็นปัญหาเรื่องโลกกับเรื่องชีวิตจิตรา ไปเก็บเอามันมาคิดมากนัก คุณจะปวดหัว ที่จริงผมไม่เคยยิงนกในบ้าน แต่ว่านกป่าหรือนกบ้านมันก็พวกเดียวกันนั่นแหละ นกบ้านก็อาจจะบินไปเที่ยวป่า นกป่าก็อาจบินเข้ามาในบ้าน เรารู้มันเมื่อไหร่ ตัวไหนนกป่าตัวไหนนกบ้านกันแน่ ปัญหามันอยู่ที่ว่าทำไมเราจึงต้องยิงนกเราควรจะยิงมันไหม ไม่ใช่แต่นกละ อื่น ๆ ก็เหมือนกัน กวาง อีเก้ง หมู เมื่อไหร่จะมีใครเป็นคนตัดสินชี้ขาดแล้วทำให้เราเชื่อตามได้”

​หล่อนมองดูเขาในอาการใช้ความคิด ครั้นแล้วก็ยิ้มอย่างเห็นด้วย และว่า

“ภรไปไหนนี่ ? เห็นมั่งไหม ?”

“ต้องการตัวเขารึ ? ผมจะไปตามให้”

“เอ๊ะ มีที่ลี้ลับ รู้กันระหว่างสองคนยังงั้นรึ ?”

“เปล่า” บันลือตอบพลางหัวเราะอย่างเห็นขัน “ผมรู้ว่าเวลานี้เขาต้องอยู่ในครัวไม่ไปไหน ผมเสียดายเสื้องาม ๆ ของคุณจะเปื้อนฝุ่นเสียหมดถึงได้อาสาจะไปตามให้”

“แหม เข้าครัวแต่เช้าเทียวรึ ? ขยันจัง” จิตรากล่าว “อย่าไปตามเขาเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเขาเอง ไปทำตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน พอลุกจากเตียงก็ออกมายืนอยู่นี้ ความที่ไถล !”

หล่อนละจากเขากลับเข้าในห้อง ก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงแดงและพี่เลี้ยงตื่นขึ้นแล้ว และพูดกันอยู่เบา ๆ จิตราเข้าในมุ้งและลงนอนสัพยอกลูกอยู่สักครู่ ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กทางประตูด้านหนึ่ง แล้วประตูนั้นเปิดผางออกโดยแรงทำให้จิตราต้องโผล่ศีรษะออกนอกมุ้ง เพื่อดูว่าผู้ใดทำเสียงปึงปังดังนั้น ก็ได้เห็นภาพที่น่าดู และน่าขันเป็นที่สุด เด็กหญิงเด็กชายคู่หนึ่งสวม​เสื้อขาวร้อยริบิ้นรูดที่คอชายเสื้อยาวกรอมข้อเท้า หอบผ้าห่มนอนผืนใหญ่รุ่มร่ามคนละผืนเดินเข้าประตูมาหน้าตายู่ยี่ เพราะเหตุว่าเพิ่งตื่นนอน แต่ถึงกระนั้นก็มีลักษณะน่าเอ็นดูและน่าหัวเราะยิ่งนัก

“ต๊ายจริง” จิตราร้อง “นี่โผล่ออกมาจากไหนกันตุ๊กตาคู่นี้ หอบอะไรพะรุงพะรังมาด้วย จะไปไหนกันจ๊ะ ?” แล้วหล่อนออกจากมุ้งและเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าเด็ก

“นี่เพิ่งตื่นขึ้นมาใช่ไหม ?” หล่อนถามอีก “เมื่อคืนหนูนอนที่ไหนคะ ?”

เด็กทั้งสองมองดูจิตราอย่างสงสัย เขาเคยพบกับจิตราครั้งหนึ่งหรือสองครั้งแต่เป็นเวลานานมาแล้วและความจำของเขาในลักษณะและรูปร่างของมนุษย์ยังไม่เจริญเท่าไรนัก

จิตราตั้งคำถามซ้ำอีกถึงสองครั้ง เด็กหญิงป่องจึงตอบพร้อมกับพยักหน้าไปทางเบื้องหลัง

“นอนในนั้น”

“อ๋อ นอนในห้องคุณพ่อหรือคะ ? โถ หนูนอนกับคุณพ่อรึ–หรือนอนกับใคร ?”

“นอนกับอาภร”

​จิตราหัวเราะ เพราะเมื่อคืนนี้ภรณีกับหล่อนนอนอยู่ในมุ้งเดียวกัน เนื่องจากการชักชวนของจิตราเองหล่อนกล่าวแก่ภรณีว่า เตียงนอนใหญ่โตเกินไปสำหรับที่หล่อนจะนอนแต่คนเดียว

“แล้วนี่หนูจะหอบผ้าห่มของหนูไปไหน ?” จิตราซักต่อไปอีก

“หนูจะหาอาภร”

“อ้อ อ้าว หนูเอาผ้าห่มไปวางไว้ที่เตียงนอนนะคะ ป้าจะเรียกอาภรให้ คนนี้เป็นป้าหนู จำไว้ ต๊าย หนูน่ะเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ทำไมถึงเหมือนพ่อได้ยังกะแกะ”

จิตราลุกขึ้นมองหารองเท้า พบแล้วก็สวมและลงจากเรือน

ภรณีอยู่ในครัวกับคนใช้ชายหญิงรวมสี่คน ได้สั่งการเกี่ยวกับเรื่องอาหารสำหรับวันนี้เสร็จไปตอนหนึ่งแล้วและผู้รับสั่งก็กำลังลงมือทำงานของเขา ขณะนี้หล่อนกำลังปรุงกาแฟถ้วยหนึ่ง พลางพูดกับชายหนุ่มชาวพื้นเมืองที่ยืนอยู่ใกล้ หล่อนกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริงและยกถาดเล็กรองถ้วยกาแฟและช้อนส่งให้เขา

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน แต่เชื่อว่าไม่ได้อยู่บนเรือน ไม่รู้ละ แกเคยหาเก่ง หาให้พบก็แล้วกันเดินระวังหน่อย​นะ ประเดี๋ยวเถอะ กว่าจะพบพ่อคุณ กาแฟกระฉอกเสียหมดแล้ว”

ชายหนุ่มผู้นั้นรับถาดจากมือภรณีแล้ว ก็พอดีมองไปเห็นจิตรา ทันใดนั้นถาดก็เอียง ถ้วยกาแฟเลื่อนที่อยู่ในจาน เพราะความที่ผู้ถือถาดตะลึงมองดูเสื้อ ซึ่งมีลักษณะแปลกสำหรับสายตาของเขายิ่งนัก ทั้งภรณีและจิตราสังเกตเห็นกิริยาของเขาอย่างถนัด ทั้งสองพากันหัวเราะแล้วต่างฝ่ายต่างทักทายกันแล้วก็พากันออกไปจากครัว

“ตอนสายหรือตอนบ่าย ถ้าเผื่อเธอลงมาทำกับข้าวพี่จะมาช่วยทำด้วย” จิตรากล่าว หลังจากที่ได้เล่าเรื่องเด็กหญิงชายให้ภรณีฟังแล้ว “ไม่ช่วยทำก็ช่วยพูดครัวของเธอท่าจะสบาย จัดเสียออกเรี่ยม”

“ต๊าย เรี่ยมอะไรคะ” ภรณีว่าพลางหัวเราะ “ตอนเช้านี่รกยังกะอะไรดี แม่ครัวแกตื่นง่ายเหลือเกิน มีอะไรแปลกไปนิดแกชักจะหยิบอะไรไม่ถูกเสียแล้ว”

“ชาวเมืองนี้รึ ?” จิตราถาม

“ค่ะ แหม หัดเสียเจียนตาย กว่าจะพูดกันรู้เรื่องแต่อย่างหนึ่ง เรารู้ว่าแกเห็นเราเป็นเทวดา บอกอะไรให้แล้วละ​ก็แกเชื่อสนิท แล้วตั้งอกตั้งใจทำตามเสมอ เว้นแต่ปัญญามันไม่ค่อยจะช่วยแกเสียเลย”

“เขาว่าคนหัวเมือง ถ้าเราทำให้เชื่อเราได้เสียทีหนึ่งแล้วละก็ ทีหลังก็เชื่อไปจนตาย–เออ ไอ้กาแฟถ้วยเมื่อตะกี้เอาไป ให้ใคร มันหอมดี พี่นึกจะแย่งเอามาชิมเสียก่อนแล้วสิ”

“คุณพี่หิวรึคะ ? โธ่ รู้งี้ก็—”

“อุ๊ย เปล่า ยังไม่หิว ตะกรามไปยังงั้นเอง อยู่บ้านพี่กินตั้งสองโมง นี่เพิ่งโมงเดียวเท่านั้น กาแฟถ้วยเมื่อกี๊เอาไปให้บันลือใช่ไหม ? เธอเรียกว่ายังไงนะ เมื่อกี๊ได้ยินไม่ถนัด”

“ชาวเมืองนี้เขาเรียกกันว่า พ่อคุณค่ะ ดิฉันมาเรียกตามเขา เรียกอย่างอื่นเขาก็ไม่เข้าใจ”

เมื่อมาถึงบนเรือนแล้ว ความสนใจของจิตราและภรณีก็ไปรวมอยู่ที่เด็ก ๓ คน ทั้งสองฝ่ายพูดเล่น ยั่วเย้าเด็ก แต่งตัวให้เด็ก นำเด็กลูกเจ้าของบ้านและลูกของผู้เป็นแขกให้วิสาสะแก่กัน บางคราวเจ้าหล่อนทั้งสองพูดดังและหัวเราะดังขึ้นด้วยความรู้สึกสนุก ต่างฝ่ายต่างก็ต้องผลัดกันห้ามผลัดกันเตือนเพราะนึกถึงผู้ที่ยังนอนอยู่

​ตอนหนึ่งจิตราปรารภว่า “ขันจริง เจริญของฉันทำไมมากลายเป็นคนนอนตื่นสาย อยู่บ้านละตื่นพร้อมกับลูกทุกวัน แล้ววันนี้นัดจะไปยิงนกกับบันลือตั้งแต่ตีห้านะ บันลือเขาก็แต่งตัวคอย แล้วพ่อเจริญของฉันก็ยังไม่ตื่นจนป่านนี้”

“อ๋อ คุณบันลือน่ะ คอยใครหรือไม่คอยก็แต่งตัวทุกวันแหละค่ะ เพราะเช้าขึ้นก็ต้องออกไปดูงานเสียพักหนึ่ง แล้วถึงจะกลับมารับประทานอาหาร แต่บางทีเลยหายเข้าป่าไปจนเที่ยงถึงได้กลับมาก็มี เล่นเอาเราใจไม่ดีเลย ?”

“ทำไม กลัวเขาจะไปเป็นอะไรอยู่ในป่ายังงั้นรึ?” จิตราถามพลางหัวเราะ

ภรณีหัวเราะพร้อมกับตอบว่า

“ไม่ทราบว่ากลัวอะไรค่ะ ตื่นไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเอง แล้วพอเห็นตัวเขากลับมา ก็นึกว่าเรานี่บ้าจริง ไปเป็นห่วงเขาทำไม ไม่เห็นมีเหตุผล”

“อ๋อ ไอ้เหตุผลน่ะ มีเสมอละ มันเป็นเรื่องของเราพวกผู้หญิงนี่ เอะอะขอให้ได้ห่วง”

แล้วหล่อนทั้งสองบอกให้เด็กออกไปเดินเล่น ภรณีแนะนำให้ไปนั่งชิงช้า ให้นางสาวแม้นเป็นผู้ควบคุมไปด้วย เด็ก​หญิงป่องทำท่าเจ้ากี้เจ้าการกับเด็กหญิงแดง จับแขนจับมือชวนให้ไปด้วยกัน เด็กชายก้องยังมีอาการสงสัย เขาเป็นผู้ที่มีท่าทางแสดงว่าใช้ความคิดอยู่เสมอ ภรณีเล่านิสัยอันนี้ของเขาให้จิตราฟัง รวมทั้งนิสัยอื่น ๆ อีกด้วย แล้วการสนทนาของเจ้าหล่อนทั้งสองก็ดำเนินไปในเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจของเด็ก และการอบรมเด็กเป็นเวลานาน

เมื่อถึงเวลาสายกว่านี้ ภรณีกลับลงไปที่ครัวอีก เพื่อจัดหาอาหารสำหรับทุก ๆ คน เจริญกับส่องสีตื่นแล้ว ต่างฝ่ายต่างทำกิจวัตรของตนอยู่ในห้องพัก บันลือกับจิตรานั่งสนทนากันอยู่บนระเบียงเรือน อันเป็นที่ ๆ เขาทั้งสองมองเห็นเด็กสามคนได้ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก บางคราวเสียงอันแหลมและใสแจ๋วของเด็กหญิงป่องก้องมาถึงหู เป็นเสียงพูดบ้างร้องเพลงบ้าง เหนี่ยวเอาความสนใจของคู่สนทนาไปสู่เจ้าของเสียง จิตราพยายามจะจับคำในบทเพลง แต่จับไม่ได้ถนัดทุกคำ บันลือสังเกตเห็นความเจตนาของหล่อนก็หัวเราะและพูดว่า

“ขันที่สุดเทียวคุณ ไอ้เพลงที่ยายป่องแกร้อง” เขาบอกคำที่จิตราฟังไม่ได้ชัดให้แก่หล่อน จนได้ความครบตามบทเพลง แล้วเสริมในเสียงหัวเราะเช่นเดิม “ปรัชญาทั้งแท่งเทียวนะ อาภรเขาสอนหลานเขา”

​“เรือเอ๋ยเรือเสน่ห์ เร่รักมาท้าให้ชม เล่ห์รักหกอกตรมระบมรัก หักห่อนหาย—

“รักเร่ เล่ห์รักซ้อน ซ่อนรักเร้น เช่นเชิงชาย อกหักรักบ่คลาย ตายเพราะรัก หักอกตรม เห่ เห่—”

“ไม่เลวนะ” จิตราเอ่ยขึ้นอีก “ฉันจะต้องถามภร เธอสอนรักเล่ห์ไหนให้เขามั่ง ถึงดูมีหลายเล่ห์นัก”

“ผมน่ะ แปลกใจว่าทำไมลูกสาวผมถึงได้จำได้ มันน่าจะไขว้เขวกันหมด แต่เราฟังเกือบตายยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง”

“ก็ภรเขาบอกว่าลูกเธอน่ะ ฉลาดเป็นกรดทั้งคู่ แต่ว่าตาผู้ชายน่ะแกฉลาดนิ่ง ๆ ส่วนยายผู้หญิงน่ะแกแป๋นแจ๋หน่อย”

“ตั้งต้นเรียนหนังสือแล้วทั้งสองคน” บันลือบอกอย่างภูมิใจ “อาภรสอนเหมือนกัน”

ในเวลานั้นเอง ส่องสีเดินมาถึงตัวเขาทั้งสอง บันลือขยับตัวขึ้นยืนต้อนรับ ฝ่ายเจ้าหล่อนพูดพลางจับผมจับเสื้อ และในท้ายที่สุดก็จับเก้าอี้ก่อนที่จะลงนั่ง

“ฉันตื่นสายไปไหม บันลือ ? เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย นี่คุณเจริญยังไม่ตื่นหรือ พี่จิตร ? วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันมั่ง เจ่าอยู่ในบ้านตลอดเช้าอย่างเมื่อวานละก็ไม่ไหวละ เบื่อตาย แหม เมื่อคืนนกอะไรร้องตอนดึก เสียงน่ากลัวจัง นี่​ยางคู่ของเธอไปไหนเสียล่ะ บันลือ ? ถ้าจะไปเข้าครัวเสียอีกแล้ว เอะอะก็เข้าครัวเรื่อย เป็นยังไงนะ”

ทั้งบันลือ และจิตราต่างไม่รู้จะตอบคำถามตอนใดก่อน ต่างฝ่ายจึงต่างไม่ตอบ และจิตรากลับเป็นฝ่ายถามบันลือเสียเอง

“แถวนี้มีที่เที่ยวมากรึ มีอะไรแปลก ๆ ที่ควรดูมั่ง?”

“อะไรล่ะที่ควรดู ?” บันลือย้อนถาม “ถ้าเป็นโบราณวัตถุละก็ไม่มีเลย เขามีไกลจากที่นี่ ๗๐๐ เส้น ที่นั่นมีถ้ำค้างคาว นอกจากนั้นก็ธารน้ำพุแถว ๆ บ้านเรานี่แหละ แต่ไม่ใช่ว่ามันพุขึ้นมาให้เราเห็นหรอกนะ เวลามองดูเราก็เห็นเป็นแอ่งน้ำ มีต้นไม้ขึ้นรกเป็นพง แต่มันมีน้ำตลอดปีไม่รู้จักแห้ง”

“ขึ้นรถไปดูได้ไหม ?” จิตราถาม

เขาสั่นศีรษะพร้อมกับตอบ “ยังไม่มีทางรถ แต่ทางเดินไปได้สบาย”

“อี๊” ส่องสีร้องขึ้น แล้วจึงถาม “ไกลไหม ?”

“ขนาดไหนล่ะที่คุณเรียกว่าไกล ถ้าอย่างผมเดินก็ไม่เกิน ๑๕ นาที”

“อย่างฉันล่ะ !” จิตราถาม

เขาหัวเราะและว่า “ผมก็กะไม่ถูก ได้ยินว่าน้องสาวคุณเดิน ๒๐ นาทีถึงเหมือนกัน—”

​“ภรน่ะ? พิโธ่ ก็นั่นเขาเคยอยู่หัวเมืองนี่นา แล้วเขาอ่อนกว่าฉันตั้ง ๑๐ ปี”

“ยังงั้นเทียวรึ ?” ส่องสีถามขึ้น “พี่จิตราอายุเท่าไหร่ อ้อ ๓๔ เมื่อคืนนี้บอกแล้ว แหม ยางคู่บันลือเขาน่ะอายุ ๒๔ เท่านั้นเอง ? แหม แปลกนะ ดูหน้า—คนบางคนเป็นอย่างนี้เอง เดี๋ยวดูหน้าแก่ เดี๋ยวดูหน้าเด็ก บันลือทำไมเธอถึงไปแต่งงานกับผู้หญิงที่เด็กกว่าเธอมากนักล่ะ ? เวลาเธอแต่งกับฉันน่ะฉันอ่อนกว่าเธอสองปีเท่านั้นเอง”

“แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ ?” บันลือถามวางหน้าตาเฉย

“เธอแก่กว่าเมียตั้ง ๗ ปี” ส่องสีตอบโดยซื่อ “แต่ที่จริง เมื่อแรกฉันก็นึกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับเธอ ถ้าเขาจะรีบแก่ลงมาหาเธอน่ะเอง”

“ใครบอก” บันลือพูดเสียงเดิม “ผมหนุ่มขึ้นไปหาเขาต่างหาก—เอ้า อย่านินทาไปนะ ตัวเขามาแล้ว”

ส่องสีมองตามสายตาบันลือไป แล้วหันกลับมาว่าแก่จิตรา

“พี่จิตราหาผู้หญิงให้บันลือเก่งมาก เขามีวิชาดี วิชาไม่พูดยังไงล่ะ เราพูดกับเขาสิบคำ เขาตอบเราครึ่งคำเท่านั้นเอง” หันกลับไปทางที่ภรณีเดินมา แล้วพูดออกไปด้วยเสียงอันดัง ​“มาเร้ว แม่ยางคู่ มานั่งคุยกันมั่งสิ จับตัวยากเหลือเกิน เอะอะก็หนีเข้าครัวเรื่อย เป็นห่วงเรื่องกระเพาะนักหรือ ? ยังงี้บันลือก็หลงแย่ หาเมียไว้ทำครัวนี่มันเป็นความฝันของผู้ชายทุกคน พี่จิตร เวลาเห็นฉัน เมื่อคืนนี้รู้สึกแปลกไหม ? ใคร ๆ เขายังว่าฉันเป็นเด็กไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงเลย”

บันลือลุกจากที่นั่ง โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวจึงทำเช่นนั้น แล้วเขารู้สึกพอใจเมื่อเห็นภรณีแวะเข้าเสียในห้องของหล่อน ส่วนจิตราตอบคำของส่องสีว่า

“คนอย่างเธอ เห็นจะเป็นเด็กจนตาย ว่าถึงแปลก ถามราวกับว่าฉันไม่ได้พบได้เห็นเธอนมนานนักหนาแล้ว ที่จริงฉันเห็นเธอออกบ่อย ๆ แต่บางทีเธอจะไม่เห็นฉันละกระมัง”

“ไม่เห็นจริง ๆ พี่จิตร เห็นเมื่อคืนนี้ใจหายโบ๋ ต๊าย ทำไมพี่จิตรปล่อยตัวให้อ้วนเผละจนยังงี้ ?”

สีหน้าจิตรามีอาการไม่สู้ดี แต่หล่อนตอบในเสียงหัวเราะ

“ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคอยระวังสวยเหมือนคนอื่น เพราะฉันเอาใจใส่กับความพอใจของผัวฉันคนเดียวเท่านั้น”

“อู๊ ผัว !” ส่องสีว่า “ในโลกนี้ใคร ๆ ก็เห็นว่าผัวสำคัญกว่าอะไรหมดนะ มัวแต่คอยเอาใจผัวก็–เอ๊ะ นี่แม่ยางคู่​ของบันลือหายไปเสียอีกแล้ว ? ท่าเขาจะไม่ชอบฉันนะบันลือ เขาเป็นคนขี้หึงรึ”

“ถามคุณจิตราดูแน่ะ” ตอบแล้วบันลือเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง ความรู้สึกเหนื่อยหน่าย สังเวช และเศร้าเกิดขึ้นในใจของเขาพร้อมกัน

พอดีกับเจริญมาถึงที่นั่นอีกคนหนึ่ง ส่องสีหันไปปราศรัยกับเขา การสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องใหม่ต่อไป

 

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.153 seconds with 12 queries.