Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 13:58:01

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Profile of ppsan  |  Show Posts  |  Messages

Show Posts

* Messages | Topics | Attachments

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - ppsan

Pages: [1] 2 3 ... 290
1

ภาคผนวก
“นพพร-กีรติ”

..

“นพพร-กีรติ”

​• เรื่อง “นพพร กีรติ” เป็นบทพิเศษของเรื่อง “ข้างหลังภาพ” เป็นจดหมาย ๒ ฉบับ ระหว่างนพพร กับ กีรติ ที่ “ศรีบูรพา” ประพันธ์ขึ้นใหม่ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นครั้งแรกในหนังสือ “ผาสุก” โดยสำนักพิมพ์อุดม เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๖

• ตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองใน “พิมพ์ไทยรายเดือน” ฉบับเดือน มิถุนายน ๒๕๕๒

• จัดพิมพ์เป็นครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์สยาม ในหนังสือชื่อ มณีพรรณราย - รวมเรื่องสั้น ๑๒ นักประพันธ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖

• ตีพิมพ์ในนิตยสาร “โลกหนังสือ” ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ นับเป็นครั้งที่สี่

• จัดพิมพ์ครั้งที่ ๕ ในหนังสือเรื่อง “ศรีบูรพากับบทประพันธ์ ๔ เรื่อง” โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้าเมื่อเดือน มีนาคม ๒๕๒๘.

• จัดพิมพ์เป็นภาคผนวก ในเรื่อง ข้างหลังภาพ โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙. เป็นครั้งที่ ๖

----------------------------

 

​                                                                                                      โตเกียว

คุณหญิงที่รักของผม

ผมคอยจดหมายของคุณหญิง ด้วยความรู้สึกของคนเจ็บหนักเฝ้าคอยหมอ คุณหญิงเชื่อไหมว่ากลับจากมหาวิทยาลัยมาถึงบ้านในตอนบ่ายทุกวัน ผมเป็นต้องตรวจดูจดหมายที่ตู้รับจดหมายทุกครั้ง วันหนึ่งขณะนั่งถอดรองเท้าอยู่หน้าประตู ด้วยความเศร้าเหงาใจเป็นที่สุดนั้น โนบูโกะลูกสาวเจ้าบ้านได้วิ่งมาหา แล้วส่งซองจดหมายให้ผม พินิจลายมือหน้าซอง และถนัดแน่ว่าเป็นลายมือของใครแล้ว ผมสลัดรองเท้าออกไปจากเท้าโดยเร็วพลันและโดยไม่รู้สึกตัว จนแม่หนูโนบูโกะตะลึง แล้วผมก็วิ่งถลาเข้าไปในห้องของผม ปิดประตู ฉีกจดหมายด้วยมืออันสั่น และนอนอ่านจดหมายนั้นแต่ลำพัง ถ้าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกกันว่าสวรรค์ชั้นดุสิตจริง ในเวลาที่อ่านจดหมายของคุณหญิง ผมก็ อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตกับพระอินทร์ พระพรหม หรือพระนารายณ์ก็ตาม.

ผมดีใจแท้ที่ได้ทราบว่าการพรรณนาถึงความรู้สึกของผม ที่มีต่อคุณหญิงในจดหมายสองฉบับแรกนั้นทำให้ผม “กลายเป็นชายหนุ่มที่ฉันจะต้องระมัดระวังในการติดต่อด้วย เธอไม่เป็นนพพรยอดยุวมิตรของฉันเสียแล้ว ความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเด็ก ๆ ของเธอเกือบสูญหายไปหมดแล้ว ดูเธอเป็นชายใหญ่ที่น่ากลัวพอใช้” ตามที่คุณหญิงได้เขียนมาในจดหมาย และผมยิ่งดีใจหนักขึ้นเมื่อได้ฟังคุณหญิงบ่นมาว่า คุณหญิงแทบจำนพพรคนที่คุณหญิงแรกพบไม่ได้.

ผมอยากให้เจ้าหนูนพพรมันตายไปเสียที ผมอยากเป็นชายหนุ่มใหญ่คนที่คุณหญิงได้รู้จักในจดหมายที่ผมได้เขียนไปถึงเพื่อว่าคุณหญิง​จะได้ไม่รู้สึกขบขันในความรักของเขา ไม่เล็งแลเห็นความรักของเขาไปในทางเหลวไหลไร้สติ.

ในจดหมายของคุณหญิง แม้ว่าจะล้วนแล้วไปด้วยคำเตือน คำขอ คำวอนให้ผมกลับคืนไปสู่ความเป็นเด็กเล็กแห่งมหาวิทยาลัยริคเคียว แต่ก็เต็มไปด้วยความกรุณาปรานีอย่างลึกซึ้ง และก็ในความกรุณาปรานีขนาดนั้น คุณหญิงจะให้ผมสิ้นหวังหรือว่าจะไม่มีความรักอันหวานฉ่ำระคนปนปรุงมาด้วย?

การที่จะให้ผมกลับไปที่หนังสือ และความใฝ่ฝันถึงชีวิตแห่งการงานอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณอันรุ่งเรืองยิ่งนั้น ผมอาจที่จะรับคำขอนั้นด้วยความเต็มใจได้ แต่ที่คุณหญิงกล่าวว่า นพพรมีอนาคตงดงามน่าใฝ่ฝันยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นแต่หลงเข้ามาในเส้นทางดำเนินชีวิตของเขาเพียงชั่วครู่ยามเดียวนั้น ผมจำต้องขอปฏิเสธอย่างรุนแรง.

ผมไม่คิดว่าจะมีความใฝ่ฝันใดในชีวิตของผมจะงดงามยิ่งไปกว่าความใฝ่ฝันถึงสตรีที่ผมลุ่มรักด้วยความรัก ซึ่งผมขอท้าทายไม่เลือกว่า ความรักของโรเมโอ หรือของใคร มาตรว่าผมยังเยาว์วัยอยู่ก็ตามที แต่ผมมีเลือดเนื้อพอที่จะรักสตรีซึ่งแสนที่จะน่ารักนั้นได้ ทั้งที่มีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว ผมไม่อาจจะช่วงชิงร่างกายของคุณหญิงจากเจ้าคุณอธิการบดีนั้นแน่นอน แต่ผมจะขอเป็นเจ้าของครอบครองดวงใจของคุณหญิงไว้อย่างเงียบ ๆ จะมิได้เจียวหรือ ถ้าเพียงแต่คุณหญิงจะออกปากยกให้สักคำเดียว.

คุณหญิงเชื่อไหมว่า หลังจากที่คุณหญิงจากโกเบไปได้สัปดาห์เดียว ผมได้เดินทางไปใช้เวลาในวันอาทิตย์ที่เขามิตาเกะอีกครั้งหนึ่ง ผมไปที่นั่นแต่ลำพัง ไปชมแดนดินถิ่นกำเนิดรักของเรา หรืออย่างน้อยก็ของผม ผมได้เดินทางไปถึงต้นทางน้ำตก กระแสน้ำในลำธารกว้าง​ใหญ่ยังคงไหลกระโชกกระชากไปบนก้อนหิน แล้วต่อไปก็ไหลแรงบ้างรวยรินบ้าง ผมเลาะลัดลงไปยืนอยู่บนก้อนหิน ซึ่งเท้าอวบงามของคุณหญิงได้เคยเหยียบลงที่นั่น คุณหญิงคงไม่ลืมดอกไม้ป่าสีม่วงที่ผมเก็บเสียบให้ที่เรือนผมของคุณหญิง และดอกไม้ป่าสีแดงที่คุณหญิงเก็บมาเสียบให้ที่รังดุมเสื้อของผม ณ ที่นั้นในกาลครั้งหนึ่ง เราพักผ่อนสำราญอยู่ด้วยกัน มีอิสระดังอาดัมและอีฟ ครั้นแล้วผมก็เดินทางต่อไปตามไหล่เขาจนขึ้นไปสู่ยอดเนินสูง แล้วผมก็หยุดยั้งอยู่ใต้ร่มไม้ซีดาร์ซึ่งแผ่กิ่งก้านแลสล้าง.

ผมพักผ่อนอยู่บนเขาลูกนั้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง เพื่อจะสูดประทิ่นกลิ่นกายของคุณหญิง เพื่อจะสูดกลิ่นความรักของผมที่ได้ระเบิดออกมาบนเนินสูงนั้น เพื่อจะชื่นชมอนุสรณ์แห่งเหตุการณ์อันได้ประทับตรึงตราอยู่ในชีวิตของเรา ดูเหมือนว่ารอยเท้าและรอยร่องของคุณหญิงยังคงปรากฏอยู่ในที่ทุกแห่ง ซึ่งคุณหญิงได้เคยทอดเท้าและทอดร่างลงไป.

“นพพร, เธออย่ามองฉันด้วยแววตาเช่นนั้นซิ” เสียงสั่นน้อย ๆ ของคุณหญิงยังแว่วกังวานอยู่ในโสตของผม และในบัดดลนั้นผมก็รู้สึกเสมือนคนสิ้นสติ ประคองกอดคุณหญิงไว้แนบแน่น และจุมพิตด้วยสุดแสนเสน่หา.

“นพพร, เธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป” เสียงของคุณหญิงยังคงสั่นสะเทือนอยู่.

“ผมรู้ว่า ผมรักคุณหญิง.”

“เป็นการสมควรหรือที่เธอจะแสดงความรักต่อฉันโดยวิธีเช่นนี้”

“ผมไม่ทราบว่า เป็นการสมควรหรือไม่ แต่ความรักมีอำนาจเหนือผม ความรักรัดรึงใจผมอย่างที่สุด ทำให้ผมหมดสติ”

​แล้วคุณหญิงมองดูผมด้วยแววตาโศก พลางพูดว่า “เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ? เธอไม่รู้หรือว่า ไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลัง เท่าการที่เราได้กระทำไปในเวลาที่ไร้สติ”

แล้วผมก็จำนนต่อเทศนาอันหวานฉ่ำยืดยาวของคุณหญิง แต่เหตุข้อนั้นไม่มาบั่นทอนบรรเทาความรักของผม ความรักที่ดื่มด่ำอยู่ในดวงใจ ความรักที่ผสมกลมกลืนอยู่ในสายเลือด ความรักเช่นนั้นย่อมท้าทายศีลธรรมจรรยาที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น ความรักเช่นนั้นย่อมสถิตอยู่เหนือเหตุผล ความรักดำเนินไปในวิถีทางตามความบังคับของกฎธรรมชาติ.

ผมจำนนต่อเหตุผลของคุณหญิงก็จริง แต่ผมหาอาจบังคับความรักของผมให้คุกเข่าต่อเหตุผล และกฎเกณฑ์แห่งศีลธรรมจรรยาที่คุณหญิงยกขึ้นมากล่าวอ้างได้ไม่.

ผมยังจดจำภาพที่คุณหญิงได้ผลักดันผมโดยละม่อมออกห่างจากทรวงอกของคุณหญิง และภาพที่คุณหญิงยืนพิงต้นซีดาร์หายใจหอบระทวยอยู่ และมองดูผมด้วยสายตาซึ่งผมอ่านไม่ออกจนกระทั่งบัดนี้ ว่ามีความรู้สึกอะไรปรากฏอยู่ในดวงตานั้นบ้าง.

ผมได้ใช้เวลาในวันนั้นสูดกลิ่นเหตุการณ์ความสัมพันธ์ของเรา ด้วยความรู้สึกชื่นฉ่ำในทิพยรสจนผมเพลียไปด้วยเหตุนั้น ครั้นแล้วผมก็ทอดกายลงนอนพักอยู่ใต้ร่มซีตาร์ บนพื้นที่เดียวกับที่คุณหญิงได้เคยทอดร่างลงพักผ่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง ไอดิน ณ ที่นั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งผมมีความรักภักดีอย่างแสนสุด.

ครั้นแล้ว ความรำลึกรำพึงของผมได้ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่หาดกามากูระ ไปสู่เหตุการณ์เมื่อเราไปลอยเรือกรรเชียงอยู่ในสวน​สาธารณะแต่ลำพังในราตรีเดือนหงาย ซึ่งคุณหญิงงามเฉิดฉายดังดอกคริสแซนติมัมที่มีชีวิตวิญญาณ ความรำลึกรำพึงของผมดำเนินต่อไปถึงเหตุการณ์ที่โอซากาโฮเต็ล ซึ่งผมยังมีเวลาจะอยู่ใกล้ชิดคุณหญิงเพียง ๖-๗ ชั่วโมงเท่านั้น.

“คุณหญิงรักผมไหม?” ผมถามเมื่อคุณหญิงเข้ามาเยี่ยมผมในห้องนอน.

“ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” ตอบพลางคุณหญิงดึงผ้าไหมที่พันอยู่กับคอส่งให้ผม “โปรดรับสิ่งนี้ไว้เป็นที่ระลึกต่างตัวฉัน”

แล้วคุณหญิงยื่นมือมาให้ผมสัมผัส ผมก้มลงพิศดูมือที่ยื่นมานั้นด้วยความโศกและป่วนใจ จับและบีบแน่นด้วยความพิศวาส ครั้นแล้วผมยกหัตถ์อ่อนละมุนแดงเรื่อด้วยสายเลือดนั้นขึ้นจุมพิต คุณหญิงยืนก้มหน้าสงบ แล้วพูดให้สติผมว่า “โปรดบังคับใจให้ดี”

ตอนที่ผมจะผละจากเรือเดินสมุทรซึ่งจะพาคุณหญิงกลับคืนไปสู่ประเทศไทย และในชั่ววินาทีสุดท้ายที่เรากำลังจะจากกัน ผมได้กระซิบถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า “คุณหญิงรักผมไหม?”

“รีบลงไปเสียเถิดนพพร” พูดแล้วคุณหญิงยกมือปิดหน้าชั่วขณะหนึ่ง “รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด”

คุณหญิงกัดริมฝีปากล่าง ผมทำเช่นเดียวกัน เรามีน้ำตาคลอตาด้วยกันทั้งสองคน.

“ลาก่อน” ผมกระซิบคำสุดท้าย และเมื่อปล่อยมือคุณหญิง ผมรู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของผมได้ติดไปกับอุ้งมืองามนั้น.

ผมได้ไปใช้เวลารำลึกรำพึงถึงคุณหญิง และเหตุการณ์ความสัมพันธ์อันรัดรึงใจเราอยู่บนเขามิตาเกะตลอดวัน ผมเดินทางกลับบ้าน​ในวันนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนว่าคุณหญิงได้ออกเรือจากท่าเมืองโกเบไปเมื่อบ่ายวันวานนี่เอง.

ชั่วแต่เวลาที่ผมอาบน้ำเท่านั้น ที่ผ้าไหมผืนนั้นอยู่ห่างจากลำคอของผม มันอุ่นจิตอุ่นใจ มันรัดรึงใจผมให้จดจ่ออยู่ที่จะระลึกถึงคุณหญิงมิได้เว้นวาย ผมสูดกลิ่นผ้าไหมยังได้สูดกลิ่นกายของคุณหญิงฉะนั้น.

ผมขอกราบมาที่ตักของคุณหญิง ด้วยจะขอรับอภัยที่ได้คร่ำครวญรำพันถึงความรักมาอย่างยืดยาวในจดหมายฉบับนี้ ผมไม่ประสงค์จะละเมิดเสาวนีย์ของคุณหญิงเลย แต่ความรักของผมมันมีความสำนึกภาคภูมิและเย่อหยิ่งเกินกว่าที่ผมจะบังคับกดขี่มันได้ ขอได้โปรดอภัยผม.

ผมขอสารภาพว่า ผมไม่มีหัวคิดที่จะเขียนถึงคุณหญิงด้วยเรื่องอื่น นอกจากจะพร่ำพรรณนาถึงเรื่องความรักแต่อย่างเดียว เพราะว่าความรักท่วมท้นเนืองนองอยู่ในหัวใจผม คุณหญิงรักผมไหม?

                                                                     ผมรักคุณหญิงไม่จืดจาง

                                                                             นพพร.

----------------------------

 

​                                                                                                      กรุงเทพฯ

ยอดยุวมิตรของฉัน

เมื่อ ๒-๓ วันมานี้ ฉันได้รับจดหมายจากชายหนุ่มใหญ่คนหนึ่งในโตเกียว พรรณนาถึงความเสน่หาอันหนักต่อสตรีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสตรีที่ฉันเองมีความสมเพชเวทนาอย่างที่สุด ฉันขอว่าเธออย่ารับสมอ้างว่า ชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นตัวเธอ เพราะเธอเพิ่งมีอายุได้ ๒๐ ปีเศษ และกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นผู้ที่ไม่มีหัวคิดจะทำอะไรเลย นอกจากจะพร่ำพูดถึงแต่ความเสน่หาอย่างเดียว ชายหนุ่มผู้นั้นไม่มีอะไรที่จะเหมือนกับยอดยุวมิตรของฉันเลย นอกจากจะมีนามว่า นพพร ซึ่งไปตรงกับนามของเธอเข้าเท่านั้น

แต่ถ้าในที่สุด เธอยังขัดขืนเป็นฝ่ายรับว่า ชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นคนเดียวกับเธอแล้ว เธอก็เป็นผู้ที่ก่อความพิศวงให้ฉันอย่างยิ่ง เธอทำให้ฉันรู้สึกไปว่า ในชั่วเวลาเดือนสองเดือนที่ฉันได้จากเธอมา เธอได้เติบโตเป็นชายหนุ่มใหญ่จนฉันจำไม่ได้ จนฉันคิดว่า ฉันกับเธอจะต้องตั้งต้นทำความรู้จักกันใหม่ โดยการแนะนำของใครสักคนหนึ่ง

เธอมาทำให้ฉันนึกถึงคำที่เวตาลพูดว่า แม้เทวดาก็ขืนใจคนหัวดื้อไม่ได้ ฉันดูเธอดื้อดึงนัก ในจดหมายฉบับหลังที่สุดนี้ ดูเธอไขหูต่อคำวอนของฉันเสียทุกข้อ เธอลืมที่ฉันสั่งไปหรือว่า ในเวลาที่เขียนถึงฉัน เธอควรจะเข้าไปเขียนในตู้น้ำแข็ง เพื่อว่าในจดหมายของเธอจะไม่เต็มไปด้วยความรู้สึกเร่าร้อนนัก ฉันคิดว่า ในเวลาที่เขียนถึงฉันครั้งหลังที่สุดนี้ เธออยู่ในฤดูเหมันต์ และกำลังจะได้เขียนในกองหิมะอยู่แล้ว แต่ไฉนเธอกลับไปไกลกว่าเก่าอีกเล่า?

​ยอดยุวมิตรของฉัน จดหมายของเธอมาทำให้ใจคอของฉันสั่นสะเทือนไปหมด เธอรู้ไหม? ฉันทั้งเศร้า ทั้งสงสารอย่างจับใจ และฉันนึกติตัวเองรุนแรงเพียงใด เธอรู้ไหม? เวรกรรมใดเล่าที่ส่งฉันไปโตเกียว และให้ได้ไปพบกับเธอ ครั้นแล้วเหตุการณ์ที่เศร้าสลดใจยิ่งก็อุบัติขึ้น ความรู้สึกบริสุทธิ์งามของเธอได้ถูกเผาไหม้เกรียมไป โดยความเป็นผู้หญิงของฉัน และโดยที่ฉันเป็นตัวของฉัน จิตใจหนุ่มแข็งแกร่งของเธอได้ตกสู่ความพิการไป ความละเอียดอ่อนแห่งชีวิตไร้เดียงสาของเธอ ถูกบดขยี้อย่างน่าเสียดายยิ่ง ฉันจะต้องชดใช้บาปกรรมอันนี้ไปอีกกี่ปีกี่ชาติกันเล่า จึงจะสิ้นเวรสิ้นกรรมกันที ถ้าเพียงแต่ฉันไม่ได้ไปโตเกียว และมิได้พบกับเธอเท่านั้นแล้ว เธอก็จะไม่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งความเสน่หาอันหนักถึงเพียงนี้ เธอก็จะไม่สูญเสียอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเธอให้แก่สิ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างสรรค์ขึ้นเป็นตัวตนของฉัน ถ้าเพียงแต่เธอกับฉันจะไม่ได้พบกันเท่านั้น แล้วเราทั้งสองก็จะไม่ตกสู่ความฝันร้ายถึงปานฉะนี้

แต่ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้ว เธอคงจะกลับเขียนมาเตือนสติฉันในจดหมายฉบับหลัง และก็จะมีประโยชน์อันใด ที่เรามัวมาคร่ำครวญวิงวอนให้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ให้กลับกลายไปสู่สภาพดุจที่ไม่เคยเกิดอีก นโปเลียนหรือซีซาร์ก็จะหมุนเข็มนาฬิกาของโลกกลับไปข้างหลังอีกไม่ได้ เธออาจจะเขียนตัดพ้อมาถึงฉันอย่างหัวเสียในฉบับหลัง

มิตรน้อยของฉัน ขอเธอจงมั่นใจเถิดว่า ฉันจะไม่พยายามกระทำและหวังในสิ่งที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดในโลกได้กระทำสำเร็จมาก่อน ฉันจะไม่พยายามหมุนเข็มนาฬิกาของโลกกลับไปข้างหลังเป็นอันขาด เราย่อมจะไม่พยายามทำเช่นนั้นตราบเท่าที่เรายังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่

แต่ก็เป็นความจริงเหมือนกันมิใช่หรือว่า การที่เธอจะคงปล่อยใจ​ให้ผูกพันฝันใฝ่ในตัวฉันสืบต่อไปนั้น ก็เป็นการใฝ่ฝันในสิ่งที่ว่างเปล่าและเป็นไปไม่ได้ดุจเดียวกัน ฉะนั้นแล้ว เธอจะคงยึดถือความผูกพันอันนั้นไว้เพื่อประโยชน์อันใดเล่า นี่แหละเป็นข้อที่ฉันอยากจะขอให้เธอตั้งเป็นข้อถามขึ้นถามแก่ตัวเธอเอง

เธอย่อมทราบดีว่า ฉันมีความรักใคร่เอ็นดูเธอลึกซึ้งปานใด และด้วยความรักใคร่เอ็นดูอันนี้แหละที่จะสั่นสะเทือนใจฉันทุกครั้ง ที่เธอพรรณนาถึงความรู้สึกอันเร่าร้อนของเธอที่มีต่อฉัน ที่จะนำความเจ็บปวดด้วยพิษสงสารมาสู่ความรู้สึกของฉันอย่างเหลือที่จะพรรณนา

ฉันจึงใคร่ขอต่อเธออีกครั้ง ดังที่ได้เคยขอไปแล้วครั้งหนึ่งในจดหมายฉบับก่อน คือขอว่า เธอจงเงยหน้าขึ้นเผชิญกับของจริง ของจริงที่ว่า หน้าที่ของเธอในกาลปัจจุบันนี้มีอยู่อย่างไร และหน้าที่ของฉันมีอยู่อย่างไร ตลอดเวลาที่จะอยู่ต่อไปในโตเกียวนั้น หน้าที่ของเธอมีอยู่อย่างเดียวแต่ว่าจะต้องศึกษาเล่าเรียนจนบรรลุความสำเร็จตามความมุ่งหมายอันสูงของเธอ มิใช่ว่าจะมัวเอาเวลามาใช้ให้เปลืองไปในการรำพึงถึงสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งจะไม่มีคุณค่าสาระอะไรต่ออนาคตอันรุ่งเรืองของเธอเลย ส่วนหน้าที่ของฉันนั้นเล่า ก็มีอยู่ว่าจะต้องภักดีต่อท่านเจ้าคุณสามีด้วยข้อผูกพันแต่เพียงว่า ฉันเป็นภรรยาของท่าน โดยไม่จำต้องคำนึงถึงอุดมคติในทางความรักแต่ประการใด สิ่งทั้งสองนี้เป็นของที่จะต้องแยกออกจากกัน ในเมื่อเรายังครองตัวอยู่ในโลกที่ถูกร้อยรัดไว้ด้วยระเบียบแห่งศีลธรรมจรรยา

ยอดยุวมิตรของฉัน ฉันขอวอนเธออีกครั้งหนึ่ง ขอเธอจงปฏิบัติหน้าที่ของเธอเพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองของเธอเอง และขออย่าเรียกร้องให้ฉันต้องละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันเสียเลย หน้าที่ของแต่ละคนอาจมีได้ตรึงตราอยู่แต่อย่างหนึ่งอย่างเดียวจนชั่วชีวิต ประตูแห่งกาล​อนาคตย่อมเปิดอ้าไว้เสมอ สำหรับต้อนรับการเปลี่ยนแปลง และโอกาสอาจจะมีสักครั้งคราวหนึ่งที่ทุกคนจะกระทำตามความคิดความปรารถนาของเขาได้ เธอจงยับยั้งตรึกตรองและบังคับใจไว้ให้ดี

และ ณ บัดนี้ ฉันขอออกกฎหมายแก่เธอ ฉันขอห้ามเป็นเด็ดขาดมิให้เธอกล่าวถึงเหตุการณ์บนเนินเขามิตาเกะอีกเลย ฉันขอสั่งลบคำไม้ซีดาร์ออกจากปทานุกรมพฤกษศาสตร์ของเธอ เธอจะต้องไม่รู้จักพันธุ์ไม้พันธุ์นี้ตลอดไป ตราบเท่าที่ข้อบังคับของฉันยังคงใช้อยู่ ถ้าเธอละเมิดกฎหมายของฉันเมื่อใด เธอก็จะได้รับอาญาของฉันทันที ฉันจะลงโทษเธอโดยทอดทิ้งเธอไว้แต่ลำพัง โดยไม่เขียนถึงเธอมีกำหนดเวลา ๓ เดือน และถ้าเธอยังขืนกระทำความผิดซ้ำอีก เธอจะได้รับโทษเพิ่มเติมในฐานไม่เข็ดหลาบอีกด้วย ฉันขอเรียกร้องให้เธอเคารพต่อบทกฎหมายของฉันอย่างเคร่งครัด

ฉันไม่ขัดข้องที่เธอจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่หาดกามากูระ เหตุการณ์ในราตรีเดือนหงาย ณ สวนสาธารณะที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง และเหตุการณ์อื่น ๆ ตลอดจนผ้าพันคอไหมผืนน้อยนั้น แต่เธอก็จะต้องกล่าวถึงแต่โดยสุภาพ และโดยปราศจากความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรง

จงคิดถึงฉันเถิดคนดี คิดถึงแต่น้อย ๆ และนานเท่าใดก็ได้

ฉันคิดถึงและเอ็นดูเธอไม่จืดจาง จะคิดถึงและเอ็นดูเธอชั่วนิรันดร ขอลาก่อนมิตรน้อยของฉัน

                                                                       ด้วยใจจดจ่อในความผาสุกของเธอ

                                                                                       กีรติ

 




2

๑๙

ข้าพเจ้าไม่ได้คิดฝันไปเลยแม้แต่น้อยว่า การไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งนั้น จะเป็นการเปิดฉากแห่งกาลอวสานของเธอ และร้ายกาจอะไรเช่นนั้นเล่าที่ฉากใหม่ได้ปิดลงในเวลาอันรวดเร็วนัก!

การแต่งงานระหว่างข้าพเจ้ากับปรีดิ์คู่หมั้น ได้กระทำลงตามวันเวลาที่ได้กำหนดไว้ ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงว่าการแต่งงานของเราได้เป็นไปอย่างเอิกเกริกมโหฬาร เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีแก่ตัวข้าพเจ้าและภรรยาของข้าพเจ้าเพียงใด. ข้อที่ข้าพเจ้านึกเสียดายอยู่ไม่วายก็คือ หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มาในวันแต่งงานของเรา เธอให้คนถือหนังสือมาให้ข้าพเจ้าในตอนบ่าย บอกว่าเธอป่วยไม่สามารถจะมาได้ และได้ประสาทพรมาในจดหมาย และได้บอกไว้ด้วยว่าจะมาเยี่ยมข้าพเจ้าเมื่อคลายป่วยแล้ว.

ข้าพเจ้าได้กะการไว้แล้วว่า จะพาภรรยาไปพักผ่อนที่หัวหินสักสองสัปดาห์. ก่อนจะลงไปหัวหิน ข้าพเจ้าได้พาภรรยาไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติที่บ้าน ซึ่งเป็นเวลาหลังจากแต่งงานแล้ว ๓ วัน. ​เธอบอกกับเราว่าค่อยคลายจากความป่วยไข้แล้ว และตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนเราในเร็ววัน. ข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้ถนัดชัดเจนว่าเธอซูบเซียวลงไปกว่าปรกติ. เมื่อได้รับคำซักถามถึงอาการเจ็บป่วย เธอบอกว่ารู้สึกอ่อนเพลียและในวันแต่งงานของเรานั้นมีอาการเป็นไข้ด้วย. ในวันนั้นหม่อมราชวงศ์กีรติดเชื่อมซึมไป พูดน้อย. เธอขอให้เราเล่าถึงความเป็นไปในวันแต่งงาน แล้วเธอก็นิ่งฟัง และซักบ้างเป็นครั้งคราว และถามถึงความรู้สึกของปรีดิ์ในวันแต่งงาน. ข้าพเจ้าใช้เวลาเยี่ยมเธอในวันนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ลากลับ ด้วยเกรงว่าเธอจะไม่มีความผาสุกเนื่องด้วยยังไม่สบายเป็นปรกติ.

ออกมาข้างนอก ปรีดิ์ออกความเห็นว่า “อ่อนหวานและยังสวย แต่ว่าดูเป็นคนลึกลับอยู่สักหน่อย.”

□ □ □

๒ เดือนผ่านไป. เหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญหาย และเปิดเผยความลับทั้งมวลได้อุบัติขึ้นในเย็นวันหนึ่งของเดือนธันวาคม!

ในเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับจากที่ทำการมาถึงบ้าน และยังไม่ทันผลัดเครื่องแต่งกาย เด็กเข้ามาบอกว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่งมาหา ต้องการพบข้าพเจ้าเป็นการด่วน ข้าพเจ้าจึงรีบไปพบในห้องรับแขก. สุภาพสตรีผู้นั้นคือน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งนั่งคอยข้าพเจ้าอยู่ด้วยสีหน้าท่าทีที่เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย.

“คุณหญิงต้องการพบผมเป็นการด่วนหรือครับ?” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย

“คุณหญิงกำลังป่วยหนัก” หล่อนพูด.

“เมื่อผมไปพบครั้งหลังนั้น ก็กำลังสบายดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือครับ?” ​ข้าพเจ้าตั้งคำถามด้วยความตกใจและประหลาดใจระคนกัน “นี่ป่วยเป็นอะไรไปอีก.”

หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ป่วยเป็นวัณโรคอ่อน ๆ มาประมาณสองปี เดิมทีก็เป็นที่เข้าใจกันว่า ถ้าได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีแล้ว อาการของโรคก็จะไม่กำเริบรุนแรงจนถึงจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตโดยรวดเร็ว และมีหวังว่าจะหายได้ แต่ต่อมาเมื่อ ๒ เดือนล่วงแล้ว อาการของโรคได้ผันแปรไปในทางรุนแรงขึ้น และในระยะ ๒-๓ วันมานี้มีอาการหนักขึ้นอย่างเป็นที่น่าวิตกมาก มีไข้อย่างแรง มีอาการเพ้อเป็นครั้งคราว และในเวลาที่เพ้อนั้นมักจะพรรณนาถึงเมื่อครั้งไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเจ้าคุณสามี และออกชื่อข้าพเจ้าเนือง ๆ.

“เวลามีคนไปเยี่ยม และยังไม่ทันจะออกนาม เธอมักจะถามทุกครั้งว่า ‘นพพรมาเยี่ยมฉันหรือ?’ เธอถามในเวลาที่มีสติ.” หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังต่อไป “เมื่อตอบว่าไม่ใช่ เธอก็ถอนใจใหญ่และไม่พูดอะไร ครั้นดิฉันถามว่าต้องการพบคุณนพพรหรือ เธอก็ส่ายหน้าและซ้ำกำชับแข็งแรงว่า ‘อย่าไปตามนพพร อย่าไปรบกวนความสุขของเขาเป็นอันขาด’ แต่เมื่อมีคนมาเยี่ยมอีก เธอก็ถามถึงคุณอีก ดิฉันเชื่อแน่ว่าเธอต้องการพบคุณอย่างที่สุด แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเธอจึงไม่ให้มาตาม. ดิฉันสงสารเธอเหลือเกิน และทนดูต่อไปไม่ได้ จึงได้ปลีกเวลามาพบคุณ. แต่ดิฉันไม่ได้บอกให้เธอทราบ ดิฉันหลอกเธอว่าหมอให้มาซื้อยา และหมอทราบความจริงดีว่าดิฉันจะไปไหน.”

ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าการณ์จะเป็นไปจริงตามนั้น. เหตุใดหม่อมราชวงศ์กีรติจึงล้มเจ็บลงอย่างหนักโดยเร็วพลันนัก และเหตุใดเธอจึงเพ้อพูดออกนามข้าพเจ้ามิหยุดหย่อน แต่การณ์ก็เป็นไปจริงตามที่คุณน้าของเธอได้เล่าให้ฟังทุกประการ. ข้าพเจ้าไม่ได้ซักถามอะไรอีก​เมื่อผู้เล่าได้เล่าจบลง. ข้าพเจ้าตกใจและเป็นห่วงชีวิตของเธออย่างยิ่ง. เรารีบตรงไปบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติทันที. ใกล้จะถึงบ้านข้าพเจ้าได้รับกำชับว่าอย่าได้แพร่งพรายให้เธอทราบเป็นอันขาดว่า ได้มีผู้มาตามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ารับคำอย่างมั่นคง.

คุณนายผู้นั้นนำข้าพเจ้าไปพักในห้องรับแขก สักครู่หนึ่งนายแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาลหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้เข้ามาสนทนากับข้าพเจ้า. ท่านนายแพทย์ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า อาการของคนไข้อยู่ในที่หมดหวัง จะเร็วหรือช้าเท่านั้น. ข้าพเจ้าได้ทราบจากท่านนายแพทย์ด้วยว่า พวกญาติของหม่อมราชวงศ์กีรติทุกคนลงความเห็นว่า เราทั้งสองคงจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันเป็นพิเศษ และโดยเหตุฉะนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติก็ควรจะได้พบข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งก่อนจะตาย. ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่โดยอาการสงบสำรวม ในใจเต็มตื้นไปด้วยความกำสรดโศกสุดที่จะพรรณนา.

ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ประมาณ ๑๐ นาที คุณนายผู้นั้นจึงได้ออกมาพบและรายงานให้ทราบว่า ข้าพเจ้ามาเหมาะกับเวลา เพราะว่า​หม่อมราชวงศ์กีรติกำลังมีสติค่อนข้างเป็นปรกติ.

“คุณหญิงพร้อมที่จะให้ผมเข้าไปพบหรือยัง?” ข้าพเจ้าถาม.

“โปรดค่อยอีกสักครู่เถิดค่ะ เธอกำลังแต่งตัว.”

“เอ๊ะ! ทำไมต้องแต่งตัว?” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความแปลกใจ “ก็คุณนายบอกผมว่าคุณหญิงเจ็บหนักไม่ใช่หรือครับ? ทั้งนายแพทย์ก็ยืนยันเช่นนั้น.”

คุณนายนั่งลงแล้วเล่าเรื่องให้เราฟัง.

“คุณหญิงกำลังเจ็บหนักถูกแล้วค่ะ และดิฉันก็ไม่ทราบว่าเหตุใดเธอจึงจะต้องแต่งตัว. ดิฉันได้ท้วงว่าคุณนพพรมิตรสนิทของเธอมาเยี่ยม ไม่จำเป็นจะต้องเอาใจใส่ในการแต่งตัวอะไร. เธอยิ้มตอบ. เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเห็นเธอยิ้มอย่างมีชีวิตจิตใจ นับแต่เธอล้มเจ็บหนักเป็นต้นมา. เธอตอบคำท้วงของดิฉันว่า ‘เป็นการจำเป็นมากที่ฉันจะต้องแต่งตัวอย่างสะสวยเพื่อรับรองมิตรที่รักของฉัน. สุธารจงช่วยแต่งตัวให้พี่’ เธอหันไปพูดกับน้องสาวของเธอ ‘แต่งอย่างดีที่สุดตามที่เธอทราบแล้วว่าพี่พอใจอย่างไร. แต่งผมให้พี่ใหม่ และทาริมฝีปากตามแบบของพี่ แล้วไปขนเสื้องาม ๆ ในตู้มาให้พี่เลือกดู. สุธาร จงช่วยชุบพี่ให้งามอีกสักครั้งหนึ่งก่อนที่พี่จะตาย’ เธอยิ้มอย่างอ่อนแรง แต่ว่าดิฉันกับสุธารหน้าเศร้าและแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ด้วยความสงสารอย่างจับใจ. ในที่สุดเราก็จำต้องยอมผ่อนตามความประสงค์ของเธอ นี่สุธารกำลังแต่งตัวให้เธออยู่ค่ะ.”

ขณะที่เล่านั้น มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของผู้เล่า และเห็นได้ว่า ได้พยายามกล้ำกลืนอาการสะอื้นไว้อย่างเต็มที่. ท่านนายแพทย์ก้มหน้าฟังด้วยกิริยาสงบ.

“เธอถามดิฉันว่า ‘ได้บอกหรือเปล่าว่าฉันเจ็บหนักใกล้จะตาย’” ​คุณนายเล่าต่อไป “ดิฉันจำต้องพูดเท็จเพื่อเอาใจเธอ เพราะรู้ดีว่าเธอไม่ประสงค์ให้คุณทราบว่าเธอเจ็บหนัก. แล้วเธอพูดด้วยความพอใจว่า ‘ดีมาก คุณน้า, ขอให้บอกนพพรเพียงว่า ฉันไม่ใคร่สบาย อย่าให้เขาตกอกตกใจ.’”

เมื่อคุณนายหยุดเล่า เราทั้งสามคนก็พากันนิ่งเงียบกริบ. ไออากาศในห้องรับแขกเต็มไปด้วยความโศกและวิเวกวังเวง. สักครู่คุณนายก็ลุกไป เพื่อไปดูว่าหม่อมราชวงศ์กีรติแต่งตัวพร้อมแล้วหรือยัง. ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา หล่อนมาบอกข้าพเจ้าว่าพร้อมแล้ว และนำข้าพเจ้าไปยังห้องคนเจ็บ. ระหว่างที่เดินไปนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเหงาใจประหนึ่งว่ากำลังเดินไปเยี่ยมศพของคนที่รักที่สุดคนหนึ่ง มากกว่าจะไปเยี่ยมบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่.

หม่อมราชวงศ์กีรตินอนเจ็บอยู่ในห้องนอน. เมื่อข้าพเจ้าย่างเท้าก้าวล่วงธรณีประตูห้องเข้าไปนั้น ข้าพเจ้างงไปชั่วขณะหนึ่ง. ข้าพเจ้ามุ่งคิดไปแต่ว่า จะต้องเผชิญกับภาพของคนเจ็บที่ใกล้จะตาย นอนอยู่ในห้องที่ออกจะขมุกขมัวด้วยอับอากาศ เกลื่อนไปด้วยขวดยา และมีคนสองสามคนนั่งดูอาการอยู่ ฟูมฟายไปด้วยน้ำตา.

แต่มโนภาพของข้าพเจ้าคลาดจากความจริงไปหมด ภายในห้องนั้นเปล่งปลั่งไปด้วยแสงสว่างของยามเย็นเวลาประมาณ ๕ โมง ซึ่งสาดเข้ามาทางหน้าต่างทุกบานซึ่งเปิดอ้าออกเต็มที่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอยู่บนที่นอน หลังพิงหมอนด้านหัวเตียง เหยียดเท้าไปตามส่วนยาวของเตียง. มีผ้าขาวลวดลายศิลปะแบบจีนสีเขียวคลุมกายท่อนล่าง สวมเสื้อสีเดียวกับลวดลายของผ้าคลุมนั้น และยังมีเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำสวมอยู่อีกชั้นหนึ่ง เป็นการปกป้องกำบังมิให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นส่วนต่าง ๆ แห่งร่างกาย ซึ่งจะชวนให้ลงความเห็นได้ว่า ร่างนั้นกำลังเคลื่อนเข้ามา​อยู่ใกล้แดนมรณะเต็มทีแล้ว. ทรงผมและดวงหน้าได้รับการตบแต่งอย่างประณีตบรรจง สามารถพรางความเหี่ยวแห้งทรุดโทรมอันแทบจะถึงซึ่งภินทนาการไว้ได้ในชั่วขณะที่ได้เหลือบดูไปแต่ผาด ๆ. รูปสามเหลี่ยมสีแดงสามรูปบนริมฝีปากงามคู่นั้น แทบจะทำให้ข้าพเจ้าหลงไปว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้ประสบความป่วยเจ็บแต่อย่างใดเลย.

บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียงตั้งแจกันแก้วเจียระไน บรรจุช่อคริสต์มาสสีแดงสดชื่นระรื่นตา. ที่ริมหน้าตาข้างเตียงนอนมีกรงนกคีรีบูนแขวนอยู่สองกรง เจ้านกน้อยกำลังโลดเต้นและส่งเสียงร้องอยู่อย่างผาสุก. ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องได้รับการตบแต่งจัดไว้อย่างสวยงาม ไม่มีร่องรอยว่าจะเป็นห้องของบุคคลที่กำลังเจ็บหนักใกล้ถึงกาลอวสานเลย. ข้าพเจ้าแทบจะสงสัยไปว่า นี่ถูกหลอกหรืออย่างไร.

เมื่อเหลือบเห็นข้าพเจ้าเข้ามายืนอยู่ในห้อง หม่อมราชวงศ์กีรติได้วางหนังสือที่ถืออยู่ในมือไว้ข้างกาย เพื่อจะแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าหล่อนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะเข้าไป.

“นพพร, เชิญนั่งที่นี่” เธอชี้เก้าอี้ที่ตั้งไว้ริมเตียง “ฉันไม่สบายไปนิดหน่อย จึงต้อนรับเธอบนที่นอน.”

ได้สดับเสียงเธอ ข้าพเจ้าใจหายวาบ เพราะว่าเสียงนั้นแหบแห้งและแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินถนัด. ข้าพเจ้าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยกิริยาสงบ.

“ผมมาเยี่ยมคุณหญิงด้วยความคิดถึง.”

“ขอบใจมาก. ฉันรู้ว่าเธอยังไม่ลืมฉันเสียทีเดียว.” เธอยิ้มอย่างชื่นใจ พลางเลี้ยวศีรษะไปทางสุภาพสตรีสาวผู้หนึ่ง ซึ่งยืนคอยระแวดระวังเธออยู่ทางด้านหัวเตียง “นี่สุธารน้องสาวของฉัน เป็นผู้ซึ่งประสบความรักและความสุขในการแต่งงานตามที่ฉันเคยพูดถึง.”

​ข้าพเจ้าก้มศีรษะให้สุธาร.

“ทุกคนจะออกไปพักข้างนอกก่อนก็ได้ และรวมทั้งสุธารด้วย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป “ปล่อยฉันไว้กับนพพรแต่ลำพัง.”

คนเหล่านั้นมองดูตากัน ส่วนข้าพเจ้าสงบนิ่ง.

“ขออย่าเป็นห่วง เพราะว่าฉันไม่ได้ป่วยเจ็บนักหนาอะไร.”

สุธารเดินมาปรึกษากับคุณน้า สักครู่หนึ่งท่านนายแพทย์เข้ามากระซิบบอกข้าพเจ้าว่า อย่าอยู่สนทนากับเธอนานนัก จะทำให้เธออ่อนเพลียมากเกินไป.

เมื่อทุกคนออกไปนอกห้องแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติทอดสายตามองมาทางข้าพเจ้าด้วยแววตาที่แสดงว่ามีความผาสุก ข้าพเจ้าลากเก้าอี้เข้าไปจนชิดเตียง.

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้พบเธอในวันนี้ ฉันไม่คิดว่าจะได้พบเธออีกเลย แม้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉัน” นัยน์ตาเธอจ้องมองข้าพเจ้าอยู่ไม่วาง.

“เดี๋ยวนี้ผมก็ได้มาอยู่ต่อหน้าคุณหญิงแล้ว และผมจะอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่คุณหญิงต้องการ” ข้าพเจ้าตอบด้วยเสียงหนักแน่น.

“เป็นไปไม่ได้ดอกนพพร เพราะว่าเธอไม่ใช่ของฉัน.”

“ผมไม่เข้าใจว่า คุณหญิงหมายความว่ากระไร.”

“ถูกแล้วเธอไม่ควรจะเข้าใจ เพราะว่าเธอไม่เคยเข้าใจฉันเลย นับแต่วันแรกที่เราได้รู้จักกัน” ดูเหมือนความรู้สึกเย้ยหยันจะได้ปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ.

“โปรดบอกผม ว่ามีอะไรอีกบ้างที่ผมยังไม่เข้าใจ.”

“เธอไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เธอไม่เข้าใจทั้งหมด. ไม่เข้าใจแม้แต่ตัวของเธอเอง.”

​ข้าพเจ้าแปลความหมายของเธอไม่ออก ข้าพเจ้ามองดูเธอด้วยความฉงนสนเท่ห์ใจ.

ขณะนั้นเธอสอดมือลงไปใต้หมอนอีกใบหนึ่ง และล้วงเอากระดาษภาพแผ่นหนึ่งมาถือไว้ในมือ.

“นี่เป็นภาพที่ฉันได้วาดขึ้นด้วยฝีมือของฉันเอง ภายหลังที่ฉันกลับจากญี่ปุ่น. ฉันขอมอบภาพนี้ให้เป็นของขวัญในการแต่งงานของเธอ.”

ข้าพเจ้ารับมาพินิจดูด้วยความสนใจ ภาพนั้นวาดด้วยสีน้ำ แสดงถึงภาพลำธารที่ไหลผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาทึบตามลาดเขา อีกด้านหนึ่งของลำธารเป็นทางเดินเล็ก ๆ ผ่านไปบนชะง่อนหิน บางตอนก็สูงบางตอนก็ต่ำ ตะปุ่มตะป่ำไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อย มีพรรณไม้เลื้อยและดอกไม้ป่าสีต่าง ๆ บนต้นเล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหินผานั้น ไกลออกไปบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง อยู่ต่ำลงไปจนเกือบติดลำธาร แสดงภาพของคนสองคนนั่งอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่วาดให้เห็นในระยะไกล ตอนล่างของมุมหนึ่งเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ ว่า “มิตาเกะ”.

ข้าพเจ้าพยายามจะค้นคว้าความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติ ในการที่ให้ของเล็กน้อยสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า.

“ฝีมือไม่ดีดอกนพพร แต่ว่ามีชีวิตและดวงใจอยู่ในภาพนั้น มันจึงสมที่จะเป็นของขวัญในวันแต่งงานของเธอ” เมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ เธอถามว่า “จำได้ไหม นพพร ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น.”

ข้าพเจ้าระลึกเห็นเหตุการณ์ที่เขามิตาเกะได้อย่างแจ่มกระจ่าง และข้าพเจ้ากำลังจะเข้าใจในความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติได้ราง ๆ.

“ความรักของผมเกิดที่นั่น” ข้าพเจ้าตอบ

​“ความรักของเรา, นพพร” พูดแล้วเธอหลับตา และพูดต่อไปอย่างแผ่วเบาเหลือเกิน “ความรักของเธอเกิดที่นั่น และก็ตายที่นั่น แต่ของอีกคนหนึ่งยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ.”

น้ำตาไหลซึมออกมาจากเปลือกตาที่ยังปิดอยู่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งนิ่งสงบไปด้วยหมดแรง.

ข้าพเจ้าพินิจดูร่างนั้นด้วยความรักความอาลัยแทบใจจะขาด.

□ □ □

อีก ๗ วันต่อมา หม่อมราชวงศ์กีรติก็ถึงแก่กรรม. ข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าเธอ พร้อมด้วยบรรดาญาติของเธอในระหว่างชั่วโมงอันมืดครึ้มนั้น ก่อนหน้าจะสิ้นใจ เธอขอดินสอกับกระดาษ เธอต้องการจะพูด ประโยคสุดท้ายกับข้าพเจ้า แต่หมดเสียง หมดเรี่ยวแรง เธอจึงเขียนลงบนกระดาษว่า :

ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน.

แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก.

 



3

๑๘

หลังจากวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ไปเยี่ยนเยียนเธออีก เนื่องด้วยมีความหมกมุ่นอยู่ด้วยกิจธุระงานการ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงไป ๒ เดือนเศษ และท่านบิดาได้บอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านได้กำหนดวันประกอบการพิธีวิวาหมงคลของข้าพเจ้าไว้แล้ว ซึ่งจะตกในเวลา ๓ เดือนข้างหน้า.

เมื่อได้ทราบกำหนดการแต่งงาน ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปรายงานเรื่องราวให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบโดยคารวะ. ในการเยี่ยมครั้งที่สอง หม่อมราชวงศ์กีรติได้รับรองข้าพเจ้าในห้องรับแขก แต่ถึงกระนั้นก็ปราศจากผู้ที่จะมารบกวนขัดขวางการสนทนาของเรา.

จากการสนทนาปราศรัยในตอนแรก ๆ แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติจะมิได้ตั้งใจแสดงให้ทราบว่า เธอออกจะผิดหวังไม่น้อย ในการที่ข้าพเจ้าได้ทอดระยะเวลาการเยี่ยมครั้งแรกและครั้งที่สองห่างจากกันถึง ๒ เดือน แต่ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นได้ว่า เธอรู้สึกผิดหวังจริง ๆ และดูจะมีความ​เสียใจอยู่ที่ข้าพเจ้าได้วางตนผิดไปจากความคาดหมายของเธอ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเองไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า อะไรเป็นมูลเหตุก่อให้เธอเกิดความรู้สึกเช่นนั้น จะเป็นเพราะเธอมีความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้า เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะคาดหมายได้ หรือเพราะเหตุอันใดก็เหลือที่ข้าพเจ้าจะทราบได้.

แต่แม้จะได้สังเกตเห็นในน้ำใจของหม่อมราชวงศ์กีรติดังนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวความสังเกตออกมาให้เป็นที่แจ้งประจักษ์ เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีประสงค์จะแก้ว่า ต้องติดโน่นติดนี่ จึงมาเยี่ยมเธอไม่ได้บ่อย ๆ ด้วยถ้าจะแก้ดังนั้นแล้วก็อาจจะกลับเพิ่มความขมขื่นใจของเธอทับทวีขึ้น ข้าพเจ้าจึงเป็นแต่รับทราบความผิดหวังของเธอไว้เงียบ ๆ

ภายหลังที่ได้สนทนาด้วยเรื่องต่าง ๆ พอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มเรื่องที่ได้ตั้งใจจะมาบอกเล่าให้เธอทราบ

“ผมมีข่าวใหม่จะมาบอกคุณหญิง.”

“ฉันหวังว่าเป็นข่าวดีมากแก่ตัวเธอ และคงจะเป็นข่าวเกี่ยวกับ​ความก้าวหน้าในทางงานการของเธอเป็นแน่” เธอคอยฟังคำตอบจากข้าพเจ้าด้วยความสนใจ.

“หามิได้ เป็นข่าวดีจริง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานการ คุณหญิงคงจะดีใจมากถ้าผมจะแต่งงานในไม่ช้านี้.”

ข้าพเจ้าสังเกตว่าคุณหญิงมีอาการสะดุ้งนิดหน่อย อาจเป็นด้วยข่าวใหม่นี้ไม่อยู่ในความคาดหมายของเธอ.

“นพพรจะแต่งงาน?” เธอทวนคำอย่างไม่แน่ใจ “เธอจะแต่งกับสุภาพสตรีที่ไปรับเธอในวันแรกที่ถึงกรุงเทพฯ ใช่ไหม?”

“คุณหญิงรู้เรื่องของเราตลอดแล้วหรือครับ?”

“เปล่า ฉันไม่รู้เลย ฉันเป็นแต่คาดคะเนเอา เธอมีการติดต่อกันมานานแล้วหรือ?”

“เธอเป็นคู่หมั้นของผม.”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สีหน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติแทนที่จะ​เปล่งปลั่งด้วยความยินดี กลับแสดงว่าเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย.

“ตั้ง ๗-๘ ปีมาแล้วครับ ก่อนหน้าผมออกไปญี่ปุ่นนิดหน่อย.”

“แต่ตลอดเวลาที่ฉันพบเธอในโตเกียว เธอไม่ได้บอกเรื่องคู่หมั้นของเธอให้ฉันทราบเลย” เสียงของเธอแสดงว่ามีความพิศวงสงสัยยิ่งขึ้น.

“อาจเป็นด้วยผมเองไม่ได้สนใจในเรื่องการหมั้นนั้นเลย.”

“และเดี๋ยวนี้เธอได้ตกลงปลงใจจะแต่งงานกับสตรีที่เธอไม่เคยสนใจมาก่อน.”

“เป็นความประสงค์ของคุณพ่อท่าน และผมก็ไม่มีข้อขัดข้องอะไร อันที่จริงเธอก็เป็นสตรีที่ได้รับการศึกษา และมีฐานะดีพอ. การแต่งงานคงจะช่วยให้ชีวิตของผมเป็นหลักฐานดีขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติจ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจในความหมายได้เป็นครู่หนึ่ง เธอจึงพูดขึ้นว่า “เธอยังไม่ได้บอกนามสตรีคู่หมั้นของเธอแก่ฉัน.”

“ชื่อปรีดิ์ครับ ปรีดิ์ บูรณวาท.”

“รูปงาม นามเพราะ” เธอยิ้มอย่างเลื่อนลอย อย่างไม่มีความแน่นอนใจ “ฉันขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อเธอ.”

แล้วเธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้บอกกับเธอว่า “คุณหญิงเป็นคนแรกที่ได้แสดงความยินดีต่อผม”

“นับเป็นเกียรติยศอย่างสูงที่ฉันได้รับ” เธอตอบโดยกิริยาเสงี่ยม.

เรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ระหว่างที่ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกว่า จะสนทนากับเธอด้วยเรื่องอะไรต่อไป หม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดขึ้นก่อน.

“นพพร, เธอมีอุดมคติอย่างไรในการแต่งงาน?”

“ผมแทบจะจำนนคำตอบ ผมไม่ถนัดในการตอบปัญหาเช่นนี้.”

“เธอเคยถามปัญหาจุกจิกกับฉันมาก และฉันไม่เคยหลีกเลี่ยงเลย ​เมื่อถึงคราวฉันถามเธอบ้าง เธอก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้.”

“ผมไม่ตั้งใจจะหลีกเลี่ยง แต่ผมเกรงว่าผมไม่มีอุดมคติอะไรในการแต่งงานที่จะชี้แจง.”

“ประหลาดที่เธอบอกว่า เธอไม่มีอุดมคติในการแต่งงาน” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ถอนใจ

“ผู้ชายทุกคนเป็นอย่างเธอหรือ, นพพร?”

“ทุกคนคงจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากอาจเป็นเช่นผมก็เป็นได้” ข้าพเจ้าตอบไปตามความรู้สึก“ผู้ชายคงจะมีอุดมคติในเรื่องการงาน ยิ่งกว่าจะมีในเรื่องอื่นเช่นผมเป็นต้น.”

“นี่เธอรักคู่หมั้นของเธอหรือเปล่า?”

“เรามีเวลาพบปะกันน้อย เราต่างก็มีความพอใจในกันตามสมควร และผมหวังว่าเราจะรักกันได้เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว.”

“สำหรับหนุ่มสาว ความรักไม่สู้จำเป็นนักดอกหรือ ก่อนที่จะได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน?” เป็นคำถามที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ฉันเคยได้ยินแต่ว่า รักกันไว้เถิดแต่อย่าแต่งงานกัน แต่นี่นพพรจะแต่งงาน และจะไปรักกันต่อภายหลัง.”

“ถ้ามีความรักต่อกันก่อนแต่งงานก็คงจะเป็นการดียิ่งขึ้น. อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าความรักเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือทน และเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน.”

“อะไรทำให้เธอมองเห็นความรักไปในแง่นั้น?”

“เพราะว่าครั้งหนึ่งผมเคยรัก.”

“โปรดเล่าเรื่องของเธอไปให้ตลอด” ความแจ่มใสปรากฏขึ้นในแววตาของหม่อมราชวงศ์กีรติ.

“คุณหญิงทราบเรื่องนั้นละเอียดลออดีอยู่แล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคุณหญิงไปญี่ปุ่นและกระทั่งได้จากผมมา. ความรักให้ความชุ่มชื้นใน​เบื้องต้น แต่ได้จบลงด้วยทุกข์ทรมานอย่างแสนร้ายกาจ ผมได้คิดในตอนหลังว่า ผมได้ปล่อยตัวให้เตลิดเพริดไปอย่างไม่สมควรยิ่ง ผมควรจะรักและนับถือคุณหญิงดุจพี่สาวของผม ผมรู้ตัวว่าผมได้ทำผิดไปมากในระหว่างนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผมได้พยายามลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างเด็ดขาด และก็ในครั้งนั้นเหมือนกันที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวของผมเองว่า ความรักที่ร้อนเป็นไฟเช่นนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทรมานเพียงไร ผมเชื่อว่าผมจะไม่มีความรักเช่นนั้นอีกแล้ว.”

หม่อมราชวงศ์กีรติมองอย่างเหม่อ ๆ ไปข้างหน้า ไม่ได้ตอบว่ากระไร.

“ผมไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับคุณหญิงอีกเลย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป “มันทำให้ผมละอายและชังตัวเอง.”

“คนเรามีความคิดเห็นในเรื่องความรักแตกต่างกัน และฉันเห็นด้วยกับเธอ ในข้อที่ว่าความรักบีบคั้นทรมานใจเรามาก และในบางคราวก็เหลือที่จะทนทาน เธอทำถูกต้องอย่างคนทั้งหลายทั่วไปแล้ว ที่ปลีกตนออกมาพ้นจากความทรมานนั้นได้ และลืมความหลังเสียได้ แต่คนโง่ ๆ บางคนอาจปฏิบัติไม่ได้เช่นเธอ. ฉันขอแสดงความยินดีต่อเธออีกครั้งหนึ่ง” เธอหยุดนิ่งไปเป็นครู นัยน์ตาไม่ได้แลจับนัยน์ตาข้าพเจ้า และเมื่อเบือนหน้ากลับมาเผชิญหน้ากัน เธอถามว่า “นี่เธอกำหนดจะแต่งงานเมื่อไหร่?”

“คุณพ่อบอกกับผมว่าอีกประมาณ ๓ เดือน.”

“ฉันขออวยพรล่วงหน้าไว้ก่อน ฉันเป็นผู้ที่มีความเชื่อถือในความรัก ฉะนั้นฉันขออวยพรให้เธอทั้งสองได้รักกัน จะก่อนหรือหลังแต่งงานก็ตาม แต่ขอให้รักกันอย่างดีที่สุดและโดยเร็วที่สุด” เธอหยิบถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่ตรงหน้าและชูขึ้นด้วยกิริยาการที่ค่อนข้างกระปรี้​กระเปร่า ยิ้มอย่างเปล่งปลั่งให้ข้าพเจ้าก่อนที่จะได้พูดต่อไป “ฉันขอดื่มให้เธอ มิตรที่รักของฉัน สำหรับความสุขและความรักของเธอทั้งสอง” จิบน้ำชาแล้วเธอวางถ้วยลงและพูดต่อไปว่า “ฉันเป็นคนแรกที่จะรับช่วยทุกสิ่งทุกอย่างในการแต่งงานของเธอ.”

เมื่อได้อยู่สนทนาต่อไปอีกครู่ใหญ่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเธอมีอาการไม่ใคร่สบาย แต่ดูเหมือนเธอพยายามจะซ่อนเร้นมิให้ปรากฏ เพื่อที่จะได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อข้าพเจ้าได้เต็มที่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความสังเกตให้เธอทราบ เป็นแต่ได้รีบลาเธอกลับโดยอ้างว่ามีกิจที่จะต้องกระทำ ถึงกระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้อยู่สนทนากับเธอเกือบสิ้นเวลาสองชั่วโมง ข้าพเจ้าเสียดายที่มาบอกข่าวสำคัญ ประจวบกับเวลาที่เธอไม่ใคร่สบาย ถ้าเป็นในเวลาปรกติแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติคงจะแสดงความตื่นเต้นยินดียิ่งกว่านั้นหลายเท่า และจะไม่ยอมให้ข้าพเจ้าลาจากมาโดยไวเป็นแน่. นี่เป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้าในเวลานั้น.

 



4

๑๗

หลังจากได้มาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๕ วัน ข้าพเจ้าจึงได้พบเวลาอันเหมาะที่จะไปเยี่ยมเยียนหม่อมราชวงศ์กีรติ ที่จริงก็ออกจะล่าไปสักหน่อย ข้าพเจ้าควรจะได้เยี่ยมเธอเร็วพลันกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีกิจธุระด่วนหลายอย่าง ที่ควรทำให้เสร็จสิ้นไป และโดยมากก็เป็นกิจธุระที่เกี่ยวกับงานอาชีพ ซึ่งในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความสนใจอยู่ยิ่งกว่ากิจอื่นใดทั้งหมด.

ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเธอที่บ้านตำบลบางกะปิ ปลูกเป็นตึกย่อม ๆ ชั้นเดียว ในบริเวณอันกว้างใหญ่ประมาณ ๓ ไร่ โดยรอบมีรั้วต้นมอร์นิ่งกลอรี่ ซึ่งสะพรั่งไปด้วยใบสีเขียวและดอกสีม่วง แลดูหนาทึบ ตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินลึกเข้าไปในบริเวณ ดูเด่นเห็นถนัด. บริเวณหน้าบ้าน ทำเป็นสนามสำหรับเดินเล่น ผ่านไปในสวนดอกไม้นานาชนิด มีสระใหญ่อยู่ทางด้านซ้ายของบริเวณ ใกล้กับริมประตูทางเข้า มีศาลาเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ ปกคลุมด้วยพรรณไม้เลื้อย ดูเป็นที่รื่นรมย์ใจ.

​ความรู้สึกอันแรกที่เกิดแก่ข้าพเจ้า เมื่อไปถึงบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็คือรู้สึกว่า เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่สุดหลังหนึ่งในตำบลบางกะปิ เมื่อได้เปรียบเทียบกับบ้านจำนวนสิบกว่าหลัง ที่ข้าพเจ้าได้ผ่านมาในระหว่างทาง บ้านเหล่านั้นล้วนเป็นบ้านที่สวยงามทุกบ้าน แต่ภูมิฐานการตบแต่งภายในบริเวณจะได้บรรจุเอาความสงบรื่นรมย์ใจไว้ เสมอด้วยบ้านของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้นหามีไม่ เมื่อทอดทัศนาดูสวนดอกไม้ซึ่งมีหลายแห่ง ประกอบด้วยหินก้อนโต ๆ ก็ชวนให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่า ได้คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มานาน ทั้งนี้เนื่องแต่ลักษณะวิธีการตบแต่งสวน ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก กับลักษณะวิธีของชาวญี่ปุ่น พรรณไม้ต่าง ๆ ไม่จัดสรรไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมีกำหนดกฏเกณฑ์ หากตบแต่งปลูกขึ้น ไว้ปะปนกัน และแลดูหนาทึบคล้ายสวนธรรมชาติ มากกว่าจะเห็นเป็นการประดิษฐ์ขึ้น แม้ว่าความจริงจะได้ตั้งใจประดิษฐ์ขึ้นก็ตาม ดูเป็น​ธรรมชาติดังสวนพฤกษชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นิกโกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยไปเที่ยวมาหลายครั้ง.

ประตูเปิดอยู่ก่อนแล้ว รถผ่านเข้าไปช้า ๆ และในขณะที่ทอดทัศนาไปในท่ามกลางสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าแลเห็นศีรษะของสุภาพสตรี โผล่อยู่ข้างพุ่มต้นแก้ว ข้าพเจ้าจำทรงผมนั้นได้ จึงสั่งให้รถหยุด ก่อนที่จะแล่นไปเทียบถึงหน้าตึก เมื่อข้าพเจ้าลงมายืนอยู่บนถนน หม่อมราชวงศ์กีรติก็โผล่ออกมาจากหว่างซุ้มไม้ แลเห็นได้ถนัดเต็มตัว.

“นพพร” เธอร้องทักมาแต่ไกล.

ข้าพเจ้าเปิดหมวกให้เธอ และเดินตัดทางตรงไปพบกับเธอที่นั่น.

พอข้าพเจ้าถึงตัวหม่อมราชวงศ์กีรติ สุนัขพันธุ์แอลเซเชียนซึ่งวิ่งเล่นอยู่ในที่ใกล้ ๆ นั้น ได้วิ่งเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเธอ และจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างน่ากลัว หม่อมราชวงศ์กีรติย่อกายลงเอามือตบศีรษะมันเบา ๆ และออกชื่อมันสองสามครั้ง มันก็หมอบลงแทบเท้าของเธอโดยอาการสงบ.

“คุณหญิงเลี้ยงสุนัขใหญ่โตน่ากลัวมาก” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย “มันจ้องมองดูผมอย่างสงสัย.”

เธอยิ้ม.

“โตวัลด์เป็นองครักษ์ของฉัน เราอยู่ที่นี่ด้วยกันไม่กี่คน จึงต้องอาศัยโตวัลด์เป็นยามระวังคนร้าย. ถูกแล้วโตวัลด์มักจะสงสัยใคร ๆ ไว้ก่อนเสมอ เดี๋ยวนี้ฉันทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า เธอเป็นมิตรของฉัน เธอมาดีมิใช่มาร้าย” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ย่อกายลงลูบศีรษะโตวัลด์ แล้วบอกให้ไปวิ่งเล่นที่อื่น มันก็ยินยอมไปโดยดี.

“ฉันควรจะต้อนรับเธอในบ้าน” เธอเงยหน้าขึ้นพูดต่อไป.

ขณะนั้น เรากำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะเก้าอี้สนาม ซึ่งตั้งอยู่ในท่ามกลาง​สวนดอกไม้ และเป็นที่ซึ่งหม่อมราชวงศ์กีรติได้นั่งเล่นอยู่ก่อน.

“ผมออกจะพอใจที่นี่. ดูร่มเย็นสบายดี และจำเริญตาด้วยพรรณดอกไม้นานาชนิด” พูดพลางข้าพเจ้าวางหมวกลงบนโต๊ะ.

“ถ้าเธอพอใจ ฉันก็จะรับรองเธอที่นี่.”

เมื่อเราทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า.

“ผมขอโทษคุณหญิง ที่มาเยี่ยมล่าไปหน่อย เป็นด้วยผมต้องไปพบท่านผู้ใหญ่หลายคน เกี่ยวด้วยการงานที่ผมจะเข้าทำ ผมไม่อยากจะทอดทิ้งเวลาให้หมดเปลืองไปเปล่า.”

“ฉันขออนุโมทนากับเธอ เป็นการถูกต้องแล้วนี่นพพร ที่เธอควรจะคิดถึงเรื่องการงานก่อนอะไรทั้งหมด.”

​“ผมต้องรับกับคุณหญิงว่า ในระหว่างสองสามปีมานี้ ผมออกจะหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องการงานมาก มิใช่เพราะเหตุว่าอยากจะได้เงินมาบำรุงบำเรอความสุข ความปรารถนาข้อใหญ่อยู่ที่ต้องการทำงาน ผมเชื่อว่าผมจะมีความสุขอย่างยิ่งถ้าได้ทำงานตามวิชาความรู้ที่ผมได้เล่าเรียนมา ข้อนี้แหละที่อาจจะทำให้ผมบกพร่องในการอื่น ๆ เป็นต้นในทางการสมาคม เช่นในการมาเยี่ยมคุณหญิงนี้.”

“เป็นความบกพร่องที่กลับทำให้เธอน่าเอ็นดูยิ่งขึ้น.” เธอพูดยิ้ม ๆ เป็นยิ้มที่แสดงความกรุณา อ่อนโยนและมีความหวานเจือปนอยู่ครบครัน เป็นยิ้มที่ข้าพเจ้าได้รู้จักมานาน และสามารถที่จะระลึกถึงได้เมื่อได้มาพบอีกครั้งหนึ่ง “เธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ทีเดียว นพพร. เธอรู้ตัวไหมว่า เดี๋ยวนี้น่ะ กิริยาการอย่างเด็กหนุ่มของเธอเกือบไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว.”

“ผมคิดว่า ผมคงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ผมยากที่จะทราบสำนึกได้ด้วยตนเอง.”

“เธอเป็นชายหนุ่มใหญ่เต็มที่ และดูเคร่งขรึมผิดกว่าแต่ก่อน.”

“ผมไม่รู้ตัวเลยข้อนั้น ในส่วนตัวคุณหญิง ผมแลเห็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย.”

“ฉันแก่ลงไปมาก.”

“ผมไม่เห็นดังนั้นเลย ประทานโทษ คุณหญิงอายุเท่าไหร่แล้ว”

“๔๐ เศษ.”

“ประทานโทษ คุณหญิงยังดูสาว....”

“อะไรกัน นพพร ประทานโทษไม่ได้หยุด” เธอพูดด้วยเสียงดุ ๆ “เธอพูดดังกับว่าฉันจะคอยเอาโทษเธอไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเธอเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ.”

​“ผมเกรงว่า ผมจะพูดในสิ่งที่ไม่สมควร.”

“ถึงกระนั้นก็ไม่จำต้องขอโทษอะไร เมื่อได้พูดออกมาเสียแล้ว. เดี๋ยวนี้ฉันไม่ใช่สตรีคนที่เธอได้พบที่โตเกียวแล้ว เวลามันห่างกันเกือบ ๖ ปี ถ้าเธอไม่ตั้งใจจะยกยอฉันจนเกินไป เธอก็จะพูดว่า ฉันยังดูเป็นสาวต่อไปอีกไม่ได้.”

“แต่นั่นเป็นความรู้สึกจริงใจของผม.”

“เธอมีอุปาทานมากเกินไป. เชื่อฉันเถิด นพพร เดี๋ยวนี้ฉันมีอายุถึง ๔๐ เศษแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าฉันแก่ไปมาก.”

“ข้อนั้นอาจเป็นอุปาทานของคุณหญิงยิ่งกว่าของผมก็เป็นได้.” แล้วข้าพเจ้าก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องใหม่ “คุณหญิงคงจะอยู่เป็นสุขสบายดีในบ้านหลังนี้ มันสวยงามสมที่คุณหญิงจะอยู่ โปรดเล่าเรื่องราวของคุณหญิงให้ผมฟังบ้าง.”

เธอจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างไม่แน่ใจ.

“เธอเชื่อว่าเธอยังมีความสนใจโดยแท้จริงในความเป็นอยู่ของฉันอยู่อีกหรือ?”

“ผมมีความสนใจในความเป็นอยู่ของคุณหญิงตลอดมา.”

“เดี๋ยวนี้ เมื่อเธอได้กลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วเธอก็มีการงานและคนที่รู้จักมักคุ้นกับเธอเป็นอันมากที่เธอจะต้องติดต่อเอาใจใส่ ฉันเกรงว่าเธอจะมีเวลาน้อยเต็มที สำหรับที่จะมาเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของฉัน. ในเวลานี้เป็นเวลาที่ต่างกันมากกับเวลาที่เราได้พบกันในโตเกียวจริงไหม นพพร ?”

ข้าพเจ้าออกจะเห็นจริงตามคำของหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าไม่มีเวลาและความรู้สึกฟุ่มเฟือยที่จะคิดถึงเธอดังแต่กาลก่อน เหตุการณ์แต่ปางหลังได้เลือนไปจากความทรงจำของข้าพเจ้า แม้ที่สุดจนเหตุการณ์​บนยอดเขามิตาเกะ ซึ่งครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ได้พิมพ์ประทับลงไปอย่างแนบแน่นในชีวิต ข้าพเจ้าก็แทบจะมิได้ระลึกนึกไปถึง ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไป ดุจว่าได้จากกาลสมัยของมันเสียแล้ว กาลสมัยที่ได้ตั้งต้นขึ้นใหม่ ในวิถีชีวิตของข้าพเจ้าบัดนี้คือกาลสมัยแห่งการงาน และความเป็นอยู่ที่จะเข้ามาปรากฏเฉพาะหน้า. เป็นความจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งรุนแรง ดุจที่ได้เกิดขึ้นในกาลสมัยหนึ่งเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว.

ในส่วนตัวหม่อมราชวงศ์กีรติเองนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจจะคาดคะเนได้ว่า เธอกล่าวความเช่นนั้น ด้วยมีประสงค์เพียงแต่จะกล่าวตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นความจริง หรืออาจเป็นด้วยเธอมีที่ประสงค์อย่างอื่นอีก. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอจะมีกาลสมัยอันใหม่มาผลัดเปลี่ยนกาลสมัยเดิมของเธอหรือไม่.

“ผมรู้สึกว่าผมเอาใจใส่ต่อคุณหญิงพอเพียงที่จะฟังเรื่องราวของคุณหญิงได้” ข้าพเจ้าพูดไปตามที่เห็นว่าควรจะพูดอย่างไร.

“เอาเถิด ฉันจะเล่าให้เธอฟังในฐานที่เธอเป็นมิตรเก่าของฉัน โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดี๋ยวนี้เธอจะเป็นอะไร.”

หม่อมราชวงศ์กีรติพูดอย่างค่อนข้างจริงจัง แล้วก็หยุดครู่หนึ่งเพื่อรำลึกเรื่องราวของเธอ.

“เรื่องราวตอนใหม่ของฉันควรจะตั้งต้นภายหลังที่เจ้าคุณได้ถึงแก่กรรมแล้ว การเล่าถึงการป่วยเจ็บของท่านนั้นออกจะเป็นเรื่องเศร้า และดูเหมือนฉันจะได้เคยเขียนเล่าไปให้เธอฟังบ้างแล้ว” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดช้า ๆ ด้วยความตรึกตรอง “ฉันเศร้าโศกอย่างไรภายหลังการตายของท่าน ก็ไม่น่าจะนำมาเล่าอีกเหมือนกัน ฉันจะเล่าแต่เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวฉัน. ในข้อแรกท่านทำให้ฉันเป็นคนมั่งมีขึ้น ​โดยแบ่งทรัพย์สมบัติของท่านประมาณหนึ่งในสามส่วนให้เป็นมรดกแก่ฉัน ทรัพย์สมบัติของท่านอีกสองส่วนตกได้แก่ลูกของท่านสองคน. แท้จริงฉันไม่ได้คาดหมายจะได้ส่วนแบ่งอะไรในกองทรัพย์สินของท่าน เพราะว่าฉันได้อยู่กินกับท่านมาก็เพียง ๒-๓ ปี ทั้งไม่ได้เกิดบุตรด้วยกัน การที่ท่านมีเมตตาต่อฉันถึงปานนี้ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ฉันดีพอสมที่จะได้รับความเมตตาถึงปานนั้นเจียวหรือ. นพพร เธอเห็นว่าฉันเป็นคนโชคดีหรือโชคร้ายเล่า?”

“เป็นปัญหาที่ตอบยากอยู่ครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างค่อนข้างระมัดระวัง.

“นั่นซิ ฉันเองก็เห็นว่าเป็นปัญหาที่ตอบยาก.” เธอพูดนัยน์ตาเลื่อนลอยไปตามความคิดคำนึง “ฉันดำรงชีวิตแต่งงานไม่เกินสามปี แล้วสามีก็ตายจากไป แล้วฉันก็กลับกลายเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดำรงชีวิตสันโดษเดี่ยว ดูเป็นชีวิตที่สับสนน่าประหลาด จริงไหม นพพร?”

“ก็ทำไมคุณหญิงไม่กลับไปอยู่กับท่านพ่อ?”

“ฉันอยู่กับท่านมา ๓๕ ปีแล้ว ฉันรักท่านพ่อของฉันอย่างที่สุด ฉันได้ไปเยี่ยมและพักอยู่กับท่านเป็นครั้งคราวบ่อย ๆ แต่ว่าฉันจะไม่กลับไปมีชีวิตเช่นนั้นอีก ชีวิตที่กดฉันไว้กับความอาภัพ แห้งแล้งและขมขื่น จนฉันไม่อาจลืมได้ตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”

“ถ้าเช่นนั้นคุณหญิงก็คงจะเลือกข้างการใช้ชีวิตคบหาสมาคมกับคนทั่วไป”

“ที่จริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็หาได้เลือกเช่นนั้นไม่” เธอพูดประหนึ่งว่ามีความพิศวงสงสัยในการตัดสินใจของเธอเอง “ฉันจะเล่าเรื่องของฉันโดยย่อต่อไป ภายหลังเจ้าคุณถึงแก่กรรม ฉันก็ย้ายมาอยู่​ที่นี่ บ้านเดิมของเราท่านยกให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ครอบครองสืบต่อไป ฉันเองก็ไม่มีความประสงค์จะอยู่ต่อไปในบ้านหลังนั้น เพราะว่ามันใหญ่โตเกินไปประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง มันจะชวนให้ฉันคอยจดจำถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเจ้าคุณโดยไม่สุดสิ้น ที่ดินผืนนี้เจ้าคุณได้มาจับจองซื้อไว้ก่อนหน้าจะถึงแก่กรรมหลายปี และเราได้เคยปรารภกันไว้ก่อนแล้วว่าจะมาปลูกบ้านย่อม ๆ ไว้เป็นที่พักผ่อนที่นี่ ครั้นท่านถึงแก่กรรมลง ฉันก็ได้ลงมือดำเนินการตามความดำรินั้น ต่างกันก็ที่ว่า แทนที่จะถือเป็นบ้านพักชั่วคราว มันกลับเป็นบ้านอันถาวรของฉันเลยทีเดียว.”

“และควรจะเป็นบ้านที่ให้ความสุขอย่างยิ่งแก่ผู้เป็นเจ้าของด้วย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อ เมื่อเธอจบระยะการเล่าลงตอนหนึ่ง.

“มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น” พูดพลางเธอทอดสายตาไปตามที่ต่าง ๆ ในบริเวณบ้านด้วยความพึงพอใจ “ใคร ๆ ที่มาที่นี่ มักจะออกปากว่า บ้านของฉันน่าอยู่ และอยากอิจฉาในความสุขของฉันนัก แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ความคิดเห็นเช่นนั้นเป็นการถูกต้องหรือไม่.”

“นอกจากบ้านที่น่าอยู่นี้แล้ว มีอะไรอีกบ้างที่ประกอบเป็นความสุขของคุณหญิง.”

“เธอยังอดเป็นนักตั้งกระทู้ไม่ได้” หม่อมราชวงศ์กีรติยิ้มด้วยรู้สึกมีเอ็นดู “นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในนพพรที่ฉันได้พบในโตเกียว.”

“ผมถามล่วงเกินไปหรือครับ?” ข้าพเจ้าทวนถามโดยสุภาพ.

“ไม่ถึงกับล่วงเกินอะไรดอก แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะตั้งกระทู้ถามกับฉันเช่นนี้ เธอช่างคิดตั้งคำถาม เพราะว่าดูเหมือนฉันเองก็ไม่เคยคิดไว้ก่อนว่า ความสุขของฉันประกอบด้วยอะไรบ้าง” เธอหยุดตรองครู่หนึ่ง ​แล้วพูดต่อไป “ฉันมาระลึกนึกดู ก็อดประหลาดใจในตัวเองไม่ได้ เพราะว่าส่วนสำคัญที่ประกอบเป็นความสุขของฉันในกาลที่ล่วงแล้วมา แทนที่จะเป็นของแท้ของจริงที่ได้บังเกิดแก่ตัวฉัน กลับกลายเป็นแต่ความหวังหรือความคาดคอยในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตกมาในบัดนี้วิถีชีวิตของฉันก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากแนวทางเดิม ความสุขอันแท้จริงของฉันยังคงเลื่อนลอยอยู่ข้างหน้า ฉันเป็นแต่ไล่ไขว่คว้าติดตามและหวังในสิ่งนั้น และคอยอยู่.”

“ดูเป็นชีวิตที่น่าเหน็ดเหนื่อยแทน” ข้าพเจ้าปรารภขึ้นด้วยความสงสารเห็นใจ.

“จะทำอย่างไรได้. นพพร สิ่งที่เป็นใหญ่เป็นประธานในโลกได้กำหนดชีวิตของฉันไว้เช่นนั้น ฉันดิ้นรนเท่าใดก็ออกมาจากเส้นกำหนดไม่ได้ ก็จำต้องเผชิญชีวิตไปตามยถากรรม ชีวิตของเธอมีค่ากว่าของฉัน และดำเนินไปโดยสะดวกราบรื่นกว่าของฉัน. ในชีวิตของเธอมีแต่ของ​แท้ของจริง เธอได้รับความพอใจในเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอทุกขณะ และเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป เธอก็ลืมมันได้สนิท แล้วเธอก็เผชิญกับเหตุการณ์ใหม่ด้วยความพอใจอันใหม่ มันดำเนินไปและได้รับการผลัดเปลี่ยนอย่างมีระเบียบ. ส่วนชีวิตของฉันมันสับสนด้วยความเลือนราง ความคำนึงนึกฝันความสุขมีจริงในบางครั้งคราว แต่ว่าไม่เป็นของแจ่มแจ้งและแน่นอน มันเป็นคล้าย ๆ ความฝัน เป็นสิ่งที่ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะ ฉันคว้ามันถูกบ้าง ผิดบ้าง บางคราวก็เพลิดเพลิน บางคราวก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนใจ. นี่แหละเป็นสภาพชีวิตของฉันซึ่งฉันก็ตั้งใจจะเล่าให้เธอเข้าใจ แต่ก็คงเป็นการยากที่เธอจะเข้าใจได้.”

“เป็นชีวิตที่แปลกและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง และเข้าใจยากด้วย.” ข้าพเจ้ารำพึงด้วยความรู้สึกจริงใจ และได้ตั้งข้อถามอีกว่า “เดี๋ยวนี้คุณหญิงก็ได้ชื่อว่าเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง เหตุใดไม่ใช้ความมั่งมีนั้นเปลี่ยนความหวังให้เป็นความจริงขึ้น คุณหญิงจะได้มีความสุขอย่างครบถ้วนสมบูรณ์.”

“เงินมีอำนาจจริง, นพพร แต่ก็ไม่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง. บังเอิญสิ่งที่ฉันหวังและคาดคอยอยู่นั้น ก็มักจะไม่ใช่สิ่งที่อาจได้มาด้วยอำนาจของเงิน. นี่เป็นเคราะห์ร้ายอย่างฉกรรจ์ของฉัน.”

พูดถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้นยืน.

“นี่แน่ะ, นพพร ขอให้ฉันหยุดเล่าเรื่องของฉันเสียที มันน่ารำคาญมากกว่าจะน่าสนใจ. ฉันอยากจะฟังเรื่องราวของเธอบ้าง เราจะเดินเล่นกันนิดหน่อย และระหว่างนั้นขอให้เธอเล่าเรื่องของเธอไป แล้วเราจะขึ้นบ้าน และฉันขอให้เธออยู่รับประทานอาหารกับฉันในค่ำวันนี้ เพื่อว่าฉันจะได้มีโอกาสฟังเรื่องราวของเธอโดยละเอียด.”

ข้าพเจ้าปฏิบัติตามความประสงค์ของเธอ. เรามีเวลาเดินเล่นอยู่​ได้ไม่นานก็ถึงเวลาพลบค่ำ ในขณะที่เราเดินคลอเคียงสนทนากันไปในระหว่างทางที่ผ่านไปตามสวนไม้ดอกอันมีบริเวณกว้างขวางนั้น ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาขัดจังหวะเลย เราอยู่ด้วยกันแต่ลำพัง ในกลางความสงบ และภูมิฐานที่น่าจะเรียกร้องความรู้สึกรุนแรงแต่ปางหลังเมื่อ ๖ ปีก่อน ให้กลับคืนมาเสียเหลือเกิน แต่ประหลาดที่ความรู้สึกของข้าพเจ้าไม่ได้รับความกระทบกระเทือนให้หวั่นไหวไปแต่ประการใด ทั้งนี้มิใช่เพราะเหตุว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้สูญเสียความงามและเสน่ห์เก่าแก่ไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ายังคงมองเห็นความงามและเสน่ห์ของเธอได้อย่างถนัดชัดเจน หากแต่ว่าข้าพเจ้าได้มองดูสิ่งนี้ด้วยความสรรเสริญยกย่อง และโดยมิได้รับเอามาปะปนกับอารมณ์ของข้าพเจ้าเลย.

ข้าพเจ้าได้อยู่รับประทานอาหาร และสนทนากับเธอจนถึง ๓ ทุ่ม​จึงได้ลากลับ. หม่อมราชวงศ์กีรติเล่าว่า เธออยู่กับน้าและหลานสาวคนหนึ่ง แต่บังเอิญในวันนั้นทั้งสองคนออกไปเยี่ยมญาติ แลอาจไปค้างแรมที่บ้านญาติ จึงเป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ใช้เวลาอยู่กับหม่อมราชวงศ์กีรติแต่ลำพัง รวมเวลาราว ๔ ชั่วโมง ข้าพเจ้ามีความพอใจมากตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ เล่าเรื่องของข้าพเจ้าให้เธอฟัง และฟังเรื่องของเธอโดยไม่เบื่อหน่าย.

ที่โต๊ะรับประทานอาหาร ภายใต้ดวงโคมอันมีแสงสว่างจ้า เราทั้งสองนั่งรับประทานไปพลางสนทนากันไปพลาง เป็นเวลานานไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าได้สังเกตว่าวัย ๔๐ ปีของหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปรากฏออกให้เห็นเล็กน้อย จากริ้วรอยบางแห่งตามพื้นผิวอันงามของเธอ แต่ในส่วนกิริยาการและการพูดจาพาทีนั้น เธอมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากหม่อมราชวงศ์กีรติคนเดิมเลย แช่มช้อยและหวานอย่างไรก็อย่างนั้น ในระหว่างที่เธอเป็นธุระตักโน่นตักนี่ให้รับประทาน ข้าพเจ้าก็อดระลึกไปถึงความกรุณาปรานีเก่าแก่ของเธอไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงเพียงว่า เธอนั้นเปรียบเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง จิตใจของข้าพเจ้ามิได้เพ่นพ่านเตลิดเพริดไปในโลกอันร้อนแรงไปด้วยความรู้สึกดุจในกาลก่อน.

ตลอดเวลา ๔ ชั่วโมงนั้น ข้าพเจ้าอ่านไม่ออกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติมีความมุ่งหมายในวิถีชีวิตอย่างไร.

 



5
นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 16-19


๑๖

ที่ท่าเรือบริษัทมิตซุยบุยซันไกชา ในเช้าวันที่เรือเดินทะเลได้นำข้าพเจ้าจากประเทศญี่ปุ่นมาสู่กรุงเทพพระมหานครนั้น ไม่สู้มีผู้คนคับคั่งนัก เพราะว่าในเรือเที่ยวที่ข้าพเจ้าโดยสารมานั้น มีคนโดยสารไม่เกิน ๗-๘ คน และที่เป็นคนไทยก็มีแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ฉะนั้นเมื่อเรือเทียบท่า ข้าพเจ้าก็สามารถแลเห็นกลุ่มคนที่มาคอยต้อนรับข้าพเจ้าได้โดยไม่ยาก.

ข้าพเจ้าแลเห็นท่านบิดาก่อนคนอื่น ท่านยืนอยู่หน้าแถวในหมู่ญาติสนิทของเราประมาณ ๑๐ กว่าคน และมีเพื่อนสนิทรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า ๔-๕ คนรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย มีสุภาพสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ในหมู่ญาติ ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่สังเกตกิริยาอาการดูแสดงว่า มีความเอาใจใส่ในตัวข้าพเจ้าไม่น้อยกว่าใคร ๆ.

ข้าพเจ้ามองไม่เห็นหม่อมราชวงศ์กีรติในหมู่คนเหล่านั้น ต่อเมื่อได้ทอดสายตาไปทั่วบริเวณนั้นข้าพเจ้าจึงแลเห็นร่างงามร่างหนึ่ง ในเสื้อผ้าชุดสีน้ำเงินยืนพิงประตูรถซาลูนคันใหญ่ แล้วได้เห็นมือน้อย ๆ ​โบกตรงมายังข้าพเจ้าช้า ๆ ข้าพเจ้าก็โบกตอบด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะว่าแม้จะยืนอยู่ห่างไกลไปสักหน่อย ข้าพเจ้าก็จำได้ว่า เจ้าของร่างงามนั้นคือหม่อมราชวงศ์กีรติ.

เมื่อพนักงานในเรือทอดบันไดเรือเรียบร้อยแล้ว พวกญาติมิตรที่มาคอยรับก็พากันขึ้นมาบนเรือ ข้าพเจ้ายืนคอยรับรองอยู่ริมทางขึ้น ท่านบิดาเป็นคนแรกที่ได้แสดงความปีติยินดีต้อนรับข้าพเจ้า ท่านตรงเข้าสวมกอดบุตรชายคนโตของท่านด้วยความรักใคร่คิดถึง ที่อัดแน่นอยู่ในอกถึง ๘ ปี ข้าพเจ้าก็เข้าสวมกอดท่านด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วญาติและมิตรอื่น ๆ ก็รุมล้อมเข้ามา แสดงความรู้สึกในทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าสุดที่จะพรรณนาได้ว่า ในเช้าวันแรกถึงกรุงเทพฯ นั้น ข้าพเจ้ามีความอิ่มเอิบใจเพียงใด ระลึกถึงเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้แต่จะบันทึกลงไว้ว่า เป็นวันที่ข้าพเจ้าเป็นสุขเบิกบานที่สุดในชีวิต และจนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่พบความสุขความเบิกบานครั้งคราวใดจะมีค่ายิ่งไปกว่า.

ในขณะที่ข้าพเจ้าต้อนรับสุภาพสตรีคนหนึ่งด้วยความลังเลใจนั้น ท่านบิดาได้มาโอบไหล่ข้าพเจ้าไว้และบอกกับข้าพเจ้าว่า นี่แหละคือสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงพอระลึกถึงเค้าหน้านั้นได้ เป็นดวงหน้าเรียบ ๆ ตามแบบธรรมดาสามัญ ไม่มีที่ติไม่มีที่ชม กิริยาการของเธอในขณะที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้ามากไปด้วยความสะเทิ้นขวยอาย ข้าพเจ้าเองก็มิใช่คนเก่งกล้านักในทางสนทนาพาที ประกอบกับความรู้จักมักคุ้นที่มีอยู่ต่อกันเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ได้แต่กล่าวคำปราศรัยออกไปเพียงสองสามประโยค แล้วเธอก็หลีกทางให้คนอื่น ๆ เข้ามาทักทายปราศรัยกับข้าพเจ้าต่อไป.

หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนท้ายที่สุดที่ขึ้นมาพบข้าพเจ้า เธอ​แต่งกายด้วยเครื่องชุดสีน้ำเงินดารดาษด้วยดวงดอกขาว เป็นชุดเดียวกับที่ข้าพเจ้าแรกพบเธอในกรุงโตเกียวเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเครื่องแต่งกายชุดนี้จะเป็นชุดที่ข้าพเจ้าได้จดจำฝังใจไว้ช้านานเมื่อแรกพบเธอ แต่ในเช้าวันนั้นข้าพเจ้าก็หาได้สังเกตพิเคราะห์ไม่ ซึ่งก็เป็นการประหลาดอยู่ และก็เป็นการประหลาดเช่นเดียวกันที่เหตุไฉนหม่อมราชวงศ์กีรติ จึงนำเอาเครื่องแต่งกายที่เธอได้เคยใช้มาแล้วเมื่อ ๕ ปีก่อน มาแต่งรับข้าพเจ้าในวันแรกถึงกรุงเทพฯ.

ท่วงทีกิริยาที่เข้ามาพบข้าพเจ้านั้น ยังดูสงบเสงี่ยมแช่มช้อยเหมือนเดิม จะแตกต่างไปบ้างก็ตรงที่ว่ามีอาการแช่มช้อยมากขึ้น ซึ่งประกอบเป็นความงามสง่าสมวัยของเธอ อันล่วงเข้ามาถึง ๔๐ ปีเศษแล้ว แม้ว่าจะคลายความเปล่งปลั่งลงไปบ้าง แต่เสน่ห์และความสวยงามอันมีค่ายิ่ง ก็ยังมิได้ทอดทิ้งเธอไป ยังเป็นที่จับตาจับใจแก่ผู้ได้ยลสรีรโฉมของเธออยู่.

​หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาสัมผัสมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้บีบตอบแน่น ด้วยความตื่นเต้นยินดีดุจว่าข้าพเจ้าได้พบพี่สาวซึ่งได้จากกันไปนาน.

“คิดถึงคุณหญิงเหลือเกิน” ข้าพเจ้าปราศรัยเป็นประโยคแรก

“ฉันคิดถึงเธอเป็นเนืองนิตย์ คิดถึงเธอโดยสม่ำเสมอตลอดมานับแต่ได้จากกัน” เธอพูดช้า ๆ เรียบ ๆ ไม่ตื่นเต้นลุกลน แม้ว่าข้าพเจ้าอาจมองเห็นความปีติยินดีอย่างลึกซึ้งของเธอในดวงตาได้ถนัดชัดเจน คำพูดของเธอจับใจนัก และสะกิดใจให้นึกละอาย เมื่อได้ระลึกว่าความคิดถึงของข้าพเจ้าที่มีต่อเธอนั้น แม้ถึงหากจะรุนแรงปานใดในบางครั้งบางคราว ก็หาได้เป็นไปโดยสม่ำเสมอเนืองนิตย์ ดุจความคิดถึงของเธอที่มีต่อข้าพเจ้าไม่.

​“ผมดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมาพบคุณหญิงอีกครั้งหนึ่ง” ข้าพเจ้าปราศรัยต่อไป.

“และฉันก็คอยเธออยู่ คอยอยู่ตลอดมา.”

“คุณหญิงดีต่อผมเป็นที่สุด.”

“ถ้าที่เธอพูดเป็นความจริง เธอก็สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจากฉันมิใช่หรือ?”

“ผมเกรงว่าผมไม่สมควรเป็นแน่ คุณหญิงดีต่อผมเกินไป” พูดแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ ข้าพเจ้าไม่นำพาว่า คำตอบนั้นจะสั่นสะเทือนความรู้สึกของหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างไร อย่างไรก็ตาม เธอได้สงบนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง.

“เธอบีบมือฉันไว้แน่น” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “เหตุการณ์ในวันนี้ไม่เหมือนกับวันที่เราจากกันที่ท่าเรือโกเบ.”

“โอ. ผมขอโทษ” ข้าพเจ้าร้องขึ้นและปล่อยมือเธอในทันที “ที่นี่เป็นกรุงเทพฯ และเราจะไม่ต้องจากกันอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่ต้องพบความเศร้าเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว.”

“ใครจะรู้นพพร.” เธอท้วงเบา ๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจนิดหน่อย.

“ก็ผมไม่คิดจะไปจากที่นี่อีกเลยในชีวิต”

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุอันเดียวของการจากกัน และไม่ใช่บ่อเกิดอันเดียวของความเศร้า” พูดแล้วเธอเอามือแตะแขนข้าพเจ้า “แต่ว่าอย่าเพิ่งถกเถียงอะไรกันเลยเดี๋ยวนี้ ญาติของเธอกำลังกระหายต้องการตัวเธอด้วยกันทุกคน.”

“คุณหญิงก็เท่ากับญาติของผม.”

“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ควรจะหน่วงเหนี่ยวเธอไว้แต่ลำพังในวันนี้ ​ไปเถิดคนดี ไปพบกับคุณพ่อของเธอ.”

ข้าพเจ้าก็ต้องออกเดินไปกับเธอ ตรงไปที่ห้องซาลูนซึ่งญาติมิตรส่วนมากได้มาชุมนุมรออยู่ที่นั่น แล้วญาติมิตรบางคนได้มาฉุดดึงข้าพเจ้าให้ไปที่ห้องซึ่งข้าพเจ้าได้ใช้รอนแรมมาในทะเล เพื่อดูว่าข้าพเจ้าได้เดินทางมาเป็นสุขสบายอย่างไร และเพื่อที่จะช่วยกันขนข้าวของลงจากเรือ ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในความกลุ้มรุมของคนทั้งหลาย และแทบไม่มีเวลาจะได้สนทนาวิสาสะกับหม่อมราชวงศ์กีรติอีกเลย.

ในขณะที่ละจากเรือ ข้าพเจ้าได้ออกปากชวนเธอให้ไปสนทนาด้วยกันที่บ้านต่อไป.

“ฉันต้องขอตัว, นพพร เธอควรจะได้ใช้เวลาในวันแรกอย่างเต็มที่กับญาติสนิทของเธอ.”

“ไม่มีญาติคนใดจะต้องการเวลาของผมตลอดทั้งวันเลย.”

“อย่างน้อยก็คุณพ่อของเธอ ท่านคงจะต้องการเวลาหลายชั่วโมงที่จะสนทนากับบุตรชายของท่านซึ่งจากไปนานตั้งแต่ ๗-๘ ปี แล้วก็ยังคนอื่น ๆ อีก.”

“คุณพ่อคงจะไม่รีบร้อนพูดทุกสิ่งทุกอย่างกับผมในวันเดียวจนหมดจนสิ้น” ข้าพเจ้าหัวเราะตอบ ถึงกระนั้นก็เป็นไปด้วยกิริยาค่อนข้างสำรวม.

“ขอให้เราได้พบกันในวันอื่นเถิด, นพพร.”

“ถ้าเช่นนั้นผมจะไปเยี่ยมคุณหญิงโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้” ข้าพเจ้าอนุโลมตามความประสงค์ของเธอ

เหตุการณ์ในวันแรกพบกันในกรุงเทพฯ ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปิดฉากลงรวดเร็วและเป็นธรรมดาสามัญเกินไป.

ผ่านกลางวันอันจ้อกแจ้กจอแจด้วยการต้อนรับ และได้พักผ่อน​เล็กน้อยในตอนบ่าย ตกตอนค่ำ ภายหลังเวลารับประทานอาหารแล้ว ข้าพเจ้าได้สนทนาอยู่กับท่านบิดาในห้องนั่งเล่น ในระหว่างการสนทนาอันยืดยาวนั้น ได้มีเรื่องพาดพิงไปถึงหม่อมราชวงศ์กีรติตอนหนึ่ง.

“เธอคุ้นเคยสนิทสนมกันมากหรือ กับคุณหญิงอธิการ” ท่านถามขึ้นในขณะที่สนทนากันด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ และโดยไม่มีความหมายอะไร.

“คุณพ่อหมายถึงคุณหญิงกีรติ?” เมื่อท่านกล่าวรับรอง ข้าพเจ้าจึงพูดต่อไปว่า “ขอรับ ผมชอบพอสนิทสนมกันมาก เมื่อคราวคุณหญิงไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมได้มารับใช้คลุกคลีอยู่กับเจ้าคุณอธิการและคุณหญิงแทบตลอดเวลา.”

“น่าเสียดาย ที่เจ้าคุณอธิการมาด่วนตายเร็วไปหน่อย” ท่านบิดากล่าวต่อ “เมื่อเจ้าคุณอธิการยังมีชีวิตอยู่ พ่อเคยได้ยินสรรเสริญภรรยาคนนี้มาก และเท่าที่พ่อได้พบ ภายหลังที่เจ้าคุณอธิการถึงแก่กรรมแล้ว ​พ่อก็เห็นว่าคุณหญิงอธิการ เป็นสตรีที่น่ารักสมจะได้รับสรรเสริญจริง ๆ.”

“ผมเป็นผู้ที่นับถือเลื่อมใสในตัวคุณหญิงมาก.” ข้าพเจ้าตอบสนอง “แม้ว่าผมได้พบคุณหญิงในชั่วเวลาไม่นาน แต่ผมก็รู้จักคุณหญิงดีมาก เป็นสตรีที่ฉลาดอย่างยิ่ง เท่ากับที่เป็นคนดี. ผมไม่เคยพบใครที่จะฉลาดหลักแหลมยิ่งไปกว่าคุณหญิงกีรติ ผมคิดว่า คุณหญิงควรจะแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง และก็คงจะหลีกเลี่ยงความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งไปไม่พ้น.”

“แต่พ่อไม่แน่ใจนัก เพราะว่าเมื่อสิ้นเจ้าคุณอธิการแล้ว พ่อได้ทราบว่า คุณหญิงดูไม่ใคร่จะยินดีในการสมาคม เธอครองชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเป็นที่สรรเสริญของบรรดาเพื่อนสนิท ของเจ้าคุณอธิการทั่วไป. เมื่อเร็ว ๆ นี้ พ่อได้ทราบว่ามีใครคนหนึ่งไปติดพัน และดูเหมือนถึงได้ทาบทามเรื่องการแต่งงาน แต่คุณหญิงปฏิเสธ มีผู้กล่าวกันว่าดูเธอจะเป็นผู้ที่มีความในใจอันเร้นลับอย่างใดอย่างหนึ่ง”

ข้าพเจ้านิ่งฟังด้วยกิริยาสงบ ครั้นแล้วท่านบิดาก็เปลี่ยนการสนทนาไปสู่เรื่องอื่น.

 



6

๑๕

หลังจากนั้น การติดต่อระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติก็คงดำเนินต่อไปโดยการเขียนจดหมายไปมาถึงกัน. เวลาล่วงไปความคลั่งคิดถึงเธอก็ค่อยบรรเทาลง เนื่องด้วยเหตุหลายประการ ประการแรกก็คือ เมื่อลุ่มรักเธอเท่าใด เมื่อคลั่งคิดถึงเธอเท่าใด มันก็ไม่มีทางบำบัดได้ ในมิช้าความรู้สึกอันตึงเครียดนั้นก็หย่อนคลายลง และเมื่อถึงคราวที่ข้าพเจ้าจะต้องทุ่มเทเวลาในการศึกษาเล่าเรียน ข้าพเจ้าต้องใช้ความเพ่งเล็งอย่างเต็มที่ ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ได้มาเรียกร้องจิตใจของข้าพเจ้า ซึ่งได้ท่องเที่ยวไปในแดนอารมณ์พิศวาสอันเร่าร้อน ให้กลับคืนสู่สถานะเดิม.

เมื่อได้ควบคุมบังคับตนเองได้ครั้งหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้าได้ควบคุมบังคับได้ตลอดมา ต่อจากจดหมายสองฉบับแรกที่อัดแน่นด้วยการแสดงความลุ่มรักและความคลั่งคิดถึงเธอแล้ว ในจดหมายฉบับต่อมาในระยะเวลาใกล้ ๆ กันนั้น ข้าพเจ้าก็ยังกล่าวพรรณนาถึงความคลั่งคิดถึงเธออยู่ แต่ครั้นแล้วเมื่อได้ตรึกตรองตามคำเตือนของ​หม่อมราชวงศ์กีรติ ประกอบกับความเหนื่อยอ่อนใจเป็นอย่างที่สุด ระหว่างเวลาแห่งการจากของเราในระยะแรก ความรู้สึกเร่าร้อนของข้าพเจ้าก็ได้รับการบำบัดให้บรรเทาเบาลงไปเอง ฉะนั้นในจดหมายฉบับต่อ ๆ มา จึงมิได้อัดเอาความคลั่งคิดถึงเธอลงไว้ดุจในตอนต้น ๆ และระยะเวลาแห่งการเขียนก็ได้ยืดห่างออกไป จนเมื่อจิตใจของข้าพเจ้ากลับคืนสู่สถานะเดิมแล้ว การเขียนถึงเธอก็เป็นการเขียนที่แทบจะปราศจากความเจ็บปวดใด ๆ และอาจเรียกได้ว่า เป็นการเขียนถึงมิตรที่รักคนหนึ่งเท่านั้น และนั่นก็เป็นการสมตามความปรารถนาของหม่อมราชวงศ์กีรติแล้ว ตามที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ในเวลานั้น.

ข้าพเจ้าได้กล่าวพรรณนาความรัก และได้วิงวอนขอให้เธอกล่าวตอบข้าพเจ้าสักคำหนึ่งในจดหมายหลายฉบับ แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติได้เขียนตอบมาเป็นที่น่าชื่นใจเพียงใด แต่เธอไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องความรักเลย ข้อนี้เป็นเหตุสำคัญอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจไปว่า หม่อมราชวงศ์กีรติต้องการจะให้ข้าพเจ้าลืมเรื่องราวอันดูดดื่มใจของเราเสียจริง ๆ หรืออย่างน้อยก็เหตุการณ์บนเขามิตาเกะนั้น ซึ่งข้าพเจ้าได้ปล่อยให้ความในใจไหลพลั่งออกมาปรากฏแก่เธอและได้ประทับริมฝีปากของข้าพเจ้าลงบนริมฝีปากของเธอจูบนั้นยังร้อนผะผ่าวอยู่ในใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ลืม แต่ก็กำลังจะเลือนไปด้วยเหตุนานาประการดังกล่าวแล้ว

จนกระทั่งเวลาล่วงไป ๒ ปี การติดต่อระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติก็ห่างไปมาก จนแทบจะไม่มีร่องรอยแห่งความหลังเหลืออยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า จดหมายที่ข้าพเจ้าเคยเขียนถึงเธอไม่เว้นแต่ละเดือนก็ได้ยืดห่างออกไป และดูเหมือนว่า ในปีที่ ๒ นั้นข้าพเจ้าได้เขียนถึงเธอเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น ที่จริงข้าพเจ้าก็มีภาระในการศึกษาเล่าเรียน​ทับทวีขึ้น และเมื่อจิตใจของข้าพเจ้าปลอดโปร่งจากความคลุ้มคลั่งแล้ว ข้าพเจ้าก็หมกมุ่นใส่ใจอยู่แต่ในการเล่าเรียนและแผนการงานแห่งชีวิตในอนาคต.

ข้าพเจ้าเอง เมื่อระลึกถึงความรู้สึกในเวลานั้นแล้วก็ยังประหลาดใจและตอบแก่ตัวเองไม่ได้ว่า เหตุใดหม่อมราชวงศ์กีรติจึงเสียความสลักสำคัญไปเร็วนัก ข้าพเจ้าผู้คลั่งคิดถึงเธอ และนับเธอว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า เป็นสตรีที่จะแยกออกไปไม่ได้จากชีวิตของข้าพเจ้า เพราะว่าถ้าแยกไปแล้ว ชีวิตของข้าพเจ้าก็จะไม่เป็นสิ่งสมบูรณ์ ครั้นเวลา ๒ ปีผ่านไป ข้าพเจ้าก็รู้สึกในตัวเธอแต่เพียงว่า เธอเป็นคนหนึ่งในบรรดามิตรอีกหลายคนที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในกรุงเทพฯ

ต่อมาอีกประมาณ ๖ เดือน ข้าพเจ้าได้รับข่าวจากหม่อมราชวงศ์กีรติว่า เจ้าคุณอธิการบดีได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วด้วยโรคไตพิการ ข้าพเจ้ามีความเศร้าสลดใจด้วยเธอ ในชั่วขณะที่ได้รับทราบข่าวนั้น และได้รีบเขียนจดหมายแสดงความเศร้าสลดใจมายังเธอฉบับหนึ่ง แล้วเหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามปรกติ. ความตายของท่านเจ้าคุณ ไม่ได้มาเป็นเครื่องสะกิดใจให้ข้าพเจ้าคาดคิดไปเลยว่า มันจะเกี่ยวข้องเป็นความสลักสำคัญอย่างยิ่งแก่ชีวิตของหม่อมราชวงศ์กีรติและแก่ชีวิตของข้าพเจ้าด้วย มันควรจะได้ทำให้ข้าพเจ้าเพ่งเล็งถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนระหว่างหม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง มันควรจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ทราบว่าภูตผีปีศาจตนใดมาปกป้องกีดกันไว้มิให้ข้าพเจ้าเพ่งเล็งไปเช่นนั้น มันเป็นสิ่งประหลาดมากที่ภายหลังได้ทราบข่าวการตายของเจ้าคุณอธิการดีแล้ว ข้าพเจ้าได้ปล่อยให้เหตุการณ์ในชีวิตดำเนินไปตามปรกติ ข้าพเจ้าหาเฉลียวใจไม่ว่า เหตุ​การณ์ที่ไม่สู้จะเป็นการสลักสำคัญสำหรับข้าพเจ้านั้นกลับเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างที่สุดสำหรับชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง อนาถหนอ ชีวิต !

ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนต่อไปอีก ๒ ปีก็บรรลุความสำเร็จ ในระยะเวลาที่ใกล้จะสำเร็จการศึกษานี้ ข้าพเจ้าได้มีการติดต่อกับครอบครัวของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ มากกว่าทางอื่น บรรดาพี่น้องที่ได้ทราบข่าวว่า ข้าพเจ้าเล่าเรียนเป็นผลดี และกำลังใกล้บรรลุความสำเร็จและใกล้เวลาที่จะได้กลับไปสู่บ้านเกิดเมืองมารดรได้แล้ว ต่างก็ได้มีจดหมายแสดงความชื่นชมโสมนัสมายังข้าพเจ้า และในบรรดาบุคคลเหล่านี้ได้มีสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย คุณพ่อคงจะแนะนำให้เธอเขียนมาถึงข้าพเจ้าเป็นแน่ เพื่อเป็นเครื่องผูกมัดเตือนใจว่า มีสตรีอยู่พร้อมแล้วที่รอคอยการแต่งงานของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าไม่พึงเกี่ยวข้องวุ่นวายกับสตรีอื่นใดในญี่ปุ่นเลย.

แท้ที่จริง ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเป็นห่วงกังวลถึงข้าพเจ้าในเรื่อง​เช่นนี้ดอก ในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความหมกมุ่นสนใจในความเจริญก้าวหน้าของชีวิต ในทางงานการยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ไม่มีเรื่องราวของสตรีคนใดมาพร่าเวลาของข้าพเจ้า แม้กระทั่งสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ไม่ใส่ใจคิดถึงมาก่อน. ข้าพเจ้าไม่มีเวลาเหลือพอที่จะคิดคำนึงถึงเรื่องเช่นนี้.

ข้าพเจ้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วจริง แต่ความเติบโตนั้นมิได้ชักนำให้ข้าพเจ้าเพิ่งคิดไปในทางเลือกคู่ครอง ดูเหมือนยิ่งเติบโตขึ้นข้าพเจ้ายิ่งออกห่างจากสตรีเพศมากขึ้น ความเติบโตเป็นผู้ใหญ่กลับชักนำให้ข้าพเจ้าปลีกตัวจากเหตุการณ์อื่น ๆ ทั้งหมด และเพ่งเล็งอยู่แต่การดำเนินชีวิตในด้านการงานด้านเดียว.

จดหมายจากสตรีคู่หมั้น ได้ปลุกใจอันสงบของข้าพเจ้าให้ตื่นคิดถึงเรื่องการแต่งงานบ้าง แต่ก็มิได้คิดด้วยความตื่นเต้นวุ่นวายอะไรนัก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าจะรักเธอได้หรือไม่ เพราะว่าเรายังไม่คุ้นเคยสนิทสนมกันพอที่จะปลงใจในความรักได้ แต่การแต่งงานคืออะไรเล่า? ข้าพเจ้ายังไม่รู้แจ่มแจ้งนักในเวลานั้น ข้าพเจ้าคิดเลือน ๆ ไปในเวลานั้นว่า เธอคงจะเป็นสุภาพสตรีที่ดีพอ สมควรที่จะแต่งงานกับข้าพเจ้า มิฉะนั้นไหนเลยคุณพ่อจะเลือกเฟ้นเอามาเป็นคู่ครองของข้าพเจ้า เพราะว่าท่านก็เป็นคนฉลาด. เมื่อกลับเข้าไปกรุงเทพฯ และภายในเวลาอันควร ท่านคงจะจัดแจงให้เราทั้งสองได้แต่งงานกัน ข้าพเจ้าคงจะไม่รังเกียจเธอ แม้ว่าการแต่งงานนั้นจะไม่ได้มีขึ้นด้วยอาศัยความพิศวาสดูดดื่มในกันและกันเป็นมูลฐาน ข้าพเจ้าคงจะค่อยสนิทสนมกับเธอ จนเกิดความเอ็นดู ปรานี และรักใคร่เธอไปเองในไม่ช้า เธอก็จะดูแลบ้านช่องไป ข้าพเจ้าก็จะทำงานไป ฝ่าฟันความยากลำบากไปเพื่อความรุ่งเรืองยิ่งในการประกอบการงาน การแต่งงานก็ดูจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ​นี่เป็นความคิดอย่างเลือน ๆ ของข้าพเจ้าในเวลานั้น คิดอย่างไม่จริงจังนัก ข้าพเจ้าได้ตอบจดหมายเธอไปด้วยการแสดงความไมตรีไปเป็นอันดี.

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว แทนที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองมารดรโดยทันที ข้าพเจ้าได้เข้าฝึกหัดงานในธนาคารแห่งหนึ่ง และในระยะเวลาตอนนั้น ข้าพเจ้าได้มีจดหมายส่งข่าวความเป็นไปมายังหม่อมราชวงศ์กีรติฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าเขียนไปไม่สู้ยืดยาวนัก และมันเป็นความจริงว่า ในตอนหลัง ๆ นี้ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะถนัดในการเขียนถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างยาว ๆ ดังแต่ก่อน การเขียนจดหมายของข้าพเจ้าดูเป็นงานเป็นการมากกว่า เมื่อหมดใจความที่ประสงค์จะเขียนแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดไม่ใคร่ออกว่า จะเขียนอะไรลงไปอีก เวลาช่างเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของคนเราอย่างน่าพิศวงอะไรเช่นนี้!

เพื่อที่จะให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติคิดในตัวข้าพเจ้าอย่างไร ในเมื่อเวลาได้ล่วงไป ๔ ปีกว่าแล้วนับแต่เธอได้จากข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าขอเสนอจดหมายตอบของเธอในระยะนี้สักฉบับหนึ่ง

“นพพร, คนดีของฉัน” เธอขึ้นต้นจดหมายด้วยถ้อยคำเหล่านี้ตลอดมา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย. เธอดำเนินเรื่องต่อไปว่า :

“ฉันได้รับจดหมายบอกข่าวความสำเร็จของเธอแล้ว นี่ฉันจะบอกเธออย่างไรเล่า เธอจึงจะเข้าใจถึงความปีติยินดีของฉันโดยครบถ้วน ถ้าเธอมีพี่สาวและพี่สาวของเธอเขาปีติยินดีด้วยความสำเร็จของเธออย่างไร ฉันก็แทบจะไม่ยอมให้เธอนำมาเปรียบเทียบกับความปีติยินดีของฉัน เธอรู้ดีว่า ฉันเอาใจจดจ่ออยู่กับความสำเร็จของเธอเพียงใดตลอดเวลาอันยืดยาวหลายปีที่ไม่ได้พบกันเลย ฉะนั้น ถ้าฉันจะอวดอ้างความปีติยินดีของฉันมากไปสักหน่อย ซึ่งก็ไม่เกินความจริงแล้ว เธอคงจะไม่นึกติเตียนฉันเป็นแน่.

“ฉันยินดียิ่งขึ้นไปอีก ที่ได้ทราบว่าเธอจะอยู่ทำงานที่นั่นต่อไปอีก​หนึ่งปี แล้วจึงจะกลับเมืองไทย ที่จริงนั่นมันเป็นกำหนดการดั้งเดิมของเธอ ซึ่งฉันเคยได้รับบอกเล่าตั้งแต่ระหว่างเวลาที่ฉันได้ไปอยู่ที่โตเกียวแล้ว และนั่นมันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เธอเป็นคนมั่นคงต่อความจำนงจงใจของเธอ เพียงใด เธอย่อมมีความมั่นคงในความจำนงจงใจทุกอย่าง มิใช่แต่เฉพาะในการศึกษาอย่างเดียว ความสำเร็จใด ๆ ที่บุรุษเช่นเธอจะได้รับ แม้จะดูเป็นการเกินวิสัยสำหรับคนอื่น แต่ก็จะไม่เป็นการเกินวิสัยสำหรับเธอเลย นี่เป็นคำยกย่องอันสุจริตจริงใจของฉัน.

“อีกหนึ่งปี และกว่าเธอจะเข้ามาเมืองไทยและได้พบกัน เธอก็คงจะไม่ใช่นพพรพ่อหนุ่มน้อยคนที่ฉันรู้จักเสียแล้ว กว่าจะถึงเวลานั้น รวมเวลาที่ฉันจากเธอมาก็เกือบ ๖ ปี จากอายุ ๒๒ ปี เธอจะมีอายุ ๒๘ ปี นพพร ของฉันจะเป็นชายหนุ่มใหญ่เต็มที่ มิใช่หนุ่มน้อยดังแต่ก่อน เธอคงจะแปลกไปมาก แต่แน่ละเป็นความแปลกในข้างเติบโตจำเริญงาม ตรงกันข้ามกับตัวฉันซึ่งเธอก็คงจะเห็นแปลกเช่นเดียวกัน แต่แปลกในข้างเหี่ยวแห้งร่วงโรยลงไป อย่างไรก็ตาม เราคงจะจำกันได้ เพราะว่าเรามีบางสิ่งที่จะจำกันได้ไม่รู้ลืม.

“น่าแปลกใจเหมือนกัน ที่การติดต่อระหว่างเราในตอนหลัง ๆ นี้ ห่างเหินไปมาก เมื่อ ๒ ปีที่แล้วฉันจำได้ว่า ฉันได้รับข่าวจากเธอไม่มากไปกว่าปีละ ๓ ครั้ง แต่ที่จริงก็เป็นความประสงค์ของฉันเองที่อยากให้เธอได้มีเวลาเล่าเรียนโดยเต็มที่ ไม่ต้องมัวมาพะวงถึงการเขียนจดหมายไปมาถึงกันอยู่เนือง ๆ และเธอก็ปฏิบัติไปถูกต้องแล้ว.

“เวลาเกือบ ๕ ปีก็ยังผ่านไปได้โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจอะไรนัก หนึ่งปีย่อมจะผ่านไปโดยรวดเร็วและสะดวกกว่านั้นมาก เดี๋ยวนี้ฉันไม่มีอะไรที่จะแนะนำสั่งสอนเธออีกแล้ว เพราะว่าเธอเป็นผู้บังคับบัญชาของตัวเธอเองได้แล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นได้ดีเสียยิ่งกว่าฉันอีก.

​“ฉันคอยวันกลับของเธอ. คนดี คอยเพื่อได้รู้ได้เห็นด้วยตัวของฉันเอง ในความเจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิตของเธอ ผู้เป็นมิตรน้อยของฉัน.

                                                                     คิดถึงคนดีของฉันเสมอ

                                                                               กีรติ”

ข้าพเจ้าอ่านจดหมายของเธอด้วยความรู้สึกอย่างปรกติธรรมดา แน่ละ ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกมีกตัญญูในตัวเธอดุจว่าเธอเป็นพี่สาวของข้าพเจ้าคนหนึ่ง เธอเป็นผู้ให้คำแนะนำตักเตือน และคำปลุกใจที่มีค่ายิ่งแก่ข้าพเจ้าตลอดมา แต่ทว่าความรู้สึกที่ร้อนเป็นไฟได้มอดไปเสียแล้ว เวลาได้พาเอาความรู้สึกลุ่มรักในตัวเธอไปเสียจากข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกตัวเลย.

ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นและเฉลียวใจเลยว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ซ่อนความรู้สึกลึกซึ้งอะไรมาบ้างในจดหมายฉบับนั้น ความประณีตและความลี้ลับในชีวิต เป็นสิ่งเกินปัญญาของข้าพเจ้าในเวลานั้นที่จะเข้าใจได้.

 



7

๑๔

ประมาณเดือนเศษ นับแต่หม่อมราชวงศ์กีรติได้จากไป ข้าพเจ้าก็ได้รับจดหมายจากเธอฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าคลุ้มคลั่งมาหลายวันก่อนหน้าได้รับจดหมาย กลับจากมหาวิทยาลัยในตอนบ่ายทุกวัน ข้าพเจ้าเป็นต้องตรวจดูจดหมายที่ตู้รับจดหมายทุกครั้ง และเมื่อไม่พบจดหมายที่ได้เฝ้าคอยอยู่ด้วยใจจดใจจ่อ ข้าพเจ้าเป็นต้องสอบถามคนในบ้านเสียอีกครั้งหนึ่งเสมอ ทำดังนี้มาเป็นกิจวัตรหลายวัน จนกระทั่งคนในบ้านออกจะประหลาดใจ และจนกระทั่งถึงวันที่ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากเธอ.

กำลังเศร้าใจว่า ไม่มีข่าวจากหม่อมราชวงศ์กีรติเช่นเคย และขณะที่นั่งลงถอดรองเท้าอยู่หน้าประตูด้วยกิริยาเหงาหงอยเป็นที่สุด โนบูโกะลูกสาวเจ้าบ้านได้วิ่งมาหา แล้วส่งซองจดหมายให้ข้าพเจ้า พินิจลายมือหน้าซอง และถนัดแน่ว่าเป็นลายมือของใครแล้ว ข้าพเจ้าสลัดรองเท้าออกไปจากเท้าโดยรวดเร็ว และโดยไม่รู้สึกตัว จนโนบูโกะตะลึง ความประสงค์ก็เพื่อจะรีบเข้าไปในห้องของข้าพเจ้า ปิดประตู​และนอนอ่านจดหมายนั้นแต่ลำพังด้วยความกระหายดีใจเป็นที่สุด ข้าพเจ้าพูดขอบใจโนบูโกะคำเดียว แล้วก็เข้าห้องด้วยหน้าบานไม่ต้องสงสัย จดหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติ มีถ้อยความดังต่อไปนี้

“นพพรคนดีของฉัน

ฉันถึงบ้านได้ ๕ วันก็ได้รับจดหมายของเธอสองฉบับ เธอเขียนต่างวันกันก็จริง แต่มันมาถึงพร้อมกัน ที่จริงฉันควรจะเขียนถึงเธอ โดยไม่ต้องรอว่าจะมีจดหมายจากเธอมาหรือไม่ เพราะว่าฉันจำเป็นจะต้องรีบเขียนมาขอบใจในความเอื้อเฟื้ออารีอันมีค่ายิ่งของเธอที่มีต่อตัวฉัน ตลอดเวลาที่ได้ไปพักอยู่ในโตเกียว. ฉันจะไม่ชอบใจเธออย่างเดียว ก็ตรงที่เธอมาเอาใจใส่กับฉันมากเกินไป.

ฉันไม่คิดว่าจะได้จดหมายจากเธอเร็วพลันนัก นี่เธอจะติว่าฉันเขียนถึงเธอช้าไปเล่า. หรือเป็นด้วยเธอด่วนเขียนถึงฉันเร็วเกินไป ถ้าฉันเดิน แต่เธอเหาะ มันก็ยากที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ไม่ใช่หรือ ฉันหวังว่าเธอจะไม่คิดตำหนิติโทษฉันเลย.

อย่างไรก็ตาม ฉันก็ได้ทำดีตอบแทนเธอแล้ว กล่าวคือ ฉันได้ลงมือเขียนจดหมายฉบับนี้ในวันรุ่งขึ้นจากที่ได้รับของเธอ นพพรคงไม่ใจร้อนเกินไปจนถึงจะว่า ฉันควรจะลงมือเขียนตอบเสียในวันเดียวกันนั้น ถ้าเธอออกจะใจร้อนใจเร็วในระหว่างนี้ ก็โปรดอย่าลืมความจริงข้อหนึ่งว่า ฉันไม่ฟรีเหมือนเธอ ที่บ้านในในกรุงเทพฯ ฉันมีกิจการเบ็ดเตล็ดที่จะทำอยู่ไม่น้อย ซึ่งเธออาจไม่ได้คาดหมายถึง.

ฉันรู้สึกความเร่าร้อนที่เธอแสดงมาในจดหมายราวกับว่า ความหนาวของปลายฤดูออทัมน์ไม่ได้สัมผัสกับจิตใจของเธอเลย ราวกับว่าเธอลอบมาเขียนจดหมายฉบับนั้นในกรุงเทพฯ ถ้าเธอยังไม่คลายความเร่าร้อนลงแล้ว ฉันต้องขอแนะนำเธอให้เข้าไปอยู่ในตู้น้ำแข็งในเวลาเขียนถึงฉัน ​หรือมิฉะนั้นก็รอไว้เขียนในฤดูหนาวในที่ที่มีหิมะตก.

ฉันพูดเช่นนี้มิใช่เห็นจดหมายของเธอเป็นของขบขัน ฉันเห็นใจและสงสารเธอเป็นอย่างยิ่ง สงสารเธอแทบใจจะขาด แต่ฉันก็รู้ว่าความคลุ้มคลั่งเช่นนั้นมันจะทำให้นพพรของฉันไร้ความสุข ฉันอยากให้เธอเป็นสุขจะด้วยอะไรก็ตาม.

ในระหว่างเดินทาง จิตใจของฉันค่อนข้างเป็นปรกติ ฉันไม่ได้นับชั่วโมงนับวันคอยเวลาถึงบ้านด้วยใจจดใจจ่อ ซึ่งมักเป็นธรรมดาของผู้ที่จากบ้านมาไม่กี่เดือน อีกอย่างหนึ่งก็ไม่มีใครในกรุงเทพฯที่ใจฉันจดจ่อถึง ทุกชั่วโมงทุกวันฉันคิดถึงท่านพ่อและน้อง ๆ แต่ก็มิใช่อย่างใจจดใจจ่อ หากเป็นความคิดถึงอย่างเรียบ ๆ.

แต่ว่าในการจากเธอมานั้น ฉันต้องยอมรับว่าจิตใจของฉันไม่สู้จะเรียบร้อยนัก ฉันรู้ว่าการจากของฉันจะทำให้เธอเหงาเศร้าใจไปหลายวัน ความรู้สึกที่เธอพรรณนามาในจดหมายไม่รู้เกินกว่าความเป็นห่วงกังวลของฉัน ข้อที่ฉันหวังก็มีอยู่ แต่ว่าเธอคงจะสะกดกลั้นลงได้บ้าง แล้วความรู้สึกในตัวฉันอย่างรุนแรงนั้นจะค่อยเลื่อนหายไปในเวลาอันควร แล้วในที่สุดฉันก็จะไม่เป็นอะไรที่สลักสำคัญในชีวิตของเธอ แล้วความผาสุกและความรู้สึกอันบริสุทธิ์งดงามและปราศจากพันธนาการของคนในวัยหนุ่ม ก็จะกลับคืนมาสู่จิตใจของนพพรเช่นเดิม ฉันภาวนาและคอยเวลาที่ว่านี้.

เธอรู้ไหมว่าในการพรรณนาถึงความรู้สึกของเธอในจดหมายสองฉบับนั้น ได้ทำให้เธอกลายเป็นชายหนุ่มที่ฉันจะต้องคอยระมัดระวังในการติดต่อด้วย. เธอไม่เป็นนพพรยอดยุวมิตรของฉันเสียแล้ว ความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเด็ก ๆ ของเธอเกือบสูญหายไปหมดแล้ว ดูเธอเป็นชายหนุ่มใหญ่ที่น่ากลัวพอใช้ ในจดหมายนั้นฉันแทบจำนพพรคนที่ฉันแรกพบไม่ได้.

​ฉันขอวิงวอนเธอ มิตรน้อยของฉัน เธอต้องพยายามเรียกสัมปชัญญะของเธอคืนมา เธอต้องควบคุมอารมณ์ของเธอไว้ให้มั่นคง เธอมีลักษณะแข็งแกร่งพอที่จะทำได้ ถ้าเธอไม่ปล่อยปละละเลยมันเสียทีเดียว. มันเป็นความสลดสังเวชใจเหลือเกินนักที่เธอจะร้องร่ำคร่ำครวญคิดถึงสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นคนอาภัพ เป็นคนที่โชคชะตาได้ทอดทิ้งไม่เหลียวแลมาช้านานแล้ว ทั้งในปัจจุบันนี้เล่าก็ไม่อยู่ในฐานะอันจะเป็นที่ใฝ่ฝันของใคร ๆ ได้เสียแล้ว.

แม้ว่าคนทั้งหลายจะยอมอภัยให้ในความลุ่มรักของเธอในสตรีผู้นั้น แต่เธอก็จะต้องรับรู้ในความเป็นจริงว่า ความคร่ำครวญคิดถึงนั่นเป็นสิ่งไร้สาระต่อตัวเธอโดยแท้ ประโยชน์อะไรที่เธอมาคร่ำครวญใฝ่ฝันในตัวฉัน ในเมื่อความปรารถนาของเธอไม่มีทางที่จะเป็นของจริงขึ้นได้ มหาสมุทรมากีดกั้นฉันไว้จากเธอหรือ ? เธอย่อมรู้ดีว่า การที่ฉันมีท่านเจ้าคุณต่างหาก ที่ได้แยกเธอกับฉันไว้คนละโลก เราไม่มีทางที่จะพบกันได้ เธอเข้าใจดีพอมิใช่หรือ ?

นพพร, เธอจะใฝ่ฝันถึงฉันสืบต่อไปทำไม ? ฉันช่วยเธอไม่ได้ ไม่มีใครในโลกจะช่วยเธอได้. ชีวิตมีทางดำเนินก็จริง แต่เทพยดาฟ้าดินได้กำหนดวิถีทางดำเนินของชีวิตมาก่อนแล้ว ฉันไม่ห้ามและไม่ขอที่เธอจะคิดถึงฉัน แต่ขอให้คิดถึงฉันอย่างเรียบ ๆ อย่างที่เธอจะพึงคิดถึงเพื่อนที่รักของเธอ หรือพี่สาวของเธอ ฉันขอไม่ให้เธอคิดถึงฉันด้วยความคิดถึงที่หักโหมเร่าร้อนรุนแรง ขออย่าคิดถึงด้วยความปรารถนาจะยึดเอาร่างกายและดวงใจของฉันไว้เป็นสมบัติของเธอ เธอรู้แล้วว่าเธอปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.

โปรดกลับคืนไปที่เดิมของเธอ มิตรน้อยที่รัก กลับไปที่หนังสือ และความใฝ่ฝันถึงชีวิตแห่งงานการอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่ง เธอมีอนาคตงดงามน่าใฝ่ฝันยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นแต่หลงเข้ามาใน​เส้นทางดำเนินชีวิตของเธอเพียงชั่วครู่ยามเดียว ขอให้ฉันมีหวังว่า คำเตือนของฉันจะยับยั้งรั้งใจเธอได้.

ขอเธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียน นั่นเป็นจุดที่หมายอันเดียวของเธอในเวลานี้ ฉันคนหนึ่งที่จะคอยเอาใจจดจ่ออยู่กับความสำเร็จของเธอ เป็นคนหนึ่งและไม่เป็นรองใคร ในความปลาบปลื้มปีติที่จะแสดงออกต้อนรับในอนาคตอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งของเธอ ถ้าหากอายุของฉันจะไม่สั้นเกินไปนัก.

ฉันคอยเวลาที่จะมีข่าวมาถึงฉันว่า อารมณ์ของเธอได้เข้าสู่ความสงบเรียบร้อยดุจเดิม ด้วยใจจดใจจ่อ. ฉันหวังว่า เวลาที่ฉันคาดคอยอยู่นี้จะมาถึงไม่ช้านัก และนับแต่นั้น ฉันก็จะมีความปลอดโปร่งโล่งใจและผาสุก.

แม้ว่าในจดหมายฉบับนี้จะบรรจุล้วนแต่คำขอต่อเธอ แต่ฉันไม่ลืมเป็นอันขาดที่จะบอกกับเธอว่า ฉันต้อนรับความรู้สึกอันมีค่ายิ่งของเธอด้วยความชื่นชอบขอบใจอย่างลึกซึ้ง. ฉันรับไว้ครั้งหนึ่ง และจะจดจำไว้ชั่วกาลอวสาน เธอไม่จำต้องกล่าวซ้ำอีก. จงคิดถึงฉันเถิด, คนดี คิดถึงแต่น้อย ๆ และนานเท่าใดก็ได้.

ฉันเขียนถึงเธอยืดยาวนักแล้ว ฉะนั้นฉันขอเว้นไม่เล่าถึงความเป็นไปและเรื่องราวของคนอื่น ๆ ในจดหมายฉบับนี้ แต่ขอให้ฉันดุเธอสักหน่อยว่า ทำไมไม่เขียนถึงเจ้าคุณท่านบ้าง เธอรู้ไหมว่าเป็นการเลินเล่อเพียงใดที่เธอมัวมาสนใจแต่การเขียนถึงฉันคนเดียว ฉันแทบสะดุ้งเมื่อเจ้าคุณถามว่า เธอเขียนมาถึงฉันว่ากระไรบ้าง ถ้าเธอได้มาอยู่ด้วยในเวลาเช่นนั้น ฉันเชื่อแน่ว่าเธอจะตกใจมากทีเดียว เคราะห์ดีที่ท่านไม่ใช่คนขี้หึง และฉันก็ไม่ใช่คนที่ตื่นตกใจเอาง่าย ๆ.

ขออนุญาตให้ฉันจบเพียงเท่านี้ได้ไหมคนดี เจ้าคุณกำลังเตรียมตัว​เข้านอน และฉันไม่อยากจะให้ท่านถามอะไรฉันโดยไม่จำเป็น

ลาก่อนมิตรน้อยของฉัน ฉันคิดถึงและเอ็นดูเธอไม่จืดจาง จะคิดถึงและเอ็นดูเธอชั่วนิรันดร.

                                                                   ด้วยใจจดจ่อในความผาสุกของเธอ

                                                                                   กีรติ”

​จดหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติฉบับแรกนี้ ได้มาดับความกระวนกระวายเร่าร้อนใจของข้าพเจ้าลงไปไม่น้อย น้ำคำของเธอทำให้ชุ่มชื่นใจนัก ราวกับว่าข้าพเจ้าได้พบและได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้จากปากของเธอเอง. ในชั้นต้น ข้าพเจ้ามองไม่เห็นประโยชน์ในคำตักเตือนของเธอ ข้าพเจ้าไม่เอาใจใส่ โดยถือเสียว่าเป็นแต่คำพูดปลอบโยนอย่างธรรมดาเท่านั้น หม่อมราชวงศ์กีรติคงมิได้ตั้งใจจริงอะไรที่จะให้ข้าพเจ้าเลิกใฝ่ฝันคิดถึงเธอ ด้วยความคิดถึงที่ร้อนเป็นไฟ. แต่ในเวลาต่อ ๆ มาเมื่อได้อ่านจดหมายของเธอทบทวนอีกและได้ตรึกตรองตามไป ข้าพเจ้าก็ออกจะเอนเอียงไปข้างเห็นว่า คำเตือนของเธอเป็นสิ่งน่าคิดอยู่ หม่อมราชวงศ์กีรติอาจมีความตั้งใจจริงจัง ในการที่ได้วิงวอนเตือนมาเช่นนั้นก็เป็นได้.

 



8

๑๓

เมื่อได้คิดคำนึงไปว่า สุภาพสตรีที่ข้าพเจ้ารักสุดที่รัก และที่ข้าพเจ้าได้คลอเคลียอยู่กับเธอทุกวันคืน ได้จากไปไกล และมิใช่การจากไปอยู่คนละตำบลคนละเมือง ซึ่งข้าพเจ้าอาจขึ้นรถยนต์หรือรถไฟไปพบเธอได้ หากเป็นการจากไปสู่อีกประเทศหนึ่ง และข้าพเจ้าไม่อยู่ในฐานะที่จะตะเกียกตะกายไปพบเธอได้ก่อนที่เวลา ๕ ปีจะได้ผ่านไป ข้าพเจ้าเศร้าโศกปานใดเมื่อได้คิดคำนึงไปเช่นนั้น เป็นการสุดวิสัยที่จะพรรณนาออกมาได้.

ระหว่างทางที่นั่งรถไฟจากโกเบมาโตเกียว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้รับความชอกช้ำด้วยความคิดคำนึงถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างแสนสาหัส ข้าพเจ้าเดินทางมาในเวลากลางคืน และในยามราตรีเช่นนั้น มันชวนให้ข้าพเจ้าคิดถึงเธอเสียนี่กระไร.

มาถึงโตเกียวในเช้ารุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตรงไปที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง ไปเยี่ยมบ้านของเธอ ความรู้สึกของข้าพเจ้าในเวลานั้น ราวกับว่าไปเยี่ยมสถานฝังศพของบุคคลที่ข้าพเจ้ารักแสนรัก ราวกับว่าหม่อม​ราชวงศ์กีรติได้ตายจากข้าพเจ้าไป. ประตูหน้าบ้านซึ่งต่ำแค่ราวอกปิดลงกลอน ข้าพเจ้าถอดกลอนออกเปิดประตูเดินไปตามถนนกรวดช้า ๆ ข้าพเจ้าเดินสำรวจตรวจดูตามบริเวณบ้านรอบนอกอย่างเงียบ ๆ รำลึกภาพที่เราได้เคยนั่งเล่นเดินเล่นอยู่ด้วยกัน ที่นี่และที่นั่น. บนบ้านประตูหน้าต่างทุกบ้านปิดสนิท เงียบสงัดปราศจากศัพท์สำเนียงใด.

ข้าพเจ้านั่งลงบนเนินหญ้าภายใต้ซุ้มต้นองุ่น ณ ที่นี้เราทั้งสองเคยมานั่งพักสนทนากันในเวลาค่ำคืนหลายครั้ง ก่อนที่หม่อมราชวงศ์กีรติจะเข้านอน ในราตรีอันผุดผ่องด้วยแสงเดือน ข้าพเจ้ายังจดจำดวงนัยนาที่ทั้งหวานและคมของเธอได้ ความรู้สึกซาบซ่านกระวนกระวายได้เกิดแก่ข้าพเจ้าเนือง ๆ ในเมื่อแลสบเนตรอันทรงมหาเสน่ห์คู่นั้น เจตสิกของข้าพเจ้าจมอยู่ในความคิดคำนึงถึงหม่อมราชวงศ์กีรตินานเท่าใด ก็เหลือที่จะจดจำ อากาศในเช้าวันนั้นครึ้มเยียบเย็นไม่เปลี่ยนแปลง และปราศจากแสงแดด เมื่อข้าพเจ้าพยุงกายลุกขึ้นจากเนินหญ้า และได้ทอดทัศนาไปโดยรอบบริเวณบ้านอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกมีหยาดน้ำตาคลออยู่ในดวงตา ความเสน่หาอาลัยเกิดแก่ข้าพเจ้าแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นเพียงนิวาสสถานของเธอ.

กลับมาถึงบ้านในวันนั้น และรับประทานอาหารค่ำแล้ว แทนที่จะเข้าไปนั่งเล่นในห้องรับแขก รวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว อันเป็นกิจวัตรของเรา แล้วก็เปิดวิทยุฟังบ้าง ฟังเพลงจากจานเสียง บ้าง สนทนากันบ้างหรืออ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ข้าพเจ้าต้องขอตัวคนเหล่านั้นอยู่ในห้องของข้าพเจ้าแต่ลำพัง ข้าพเจ้าไม่สามารถจะไปร่วมพักผ่อนกับคนเหล่านั้นได้ ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ารู้สึกแน่ในใจว่า ข้าพเจ้าจะไม่เป็นประโยชน์แก่เขาเลย. ประสาทของข้าพเจ้ามึนชาไปหมด ข้าพเจ้ามีความหมกมุ่นสนใจอยู่แต่ในเรื่อง ๆ เดียว.

​ข้าพเจ้าพยายามหาทางที่จะบรรเทาความคิดคำนึงฟุ้งซ่านถึงหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าจำต้องหาทางให้ความคิดคำนึงเหล่านั้นได้พลั่งออกมาเสียบ้าง แทนที่จะปล่อยให้อัดแน่นอยู่ในหัวอกจนเหลือที่จะทนทานได้. แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ข้าพเจ้าเห็นสมควรระบายความรู้สึกของข้าพเจ้าให้เขาทราบ ข้าพเจ้ายังมีสติพอที่จะไม่แถลงเล่าแก่ใครคนหนึ่งว่า ข้าพเจ้ากำลังคลั่งรักหม่อมราชวงศ์กีรติ คลั่งรักสตรีผู้เป็นภริยาของบุคคลผู้เป็นมิตรของบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังมีสัมปชัญญะพอที่จะหยั่งทราบได้ว่า การแถลงเล่าเช่นนั้นจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ตัวและแก่สตรีที่ข้าพเจ้ารัก น้อยนักที่จะได้รับความปลอบโยนเห็นใจ.

ทางออกจึงเหลืออยู่แต่ทางเดียว คือระบายความรู้สึกคลุ้มคลั่งของข้าพเจ้าให้เธอทราบ ข้าพเจ้าจึงลงมือเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถึงหม่อมราชวงศ์กีรติในค่ำวันนั้น ต่อไปนี้คือจดหมายฉบับแรกนั้น.

“คุณหญิงที่รักของผม

ผมแทบจะหมดสติด้วยความคลั่งคิดถึง เมื่อดวงหน้าของคุณหญิงห่างไกลออกไปจนผมไม่สามารถจะแลเห็นความงามในดวงหน้านั้นต่อไปได้. ผมแทบจะล้มฟุบลงไปที่ท่าเรือนั้น เมื่อมือน้อย ๆ หยุดโบกเพราะสุดกำลังที่จะโบกต่อไป. ผมไม่รู้ตัวว่าผมกลับมาโตเกียวได้อย่างไร ผมกลับโตเกียวในคืนวันเดียวกันนั้นด้วยความรู้สึกมึนงงเหมือนคนเมาเหล้าจัด.

ผมไม่สามารถจะผ่านราตรีที่สอง ซึ่งปราศจากคุณหญิงไปได้ ถ้าไม่ลงมือระเบิดความรู้สึกของผมให้ทลายออกมาจากหัวอกเสียบ้าง ผมแทบคลั่งเป็นบ้าด้วยความคิดถึง มันพลั่งอยู่ในหัวอก ผมต้องระเบิดระบายมันออกมา.

ผมว่ายน้ำข้ามทะเลมาหาคุณหญิงไม่ได้ แต่ผมก็ติดตามคุณหญิง​มาโดยทางจดหมายนี้แล้ว และขอให้ฟังผมอีกที นี่มันไม่ใช่จดหมายดอกคุณหญิง นี่เป็นคนแท้ทีเดียว เมื่อคุณหญิงไปถึงบ้านในกรุงเทพฯและได้ฉีกซองจดหมายฉบับนี้ และดึงมันออกมา คุณหญิงจงเข้าใจเถิด มันไม่ใช่อื่นไกลเลย มันคือนพพรของคุณหญิง ถ้าคุณหญิงจะกรุณาจูบมันสักครั้งหนึ่ง ผมคงสามารถรู้สึกความหวานซาบซ่านในจูบนั้นได้ แม้ว่าร่างกายของเราจะอยู่ห่างไกลกันนับตั้งหลายพันไมล์ก็ตาม

ขณะที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ คุณหญิงคงจะผ่านเมืองโมยu ออกนอกเขตแดนญี่ปุ่นไปแล้ว ผมพยายามจะเห็นคุณหญิงโดยทางมโนภาพ คุณหญิงอาจจะนั่งอยู่ในห้องซาลูน เพราะเพิ่งเสร็จการรับประทานอาหาร แต่ผมเกรงว่าคุณหญิงคงไม่ประสงค์จะอยู่ในหมู่คนมากนัก คุณหญิงคงจะปล่อยให้ท่านเจ้าคุณสนทนากับกัปตันและผู้โดยสารอื่น ๆ ส่วนตัว​คุณหญิงเองคงจะขึ้นมาพักอยู่แต่ลำพังเงียบ ๆ บนดาดฟ้าเรือแล้วก็เป็นได้ มโนภาพของผมออกจะทำให้ผมแลเห็นความเคลื่อนไหวของคุณหญิงเป็นไปในประการหลัง.

มีแสงเดือนอ่อน ๆ ในค่ำวันนี้ แต่ว่าในท่ามกลางท้องทะเลก็ไม่มีอะไรที่จะทอดทัศนา นอกจากระลอกคลื่นและดวงดาวบนท้องฟ้า โลกในกลางทะเลก็มีแต่ฟ้ากับน้ำเท่านั้น คุณหญิงจะขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้าเรือเพื่ออะไรเล่า เพื่อที่จะคิดถึงผมอย่างเงียบ ๆ โดยปราศจากความรบกวนของคนอื่น หรือเพื่อที่จะคิดถึงบ้านในกรุงเทพฯ หรือเพื่อที่จะอาบแสงเดือนอ่อนและตากลมเย็น

โอ. ผมเขลาไปถนัด ! มโนภาพของผมมันช่างลำเอียงมาข้างความต้องการของผมมากเกินไป มันจะชวนให้ผมมองเห็นท่าที่อิริยาบถของคุณหญิงแต่ในทางยียวนป่วนใจ แต่แท้จริงมันออกจะเป็นไปไม่ได้ที่คุณหญิงจะมายืนตากลมอยู่บนดาดฟ้าเรือในราตรีเช่นนี้ และในขณะที่คุณหญิงยังอยู่ไม่ห่างไกลจากเกาะญี่ปุ่นเท่าใดนัก คุณหญิงคงจะหนาวเกินจะทนได้ และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณหญิงจะมายืนทนหนาวอยู่เดียวดายเช่นนั้น.

ถ้าคุณหญิงไม่อยู่ในห้องซาลูน คุณหญิงก็คงจะเดินเล่นอยู่ตามกราบเรือตอนล่าง ในตอนที่ไม่ต้องปะทะกับลมเย็นอย่างรุนแรงเกินไป คุณหญิงอาจมายืนเกาะลูกกรงทางตอนท้ายเรือซึ่งมีที่กำบังลม แล้วมองลงไปในท้องทะเล แล้วก็คิดถึงผมนิดหน่อย หรือมากก็เป็นได้ นพพรของคุณหญิงได้ติดตามไปผุดขึ้นในที่ทุกแห่งที่คุณหญิงได้มองลงไป คุณหญิง มองเห็นผมในพื้นน้ำบ้างไหม ? ผมติดตามมาดุจระลอกคลื่นที่ไล่ตามเรือ ประกายคลื่นนั้นคือประกายตาของผมเอง คุณหญิงมองเห็นผมบ้างไหม ?

ถ้าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดอนุญาตให้ผมเลือกขอพรได้อันหนึ่ง ผมจะ​ขอว่าให้ผมสามารถจำแลงกายเข้าไปอยู่ในหัวใจของคุณหญิง เพื่อผมจะได้ทราบทุกเวลานาที ว่าคุณหญิงคิดคำนึงว่ากระไร คุณหญิงคิดถึงนพพรของคุณหญิงมากน้อยเพียงไร แต่คงไม่มีเป็นแน่มิใช่หรือที่คุณหญิงจะไม่คิดถึงผมเลย.

ผมเพิ่งนึกได้ว่า มีความจริงที่ร้ายกาจอยู่ข้อหนึ่งคือความจริงที่ว่า แม้ผมจะได้เพียรถามทั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว คุณหญิงก็ไม่เคยตอบให้ผมได้ทราบเลยว่า คุณหญิงรักผมหรือไม่ ผมรู้ว่าการนิ่งเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นการแสดงว่า คุณหญิงปฏิเสธความรักของผมดอก แต่ผมก็ปรารถนาและกระหายเป็นล้นพ้นที่จะได้ฟังคุณหญิงกล่าวออกมาให้แจ้งชัดแก่ใจ ถ้าคุณหญิงกล่าวความรักแก่ผมสักคำหนึ่ง ผมจะถือว่าเป็นพรอันประเสริฐสุดเท่าที่ผมจะพึงได้รับตลอดชั่วชีวิตของผม คุณหญิงจะกรุณาประสาทพรที่ผมวิงวอนขอมานี้ได้หรือไม่?

​คุณหญิงได้รับรองกับผมไว้แล้วว่า จะไม่ลืมคิดถึงผม แต่คุณหญิงก็ควรทราบว่า ผมไม่ประสงค์ให้คุณหญิงคิดถึงผมดุจว่าผมเป็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งที่น่าสงสารหรือน่าเล่นหัวด้วยก็ตาม ผมปรารถนาให้คุณหญิงคิดถึงผมอย่างว่า ผมเป็น--อ้า--ผมจะพูดว่าอะไรดี ผมจะพูดว่า ผมเป็นคนรักที่สุด หรือคนรักคนเดียวของคุณหญิงได้ไหม ?

คุณหญิงอาจกำลังสงสัยว่า ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยอาการเพ้อคลั่งไปบ้างหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผู้ที่กำลังคิดถึงใครคนหนึ่ง ด้วยความรู้สึกทั้งมวลที่มีอยู่ในจิตใจของเขา แล้วก็พูดออกมาตามความสัตย์จริงใจ ฉะนี้จะว่าเป็นอาการเพ้อคลั่งได้หรือไม่.

ผมไม่อยากจะจบจดหมายนี้ลงเสียโดยเร็ว เพราะว่าในเวลาที่ผมเขียน ผมรู้สึกว่าผมได้นำจิตใจของผมไปอยู่ใกล้ชิดกับจิตใจของคุณหญิงอย่างที่สุด และนั่นมันทำให้ผมค่อยสบายใจขึ้น แม้ถึงว่าในเวลานี้คุณหญิงจะอยู่ห่างไกลจากผมเพียงใดก็ตาม.

แต่ผมก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปอีก เพราะว่ามันก็จะไม่พ้นไปจากการพรรณนาความรู้สึกคิดถึงอันใหญ่หลวง ความคิดถึงที่ไม่มีระยะเวลาเวลาสิ้นสุดลงได้.

ผมจึงควรจะจบจดหมายเสียที แล้วผมก็จะลาไปนอน-โอยาซูมินาไซ. คุณหญิงที่รักของผม. แม้หลับลงได้ก็เป็นบุญหนักหนา และคงจะฝันถึงคุณหญิงในยามหลับไม่ต้องสงสัย.

                                                                        รักคุณหญิงเหลือเกิน

                                                                               นพพร”

เมื่อได้เขียนจดหมายจบลงแล้ว ข้าพเจ้ายังได้อ่านทบทวนดูอีกหลายตลบ มิใช่เพื่อจะตรวจสอบดูว่าตัวเองเขียนได้ไพเราะเพราะพริ้งปานใด ข้าพเจ้าไม่มีความจำนงจงใจเลยที่จะเขียนจดหมายถึงหม่อม​ราชวงศ์กีรติด้วยถือเอาความไพเราะเพราะพริ้งเป็นสำคัญ การที่อ่านซ้ำอีกหลายตลบ ก็เพื่อจะดื่มรสหวานซาบซึ้งในความรู้สึกของตนเอง พอเป็นที่ชุ่มชื่นใจคลายโศก. จำได้ว่าข้าพเจ้าหลับไปได้ไม่ยากนักในคืนวันนั้น เนื่องด้วยความเหนื่อยอ่อนใจเป็นที่สุด ข้าพเจ้าฝันร้อยแปด แต่ก็เป็นภาพนิมิตร้อยแปดอย่างในเรื่อง ๆ เดียว หรือในคน ๆ เดียวนั้นเอง.

ข้าพเจ้าทนความเหงาเศร้าใจไปได้ไม่กี่วัน และเมื่อเหลือที่จะอดกลั้นได้ ข้าพเจ้าก็ได้เขียนจดหมายถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอีกฉบับหนึ่ง ในระหว่างที่เธอยังเดินทางรอนแรมอยู่กลางทะเล.

 



9

๑๒

​วันที่เราพากันไปเที่ยวเขามิตาเกะนั้น เป็นวันในต้นสัปดาห์ที่ ๘. ตามกำหนดการเดิม เจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้เดินทางออกจากโตเกียว เพื่อกลับคืนประเทศสยามในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์นั้น แต่สองวันต่อมาหลังแต่นั้น ข้าพเจ้าได้ทราบจากหม่อมราชวงศ์กีรติว่า เจ้าคุณยินดีจะยืดเวลาอยู่โตเกียวออกไปอีกสองสัปดาห์. ในระหว่างเวลาที่ได้ยืดออกไปนั้น มีกำหนดการสำคัญอยู่สองอย่าง. อย่างหนึ่งเจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้ไปใช้วันที่อาตามิสักสองวัน เพื่ออาบน้ำร้อนและชมภูมิประเทศอันเป็นที่ขึ้นชื่อลือนามแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น. กำหนดการอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในระหว่างทางจากโตเกียวไปโกเบ ท่านทั้งสองจะหยุดยั้งที่เมืองโอซากาสักสองสามวัน เพื่อชมความเจริญของเมืองอุตสาหกรรมชั้นเอกของญี่ปุ่นและชมสำนักละครตาการะซูกะ ซึ่งเป็นสำนักละครสำนักใหญ่ที่สุดในประเทศนั้น.

ในระหว่างวันที่เหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าได้มาเยี่ยมเยียนและมีการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติ และเจ้าคุณอธิการบดีเหมือนเช่นเคย. ข้าพเจ้า​จำต้องสารภาพว่า ในการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งหลัง ๆ นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสามีของเธอ ข้าพเจ้าหามีความปลอดโปร่งโล่งใจดังแต่ก่อนไม่ ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามบังคับกิริยาของตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่จะมิให้เป็นการผิดปรกติไป. ความหวาดหวั่นปั่นป่วนใจของข้าพเจ้าในเวลานั้น คงจะไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากความรู้สึกของคนร้าย ที่ได้ลอบประกอบอาชญากรรมอันร้ายแรงและได้นำตนเข้ามาปะปนสมาคมอยู่ในหมู่ชนผู้บริสุทธิ์.

เป็นการประหลาดมากที่ข้าพเจ้าได้พบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มีกิริยาการเปลี่ยนแปลงผิดปรกติไปแม้แต่น้อยหนึ่ง. เธอคงประพฤติตนสนิทสนมกับข้าพเจ้าเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นในเวลาลับหลังหรืออยู่ต่อหน้าเจ้าคุณสามี. เฉพาะความสนิทสนมที่เธอได้แสดงต่อข้าพเจ้าในเวลาที่อยู่ต่อหน้าท่านเจ้าคุณนั้น ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การที่เธอได้แสดงกิริยาเป็นปรกติกับข้าพเจ้าตลอดมานั้น ก็เป็นเครื่องอุ่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เธอยังคงเป็นหม่อมราชวงศ์กีรติคนเก่าของข้าพเจ้า เธอมิได้มีความชิงชังข้าพเจ้า ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้สร้างเหตุการณ์อันกระเทือนใจที่สุดขึ้น ณ ที่เขามิตาเกะนั้นแล้ว.

เมื่อมีโอกาสครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง ข้าพเจ้าได้เพียรจะรื้อฟื้นเรื่องเดิมอีก แต่ก็ได้ถูกเธอตอบตัดบทเสีย. เย็นวันหนึ่งที่อาตามิ หม่อมราชวงศ์กีรติได้ชวนข้าพเจ้าออกไปเดินเล่นแต่ลำพัง.

“ยังเหลืออีก ๖ วันเท่านั้น” เรากำลังพูดถึงเรื่องที่จะต้องจากกัน.

“เธอคอยนับวันอยู่เสมอเทียวหรือ, นพพร?”

“ผมนับทุกชั่วโมง ทุกนาที หรือแทบจะว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้.”

“เธอจริงจังกับการจากของเรามากเกินไป. คนดี. ฉันขอเตือน​เธอ เธออาจจะไม่สบาย เธอต้องพยายามข่มใจ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความปรานี น้ำเสียงเช่นนี้เป็นที่เสียดแทงใจข้าพเจ้ายิ่งขึ้น.

“ผมไม่อยากจะทำเช่นนั้น ผมมองไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไมผมจะต้องข่มขู่ความรักที่เกิดเอง เป็นเองด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความรักที่ไร้ความผิดที่น่าสงสาร น่าสมเพชเวทนา ผมทำดังนั้นแก่ความรักไม่ได้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติถอนหายใจ.

“เราหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้, นพพร.”

“ความจริงอะไร?”

“ความจริงที่เราจะต้องจากกันใน ๖ วันต่อจากนี้ไป.”

“เป็นความจริงที่ร้ายกาจมาก!” ข้าพเจ้าพูดอย่างแค้น.

“เพราะเหตุนั้นน่ะสิ ฉันจึงขอให้เธอพยายามข่มใจ. โปรดเชื่อฉัน, คนดี.”

“ผมจะพยายาม แต่ผมคิดว่าไร้ประโยชน์.”

“เราไม่ควรจะได้มาพบกันเลย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเป็นเชิงรำพึงแก่ตนเองมากกว่าที่จะพูดกับข้าพเจ้า “การตั้งต้นของเราดีเหลือเกิน แต่การตั้งต้นเช่นนั้นกลับเป็นเครื่องทรมาทรกรรมเราในตอนท้าย.”

“มันทรมานคุณหญิงด้วยหรือ ?”

“ฉันปวดร้าวใจด้วยความสงสารเธอ สงสารเพราะว่าเธอมาจริงจังกับฉันเกินไป.”

“ผมคิดว่า ความจริงจังเป็นลักษณะสำคัญของความรักแท้” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงกระด้างนิดหน่อย.

หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป ด้วยการสำรวมกิริยาเป็นปรกติ.

“ถ้าฉันทำอย่างไรให้เธอไม่พอใจฉันเสียได้แต่ในชั้นต้น การณ์ก็จะไม่เป็นเช่นนี้.”

​“แต่ผมก็พอใจในฐานะของผมในเวลานี้อย่างที่สุดแล้ว. แม้ว่าความรักจะทรมานผมเพียงใด แต่ความรักก็เป็นพรอันประเสริฐสำหรับชีวิต ตามคำของคุณหญิงเอง. ผมไม่เข้าใจผิดไปมิใช่หรือ ว่าคุณหญิงก็รักผมด้วยลักษณะของความรัก เช่นเดียวกันที่ผมได้รักคุณหญิง รักด้วยชีวิตจิตใจ รักอย่างจริงจัง.”

“โปรดเชื่อฉัน, นพพร. เธอต้องพยายามข่มใจ.”

ในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่ได้รับคำตอบอันแจ้งชัดจากปากคำของเธอ ในการที่ได้ไปใช้วันคืนร่วมกันที่อาตามินั้น.

□ □ □

เราพักที่โอซากาโฮเต็ลสองวัน หม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้า​แทบจะไม่มีโอกาสได้สนทนาล่ำลาไว้อาลัยกันแต่ลำพังเลย. เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่เราจะออกเดินทางไปโกเบ หม่อมราชวงศ์กีรติมาเคาะประตูห้องพักของข้าพเจ้า. เมื่อข้าพเจ้าถอดกลอนเปิดประตูออก และเธอเห็นข้าพเจ้าอยู่ในเครื่องสักหลาดชุดสีน้ำเงิน สวมกั๊กและผูกเน็กไทเรียบร้อย แทนที่จะอยู่ในเครื่องนอน เธอก็แสดงความประหลาดใจ.

“ฉันคิดว่าเธอยังไม่ตื่นนอน เพราะว่าเมื่อคืนนี้เราก็เข้านอนดึก. และนี่เธอจะแต่งตัวไปไหน ? เราจะไม่ออกเดินทางก่อน ๓ โมงเช้า”

“ผมทราบแล้ว แต่ว่าผมนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว และคิดว่าประเดี๋ยวจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง เพราะรู้สึกอึดอัดใจมาก.”

“วันนี้อากาศหนาวเย็นกว่าเคย และภายนอกมีหมอกลงจัด ฉันหวังว่าเธอจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

​“เปล่า, ผมจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

ข้าพเจ้าปิดประตูแล้ว ก็เดินตามหม่อมราชวงศ์กีรติมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เตียงนอน ส่วนหม่อมราชวงศ์กีรตินั่งลงที่ขอบเตียง ข้าพเจ้าดีใจเหลือประมาณที่ได้พบหน้าเธอแต่เช้าในวันนั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีความประหลาดใจนิดหน่อย ว่าเธอมีกิจธุระสำคัญอะไรหนอที่ต้องการจะพบข้าพเจ้าแต่เช้าตรู่.

อยู่ต่อหน้าหม่อมราชวงศ์กีรติในเช้าวันนั้น เช้าวันสุดท้ายที่เราจะจากกัน หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรง. ข้าพเจ้านั่งสำรวมกิริยาด้วยความสร้อยเศร้า และหม่อมราชวงศ์กีรติก็ไม่เอ่ยออกวาจาว่ากระไร เราปล่อยให้เวลาผ่านไปในความเงียบกว่า ๓๐ วินาที

ในที่สุด เธอได้พูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า

“เราจะออกจากโอซาการะหว่าง ๓ โมงครึ่งถึง ๔ โมง จะไปรับประทานอาหารกลางวันที่โกเบ โดยคำเชิญของสหายคนไทยที่นั่น กำหนดเรือออกจากท่าบ่าย ๒ โมง.”

ข้าพเจ้าใจหายวาบ เมื่อได้ฟังประโยคท้าย.

“เมื่อไปถึงโกเบ เราคงจะอยู่ในระเบียบการรับรองตลอดเวลา” เธอกล่าวต่อไปอย่างแช่มช้าเช่นเดียวกับในตอนต้น “เราคงไม่มีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแต่ลำพังอีกเลย.”

เธอหยุดครู่หนึ่ง ข้าพเจ้ากลืนน้ำลาย หลบนัยน์ตาเธอ และนัยน์ตาข้าพเจ้ากะพริบหลายครั้งในเวลานั้น.

“ฉันคิดว่าเธอคงต้องการเวลาอย่างน้อยก็สัก ๑๐ นาที เพื่อที่เราจะได้กล่าวคำอำลากันเป็นการพิเศษเฉพาะตัว ฉันจึงเข้ามาหาเธอแต่เช้าในวันนี้ ”

น้ำเสียงของเธอเยือกเย็น ทำให้ข้าพเจ้าตื้นตันใจเป็นแสนสุด.

​“ผมกระหายที่จะได้เวลาอย่างที่ว่าเหลือเกิน ผมขอบใจคุณหญิงอย่างที่สุดที่ให้โอกาสแก่ผม” ข้าพเจ้าพูดได้เท่านั้นก็นิ่งไป.

“เธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียนให้สำเร็จสมความปรารถนา อยู่ทางเมืองไทย ฉันจะภาวนาเอาใจช่วยเธอ.”

“ขอให้คิดถึงผมตลอดเวลาด้วย ขอจงเห็นใจในความรักภักดีของผม.”

“ฉันขอรับรองว่าจะปฏิบัติตาม. แล้วมีอะไรอีก, นพพร ?”

“ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำ เพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจความทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก.”

“เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้ ส่วนที่เหลืออยู่นั้นฉันจะอ่านจากดวงตาของเธอ.”

ข้าพเจ้าแลสบตาเธอ ด้วยความรู้สึกละห้อยสร้อยเศร้าทวีขึ้น.

“จงอ่านดูเถิด ผมยังไม่รู้ที่จะพูดว่ากระไร.”

เราถ้อยทีถ้อยแลสบตากันอยู่เป็นครู่ ในที่สุดหม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้น และมายืนอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า เอามือยึดไหล่ข้าพเจ้าไว้พลางพูดว่า

“คนดีของฉัน. ขอได้โปรดรับคำแนะนำของฉันเป็นครั้งสุดท้าย. เธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมาญี่ปุ่นเพื่อการศึกษาเล่าเรียน มิใช่เพื่อจะมารักฉัน. จงจำจุดหมายปลายทางของเธอไว้ให้แม่น จงยึดไว้ให้มั่น. ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันในชั่วเวลา ๒ เดือนเศษนี้ เธอจงลืมเสีย จงนึกเสียว่ามันเป็นความฝัน”

ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปจับมือเธอแล้วลูบคลำเบา ๆ

“นี่เป็นเลือดเนื้อโดยแท้ นี่เป็นคุณหญิงโดยแท้ มิใช่รูปภาพหรือ​เงาในฝันเลย จะให้ผมนึกไปว่าเป็นความฝันได้กระไร. ผมรักเลือดเนื้อนี้แทบใจจะขาด.”

หม่อมราชวงศ์กีรติค่อยดึงมือออกและเบือนหน้าไปทางอื่น.

“เจ้าคุณอาจจะตื่นในไม่ช้า ประเดี๋ยวฉันจะต้องกลับไปห้อง เวลาของเราเกือบหมดแล้ว, คนดี.”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” เสียงที่ถามนั้นเบาจนแทบเป็นกระซิบ.

“ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” หม่อมราชวงศ์กีรติตอบ พลางดึงผ้าพันคอไหมที่พันอยู่กับคอเธอส่งให้ข้าพเจ้า “โปรดรับสิ่งนี้ไว้เป็นที่ระลึกต่างตัวฉัน.”

เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ข้าพเจ้าสุดที่จะกล้ำกลืนความโศกไว้ได้. ด้วยน้ำตาคลอตา ข้าพเจ้ามองดูมือที่ยื่นมานั้น จับและบีบแน่นด้วยความพิศวาส แล้วข้าพเจ้ายกมือนั้นขึ้นจูบ เธอยินยอมโดยดี.

​หม่อมราชวงศ์กีรติยืนก้มหน้าสงบอยู่ครู่หนึ่ง.

“ฉันลาไปห้องก่อน ประเดี๋ยวเราจะได้พบกันอีกที่ห้องรับประทานอาหาร. โปรดบังคับใจให้ดี” จบประโยคท้าย เธอแลสบตาข้าพเจ้า แล้วก็หันหลังเดินตรงไปที่ประตูช้า ๆ.

□ □ □

บ่ายโมงครึ่งเรามาถึงท่าเรือ มีมิตรสหายทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นมาส่งท่านเจ้าคุณและคุณหญิง ๑๐ กว่าคน. เรารวมกลุ่มสนทนากันอยู่ในห้องซาลูน ข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่กับผู้ใด ได้แต่ลอบชำเลืองดูหม่อมราชวงศ์กีรติ เพื่อที่จะถ่ายภาพดวงหน้านั้นยังลงไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า.

เวลาสุดท้ายได้มาถึงแล้ว เรือเปิดหวูด และมีเสียงตีฆ้อง เตือนบรรดาผู้ที่มาส่งให้ละเรือขึ้นบก เจ้าคุณกับคุณหญิงจับมือล่ำลามิตรสหายโดยทั่วหน้าภายในห้องซาลูนนั้น. มาถึงข้าพเจ้า ท่านเจ้าคุณจับมือสั่นอยู่นาน และกล่าวคำขอบคุณข้าพเจ้ายืดยาว.

“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ, พ่อหลานชาย เธอทำประโยชน์ให้แก่เรามากมาย” ท่านพูดประโยคสุดท้าย. ข้าพเจ้าทั้งตื้นตันใจและเสียวใจจนไม่รู้ที่จะตอบไปว่ากระไร. ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาอำลา เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส

“ลาก่อน, คนดีของฉัน” เธอพูดเบามาก แม้กระนั้นเสียงของเธอยังสั่น แล้วก็หยุดนิ่งไป เธอเม้มริมฝีปากแน่น.

“โปรดคิดถึงผมเสมอ.”

“ฉันจะคิดถึงเธอเสมอ. ลาก่อน.”

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากัดกรามแน่น ข้าพเจ้าต้องพยายามที่จะไม่ให้น้ำตาหยดลงต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเกียรติยศของสตรีที่ข้าพเจ้ารักเป็นที่สุด.

​“ลาก่อน.”

เราเดินตามคนอื่น ๆ ออกมาจากห้องซาลูน. ตอนจะผละจากเรือเจ้าคุณต้องรับการล่ำลาอย่างชุลมุนอีกครั้งหนึ่ง. ในระหว่างความชุลมุนนั้น ข้าพเจ้ามีเวลาชั่ว ๑ นาทีที่อยู่ใกล้ชิดหม่อมราชวงศ์กีรติ และห่างจากคนอื่น ๆ.

เธอยื่นมือให้ข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” ข้าพเจ้ากระซิบถามเป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน.

“รีบลงไปเสียเถิด, นพพร” พูดแล้วเธอยกมือขึ้นปิดหน้าชั่วขณะหนึ่ง “รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด.”

เธอกัดริมฝีปากล่าง ข้าพเจ้าทำเช่นเดียวกัน เรามีน้ำตาคลอตาด้วยกันทั้งสองคน แต่ยังไม่หยาดหยดออกมา ด้วยความพยายามกล้ำกลืนฝืนไว้อย่างสุดกำลัง.

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากระซิบคำสุดท้าย.

เมื่อปล่อยมือเธอ ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของข้าพเจ้าได้ติดไปกับอุ้งมืองามนั้น.

 



10
นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 11-15


๑๑

ภายหลังที่ได้ลงรถไฟที่สถานีชินยูกุ ตามถนนหนทางสว่างไปด้วยแสงไฟแล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถยนต์ตรงมาบ้าน หม่อมราชวงศ์กีรติได้กล่าวเตือนข้าพเจ้าว่า “นพพร, ดูเธอเชื่อมซึมไปนี่. เธอต้องระวังกิริยาของเธอไว้ให้ดีเมื่อไปถึงบ้าน และอย่าตกใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าคุณ เรากลับล่าไปหน่อย ถ้ากิริยาของเธอเปลี่ยนแปลงไป ท่านอาจจะคิด.”

“ท่านเจ้าคุณจะคิดว่ากระไร?” ข้าพเจ้าถามด้วยความตกใจนิดหน่อย.

“ท่านจะคิดว่ากระไรบ้าง ฉันก็คะเนไม่ได้ แต่เราอย่าทำอะไรผิดปรกติให้ท่านคิดเลยดีกว่า”

ข้าพเจ้ารับว่าจะพยายาม. เมื่อรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน หม่อมราชวงศ์กีรติได้ก้าวลงจากรถอย่างกระปรี้กระเปร่า ใจข้าพเจ้าเต้นแรงนิดหน่อย.

เธอถามข้าพเจ้าเบา ๆ ว่า “เธอเรียบร้อยหรือนพพร?”

ข้าพเจ้าพยักหน้า พร้อมกับยิ้ม พยายามจะให้เธอเข้าใจว่าข้าพเจ้า​เป็นคนใจเย็นพอ. สาวใช้บอกกับเราว่า เจ้าคุณยังไม่กลับจากไปในงาน. ข้าพเจ้าถอนหายใจยาว ตอนนี้แหละที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าใจเย็นจริง ๆ.

คืนนั้นข้าพเจ้าลาจากหม่อมราชวงศ์กีรติมา เป็นเวลาราว ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าไม่ได้ตรงกลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาบ้านทำไม ข้าพเจ้าไม่มีสมาธิพอที่จะดูหนังสือ หรือแม้แต่จะข่มใจให้นอนหลับก็คงจะทำไม่ได้ ในสมองของข้าพเจ้ามันสว่างโพลงไปด้วยความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกลับบ้าน. จากบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าขึ้นรถย้อนกลับเข้ามาในเมืองอีก. โตเกียวสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ลงรถที่หน้าสวนเวียนโน ข้าพเจ้านำตนเข้าไปเดินอยู่ในสวนอันกว้างใหญ่และงดงามนั้น.

​ข้าพเจ้าเดินไป โดยไม่ได้ใส่ใจว่าจะชมอะไร และไม่ได้ดูว่ามีใครได้เที่ยวเล่นอยู่ในที่นั้นบ้าง. สุดแต่ว่ามีทางให้เดิน ข้าพเจ้าก็เดินไป คิดคำนึงไป. เมื่อรู้สึกเมื่อย ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นสนามริมสระน้ำ. ข้าพเจ้าทอดกายเอกเขนกด้วยความเหนื่อยเมื่อยที่ได้เที่ยวมาตลอดทั้งวัน. พยายามรำลึกว่า ข้าพเจ้าได้ทำอะไรไปแก่หม่อมราชวงศ์กีรติในบ่ายวันนี้ที่บนเขามิตาเกะ. ข้าพเจ้าได้ประคองกอดและจุมพิตเธอด้วยสุดแสนเสน่หา ข้าพเจ้าได้พรรณนาความรักของข้าพเจ้าแก่เธอ. ข้าพเจ้าได้ทำไปถึงปานนั้นเจียวหรือ บังอาจบอกความรักและจุมพิตหม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าคุณอธิการบดี ผู้เป็นที่นับถืออย่างสูงของข้าพเจ้าเจียวหรือ ข้าพเจ้าได้ทำไปถึงปานนั้นแล้วจริง ๆ!

ข้าพเจ้าเสียใจหรือเป็นสุขที่ได้กระทำไปเช่นนั้น ข้าพเจ้าอึดอัดใจหรือปลอดโปร่งโล่งใจที่ได้พรรณนาความรักออกไปให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบ. ข้าพเจ้าตอบปัญหาเหล่านี้ให้เป็นที่เด็ดขาดออกไปไม่ได้ ข้าพเจ้าปรารถนาคำตอบอยู่เหมือนกัน ข้าพเจ้ารู้แน่แก่ใจอยู่อย่างเดียวว่า ข้าพเจ้ารักหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยชีวิตจิตใจ รักอย่างจะกลืนกิน.

ลองตั้งปัญหาถามตัวเองว่า ข้าพเจ้าต้องการหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่. ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ถ้าปราศจากหม่อมราชวงศ์กีรติแล้ว คงจะว้าเหว่หงอยเหงาและคิดถึงเธอเป็นที่สุด นี่จะเรียกว่าไม่ต้องการเธอได้หรือ? แต่ข้าพเจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องต้องการตัวเธอ ในเมื่อเธอมีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว. ฉะนั้นข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้ายื้อแย่งช่วงชิงเอาหรือ? ข้าพเจ้าไม่เคยมีความตั้งใจเช่นนั้นเลย ในข้อแรก ข้าพเจ้าไม่อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้ายังอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียน อีกทั้งเจ้าคุณอธิการบดีก็เป็นที่เคารพนับถือของข้าพเจ้า นอกจากนั้นข้าพเจ้าไม่หาญพอที่จะเข้าใจเอาว่า หม่อมราชวงศ์กีรติจะ​ยอมพร่าเกียรติยศของเธอเพื่อเห็นแก่ความรัก ความต้องการของข้าพเจ้า หรืออาจจะรวมทั้งเพื่อเห็นแก่ความรักความต้องการของเธอด้วย.

ฉะนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงยังตอบไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าเสียใจหรือเป็นสุขที่ได้กระทำไปเช่นนั้น ที่ได้แสดงความรักต่อหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างเปิดเผย. ในหัวของข้าพเจ้าพร่าพราวไปด้วยความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ซึ่งเลือนรางไม่แจ่มแจ้ง. ในที่สุดข้าพเจ้าก็ลงความเห็นว่า ไม่เป็นการสมควรที่จะหมกมุ่นครุ่นคิดถึงปัญหาร้อยแปด ในสถานที่อันสงบเงียบเช่นนั้นต่อไป. ออกจากสวนเวียนโน ข้าพเจ้าจับรถยนต์นั่งเรื่อยเปื่อยไปตามถนนที่ยังเกลื่อนกล่นด้วยฝูงชน ผ่านถนนนั้น ออกถนนนี้ โดยไม่มีที่หมายปลายทาง ในที่สุด ข้าพเจ้าให้รถมาหยุดส่งข้าพเจ้า ณ กาเฟสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกาเฟสถานชั้นกลาง ไม่ต่ำช้าจุ้นจ้านจนเกินไป.

ตามจริงข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยกับสถานที่เช่นนี้นัก เคยมาเที่ยวที่กาเฟสถานนี้นาน ๆ ครั้งหนึ่งในฐานะของผู้นำทางท่านผู้อื่น. การที่ได้หาญนำตนเองแต่ลำพังเข้าไปในวันนั้น ก็เพราะว่าข้าพเจ้าต้องการความเปลี่ยนแปลง ต้องการความเอิกเกริกเฮฮา เพื่อที่จะบรรเทาความมึนงงในปัญหาร้อยแปดในหัวของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าขึ้นบันไดไปชั้นบน แม่สาวหน้าตาแฉล้มนางหนึ่งวิ่งเหยาะออกมารับ. ข้าพเจ้าประหลาดใจที่หล่อนบอกว่าจำข้าพเจ้าได้ ทั้งที่นานแสนนานข้าพเจ้าจึงได้มาเหยียบสถานที่นี้สักครั้งหนึ่ง หล่อนชี้แจงว่าที่จำได้แม่นก็เพราะว่า ข้าพเจ้าพูดภาษาของหล่อนได้คล่องแคล่วกว่าคนไทยทุกคนที่มาที่นี่ นอกจากนั้นหล่อนว่าหล่อนจดจำความสุภาพเรียบร้อยของข้าพเจ้าได้แม่นยำเช่นเดียวกับภาษาของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าก็กล่าววาจาขอบใจหล่อน.

เมื่อได้ดื่มเบียร์แก้วแรกไปได้ราว ๕ นาที และได้สนทนาหยอกเอิน​ตามสมควรกับแม่สาวคนนั้น ที่ตามมานั่งปรนนิบัติ คอยรินเบียร์และจุดบุหรี่ให้ข้าพเจ้าสูบ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ค่อยคลายความมึนงง และปรากฏความแจ่มใสขึ้น ความคิดคำนึงก็เอนเอียงไปในทางบันเทิงเริงรมย์ใจ. ความรู้สึกในขณะที่ข้าพเจ้าได้ตระกองกอดและจุมพิตหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยสุดแสนเสน่หา ได้มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าจิบเบียร์ไปพลาง และคิดคำนึงไปพลาง อา! ข้าพเจ้าเป็นสุขนี่กระไร เมื่อได้คิดเห็นไปว่า ข้าพเจ้าได้ชนะความรัก ได้ชนะดวงใจของสตรีที่ทรงเสน่ห์ และแสนฉลาดแสนดี ดังเช่นหม่อมราชวงศ์กีรติ. ข้าพเจ้าเพลิดเพลินด้วยความคิดคำนึง และสนทนาหยอกเอินอยู่กับแม่สาวผู้ปรนนิบัติข้าพเจ้า ราวชั่วโมงเศษ ข้าพเจ้าก็จากสถานที่นั้นมา และเดินทางกลับบ้านด้วย ความมึนครั้งนี้มิใช่ด้วยปัญหาร้อยแปด แต่ด้วยเบียร์ซึ่งช่วยให้ข้าพเจ้าเพลิดเพลินไปในความมึนนั้น.

กลับมาถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังหาได้เข้านอนไม่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยหนึ่งนาฬิกา ข้าพเจ้าจึงได้ล้มตัวลงนอน มีปัญหาข้อหนึ่งตามรบกวนข้าพเจ้าแม้ได้หลับตาลงแล้ว. ตามที่ข้าพเจ้าได้เข้าใจเอาว่า ข้าพเจ้าได้ชนะความรัก ได้ชนะดวงใจของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วหรือ? หม่อมราชวงศ์กีรติได้บอกข้าพเจ้าดังนั้นหรือ? ข้าพเจ้าระลึกขึ้นได้ในบัดนั้นว่า หม่อมราชวงศ์กีรติยังมิได้ให้ถ้อยคำแก่ข้าพเจ้าเลย. อย่างไรก็ตาม ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้หลับไป ทั้งที่ยังมีความมืดมัวอยู่ในปัญหาบางข้อ.

 



11

๑๐

​หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.

“คำวิงวอนปลอบโยนของท่านพ่อเป็นเหตุหนึ่งที่น้อมใจให้ฉันรับพิจารณา ความประสงค์ของท่านเจ้าคุณด้วยคลายความขมขื่นลงมาก ฉันรู้ว่า ถ้าฉันปฏิเสธจะทำให้ท่านผิดหวังและเสียพระทัยมาก แต่นั่นมิใช่เหตุสำคัญ. เหตุผลข้อใหญ่เกิดแต่ความพอใจของฉันเอง. ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันแคบมาเป็นเวลาถึง ๓๔ ปีเต็ม ฉันทั้งเบื่อหน่ายและเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเต็มที. แต่นกน้อยเมื่อปีกแข็งยังสละรัง เที่ยวโบยบินไปชมโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็ฉันเป็นคน และเติบโตเต็มที่จนจะคล้อยไปในทางร่วงโรยอยู่แล้ว เหตุใดจะมาจับเจ่าเฝ้าอยู่แต่แห่งเดียว. ฉันต้องการติดต่อคุ้นเคยกับโลกภายนอก ต้องการความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ต้องการประกอบกิจวัตรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ฉันได้ทำมาแล้วตลอดเวลา ๓๔ ปีบ้าง. ไม่มีอะไรจะช่วยให้ฉันบรรลุความต้องการเหล่านี้ได้ นอกจากการแต่งงาน. ฉันอาภัพถึงที่สุดแล้วที่เกิดมาไร้ความรัก แต่แม้เช่นนั้นก็เป็นการฉลาดหรือที่ฉันจะปิดตา ปิดความ​รู้สึกเสียจากสิ่งอื่น ๆ ซึ่งฉันอาจที่จะบันเทิงชีวิตได้ตามส่วน.

“เมื่อเจ้าคุณเป็นคนดี ฉันขาดทุนอะไรเล่าในการที่จะแต่งงานกับท่าน ท่านแก่เกินไปที่ฉันจะแต่งงานด้วย นั่นก็เป็นความจริง แต่ฉันคอยใครอยู่เล่า ฉันอาจจะคอยคน ๆ หนึ่ง แต่คนนั้นคือใคร? ฉันจะพบเขาได้ที่ไหน? ความจริงเขาอาจจะยังไม่มาเกิด หรือเพิ่งตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เองก็ได้. ในเวลานั้น ความต้องการของฉันมีมากในของจริง. ฉันตกลงปลงใจแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ก็เพราะว่ามันเป็นของจริง. ฉันได้บรรลุความต้องการหลายอย่าง ฉันชื่นชมสมใจที่ได้รู้จักและค่อยคุ้นเคยกับความแปลกใหม่ในโลกอีกแห่งหนึ่ง. ฉันก็มีความผาสุกตามสมควร แม้ถึงว่าจะไร้ความรัก.”

หม่อมราชวงศ์กีรติขยับตัวนั่งตรง ถอนใจใหญ่ พลางเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่นัยน์ตา.

“นพพร, ฉันรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้เธอฟัง ในขณะที่ฉันนอนหลับแล้วฝันไป. ฉันอาจจะได้พูดเพ้อเจ้ออะไรออกไปบ้าง ฉะนั้นฉันขอจบการบรรยายของฉันเสียที.”

“ผมตื่นเต้นติดใจเรื่องราวของคุณหญิงอย่างที่สุด. ดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญก็จริง แต่ผมก็ฟังอย่างลืมตัว. ขออนุญาตให้ผมซักถามต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงไม่คิดบ้างหรือว่า ในวันหนึ่งคุณหญิงอาจจะรักท่านเจ้าคุณได้.”

“ดูเหมือนฉันได้ตอบเธอครั้งหนึ่งแล้วว่า ฉันไม่มีทางจะรักท่านได้. ท่านดีจริงดอก แต่เราจะเอาอะไรกับคนแก่. ท่านต้องการกินอิ่มนอนหลับและสนุกสบายไปตามทางของท่าน. วันเวลาของท่านเหลือน้อยเกินไปที่ท่านจะสร้างอุดมทัศนีย์อะไรขึ้นในชีวิต ท่านไม่สนใจในแสงเดือนหรือทะเลสาบ ตลอดจนคำเกี้ยวพาราสี ท่านไม่มีความคิดคำนึง ใฝ่ฝัน​ในสิ่งที่สวยงาม. ท่านไม่มีอนาคต ท่านมีแต่อดีตและปัจจุบัน เธอหวังจะให้ความรักเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า. ต้นกุหลาบไม่งอกแม้กระทั่งบนถนนซีเมนต์ดอกเธอ.”

“ความผาสุกที่ไร้ความรักนั้น จะไม่ดูแห้งแล้งเกินไปดอกหรือ?”

“นพพร, เธออย่าผูกมัดฉันด้วยคำถามมากมายนัก ฉันจะหายใจไม่ออก. จงให้เสรีภาพแก่ฉันบ้าง.”

เธอสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างอ่อนหวานละมุนละไม แววเศร้าในดวงตาจางหายไปแล้วมีประกายแจ่มใสร่าเริงมาแทนที่ เธอหยิบกระจกส่องดูหน้า ใช้เวลาแต่งหน้าและผมครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็พิศดูเธอด้วยความวาบหวามใจ.

“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม วันนี้?” ข้าพเจ้าตั้งคำถามเธอด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย.

เธอพยักหน้าอย่างแช่มช้อยแทนคำตอบ และหางตาของเธอที่ชายชำเลืองมานั้นประกอบด้วยพิษสงเหลือประมาณ เพิ่มความวาบหวามใจยิ่งขึ้น.

“เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว, นพพร. เราเตรียมตัวเดินทางกลับกันเถิด” เธอชักเท้าขยับตัวจะลุกขึ้น “โอ, ขาแข็งชาไปหมด เพราะนั่งอยู่นานเกินไป ฉันคงแทบจะเดินลงไปไม่ไหว.”

“ผมจะอุ้มคุณหญิงลงไปเอง”

ข้าพเจ้าลุกขึ้น และเข้าประคับประคองเธอช่วยพยุงให้ยืน. เธอปฏิเสธความช่วยเหลือของข้าพเจ้าด้วยเสียงเบา แต่ข้าพเจ้าไม่นำพา. เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติยืนทรงตัวได้เรียบร้อย ข้าพเจ้ายังคงกุมแขนของเธอไว้ และยืนแทบประชิดติดตัวเธอ.

“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม?”

​“มองจากที่นี่ไปที่ลำธารเบื้องล่าง ฉันรู้สึกว่าเราขึ้นมาสูงมาก ฉันยังสงสัยว่าจะมีแรงเดินลงไปได้อย่างไร.”

ข้าพเจ้าขยับตัวให้ประชิดเธอเข้าไปอีก จนอกทั้งสองแทบจะแนบกัน หม่อมราชวงศ์กีรติเอนกายไปข้างหลังพิงต้นซีดาร์. ข้าพเจ้าทราบได้ว่าเราหายใจแรงทั้งสองคน.

“ฉันสเกตช์รูปไว้ได้สองรูป เมื่อตอนเที่ยวเล่นอยู่ข้างล่าง.”

“ผมเป็นสุขเหลือเกินเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคุณหญิงเช่นนี้.”

“นี่เมื่อไหร่เธอจะปล่อยฉัน เราจะได้ช่วยกันเก็บข้าวของ.”

“ผมยังไม่อยากจะออกห่างจากคุณหญิง.”

ข้าพเจ้าประคองร่างเธอให้เข้ามาชิดสนิทกายข้าพเจ้า.

“นพพร. เธออย่ามองฉันด้วยแววตาเช่นนั้นซิ.” เสียงของเธอเริ่มสั่น “ปล่อยฉันเสีย ฉันแข็งแรงพอที่จะทรงตัวเองได้แล้ว.”

หน้าของข้าพเจ้าซบลงที่พวงแก้มสีชมพูอ่อนของเธอ ไม่มีอำนาจอะไรในตัวข้าพเจ้าเหลืออยู่ที่จะควบคุมยับยั้งไว้ได้. ข้าพเจ้าประคองกอดเธอไว้แนบกาย และจุมพิตเธอด้วยสุดแสนเสน่หา. ข้าพเจ้าหมดสติ หมดความรู้สึกไปชั่วขณะหนึ่ง.

หม่อมราชวงศ์กีรติปลดมือข้าพเจ้าออก และค่อยดันให้ถอยห่างออกไป. ข้าพเจ้ายอมโดยดี ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นลูกแกะอย่างรวดเร็ว. หม่อมราชวงศ์กีรติพิงต้นไม้หอบดุจเดินทางไกลมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย. สีชมพูเรื่อที่ดวงหน้าเข้มขึ้นดังถูกแผดเผาด้วยความเร่าร้อนจัด.

“นพพร. เธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป” เสียงของเธอยังคงสั่นอยู่.

“ผมรู้ว่าผมรักคุณหญิง.”

​“เป็นการสมควรหรือที่เธอจะแสดงความรักของเธอต่อฉันโดยวิธีเช่นนี้.”

“ผมไม่ทราบว่าเป็นการสมควรหรือไม่ แต่ความรักมีอำนาจเหนือผม ความรักรัดรึงใจผมอย่างที่สุด ทำให้ผมหมดสติ.”

หม่อมราชวงศ์กีรติมองข้าพเจ้าด้วยแววตาโศก.

“เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ? เธอไม่รู้หรือว่าไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลังเท่าการที่เราได้กระทำไปในเวลาที่ไร้สติ.”

“แต่ผมรู้แน่ว่า ผมรักคุณหญิงด้วยความซื่อสัตย์สุจริต.”

“การแสดงความรักในเวลาที่ไร้สตินั้นจะมีความหมายอะไรเล่า”

​“ผมรักคุณหญิงด้วยชีวิตจิตใจของผมอย่างเที่ยงแท้. การที่ผมได้กระทำไปแล้วย่อมตราตรึงอยู่ในดวงใจของผม.”

“เธอคิดว่าเป็นกำไรแก่ชีวิตหรือ ถ้ามันได้ตราตรึงอยู่ในใจจริงเช่นนั้น.”

“ในความรัก คนเรายังมีแก่ใจคิดถึงต้นทุนกำไรอีกหรือ?”

“เธออาจไม่คิด และฉันอาจไม่คิด แต่ความรักอาจจะคิดเอากับเราได้” หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวต่อไปว่า “เธอไม่ได้คิดดอกหรือว่าฉันอยู่ในฐานะเช่นไร และเธออยู่ในฐานะเช่นไร.”

“ผมคิดมากทีเดียวในเรื่องนี้.”

“และเธอก็ยังประพฤติกับฉันดังเมื่อตะกี้นี้. เธอรู้ไหมว่าเธอได้กระทำไปอย่างไร้เหตุผล และไร้สติด้วยตามที่เธอได้รับกับฉันแล้ว.”

ข้าพเจ้ายืนคอตก สองมือกอดอก.

“ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด ผมไม่รู้ว่าจะตอบคุณหญิงได้อย่างไร จึงจะทำให้ผมอยู่ในที่อันถูกต้องได้. ผมรู้แน่แต่ว่าความรักมีอำนาจเหนือผม. ถึงแม้การที่ผมได้กระทำไปจะผิดต่อศีลธรรมจรรยาก็จริง แต่ผมก็อยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติ ผมได้พยายามจะหลบ แต่ผมหลบออกมาไม่ได้ ในยามที่ได้มาเผชิญหน้ากับความรัก และเป็นการเผชิญอย่างจนตรอก ผมขอร้องคุณหญิง โปรดอย่าเอาเหตุผลมาพูดกัน โปรดอย่าเอาศีลธรรมจรรยามาพูดกัน ผมไม่มีทางจะโต้ตอบ. สิ่งเหล่านี้ได้สร้างขึ้นภายหลังกฎธรรมชาติ และเราอยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติด้วยกันทุกคน.”

“นพพร, ถ้าเราทั้งสองจะดำรงชีวิตอยู่แต่บนยอดเขามิตาเกะนี้ตลอดไปจนชั่วชีวิตหาไม่ คำพูดของเธอก็เป็นการถูกต้องทุกอย่าง แต่ความจริง อีกประเดี๋ยวเราก็จะลงไปจากเขาลูกนี้ ไปเผชิญหน้ากับ​ฝูงชน. แล้วในไม่ช้าเธอก็จะต้องไปสนใจกับการศึกษาเล่าเรียนของเธอ และกะโครงการอันเต็มไปด้วยความมุ่งหมายสูงในชีวิตภายภาคหน้าของเธอ. ส่วนฉันก็มีหน้าที่จะต้องภักดีต่อท่านเจ้าคุณ จะต้องติดตามไปกับท่านในที่ทุกหนทุกแห่ง คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี ตราบเท่าที่ท่านยังต้องการตัวฉัน และตราบเท่าที่ท่านยังไม่ละเลยหน้าที่ของท่านเอง เราทั้งสองจะต้องจากกันในไม่ช้า และต่างก็จะไปติดต่อสมาคมกับคนทั้งหลายที่เคร่งครัดในเหตุผลและศีลธรรมจรรยา. นี่แหละเธอจะไม่ให้ฉันยกเอาสิ่งเหล่านี้มาพูดกับเธอได้อย่างไร. เธอเชื่อหรือว่า สมาคมมนุษย์จะรับรองกฎธรรมชาติที่เธอยกขึ้นกล่าวแก้. นพพร, โปรดเชื่อฉัน เธอต้องเพียรเผชิญกับของจริง. ของจริงเท่านั้นที่เป็นคำพิพากษาโชคชะตาในชีวิตของเรา. กฎเกณฑ์และอุดมทัศนีย์อาจงามกว่า แต่ก็มักจะไร้ค่าในทางปฏิบัติ.”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากำลังมาเผชิญหน้ากับสตรีที่ใจเย็นและแสนฉลาดปราดเปรื่อง จนข้าพเจ้าไม่มีทางจะตามทัน. เธอควรจะเป็นสตรีในประวัติศาสตร์ มิใช่หม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งเป็นแต่สตรีธรรมดาสามัญคนหนึ่งในปัจจุบันนี้.

“ผมเสียใจมากถ้าผมได้ทำให้คุณหญิงไม่พอใจ” ข้าพเจ้าพูดเบา ๆ ข้าพเจ้าไม่มีทางใดจะพูดได้ดีไปกว่านี้.

“เธอทำให้ฉันอัดอั้นตันใจ.”

“โปรดตอบสักคำ คุณหญิงเชื่อถือในความรักของผมหรือไม่?”

“ฉันเชื่อเธอ. คนดี.”

“คุณหญิงติเตียนการกระทำของผมอย่างรุนแรงหรือไม่?”

“ฉันบอกแล้วว่า เธอไม่รู้ว่าเธอได้กระทำอะไรลงไป. ต่อไปในวันข้างหน้า เธอจะพบคำตอบด้วยตนเอง และเธอคงจะเสียใจ.”

​“คุณหญิงเริ่มเกลียดชังผมบ้างหรือยัง?”

“ถ้าเธอไม่รื้อฟื้นการกระทำในวันนี้อีก ฉันจะรู้สึกเธอเป็นนพพรคนเก่า และคนเดียวตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”

“ผมยังคงรักคุณหญิงต่อไปได้ ด้วยความรักดุจชีวิตจิตใจ?”

“นั่นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเธอ แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานออกไป เธอก็จะค่อยสละสิทธิ์นั้นด้วยความพอใจของเธอเอง”

“ผมแน่ใจว่า ผมจะไม่คลายรักคุณหญิงเลย.”

“ในวัยเยาว์เช่นเธอ คนเรามีความเชื่อมั่นในตนเองมาก แต่เราจะต้องคอยการวินิจฉัยต่อไป. ฉันอำนวยพรแด่ความเชื่อมั่นของเธอ.”

“คุณหญิงจะตอบแทนความรักของคุณหญิงแก่ผมหรือไม่?”

หม่อมราชวงศ์กีรติก้าวเข้ามายืนแทบประชิดตัวข้าพเจ้า เอามือทั้งสองวางลงบนไหล่ข้าพเจ้า และพูดว่า “คนดีของฉัน. ฉันให้อภัยเธอแล้ว เราทั้งสองจงลืมเหตุการณ์ในวันนี้เสีย. เธอต้องกลับมาเป็นนพพรคนเก่า สนุกเบิกบานกับฉันต่อไป. จงรีบเก็บข้าวของ และเตรียมตัวเดินทางกลับเถิด. เจ้าคุณจะเป็นห่วงคอย ถ้าเรากลับบ้านผิดเวลามากไป.”

ข้าพเจ้ารู้สึกน้ำเสียงของเธอดังเสาวนีย์ของนางพญาผู้เลอศักดิ์ ข้าพเจ้าไม่มีความกล้าพอที่จะกล่าวทัดทาน.

เมื่อพูดประโยคสุดท้ายแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติไม่รีรอ ได้ลงมือเก็บข้าวของลงบรรจุหีบ. ข้าพเจ้ายืนกอดอก มองดูเธอเก็บของง่วนอยู่ครู่หนึ่ง จนเธอเตือนซ้ำเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือช่วยเหลือเธอ. ระหว่างเดินทางกลับ เธอได้ชวนข้าพเจ้าสนทนาถึงเรื่องราวต่าง ๆ เป็นปรกติ ประดุจหนึ่งว่าไม่ได้มีเหตุการณ์อันสำคัญที่สุดตราตรึงลงในชีวิตของเราทั้งสอง ณ เบื้องบนเขาลูกนั้น.

 



12



ภายหลังรับประทานอาหารกลางวัน และได้พักผ่อนครู่ใหญ่ ๆ แล้ว เราได้พากันออกเดินต่อไปตามทางใหญ่ที่ทอดไปตามไหล่เขาตัดสูงขึ้นไปเป็นลำดับ ไม่มีบ้านช่องอยู่ริมทาง. ไกลออกไปข้างหน้าเราบนยอดเนินสูง มีกระต๊อบปลูกอยู่ ๔-๕ หลัง แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่. เขาทำไร่เลี้ยงชีวิตอยู่กันที่นั่น และเขตแดนน้อย ๆ บนยอดเนินนั้นเป็นโลกของเขา. ตลอดทางที่เราเดินมา เราไม่พบนักท่องเที่ยวคนใดเลย จนกระทั่งบรรลุถึงปลายทางซึ่งนำเรามาอยู่บนยอดเนินสูงแห่งหนึ่ง. เราได้นั่งลงพักผ่อนภายใต้ร่มไม้ซีดาร์ ซึ่งแผ่กิ่งก้านแลสล้าง.

ข้าพเจ้าจะไม่บรรยายโดยละเอียดว่า เราได้ใช้เวลาของเราอย่างไรบ้างที่นั่น. ข้าพเจ้าจะบรรยายถึงการสนทนาตอนหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยชีวิตความเป็นอยู่ทั้งมวลของหม่อมราชวงศ์กีรติให้เป็นที่แจ่มกระจ่างอย่างสิ้นเชิง. ข้าพเจ้าได้รื้อฟื้นปัญหาที่เราได้สนทนากันที่สวน ณ โฮเต็ลไกฮินมากล่าวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.

​“ผมอยากทราบถึงเหตุผลที่คุณหญิงได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ”

“ดูเธอสนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานมาก. เธอกำลังตระเตรียมตัวเพื่อการนั้นหรือ?”

“หามิได้” ข้าพเจ้ารีบตอบโดยเร็ว “ผมมิได้คิดที่จะตระเตรียมอะไรเพื่อการแต่งงานของผมเองเลย. ทั้งผมก็มิได้สนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานโดยทั่วไป ผมสนใจแต่เฉพาะในเรื่องราวของคุณหญิงเท่านั้น.”

“ทำไมเธอจะต้องมาสนใจกับเรื่องราวส่วนตัวที่เป็นความในใจของฉันด้วยเล่า?”

“คุณหญิงไม่เคยพูดดอกหรือว่าคุณหญิงนับผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิงคนหนึ่ง ในจำนวนทั้งหมดซึ่งดูเหมือนจะมีคนเดียว.”

“แต่เธอจะรู้ไปทำไม” เธอพูดอย่างอ่อนใจ “ชีวิตของฉันเป็นชีวิตของคนที่อาภัพ เหตุผลในการแต่งงานของฉัน เป็นเหตุผลของสตรีที่อาภัพที่สุดในเรื่องความรัก. ไม่มีแบบอย่างดีพอที่เธอสมควรจะฟัง และมันอาจจะทำให้เธอเศร้า เสียดายหรือสมน้ำหน้าในความอาภัพของฉัน. ไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าสนุกเลย. เธอได้รู้จักฉันในชีวิตที่ฉันเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นการดีแล้ว และควรจะเพียงพอแล้ว เธอไม่ควรจะรู้จักชีวิตข้างหลังของฉันมากเกินไป เธออาจจะคลายความสุขเพราะเหตุนั้น.”

“ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด อ่อนแอ. ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความอาภัพของคุณหญิง ก็ยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องได้ฟัง.”

“นพพร, เธอออกจะพูดอะไรจริงจังเสมอในตอนหลัง ๆ นี้” เธอยิ้มอย่างมีความเอ็นดู “ฉันมักจะขัดขืนเธอไม่สำเร็จเลย.”

​“เขาแต่งงานไปก่อนฉันตั้ง ๗-๘ ปี เดี๋ยวนี้เขาอยู่กับสามีของเขา และมิใช่สามีแก่ - ด้วยความสุข และมิใช่ด้วยความสุขอย่างเดียว เขาอยู่กับสามีของเขาด้วยความสุขและด้วยความรัก.”

“น้องสาวของคุณหญิงสองคนก็ได้แต่งงานไปแล้วมิใช่หรือ?” ข้าพเจ้าลงมือดำเนินเรื่อง.

“เป็นที่น่าเสียใจมาก.”

“ที่น้องสาวของฉันมีความสุขและความรักกับสามีของเขา?”

“มิได้เลย, ผมยินดีด้วยมาก. ผมเสียใจในกรณีของคุณหญิง.”

“นี่เธอต้องการจะเป็นผู้ออกความเห็นให้ฉันฟัง หรือว่าต้องการจะฟังเรื่องราวจากปากคำของฉัน”

“ผมเตรียมตัวคอยฟังอยู่แล้ว.”

“เธอได้ทราบแล้วว่า ฉันแต่งงานกับท่านเจ้าคุณโดยปราศจากความรัก” หม่อมราชวงศ์กีรติเริ่มเรื่อง “สิ่งที่เธอปรารถนาจะทราบจากฉันเวลานี้ก็คือ ทำไมฉันจึงแต่งงานกับท่านทั้งที่ฉันไม่มีความรัก เพื่อที่เธอจะเข้าใจปัญหาข้อนี้อย่างแจ่มแจ้ง ฉันจำเป็นจะต้องให้ความสว่างแก่เธอในปัญหาที่สำคัญอีกข้อหนึ่งเสียก่อน คือปัญหาที่ว่า ทำไมฉันจึงแต่งงานต่อเมื่ออายุได้ล่วงเข้ามาถึง ๓๕ ปี เป็นวัยแก่เกินควรสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่พิธีวิวาห์เป็นครั้งแรก. เธอย่อมทราบแล้วว่า โดยทั่วไปผู้หญิงแต่งงานในระหว่างอายุ ๒๐ ถึง ๒๕ ปี. หรืออย่างล่าที่สุด หรืออย่างเลวที่สุดก็ตามทีก็มักจะไม่เกินหรือไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเกินกว่า ๓๐ ปี. แต่เหตุใดฉันจึงมาแต่งงานเมื่ออายุเหยียบ ๓๕ ปี เป็นวัยที่แก่เกินการ. เธอต้องไม่พยายามที่จะเข้าข้างฉัน โดยอ้างว่าฉันยังแลดูเป็นสาวพริ้งอยู่. เธอต้องยอมรับว่าเป็นวัยที่แก่เกินการจริง ๆ. จะด้วยเหตุใดก็ตาม เธอไม่เคยยกปัญหาข้อนี้ขึ้นถามฉันเลย เธออาจจะมองข้ามไปเสีย โดยเห็นว่าไม่เป็นปัญหาที่สลักสำคัญก็ได้ แต่ฉันเองรู้ดีว่ามันสำคัญ และสำคัญพอที่จะนับได้ว่าเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาต่อมา คือว่า​เหตุใดฉันจึงแต่งงานโดยปราศจากความรัก. ฉันจะให้คำตอบแก่เธอทั้งสองปัญหา เพื่อว่าเธอจะได้เข้าใจเรื่องราวของฉันอย่างแจ่มกระจ่าง ประดุจเธอได้แลดูท้องฟ้าในยามที่ไร้เมฆหมอก. ฉันต้องการจะดับความกระหายของเธอให้สิ้นสุดลงเสียที ฉันจะได้พ้นจากความรบกวนเร้าถามอีกต่อไป.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหยุดมองจ้องตาข้าพเจ้า ซึ่งในขณะนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่แทบปลายเท้าของเธอ สดับตรับฟังคำพูดของเธอด้วยความสนใจ. เรานั่งอยู่บนผ้าดอกสี่เหลี่ยมผืนใหญ่ ซึ่งเราอาจจะทอดกายลงนอนเล่นก็ได้ แต่ว่าเรามิได้กระทำ. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอิงหมอนพิงต้นซีดาร์.

“ผมอยากทราบจริง ๆ ว่าทำไมคุณหญิงจึงรั้งรอการแต่งงานมาจนถึงป่านนี้ ผมเขลาไปที่ไม่เคยถามปัญหาข้อนี้.”

“เธอเขลา เพราะว่าเธอมัวแต่มาคอยเยินยอว่าฉันยังสาวด้วยประการทั้งปวง” เธอพูดด้วยเสียงแกมเล่นแกมจริง “ฉันเพิ่งแต่งงาน แต่ก็มิใช่ว่าฉันรั้งรอการแต่งงาน. พูดเช่นนี้เธออาจจะนึกเดาเอาว่าในชีวิตสาว ๆ ของฉัน คงจะมีนิยายที่แปลกประหลาดเร้าใจ มีการผจญรักผจญโศก เจือปนอยู่มิใช่น้อย. ฉะนั้น เพื่อมิให้เธอเสียเวลาเดาวุ่นวายเกินไป ซึ่งเธอก็คงจะเดาผิดทั้งหมด ฉันขอบอกเธอล่วงหน้าไว้ว่า ชีวิตของฉันไม่มีการผจญรัก ผจญโศก ไม่มีการฟูมฟายน้ำตาหรือได้ขึ้นสวรรค์แล้วก็ได้ลงนรก หรือมีเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจอะไรในทำนองนั้นเลย. ชีวิตของฉันอยู่ห่างไกลกับสิ่งเหล่านี้ ในชีวิตของฉันมีแต่เหตุการณ์ที่เป็นธรรมดาสามัญ และมันอาจจะเป็นธรรมดาสามัญเสียจนเกินไป จนทำให้เกิดความผิดหวัง จนทำให้ฉันกลายเป็นสตรีที่อาภัพที่สุดคนหนึ่งไปได้”

​“ผมไม่อยากจะขัด แต่ผมก็ยากที่จะเชื่อว่า ในชีวิตที่ประกอบไปด้วยปัญหาข้อสำคัญ ๆ เช่นชีวิตของคุณหญิงนี้ จะไม่มีเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดพิสดารแฝงอยู่สักอันหนึ่ง” ข้าพเจ้าอดกลั้นความสงสัยไว้ไม่ได้

“คนดีของฉัน เธอควรจะเลิกเรียนหนังสือ แล้วมีอาชีพทางหมอดู เพราะว่าเธอมักจะรู้เรื่องราวในชีวิตของฉันดีกว่าตัวของฉันเองเสมอ.”

หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.

“วงชีวิตในวัยสาวของฉัน เป็นวงชีวิตที่แคบมาก ฉันไม่มีโอกาสที่จะร่าเริงบันเทิงใจในวัยรุ่นสาวของฉัน ดุจเดียวกับสตรีสาวที่เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแยกตัวฉันออกจากท่าน​สุภาพสตรีเหล่านั้นดอก แต่ความจริงฉันได้ถูกแยก. ฉันไม่ได้เป็นเจ้าแต่ฉันก็เป็นลูกเจ้า. ท่านพ่อของฉันท่านเป็นเจ้านายแท้จริง. ในสมัยที่ยังไม่เปลี่ยนการปกครองบ้านเมืองนั้น เธอก็คงจะทราบแล้วว่า เจ้านายท่านเป็นเจ้านายกันจริง ๆ โดยมาก ท่านอยู่ของท่านต่างหากในโลกอีกโลกหนึ่ง. ท่านพ่อของฉันก็พยายามที่จะให้ตัวฉันและลูก ๆ ของท่านเป็นเจ้านายเช่นเดียวกับองค์ท่าน. ฉันได้เรียนหนังสืออย่างเป็นกิจจะลักษณะที่โรงเรียนตามสมควร. พอเข้าขีดจะเป็นสาว ท่านก็เก็บตัวฉันไว้ในโลกของท่าน ท่านป้องกันฉันจากการติดต่อกับโลกภายนอก. ฉันได้เรียนหนังสือต่อมากับแหม่มแก่ ๆ คนหนึ่งที่บ้านของเราหรือวังตามที่เรียกกันในเวลานั้น. ฉันได้เรียนรู้เรื่องราวจากโลกภายนอกบ้าง จากครูแหม่มของฉัน และจากแหม่มแก่นะเธอ.. ระหว่างครูแหม่มแก่ของฉันกับแม่เฒ่าชาวไทยของเรา ก็ดูไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก. การสนทนาพาทีของแกก็มีแต่เรื่องคุณธรรมความดีแม่ศรีเรือนอะไรจำพวกนี้. เป็นบุญอยู่บ้างที่แกชักนำให้ฉันรู้จักว่า ในโลกนี้มีหนังสือจำพวกโว้กและแมคคอลส์ ซึ่งช่วยแนะทางรักษาความงาม ความเปล่งปลั่งของฉันไว้ได้ยั่งยืนนาน ดุจความสดชื่นยืนนานของดอกไฮแดรนเยีย.

“ฉันอยู่บ้านเรียนหนังสือจากครูแหม่มบ้าง บางทีท่านพ่อก็ส่งฉันไปอยู่ในรั้วในวัง รับใช้เจ้านายใหญ่โตองค์หญิงบางองค์ที่เป็นญาติของเรา. ฉันใช้ชีวิตในวัยสาวของฉันในทำนองนี้หลายปี. ฉันต้องอยู่ในโลกของเจ้านายนานพอ จนฉันแทบไม่มีโอกาสจะระลึกว่าความเป็นสาวนั้นมีค่าอย่างที่สุดสำหรับสตรีเพศเพียงใด และฉันควรจะใช้ความเป็นสาวเพื่อประโยชน์แก่ตัวของฉันเองอย่างไรบ้าง. ในเวลานั้น ดูเหมือนฉันไม่เคยตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เป็นการถูกต้องหรือที่เราจะปกป้องกำบังความเป็นสาวสดชื่นของเราไว้เสียจากนัยน์ตาของคนภายนอก? ชีวิตได้​กำไรที่ตรงไหนเล่าในการกระทำเช่นนั้น? เป็นการฉลาดหรือที่ไม่เปิดเผยวัยงามที่สุดของเรา. ฉันไม่ใคร่จะได้คิดอะไรในเวลานั้น เพราะว่าเราไม่ได้ถูกอบรมให้เป็นคนช่างคิด เรามีทางที่เขากำหนดไว้ให้เดิน เราต้องเดินอยู่ในทางแคบ ๆ ตามจารีตประเพณีขนบธรรมเนียม.”

ถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติได้หยุดทอดระยะครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าจึงฉวยโอกาสพูดขึ้น.

“แต่คุณหญิงที่ผมรู้จักไม่เป็นอย่างนั้นเลย คุณหญิงเป็นคนช่างคิดช่างตรึกตรอง และเฉลียวฉลาดกว่าคนธรรมดาอย่างผมมาก.”

“ขออย่าพูดว่า ฉันฉลาดกว่าเธอหรือใคร ๆ เพียงแต่ฉันพอจะไปกับคนทั้งหลายได้ก็เป็นบุญของฉันอยู่แล้ว เหตุการณ์ในปีต่อ ๆ มา อนุเคราะห์ให้ฉันเป็นคนช่างคิด นอกจากนั้น ครูแหม่มมักหาหนังสือภาษาอังกฤษดี ๆ มาให้ฉันอ่าน เป็นการช่วยกระตุ้นใจให้ฉันกลายเป็นคนรักหนังสือ แล้วก็รักศิลปะ รักความสวยงามทุกชนิด แล้วก็กลายเป็นคนช่างตรึกตรอง, ฉันคิดว่าฉันมีอุปนิสัยในสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว. อนึ่งการที่ฉันรักษาบำรุงความงามความเปล่งปลั่งของฉันในเวลานั้น ก็เพียงเพื่อความชื่นใจสำหรับตัวของฉันเท่านั้น. ฉันบอกแล้วว่า ฉันยังไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรกับความเป็นสาวของฉัน เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวของฉันเอง.”

“ในฐานะเช่นนั้น ผมเห็นใจคุณหญิงมาก” ข้าพเจ้าสอดขึ้นในระหว่างเรื่อง.

“แต่ว่าศิลปะได้ช่วยฉัน” เธอดำเนินเรื่องต่อไป “ฉันไม่มีเวลาที่จะใช้ไปในความคิดคำนึง และความเปล่าเปลี่ยวมากนัก ฉันมีงานทำเกือบตลอดทั้งวัน ฉันสนใจในการวาดภาพ และใช้เวลาฝึกฝนมากตามที่เธอทราบแล้ว ฉันมีความเพลิดเพลินไปในงานนั้น. นอกจากนั้นฉันมีงาน​ที่ต้องทำประจำวันอีกอย่างหนึ่ง คือการบำรุงรักษาความงามความเปล่งปลั่งของฉัน ให้คงอยู่นานที่สุดที่จะนานได้ ฉันต้องใช้เวลาวันหนึ่ง ๆ หลายชั่วโมงเป็นกิจวัตรประจำวันของฉัน.”

“แทบไม่น่าเชื่อ” ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ “คุณหญิงต้องทำอะไรบ้างวันละหลาย ๆ ชั่วโมง และทุกวัน. ผัดแป้ง แต่งหน้า ทาปาก สัก ๑ ชั่วโมงก็ควรจะพอ.”

เธอยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความเบิกบาน.

“เรื่องจริง ๆ มันมีมากกว่าที่เธอคาดมาก. เธอไม่อาจจะเข้าใจเรื่องของผู้หญิงได้ทั้งหมด. นอกจากนั้น ฉันหวังว่าเธอจะไม่ด่วนลงความเห็นติเตียนว่า ฉันใช้เวลาวันละหลาย ๆ ชั่วโมงในทางที่ไร้ประโยชน์. เธอจงเห็นใจสตรีเพศ เราเกิดมาโดยเขากำหนดให้เป็นเครื่องประดับโลก ประโลมโลก และเพื่อที่จะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด เราจำต้องบำรุงรักษารูปโฉมของเราให้ทรงคุณค่าไว้. จริงอยู่ นี่มิใช่หน้าที่อันเดียวหรือ​ทั้งหมดของสตรีเพศ แต่เธอคงไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นหน้าที่อันหนึ่งของเรา.”

“ผมไม่มีความเห็นแย้งเลยในข้อนี้ เพราะว่านอกเหนือจากความดี บุรุษแสวงความงามในสตรีเพศ.”

“ยิ่งกว่านั้น บางทีคุณความดีของสตรีก็ถูกมองข้ามเลยไป ถ้ามิได้อาศัยอยู่ในความงาม” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเน้นคำ “ระหว่างเวลาที่น้องสาวคนเล็กของฉันได้แต่งงานไป แม้ว่าฉันจะคิดคำนึงใฝ่ฝันถึงความรักบ้าง ฉันก็มีชีวิตสดชื่นอยู่ด้วยความหวัง. จนกระทั่งอีก ๒ ปีต่อมา น้องสาวคนรองจากฉันได้แต่งงานไปอีกคนหนึ่งกับชายที่เธอรัก ในวาระนั้นแหละที่ฉันเริ่มรู้สึกว่า ฉันออกจะเป็นคนอาภัพ. ในเวลานั้นฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี น้องสาวของฉันมีอายุ ๒๖ ปีเมื่อเธอแต่งงาน. การแต่งงานและความสุขที่น้องสาวของฉันได้รับ เสียดแทงความรู้สึกของฉันไม่น้อย. นพพรต้องเชื่อว่า ฉันมิได้อิจฉาน้อง. ฉันรักน้องสาวของฉันไม่น้อยกว่าตัวฉันเอง แต่ฉันรู้สึกอเนจอนาถในโชคชะตาของฉัน. ถึงตอนนี้ออกจะเป็นการยากลำบากที่ฉันจะกล่าวความรู้สึกอันจริงใจแก่เธอ เพราะดูว่าฉันจะเป็นคนโอ้อวด หรือคิดตะเกียกตะกายไปในทางที่น่าบัดสี เธอเชื่อว่าเธอจะเข้าใจฉันดีพอหรือ?”

“ผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิง ผมเห็นใจและเข้าใจคุณหญิงดีที่สุด.”

“เธอเชื่อมั่นในคุณธรรมของฉันหรือ?”

“ไม่มีที่สงสัยเลย”

“เธอแน่ใจหรือ?”

“แน่นิ่ง ไม่คลอนแคลนเลยแม้แต่นิดเดียว.”

“คำรับรองของเธอมั่นคงดังคำปฏิญาณ ดังนั้น ฉันจะบรรยายความรู้สึกของฉันต่อไปอย่างซื่อสัตย์จริงใจ” เธอทอดสายตาแลข้าม​ศีรษะข้าพเจ้าไป ดวงตาของเธอยังคงมีประกายก็จริง แต่มีแววเศร้าเข้ามาเจือปน. “เมื่อฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี ฉันก็ยังสวยงามและดูเปล่งปลั่งสดชื่นกว่าน้องสาวของฉัน ฉันเป็นคนโชคดีที่เกิดมาสวย แต่ฉันเป็นคนโชคร้ายที่เกิดมาไร้ความรัก. และก็อาจเป็นเพราะความสวยนั่นเองที่ฉันได้ถูกปกป้อง กีดกัน จากการติดต่อกับโลกภายนอกยิ่งกว่าน้อง ๆ ฉันจะไม่รู้สึกตัวว่าฉันเป็นคนอาภัพอับโชคเลยถ้าฉันเกิดมาเป็นหญิงขี้เหร่ แต่พระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม เมื่อได้ประทานความสวยงามให้แก่ฉันแล้ว เหตุใดไม่เปิดทางให้แก่ฉัน เหตุใดไม่ประทานความรักให้แก่ฉัน เหตุใดมาทอดทิ้งความสวยงามของฉันไว้ในความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความสวยงามซึ่งฉันสู้ทะนุถนอมบำรุงรักษาอย่างที่สตรีเป็นอันมากก็มิอาจระวังระไวเท่าฉัน.”

ถึงตอนนี้แววเศร้าปรากฏชัดขึ้นในดวงตาของเธอ.

“เมื่อน้องสาวสองคนมีเหย้ามีเรือนไปหมด ฉันก็รู้สึกความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวทวีขึ้น. แต่ว่าเมื่อได้พินิจพิจารณาดูความงาม ความสดชื่นของตัวเองในเวลานั้น ในวัย ๒๙ ปีนั้นแล้ว ฉันก็ยังมีความหวังอยู่ว่า ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชายที่ฉันรัก. นพพร, เธอต้องไม่คิดเห็นการแถลงความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ของฉันไปในทางน่าบัดสี. ความรักเป็นพรอันประเสริฐ เป็นยอดปรารถนาของชีวิต. ฉันก็เหมือนกับคนทั้งหลาย ย่อมปรารถนาใฝ่ฝันถึงความรักและการแต่งงาน. ฉันปรารถนาที่จะพูดถึงและรู้สึกด้วยตนเองในเรื่องราวของชีวิตในโลกใหม่ ดังที่น้องสาวสองคนได้มีโอกาสเช่นนั้น. ฉันปรารถนาที่จะมีบ้านของฉันเอง ที่จะติดต่อสมาคมกับโลกภายนอก ปรารถนาที่จะมีบุตรน้อย ๆ เพื่อที่ฉันจะได้หลั่งความเมตตาปรานีจากดวงใจของฉันให้แก่เขา. ฉันปรารถนาที่จะให้ตัก ให้แขนของฉันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น. ยังมี​ความปรารถนาที่งดงามอีกหลายอย่างที่ฉันย่อมจะบรรลุได้ ถ้าเพียงแต่ฉันได้พบความรัก.

“การที่เกิดมาไร้ความรัก จนกระทั่งอายุลุถึง ๒๙ ปีนั้น ก็เป็นการเคราะห์ร้ายพออยู่แล้ว แต่ฉันเป็นคนเคราะห์ร้ายจนถึงที่สุดในเรื่องนี้. ความใฝ่ฝันของฉันไม่ได้เป็นของจริงขึ้นเลย ปีแล้วก็ปีเล่า ความหวังก็จืดจางโรยราไปเป็นลำดับ จนกระทั่งอายุล่วงไปถึง ๓๔ ปี เจ้าคุณอธิการบดีก็ผ่านเข้ามาในการพิจารณาของฉัน.

“เจ้าคุณกับท่านพ่อชอบพอคุ้นเคยกันมาก. ท่านพ่อเมื่อแก่ตัวลงท่านก็ไม่สู้มีความคิดความเห็นเคร่งเครียดอะไรนัก ฉะนั้น เมื่อเจ้าคุณแสดงความประสงค์จะขอแต่งงานกับลูกสาวคนโตของท่าน ซึ่งได้ตกค้างอยู่ในบ้านมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ท่านก็ยินดีที่จะอนุมัติให้เป็นไปตามประสงค์. ท่านเห็นด้วยความสุจริตใจของท่านว่า คำขอของเจ้าคุณเป็นโอกาสอันเดียวที่เปิดไว้ให้ฉันเดินเข้าสู่โลกแห่งการวิวาห์. ท่านหวาดเกรงว่า ถ้าฉันปฏิเสธก็จะเท่ากับว่าฉันปฏิเสธการแต่งงานตลอดชั่วชีวิต และถ้าความจริงจะเป็นไปเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะสลดใจในโชคชะตาของฉันมาก. ฉันรู้ดีว่าท่านพ่อรักใคร่และเห็นใจในความอาภัพของฉันยิ่งกว่าลูกทุก ๆ คน. ท่านปรารถนาที่จะได้เห็นฉันแต่งงาน เพื่อว่าฉันจะได้มีความสุขตามส่วน ท่านเชื่อว่าการที่ผู้หญิงซึ่งสะสวยอย่างฉัน จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปโดยไร้คู่ครองนั้นเป็นการทรมานหัวใจเกินกว่าที่ท่านจะทนดูได้. อย่างไรก็ตาม ท่านเพียงแต่แนะนำวิงวอนให้ฉันรับคำขอของท่านเจ้าคุณ ส่วนการวินิจฉัยขั้นสุดท้ายนั้นก็สุดแต่ตัวฉัน.”

เธอทอดสายตามาสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างเศร้า ๆ และเปิดเผย. ใจคอของข้าพเจ้าก็อ่อนไหวไปตามความเศร้า ในยิ้ม และในดวงตางามคู่นั้น.

​“เมื่อฉันได้รับทราบความประสงค์ของเจ้าคุณ ใจฉันหายวาบ และเมื่อฉันได้สดับคำแนะนำวิงวอนของท่านพ่อ ที่ทรงขอให้ฉันรับรองการแต่งงานกับเจ้าคุณ ฉันก็ถึงแก่น้ำตาตก. ฉันร้องไห้ด้วยความตกใจ และด้วยความรู้สึกอย่างอื่นอีกหลายอย่าง. ท่านพ่อเข้าพระทัยฉันดี ทรงปลอบฉันว่า ‘ลูกหญิง พ่อไม่ได้ดูหมิ่นเธอ พ่อเห็นใจเธออย่างยิ่ง เธอเป็นลูกที่ดีที่สุดและสวยที่สุดในบรรดาลูกรักของพ่อ. พ่อภูมิใจด้วยลูกคนนี้เหลือที่จะพรรณนาได้. พ่อทราบดีว่าลูกไม่คู่ควรกับบุรุษผู้สูงอายุเช่นเจ้าคุณอธิการ พ่อปรารถนาที่จะให้ลูกได้แต่งงานกับชายที่เธอรัก ซึ่งมีตระกูลและวัยสมควรกับตัวเธอ. แต่โชคชะตาไม่ให้ความยุติธรรมแก่เธอ พ่อเสียดายความดีความงามของเธอมาก แต่บัดนี้ลูกก็มีอายุจะย่างเข้า ๓๕ ปีแล้ว จงแต่งงานเถิดลูกรัก กับบุรุษที่พ่อแนะนำ แม้ว่าจะแก่แต่ก็เป็นคนดี.’

“ฉันพูดกับท่านพ่อน้อยที่สุด ฉันจำได้แต่ว่าฉันก่นแต่ร้องไห้. ท่านพ่อแนะนำปลอบโยนฉันแล้วก็เข้ามาจูบฉันที่หน้าผากด้วยความสงสาร แล้วก็ปล่อยฉันไว้แต่ลำพัง. ในค่ำวันนั้น ฉันแต่งตัวหมดจดงดงาม และอยู่ที่หน้ากระจกเงาภายในห้องนอนของฉันเป็นเวลานาน. ฉันเฝ้าพินิจพิศดูรูปโฉมของฉันทุกส่วนสัดของร่างกาย. ร่างนั้นยังแลดูสาวและไม่ขาดตกบกพร่องในความงาม. ฉันรำพึงว่า ร่างที่ยังสดชื่นด้วยความสวยงามนี้หรือจะต้องวิวาห์กับวัยชรา ๕๐ ปี. เป็นความจริงหรือ ที่ร่างงามนี้อุบัติมาไร้ความรักและสิ้นหวังในความรักแล้ว. ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย แต่ครั้นฉันระลึกได้ว่า ฉันมีอายุได้เท่าไรแล้ว ฉันก็ใจหายอีกครั้งหนึ่ง. หยาดน้ำตาไหลระริน เมื่อฉันรู้สึกด้วยความแน่ใจว่า คำขอของท่านเจ้าคุณเป็นสัญญาณบอกความพินาศแห่งความหวังของฉัน เป็นสัญญาณว่าโอกาสที่ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชาย​ที่ฉันรักได้สิ้นสุดลงแล้ว เวลาของฉันหมดแล้ว.

“ในระหว่าง ๒-๓ วันหลังแต่นั้น ท่านพ่อไม่ได้รบกวนเร้าถามฉันถึงเรื่องนั้นเลย ท่านคอยคำตอบของฉันอย่างสงบเงียบ. ฉันได้เลือกเวลาหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าเป็นเวลาที่ปลอดโปร่งใจที่สุดเท่าที่ฉันจะหาได้ในยามนั้น คิดค้นคำตอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในที่สุด ฉันก็ตัดสินตกลงใจรับคำขอของเจ้าคุณ.”

“ทำไมคุณหญิงไม่ปฏิเสธ คุณหญิงยังสาวและสวยเหลือเกิน แม้กระทั่งเวลานี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงจัง “คุณหญิงจะได้พบความรักอย่างแน่นอน ถ้าได้รอต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงควรปฏิเสธทีเดียว”

“นพพรพูดราวกับว่าเรื่องยังไม่ได้เกิดขึ้น” เธอยิ้มน้อย ๆ.

“โลกเหี้ยมโหดเหลือเกิน” ข้าพเจ้าครวญคราง.

“มนุษย์อาจจะเหี้ยมโหด แต่โลกน่ารักมิใช่หรือ ถ้าเธอแลไปให้ทั่วเดี๋ยวนี้” เธอหยุดจ้องมองหน้าข้าพเจ้าครู่หนึ่ง “ฉันกำลังจะบอกเธอถึงเหตุผลในการตัดสินตกลงใจของฉัน.”

“ผมมองไม่เห็นเหตุผลเลย ผมไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอ.”

“คนดีของฉัน, โปรดอย่าหัวเสีย. โปรดอย่าลืมว่าเรากำลังสนทนากันถึงเหตุการณ์ที่ได้ล่วงมาแล้ว ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว. ไม่มีอะไรที่เราจะต้องมาทุ่มเถียงกัน.”

 



13



​วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญจากท่านอัครราชทูตให้ไปร่วมในงานพิธีแห่งหนึ่ง. หม่อมราชวงศ์กีรติจึงขออนุญาตท่านไว้แต่ในวันเสาร์ว่า จะไปใช้เวลาเที่ยวเล่นที่มิตาเกะกับข้าพเจ้า. เธอนัดให้ข้าพเจ้ามาถึงบ้านแต่เวลาโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านเจ้าคุณยังไม่ตื่นนอน เราช่วยกันจัดหาของรับประทานเล็กน้อยบรรจุใส่หีบ และของใช้อื่น ๆ ที่สมควรจะนำไป เพื่อให้การเที่ยวเล่นพักผ่อนของเราได้รับความพอใจทุกประการ. หม่อมราชวงศ์กีรติดูสนุกร่าเริงในการตระเตรียมมาก เราออกจากบ้านแต่เวลาสองโมงครึ่ง และเฉพาะหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น มิได้ออกไปก่อนที่จะเข้าไปบอกลาท่านเจ้าคุณในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง เธอยิ้มร่าเริงออกมา.

“ท่านกำลังตื่นนอนพอดี” เธอพูด “ท่านบอกว่าตั้งใจจะช่วยเราจัดข้าวของ ไม่คิดว่าเราจะหนีท่านไปแต่เช้ามืด. ฉันตอบท่านว่า เช้ามืดที่ไหน ตั้งสองโมงกว่าแล้ว. แต่ว่าเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะลอบหนีไปจากท่านไม่ใช่หรือ, นพพร ?” เธอหัวเราะ.

​เมื่อเราเดินทางไปถึงสถานีชินยูกุ ปรากฏว่ามีผู้คนทั้งชายหญิงคับคั่งอยู่ที่สถานี และเกรียวกราวไปด้วยเด็กเล็กซึ่งกำลังรอคอยรถไฟ. หม่อมราชวงศ์กีรติยังไม่เคยเดินทางไกลโดยรถไฟในเช้าวันอาทิตย์ เมื่อเห็นผู้คนคับคั่งราวกับจะเดินทางไปในงานเทศกาลใหญ่เช่นนั้นก็มีความประหลาดใจมาก. ข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้เธอทราบว่า ภาวการณ์เช่นนี้ ตามสถานีใหญ่ ๆ ในเช้าวันอาทิตย์ นับว่าเป็นของปรกติธรรมดา ด้วยเหตุว่าชนชาวญี่ปุ่นมีใจรักในการเที่ยวเล่นชมธรรมชาติมาก สถานที่ซึ่งงดงามไปด้วยภูมิภาพธรรมชาติ และได้รับการตกแต่งบำรุงจากทางการของบ้านเมือง ก็มีอยู่มากมายหลายสิบแห่ง ทั้งในระยะใกล้และไกล ซึ่งประชาชนจะเลือกเที่ยวเตร่ได้ตามความพอใจ และสุดแต่ฐานะของตน. เมื่อถึงวันอาทิตย์หรือวันหยุดงาน คู่ผัวเมีย และคนหนุ่มคนสาว ตลอดจนบิดามารดาก็มักจะพาบุตรธิดาเดินทางไกลไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ.

“ผมเห็นว่าการหาทางให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่ไม่เป็นเครื่องแสลงแก่ชีวิตเช่นนี้ เป็นจุดสำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้ประชาชาติญี่ปุ่นเป็นประชาชาติที่แข็งแรง” ข้าพเจ้ากล่าวความเห็นของข้าพเจ้าเองในที่สุด “ทางการของบ้านเมืองเขาจัดการให้ประชาชนได้ซื้อการพักผ่อนอันมีค่าเช่นนี้ด้วยราคาถูกที่สุด และด้วยความสะดวกทุกประการ คนที่มีรายได้น้อยก็มีโอกาสตามส่วน ที่จะแสวงหาการพักผ่อนหย่อนใจโดยวิธีนี้. เมื่อแรกมาญี่ปุ่น ผมยังไม่มีความคิดความอ่านอะไร ต่อเมื่อได้อยู่มาหลายปี ได้ใช้ความสังเกตใคร่ครวญ ผมก็มองเห็นคุณประโยชน์เป็นอันมาก. คนญี่ปุ่นโดยมากรู้จักบ้านเมืองของเขาดี เป็นคนขยันขันแข็ง เด็ก ๆ ไม่เป็นคนขี้เกียจ ซึมเซา ก็เพราะได้อาศัยการใช้เวลาพักผ่อนในทางที่เป็นคุณประโยชน์อันนี้.”

​เมื่อรถไฟมาหยุดที่สถานี ฝูงชนที่รอคอยกันอยู่คับคั่งก็ตรูกันขึ้นรถ และที่นั่งก็เต็มหมดในชั่วอึดใจเดียว. ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะให้หม่อมราชวงศ์กีรติไปแข่งแย่งที่นั่งกับคนเหล่านั้น.

“รอขึ้นขบวนหลังดีกว่า” ข้าพเจ้าบอกเธอ “คงจะไม่ถึงกับเบียดเสียดแย่งกัน”

“เราจะต้องรออีกกี่ชั่วโมง น่าเบื่อ.”

“ที่ญี่ปุ่น เราไม่ต้องรอรถเป็นชั่วโมง อีกราว ๕ นาทีก็จะมีรถมาอีกขบวนหนึ่ง.”

หม่อมราชวงศ์กีรติจัดเครื่องแต่งตัว และแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อย รถอีกขบวนหนึ่งก็มาถึง. คราวนี้เราได้ที่นั่ง แต่ก็มิใช่โดยสะดวกนัก และยังมีคนที่จะต้องรอรถขบวนหลังต่อไปอีก. เรานั่งอยู่เคียงกันบนที่นั่งสำหรับสองคน ชาวญี่ปุ่นบนรถโดยสารคันเดียวกันมองดูเราอย่างทึ่ง เพราะว่าเราเป็นชาวต่างประเทศนั้นอย่างหนึ่ง และคงจะประกอบด้วยความงาม ความแช่มช้อยของหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยไม่ต้องสงสัย มีเด็กเล็กหลายคนในรถขบวนนั้นวิ่งเล่นและพูดจ้อกับบิดามารดาของเขา.

“ฉันเหนื่อยแต่สำราญใจ” เธอพูดภายหลังที่รถได้เริ่มแล่นต่อไปครู่หนึ่ง “ฉันนิยมชาวญี่ปุ่นที่เขารู้จักเลือกวิธีพักผ่อนที่ดีตามที่เธอได้ชี้แจง ฉันหวังว่าเมื่อเธอกลับเข้าไปเมืองไทย เธอจะจัดการให้คนไทยได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่เป็นคุณประโยชน์ และทั้งได้รับความสำราญไปพร้อมกันด้วย. ฉันเชื่อว่าเธอจะจัดการได้สำเร็จ เพราะเธอเป็นนักเรียนนอก คนโดยมากเลื่อมใสความคิดของพวกนักเรียนนอก.”

“ผมก็เคยได้ยินมาเช่นนั้น และทั้งได้เคยรู้สึกเช่นนั้นเมื่อผมยังอยู่ในเมืองไทย. แต่เมื่อผมได้มาเป็นนักเรียนนอกด้วยตนเอง และได้รู้เห็น​ความเป็นไปของพวกเพื่อนนักเรียนที่นี่ ผมรู้สึกว่าพวกเราได้รับความยกย่องมากเกินไป. เรามีโอกาสดีกว่านักศึกษาในบ้านเมืองของเราหน่อย ก็ในข้อที่ว่าเราได้มาเห็นแบบอย่างความเป็นไปที่เจริญก้าวหน้าบางอย่างที่นี่ ซึ่งในเมืองไทยของเราไม่มี. แต่ว่าถ้าเราไม่แสวงหาประโยชน์จากโอกาสอันดีนี้ เราก็ไม่มีวุฒิพิเศษอะไรที่จะรับสมอ้างเอาว่า เราดีกว่าคนอื่น ๆ เลย. นอกจากนั้นเรามีทางที่จะประพฤติตัวเหลวแหลกได้มากกว่านักศึกษาในเมืองไทย. บ้านเมืองยิ่งเจริญมากเท่าใดก็มีเครื่องสำราญอันจะจูงใจไปสู่ความเสื่อมเสียได้มากเท่านั้น และคุณหญิงเห็นแล้วว่า เราอยู่กันที่นี่ปราศจากการควบคุมปกครอง เราต้องต่อสู้กับความเย้ายวนใจนานาประการด้วยตนเอง คุณหญิงคงจะเห็นว่าเรามีทางที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย. พวกเราไม่ใช่ว่าจะเอาชนะสิ่งนี้ไปได้ทุกคน ที่ชนะก็มี ที่แพ้ก็มาก. และถ้าเราแพ้ เราจะมีวุฒิพิเศษอะไรเล่า. เรามีสิทธิพิเศษอะไรที่จะไปเดินหน้าเชิดเป็นที่ว่าเรามีวุฒิพิเศษกว่าใคร ๆ ในวงสมาคมในเมืองไทย.”

“เธอพูดจริงจังมาก, นพพร. ฉันเองไม่มีความรู้แน่ชัดในเรื่องราวของพวกนักเรียนนอก ฉันพูดตามที่ฉันได้ยินมา. แต่เมื่อฉันได้พบรู้จักเธอ ฉันก็ออกจะเลื่อมใสนักเรียนนอกด้วยน้ำใสใจจริงของฉันเอง. ฉันมองนักเรียนนอกจากตัวเธอ.”

“คุณหญิงยกย่องผมมาก. พูดตามจริง ผมไม่อยากจะให้คนทั้งหลายมาดีกับเรามากเกินไป มาหวังในตัวเรามากเกินไป เพราะว่าถ้าเขาผิดหวังในเรา เขาอาจลงโทษว่าเราหลอกลวงเขา ทั้งที่ตามจริง คุณหญิงก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้คิดจะหลอกลวงคุณหญิงเลย.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะด้วยความสนุก พอใจ. เราสนทนากันด้วยปัญหาจำพวกนี้ต่อไปอีกพักใหญ่แล้วก็สนทนาพาทีกันด้วยเรื่อง​เบ็ดเตล็ดบ้าง และชมภูมิประเทศสองข้างทางไปบ้าง. การเดินทางของเรากินเวลาราวชั่วโมงครึ่ง เป็นการเดินทางที่หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวว่า ไม่เป็นที่น่าเบื่อหน่ายเลย.

คนโดยมากในรถขบวนนั้น มากกว่าครึ่งได้ลงที่สถานีมิตาเกะพร้อมกับเราทั้งสอง, ออกจากสถานีมาสู่ถนนใหญ่ เราก็อาจที่จะมองเห็นความงามของธรรมชาติ มีลำธารที่กว้างใหญ่ เนินหิน และสีเขียวของพฤกษชาติ ดารดาษอยู่ในคลองจักษุของเรา. หม่อมราชวงศ์กีรติดูมีความเบิกบานใจมาก.

เราเดินชมภูมิประเทศและร้านรวงแถบนั้นอยู่พักใหญ่ แล้วจึงแวะเข้าไปพัก หาเครื่องดื่มรับประทานในร้าน ๆ หนึ่ง. ข้าพเจ้าได้แจ้งให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบว่า ที่นี่ค่อนข้างเป็นที่ชุมนุมชน ข้าพเจ้ายังจะพาเธอเดินทางโดยรถบัส ซึ่งแล่นขนานไปกับลำธารต่อไปอีก จนกระทั่งบรรลุถึงเนินเขามิตาเกะ. ณ ที่นั้นแล เราจะได้เก็บตัวของเราไว้ในความสงบสงัด ในความห้อมล้อมของธรรมชาติ เป็นที่หมายปลายทางซึ่งเรามุ่งมาเที่ยวเล่นแสวงหาความสำราญใจในวันนั้น.

เมื่อได้พักผ่อนเที่ยวเตร่ตามบริเวณชุมนุมชนพอสมควรแล้ว เราได้เดินทางโดยรถยนต์ต่อไปอีก กินเวลาประมาณ ๔๐ นาที. รถแล่นขนานไปกับลำธารซึ่งมีน้ำใสสะอาดจนสามารถจะแลเห็นก้อนหินตะปุ่มตะป่ำอยู่ภายใต้พื้นน้ำ. อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นเนินเขาลำเนาไม้เขียวชอุ่มด้วยพฤกษาใหญ่น้อยหลากพรรณ รถยนต์วิ่งผ่านมวลชนที่สมัครใจจะเดินเล่นกันไปตลอดระยะทาง มีทั้งคนแก่ คนหนุ่มคนสาวและเด็กเล็ก ดูสำราญเริงรมย์ในการเดินทางกันมาก.

เราบรรลุถึงปลายทางเป็นเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อย. มีคนน้อยคนที่สมัครมาจนถึงปลายทาง เพราะว่าตามระยะทางที่ผ่านมา ก็มีที่พักผ่อน​ประกอบด้วยทัศนียภาพอันพึงชมเป็นแห่ง ๆ โดยตลอด ซึ่งผู้ที่ไม่สมัครจะเดินทางไกลมากนัก ก็ได้เลือกแวะเสียตามที่ใดที่หนึ่ง. ฉะนั้นเมื่อเราลงจากรถ และเดินไปตามทางเล็ก ๆ ซึ่งลาดต่ำลงไปเป็นลำดับนั้น จึงมีคนเพียงสองคนเดินตามเรามา เป็นชายกลางคนพาบุตรอายุประมาณ ๑๒ ขวบมาเที่ยวเล่น เขาจะมาเป็นเพื่อนบุตรของเขาหรือถือเอาบุตรเป็นเพื่อนของเขา เราก็ทราบไม่ได้.

ทางที่เราเดินมานั้นได้ลาดต่ำลงมา จนในที่สุดลาดชิดติดไปกับลำธาร. เราได้มาถึงต้นทางน้ำตกซึ่งเป็นบ่อเกิดของลำธารกว้างใหญ่ที่เราได้ผ่านมา กระแสน้ำไหลกระโชกกระชากไปบนก้อนหิน แล้วต่อไปก็ไหลแรงบ้าง ระรินบ้าง ไปตามลำธารที่ค่อยกว้างใหญ่ออกไป. บนทางที่เราเดินอยู่นั้นล้อมรอบด้วยเนินเขาสูง เขียวชอุ่มไปด้วยพรรณพฤกษานานาชนิด. ในบางขณะเราลงไปยืนอยู่บนก้อนหินซึ่งกระแสน้ำแทบจะไหลผ่านรองเท้าของเราไป. ทั้งหม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าได้กลายเป็นเด็กคู่หนึ่งซึ่งสนุกสำราญอยู่ด้วยการกระโดดโลดเล่นไปตามก้อนหินเหล่านั้น. เราทั้งสองอาจที่จะเล่นสนุกต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเสรีเต็มที่ เพราะว่า ณ ที่นั้นแทบจะกล่าวได้ว่า เราได้ออกมาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งเพื่อนร่วมโลกของเรา ก็มีแต่สายน้ำ ก้อนหิน และลำเนาไม้เท่านั้น. แสงแดดที่ไม่ร้อนแรงจัดช่วยให้เราอบอุ่น. ชายกลางคนกับบุตรของเขาได้เดินลับตาเราไปสู่ที่อื่น. นาน ๆ มีชายหญิงคู่ผัวเมียผ่านเข้ามาในโลกของเราคู่หนึ่ง แต่ก็ไม่หยุดยั้งอยู่นานนัก. ฉะนั้นเราก็เป็นเหมือนอาดัมกับอีฟในโลกน้อยนั้น. ข้าพเจ้าเก็บดอกไม้ป่าสีม่วง แล้วขออนุญาตเสียบให้ที่เรือนผมของหม่อมราชวงศ์กีรติ และเธอเก็บดอกไม้อีกชนิดหนึ่งสีแดง เสียบให้ที่รังดุมเสื้อข้าพเจ้า. หม่อมราชวงศ์กีรติบอกกับข้าพเจ้าว่า เธอเป็นสุขมากที่ข้าพเจ้าได้นำเธอมาอยู่ในที่ซึ่ง​หอมหวนยวนใจไปด้วยความสงบสงัดและความงามของธรรมชาติ. ข้าพเจ้าก็บอกกับเธอว่า ข้าพเจ้ามีความสุขมากในการที่ได้มีส่วนนำความสุขมาสู่เธอ หรือนำเธอให้ได้มาพบกับความสุข.

ข้าพเจ้ายังจดจำความรู้สึกในวันนั้นได้แม่นยำดีมาก. ข้าพเจ้าได้รับความสุขและความเบิกบานปานใดนั้น ไม่มีที่สงสัย. แต่แม้เช่นนั้นในบางขณะ ได้มีความรู้สึกบางอย่างมารบกวนความสุขของข้าพเจ้า มันทำให้อกใจของข้าพเจ้าเต้นระทึกด้วยหวาดหวั่นว่า จะมีอะไรอย่างหนึ่งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า. มันดันขึ้นดันลงอยู่ในหัวอก. ดูเหมือนข้าพเจ้าจะได้พยายามกดดันมันไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาภายนอก แต่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างเป็นการเหลือวิสัยข้าพเจ้ายากที่จะป้องกันยับยั้งได้ นอกจากจะรอคอยเวลาเท่านั้น. ข้าพเจ้าทั้งเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจและเป็นสุข.

 



14



​เราได้ใช้วันคืนที่กามากูระด้วยความผาสุก เฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันอาทิตย์ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย.

ท่านทั้งหลายพิจารณาจากการสนทนาของเราในสวนที่โฮเต็ลไกฮินคืนนั้น ท่านได้เห็นแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติได้ก้าวมาไกลถึงแค่ไหนแล้ว. ท่านย่อมจะเห็นว่าความสัมพันธ์ของเรามีความแน่นแฟ้นรัดรึงใจเพียงใด. ท่านอาจคาดหมายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ความคาดหมายของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าจะถูกก็แต่บางส่วนเท่านั้น เพราะว่าแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้ใช้ชีวิตแสดงบทบาทสำคัญร่วมกับหม่อมราชวงศ์กีรติในเรื่องนี้ ก็ยังได้คาดหมายอวสานของเรื่องราวอันประหลาด แต่ทว่าเป็นความจริงนี้ ผิดพลาดไปอย่างสำคัญ. เป็นความคาดผิดที่ได้สั่นสะเทือนใจข้าพเจ้าตลอดมาตราบกระทั่งปัจจุบันกาล. ขอให้ข้าพเจ้าดำเนินเรื่องต่อไป.

กลับจากกามากูระแล้ว บุปผาแห่งความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้า​กับหม่อมราชวงศ์กีรติก็เบิกบานเต็มที่. เราทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นเวลานับปี เราพากันลืมเสียสนิทว่า มิตรภาพของเราได้ถือกำเนิดและเติบโตเจริญวัยขึ้นเพียงชั่วฤดูร้อนฤดูเดียวเท่านั้น. เราไม่เคยคาดคิดว่า ดวงตาของฤดูออทัมน์จะได้ทันมีโอกาสทัศนามิตรภาพพฤกษ์ของเราออกดอกงามสะพรั่งไปทั้งต้น. ตำแหน่งของข้าพเจ้าในชั้นต้น ซึ่งเป็นแต่เพียงผู้นำทางท่านเจ้าคุณและภรรยาของท่าน ในการไปกิจธุระหรือไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้เปลี่ยนแปรไปอย่างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งแห่งความต้องการในชีวิตประจำวันของหม่อมราชวงศ์กีรติ และอาจเป็นส่วนสำคัญที่สุดในความต้องการทั้งหลายแหล่ของเธอด้วย. ข้าพเจ้ามิได้หมายจะโอ่อวด ข้าพเจ้าเพียงแต่จะกล่าวความตามที่เป็นจริงเท่านั้น.

ในส่วนตัวข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้าย่อมสำนึกตระหนักแน่ยิ่งขึ้นว่า ความพอใจของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปรไปอย่างที่ตัวเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้. ในชั้นต้นข้าพเจ้าก็เพียงแต่พอใจในการที่ได้รับใช้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านเจ้าคุณ โดยฐานที่ข้าพเจ้าได้รู้จักนับถือท่านมาแต่ก่อน ต่อมาความพอใจนั้นก็ได้กลายเป็นความต้องการของข้าพเจ้า ที่จะได้รับโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับภรรยาของท่านมากที่สุดที่จะมากได้. ในตอนหลัง ๆ ข้าพเจ้าต้องยอมสารภาพว่า การที่ข้าพเจ้าได้สละเวลาไปคลุกคลีอยู่กับท่านและภรรยาของท่าน เป็นส่วนมากนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่ตัวท่าน หากเพราะเห็นแก่ตัวข้าพเจ้าเอง. แต่ก็แน่ละ ท่านเจ้าคุณคงจะไม่ทราบ.

ภายหลังที่กลับจากกามากูระ ความต้องการของข้าพเจ้าได้ไปไกลจนถึงกับได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เมื่อเวลาที่หม่อมราชวงศ์กีรติจะต้องจากประเทศญี่ปุ่นคืนสู่เมืองไทยได้มาถึง ข้าพเจ้าจะเผชิญกับเวลานั้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะเผชิญกับความเป็นอยู่ที่ปราศจากหม่อมราชวงศ์กีรติ​ได้อย่างไร ข้าพเจ้าแน่ใจแล้วว่า ข้าพเจ้าจะทนดูการจากไปของเธอที่สถานีโตเกียวไม่ได้ เพราะรถไฟจะพาดวงหน้าและมือน้อย ๆ ของเธอ ที่โบกลาข้าพเจ้าลับตาไปอย่างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าได้กะการไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าจะต้องอยู่กับเธอจนกระทั่งนาทีสุดท้าย. ข้าพเจ้าจะเดินทางออกจากโตเกียวไปพร้อมกับเธอ ไปคอยจับเรือที่เมืองโกเบ ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเธออีกนับตั้ง ๑๐ ชั่วโมงขึ้นไป และข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสสุดท้าย คือจะได้มีโอกาสโบกมือลาให้แก่เธอเป็นเวลานานที่ท่าเรือ. เรือเดินทะเลลำใหญ่จะค่อย ๆ พาเธอห่างข้าพเจ้าไปช้า ๆ มิใช่ด้วยอาการฮวบฮาบรุนแรงดุจรถไฟ ซึ่งข้าพเจ้าคงจะรู้สึกเหมือนหนึ่งว่า ได้กระชากเอาตัวเธอไปจากความต้องการของข้าพเจ้าอย่างหฤโหดทารุณ และข้าพเจ้าคงแทบจะล้มฟุบลง ณ ที่สถานีนั่นเอง. ข้าพเจ้าเชื่อว่าหม่อมราชวงศ์กีรติก็คงปรารถนาที่จะให้การล่ำลาจากไปได้ใช้เวลาเนิ่นนานที่สุดเหมือนกัน.

บัดนี้ หม่อมราชวงศ์กีรติคนแรก ผู้เคร่งขรึมและดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แม้ว่าจะอ่อนโยนและหวาน ซึ่งข้าพเจ้าได้พบที่สถานีโตเกียวนั้นได้เลือนหายไปจากความรู้สึกของข้าพเจ้าแล้ว. ข้าพเจ้าจะจดจำภาพแรกของเธอได้ก็แต่ในเวลาที่ได้คำนึงนึกถึง. ภาพของหม่อมราชวงศ์กีรติที่สิงอยู่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นเนืองนิตย์นั้น เป็นภาพของสตรีสาวที่แสดงตนเป็นเพื่อนรักสนิทของข้าพเจ้า เป็นเพื่อนที่มีความฉลาดหลักแหลมและปรานีต่อข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพื่อนสตรีที่น่ารัก น่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยรู้จักมา เป็นผู้ให้ความชุ่มชื่นอเนกประการแก่ชีวิตอันเปล่าเปลี่ยวของข้าพเจ้า จนเมื่อนึกถึงว่าเธอจะต้องจากข้าพเจ้าไปในไม่ช้า และข้าพเจ้าจะต้องอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไปอีกนานปีโดยปราศจากเธอแล้ว ก็แทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.

​ความลี้ลับในเรื่องราวความเป็นไปของหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็ได้เปิดเผยแก่ข้าพเจ้าจนแทบหมดสิ้นแล้ว และถ้ามีอะไรอีกที่ข้าพเจ้าประสงค์จะทราบ ข้าพเจ้าก็อาจจะทราบได้โดยสะดวก. บัดนี้ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ไม่มีอะไรที่ข้าพเจ้าจะถามเธอไม่ได้ และไม่มีอะไรที่เธอจะไม่ตอบข้าพเจ้า.

เหตุการณ์ได้ดำเนินต่อมา จนกระทั่งถึงวันที่เราได้ไปใช้เวลาร่วมกันแต่ลำพังที่มิตาเกะ. ก่อนหน้าที่วันนั้นจะมาถึงหลายวัน ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าว่าดูเหมือนจิตใจของข้าพเจ้าจะได้ลอบหนีไปจากตัวข้าพเจ้า ท่องเที่ยวไปในโลกอีกโลกหนึ่งอยู่เนือง ๆ. เป็นโลกใหม่ที่ได้ปรากฏขึ้นในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต เต็มไปด้วยความงดงาม มีสง่าราศี และสุดแสนสราญเริงรมย์. ความแปลกใหม่ที่ซาบซึ้งตรึงใจในโลกแห่งความคิดคำนึงนั้น ได้เหนี่ยวรั้งจิตใจของข้าพเจ้าให้เพลินชม เพลินสำราญ จนแทบว่าจะลืมความเป็นไปแต่หนหลังของตนเองเสียสิ้น. ในชั้นแรกข้าพเจ้าได้พยายามจะป้องกันมิให้จิตใจของข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยวไปในโลก ซึ่งข้าพเจ้ามิคุ้นเคยมาแต่ก่อน. ข้าพเจ้าหวาดเกรงว่า จะประสบสิ่งที่น่าตระหนกตกใจหลบซ่อนอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในโลกใหม่อันเป็นที่น่าพิสมัยนั้น แต่ต่อมาข้าพเจ้าก็ถอนความพยายาม ด้วยบอกแก่ตนเองว่า เป็นการเหลือวิสัยที่จะป้องกัน. ข้าพเจ้าไม่สามารถจะต่อต้านกับความยียวนใจในโลกใหม่นั้นได้ ข้าพเจ้าจำต้องปล่อยให้จิตใจกำจัดหนุ่มของข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปโดยอิสระ.

ในที่สุด วันซึ่งข้าพเจ้าได้ย่างเหยียบเข้าไปสู่โลกนั้นด้วยตนเองก็ได้มาถึง วันที่ชีวิตอันแท้จริงของข้าพเจ้าได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ของโลกนั้น ข้าพเจ้าได้ป่ายปีนขึ้นไปจนบรรลุถึงยอดเอเวอเรสต์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า​ข้าพเจ้าได้ป่ายปีนขึ้นมาได้อย่างไรจนถึงยอดที่สูงที่สุดนี้. ข้าพเจ้าไม่ทราบจนกระทั่งว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะป่ายปีนขึ้นมาหรือไม่ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจเลย. เหตุการณ์ที่ประกอบด้วยความรู้สึกรุนแรงและร้อนเป็นไฟนี้ ได้เกิดขึ้นที่มิตาเกะ ในท่ามกลางกระแสลมหนาวอ่อน ๆ แห่งฤดูออทัมน์ และท่ามกลางความแวดล้อมด้วยภูมิภาพธรรมชาติที่สดงาม ท่านคงจำชื่อมิตาเกะได้ ท่านคงจำภาพที่ข้าพเจ้าได้พรรณนาถึงนั้นได้ ภาพที่ดูเป็นธรรมดาสามัญ ไม่มีสิ่งที่น่าสะดุดตาสะดุดใจอะไรเลย แต่บัดนี้ท่านกำลังจะได้ประสบชีวิตจริง ๆ ข้างหลังภาพนั้น.

 



15
นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 6-10




​เหตุการณ์ต่อมาดำเนินไปเป็นปรกติ หรืออาจจะมีสิ่งที่ผิดปรกติบ้าง ก็อาจจะไม่เป็นการสลักสำคัญนัก. เหตุการณ์ใหม่ที่เร้าใจข้าพเจ้าเกิดขึ้นที่กามากูระ ในกาลปลายฤดูร้อน.

กามากูระ เป็นตำบลชายทะเล อยู่ห่างจากนครโตเกียว กินเวลาเดินทางโดยรถไฟประมาณ ๑ ชั่วโมง. ล้อมรอบด้วยเทือกทิวเขาซึ่งเขียวชอุ่มด้วยพรรณพฤกษาทั้ง ๓ ด้าน เปิดด้านที่เหลืออีกด้านหนึ่งออกสู่ทะเล เป็นตำบลชายทะเลที่มีภูมิภาพสวยงามแห่งหนึ่ง ประกอบกับมีประวัติศาสตร์อยู่เบื้องหลัง และมีโบสถ์วิหารทั้งของพุทธศาสนาและชินโตประดิษฐานอยู่ พร้อมด้วยพุทธปฏิมาองค์ใหญ่งดงาม มีค่าสูงในทางศิลปะ ซึ่งเรียกกันที่ญี่ปุ่นว่า ไดบัตสุ จึงเป็นที่เชิดชูชื่อเสียงของกามากูระให้เด่นขึ้น.

ในวันเสาร์และอาทิตย์ ชาวนครโตเกียวมักจะเดินทางไปอาบน้ำทะเล พักผ่อน รื่นเริงกันที่นั่นคับคั่ง เพราะว่าการเดินทางไปอาบน้ำทะเลที่กามากูระอาจจะใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ได้ และเฉพาะในวันเสาร์​อาทิตย์นั้น เขาได้จัดให้มีการเล่นต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ที่ไปพักผ่อนได้เลือกใช้เวลาหาความบันเทิงตามความพอใจ.

ท่านเจ้าคุณกำหนดว่าจะไปพักผ่อนที่กามากูระ ๕ วัน. หม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้าก็เห็นชอบด้วย. เราออกจากนครโตเกียวในวันพุธ เมื่อเราไปถึงกามากูระ ผู้คนที่นั่นบางตาลงไปบ้าง เพราะว่าเป็นปลายฤดูร้อนแล้ว แต่ที่โฮเต็ลไกฮิน ซึ่งเป็นโฮเต็ลที่หรูหรา เป็นที่เชิดหน้าชูตาของกามากูระ ก็ยังบริบูรณ์ไปด้วยผู้คน. ข้าพเจ้าได้ติดต่อบอกจองห้องล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นเมื่อเราไปถึงจึงได้ต้อนรับและความสะดวกทุกประการ. ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงพักอยู่ห้องคู่ซึ่งประกอบด้วยห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ. ข้าพเจ้าพักอยู่ห้องเดี่ยว. ความภาคภูมิและสง่างามของโฮเต็ลไกฮิน เป็นที่พอใจท่านทั้งสองเป็นอันมาก.

​ที่โฮเต็ล เจ้าคุณบังเอิญได้พบกับมิตรสหายของท่านบางคน เป็นผัวเมียชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่ง และเป็นผัวเมียชาวอเมริกันคู่หนึ่ง. โดยเหตุที่มีมิตรสหายเป็นเพื่อนสนทนาอยู่บ้าง ท่านเจ้าคุณยินดีให้อนุญาตหม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้า ได้ปลีกตัวไปเที่ยวกันตามลำพังในบางคราว.

การใช้วันคืนที่กามากูระร่วมกัน ได้เพิ่มเติมความสนิทสนมลงไปในหัวใจของเราจนเต็มปรี่, บางวันการพบปะสนทนาของเราเริ่มต้นที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้า และบางวันก็เริ่มต้นก่อนหน้านั้น. เราได้อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา บางเวลาก็อยู่ในชุมนุมมิตรสหายของท่านเจ้าคุณ และบางเวลาเราก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกันในตอนกลางวัน ไปแล่นเรือบ้าง ไปเล่นซนและไปดูคนอื่น ๆ เขาเล่นซนตามชายหาดบ้าง. ในเวลาเย็นข้าพเจ้ามักปลีกตัวไปอาบน้ำทะเลแต่ลำพัง เพราะว่าในเวลานั้น ท่านเจ้าคุณมักพอใจที่จะออกเดินเล่นไกล ๆ ไปตามชายหาด และข้าพเจ้าก็เห็นเป็นการสมควรที่ท่านควรจะได้มีเวลาเพลิดเพลินกับภรรยาสาวของท่านแต่ลำพังสองต่อสอง. ฉะนั้น เมื่อได้รับคำชักชวนจากท่านเจ้าคุณ ซึ่งแม้ข้าพเจ้าเห็นได้ชัดว่าเป็นคำชักชวนด้วยความเต็มใจ ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธเสมอ โดยอ้างเหตุว่า ข้าพเจ้าปรารถนาจะอาบน้ำทะเลเที่ยวเล่นซนบ้าง. ท่านเจ้าคุณก็อนุญาตด้วยความเห็นใจ.

มีอยู่วันเดียว ที่หม่อมราชวงศ์กีรติได้ลงมาเล่นน้ำทะเลกับข้าพเจ้า เห็นได้ว่าเธอได้รับความสนุกสนานมาก แม้ว่าโดยปรกติเธอจะไม่สู้ใส่ใจในการอาบน้ำทะเลนัก ตามที่ข้าพเจ้าได้ทราบจากคำบอกเล่าของเธอ.

การนำสุภาพสตรีไทยลงเล่นน้ำร่วมกับชาวญี่ปุ่นนั้น มีข้อที่น่าอึดอัดใจอยู่ข้อหนึ่ง กล่าวคือ ญี่ปุ่นสาว ๆ มักจะไม่สู้ระมัดระวัง​ในการปกป้องร่างกายส่วนบน หล่อนไม่สู้จะนำพากับเสื้ออาบน้ำอันไม่รัดกุมพอ. ญี่ปุ่นสาว ๆ อาจมีเหตุผลของหล่อนเป็นอย่างดีที่จะคลายความระมัดระวังในเรื่องเช่นนั้น แต่ว่าสตรีพวกเราที่เคยไปใช้เวลาตามชายทะเล ก็ต้องเบือนหน้าและออกปากบ่นไปตาม ๆ กัน. ข้าพเจ้าหวาดเกรงว่า หม่อมราชวงศ์กีรติจะได้รับความรำคาญในเรื่องนี้ แต่ความหวาดเกรงล่วงหน้าของข้าพเจ้าผิดพลาดไปบ้าง เธอเป็นแต่แสดงความประหลาดใจโดยมิได้ออกปากบ่นว่ากระไร.

คืนสุดท้ายของเราที่กามากูระคือคืนวันอาทิตย์ ที่โฮเต็ลไกฮินจัดให้มีการเล่นเต้นรำอย่างเอิกเกริก ซึ่งเป็นกำหนดการปรกติของโฮเต็ลนั้นทุกคืนวันอาทิตย์. ผู้ที่มิได้พักอยู่ในโฮเต็ลก็มีสิทธิ์จะเข้าไปร่วมรับความบันเทิงเริงรมย์ได้ ถ้าหากได้ซื้ออนุญาตบัตรของโฮเต็ล. ในวันอาทิตย์คืนนั้น มีผู้คนมาชุมนุมกันอยู่ในห้องลีลาศอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทั้งสุภาพบุรุษและสตรี. นอกจากชาวญี่ปุ่นแล้ว ก็มีคนไทย ๕-๖ คน รวมทั้งพวกเรา ๓ คนด้วย นอกจากนี้ก็มีชาวยุโรป อเมริกัน และฟิลิปิโน ปะปนอยู่ด้วยหลายคน. เจ้าคุณอธิการบดีใช้เวลาในคืนวันนั้นด้วยความเริงรมย์ดุจคนหนุ่มคนหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเต้นรำหลายเพลง กับสุภาพสตรีผิวขาวบ้าง กับสุภาพสตรีญี่ปุ่นบ้าง และเปิดแชมเปญหลายขวด. หม่อมราชวงศ์กีรติเต้นรำสองสามเพลงกับสุภาพบุรุษมิตรสหายของท่านเจ้าคุณ และจิบแชมเปญด้วย. ข้าพเจ้าก็ได้เต้นรำสองสามเพลงกับสุภาพสตรีสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน และจิบแชมเปญด้วยเหมือนกัน.

ด้วยเหตุที่ว่า คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะพักอยู่ที่กามากูระ หม่อมราชวงศ์กีรติจึงอยากจะได้ออกมาเที่ยวเล่นภายนอกบ้าง. ท่านเจ้าคุณเมื่อทราบความประสงค์แล้วก็อนุญาตด้วยความยินดี เพราะว่า​ในเวลานั้น ท่านก็กำลังได้รับความสนุกอยู่แล้วอย่างเต็มที่กับบรรดามิตรสหายของท่าน.

หม่อมราชวงศ์กีรติได้ชวนข้าพเจ้าไปเที่ยวเดินดูการเล่นต่าง ๆ มีการเล่นกอล์ฟ สเกต และเที่ยวดูการเล่นตามร้าน แล้วก็ไปเดินเล่นตามชายหาด รับลมเย็น ฟังเสียงลูกคลื่นที่ซัดสาดชายหาด ชมดวงดาวบนท้องฟ้า. ในที่สุด เรากลับไปนั่งพักเล่นในสวนภายในบริเวณโฮเต็ล มีคนเพียงสองสามคนลงมาเดินเล่นในสวนในเวลานั้น. ในเวลาที่เราปลีกตัวออกมาเสียจากชุมนุมชน และอยู่ด้วยกันแต่ลำพังในความแวดล้อมของธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิดของเราก็มักจะมาจดจ่ออยู่ที่เรื่องราวของเราเอง. น้ำแชมเปญผสมกับรสละมุนละไมของการเต้นรำ ปรุงจิตใจของข้าพเจ้าให้เบิกบานด้วยความคิดคำนึงยิ่งกว่าเวลาปรกติหลายเท่า. เสียงแจซซ์ทำเพลงรุมบาก้องกังวานมาจากห้องเต้นรำ.

“เจ้าคุณคงจะเต้นรำสนุกใหญ่ เพลงรุมบาเร้าใจเหลือเกิน” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น.

​“แต่ว่าเจ้าคุณคงจะไม่ยอมเต้นเพลงรุมบาเป็นแน่ มันดูลุกลี้ลุกลนนักสำหรับผู้ใหญ่อย่างท่าน แต่คนหนุ่มอย่างเธอคงจะชอบกระมัง.”

“ผมยังไม่สนใจการเต้นรำพอจนถึงจะชอบเพลงใดเพลงหนึ่งเป็นพิเศษ ผมชอบเหมือน ๆ กันไปหมด.”

“ฉันสังเกตเมื่อเธอเต้นเพลงสโลว์ฟอกซ์ทรอด ฉันเห็นว่าเธอเต้นได้งดงามไม่น้อย.”

“นั่นเป็นเพราะคู่ของผมเขาชำนาญมาก.”

“ใครกันน่ะ คู่ของเธอ ดูหล่อนปราดเปรียวจนไม่น่าจะเป็นสาวญี่ปุ่น.”

“หล่อนเป็นบุตรีพ่อค้าใหญ่คนหนึ่ง ถูกแล้ว กิริยาท่าทางของหล่อนดูไม่สมกับที่จะเป็นสตรีญี่ปุ่นเลย เพราะว่าหล่อนเกิดในอเมริกาและอยู่ที่นั่น จนอายุ ๑๕ ปี หล่อนมาญี่ปุ่นก่อนหน้าผมปีเดียว ฉะนั้นหล่อนจึงดูเป็นญี่ปุ่นน้อยมาก. เมื่อแรกรู้จักกับผม หล่อนปรารภว่าหล่อนยังเข้ากับชนชาติของหล่อนไม่ได้ถนัด หล่อนจึงพอใจคบค้าสมาคมกับชาวต่างประเทศ. จะด้วยความจริงใจหรือเพียงแต่จะเยินยอเราก็ตาม หล่อนบอกกับผมว่า หล่อนชอบคนไทยเป็นพิเศษ หล่อนว่าคนไทยมีอะไรแปลก ๆ ไปในทางน่ารัก.”

“หล่อนวินิจฉัยคนไทยจากตัวเธอ.”

“หล่อนไม่ได้บอกกับผมเช่นนั้น และผมก็มิได้ประสงค์ให้เป็นไปดังนั้น.”

“นพพร, เธอเป็นเด็กที่น่ารักและสมควรจะรักจริง ๆ” ด้วยคำพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเสียวแปลบที่หัวใจ และยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะโต้ตอบ เธอพูดต่อไปว่า “เมื่อตอนหัวค่ำวันนี้ ท่านเจ้าคุณก็ได้พูดกับฉันว่า ท่านมีความยินดีมากที่เห็นเธอกับฉันมีความสนิทสนมรักใคร่กันดี ​ท่านบอกว่าเธอเป็นเด็กที่น่ารัก และท่านได้คาดถูกแล้วว่าฉันจะพอใจเธอมาก.”

“ท่านแสดงความยินดีด้วยน้ำใสใจจริงโดยแท้หรือ? ท่านไม่รังเกียจในความสนิทสนมระหว่างคุณหญิงและผมจริงหรือ?”

“เพราะเหตุใดเล่าเธอจึงถามเช่นนี้.” เธอกลับย้อนถาม “มีอะไรในความสนิทสนมของเราที่จะน่ารังเกียจ และด้วยเหตุผลอะไร ที่ทำให้เธอสงสัยน้ำใสใจจริงของเจ้าคุณ.”

ข้าพเจ้างงไปครู่หนึ่ง.

“ผมเสียใจที่ถามออกไปเช่นนั้น ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลใจให้ตั้งคำถามอย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น ผมรู้สึกว่า ผมไม่มีเหตุผลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะสงสัยความรู้สึกอันดีของท่าน.”

“เธอแน่ใจหรือ?” หม่อมราชวงศ์กีรติกลับย้อนถาม.

ข้าพเจ้าก็กลับงงไปอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่อาจที่จะตอบคำถามของเธอได้ทันทีทันใด.

“คืนนี้เธอเป็นอะไรไป ดูตอบคำถามของฉันไม่คล่องแคล่วเหมือนอย่างเคยเลย.” เธอตบที่แขนข้าพเจ้าเบา ๆ แล้วเราก็ยิ้มให้กันเมื่อแลสบตากัน “เธอกลัวว่าเจ้าคุณท่านจะหึงเธอใช่ไหม?”

ข้าพเจ้าสะดุ้ง.

“ผมมีเหตุผลที่จะคิดกลัวไปเช่นนั้นหรือ?”

“เธอยังไม่ได้ตอบฉันว่า ฉันทายความคิดของเธอถูกหรือไม่?”

“คุณหญิงเป็นคล้าย ๆ พวกแม่มด.”

“น่ากลัวจะตายไป” เธอหัวเราะ “เธอมีเหตุผลอะไรเล่าที่คิดไปว่า เจ้าคุณท่านจะหึงเธอ, เธอไม่สมควรจะได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่จากท่านดอกหรือ?”

​“ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงไม่ใช่หรือ ที่ควรจะตอบคำถามข้อนี้.”

“จิตใจของเธอไม่บริสุทธิ์พอหรือ?”

“จริงนะ ผมไม่ควรจะนึกกลัวไปเลย.”

“ถูกแล้ว. เมื่อจิตใจของเธอบริสุทธิ์พอ. ท่านเจ้าคุณไม่ใช่คนขี้หึง.”

“ผมรู้จักท่านมานานแล้ว ท่านเป็นคนใจดีมาก และดังนั้นคุณหญิงก็คงจะรักท่านมาก.”

หม่อมราชวงศ์กีรติตกเป็นฝ่ายที่นิ่งอึ้งไปบ้าง.

“ฉันชอบท่าน อย่างที่เด็ก ๆ ควรจะชอบบุรุษชราผู้ใจดี.”

“คุณหญิงยังไม่ได้ตอบผมถึงเรื่องความรัก ผมหมายถึงความรักฉันสามีภริยา – ฉันชายกับหญิง.”

“เธอก็เห็นแล้วว่า ฉันเป็นอะไร ท่านเจ้าคุณเป็นอะไร วัยของเราแตกต่างกันมาก. สิ่งนี้เปรียบเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กั้นระหว่างความรักของเรา ทำให้ความรักของเราพบกันไม่ได้.”

“แต่ว่าความรักระหว่างคนแก่กับหญิงสาว ก็อาจมีได้ไม่ใช่หรือครับ?”

“ฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างคนสองจำพวกนี้. ฉันไม่เชื่อว่าจะมีได้จริง นอกจากเราจะรับเอาเองว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจเป็นการรับเอาอย่างผิด ๆ.”

“แต่คุณหญิงก็ดูมีความสุขดีในการแต่งงาน ซึ่งตามความเห็นของคุณหญิงก็ว่า ความรักของทั้งสองฝ่ายจะพบกันไม่ได้.”

“ความผาสุกที่ฝ่ายหญิงแสดงว่าได้รับหรือได้มีอยู่นี่แหละ อาจทำให้คนโดยมากเข้าใจไปว่า ความรักย่อมอุบัติขึ้นได้ในระหว่างวัยแก่และวัยสาว. นอกจากนั้น เจ้าตัวผู้หญิงเอง เมื่อมีความผาสุกพอสมควรแล้ว ก็มักไม่สนใจในปัญหาที่เกี่ยวกับความรัก เพราะว่าจะเป็นความรักหรือ​ไม่ก็ตาม เมื่อมีความผาสุกแล้วจะต้องการอะไรอีก. คนทั้งหลายอยู่กันโดยวิธีนี้ และคนโดยมากเชื่อถือว่า ความรักเป็นมารดาของความผาสุก ซึ่งตามความเห็นของฉันแล้ว ฉันเห็นว่าไม่ใช่ของจริงเสมอไป. ความรักอาจให้กำเนิดความขมขื่น หรือความร้ายกาจต่าง ๆ นานาแก่ชีวิตก็ได้ แต่ว่าในดวงใจของผู้ที่มีความรักเช่นนั้น จะมีน้ำทิพย์แห่งความหวานชื่นหล่อเลี้ยงอยู่ชั่วนิจนิรันดร – เป็นความหวานชื่นที่ซาบซึ้งใจอย่างประหลาดมหัศจรรย์. ฉันยังไม่เคยประสบสิ่งนี้ด้วยตนเอง ฉันพูดตามความเชื่อถือของฉัน.”

“แล้วคุณหญิงยังต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อคุณหญิงก็มีชีวิตอย่างผาสุกแล้วเช่นนี้.”

“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันต้องการอะไรอีก – หรือจะพูดให้ตรงตามที่ฉันเดาว่า เธออยากจะพูด-ฉันไม่ได้บอกว่า ในเวลานี้ฉันก็ยังปรารถนาความรัก. ฉันหมายถึงความปรารถนาที่มีการขวนขวาย. ฉันไม่แสวงหาความรัก. ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ในข้อนั้นแล้ว. แต่ฉันรู้ไม่ได้ และฉันก็รับประกันไม่ได้ว่าความรักจะอุบัติขึ้นในชีวิตหรือไม่ทั้งที่ฉันไม่ได้แสวงหา. ฉันอาจจะมีความผาสุกแล้วก็จริง แต่ขอให้เธอเชื่อเถิดว่า ความผาสุกที่ปราศจากความรักก็ย่อมจะมีได้.”

“และถ้าความรักอุบัติขึ้นเล่า คุณหญิงจะทำอย่างไร?”

“โอ, ฉันไม่เตรียมคำตอบปัญหาในเรื่องเช่นนี้ไว้ล่วงหน้าดอกเธอ. เพราะว่าปัญหาอาจไม่มีขึ้นเลยในชั่วชีวิตของเรา. การคิดฝันถึงปัญหาเช่นนี้ มันจะทำให้เรากลับไร้ความผาสุก. ไม่มีอะไรจะเขลาเท่ากับก่อให้เกิดความกังวลขึ้นในสิ่งที่ยังไม่มีตัวตน หรือเป็นแต่เพียงความเคลิ้มฝัน. เธออย่าลืมว่ามีนกตัวหนึ่งอยู่ในมือ ดีกว่าหวังได้นกสองตัว​ในพุ่มไม้. การมีความผาสุกที่ไร้ความรัก คงจะดีกว่าการใฝ่ฝันกังวลถึงความรักด้วยปราศจากความผาสุก.”

“แล้วเจ้าคุณเล่า ท่านรักคุณหญิงหรือไม่?”

“ฉันตอบแทนท่านไม่ได้ ฉันรู้ว่าท่านมีความเอ็นดูฉัน ท่านอาจจะรักฉันอย่างผู้ใหญ่รักเด็ก ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรักตามความหมายที่เธอต้องการจะฟังมิใช่หรือ? ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างชายแก่กับหญิงสาว และเพราะฉะนั้น ฉันก็ไม่ได้คาดหมายความรักอันรัดรึงใจจากท่าน.”

“คุณหญิงหมายความว่าท่านไม่ต้องการความรัก ท่านไม่แสวงหาความรัก แม้กระทั่งในภริยาของท่านเช่นนั้นหรือ?”

“ถูกแล้ว ฉันหมายความเช่นนั้น และฉันเชื่อว่าความจริงเป็นเช่นนั้น”

“เพราะเหตุใดเล่า?”

“เพราะว่าน้ำรักของท่านได้เหือดแห้งไปพร้อมกับวัยชราของท่าน​เสียแล้ว. วัยแห่งรสรักได้ผ่านพ้นท่านไปเสียแล้ว. เดี๋ยวนี้ท่านไม่รู้ว่าท่านจะรักได้อย่างไร. ท่านรักฉันไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่มีสิ่งที่จะประกอบขึ้นเป็นความรักความรักตามอุดมทัศนีย์ของฉัน.”

“แต่ทำไมท่านจึงดูเป็นสุขมากในการร่วมชีวิตกับคุณหญิง?”

“เธอลืมเร็วจริง. ฉันได้บอกเธอแล้วว่า ความผาสุกที่ปราศจากความรักย่อมจะมีได้ ท่านเจ้าคุณก็อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับตัวฉัน”

“ถ้ามิใช่ด้วยความรัก ท่านแต่งงานกับคุณหญิงเพราะอะไรเล่า?”

“ท่านต้องการความผาสุก ตามที่บุคคลเช่นท่านจะพึงมีได้. ความผาสุกเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการและแสวงหาจนกระทั่งชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต และไม่จำกัดว่าจะเป็นชีวิตในวัยใด. ท่านแต่งงานกับฉันเพราะท่านเชื่อว่า ท่านจะได้รับความผาสุก.”

“แล้วคุณหญิงเล่า มีเหตุผลอย่างไรในการแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ในเมื่อคุณหญิงเองก็ไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก.”

“เธอต้องการจะทราบว่า ทำไมฉันจึงแต่งงานกับท่าน? โอ, มันเป็นเรื่องที่จะต้องสนทนากันยืดยาว เราไม่มีเวลาพอที่จะสนทนากันในคืนวันนี้” หม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้นยืน “เราออกมานานมาก. กลับไปข้างในเถอะ, นพพร. เจ้าคุณคงจะคอยอยู่แล้ว.” เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้น และเราเริ่มออกเดิน เธอพูดต่อไปว่า “คืนนี้เธอซักถามฉันมาก, นพพร ฉันได้ตอบคำถามที่ไม่ควรจะตอบหลายข้อ. แต่ฉันคิดว่าเธอต้องการจะศึกษาเรื่องเหล่านี้.”

“หามิได้ ผมถามเพราะว่าผมสนใจความเป็นไปในชีวิตของคุณหญิง” ข้าพเจ้าตอบอย่างเปิดเผย.

“ถ้ารู้ว่าเธอถามเพราะเหตุนี้ ฉันคงจะไม่ตอบคำถามของเธอหลายข้อ. เธอไม่ควรเลยที่จะมาสนใจในการส่วนตัวของฉัน.”

​“คุณหญิงคงไม่ปฏิเสธว่า เราสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง.”

“แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาแสดงความสนใจใคร่ครวญความในใจของฉัน.”

“แต่ผมก็ได้แสดงความสนใจไปเสียแล้ว และคุณหญิงก็ได้ตอบคำถามของผมสิ้นเชิงแล้ว.”

“เพราะว่าฉันถูกโกง.”

“การถูกโกงด้วยความผาสุกก็ย่อมจะมีได้.”

“ฉันเริ่มเบื่อเธอแล้วละ” หม่อมราชวงศ์กีรติดึงแขนข้าพเจ้าให้เร่งรีบเดิน “เดินเร็วอีกหน่อย ฉันเป็นห่วงเจ้าคุณ.”

 



Pages: [1] 2 3 ... 290
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.163 seconds with 15 queries.