Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
		 ข้อควรปฎิบัติ => ข้อเสนอแนะ หรือ ร้องเรียนต่างๆ => Topic started by: Smile Siam on 29  December  2012, 09:08:10 
		
			
			- 
				คำว่า สยามประเทศ
 
 prasit:
 สยามประเทศ เริ่มใช้คำนี้เมื่อรัชสมัยใด พ.ศ ใด ใคร่ขอรู้ จักขอบคุณ
 
 เพ็ญชมพู:
 คำว่า "สยามประเทศ" ใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  ทางเอกสารของไทยเราเอง คำ สามเทสะ หรือ สยามเทสะ ที่เก่าแก่ที่สุดที่พบแล้ว มีปรากฏอยู่ในหนังสือ "รัตนพิมพวงศ์" หรือตำนานพระแก้วมรกต ซึ่งพระพรหมราชปัญญาแห่งกรุงศรีสัชนาลัยสุโขทัยแต่งขึ้นเป็นภาษาบาลีเมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๒ ซึ่งในหนังสือนั้นใช้ปนกันทั้งรูป สาม และ สฺยาม
 
 หนังสือ "ชินกาลมาลีปกรณ์" อันเป็นวิทยานิพนธ์ทางประวัติพุทธศาสนาในล้านนาที่สำคัญเรื่องหนึ่ง, ซึ่งภิกษุรัตนปัญญาแต่งขึ้นเป็นภาษาบาลีเมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๙ ก็ได้กล่าวชัดเจนว่าในยุค พ.ศ. ๑๗๐๐-๑๘๐๐ นั้น สยามเทสะ คือบริเวณสุโขทัย, คำแปลจากภาษาบาลี ดังนี้
 
 "นับจำเดิมแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพานมาถึงศักราชได้ ๑๗๙๘  มีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า โรจนราช ได้เสวย์ราชย์ในกรุงสุโขทัย ณ สยามประเทศ (สยามเทเส) ในชมพูทวีปนี้"............
 
 ในคำนำลักษณะพระธรรมศาสตร์ ของกฎหมายตราสามดวง ซึ่งรัชกาลที่ ๑ ได้ให้รวบรวมสะสางเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗ นั้น เรียกเมืองไทยทั้งหมดว่า สยามประเทศ (ในภาคบาลีใช้สามเทส) และเรียกภาษาไทยว่า สยามภาษา (ในภาคบาลีใช้ สามภาสา)
 
 "สยาม" ในคำสมาสอื่น ๆ นอกจากสยามประเทศ  ยังมีอีกหลายคำเช่น สยามรัฐ  สยามมินทร์  พระสยามเทวาธิราช สยามสมาคม  มีอีกคำหนึ่งอาจจะไม่มีใครเคยได้ยินคือ "สยามโลกัคคราช" คำ ๆ นี้หมายความว่าอย่างไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร จิตร ภูมิศักดิ์ เล่าไว้ดังนี้
 
 "(รัชกาลที่ ๔) ครั้นได้ขึ้นเสวยราชย์แล้ว ก็เริ่มใช้คำ สยาม เป็นชื่อราชอาณาจักรไทยในการติดต่อกับต่างประเทศ. ได้หล่อรูปพระสยามเทวาธิราชขึ้นเป็นตัวแทนวิญญาณของเทวดาผู้รักษาราชบัลลังก์สยาม. พระองค์เองก็ใช้นามในภาษาละตินว่า Rex Siamen Sium. ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้คิดดวงตราหรือพระราชลัญจกรขึ้นดวงหนึ่งสำหรับประทับพระราชสาส์นไปยังราชสำนักจีนโดยเฉพาะ ในดวงตรานั้นมีอักษรเขียนว่า สยามโลกัคคราช (สยาม+โลก+อัคค+ราช = ผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดินสยาม). คำว่า สยามโลกัคคราช นี้เป็นคำที่เกิดจาการเลียนเสียงภาษาจีนที่ออกตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า  เสี้ยมหลอก๊กอ๋อง ซึ่งแปลว่า เจ้าแห่งประเทศเสี้ยมหลอ. สยามโลกัคค นั้นถ่ายเสียงออกมาจาก เสี้ยมหลอก๊ก, ส่วน อ๋อง นั้น แปลเป็นบาลีว่า ราช. (แต่ตราดวงนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ เพราะเลิกประเพณีจิ้มก้องราชสำนักจีนไปเสีย, อิทธิพลของประเทศทุนนิยมล่าเมืองขึ้นตะวันตกเข้ามาครอบครองบริเวณนี้แทนอิทธิพลของจีนเสียแล้ว)."
 
 ข้อมูลจากหนังสือ  "ความเป็นมาของคำ สยาม, ขอม, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ"  โดย จิตร ภูมิศักดิ์
 
 ติบอ:
 ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในบทต้นๆ
 ของหนังสืออ้างอิงที่คุณเพ็ญชมพูใช้
 เขจาจะเล่าว่าคำว่าคนไทยไม่ได้รู้จักคำว่า "สยาม"
 
 แต่เป็นคำที่คนฮอลันดาใช้เรียกเมืองสยาม
 ที่เป็นแบบนี้... เพราะ 1. เวลามันผ่านไปนานแล้ว
 2. คนอยุธยา-รัตนโกสินทร์อาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนกลุ่มอื่น...
 ในขณะที่คนล้านนา(อย่างคนแต่งรัตนพิมพวงศ์)
 หรือคนฮอลันดา ยังเห็นคนพวกนี้เป็นสยามอยู่...
 
 
 ผมว่าเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย แต่พวกเราไม่ค่อยได้ใส่ใจกัน คือ...
 พระจมเกล้าท่านไป "เอาสยาม" มาจากไหน ถึงทรงนำคำนี้มาเรียกชื่อสยามประเทศ ?
 หรือท่านจะไปเที่ยวนครวัดมาแล้ว ???
 
 เพ็ญชมพู:
 อ้างจาก: ติบอ ที่  09 พ.ย. 09, 23:28
 
 ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในบทต้น ๆ
 ของหนังสืออ้างอิงที่คุณเพ็ญชมพูใช้
 เขาจะเล่าว่าคำว่าคนไทยไม่ได้รู้จักคำว่า "สยาม"
 
 แต่เป็นคำที่คนฮอลันดาใช้เรียกเมืองสยาม
 ที่เป็นแบบนี้... เพราะ 1. เวลามันผ่านไปนานแล้ว
 2. คนอยุธยา-รัตนโกสินทร์อาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนกลุ่มอื่น...
 ในขณะที่คนล้านนา(อย่างคนแต่งรัตนพิมพวงศ์)
 หรือคนฮอลันดา ยังเห็นคนพวกนี้เป็นสยามอยู่...
 
 
 เท่าที่อ่านดู เรื่องนี้อยู่ในบทท้าย ๆ ของภาคหนึ่ง พื้นฐานทางนิรุกติศาสตร์และประวัติศาสตร์
 
 บทที่ ๑๖ ที่มาและความหมายของสยามตามความเห็นในอดีต
 
 จิตร ภูมิศักดิ์ อ้างข้อความจากหนังสือ "ราชอาณาจักรสยาม" ของ เดอ ลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ซึ่งเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อสมัยพระนารายณ์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๒๙-๒๒๓๑ (de La Loubere, Du Royaume de Siam, Tome I, Amsterdum, 1691, pp. 15-17.  ภาษาไทยดู จดหมายเหตุลาลูแบร์, กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงแปล, ฉบับพิมพ์คุรุสภา ๒๕๐๕, เล่ม ๑ หน้า ๒๓-๒๕.)
 
 ชื่อ เซียม (siam) นั้น ไม่เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวเซียม คำนี้เป็นคำหนึ่งในบรรดาคำที่พวกโปรตุเกสในอินเดียใช้กัน, และก็เป็นคำที่ยากจะค้นหารากเหง้าที่มาของมันได้  พวกโปรตุเกสใช้คำนี้เป็นชื่อเรียกชนชาติ มิใช่เป็นชื่อราชอาณาจักร.....อนึ่งใครก็ตามที่เข้าใจภาษาโปรตุเกสย่อมรู้ดีว่า รูปคำที่โปรตุเกสเขียนคำนี้เป็น Siam บ้างและ Siao บ้างนั้น เป็นคำเดียวกัน  และถ้าจะเอาคำโปรตุเกสนี้มาอ่านออกเสียงตามอักขรวิธีของฝรั่งเศสเราแล้วก็ต้องออกเสียงว่า ซียอง (Sions) มิใช่เซียม (Siams); เช่นเดียวกัน เมื่อเขียนเป็นภาษาละติน ก็เรียกชนชาตินี้ว่า ซิโอเน (Siones)
 
 ชื่อจริงของชาวเซียมแปลว่า ฟรองซ์
 
 ชาวเซียมนั้นเรียกตัวเองว่า ไท (Tai), หมายความว่า อิสระ, ตามความหมายของคำในภาษาของเขาซึ่งยังมีความหมายเช่นนั้นมาจนทุกวันนี้  ชาวเซียมมีความภูมิใจที่ใช้คำนี้เช่นเดียวกันกับบรรรพบุรุษของเราซึ่งใช้นามว่า ฟรองซ์ (Franc) เมื่อได้กอบกู้อิสระภาพของชาวกอลให้หลุดพ้นจากอำนาจครอบครองของโรมันมาได้  ผู้ที่รู้ภาษามอญ (Pegu) ยืนยันว่าคำ เซียม ในภาษามอญนั้นแปลว่า อิสระ ถ้าเช่นนั้นบางทีคงจะเป็นไปได้ว่าชาวโปรตุเกสยืมคำนี้มาจากภาษามอญ, น่าจะเป็นว่าได้รู้จักชาวเซียมโดยผ่านชาวมอญอีกที   แต่อย่างไรก็ดี นาวารเรต (Navarrete) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรจีน (Traitez Historique du Royaume de la Chine) บทที่ ๑ ตอนที่ ๕ ว่า ชื่อ เซียม, ซึ่งนายนาวาเรตเขียน เซียน (Sian) นั้น, มาจากคำสองคำคือ เซียนหลอ (Sian-lo), แต่หาได้อธิบายไว้ไม่ว่าคำทั้งสองนี้มีความหมายว่ากระไร, ทั้งก็มิได้บอกไว้ว่าเป็นคำภาษาอะไร, ชวนให้เราเข้าใจว่า นายนาวาเรตถือว่า คำทั้งสองนั้นเป็นภาษาจีน...
 
 ซึ่ง จิตร ภูมิศักดิ์ ได้อธิบายที่มาของคำว่า Siam ไว้ในเชิงอรรถ โดยย้ำว่า ฝรั่งชาติแรกที่ใช้คำ ๆ นี้เรียก่คนไทยคือ โปรตุเกส หาใช่ ฮอลันดา ไม่
 
 Siam อันเป็นชื่อที่ฝรั่งเรียกไทยน้อยพวกเราทุกวันนี้ ฝรั่งได้คำนี้ไปโดยผ่านชาวมลายูซึ่งเรียกไทยว่า เซียม. พวกโปรตุเกสมารู้จักคำนี้ก่อน ต่อมาก็เป็นเดนมาร์ค, ฮอลันดา และฝรั่งเศส ซึ่งก็ออกเสียง เซียม ทั้งนั้น. อังกฤษเป็นพวกมาทีหลัง เห็นทีจะไม่รู้ว่า Siam นั้นประสงค์จะให้ออกเสียง เซียม หรือมิฉะนั้นก็ออกเสียงไม่ถนัดปาก จึงเอาไปอ่านเป็น ไซเอิม หรือ ไซแอม แปลกพวกออกไป.
 
 เพ็ญชมพู:
 ที่ ลาลูแบร์ กล่าวว่า คนไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเรียกตัวเองว่า ไท ไม่ใช่ เซียม หรือ สยาม นั้น เป็นความจริงในระดับคนรากหญ้าเท่านั้น สำหรับคนชั้นสูงได้แก่ชนชั้นปกครองและนักปราชญ์ราชบัณฑิต ได้ใช้คำ ๆ นี้เรียกตนเองมานานแล้วดังหลักฐานใน # ๑ โดยเฉพาะในวงการพระพุทธศาสนา
 
 บทที่ ๑๗ สยาม-ความเป็นมาในภาษาไทย
 
 จิตร ภูมิศักดิ์ ได้อธิบายไว้ว่า
 
 ชื่อที่ชนต่างชาติเรียกคนไทว่า ซาม-เซียม นั้น ปรากฏขึ้นในภาษาไทยทางวงการนักปราชญ์ภาษาบาลีก่อน คือเรียกเป็นภาษาบาลีว่า สาม หรือ สฺยาม
 
 ในยุคโบราณ ภาษาบาลีเป็นภาษาต่างประเทศที่นักศึกษาจะต้องเรียนเป็นภาษาเอก ทั้งในประเทศไทย, มอญ, พม่า, ลาว (รวมทั้งกัมพูชาในยุค พ.ศ. ๑๙๐๐ ลงมา) ศูนย์กลางของภาษาบาลีในยุคโบราณคือ ลังกา  ภิกษุไทย-มอญ-พม่าล้วนไปศึกษาธรรมวินัยจากที่นั่นจนเกิดนิกายพุทธศาสนาที่เป็นแบบลังกาขึ้นในบริเวณมอญ-พม่า-ไทย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๖๐๐
 
 วงการภาษาบาลีของลังกานั้น เรียกเมืองไทยว่า สฺยาม หรือ สาม การติดต่อระหว่างไทยกับลังกาในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวที่ไทยส่งพระอุบาลีออกไปตั้งนิกายสยามวงศ์ เมื่อพ.ศ. ๒๒๙๕ นั้น สาส์นติดต่อซึ่งเขียนเป็นภาษาบาลีทั้งสองฝ่ายก็ใช้คำ สยาม และสาม ระคนกัน
 
 ในสมัยสุโขทัย มีภิกษุสงฆ์ของไทยทั้งในล้านนาและสุโขทัยไปศึกาพระธรรมวินัยในลังกามาก เป็นต้นว่าทางสุโขทัยก็มีพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามณีศรีรัตนลังกาทวีป หลานของพ่อขุนผาเมือง ทำให้เข้าใจว่าวงการบาลีของลังกาจะได้เรียกคนไทยว่า สาม-สยาม มาแล้วแต่ครั้งนั้น หรือแม้ก่อนหน้านั้น
 
 ภาษาบาลีนั้นเป็นภาษาต่างประเทศ เมื่อวงการพุทธศาสนาไทยใช้ภาษาบาลี การจะพูดถึงเมืองไทยก็ย่อมต้องใช้คำของบาลีที่ใช้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปทั้งในลังกาและที่อื่น จึงเชื่อว่าพวกนักปราชญ์ภาษาบาลีของเมืองไทย, ทั้งล้านนาและสุโขทัย, น่าจะรับเอาคำ สยาม หรือ สาม มาจากบาลีลังกาอีกทอดหนึ่งมากกว่าจะคิดขึ้นเองในประเทศนี้
 
 ในบที่ ๘ ได้เคยกล่าวแล้วว่า สามเทสะ เป็นชื่อบาลีที่ใช้เรียกดินแดนเหนือปากแม่น้ำปิงขึ้นไป, คือบริเวณอาณาจักรหริภุญชัย, เมื่อราว พ.ศ. ๑๕๐๐-๑๕๕๐, ซึ่งในระยะเดียวกันนั้นเอง เราได้พบ สฺยำ-สฺยามฺ ในจารึกจามปา. และก่อนหน้านั้นขึ้นไปจนถึงใน พ.ศ. ๑๑๘๒ เราก็ได้พบชื่อ สฺยำ ในจารึกเขมรสมัยก่อนนครหลวง. ยุคนั้น สามเทสะ หรือ สยามเทสะ ใช้อยู่ในบริเวณล้านนาเท่านั้น ยังไม่คลุมลงมาถึงแคว้นละโว้ทางใต้.
 
 ตกมาถึงสมัยสุโขทัย ศูนย์กลางอำนาจของไทยภาคเหนือกระจายออกเป็นนครรัฐขนาดเล็กหลายนครรัฐ เช่น เชียงใหม่, เชียงแสน, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, น่าน, พลัว (ปัว) ฯลฯ. อำนาจทางการเมืองที่รวมศูนย์ที่สุดและกว้างขวางที่สุดคือ สุโขทัย. ซึ่งยังมิได้รวมถึงแคว้นละโว้. คำว่า สามเทสะ หรือ สยามเทสะ จึงเคลื่อนลงมาหมายถึงกรุงสุโขทัยหรืออาณาจักรสุโขทัย. ระยะนี้เองที่จีนเรียกสุโขทัยว่า ประเทศเซียน, ซึ่งก็หมายถึง สฺยาม.
 
 สามเทสะ หรือ สยามเทสะ ใช้หมายถึงสุโขทัยอยู่ไม่นานก็เลื่อนความหมายลงมายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา. เมื่อกรุงศรีอยุธยาเกิดเป็นศูนย์กลางขึ้นในแคว้นละโว้เดิมใน พ.ศ. ๑๘๙๓ และได้ยึดครองเอาอาณาจักรสุโขทัยเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐, คำว่า สยาม ก็เลื่อนลงมาหมายคลุมหมดทั้งสุโขทัยและศรีอยุธยา, และมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาแห่งเดียว.
 
 เมื่อศูนย์กลางของสยามเลื่อนมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาแล้ว, ทางอยุธยาก็เลยผูกขาดคำว่า สยาม เสียเลย ว่าจะต้องหมายความเพียงในขอบเขตอาณาจักรศรีอยุธยาเท่านั้น. พวกคนไทยในภาคเหนือ ในเขตแคว้นลำพูน-เชียงใหม่ ซึ่งเคยเป็น สามเทสะ มาแต่อดีตนั้น ถูกกีดกันออกไปนอกวงนอกชื่อ, ไม่ยอมเรียก สยาม หากเรียกว่า ยวน (คือไทยโยนก-ไตโยน) ในลิลิตยวนพ่าย มีโคลงบอกไว้ท้ายเรื่องบทหนึ่งว่า :
 
 สยามกวนยวนพ่ายแพ้  ศักดยา......
 
 ในที่นี้ สยาม คืออาณาจักรศรีอยุธยา คือ คนไทยใต้, ส่วนยวนคือคนไทยพายัพ หรือ ไตโยน (ไทยโยนก). ชื่อ ยวนพ่าย ก็หมายถึงชาวยวนหรือไทยโยนกนี้เอง.
 
 ในระยะ พ.ศ. ๑๙๕๐ ลงมา ไทยเราเริ่มได้ติดต่อกับประเทศทางยุโรป เริ่มต้นด้วย โปรตุเกส, เดนมาร์ก ต่อมาก็ฮอลันดา, ฝรั่งเศส และอังกฤษ. ฝรั่งเหล่านั้นคืบคลานผ่านอินเดีย, พม่า-มอญ และชวา-มลายู เข้ามายังไทยแห่งกรุงศรีอยุธยา จึงพากันเรียกคนไทยอยุธยาว่า เซียม (Siam) ตามคำของชนชาติต่าง ๆ ในบริเวณนี้. ขณะเดียวกันก็ถือเอาคำ เซียม (Siam) เป็นชื่อเรียกอาณาจักรศรีอยุธยาไปด้วย. (อังกฤษเป็นพวกมาทีหลัง เห็นทีจะไม่รู้ว่า Siam นั้นประสงค์จะให้ออกเสียง เซียม หรือมิฉะนั้นก็ออกเสียงไม่ถนัดปาก จึงเอาไปอ่านเป็น ไซเอิม หรือ ไซแอม แปลกพวกออกไป)  แต่แม้ว่าพวกฝรั่งที่เข้าติดต่อค้าขายจะเรียกอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาว่า Siam, ทางไทยก็ยังไม่สนใจที่จะใช้นาม สยาม หรือ สามเทสะ เป็นชื่อประเทศในการติดต่อต่างประเทศ. ยังคงเรียกตัวเองวา กรุงเทพมหานครศรีอยุธยา หรืออะไรที่ยืดยาวทำนองนั้น โดยมีชื่อ ศรีอยุธยา อยู่ข้างใน. เช่นใน "พระราชสาส์นและราชมงคลประณามการ" ของพระเอกาทศรถซึ่งมีส่ง "ไปถึงทองฝิหลิบพระยาประตุการ" (Don Philippe แห่งโปรตุเกส) เมื่อราว พ.ศ. ๒๑๖๑, เรียกประเทศทั้งสองว่า :
 
 "แผ่นดินเมืองประตุการแลแผ่นดินกรุงพระมหานครทวารวดีศรีอยุธยา."
 
 (จาก การต่างประเทศในแผ่นดินพระเอกาทศรถ, ขจร สุขพานิช, วารสารศิลปากร ปีที่ ๔ เล่ม ๔, มกราคม ๒๕๐๔)
 
 คำ สยาม ที่ใช้เป็นชื่อเรียกอาณาจักรทั้งหมด โดยใช้เป็นทางการอย่างเด็ดขาด แทนคำว่า กรุงเทพมหานครฯ นั้น มาเริ่มในสมัยรัชกาลที่ ๔.  หลังจากสมัยรัชกาลที่ ๔ แล้ว คำ สยาม ก็ใช้เป็นชื่อของราชอาณาจักรไทยเรื่อยมา. รัชกาลที่ ๕ เมื่อลงพระนามก็มักใช้คำว่า สยามมินทร์ (ผู้เป็นใหญ่แห่งสยาม) แต่ถึงอย่างไรก็ตามความหมายของคำว่า สยาม ก็ยังคับแคบอยู่เพียงบรรดาหัวเมืองที่ขึ้นตรงต่อราชสำนักสยามเท่านั้น ส่วนเมืองที่เป็นประเทศราชอย่างประเทศเชียงใหม่, หรือเมืองที่เป็นนครรัฐ อย่างนครลำพูน ยังมีฐานะเป็นเมืองของท้าวพระยาสามนตราช มิได้รวมอยู่ในความหมายของคำ สยาม, หากรวมอยู่ในเขตอิทธิพลทางการเมืองของสยาม.
 
 ข้อนี้จะเห็นได้ชัดจากเอกสารทางราชการเก่า ๆ ในยุคนั้นเช่นในสำเนาร่างประกาศตั้งกงสุลเมืองสิงคโปร์ สมัยรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๐๖ ดังนี้ :
 
 "สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยามซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ที่ ๔ ในพระบรมราชวงศ์นี้ และเป็นเจ้าเป็นใหญ่ครอบครองพระราชอาณาจักรสยามราษฎร แวดล้อมด้วยนานาประเทศราชชนบทต่าง ๆ ทุกทิศ คือ ลาวโยน ลาวเฉียง ในทิศพายัพแลอุดร ลาวกาวแต่ทิศอีสานจนบูรพ์ กัมโพชาเขมรแต่บูรพ์จนอาคเนย์ เมืองมลายูเป็นอันมากแต่ทิศทักษิณจนหรดี แลบ้านเมืองของกะเหรี่ยงบางเหล่าแต่ทิศปจิมจนพายัพและข่าซองและชาติต่าง ๆ อื่น ๆ อีกเป็นอันมาก...."
 
 จะเห็นว่า ข้อความสีแดงนั้น คือการพรรณนาถึงพวกเมืองขึ้น ดังมีรายการต่อไปอีกยืดยาว. ดูตามนี้แล้ว บริเวณที่เรียกว่าสยามแท้ ๆ (Siam proper) คือบริเวณภาคกลางของประเทศไทยเท่านั้น นอกนั้นออกไปคือ ประเทศราชชนบทต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองทางการเมืองของสยาม.
 
 http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3004.0;wap2