Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...

เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28 October 2025, 19:10:04

Title: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนสอง บทที่ 1-5
Post by: ppsan on 28 October 2025, 19:10:04
นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนสอง บทที่ 1-5


https://vajirayana.org/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8
https://vajirayana.org/อุบัติเหตุ


(https://vajirayana.org/sites/vajirayana/files/cover-0620-base.jpg)


ครองใจอยู่ในอุเบกขา

..

​ครองใจอยู่ในอุเบกขา

อุตส่าห์ในศุภกิจให้ผลิตผล

ค้ำจุนผู้อ่อนแอแลอับจน

แต่ส่วนตนอย่าต้องของ้อผู้ใด

ชีวิตนี้มิได้ผิดฟองสบู่

เราอยู่เพื่อทำทุนไว้ชาติใหม่

กรุณาผู้ลำบากตกยากไร้

เข้มแข็งในเมื่อทุกข์มาถึงตัว

.....

อุบัติเหตุ

ตอนหนึ่ง   ๑-๒๕

ตอนสอง   ๑-๗

.....



Title: Re: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5
Post by: ppsan on 28 October 2025, 19:11:45



วันคืนล่วงไปเรื่อยๆ จนย่างเข้าฤดูฝนอีกรอบหนึ่ง ในฤดูนี้ หลวงชาญยนตรกิจเคยออกจากพระนครมาพักที่หัวหินเกือบทุกปี

บางปีเขามาทั้งครอบครัว คือมีภรรยามาด้วย คำว่าภรรยามาด้วยนี้ ย่อมหมายถึงว่าญาติของภรรยาสหายของภรรยาก็มาด้วยอีกคน เพราะหัวหินในฤดูฝนเป็นหัวหินที่ค่อนข้างเงียบเหงา เป็นธรรมดาที่ผู้มาพักย่อมเตรียมหาเพื่อน เพื่อแก้เหงาให้แก่ตัว ดังนี้ หลวงชาญฯ ก็เช่าบ้านให้ใหญ่หน่อย สำหรับเป็นที่พัก เพื่อความสะดวกของตนเองและเพื่อความสะดวกของผู้ที่มาพักร่วมด้วย

บางปีภรรยาของเขาไม่อยากย้ายสถานที่ หลวงชาญฯ ก็เลือกได้เพื่อนของเขาเอง สองคนหรือสามคนหรือสี่คนชวนกันมาพักในบ้านที่เล็กหน่อย หุงหาบริโภคเองบ้างอาศัยร้านที่สะอาดหรืออาศัย​โฮเต็ลเป็นที่บริโภคบ้าง แล้วแต่ความตกลงระหว่างเพื่อนด้วยกัน ฆ่าเวลาด้วยการกีฬาทั้งนอกร่มและในร่ม และบางทีก็ลงเรือใบไปเที่ยว หรือไปยิงสัตว์ หรือต้อนกระต่ายป่า

เฉพาะปีนี้ หลวงชาญฯ กับสุทัศน์ได้ตกลงกันล่วงหน้าไว้นาน ว่าเขาจะพยายามมาหัวหินพร้อมกัน และพักอยู่ด้วยกัน การที่ตกลงล่วงหน้าไว้นานเช่นนี้ ทำให้หลวงชาญฯ ต้องพักอยู่กับสุทัศน์เพียงสองต่อสอง เพราะนายแพทย์สุทัศน์ได้กล่าวแก่หลวงชาญฯ อย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมมีเพื่อนมากก็จริง แต่ไม่ชอบคลุกคลีกับใคร นอกจากคนที่ผมสนิทสนมด้วยจริงๆ”

และหลวงชาญฯ กับสุทัศน์นี้เป็นเพื่อนที่คบกันได้เพราะอุดมคติต้องกันอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง เพราะมีนิสัยตรงกันข้ามกันอย่างที่จะเป็นน้ำหนักถ่วงกันได้พอเหมาะพอดีในเมื่อเอาขึ้นตาชั่งคู่กันแล้ว

กล่าวคือ สุทัศน์ยังมีนิสัยเป็นเด็กหนุ่มเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หลักเกณฑ์การดำเนินชีวิตยังตรงแนวอยู่ในหลักจรรยาที่เขาได้รับการอบรมมาแต่ก่อน เกลียดกลัวความชั่วทุกชนิด และให้อภัยความผิดของบุคคลได้ยาก ส่วนหลวงชาญฯ เป็นผู้ที่ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกเป็นจริงเป็นจัง จนถึงกับปล่อยให้จิตใจไปเก็บมาคิดมาฝันเป็นกังวล โดยนัยนี้ เขาไม่ค่อยเชื่อในความดีวิเศษของมนุษย์ และเมื่อได้ประสบพบเห็นความผิดที่มนุษย์กระทำก็ไม่คิดพิศวง

เพราะฉะนั้นหลวงชาญฯ จึงเป็นผู้ที่คบใครคบได้ และเขาเป็นผู้ที่มักจะตามใจเพื่อนอยู่เสมอ ก็ล้มความคิดที่จะหาเพื่อนร่วม​ที่พักเป็นคนที่สองที่สามต่อไป

ครั้นเมื่อมาถึงแหลมหินแล้ว หลวงชาญฯ ได้พบเพื่อนที่มาพักอยู่ก่อนหลายคน เขาชักชวนให้สุทัศน์ไปเข้าหมู่เพื่อนเหล่านั้นด้วย สุทัศน์ไม่ขัดข้อง เพราะการคบเพียงเที่ยวด้วยกันรับประทานอาหารด้วยกันชั่วมือสองมื้อหรือเล่นกีฬาด้วยกัน ไม่หมายความว่าผู้คนทั้งสองฝ่ายจะต้องเป็นเพื่อนสนิทแก่กันอย่างแท้จริง

วันนี้ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่เช้า แต่พอบ่ายจัดฝนก็หาย หลวงชาญฯ กับสุทัศน์ก็เพิ่งลุกจากวง ‘โพ้กเคอร์’ มานั่งดื่มเบียร์อยู่ที่ร้านเล็กๆ ใกล้หาด

ตอนหนึ่งหลวงชาญฯ เอ่ยขึ้นว่า

“ใครคนหนึ่งบอกผมเมื่อกลางวันว่า คุณสุนทรีจะมาหัวหินรถด่วนใหญ่คืนวันนี้”

สุทัศน์ผู้ซึ่งนั่งทอดตัวพิงเก้าอี้อยู่ในกริยาของคนง่วง และเบื่อตัวเองอย่างที่สุดนั้น ผงกศีรษะขึ้นทันทีพร้อมกับถามอย่างทึ่ง

“ใครเป็นคนบอก?”

หลวงชาญฯ นิ่งคิด

“จำไม่ได้” เขาว่า “นึกไม่ออก เอ ! เมื่อกลางวันผมไปพบใครที่ไหนบ้าง?”

“เมื่อกลางวันหรือเมื่อเช้า กลางวันผมก็เห็นแต่พวกที่จ้ำโพ้กเค่อร์อยู่กับเรานั่นแหละ ไม่เห็นมีใครที่ไหนอีก”

“ถ้ายังงั้นคงเป็นเมื่อเช้า ใครนะ? เมื่อเช้าพบใครมั่งที่ตลาด อ้อ ! นายเทียม ! นายเทียม เมียนายเทียมเป็นคนบอก”

​สุทัศน์ทอดศีรษะลงกับพนักเก้าอี้ดังเก่า พูดว่า

“ผมรู้แต่ว่า คุณพระวนศาสตร์ฯ จะมาแน่ ผมเองแหละเป็นคนบอกให้มา อยากให้ท่านมาพักรักษาตัวเสียสักพักหนึ่ง แต่จะมาเมื่อไหร่แน่ยังไม่รู้ ท่านบอกแต่ว่าท่านจะมาให้ทันพบผมที่นี่”

“ผมไม่ยักมีโอกาสรู้จักท่านผู้นี้ เคยแต่เห็น รู้ว่าท่านเป็นใคร?”

“เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ” สุทัศน์กล่าวช้าๆ “ใจใหญ่มาก แต่เป็นคนขรึมหน่อยๆ อะไรๆ ก็เฉยเรื่อยตรงกันข้ามกับเมีย” แล้วสุทัศน์ก็หัวเราะ

“คุณเห็นจะคุ้นเคยกับที่บ้านนั้นมาก”

“คุ้นมาก เกินกว่าที่หมอกับคนไข้ที่เคยรักษากันเพียงพักสองพักควรจะคุ้น ผมรักนิสัยพระวนศาสตร์ฯ” เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเสริม “แต่ผมไม่เข้าใจอะไรของท่านบางอย่าง”

“เป็นต้นว่าอะไร?” หลวงชาญฯ ถาม

สุทัศน์สั่นศีรษะน้อยๆ แล้วก็ตอบว่า

“พูดไม่ถูก”

ความชื้นแฉะและพยับโพยมแห่งอากาศ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองมีความครุ่นคิดไปในแง่ที่ใกล้กับความเปล่าเปลี่ยวและเงียบเหงาในอารมณ์ จึงนิ่งเงียบไปด้วยกัน ภายหลังหลวงชาญฯ เป็นผู้พูดให้ก่อน

“ผมเคยเห็นสุนทรีครั้งแรกที่หัวหินนี่เอง รู้จักกันก็ที่หัวหินนี่แหละ ประจิตรเขาแนะนำ”

​“ผมรู้จักที่สนามม้า คุณหลวงเป็นคนแนะนำ พบกันครั้งที่สองที่บ้านเขา ผมไปหาประจิตรเรื่องอะไรก็ลืมเสียแล้ว ยังพบคุณหลวงอยู่ที่นั่นด้วย”

“ผมจำไม่ได้” หลวงชาญฯ ตอบเรื่อยๆ

สุทัศน์นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า

“ผมยังเคยนึกว่าคุณหลวงรักสุนทรี”

หลวงชาญฯ มิได้ถอนสายตาจากมือของเขาที่กำลังลูบคลำถ้วยแก้วเบียร์ ตอบอยู่ในใจว่า “ทายเก่งพอใช้” แล้วความจำข้อหนึ่งเกิดขึ้นซ้อนความคิดนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองดูสนทนาแล้วกล่าวเป็นเชิงถาม

“ดูเหมือนคุณก็เคยบอกกับผมว่า คุณสงสัยว่าแสงกับนายแมนรักสุนทรี”

สุทัศน์ไม่ตอบคำถามโดยตรง พูดต่อไปเป็นกลางๆ

“เมื่อแรกรู้จักกันใหม่ๆ ผมนึกว่าประจิตรกับสุนทรีเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ที่หลังเป็นนานถึงได้รู้ว่าเขาเป็นกันยิ่งกว่าพี่น้อง” แล้วสุทัศน์ก็หัวเราะมีกระแสเสียงค่อนข้างขุ่น

หลวงชาญฯ ไม่ตอบ และการนิ่งของหลวงชาญฯ ทำให้สุทัศน์อัดใจ เพราะสุทัศน์พูดด้วยมีความต้องการอย่างแรงกล้า ในอันที่จะฟังความเห็นบางประการจากคู่สนทนา

เป็นครู่หนึ่งหลวงชาญฯ จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ

“ยั่วยวนเป็นที่หนึ่ง”

“ผมเกลียดคนยั่วยวน” สุทัศน์สวนคำขึ้นทันที

​“เกลียดแต่เวลาที่เป็นของคนอื่นน่ะซี เป็นของตัวขี้คร้านจะหลง”

“ผมเกลียดคนยั่วยวน” สุทัศน์ยื่นคำอย่างดุดันเน้นคำหนักยิ่งขึ้น “ดูราวกับจะตั้งใจปั่นหัวผู้ชายเล่นเสียทุกคน”

“ผมกำลังพูดถึงคุณสุนทรีนะ” หลวงชาญฯ บอก

“นั่นแหละ เกิดมาไม่เคยเห็นใครยั่วยวนเท่า”

“เออ ! ถ้ายังงั้นผมเห็นจะใช้คำพูดหนักไป ขอเปลี่ยนเสียใหม่เถอะ เป็นคนมีเสน่ห์มาก พราวไปทั้งตัวแต่ผมไม่โทษว่าแกแกล้งทำมันขึ้น”

“ผมเกลียดผู้หญิงคนนั้น” สุทัศน์ว่าอีก “เข้าใกล้ราวกับเข้าใกล้ไฟ”

หลวงชาญฯ รู้สึกว่าคำพูดนั้นอยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวขวัญ นึกรำคาญจึงว่า

“ผู้หญิงมีความร้อนของไฟอยู่ในตัวทุกคน แต่ความเย็นของน้ำเขาก็มีอยู่เหมือนกัน มันแล้วแต่คนที่ไปเข้าใกล้เขาต่างหาก เข้าถูกก็เย็น เข้าผิดก็สมน้ำหน้า” แล้วเกิดความไหวพริบในน้ำคำของสุทัศน์ ก็มองจับตาเขาแล้วถามตรงๆ “คุณนี่ก็คงรักสุนทรีเหมือนกัน?”

สุทัศน์ขยับตัวโดยแรง ผิวหน้าแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว อึกอักเป็นครู่จึงเกิดความฉลาด ย้อมถามแกมหัวเราะ “เหมือนกัน ! เหมือนกันกับใคร?”

“เหมือนกันกับผม” หลวงชาญฯ ตอบตรงอีก และเมื่อได้​สารภาพออกมาเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความสมเพชตัวเองพร้อมกับนึกเมตตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่เฉพาะหน้า จึงชี้แจงต่อไปว่า

“ถ้าจะพูดกันตามตรงทีเดียว จะว่าไม่เคยรักก็ได้คือไม่ทันได้รัก เป็นแต่ตาลายไปชั่วคราวแล้วก็หาย”

“ตั้งแต่เมื่อไรนี่?”

“นานแล้ว ตั้งแต่แรกรู้จักกันใหม่?”

“แล้วยังไงอีกล่ะ?”

“แล้วก็เกิดความรู้ขึ้นว่าเขามีเจ้าของ เราเองก็มีเจ้าของเหมือนกัน แปลว่ากันชนทั้งหน้าทั้งหลัง”

“พอรู้สึกอย่างนั้นก็หายรักเทียวหรือ?”

หลวงชาญฯ หัวเราะแล้วว่า

: “ก็บอกแล้วยังไงว่ายังไม่ทันได้รัก เป็นแต่ตาลายไป”

“เอาเถอะน่ะ พอรู้ความจริงแล้วก็หายเป็นปลิดทิ้งเทียวหรือ?”

อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มเชื่อแน่ว่า ความสนใจของสุทัศน์เป็นความสนใจนอกเหนือความสนใจสามัญ ที่บุคคลพึงมีต่อคำพูดของคู่สนทนาเสียแล้ว นึกขึ้นก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังแล้วว่า

“นี่เรื่องอะไรผมถึงจะมานั่งปรับทุกข์ให้ชู้ฟัง”

“เอาเถอะน่ะ” สุทัศน์กล่าวอย่างร้อนรน “ผม.....ผม...ผมอยากรู้”

หลวงชาญฯ หัวเราะอีก แล้วจึงเล่าต่อไป

“พอได้สติก็เสียอกเสียใจไปพักหนึ่ง” หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าครั้งก่อน “บ้า ! มนุษย์เรานี่มีเวลาบ้าได้มาก ๆ แล้วทีหลังก็ตีห่าง ​พยายามไม่พบไม่ปะ จนกระทั่งโลกหมุนให้เผอิญไปพบกันเข้าอีก ที่ไหนก็ไม่รู้จำไม่ได้เสียแล้ว เอ๊ะ พบทีนี้ดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร ยังเห็นว่าแกมีความน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ในตัวมาก แต่ไม่ทุรนทุรายที่จะเอามาเป็นของตัว ออกจะพอใจเพียงแต่อาศัยคนอื่นเขาชมอยู่ห่างๆ”

สุทัศน์ดื่มเบียร์รวดเดียวหมดถ้วย แล้วลุกขึ้นเดินส่ายไปมา แล้วนึกขึ้นได้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่สาธารณะใช่ที่ๆ ตนจะทำกิริยาอันผิดปกติ ก็กลับนั่งลงดังเก่า

หลวงชาญฯ ดื่มเบียร์หมดถ้วยแล้วเหมือนกัน มองดูสหายนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองทางหาดทรายแล้วก็ปรารภขึ้นว่า

“วันนี้ไม่มีคนอาบน้ำเลย ท่าจะกลัวแมงกะพรุน เราไปอาบกันไหม?”

ดูเหมือนสุทัศน์จะไม่ได้ยินคำพูดนี้ หรือหูของเขาได้ยิน แต่สมองของเขาไม่ยอมทำความเข้าใจด้วยเขาพูดขึ้นว่า

“ผมไม่เข้าใจคนสองคนนั่น”

“สองคนไหนอีกล่ะ?” อีกฝ่ายหนึ่งถาม

“ที่เขาพูดค้างอยู่น่ะ”

“สุนทรี?”

“นั่นแหละ”

“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”

“ก็จะมีใคร พ่อประจิตรของเขาน่ะซี”

“ไม่เข้าใจเขาว่ายังไง?”

“ไม่เข้าใจผู้หญิงมากกว่า อยู่ด้วยกันกับ.....คู่หมั้น จะแต่ง​งานแต่งการกันเสียก็ไม่แต่ง แล้วก็ไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดว่าเป็นคู่หมั้นกัน....หรือเขาจะเป็นพวกสมัยใหม่ ถือว่าการแต่งงานเป็นเครื่องผูกมัดเกะกะ สู้อยู่ด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้ นึกจะเลิกกันเมื่อไหร่จะได้เลิกง่ายๆ”

ทั้งที่หลวงชาญฯ มีความเห็นที่กว้างมาก หดได้ยืดได้ตามกรณี เขาก็อดนึกไม่พอใจในการคาดคะเนของสุทัศน์มิได้ จึงพูดด้วยเสียงค่อนข้างแข็ง

“ทำไมคุณถึงไปนึกเชื่อว่า ผู้หญิงสาวผู้ชายหนุ่มจะอยู่บ้านเดียวกันโดยสุจริตใจไม่ได้?”

“ผมไม่ได้เชื่อ” สุทัศน์ค้านเสียงแข็งเหมือนกัน “ผมปรารภเท่านั้นเอง ก็เมื่อเป็นคู่หมั้นคู่รักผมก็เห็นมันผิดวิสัยที่จะอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีอะไรกันเลย ถ้าจะนับกันอย่างพี่น้องก็ให้มันรู้ไปซี นี่คุณหลวงเองก็รับว่าประจิตรเป็นเจ้าของสุนทรี ผมเองก็รู้มาจากทางแม่เลี้ยงสุนทรีว่าเป็นเช่นนั้นจริง”

“มันอาจจะเป็นแต่เพียงความตั้งใจของผู้ใหญ่ที่ตายไปแล้วก็ได้ หรือเมื่อตอนแรกเขาอาจจะรักกัน แต่ทีหลังต่างคนต่างเห็นว่า นิสัยของตัวไม่ถูกกันก็ได้....”

“ไอ้การรออย่างนี้ วันหนึ่งมันอาจจะพลาด.....”

“ก็พลาดแล้วยังไง พ่อประจิตรเกิดมีเมีย....”

“นั่นน่ะซี มันถึงดูเป็นเรื่องลึกลับยิ่งขึ้น แล้วทีนี้คนสวยของคุณหลวงจะออกไม้ไหน?”

น้ำคำและน้ำเสียงของสุทัศน์ ทำให้หลวงชาญฯ นึกจำความ​รู้สึกของตนในสมัยที่กำลัง ‘ตาลาย’ ขึ้นได้อย่างถนัดถนี่ เกิดความเห็นอกชายหนุ่มเลือดร้อนผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของตน จึงพูดว่า

“คอยดูเขาไปก็แล้วกัน เขาจะออกไม้ไหน เผื่อ...บางทีผู้หญิงคนนี้จะเป็นเนื้อคู่ของคุณก็ได้ ผมจะดีใจด้วยมากๆ” แล้วหลวงชาญฯ ก็หัวเราะ

สุทัศน์รู้สึกคล้ายกับหัวใจพองโตขึ้น รีบกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวโดยหันไปเรียกเบียร์จากผู้ขายอีกขวดหนึ่ง

“เอ๊ะ !” หลวงชาญฯ ทัก “จะเอาอีกหรือ? สองขวดแล้วนะ”

“อีกขวดเถอะ” สหายของเขาตอบ

“เดี๋ยวจะค่ำไป ไม่ได้อาบน้ำทะเลหรอก”

“อาบบนบกดีกว่า วันนี้ผมขี้เกียจ”

“งั้นก็ตามใจ ดีเหมือนกัน นั่งจมมันอยู่ที่เดียวยังงี้แหละ” แล้วหลวงชาญฯ ก็เอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ และเหยียดขายาวออกไปใต้โต๊ะ

เมื่อสุทัศน์กำลังรินเบียร์ใสใส่ถ้วยของเพื่อน แล้วใส่ในถ้วยของตัวเองด้วย หลวงชาญฯ พูดขึ้นอีกว่า

“เออ ! สีเขียวๆ แดงๆ ชักจะมีขึ้นประปรายแล้ว ผ่านมาให้ชมแก้เหงาหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

สุทัศน์นั่งอยู่ตรงข้ามกับหลวงชาญฯ เบือนหน้าไปดูอย่างเสียไม่ได้ แล้วก็เบือนกลับมาทางเก่า

อีกครู่หนึ่งต่อมาเขาเกือบสะดุ้ง เมื่อได้ยินหลวงชาญฯ พูด​ขึ้น

“เอ๊ะ เอ๊ะ พูดถึงเสือ เสือมา พูดถึงช้าง ช้างมา นี่พูดถึงเทวดา เทวดาก็มาด้วยหรือไหนว่าจะมารถด่วนกลางคืนยังไง?”

ได้ยินคำสุดท้าย สุทัศน์หันขวับไปดูตามทางที่สายตาหลวงชาญฯ จับอยู่ แต่แล้วก็หันกลับมามองดูถ้วยเบียร์ถามเนือยๆ ว่า

“เทวดาของคุณหลวงนี้ใครกันนะ?”

“เทวธิดา ผมพูดผิดไป” หลวงชาญฯ ตอบหัวเราะ “แหม! เด็กตามเป็นฝูง ไปหอบเอาลูกใครที่ไหนมามั่ง” พูดแล้วหลวงชาญฯ ก็ลุกขึ้นยืน

สุทัศน์เคืองตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าใจของตัวเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด พึมพำอยู่ในคอว่า

“แดมน์ฟูล !”

หลวงชาญฯ เดินห่างไป สุทัศน์สะกดใจไว้มั่น ไม่หันตามไปดู เขาดื่มเบียร์หมดไปครึ่งถ้วยแก้ว แล้วพยายามจะดื่มอีก แล้วรู้สึกว่าท้องอิ่มจนจะกลืนสิ่งใดไม่ได้ก็สาดเบียร์ที่เหลืออยู่ทิ้งเสีย

ในระหว่างนั้นหลวงชาญฯ กับสุนทรีต่างเดินเข้าใกล้กัน สุนทรีจำหลวงชาญฯ ได้ก็โบกมือให้เขาด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม

เมื่อถึงระยะที่พูดกันได้ยิน หลวงชาญฯ พูดขึ้นก่อนว่า

“ไหนว่าจะมารถด่วนกลางคืน ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปรับ”

“ขอบคุณค่ะ” เจ้าหล่อนตอบ “ดิฉันกลัวคุณหลวงจะลำบาก เลยชิงมาเสียก่อน”

“พิโธ่” หลวงชาญฯ อุทานแล้วถาม “ประจิตรมาด้วยหรือ​เปล่า?”

“ว่าจะมา แต่ยังไม่มา ดิฉันมากับคุณพระ...คุณพ่อ นี่น้องดิฉันทั้งนั้นค่ะ....ไหว้คุณหลวงเสียจ้ะ”

หลวงชาญฯ พยักยิ้มรับกิริยาแสดงความเคารพของเด็กแล้วถามสุนทรีว่า

“คุณพักที่ไหน?”

“ที่เก่าแหละค่ะ บ้านคุณประจิตร คุณหลวงล่ะคะ?”

หลวงชาญฯ บอกชื่อบ้านที่เขาพัก สุนทรีร้องว่า “อ้อ” แล้ว ถามต่อไป

“มาทั้งครอบครัวหรือคะ?”

“เปล่า มาคนเดียว....”

“โถ ! เหงาแย่ ไปรับประทานข้าวบ้านดิฉันเถอะทุกมื้อเทียว”

“ขอบคุณมาก ผมมีเพื่อนอยู่ด้วยคนหนึ่ง หมอสุทัศน์”

“อ๋อ ยิ่งดีใหญ่ คุณพ่อก็ชอบไปน่ะซี”

แล้วหล่อนชวน

“กลับหลังหัน เดินไปกับดิฉันได้ไหมคะ? หรือคุณหลวงมีธุระจะไปทางใด”

“เปล่า ผมเดินมารับคุณต่างหาก”

ทั้งเด็กใหญ่และเด็กเล็กที่มากับสุนทรี ได้เดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว หลวงชาญฯ กับสุนทรีจึงเดินเคียงกันไปตามลำพัง

เมื่อใกล้จะถึงที่ตนนั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน หลวงชาญฯ เห็นกิริยาที่สุทัศน์ยังคงนั่งหันหลังอยู่เช่นเดิม ก็รู้สึกขันนึกอยู่ในใจว่า “เรา​ไม่เคยบ้าถึงเท่านี้”

ทันใดนั้นเขาบอกแก่สุนทรีในเสียงหัวเราะ

“หมอสุทัศน์นั่งอยู่นั่น”

“อ้อ นั่นคุณสุทัศน์หรือคะ? เห็นข้างหลังจำไม่ได้ แหม นั่งเคร่งราวกับพระธรรมยุติไม่เหลียวแลดูใครเลยเสียแต่มีขวดเบียร์ตั้งเป็นแถว..... แวะเข้าไปหาหน่อยนะคะ”

หล่อนสาวเท้าเร็วขึ้นเล็กน้อย แล้วส่งเสียงล่วงหน้าไปก่อน

“คุณหมอคะ คนไข้มาถึงแล้วเที่ยวบ่นถึงคุณหมอกับใครๆ ออกทั่วไปหมด”

สุทัศน์หันหน้ามาทางเสียงช้าๆ แล้วก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน หลวงชาญฯ มีอุปาทาน เห็นไปว่าทั้งสีหน้าและท่าทางของเขาดูผิดปกติพิกล นึกสนุกจึงพูดขึ้นว่า

“สุทัศน์กำลังนินทาคุณอยู่กับผมออกกลุ้มไป”

“รึคะ? ตายจริง ! นินทาเรื่องอะไรน่ะ?”

สุทัศน์ถามตัดบทขึ้นทันที

“คุณพระมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“วันนี้เองค่ะ เมื่อแรกว่าจะมาตั้งแต่เมื่อวาน ดิฉันจะมารถด่วนเมื่อคืนนี้ เพราะดิฉันอยากจะเอาเปรียบจะให้คนที่มาก่อนจัดบ้านไว้ให้เสร็จ พอมาถึงก็ได้นอนสบาย แต่คุณพ่อท่านไม่ยอมให้ดิฉันมาตามลำพังกับคนใช้ผู้หญิง เลยต้องมาพร้อมกับท่าน หนีโรงเรียนมาด้วยนะคะ เอาเปรียบเพื่อนอย่างร้ายกาจ พอสอบเสร็จโรงเรียนยังไม่ทันปิดดิฉันเปิดหนีมาแล้ว” น้ำเสียงของหล่อนหมด​กังวานหัวเราะ เมื่อหล่อนพูดต่อโดยมิได้ตั้งใจ “อยากออกจากกรุงเทพฯ เต็มที”

“คุณพระเห็นจะอยู่ที่นี่นานเท่าคุณ”

“โอ๊ย เอาแน่กับท่านไม่ได้หรอกค่ะ ว่าแต่วันนี้คุณหมอไปหาท่านหน่อยซีคะ ออดแอดออกจะแย่ไปแล้วบ่นเรื่อยว่าให้ท่านมาทำไมก็ไม่รู้”

สุทัศน์ไม่ตอบว่ากระไร สุนทรีจึงพูดต่อไปอีก

“ไปเดินเล่นกันไหมคะ?”

สุทัศน์มองดูหลวงชาญฯ เขาผู้นี้จึงว่า

“วันนี้หมอออดแอด อยากแต่จะนั่งกอดขวดเบียร์แต่ที่จริงไม่ควร เพราะนั่งเกาะไพ่มาหลายชั่วโมงแล้วควรจะเดินเสียบ้าง”

“ผมอยากจะไปอาบน้ำเสียก่อน และจะรีบไปเยี่ยมคุณพระ”

“แล้วรับประทานข้าวเย็นที่นั่นด้วย” สุนทรีต่อ หันกลับมาทางหลวงชาญฯ หล่อนกล่าวว่า “คุณหลวงด้วยนะคะ”

“ครับ....อ้า....แล้วแต่คุณสุทัศน์เขา” แล้วหลวงชาญฯ ก็หัวเราะ



Title: Re: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5
Post by: ppsan on 28 October 2025, 19:13:11



สุนทรีทิ้งตัวลงบนทราย ด้วยความอ่อนใจและโล่งใจระคนกัน

ความเหนื่อยใจเกิดจากที่หล่อนต้องนั่งทนฟังมารดาเลี้ยงของหล่อนปรารภเรื่องที่หล่อนเกลียดที่จะฟังเป็นอย่างยิ่ง เป็นเวลาหลาย ๑๐ นาที ความโล่งใจเกิดจากที่ในบัดนี้ หล่อนปลีกตัวมานั่งอยู่ตามลำพังแล้ว

ก็เรื่องที่หล่อนเกลียดที่จะฟังอย่างที่สุดนั้น จะมีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องประจิตร

ชายผู้นี้เพราะเหตุที่เขาเป็นชายที่ ‘เด่น’ อยู่ในสมัยของเขา เมื่อมีพฤติการณ์ใหม่เกิดขึ้นแก่ตัว ก็ย่อมจะกลายเป็น ‘เหยื่อ’ และ ‘อาหาร’ แห่งลิ้นของคนในสมัยไปด้วยเพราะเหตุนี้เขาจึงเป็น ‘เชื้อ’ แห่งความรำคาญใจของสุนทรีเกือบไม่เว้นแต่ละวัน

​สุนทรีขึ้นจากการอาบน้ำทะเล และแต่งตัวเสร็จแล้วเลือกได้ ที่ตรงมุมเฉลียงเล็กด้านหน้าแห่งเรือน อันเป็นที่ๆ อาจจะมองเห็นทะเลได้ถนัด ตั้งใจจะถือเอาเป็นที่นั่งอ่านหนังสือให้สบาย เผอิญเด็กหญิงน้อยผู้ซึ่งเล่นซ่อนหาอยู่กับพี่ชายได้วิ่งมาพบหล่อนเข้า เกิดมีความประสงค์จะได้ร่างกายของพี่สาวใหญ่เป็นที่กำบังก็แทรกเข้าไปนั่งหมอบอยู่ข้างๆ สุนทรี แล้วเด็กชายเล็กก็วิ่งตามมาพบน้องสาว เกิดการจับกุมปล้ำปลุกยั่วเย้ากัน มิช้าเสียงฝีเท้าของเด็กเสียงร่างกายของเด็กกระทบกระดาน รวมทั้งเสียงหัวเราะอย่างสนุกที่สุดของเด็กก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณเป็นเหตุให้มารดาของเด็กเดินมาดูอีกผู้หนึ่ง

สุนทรีนึกขอบใจมารดาเลี้ยงเป็นอันมาก เมื่อท่านผู้นี้กล่าวแก่ลูกทั้งสองเป็นเชิงตำหนิว่ามากวนพี่ แต่ความขอบใจนั้นได้สิ้นไปทันที เมื่อสุนทรีเห็นนางวนศาสตร์ฯ ลดตัวลงนั่งชันเข่าพิงลูกกรงห่างจากตัวหล่อนไม่ถึงสองศอก

เพื่อรักษากิริยา สุนทรีจำใจปิดหนังสือที่กำลังอ่านใช้นิ้วมือคั่นไว้ แล้วก็มองไปที่น้องทั้งสอง เด็กชายเล็กผู้ซึ่งลงนั่งเรียบร้อยตามคำของมารดาได้อึดใจหนึ่งนั้นเอ่ยถามสุนทรีขึ้นว่า

“คุณจิตรเมื่อไหร่มาครับ?”

“ไม่ทราบจ้ะ” ผู้เป็นพี่ตอบ

“เผื่อคุณจิตรมาพี่จะไปเรือใบกะคุณจิตร” เด็กชายกล่าวแก่น้องเล็กของเขา

แล้วเขาอธิบายต่อไปถึงลักษณะของเรือใบ ในเวลาที่โต้คลื่นอยู่กลางทะเล รวมทั้งลักษณะของปลาที่เรือใบจะพาเขาไปให้ได้เห็น ​ทั้งนี้โดยอาศัยคำสนทนาของผู้ใหญ่ที่เขาเคยได้ยินได้ฟังไว้ แล้วปะติดปะต่อตบแต่งเพิ่มเติมด้วยมโนภาพของเขาให้ครึกครื้นขึ้นเหมาะแก่จิตใจของเขา

ในระหว่างนั้นมารดาของเด็กก็กล่าวแก่สุนทรีว่า

“จะมาแน่หรือ?”

“ว่าจะมานี่คะ แต่จะแน่หรือไม่แน่ก็ยังทราบไม่ได้”

“เขาจะเอาเมียเขามาด้วยไหม?”

“ไม่ทราบ” น้ำเสียงสุนทรีเริ่มชาเย็น เพราะความหงุดหงิดเริ่มเกิดขึ้นในใจหล่อนแล้ว

แต่ในทันใดนั้นเอง หล่อนรู้สึกตัวว่ากำลังจะปล่อยตัวให้เป็นไปตามอารมณ์ ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงอันเรียบขึ้นกว่าเก่าจนเป็นปกติ

“อาจจะเอามา ควรจะเอามา เพราะยายนั่นก็คงยังไม่เคยเห็นว่าหัวหินรูปร่างเป็นอย่างไร”

ราวกับเครื่องรับวิทยุอันบุคคลตั้งเสียงให้ดังขึ้น นางวนศาสตร์โกศลได้ส่งเสียงดังและแหลมขึ้นว่า

“แล้วจะมาอยู่กันอีท่าไหน อยู่ห้องเดียวกับตัวเขายังงั้นหรือ? แล้วเราจะทนได้ยังไง?”

สุนทรีไม่รู้ว่า ‘เรา’ ที่มารดาเลี้ยงกล่าวนี้หมายถึงใครบ้าง หล่อนรู้แต่ว่าตัวหล่อนย่อมจะ ‘ทน’ ได้โดยยาก ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีคำว่า ‘เรา’ อยู่ในที่นี้

นางวนศาสตร์ฯ เป็นผู้มีนิสัยใจเร็ว เมื่อลูกเลี้ยงไม่แสดงความเห็นตอบคำพูดของตนก็รีบกล่าวต่อไป

​“ฉันเห็นว่าแม่สุนทรีน่ะใจเป็นพระเสียเหลือเกินใครๆ เขาก็ว่ากันทั้งนั้น ช่างทนได้ ทนได้ เป็นฉันละไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม”

สุนทรียังคงนิ่งคิดอยู่ในใจว่า คำปรารภที่หล่อนได้ฟังอยู่บัดนี้เป็นคำหนักที่สุด ชวนให้เกิดโทสะที่สุดยิ่งกว่าคำปรารภของคนอื่นๆ ทั้งหมดที่หล่อนได้เคยฟังมาแล้ว แล้วยิ่งคิดต่อไปว่า มารดาเลี้ยงของตนมิใช่เป็นบุคคลที่ตนจะทำความเข้าใจด้วยได้ง่ายเหมือนดังบุคคลอื่นๆ ซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกับตน ก็ยิ่งเกิดความอึดอัดเป็นทวีคูณ

“คุณพระไม่เคยพูดเรื่องอะไรของใครเลย พอถึงเรื่องนี้เข้ายังออกปากว่า ‘เจ้าจิตรเล่นเท่าไรกับสุนทรี’”

ความพิศวงและสนใจอย่างแรงกล้าเกิดขึ้นแก่หญิงสาว หล่อนจึงถาม

“ท่านพูดเมื่อไรคะ?”

“นานแล้ว พอรู้ว่าพ่อจิตรมีเมียก็พูดทีเดียว มันน่าแค้นจริงๆ นี่ ใครจะนึกว่าเขาจะทำกับเราถึงเพียงนี้ ฉันน่ะโทษว่าแม่สุนทรีเองน่ะแหละ มัวแต่ทำเป็นใจพระปล่อยให้มันลอยนวลอยู่ในบ้าน ตั้งแต่แรกพอจับได้ก็เฉดหัวมันออกไปเสียก็แล้วกัน ตาประจิตรจะกล้าทำไมเรา นี่อะไรนอนหลับทับสิทธิ์ของตัวเอง แล้วเดี๋ยวนี้เรื่องมันเลยเข้ามาถึงป่านนี้ เราจะแก้ไขอย่างไรกันล่ะ?”

“คุณพระท่านคิดอย่างนี้เหมือนกันหรือคะ?” สุนทรีถามอีก

“โอ๊ย ท่านคิดยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ ไม่รู้หรอกหรือพ่อของเราน่ะ​พูดน้อยแต่คิดมาก แต่ก่อนนี้เสียอีก เวลาฉันถามว่าแม่สุนทรีกับพ่อจิตรทำไมถึงยังไม่แต่งงานกัน ท่านก็เป็นแต่ฮึ่ๆ ฮ่ะๆ ลงท้ายก็ว่า ก็เขายังไม่อยากแต่งก็ช่างเขาปะไร แต่เดี๋ยวนี้น่ะอกไหม้ไส้ขมแล้ว พิโธ่ก็ท่านรักแม่สุนทรีจะตาย ลูกกี่คนกี่คนรักเท่าแม่สุนทรีเมื่อไหร่สักคน เพียงแต่ไปไทรโยคก็บ่นทุกวัน ว่าเจ้าจิตรทำไมถึงปล่อยให้ไป แล้วอยู่ดีๆ ลูกของท่านจะต้องไปเป็น...คนทีหลังเขา แล้วอีคู่แข่งน่ะปลาร้ามาจากไหนก็ไม่รู้....”

ถ้าเป็นเวลาปกติสุนทรีจะนึกขันเป็นอันมาก ในข้อที่นางวนศาสตร์ฯ กล่าวอย่างแน่ใจว่าภรรยาเก็บของประจิตรนั้นเป็นหญิง ‘ปลาร้า’ ทั้งที่ท่านเองก็ยังมิได้เคยเห็นนางผู้นั้นแม้แต่สักครั้งเดียว แต่ในขณะนี้ คำพูดประโยคที่รองจากคำสุดท้ายบาดหูหล่อนเหลือที่จะทนทาน จึงตอบสวนออกไปว่า

“ไม่น่าเลยที่คุณพระจะคิดว่าลูกของท่านใจต่ำถึงเพียงนั้น”

แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว สุนทรีก็เสียใจ เกิดความคิดขึ้นว่า ท่านบิดาของตนอาจจะได้อ่านเหตุการณ์ไปในทางที่ภรรยาของท่านได้กล่าวแล้วจริงๆ ก็เป็นได้ และถ้าหากท่านได้อ่านเช่นนั้นจริง หล่อนควรจะตำหนิท่านหรือ ในเมื่อหล่อนเองไม่เคยที่จะได้เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวแก่จิตใจของหล่อนให้ปรากฏแก่ท่านสักครั้งไม่ว่าในแง่ใดทั้งสิ้น บุคคลเป็นส่วนมากย่อมถือเอาเหตุการณ์เก่าๆ ที่เขาเคยได้ประสบหรือได้ยินได้ฟังมาแล้วแต่หนหลัง มาเป็นเครื่องประกอบการวินิจฉัยเหตุการณ์ใหม่ที่เขาได้ยินได้ฟังในปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นสิ่งธรรมดา ไม่น่าที่สุนทรีจะฉงนสนเท่ห์ใจอย่างใดเลย

​ฝ่ายนางวนศาสตร์โกศล รู้สึกตัวว่ามืดแปดด้านในคำพูดของสุนทรี ก็กล่าวออกมาตรงๆ ว่า

“ว่ากระไร ฉันไม่เข้าใจ?”

“ว่าคุณพ่อไม่น่าจะคิดไปว่า ดิฉันจะแต่งงานกับคุณประจิตร ในเมื่อเขามีเมียแล้ว เพราะแต่ก่อน เมื่อเขายังไม่มีเราก็ยังไม่เคยพูดว่าจะแต่งงานกันสักทีเดียว ใครๆ พากันเข้าใจเอาเองทั้งนั้น”

นางวนศาสตร์ฯ นึกเชื่อเอาอย่างมั่นเหมาะว่า สุนทรีพูดเช่นนั้นเพื่อแก้หน้า แต่ความรู้คิดก็เกิดขึ้นเป็นอารมณ์ จึงถาม

“ไม่แต่งแล้วจะทำยังไง มิอยู่ตัวเปล่าจนแก่หรือ คนที่เขามาขอกี่รายๆ คุณพระก็บอกปัดเขาไปเสียจนหมด ทีนี้จะมีใครเขามาขออีกล่ะ”

สุนทรียังมิได้ไหวไปถึงความในใจของแม่เลี้ยง แต่มีความตระหนี่ที่จะแสดงความคิดเห็นของตนให้แก่ผู้ที่ตนแน่ใจว่าจะ ‘เข้าใจ’ ตนมิได้เลย จึงนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น

ความร้อนใจเริ่มเกิดขึ้นแก่ฝ่ายผู้เป็นมารดาเลี้ยงอย่างจริงจัง จึงถาม

“ก็ถ้าเผื่อพ่อจิตรหลุดมือเราไปแล้ว ทรัพย์สมบัติเป็นกองมิพลอยหลุดมือไปด้วยหรือ? น้ำใจจะปล่อยให้อีคนกากนั่นมันครอบครอง ตัวเองเลยเคว้งเปล่าพ่อแม่ก็นอนตาไม่หลับ แก่จนป่านนี้ลูกเต้าไม่เป็นฝั่งเป็นฝาสักคน ไอ้ลูกเล็กๆ ก็จะต้องเล่าต้องเรียน เปลืองเงินเปลืองทองขึ้นทุกวัน”

สุนทรีตอบด้วยน้ำเสียงหัวเราะอันมีกังวาน ตรงกันข้ามกับ​ความรู้สึกที่พลุ่งขึ้นภายใน

“อย่าวิตกไปเลยค่ะ ดิฉันไม่กล้ามารบกวนคุณพ่อหรอก”

สุนทรีมองดูท้องฟ้าอันมืดคลุ้มอยู่เหนือพื้นน้ำ แล้วถอนใจอย่างยืดยาว

รู้สึกตัวว่าไม่ได้ร้องไห้มานานนักหนาแล้ว บัดนี้ให้อยากร้องเป็นก๋าลัง

แต่สุนทรีก็กลืนความตื้นตันลงไว้ในอก บอกตัวเองว่า ถ้าร้องไห้ก็หมายถึงว่าตัวพ่ายแพ้แก่ความเห็นของคนเป็นอันมากที่พากันเห็นว่าตัวถูกหญิงหนึ่งชิงเอาคู่รักไปเสีย

ด้วยน้ำใสใจจริงของสุนทรี หล่อนเชื่อว่าหล่อนมิได้คิดอยากปริเวทนาเพราะประจิตรเป็นเหตุ ความเศร้าของหล่อนในขณะนี้ เกิดจากเหตุที่หล่อนมีความคิดขึ้นว่า หล่อนเป็นผู้มีแต่ตัวคนเดียวในโลก ความคิดข้อนี้เกิดขึ้นในใจสุนทรีเป็นครั้งแรก

หลายครั้งมาแล้ว สุนทรีได้ตอบแก่บรรดาเพื่อนหญิงที่ได้ปรารภแก่หล่อนถึงการที่ประจิตรมีภรรยาว่า หล่อนกับประจิตรมิได้เคยรักกันเป็นอย่างอื่น นอกไปจากฐานะที่เคยอยู่มาด้วยกันแต่น้อยจนเติบใหญ่ ทั้งนี้หล่อนกล่าวด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้ๆ และก็เป็นความจริงโดยแท้ ในข้อที่สุนทรียังมิเคยได้ตัดสินใจลงเป็นแน่แม้แต่สักครั้งเดียว ว่าหล่อนจะแต่งงานกับประจิตร

แต่ก็เป็นความจริงอีกข้อที่ว่า แต่ก่อนแต่ไรสุนทรีไม่เคยรำพึงถึงการมีคู่ หล่อนทอดตัวของหล่อนไว้ให้แก่อำนาจแห่ง​บุพพกรรมสุดแต่วาสนาจะพาไป ครั้นเมื่อประจิตรมีภรรยา สุนทรีได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าหล่อนจะแต่งงานในทันทีที่ได้โอกาส กล่าวคือเมื่อได้พบชายที่รักหล่อน ที่หล่อนเชื่อถือเขาและเห็นว่าพอที่จะทำใจให้รักเขาได้ ทั้งนี้เพื่อแยกตัวหล่อนออกเสียจากประจิตรเพื่อมิให้ประจิตรต้องตะขิดตะขวงใจ ในเมื่อเขาจะพาหญิงอื่นมาครองบ้านที่หล่อนเป็นผู้ครองอยู่ก่อน แต่ก็เป็นเพราะความที่ยังห่วงประจิตรด้วยเหตุที่เขาได้ภรรยาเป็นหญิงที่ไม่เคยมีการศึกษาเสียเลย ไม่มีช่องทางที่จะเป็นเพื่อนร่วมใจของประจิตร ในเมื่อเขาผู้นี้ย่างเข้าสู่วัยที่เขาต้องการภรรยาให้เป็นเพื่อน สุนทรีได้ตั้งความปรารถนาอย่าเพิ่งให้ตนได้พบกับชายที่เหมาะแก่ใจของหล่อนในเร็ววันนัก

แต่ในบัดนี้ เมื่อคิดถึงว่ามีคนเขาปรารถนาจะให้ตนแต่งงาน เพราะเหตุที่ตนจะได้พ้น ‘อก’ ท่านผู้บังเกิดเกล้าของตนเอง ! ผู้ซึ่งมิได้เคยมีความจำเป็นที่จะอุปถัมภ์ตนโดยตรงด้วยประการหนึ่งประการใดเลย สุนทรีก็เกิดความขัดแค้นเป็นอย่างยิ่ง

สุนทรีนึกขึ้นได้ว่า ป่านนี้เห็นจะใกล้เวลาที่สุทัศน์กับหลวงชาญฯ จะมารับประทานอาหารที่ที่พักของหล่อนตามเคยแล้ว ไม่มีความปรารถนาจะให้ความขุ่นหมองในใจปรากฏแก่ตาแขกหนุ่มทั้งสองนั้น ทั้งเกรงว่ารอยแห่งความขุ่นหมองจะทำให้คุณภาพแห่งการรับรองอาคันตุกะทั้งสองนั้นเสื่อมทรามลงไปด้วย สุนทรีก็เปลี่ยนอิริยาบถและพยายามเปลี่ยนแนวคิด หล่อนลุกขึ้นเดินห่างจากที่เก่าออกไปทางริมหาด ทำตัวให้ได้รับลมเย็น ทำสมองให้แจ่มใสด้วย​เหตุอันควรต่างๆ

หล่อนเดินกลับไปกลับมา ในระยะไม่เกินหนึ่งเส้นเป็นเวลานาน ใจคิดว่า เมื่อหลวงชาญฯ กับสุทัศน์มาถึงหล่อนก็จะได้เข้าไปยังที่พักพร้อมกับเขา แต่เดินอยู่เช่นนั้นจนรู้สึกเมื่อยก็ยังไม่เห็นมา จึงเปลี่ยนความคิดเดินกลับเข้าบ้านแต่ผู้เดียว

สุนทรีประหลาดใจมาก เมื่อหล่อนมองเห็นไฟฟ้าที่เฉลียงใหญ่ด้านหน้าเปิดสว่างเต็มที่และเห็นคนนั่งอยู่กลุ่มใหญ่ มองซ้ำไปอีกก็เห็นสุทัศน์กับหลวงชาญฯ นั่งอยู่ที่นั่นด้วยแล้ว

หล่อนขึ้นบนเรือนกล่าวคำปราศรัยกับชายหนุ่มทั้งสอง แล้วพูดเป็นเชิงพ้อ

“ดิฉันเดินคอยอยู่ที่หาดทรายจนเมื่อยขา เลยต้องขึ้นมาเสียก่อน ที่แท้มานั่งอยู่ที่นี่แล้ว”

“วันนี้มาทางถนนครับ” หลวงชาญฯ ตอบ “คุณพระท่านไปที่บ้าน ท่านกลับรถสามล้อ เราก็เลยมาพร้อมกับท่าน”

“อ้อ คุณพ่อหายไปตั้งแต่เย็นน่ะ ไปหาท่านสองเกลอนี่เองแหละ”

“ไปที่อื่นด้วย” พระวนศาสตร์ฯ ตอบ

“คุณไปเดินเล่นถึงไหน?” หลวงชาญฯ ถาม

“หน้าบ้านนี่เองค่ะ”

“ไม่ได้เดินเล่นหรอก” นางวนศาสตร์ฯ แย้ง “นอนเล่น ฉันลงไปที่บ่อน้ำเห็นกำลังนอนเอกเขนกสบายพิลึกไม่ยักคันแคนนะ นอนลงไปกับทราย ฉันละไม่ได้ขืนไปนอนยังงั้นละก็ ประเดี๋ยวเดียว​แหละ เป็นผื่นหมดทั้งตัว น้ำทะเลนี่เองแหละฉันอาบแล้วขึ้นมายังต้องฟอกสบู่เอาน้ำจืดล้าง ไม่ยังงั้นแหละมันให้ทั้งคันทั้งเหนียว ทำไมถึงเป็นยังงั้นนะ คุณหมอ? คนอื่นทำไมเขาถึงไม่เป็น อย่างเด็กๆ แกวิ่งวันยังค่ำ เหงื่อท่วมตัว แล้วแกก็ไปเล่นทราย ไอ้ทรายก็ติดตัวเป็นปื้นๆ มาเชียว แกไม่เห็นบ่นว่าคันแคนสักที”

ผู้พูดนิ่งไปเป็นครู่ ยังไม่มีผู้ใดตอบ เพราะเหตุต่างคนต่างยังไม่รู้หน้าที่ ต่อภายหลังสุทัศน์จึงพูดว่า

“เด็กกับผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน”

“เด็กมันไม่มีอุปาทาน” พระวนศาสตร์ฯ เสริม

“ไม่ใช่อุปาทานจริงจริ๊งค่ะ” ภรรยาท่านตอบ “มันคันขึ้นมาจนเป็นผื่น อุปาทานอะไร ! แดงจ้ำๆ ที่นั่นที่นี่ตามโคนแขนโคนขาละมากที่สุด บางทีไม่ถูกทรายก็เป็นเหมือนกัน ฉันต้องเป็นทุกปีไอ้โรคคันนี้ หนาวมาก็คันร้อนมาก็คัน แหมบางทีกันตลอดถึงหัวถึงหู ใครเขามาบอกว่ายาอะไรแก้คันดีเป็นต้องรีบไปซื้อมาไว้ แล้วมันก็ยังคันอยู่นั่นเอง ทำไมถึงเป็นยังงั้นคะ คุณหมอ?”

สุนทรีกลั้นยิ้ม หล่อนจำได้ว่า ตั้งแต่สุทัศน์ได้มารับประทานอาหารค่ำ ณ ที่นี้ รวมสี่คืน เขาได้ทำนายโรคของนางวนศาสตร์โกศลไปแล้วสัก ๑๐ โรคเห็นจะได้ คืนนี้เป็นคืนที่ห้าเขาก็กำลังจะต้องทำนายอีก นึกขึ้นและเบื่อแทนเขา ทั้งตัวเองก็เบื่อด้วย สุนทรีจึงลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปทางในเรือน

หล่อนแวะตรวจที่รับประทานอาหาร และถามรายชื่ออาหารจากผู้มีหน้าที่ตั้งโต๊ะ จำได้ว่าสุทัศน์เป็นชายที่ ‘กินง่าย’ แต่ ​‘ไม่กินเก่ง’ คือรับประทานได้แต่อาหารรสมันๆ จืดๆ และเป็นอาหารที่ประกอบง่ายๆ เช่น ไข่เจียว แกงเลียง ตรงกันข้ามกับหลวงชาญฯ ผู้ซึ่งชอบรับประทานอาหารรสแหลมจัดราวกับผู้หญิง สุนทรีจึงสั่งให้แม่ครัวทอดกุ้งแห้งเพิ่มกับข้าวที่มีอยู่แล้วอีกจานหนึ่ง

แล้วเลยเข้าในห้องนอน แต่งผิวหน้าให้หายหมองและแต่งผมให้เรียบร้อย แล้วเดินวนจับนั่นแตะนี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจะทำ ทั้งนี้เพื่อฆ่าเวลา เป็นครู่ใหญ่จึงกลับออกมานอกห้องอีก

ถามคนใช้ได้ความว่าอาหารพร้อมแล้ว เว้นแต่กุ้งแห้งทอดซึ่งกำลังอยู่ในกระทะ สุนทรีจึงเดินต่อมาที่เฉลียง

“อาหารพร้อมแล้วค่ะ” หล่อนฉวยโอกาสเสนอในทันทีที่กาเลี้ยงของหล่อนหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ นางวนศาสตร์ฯ ก็รับคำเสนอของหล่อนในทันที

“เอ้าไป ฉันก็หิวเหมือนกัน ตี ๗ นานแล้วนี่”

น้องชายหญิงของสุนทรีร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วย ๓ คน คนที่สี่คือเด็กหญิงน้อยนั้นรับประทานก่อนแล้ว และสุนทรีได้เลือกนั่งตรงปลายโต๊ะที่สุดเพื่อจะคอยควบคุมเด็ก มิให้ทำกิริยาเป็นที่น่ารำคาญแก่แขก เพราะโต๊ะนั้นพอเหมาะสำหรับผู้รับประทาน ๖ คน พระวนศาสตร์ฯ นั่งตรงหัวโต๊ะด้านหนึ่ง หลวงชาญฯ กับสุทัศน์นั่งเรียงกันถัดมาจากท่าน จำนงกับถวิลนั่งคู่กันตรงปลายโต๊ะ ต่อจากนั้น เด็กชายเล็กนั่งแทรกอยู่ตรงเบื้องซ้ายสุนทรี ข้างตัวสุนทรีไปอีกเป็นที่นั่งนางวนศาสตร์โกศล

แม่บ้านผูกขาดการพูดเสียคนเดียวอย่างเช่นเคย สุนทรีมี​ภาระคือต้องคอยแบ่งนั่น หยิบนี้ให้น้อง ก็ได้ยินคำพูดของแม่เลี้ยงชัดบ้างไม่ชัดบ้าง เป็นการแบ่งเบาความรำคาญได้มาก

ถึงกระนั้น บางเวลา เมื่อมือทำหน้าที่อยู่กับอาหาร ใจสุนทรีอดคิดพิศวงมิได้ ว่าท่านบิดาของหล่อนทนอยู่กับภรรยาของท่านมาได้อย่างไรเป็นเวลาถึงเกือบ ๒๐ ปี

บางคราวหล่อนมองดูหลวงชาญฯ แล้วนึกชมเขาในใจ ว่าเขาช่างวางสีหน้าเป็นผู้ฟังอย่างเพลิดเพลินดีนัก สุทัศน์เสียอีกยังมีอาการใจลอยบ่อยๆ บางคราวเขาเขี่ยข้าวไปมาอยู่ในจาน เมื่อนางวนศาสตร์ฯ จะต้องการคำตอบจากปากเขาก็ต้องเรียกชื่อเขาถึงสองครั้งสามครั้ง

ทันใดนั้นมีปัญหาข้อหนึ่งเกิดขึ้นในใจสุนทรี ทำให้หล่อนเสียวปลาบในใจ ถ้าด้วยความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งหล่อนจะต้องกลับเข้ามาอยู่ในความปกครองของท่านบิดา หมายความว่าหล่อนจะต้องอยู่ร่วมกับแม่เลี้ยงด้วย การหัด ‘ทน’ แม่เลี้ยงจะเป็นงานหนักสำหรับหล่อนสักเพียงใด....

ครั้นแล้วสุนทรีก็ยิ้มอย่างมั่นใจ ถ้าหล่อนยังไม่เป็นคนพิการหรือประสาทเสีย จนถึงกับทำงานมิได้ก็ยังไม่เป็นที่จะคำนึงถึง ‘การทน’ ข้อนี้ก่อน....

หนูน้อยวิ่งมาจากที่ใดที่หนึ่ง คว้ากอดแขนสุนทรีผู้ซึ่งกำลังจะตักแกงจากชามแบ่ง ชามล้ม แกงก็หกกระจายลงกลางโต๊ะ

นางวนศาสตร์ฯ ทิ้งช้อนซ่อมลงในจานดัง แกร๋ง! เงื้อมือขึ้นทำท่าจะ ‘ซัด’ ลงบนก้นเด็กให้ ‘เต็มเหนี่ยว’ แต่มือซัดลง​มาแล้วก็กระทบกับฝ่ามือที่สุนทรีแบออกรับดังฉาดใหญ่

นางวนศาสตร์ฯ หัวเราะก๊าก ! ร้องว่า

“พิโธ่ คุณนี่ ! ดูซีเอามือมารับแทนน้อง เจ็บมากไหมนั่นน่ะ?” แล้วคว้ามือสุนทรีไปดู แล้วถูและขยำที่ตรงรอยแดง

“พอรู้สึกคันๆ” สุนทรีกล่าว “แต่ถ้าลงไปที่ก้นยายน้อยละก็เป็นขึ้น ๕ นิ้วแน่ๆ”

“เปล่า” พระวนศาสตร์ฯ ค้านเรื่อยๆ “พอจะถึงก้นลูกก็ยั้ง สุนทรีไปรับเข้ากลางทางนี่ ถึงได้โดนแรง”

นางวนศาสตร์ฯ หัวเราะอีก แล้วกล่าวขึ้นแก่สุนทรีว่า

“ขอโทษนา ยั้งไม่ทันจริงๆ นี่ดีแต่โดนมือ ถ้าโดนแขนจะเจ็บยิ่งกว่านี้”

แล้วหันไปทางลูกสุดท้อง

“นี่ยายน้อยแกกวนคุณพี่วันยังค่ำ ทำแกงหกคุณพี่อดแกงแล้วรู้ไหม แล้วยังไงจนตี ๘ แล้วยังไม่รู้จักหลับจักนอน”

หันต่อไปยังบุคคลที่สาม

“นางอิ้ง มาเอายายน้อยไปที กวนคุณพี่จนกินอยู่ไม่สะดวก เป็นฉันคลั่งตาย”

หันต่อไปยังสุทัศน์

“นี่คุณหมอ ทำยังไงลูกฉัน ยายน้อยน่ะ พอถึงหัวหินไม่ยอมนอนกลางวัน ผู้ใหญ่หลับกันทั้งบ้าน เด็กไม่ยอมหลับ บังคับให้นอนก็นอนลืมตา และก็แกะโน่น เกานี่ หยุกๆ หยิกๆ จะทุบกันตาย ตาเล็กก็เหมือนกันวันยังค่ำๆ วิ่งอยู่กลางแดด เรียกให้​ขึ้นเรือน ร้อยคำพันคำไม่กระดิก พี่สาวสองคนนั่นยังดีมีหลับมั่ง อ้วนแล้ว นี่แม่หวั่นกับแม่นงน่ะ มาถึงนี่ยังไม่ทันได้กี่วันเลย อยู่กรุงเทพฯ หละหน้าลี้บลีบ ยิ่งกลับจากโรงเรียนละยิ่งร้ายเชียว ข้าวก็กินได้ กินได้ก็ยังผอม แกจะมีตัวตืดในท้องละกระมัง”

แล้วการสนทนาก็ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ จนได้เวลาลุกขึ้นจากโต๊ะ

นางวนศาสตร์ฯ มีธุระเรื่องลูกอยู่ทางหลังเรือน สุนทรีมีความรู้สึกว่าทางที่ๆ หล่อนนั่งอยู่เงียบมาก แต่ดูเหมือนบุรุษสามนายที่นั่งอยู่กับหล่อนนั้นกำลังเป็นสุข ท่านบิดาของหล่อนกำลังสูบกล้อง ชายหนุ่มทั้งสองจุดบุหรี่สูบคนละมวนต่างคนต่างไม่ออกปากพูดว่ากระไร

ครั้นแล้วนางวนศาสตร์ฯ ก็กลับมาเข้าหมู่ด้วยและตั้งต้นเล่าว่าที่แหลมหินในเวลานี้กำลังยุงชุม ทั้งเป็นยุงที่เก่งและไว สามารถเล็ดลอดเข้าในมุ้งได้เสมอ ถึงแม้ว่าผู้กางมุ้งจะระวังอย่างดีที่สุดเพียงใดก็ตาม

“ไอ้ยุงพวกนี้มีเชื้อมาเลเรียไหม?” นางวนศาสตร์ฯ ถามสุทัศน์

ในระหว่างที่นายแพทย์กล่าวตอบสุนทรีคิดคอยว่า เมื่อไรท่านบิดาจะเชิญ หรือไล่ หรือแนะนำ หรือช่วย หรืออนุญาตให้หล่อนและแขกหนุ่มทั้งสองลงไปเดินเล่นที่หาดทราย เหมือนดังที่ท่านเคยทำทุกคืน พอสุทัศน์พูดขาดคำ คุณพระก็กล่าวว่า

“ไม่ไปเดินเล่นกันหรือ?”

​สุนทรีเกือบจะหัวเราะออกมาดังๆ หล่อนลุกขึ้นยืน และแกล้งกล่าวแก่ชายหนุ่มทั้งสองว่า

“ไปเถอะค่ะ คุณพ่อท่านหนวกหูพวกเรา”

หลวงชาญฯ วางหน้าเป็นปกติ สุทัศน์มองดูนางวนศาสตร์ฯ อย่างเกรงใจ แต่เมื่อสุนทรีพยักหน้าชวนซ้ำเขาก็ลุกขึ้นจากที่

ในระหว่างที่ลงบันไดไปด้วยกัน ทั้งสามได้ยินเสียงนางวนศาสตร์ฯ หาวและปรารภว่า

“แหม วันนี้ยังไม่ทันตี ๙ เลย ง่วงนอนแล้ว....เอาชุดกันยุงไหมคุณคะ?”

 


Title: Re: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5
Post by: ppsan on 28 October 2025, 19:14:38



สุนทรีได้นัดไว้กับหลวงชาญฯ ในตอนกลางคืนว่า รุ่งเช้าจะไป ‘ทำความประหลาดใจ’ ให้แก่นายเทียมและภรรยาของเขาที่บ้านใหม่

สุทัศน์เป็นผู้ที่ไม่รู้จักนายเทียมกับนางอรุณมาก่อน แต่เผอิญหลวงชาญฯ และสุนทรีก็จะต้องอาศัยสุทัศน์นั่นเองเป็นผู้นำทาง เพราะสุทัศน์มีเพื่อนคนหนึ่งมาพักอยู่ในที่ติดกับบ้านที่ปลูกเสร็จใหม่ สุทัศน์เคยไปเยี่ยมเพื่อนของเขาครั้งหนึ่งก็จำบ้านปลูกใหม่นั้นได้

การรับประทานอาหารเช้า มิได้มีอยู่ในโปรแกรมที่กะไว้ในตอนกลางคืน แต่สุนทรีก็เตรียมอาหารเอาไว้พร้อม

หลวงชาญฯ บ่นพึมพำว่าไม่เคยรับประทานอาหารในเวลาเช้าเช่นนี้ แต่ในที่สุดก็รับประทานไส้กรอกหมดไปสองท่อนรวมทั้งขนมปังอีกสองแผ่น กับกาแฟและผลไม้ สุทัศน์ไม่ออดแอดว่า​กระไรทั้งสิ้น พอสุนทรีออกปากเชิญก็นั่งลงยังที่ และรับประทานอาหารที่มีอยู่ครบทุกสิ่ง

เมื่อเสร็จแล้ว เขาทั้งสามก็ออกเดิน

เวลานั้นยังเช้ามาก มีแสงแดดเพียงอ่อนๆ อากาศกำลังเย็นสบาย

เขาทั้งสามเดินไปเงียบๆ เป็นพักใหญ่ แล้วหลวงชาญฯ จึงเป็นผู้เริ่มการสนทนา โดยเอ่ยถึงถ้ำพระยานครซึ่งเขาเคยได้ข่าวว่าเป็นถ้ำที่งดงามมาก

“เราคิดอ่านไปเที่ยวกันสักวันหนึ่งเอาไหมคะ?” สุนทรีว่า “ไปเรือใบ ดิฉันชอบนั่งเรือใบเป็นที่หนึ่งสนุกกว่าเรือไฟเรือยนต์เยอะ”

“ไปก็ไป” หลวงชาญฯ ตอบ “แต่ไปเรือใบคุณไม่กลัวหรือ? เคราะห์หามยามร้ายล่มได้ง่ายๆ นะ”

“ถ้าถึงคราว นอนอยู่ในมุ้งก็ตายได้” สุนทรีตอบ “คนนั่งอยู่ในห้องยังถูกรถชน จำได้ไหมคะ หนังสือพิมพ์ลงเมื่อเร็วๆ นี้เอง”

“แต่ถ้าเผื่อเราต้องค้างคืนจะทำยังไง ถ้ำนครอยู่ไกลจากเมืองปราณไปอีก ถ้าไปแล้วไม่มีลมละก็กลับมาไม่ถึงจริงๆ”

“ค้างคืนก็นอนในเรือใบซีคะ”

“เผื่อโดนฝน?”

“ตายจริง !” หญิงสาวอุทาน “คุณหลวงคิดเผื่อแต่ในทางร้ายทั้งนั้น ก็เผื่อเสียว่าพอเรือออกไปได้หน่อยเสาใบก็หักก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องไปกันเลย”

​สุทัศน์ปล่อยหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง เพราะความที่นึกขันจริงๆ หลวงชาญฯ เป็นแต่ยิ้มแล้วตอบว่า

“ถ้าไปตามลำพังผู้ชายผมไม่กังวลอะไรหรอก แต่อย่างคุณ....โถ !....”

“ถ้าคุณหลวงได้เดินทางไปไหนกับดิฉันสักที จะเห็นว่าดิฉันไม่ใช่คนงอแง”

ทันใดนั้นเอง สุนทรีนึกถึงหญิงสาวที่ชื่อว่างามพิศ มิใช่แต่เพียงนึกถึง นึกคิดถึง อยากจะเห็นงามพิศมาอยู่ตรงหน้า แล้วหล่อนได้ยินสุทัศน์พูดขึ้น

“ถ้ำนครเป็นที่น่าเที่ยวจริงๆ เพราะเป็นที่สบายกว่าถ้ำอื่นๆ”

หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาแล้วถาม

“คุณสุทัศน์เคยไปเห็นแล้วหรือคะ?”

“เห็นแล้ว แต่ผมไปจากปราณ ไปเรือใบหาปลานิดเดียว ขาไปสองชั่วโมงถึง ขามาเล่นเสียสี่ชั่วโมง”

“ที่ว่าสบายกว่าถ้ำอื่นน่ะคือยังไงคะ?”

“เพราะถ้านครเป็นถ้ำใหญ่ โปร่งมาก เมื่อเข้าไปถึงแล้วมีอากาศหายใจพอกับที่เหนื่อย แต่อย่างถ้ำอื่นๆ ที่ผมเห็นมาโดยมาก มักจะแคบ เตี้ย มีกลิ่นเหม็นอับๆ เหม็นขี้ค้างคาว เข้าไปแล้วเราไม่นึกอยากจะนั่งอยู่นานหายใจไม่ออก”

สุนทรีเคยมีความคิด ซึ่งหล่อนเองก็ไม่ทราบแน่ว่าเป็นความคิดอันเกิดจากเหตุใด ว่าสุทัศน์นั้นเป็นบุคคลชนิด ‘เด็กฝรั่ง’ มิใช่ชนิดหนุ่มไทยหรือผู้ใหญ่ไทย หล่อนเชื่อว่าเขาอาจจะมีความ​ประพฤติดี ตั้งอยู่ในศีลธรรมต้องตามแบบแผนของชาวตะวันตก แต่เขาจะ ‘งง’ ต่อชีวิตอันแท้จริงแห่งบรรพบุรุษของเขา หล่อนประมาทเขาว่าเขาคงจะเป็นชายจำพวกที่ ‘ลืมชาติ’ ที่สำคัญว่ากรุงเทพพระมหานครคืออาณาจักรสยาม และอาณาจักรสยามคือกรุงเทพพระมหานคร โดยนัยนี้ก็ไม่สนใจในการที่จะเห็นท้องถิ่นชนบทนอกไปจากนครหลวง อาศัยความคิดข้อนี้เอง สุนทรีจึงถามสุทัศน์ด้วยน้ำเสียงมีกังวานหัวเราะเจืออยู่ด้วยมาก

“เคยเที่ยวถ้ำอะไรมามั่งแล้วคะ?”

“หลายถ้ำ” ฝ่ายเขาตอบโดยซื่อ “ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี ทางชายฝั่งทะเลตะวันออกก็อีก ยังขาดอยู่แต่ทางเหนือ คิดว่าปีนี้จะพยายามไปเชียงใหม่”

หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ แต่สุทัศน์มิได้มองมาทางหล่อน สายตาของเขามองไปยังทางเดินตรงหน้า เขาพูดต่อไปอีก

“ทะเลทางตะวันออกมีที่งามๆ หลายแห่ง ตามเกาะอย่างเกาะพร้าว เกาะไม้ซี้ หาดทรายงามกว่าที่นี่หลายเท่า แล้วน้ำใสแจ๋ว เวลาจอดเรือทิ้งสมอลงไป เรามองเห็นสมอเห็นสายสมอว่ามันทำท่ายังไงมั่ง บางแห่งน้ำตื้นหน่อย มองเห็นก้นทะเลได้ถนัด เป็นเงาใต้น้ำสีต่างๆ เห็นปลาว่ายตามซอกหิน” มองข้ามสุนทรีไปที่หลวงชาญฯ “ผมอ่านพระราชนิพนธ์อิเหนา พบตอนชมทะเลซึ่งกล่าวไว้เหมือนมาก มีคำว่าหินปะการังสีเหมือนมรกตเหมือนลงยา พยายามท่องหลายเที่ยวแต่จำไม่ได้”

​สุนทรีเห็นสุทัศน์เป็นคนแปลกยิ่งขึ้น หลวงชาญฯ พูดแกมหัวเราะ

“ข้างผมก็ดีแต่จำกลอน ของจริงไม่เคยเห็น”

“จำตรงที่ผมว่าได้ไหมล่ะ?”

“ได้ ชี้ชมศิลาปะการัง ที่เขียวดังมรกตสดสี ที่ลายก็คล้ายราชาวดี แดงเหลืองเลื่อมสีดังโมรา”

“ถูกแล้ว” สุทัศน์กล่าวอย่างพอใจ “ตรงนี้แหละเหมือนกับที่ผมเห็นมาแล้วไม่มีผิด แต่ขาดพระอาทิตย์ขึ้นไป บางทีจะเห็นกันคนละเวลา”

“ตามปกตินักเขียนเก่าๆ ดูเหมือนจะไม่ค่อยบรรยายความงามของพระอาทิตย์ตกหรือพระอาทิตย์ขึ้นหรอกค่ะ มักจะกล่าวแต่เรื่องแดด อย่างพระพุทธเลิศหล้า ทรงเรื่องแสงจันทร์หยดย้อยนัก แต่ไม่เห็นเคยทรงตอนพระอาทิตย์ตกพระอาทิตย์ขึ้นสักที”

ไม่มีใครออกความเห็นว่ากระไรอีก ความเงียบจึงเกิดขึ้นครู่หนึ่ง แล้วภายหลังสุนทรีจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทางที่จะไปถ้ำนครคลื่นใหญ่มากไหมคะ?”

“ก็มากอยู่”

“อาจจะถึงเมาไหมคะ?”

“อ๋อ เรื่องเมาวัดกันด้วยลูกคลื่นไม่ได้ แล้วแต่คน ผมเป็นคนเมายาก”

“เคยเมาคนไหม คุณน่ะ?” หลวงชาญฯ ถาม

“เห็นคนมากแล้วเวียนหัวยังงั้นหรือ?”

​“ไม่ใช่ เห็นคนเดียวแล้วเมาคนที่เห็นนั่นแหละ”

สุทัศน์นึกรู้ว่าหลวงชาญฯ ตั้งต้นจะ ‘ขับ’ ตนแล้ว พอใจครึ่งๆ กระดากครึ่งๆ เขาย้อนถามว่า

“ก็คุณหลวงล่ะ?”

“ผมก็เมาเมียผมน่ะซี”

“ดิฉันฟังอยู่นานแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าเมาคนนี้เป็นอย่างไร”

“ก็เป็นโรคเห็นคนๆ เดียว คิดถึงคนๆ เดียวไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ใจมันก็วิ่งไปหาเขาคนนั้นแหละ”

สุนทรีปรารภอยู่ในใจว่า ประจิตรอาจจะ ‘เมา’ ภรรยาเก็บของเขา ได้ถึงเพียงนั้นหรือไม่หนอ แล้วหล่อนถามขึ้นว่า

“ผู้ชายอาจจะเมาได้มากถึงเพียงนั้นเทียวหรือคะ?”

“เมาได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายแหละครับ” หลวงชาญฯ ตอบแกมหัวเราะ

อาศัยเหตุผลที่ได้จากความรู้สึกของตน สุนทรีจึงพูดว่า

“สำหรับผู้หญิงดิฉันยังสงสัย”

“คุณเห็นจะยังไม่เคยเมาอย่างนั้นเลย?” สุทัศน์ถาม

“ในชีวิตยังไม่เคยเลยค่ะ แม้แต่เพียงมึนก็ยังไม่เคย”

แล้วหล่อนยิ้ม และมองดูเขาด้วยสายตาอันหวานคมของหล่อน พลางพูดว่า

“จะย้อนถามมั่งก็จะว่าละลาบละล้วง”

สุทัศน์รู้สึกว่าเขาไม่เกลียดสิ่งใดในโลก เท่ากับเกลียดสายตาของสุนทรีในขณะที่หล่อนยิ้ม จึงตอบด้วยเสียงค่อนข้างแข็ง

​“อย่าถามเลย ป่วยการ ผมไม่เคยเมาใคร”

ในทันทีที่พูดไปแล้ว เขารู้ตัวว่าเขาปดหล่อนและปดตัวเขาเองด้วย และรู้อีกว่าปดโดยเสียประโยชน์ หาใช่ได้ประโยชน์มิได้ จึงกล่าวแก้โดยอาศัยปฏิภาณ

“ผมไม่ยอมเชื่อว่ารักกับเมาเป็นอันเดียวกัน”

หลวงชาญฯ หัวเราะขึ้นทันทีแล้วว่า

“ไม่เชื่อก็พยายามแบ่งมันออกจากกันไปก่อนเถอะ เมื่อไหร่คุณหายหน้าบาง คุณจะต้องรับเองว่า ไอ้รักก็คือไอ้เมา ไอ้เมาก็คือไอ้รักนั่นเอง”

สุนทรีหันไปทางสุทัศน์ มองสบตาเขาอีก ยิ้มกับเขาอีก แล้วว่า

“อย่าไปเถียงท่านเลยค่ะ ท่านเป็นคนเคย เราเป็นพวกไม่เคยเหมือนกัน”

สุทัศน์จ้องดูดวงตาที่จับตาของเขาอยู่ คิ้วขมวดเข้าหากัน ใจคิดว่า ถ้าแม้เขาสามารถที่จะเชื่อได้แม้เพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของคำที่หล่อนกล่าว เขาก็จะเป็นสุขอย่างไม่มีที่เปรียบ...แล้วความคิดอีกข้อหนึ่งก็เกิดขึ้นซ้อนความคิดนี้........เจ้าหล่อนจะได้ทำกิริยาเช่นที่กำลังทำอยู่วันละกี่ร้อยครั้ง เพราะตัวเขาเองเพียงแต่ได้เดินมาด้วยกันกับหล่อน ก็ได้ ‘ถูก’ หล่อนทำกิริยาเช่นนี้ด้วยจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ! ....

เขามองไปทางขวา ชี้มือไปทางนั้นพร้อมกับพูดห้วนๆ

“ถึงแล้ว หลังคาแดง หลังเล็กนั่นแหละบ้านใหม่”

​สุนทรีมองตามมือเขาแล้วอุทานว่า

“แหม ! ไปอีกสัก ๕ นาทีก็ได้ปีนเขานะคะ มาถึงโดยไม่รู้ตัว เห็นจะเป็นที่เราคุยกันเพลินมาก”

ถึงแม้จะได้พูดเช่นนั้น หล่อนก็สาวเท้าเร็วขึ้น เพราะมีความยินดีที่จะได้เข้าที่ร่มและนั่งพัก หลวงชาญฯ เดินเร็วขึ้นตามหล่อน มีข้าสุทัศน์ก็ตกอยู่เบื้องหลัง

แต่ครั้นเมื่อไปถึงริมรั้วแล้ว มีต้นไม้พอบังแดดได้ หลวงชาญฯ กับสุนทรีก็หยุดเดิน หันกลับมาคอยสุทัศน์ หลวงชาญฯ มองดูแดดแล้วปรารภว่า

“ยังไม่ตื่นกันก็ไม่รู้”

“ถึงคุณเทียมยังไม่ตื่น อรุณก็ตื่นค่ะ แม่ลูกอ่อนตื่นสายไม่ได้หรอก”

แล้วหล่อนหันไปกวักมือเรียกสุทัศน์แล้วว่า

“มาเร็วคุณหมอขา ดิฉันอยากรับประทานน้ำเต็มที”

หันกลับไปทางตัวเรือน ก็เห็นชายคนหนึ่งยื่นมือป้องหน้ามองมาทางหล่อน หล่อนจำเขาได้ในทันที เขาจำหล่อนได้ต่อภายหลัง เพราะแสงแดดทำให้ตาเขาพร่า เมื่อสุนทรีเข้าประตูรั้วไปแล้ว หล่อนเห็นชายที่เป็นเจ้าของบ้านเดินกลับเข้าไปกลางเรือน และตะโกนพูดเข้าภายใน

“คุณสุนทรีกับคุณประจิตรมาแน่ะ หลวงชาญฯ ก็มาด้วย”

สุนทรีหันกลับมามองดูสุทัศน์ เห็นเขาทำหน้าพิกลก็หัวเราะแล้วว่า

​“คุณเทียมเดาส่งไปยังงั้นเอง” แล้วหล่อนเสริม “แต่ที่จริง คุณสุทัศน์กับคุณประจิตรรูปร่างขนาดเดียวกันเปี๊ยบเทียวนะคะ ถ้ามีอุปาทานช่วยด้วยละก็เห็นผิดได้ง่ายๆ”

หล่อนวิ่งขึ้นบันไดไปก่อน แล้วกล่าวแก่นายเทียมในทันที

“คุณประจิตรยังอยู่กรุงเทพฯ ค่ะ นั่นคุณสุทัศน์เพื่อนคุณหลวงชาญฯ”

นางอรุณอุ้มลูกหญิงคนสุดท้องออกมาจากห้อง สุนทรีตรงเข้าจับต้องเด็กและปราศรัยกับเพื่อนหญิงไปพลาง ส่วนนายเทียมปราศรัยกับอยู่กับหลวงชาญฯ และสุทัศน์

เมื่อเจ้าของบ้านเรียกน้ำแข็งมาเลี้ยงแขกแล้ว สุนทรีสังเกตเห็นอาหารเช้าตั้งอยู่ตรงที่ริมห้องใกล้เฉลียง จึงว่าแก่เจ้าของบ้านว่า

“รับประทานกันเสียเถอะ ไม่ต้องรับแขกจนเหลือเกินนักหรอก พวกเรารับประทานกันมาแล้ว”

“กินแล้วก็กินอีกเถอะน่ะ” นายเทียมกล่าว “รออีกประเดี๋ยวเดียวก็ได้กิน ให้เขาทอดไข่มาอีก ๓-๔ ใบ”

“อย่าๆ” หลวงชาญฯ ค้าน “เราอิ่มกันมาจากบ้านคุณสุนทรีแล้ว”

นายเทียมลงนั่งที่ แล้วชวนแขกให้นั่งด้วย “หรือจะนั่งบนเก้าอี้ก็ตามใจ” แล้วเขากล่าวคำภาษาอังกฤษเป็นใจความว่า “ทำเหมือนบ้านก็แล้วกัน”

นางอรุณเรียกถ้วยกาแฟมาได้พอกับจำนวนคนแล้ว ก็จัดแจงจะรินกาแฟ แต่ลูกน้อยที่อยู่บนตักเป็นเครื่องกีดขวางทำไม่ได้​ถนัด สุนทรีจึงอาสาเป็นผู้ทำแทน

หล่อนถามถึงส่วนแห่งน้ำตาลและนม เมื่อหล่อนปรุงถ้วยของนายเทียม แต่ส่วนถ้วยของหลวงชาญฯ และสุทัศน์นั้น หล่อนใช้ความจำของหล่อนเอง เป็นเครื่องประกอบการปรุง

แล้วหล่อนลุกจากที่นั่ง ยกถ้วยกาแฟสองถ้วยไปข้างชายหนุ่มทั้งสอง ส่งถ้วยที่ถือมือขวาให้นายแพทย์ เขารับแล้วส่งต่อไปให้หลวงชาญฯ หล่อนก็ค้านว่า

“อ้าว ! ผิดถ้วยค่ะ ถ้วยนั้นน้ำตาล ๔ ก้อน สำหรับคุณสุทัศน์ ถ้วยนี้ก้อนเดียว สำหรับคุณหลวงชาญฯ”

“แหม ขอบพระคุณมาก” หลวงชาญฯ กล่าวโดยจริงใจ

สุทัศน์ตอบแต่เพียงว่า

“ขอบคุณ”

นายเทียมรับประทานอาหารเร็วมาก เพราะต้องการจะคุยเรื่องการปลูกบ้านซึ่งเขายังติดใจ มิช้าก็ลุกจากที่ไปเข้าหมู่บุรุษด้วยกัน แล้วก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันถึงเรื่องราคาไม้ แรงงาน คุณภาพของไม้ ฯลฯ จนดูเหมือนจะลืมสตรีสองนาง ที่นั่งอยู่ห่างจากเขาเพียงเล็กน้อย

ข้างฝ่ายสตรี ก็ตัดพ้อกันในข้อที่มีค่อยจะมีโอกาสพบปะกันเสียเลย แล้วอรุณถามถึงเรื่องที่เกี่ยวแก่ตัวสุทัศน์ เป็นต้นว่าเขาเป็นใคร อาชีพอะไร สุนทรีตอบตามที่หล่อนรู้ แล้วถามถึงลูกอีกสามคนของเพื่อน

​“ฝากไว้กับคุณอา” นางอรุณตอบ “บ้านช่องยังไม่เรียบร้อย ขี้เกียจเอาแกมา จะต้องเอาคนใช้มาอีกตั้งสองคน ไม่ยังงั้นก็ไม่พอกับแก เสียดายค่ารถ หมู่นี้กำลังเขียมจะเก็บเอาไว้ให้ค่าบ้านเขา”

“โธ่ ! แล้วแกไม่คิดถึงเธอแย่หรือ?”

“ไม่มีวันละ แกติดอาแก ติดพี่น้องแก ก็เอาฝากไว้ที่บ้านคุณชวดนี่”

“อ๋อ อยู่ที่บ้านเจ้าคุณวิจิตรสารการหรือ?”

“นั่นแหละ....อ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ! พ่อประจิตรของเธอทำไมถึงไปคว้าเอานางใหญ่เมียหลวงประเสริฐฯ เข้าได้ ทำอีตาผัวตายแล้วยังไปเอาเมียเขาอีก พิเรนทร์จริง !”

“เมียหลวงประเสริฐฯ เมื่อไหร่ น้องแม่คนเมียเขาต่างหาก เขาชื่อลำเจียก”

“ไหน !” อรุณขึ้นเสียงดัง “นังคนที่คุณประจิตรเอาไปโชว์เสมอน่ะหรือ? พิโธ่ ! ยังกับใครเขาไม่รู้จัก ตาข้างซ้ายฉีกไปหน่อยใช่ไหมล่ะ ก็เทียมเขารู้จักมันดีนี่นา อีเด็กนั่นมันเกิดอยู่กับข้างบ้านเขา เมื่อเขากลับจากนอกใหม่ๆ เขายังเคยไปตุกติกกับมันเลย”

“เธอจำผิดไปน่า” สุนทรีค้านอย่างมั่นคง “แม่เขาพามาให้คุณจิตรเอง ตัวเขาชื่อลำเจียก เป็นน้องเมียหลวงประเสริฐฯ คุณจิตรสงสารเพราะตัวทำที่พึ่งของเขาตาย ถึงได้รับเอาไว้”

“เอ๊ย ! ถ้ายังงั้นไม่เธอถูกต้มก็พ่อประจิตรถูกต้มเอง มิน่าล่ะเทียมเขาว่ามันหลบเขา นางลำไยน่ะแกมีลูกสาวสองคนจริง แต่​คนที่ชื่อเล็กตายเสียตั้งแต่อายุ ๑๒ นังใหญ่จะเอาน้องผู้หญิงที่ไหนมาอีกล่ะ เธออยากรู้เรื่องละเอียดก็ถามเทียมเขาดูซี พวกนี้เขารู้ประวัติยายลำไยดีทั้งนั้น เมื่อหลวงประเสริฐฯ ได้นังใหญ่แล้ว เช่าบ้านเจ้าคุณตาให้เมียอยู่ ทีหลังพอหลวงประเสริฐฯ ตาย ยายลำไยก็จะอยู่โดยไม่ให้ค่าเช่า เจ้าคุณท่านก็แสนดี ท่านว่าผัวเขาตายใหม่ๆ ผันผ่อนให้อยู่ฟรีไปก่อนสัก ๓ เดือน แต่ทีนี้ได้ ๓ เดือนหมดไปแล้ว แม่ลำไยก็อยู่ไปอีกนาน ค่าเช่าก็ไม่ได้ให้ด้วย ออกจากบ้านก็ไม่ออกด้วย มิหนำซ้ำยังด่าคนเก็บเงินขึ้นพ่อขึ้นแม่เขา แล้วเลยด่าไปถึงเจ้าคุณตา”

สุนทรีนิ่งอึ้งไปด้วยความพิศวง หล่อนเชื่อแน่ว่าประจิตรมิได้กล่าวเท็จต่อหล่อน เขาเป็นคนที่จะไม่กล่าวเท็จแม้เพื่อเหตุใดๆ ถ้ากระนั้นเขาเองเป็นผู้ที่ได้ถูกต้มอย่างซึ่งๆ หน้า !

ตลอดเช้าวันนั้น สุนทรีได้ปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องราวของประจิตรมากกว่าวันใดๆ นับตั้งแต่หล่อนได้มาพักอยู่ที่หัวหิน คิดเคืองเขามากที่สุดในข้อที่ว่า มิเสียแรงที่เป็นผู้ชายอิสระ ได้เรียนรู้ทางโลกตามความต้องการทุกทาง ช่างปล่อยให้หญิงแก่คนหนึ่งต้มเล่นจนสุกได้ง่ายๆ

หล่อนปรารภว่า หล่อนควรจะบอกให้ประจิตรทราบความจริง หรือจะทำไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้เรื่องเลยไปตามเลย สุนทรีเกลียดการทำลายความสุขของเพื่อนมนุษย์ แต่เมื่อคิดถึงว่าประจิตรจะอยู่ร่วมกับหญิงลวงโลกไปอีกมิรู้ว่านานเท่าใด ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือความทนทานของหล่อน

​ในตอนบ่ายสุนทรีได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง จ่าหน้าซองด้วยลายมือของผู้ที่หล่อนรำพึงถึงมาตลอดวัน สุนทรีดีใจและสนเท่ หล่อนรู้ว่าประจิตรเป็นผู้เกลียดการเขียนจดหมายเป็นอย่างที่สุด การที่เขาเขียนจดหมายถึงหล่อนนี้ ต้องนับว่าเป็นเหตุการที่ใหม่และแปลกเป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อสุนทรีฉีกซองแล้ว ก็เห็นซองชั้นที่สองปรากฏอยู่ภายใน ลายมือบนหลังซองนี้เป็นลายมือที่แปลกตาหล่อน

ฉีกซองชั้นที่สองอีก จึงพบจดหมายอันมีข้อความดังต่อไปนี้

เรียนคุณที่รักและเคารพอย่างสูง ตั้งแต่วันที่ดิฉันต้องแยกทางกับคุณแล้ว ดิฉันก็คิดถึงคุณทุกวันระลึกถึงพระเดชพระคุณของคุณมิได้ขาด นึกจะเขียนจดหมายถึงคุณไม่ทราบว่ากี่ร้อยหน แต่ก็ไม่กล้าเขียน กลัวคุณจะว่าดิฉันอาจเอื้อม ดิฉันจำได้ว่า คุณสั่งดิฉันไว้เมื่อวันที่นั่งคอยดูจระเข้ที่บนเขา ว่าถ้าดิฉันมีความขัดข้องเกี่ยวแก่การเรียน ก็อนุญาตให้ดิฉันเขียนจดหมายถึงคุณได้ แต่คุณมิได้อนุญาตไว้ด้วยว่าให้ดิฉันเขียนจดหมายถึงคุณได้ เมื่อดิฉันระลึกถึงพระเดชพระคุณของคุณ แต่วันนี้ดิฉันก็บังอาจเขียนมาจนได้ ไม่ทราบว่าอะไรมาบังคับดิฉัน ดิฉันบังคับใจของดิฉันไว้ไม่อยู่แล้ว บางทีจะเป็นเพราะดิฉันรู้สึกว่าจะต้องตายในวันสองวันนี้ ดิฉันจำเป็นต้องเขียนจดหมายมาให้คุณทราบว่าดิฉันขอกราบลา

สุนทรียกมือซ้ายขึ้นกุมอก รู้สึกคล้ายกับว่าลมหายใจจะขาดไปบัดนั้น

​ดิฉันเจ็บเป็นไข้รากสาด จวนจะตายเสียหลายหน น่าน้อยใจที่ไม่ตายเสียให้แล้วไป ดิฉันไม่ได้นึกอยากจะหาย แต่หมอเขาแก้ดิฉันไว้รอด ดิฉันหายไข้มาหลายอาทิตย์แล้วแต่ไม่มีแรงเลย ทำงานเข้าหน่อยก็เป็นลม เปลืองข้าวสุกของคุณป้าเข้าไปทุกวัน ดิฉันไม่ทราบจะทำอะไร หมอตรวจก็ว่าไม่มีโรคอะไรทั้งนั้น เป็นแต่เลือดลมไม่ดี คุณป้าท่านว่าดิฉันนอนมากจึงไม่มีแรง ดิฉันพยายามลุกขึ้นทำงานได้ แต่เวลาที่ทำรู้สึกเหมือนใจจะขาด ดิฉันเชื่อว่าดิฉันจะตายในไม่ช้า ไม่มีโอกาสที่จะได้พบเห็นความกรุณาของคุณอีกแล้ว

ดิฉันต้องหยุดเขียนแล้วค่ะ มือสั่นไปหมดขอประทานโทษที่ดิฉันเขียนจดหมายถึงคุณด้วยลายมือหยุกหยิกเช่นนี้ ทั้งสำนวนก็คงบ้าๆ บอๆ

ในท้ายจดหมายมีปัจฉิมลิขิต เป็นใจความว่า

“โปรดกรุณาอย่าให้ใครทราบเป็นอันขาด ว่าดิฉันเขียนจดหมายถึงคุณ เป็นความเป็นความตายของดิฉันเทียวค่ะ”

สุนทรีทอดมือที่ถือจดหมายลงบนตัก นั่งนิ่งอยู่เป็นครู่แล้วก็ลุกขึ้นเดินวนไปมาอยู่ข้างเตียงผ้าใบที่หล่อนเพิ่งลุกขึ้นนั้น ในใจก็คิดอยู่ว่า “ใจดำ ใจดำ เรานี่ใจดำอย่างน่าเกลียด”

ยกจดหมายขึ้นอ่านอีกโดยไม่หยุดเดิน พยายามจะค้นความจริงว่า ผู้เขียนจดหมายมีอาการป่วยด้วยโรคชนิดใดแน่ “แล้วทำยังไงแกถึงจะหายป่วย” หล่อนปรารภในที่สุด “หมอหัวเมืองจะรักษาบ้าๆ บอๆ ยังไงมั่งก็ไม่รู้”

​สุนทรีกลับลงนั่งบนเตียงผ้าใบ พยายามรวบรวมความจำเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของงามพิศ เท่าที่หล่อนสังเกตเห็นวันที่หล่อนแวะเยี่ยมงามพิศที่ๆ อยู่ในคราวเที่ยวไทรโยค

คุณป้าปากหวานแต่ไม่น่าไว้ใจ ดูเหมือนช่างตื่นหลายอย่าง เป็นต้นว่าตื่นยศ ตื่นทรัพย์ ตื่นศักดิ์ ทั้งนี้สุนทรีอ่านจากกิริยาที่เห็นนางเชย ‘ลง’ ข้าหลวงเสียราบคาบ และ ‘แป้น’ ต่อหล่อน จนกระทั่งหล่อนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึง ‘มาก’ ถึงเพียงนั้น แต่ส่วนหลานของคุณนายเชยเอง.....สุนทรีไม่เข้าใจตัวของหล่อนเองว่า เหตุใดจึงเพิกเฉยต่อเด็กที่หล่อนสมเพชเวทนาเป็นหนักหนาได้นานถึงเพียงนี้

สุนทรีผุดลุกจากที่นั่ง ก็ประจัญหน้ากับท่านบิดาผู้ซึ่งกำลังเดินเลี้ยวมาทางมุมห้อง

“อะไรสุนทรีลุกพรวดพราดจะไปไหน?”

สุนทรีเงยหน้าขึ้นมองสบตาท่าน ด้วยเหตุที่ความอัดใจกำลังท่วมอก หล่อนตอบออกไปว่า

“มีเรื่องร้อนใจขึ้นแล้วค่ะ”

พระวนศาสตร์ฯ ชะงักไปอึดใจหนึ่ง แล้วถามขึ้นด้วยเสียงอ้นค่อย

“เจ้าประจิตรอีกหรือ?”

“อุ๊ยไม่ใช่ค่ะ” สุนทรีตอบเร็ว “คนอื่น”

ครั้นแล้ว หล่อนไม่รอให้ท่านถามต่อ รีบพูดสืบไปว่า

“งามพิศค่ะ ลูกของคนที่คุณจิตรขับรถชน แกเขียนจดหมาย​มาลาตาย”

สีหน้าพระวนศาสตร์ฯ มีอาการยิ้มเกิดขึ้น ท่านตอบว่า

“ถ้าลงเขียนจดหมายมาลาตาย ก็แปลว่าจะไม่ตาย คนที่ตั้งใจจะตายจริงๆ ไม่บอกใครล่วงหน้าหรอก”

“ไม่ใช่ยังงั้นค่ะ” สุนทรีค้านเสียงแหลม “งามพิศเป็นคนไม่มีมารยาเลย ลูกรู้จักแกดี ไม่เชื่อคุณพ่อลองอ่านจดหมายของแกดูซีคะ”

เมื่อเห็นธิดามีอาการตื่นเต้นเป็นที่แปลกตาท่านดังนั้น คุณพระจึงตอบเพื่อเอาใจ

“แกอ่านไปซี พ่อจะฟัง”

แล้วคุณพระก็นั่งลงบนเตียงผ้าใบ

สุนทรีนั่งลงบนพื้นเรือน อ่านจดหมายงามพิศเป็นคำรบสาม เมื่ออ่านจบแล้ว หล่อนเสริมเรื่องความเป็นอยู่ของงามพิศเท่าที่หล่อนเห็นประจักษ์ แล้วก็เงยหน้าขึ้นจ้องดูผู้ฟังเป็นเชิงขอความเห็น

คุณพระวนศาสตร์ฯ พูดว่า

“ไม่ใช่อะไรหรอก หายจากไข้รากสาดแล้วไม่ได้รับการบำรุง อาการไม่ดีอยู่หน่อยจริงๆ จิตใจแกเสียหมดเพราะร่างกายมันอ่อนแอ แบบนี้ถ้าโรคอื่นมาจับนิดเดียวก็ตายกันเท่านั้น”

สีหน้าสุนทรีแสดงความเดือดร้อนยิ่งขึ้น หล่อนร้องว่า

“ตายแล้วยังงั้นทำยังไงล่ะเดี๋ยวแกตายไปจริงๆ”

พระวนศาสตร์ฯ ตอบด้วยเจตนาจะล้อแกมประชด

“ก็แกไปรับมาจัดการบำรุงเสียเองก็แล้วกัน”

​ท่านประหลาดใจมาก เมื่อเห็นธิดาตบมือลงกับตัก และกล่าวว่า

“จริงแหละ” แล้วพูดต่อไปเป็นเชิงขออนุญาต “ดิฉันไปรับมาอยู่ที่นี่นะคะ จะไม่เกะกะเลย เพราะแกเป็นเด็กเรียบร้อยที่สุด น่าสงสารจริงๆ”

“ก็ตามใจแกน่ะซี” คุณพระตอบแกมหัวเราะ

ครั้นถึงเวลากลางคืน หลังจากที่ได้รับประทานอาหารได้ฟังนางวนศาสตร์ฯ ปรารภถึงภาระของแม่บ้าน ภาระแห่งการเป็นมารดาของเด็กที่ไม่ยอมนอนกลางวัน รวมทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอีก ๒-๓ ชนิดแล้ว สุนทรีกับสุทัศน์และหลวงชาญฯ ก็ปลีกตัวไปเดินเล่นกันที่ชายหาดตามเคย

ตอนหนึ่ง เมื่อการสนทนาขาดระยะลง โดยที่ชายหนุ่มทั้งสองหยุดพูดเพื่อจะใช้ความคิดไปตามทางแห่งอารมณ์ของเขา สุนทรีผู้ซึ่งยังมีเรื่องงามพิศเต็มอยู่ในสมอง ได้เอ่ยพูดถึงเรื่องนี้ขึ้น

และอาศัยการซักถามแสดงความทึ่งของชายหนุ่มทั้งสองเป็นปัจจัย สุนทรีได้เล่าเรื่องของงามพิศโดยตลอดรวมทั้งความเห็นของพระวนศาสตร์ฯ ในข้อที่เกี่ยวแก่ร่างกายและจิตใจของงามพิศด้วย

“ถูกของคุณพระท่านครับ” สุทัศน์กล่าวเมื่อสุนทรีหยุดพูดแล้ว “ไข้รากสาดถ้าเมื่อหายแล้วไม่บำรุงร่างกายให้ดี อาจจะทิ้งรอยไว้นาน บางทีถึงชั่วชีวิต แล้วผมเชื่อว่ามีคนน้อยคนมองเห็นความสำคัญของการบำรุง ยิ่งหัวโบราณละก็ยิ่งเสร็จเลย”

“คุณพ่อท่านแนะนำให้ดิฉันไปรับแกมารักษาตัวที่นี่” สุนทรี​บอก

“ก็ดีนี่ครับ” หลวงชาญฯ ว่า “ได้กุศลดี”

“แต่ดิฉันหนักใจกลัวยายคุณป้าแกจะไม่ให้มา”

“ทำไมล่ะครับ?” หลวงชาญฯ ถามอย่างสนเท่

“ก็ไม่ทราบค่ะ รู้สึกว่าแกเป็นคนๆ ละสมัยกับเรา จะพูดให้แกเข้าใจอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว คุณพ่อท่านสอนให้หาของกำนัลไปประจบแกเยอะๆ แต่ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจอยู่นั่นเอง อย่างนี้รู้สึกว่าจะต้องขู่ให้แกตื่นว่าหลานแกจะตายจริงๆ แต่แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะหาว่าดิฉันไม่ใช่มดใช่หมอสักหน่อยไปหลอกลวงจะล่อเอาเด็กของแกมา”

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ” สุทัศน์เอ่ยขึ้น “ผมจะอาสาไปเป็นหมอ ขู่ยายแก่ให้คุณ”

“จริงๆ หรือคะ?” สุนทรีถาม ความปิติอย่างจริงใจปรากฏอยู่ในน้ำเสียง

สุทัศน์เห็นว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องตอบ ชะโงกหน้าไปดูหลวงชาญฯ แล้วพูดว่า

“คุณหลวงไปด้วยกันไหม? ไปเที่ยวกัน”

สุนทรีอยากจะฉวยข้อมือนายแพทย์มาบีบและสั่นให้สมกับที่หล่อนขอบใจเขา หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความชื่นบานอย่าง

“แหม ดิฉันดีใจจริง” หันไปทางหลวงชาญฯ “ไปนะคะคุณหลวง วันพุธเราไปกัน รถที่จะมาจากปราณถึงนี่ ๘ นาฬิกา​เศษ แล้วจับรถด่วนจากทางโน้น ๑๗ นาฬิกา ๕๐ นาที เราสามเกลอไปช่วยกันขู่คนแก่ด้วยกัน”

 


Title: Re: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5
Post by: ppsan on 28 October 2025, 19:15:41



งามพิศลดตัวลงบนทราย มองดูหมู่คนที่กำลังเล่นน้ำทะเลด้วยความกระหายเป็นอย่างยิ่ง

แต่ความกระหายของงามพิศ เป็นความกระหายไม่มีความกระวนกระวายเจืออยู่ด้วย งามพิศรู้ว่าสุนทรีรับเอาตัวมาที่หัวหินเพื่อจะให้รักษาตัว เมื่อนายแพทย์ได้บอกแก่หล่อนว่าร่างกายของหล่อนยังไม่อยู่ในภาวะที่จะลงเล่นน้ำทะเลได้ หล่อนก็ไม่ต้องการที่จะลงเล่น ข้อที่หล่อนมีความกระหายนั้นเป็นเรื่องของใจ ซึ่งหล่อนห้ามมิได้ต่างหาก

นึกถึงเวลาที่เห็นคุณสุนทรีคนงาม ไปปรากฏขึ้นในที่อยู่ของตน งามพิศยังตื่นเต้นไม่หาย หล่อนไม่เชื่อนัยน์ตาของหล่อนเอง คิดว่าเพ้อไปเหมือนเวลาที่ความไข้กำลังขึ้นสูง จนได้ยินเสียงสุนทรีออกชื่อของตัว งามพิศก็ยังคิดว่าหูของตนได้ยินไปเอง แม้กระทั่ง​เมื่อได้รับสัมผัสคือเมื่อสุนทรีจับเนื้อต้องตัว ก็ยังไม่เชื่อความรู้สึกของตัวนัก จนกระทั่งเสียงอันเต็มไปด้วยอำนาจของคุณป้าดังขึ้นอย่างถนัดชัดเจน จึงแน่ใจว่าตนมิได้เพ้อหรือฝัน

นึกถึงเวลาที่สุนทรีกล่าวชวนงามพิศให้มาพักที่แหลมหิน งามพิศรู้สึกเหมือนได้น้ำทิพย์ หล่อนรู้ว่าคุณป้าจะขัดข้อง...เพื่อเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม....ก็ช่างท่านเป็นไร งามพิศได้เห็นว่าไม่เสียแรงที่ตนได้ผูกใจรักใคร่คุณสุนทรีเป็นหนักหนา

นึกถึงคุณหมอที่ไปกับคุณสุนทรี ช่างมีความกรุณาต่อหล่อนเสียนี่กระไร เห็นจะเป็นแพทย์ชั้นสูงที่สุด ชำนาญการตรวจโรคที่สุด เก่งที่สุด ช่างทายอาการของงามพิศได้ถูกถ้วนโดยมิต้องตรวจร่างกาย หรือไต่ถามอาการก่อนแม้แต่สักคำเดียว ถ้าไม่เป็นเพราะคำพยากรณ์ของท่านที่ว่างามพิศจะเจ็บอีกไม่ช้า ถ้าหากหล่อนมิได้รับการบำรุงรักษาอันถูกตำราแพทย์ทันเวลา ที่ไหนเลยคุณป้าจะปล่อยให้งามพิศมากับคุณสุนทรี

และคุณหลวงที่เป็นเพื่อนนายแพทย์อีกคนหนึ่งเล่า ท่าทางใหญ่ ‘คนใหญ่คนโต’ ราวกับท่านข้าหลวง เขาเป็นคนตั้งต้นพูดทีหลังที่สุด แต่ก็เพราะคำพูดคำที่สุดของเขาว่างามพิศอาจจะกลายเป็นคน ‘ครึ่งบ้าครึ่งบอ’ หรือ ‘เสีย’ ไปตลอดชีวิต ถ้าหากหล่อนไม่รีบย้ายสถานที่ไปพักรักษาตัวในภูมิประเทศที่เหมาะนี่แหละ ที่ทำให้คุณป้ากล่าวคำตัดสินเป็นคำสุดท้าย คือคำที่ว่า “เมื่อคุณกรุณาเด็กก็แล้วแต่คุณ?”

​แล้วงามพิศก็ได้เห็นวิมานลอยปรากฏอยู่ตรงหน้า.....คุณสุนทรีตามงามพิศเข้าไปในห้อง ช่วยเลือกเสื้อผ้า งามพิศตื่นเต้นงงงัน รู้สึกตัวว่าจนแสนจน จะหาเสื้อผ้าที่พอจะเรียกว่าใหม่หน่อยให้ได้แม้แต่สักชิ้นก็ไม่มี แต่คุณสุนทรียืนยันอย่างมั่งคงว่า ที่แหลมหินนั้น ไม่มีใครใช้เสื้อใหม่ผ้าใหม่ เขาแต่งตัวกันเหมือนอย่างแต่งอยู่กับบ้าน แล้วคุณสุนทรีเป็นผู้จัดเสื้อผ้าของงามพิศใส่ลงในกระเป๋า

คุณป้าเอาสร้อยข้อมือสองสายมา ‘แต่ง’ ให้หลาน คุณสุนทรีเธอชมว่าสวย ทองสุกดีมาก แล้วเธอก็หัวเราะ

เมื่อมาในรถไฟ งามพิศยังมีความรู้สึกไม่เชื่อความจริงที่ปรากฏแก่ตัวอยู่อีกบางขณะ แต่หล่อนได้เห็นและได้ยินผู้ที่พาหล่อนเดินทางมา หมั่นปราศรัยไต่ถามเรื่องราวแก่หล่อนเกือบไม่หยุดปาก และในตอนเย็นเมื่อแดดลบ คุณสุนทรีได้เปลื้องผ้าพันคอของเธอมาห่มให้งามพิศ

ตอนหนึ่งบ๋อยในรถไฟนำเบียร์มาให้แก่นายแพทย์และคุณหลวงเพื่อนของท่าน นำขนมปังและน้ำชามาให้คุณสุนทรี แต่งามพิศนั้นบ๋อยนำขนมปังและโคโก้มาให้

งามพิศนึกแน่ใจ ว่าตนจะรับประทานอาหารนั้นไม่ได้เลย ใจของหล่อนอิ่มจนเกินที่จะนึกถึงอาหาร แต่เมื่อได้รับประทานแล้วหล่อนก็เผลอตัวจนกระทั่งขนมปังหมดเกลี้ยงไปกับที่เพื่อจะแก้อายหล่อนได้ เหลือโคโก้ไว้ในถ้วยครึ่งหนึ่งทั้งๆ ที่รู้สึกเสียดาย

ครั้นถึงเวลาค่ำ เมื่อมีการเปิดไฟฟ้าในรถไฟได้สักครู่หนึ่ง ​คุณสุนทรีพางามพิศไปยังที่รับประทานอาหาร งามพิศต้องผ่านคนไปมากกว่าที่จะถึงที่นั่ง หล่อนรู้สึกประหม่าจนขาแกว่ง หล่อนได้นั่งในที่ตรงข้ามกับคุณสุนทรีมีนายแพทย์อยู่ข้างๆ บนพื้นที่เดียวกับหล่อน เป็นเหตุให้หล่อนต้องพยายาม ‘บีบ’ ตัวให้เล็กลงมากที่สุดที่จะมากได้

และหล่อนรู้สึกว่าโต๊ะที่ตรงหน้าแคบเหลือเกิน ส่วนของที่อยู่บนโต๊ะนั้นมากมายจนลานตา หล่อนกลัวว่ามือของหล่อนจะต้องปัดของตกลงไปจากโต๊ะสักสิ่งหรือสองสิ่งเป็นแน่

หล่อนรับประทานอาหารได้น้อย เพราะมัวแต่ต้องระวังมือแขน ถึงกระนั้นเมื่อหล่อนตักปลายังได้เอาข้อศอกของหล่อนไปกระตุ้นแขนนายแพทย์เข้าได้ แต่แทนที่หล่อนจะได้กล่าวขออภัย นายแพทย์กลับหันมาขอโทษหล่อนเสียก่อน

อาหารอีกอย่างหนึ่งรสแปลกและอร่อย แต่รับประทานแสนยาก เพราะต้องนั่นทุกคำถึงจะเข้าปากได้ ยิ่งผักต้มชิ้นนิดๆ ที่ประกอบกับอาหารนั้นด้วยแล้ว ยิ่งรับประทานยากไม่มีอะไรเท่า เพราะต้องใช้ส้อมเป็นเครื่องนำเข้าปาก จิ้มเอาก็ติดแต่เพียงชิ้นหรือสองชิ้นนิดๆ ครั้นจะหงายส้อมตักเอาแล้วส้อมป้อนเข้าปากด้วยก็กลัวจะผิดจากท่าที่ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสามกระทำ

อีกอย่างหนึ่ง ผ้าเช็ดมือที่เขาวางไว้ให้ช่างลื่นเสียจริงๆ ประเดี๋ยวๆ ก็ตกลงไปจากตัก แล้วงามพิศก้มลงจะเก็บทีไร นายแพทย์ก็ก้มลงเก็บให้หล่อนเสียก่อนทุกครั้ง

คุณสุนทรีทักว่างามพิศรับประทานอาหารได้น้อย งามพิศ​แก้ว่าเป็นเพราะหล่อนยังอิ่มอาหารเมื่อตอนเย็น

เมื่อมาถึงที่ๆ คุณสุนทรีบอกว่าเป็นที่พัก งามพิศรู้สึกตัวว่าสบายใจยิ่งขึ้น ท่านบิดาของคุณสุนทรีพูดคำเดียว ภรรยาของท่านพูดทีละมากๆ คล้ายๆ คุณป้าโดยไม่กวนให้หล่อนตอบเลย น้องๆ ของสุนทรีเข้ามาเป็นเพื่อนกับงามพิศ

หล่อนถูกบังคับให้เข้านอนพร้อมกับคุณเล็กๆ และหลับสนิทไปจนเช้า

รับประทานอาหารแล้ว คุณสุนทรีพางามพิศไปเที่ยวตลาด คุณหวินกับคุณนงก็ไปด้วย ตลาดนั้นมีของขายน้อยกว่าตลาดในจังหวัดที่งามพิศเคยอยู่ แต่สะอาดกว่าใหญ่โตกว่ามาก คุณหวินกับคุณนงซื้อขนมหลายอย่าง แต่คุณสุนทรีซื้อไข่ไก่อย่างเดียวเป็นห่อเบ้อเร่อ

เมื่อกลับจากตลาดได้สักครู่ใหญ่ คุณสุนทรีบังคับให้งามพิศดื่มนมสดอีกถ้วยหนึ่ง เป็นถ้วยที่สองที่งามพิศต้องดื่มในระยะสามชั่วโมงครึ่ง

เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้ว คุณสุนทรีบังคับให้นอนหลับ....ที่จริงคุณสุนทรีช่างบังคับหลายอย่างแต่งามพิศมีความสุขและเบิกบานที่สุดในการที่ถูกบังคับเช่นนี้

เมื่อหล่อนตื่นนอนขึ้น คุณสุนทรีเล่าให้ฟังว่า เธอได้เขียนจดหมายส่งไปกรุงเทพฯ ให้พี่ประพันธ์มาหาน้องที่หัวหินในวันเสาร์ที่จะมาถึง และกลับกรุงเทพฯ ในวันอาทิตย์

ดูเถอะคุณสุนทรีนี้เห็นจะไม่ใช่มนุษย์สามัญเหมือนคนอื่น เห็น​จะเป็นเทพธิดาจุติลงมาเกิด ช่างกรุณาแก่งามพิศจนถึงกับคิดการทุกอย่างล้วนแต่จะทำให้งามพิศได้รับความสุขอย่างเยี่ยมๆ ทั้งนั้น งามพิศดีใจจริงๆ ที่ได้พบพี่ชาย ถึงแม้ว่างามพิศจะมิได้ใฝ่ฝันอยากพบพี่ประพันธ์บ่อยนัก แต่หล่อนรักเขามากเสมอเพราะเหตุว่าเขาเป็นพี่ชายคนเดียวของหล่อน

สุนทรีขึ้นจากที่น้ำลึกวิ่งมาตามที่ตื้น งามพิศรู้สึกหน้าชาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคุณสุนทรีละส่วนแห่งร่างกายไว้นอกเสื้อผ้าเป็นส่วนมากเหลือเกิน แต่หล่อนรู้ว่านั่นมิใช่เป็นการกระทำที่น่าเกลียด ก็ได้ยินเพื่อนๆ เขาคุยกันถึงเรื่องเสื้อสำหรับอาบน้ำทะเลบ่อยๆ และได้เห็นรูปถ่ายในหน้าหนังสือพิมพ์หลายครั้ง แสดงว่าผู้ที่อาบน้ำทะเลที่หัวหิน จะต้องสวมเสื้อแบบนี้ทุกคน

สุนทรีกล่าวแก่งามพิศว่า

“ไปกินของว่างกันก่อน ประเดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่”

งามพิศลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที

งามพิศรู้สึกว่าหล่อนรับประทานอาหารได้มากทุกมื้อ ถึงแม้กระนั้นก็ไม่วายที่สุนทรีจะวอนถามว่า “เอานั่นอีกไหม? เอานี่อีกไหม?”

รับประทานของว่างแล้วก็กลับลงมายังหาดทรายอีก สุนทรีชวนงามพิศเดินไปทางใต้ เด็กใหญ่และเด็กเล็กรวมทั้ง ๓ คนเดินไปด้วยพักหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็ลดฝีเท้าเสียบ้าง นั่งลงเก็บหอยเสียบ้าง สุนทรีกับงามพิศก็เดินต่อไปตามลำพัง

​ทั้งสองสนทนากันด้วยเรื่องเก่า คือเรื่องการเที่ยวไทรโยค และเรื่องบุคคลที่ร่วมทางไปในคราวนั้น งามพิศเล่าว่าส่งศรีได้หมั้นกับนายสวงแล้ว จะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้

“วิชาครู ป.ม. เห็นจะค้าง?” สุนทรีพูดแกมหัวเราะ

“ค้างแน่ค่ะ” งามพิศตอบเรียบๆ “ที่จริงเขาว่าถึงเขาจะแต่งงานเขาก็จะเรียนต่ออีก แต่ดิฉันไม่เชื่อเพราะเขาบอกดิฉันเอง ว่าตั้งแต่ต้นปีมาเขายังไม่ได้เปิดหนังสือดูสักหน้าเดียว แต่งงานแล้วยิ่งจะมีธุระมาก จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงหนังสือ”

หล่อนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถอนใจน้อยๆ และพูดว่า

“ดิฉันเองก็คงค้าง เพราะไม่ทราบจะทำยังไง หนังสือก็ไม่มีเวลาได้ดู เมื่อกลับจากไทรโยคใหม่ๆ ยังได้ดูมั่ง แล้วก็ล้มเจ็บเสียตั้งเดือนกว่า เมื่อหายแล้วจะดู....ก็....ลำบากใจคุณป้าท่านว่า ถึงทีอ่านหนังสือละก็อ่านได้ พอทำงานเข้าเป็นต้องมีเรื่อง ดิฉันก็เลวจริงๆ ของท่านด้วยค่ะ เวลาอ่านหนังสือไม่รู้สึกเป็นอะไรเลย หน้ามืดบ้างเวลาที่อ่านๆ อยู่แล้วจะลุกขึ้นแต่ประเดี๋ยวเดียวก็หาย ส่วนเวลาทำงานอย่างซักผ้ารีดผ้าอย่างงี้เหนื่อยใจจะขาดเสียให้ได้”

เมื่อได้ฟังคำที่ว่า ‘ซักผ้า’ สุนทรีรู้สึกสะดุดใจ จึงถามรายละเอียดถึงงานที่งามพิศทำประจำวัน งามพิศเล่าไปโดยตลอดด้วยน้ำเสียงปกติมิได้มีกิริยาแสดงความขวยอาย สุนทรีฟังแล้วก็สลดใจอย่างยิ่ง

หล่อนคิดปรารภว่า จะคิดอ่านอย่างไรดีจึงจะช่วยงามพิศให้ได้รับความสุขสมควรแก่ฐานะอันแท้จริงของหล่อน จริงอยู่ในระยะ​เวลาหนึ่งเดือนสุนทรีจะช่วยให้งามพิศมีความสุขได้ทุกประการ แต่เมื่อพ้นเวลานั้นไปแล้วเล่า งามพิศก็จะต้องกลับสู่สภาพเดิม ถูกฝังอยู่ในที่ๆ เป็นข้าศึกแห่งความเจริญแก่จิตใจทุกสิ่งทุกประการ

แต่งามพิศมิได้คิดไกลไปเท่ากับที่สุนทรีกำลังคิดอยู่ งามพิศคิดเพียงเท่าที่ในวัยของหล่อนจะคิดได้ คือคิดถึงเวลาเฉพาะกาลอันเป็นเวลาที่ตนได้รับความสุข และมีหวังไม่น้อยในความรุ่งเรืองแห่งอนาคตกาลของตน เหตุฉะนั้นงามพิศจึงพูด

“แต่เวลาดิฉันหายดีแล้ว ดิฉันจะตั้งหน้าเรียนให้มากๆ ที่สุดทีเดียว สามปีพอเรียนได้ไหมคะ?”

สุนทรีมองดูผู้พูดด้วยความสงสาร สามปี เรียนโดยไม่มีครู ! มิหนำซ้ำยังมีอุปสรรคร้อยพันอย่าง ! แม้จะเพิ่มเวลาอีกเท่าตัวก็น่าจะไม่สำเร็จ แต่สุนทรีไม่มีความประสงค์จะให้เด็กท้อใจ จึงตอบว่า

“เอาแค่สี่เถอะ กำลังดี”

แล้วหล่อนคิดเมตตายิ่งขึ้นในเด็กสาวที่กำลังสนทนาอยู่กับหล่อนนี้ สงสารว่าเป็นกำพร้าที่พึ่งมิได้ทั้งเป็นคนซื่อทั้งไร้เดียงสา ทั้งมีมานะมั่นคงดี

นึกขำความลักลั่นของโลก หญิงที่ได้เคยมีความสัมพันธ์กับหลวงประเสริฐฯ สองนางกำลังเสพย์ความสุขกายสะดวกใจอยู่ในที่อยู่ของประจิตร เพราะหญิงนั้นอาศัยเล่ห์เหลี่ยมการลวงโลกเป็นเครื่องมือ แต่สายโลหิตของหลวงประเสริฐฯ แท้ๆ ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมและความยากแค้นจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด....สุนทรี​ถอนใจขึ้นโดยแรง

งามพิศหันมาดูหล่อน สุนทรีจึงต้องยิ้มรับดวงตาซึ่งสำแดงอาการพิศวง แล้วจับแขนเด็กสาวดึงเข้าหาตัวโอบบ่าเจ้าหล่อนไว้ด้วยวงแขน และเดินต่อไปช้าๆ ในกิริยาเช่นนั้น

สุนทรีมองดูนาฬิกา ชวนงามพิศกลับมาทางเก่า หล่อนไม่ประสงค์จะทำทางกลับให้เกินกำลังของงามพิศเดินมาได้ไม่ช้าก็พบกับหลวงชาญฯ

“ผมไปที่บ้านมาก่อน ได้ทราบว่าคุณมาเดินเล่นก็เลยเดินตามมา” หลวงชาญฯ กล่าวว่า

“ดีจริงค่ะ ได้เพื่อนคุยอีกคนหนึ่ง” สุนทรีตอบแล้วถาม “เกลอของคุณหลวงไปไหนเสียเล่าคะ?”

“หมอหรือครับ? เขาไปกรุงเทพฯ เสียแล้ว ถูกโทรเลขเรียกตัว เพราะเขามีไข้อยู่รายหนึ่ง เมื่อก่อนที่จะมาเขาฝากเพื่อนหมอด้วยกันให้ช่วยดูแลแทน ถ้าคนไข้จะกลับมีอาการหนักไปหรือยังไง อีตาเพื่อนถึงได้โทรเลขเรียก”

งามพิศรู้สึกใจหายวาบ แต่มิใช่วิสัยของหล่อนที่จะออกปากแสดงความรู้สึกต่อหน้าผู้ที่หล่อนยังไม่คุ้นเคย หล่อนพอใจมากเมื่อได้ฟังสุนทรีพูดว่า

“แหม ไม่อยากเชียว พบกันสามคนทุกๆ วัน มาขาดไปเสียคนหนึ่ง”

“เขาจะกลับมาอีกครับ” หลวงชาญฯ รีบตอบพร้อมกับหัวเราะ “เขาว่าเขาจะพยายามมาราวๆ มะรืนนี้ ถ้าช้าไปกว่านั้นก็แปลว่า​มาไม่รอด หมายความว่าทิ้งคนไข้มาไม่ได้”

“ตาย ขอให้มารอดทีเถอะ” สุนทรีว่า “คนไข้ทางนี้ก็มีอยู่ด้วยนี่นา” แล้วหล่อนก็หัวเราะพร้อมกับหันไปดูงามพิศ

สุนทรีทำการบำรุงงามพิศอีก

งามพิศเพิ่งจะพ้นกำหนดไว้ทุกข์ คุณป้ายังมิได้ทำการซื้อหาเสื้อสีผ้าให้หล่อนเพิ่มขึ้นจากที่นี่ อยู่ในสมัยเมื่องามพิศยังอยู่กับบิดา

เวลากลางวันสุนทรีทำผ้านุ่งและเสื้อสำหรับให้งามพิศซื้อผ้ามาจากร้านในแหลมหินนี้เองบ้าง แก้ไขของๆ หล่อนที่มีอยู่แล้วให้เหมาะแก่ตัวงามพิศบ้าง และงามพิศนั้นมีฝีมือในการด้นหรือสอยดีพอใช้ได้ แต่ขาดความสามารถที่จะตัดและประกอบชิ้นผ้าให้เป็นรูปเสื้อ สุนทรีก็ตัดผ้าให้หล่อนและชี้แจงให้ด้นให้สอยในที่ๆ ควร

พ้นจากการเย็บ เมื่อมีเวลาเหลือจากการออกกำลังและการเที่ยว สุนทรีให้งามพิศยืมหนังสืออ่านทั้งภาษาฝรั่งภาษาไทยเป็นหนังสือชนิดเรื่องอ่านเล่น อ่านได้ง่ายซึ่งสุนทรีนำมาจากกรุงเทพฯ ด้วยเพื่อจะอ่านในเวลาที่มาพักสมอง

และสุนทรีสังเกตเห็นว่า เมื่องามพิศจับหนังสือเข้าแล้วก็มักจะอ่านอย่างที่ไม่อยากวาง ครั้งหนึ่งสุนทรีเห็นงามพิศร้องไห้เพราะอ่านหนังสือเรื่องโศก หล่อนเห็นข้นแล้วก็นึกเอ็นดู แล้วหล่อนนึกถึงความที่ประจิตรได้ยก ‘ภรรยาเก็บ’ ของเขามาเปรียบกับหล่อน ในกรณีที่หล่อนอยากร้องไห้เมื่อดูภาพยนตร์อันเป็นเรื่องกินใจ สุนทรี​คิดว่างามพิศอาจจะอยากร้องไห้ได้เหมือนกัน ในเมื่อได้ดูภาพยนตร์เรื่องที่ ‘เรียก’ น้ำตา เพราะงามพิศเข้าใจภาษาฝรั่งพอที่จะเข้าใจเรื่องที่หล่อนเห็นปรากฏในจอภาพยนตร์ได้

 


Title: Re: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5
Post by: ppsan on 28 October 2025, 19:16:42



​“ฉันจะแต่งตัวเธอไปอวดหมอ” สุนทรีกล่าวแก่งามพิศ ในขณะที่เปิดหีบเครื่องเย็บและซื้อม้วนริบบิ้นกลุ่มไหมออกมาวางไว้เป็นกองๆ “หมอจะได้ดีใจว่าคนไข้สดใสขึ้นมากแล้ว”

สุนทรีเลือกได้ริบบิ้นกำมะหยี่สีฟ้าอ่อนอันเป็นสีที่เข้ากับเสื้อที่งามพิศสวมอยู่แล้ว เก็บของที่รื้อออกจากหีบเข้าไว้ยังที่ปิดฝาหีบเสร็จ ก็หันมาทางงามพิศ ปลดคลิบออกเสียจากผมเจ้าหล่อนผู้นี้ ทาบริบบิ้นลงบนศีรษะ ตอนหน้าผูกริบบิ้นเป็นเงื่อนเล็กไว้ใต้ผมตรงท้ายทอย จับผมให้เป็นรูปเหมาะ ดูงาม แล้วสุนทรีถอยห่างออกไปเล็กน้อยพิศดูงานที่ตนทำไว้

“จะแกล้งทำให้หมอตกใจ” สุนทรีพูดอีก หันไปหยิบลิปสติคที่โต๊ะเครื่องแป้งนำมาเขียนปากให้งามพิศ

​“เม้มริมฝีปากเข้า” หล่อนบอกพร้อมกับที่ซักมือออกจากปากงามพิศ “ทำยังงี้” เม้มริมฝีปากของหล่อนเอง “อีกหน่อย....เอาละ” หล่อนหัวเราะ “ไปดูกระจกถีเป็นยังไง”

งามพิศเดินไปหน้ากระจกเงา เห็นหน้าของตนเองแล้วก็หันมาพึมพำแก่สุนทรี

“แหม มันแดงนี่คะ”

“ก็จะให้แดงน่ะซี ถึงได้ทา”

“มันแดงมากนี่คะ”

“ไม่มากเลย ฉันจำริมฝีปากของเธอได้ว่าเคยเป็นยังไงริมฝีปากแท้ๆ ของเธอเป็นสีอย่างนี้แหละ แต่เดี๋ยวนี้ไข้มันกินเลือดของเธอเสียหมดต่างหาก”

งามพิศทำหน้าไม่วางใจ สุนทรีก็หัวเราะแล้วว่า

“เธอเสร็จแล้วออกไปนั่งคอยข้างนอกก่อน แล้วอย่าไปทำอะไรกับหน้าอีก อย่างนี้กำลังสวย หมอเห็นแล้วจะดีใจ”

งามพิศออกจากห้องไปที่เฉลียง พบถวิลกับจำนงนั่งเล่นหมากเก็บกันอยู่ งามพิศนึกอายหน้าของตัวเองกลัวเด็กจะเห็นผิดสังเกต แต่เด็กทั้งสองนึกถึงการเล่นมากกว่า ช่วยกันเรียกร้องให้งามพิศเล่นด้วย ถวิลลงแรงถึงกับฉุดมืองามพิศเพื่อจะให้เขาวง

จำนงมีนิสัยเย็นและช่างสนุกคล้ายเด็กผู้ชายที่ใจดี เมื่อเล่นอะไรจะผิดบ้างถูกบ้าง แพ้บ้างชนะบ้างก็คอยแต่หัวเราะอยู่เสมอ แต่ถวิลนั้นใจเป็นเด็กไปกว่าอายุแก่กว่าน้องถึงสองปี ก็ยังหารู้ที่จะ ‘ยอม’ ให้น้องไม่ ถ้าคราวใดเล่นแพ้น้องก็ทำกิริยาตุปัดตุป่อง ขึ้ง​โกรธ เผอิญฝีมือของถวิลทางหมากเก็บก็อ่อนกว่าฝีมือน้อง ถวิลจึงชอบให้งามพิศเล่นด้วย เพราะงามพิศมักจะหย่อนฝีมือให้ และทำตัวของหล่อนให้แพ้อยู่เสมอ

สุนทรีออกมาจากห้อง เด็กทั้งสองเห็นพี่สาวแต่งตัวก็เกิดความอยากรู้ ครั้นแล้วก็เกิดความอยากตามไปในที่ๆ จะไปด้วย

สุนทรีมองดูเครื่องนุ่งห่มที่น้องแต่งอยู่ เห็นสะอาดเรียบร้อยพอดูได้ ก็ออกปากอนุญาต สั่งให้น้องไปสวมรองเท้า และสั่งให้คนใช้ไปตามจักรยานสามล้อมาเป็นคันที่สอง

แล้วสุนทรีนึกถึงรองเท้าสำหรับงามพิศขึ้นได้ งามพิศไม่มีรองเท้าหุ้มส้นมาด้วยแม้แต่สักคู่ หล่อนบอกสุนทรีตามตรงว่าหล่อนไม่มี เพราะรองเท้าที่เคยใช้เมื่อแต่ก่อนนั้นคับเสียหมดแล้ว

โดยปกติสุนทรีไม่นิยมใช้รองเท้าเตี้ยหรือรองเท้า ‘ครึ่ง’ เว้นแต่ในคราวที่ต้องการความสบาย เหตุฉะนั้น บัดนี้หล่อนจึงมีอยู่แต่เพียงคู่เดียว คือคู่ที่หล่อนสวมอยู่

“ลองใส่รองเท้าส้นสูงมั่งเอาไหม?” หล่อนถามงามพิศ

“ที่จริงใส่รองเท้าแตะก็ได้ แต่มันไม่เหมาะกับเครื่องแต่งตัวของเธอเวลานี้ แต่เท้าเธอกับเท้าฉันจะใส่กันได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้”

หล่อนกลับเข้าในห้อง และเลือกรองเท้าที่ส้นเตี้ยมากที่สุดที่จะเลือกได้ มาให้งามพิศลอง

สุนทรีสูงกว่างามพิศเกือบสามนิ้ว เสื้อของสุนทรีนั้นเหมาะแก่ตัวงามพิศในส่วนใหญ่ ส่วนยาวยาวเกินงามพิศไปทุกตัว แต่รองเท้าของสุนทรี งามพิศใส่ได้พอเหมาะ

​“เธอยังจะสูงอีกมาก” สุนทรีกล่าว “เพราะเท้าเธอยาว ไหนลองลุกขึ้นเดินถี”

“เคยใส่รองเท้าส้นสูงมั่งหรือเปล่า?” หล่อนถามเมื่อเห็นท่าทีงามพิศเดิน

“เคยค่ะ” เป็นคำตอบอย่างแน่นแฟ้น “แต่สูงไม่ถึงเท่านี้”

สุนทรียิ้ม “ใส่รองเท้าส้นสูงต้องเดินดันเอว” หล่อนว่า “แล้วต้องเดินทั้งขา อย่าเดินแต่เพียงหัวเข่า ตั้งอกขึ้นให้ตรง”

งามพิศพยายามทำตามคำสั่งสอนนั้น แต่ยังจับวิธีไม่ได้ สุนทรีจึงทำท่าให้ดูประกอบคำอธิบาย

“พยายามยกขาขึ้นทั้งขา แล้ววางทางปลายเท้าลงก่อน ถ้าตัวตั้งตรงไม่ได้ต้องให้หนักไปทางหน้า ใส่เกือกส้นสูงแล้วเดินหนักหลังเป็นน่าเกลียดที่สุด....บีบขาเข้าหน่อย เท้าซ้ายเท้าขวาอย่าห่างกันนัก ตั้งปลายเท้าทั้งสองข้างให้ตรงหน้า”

เสียงของเด็กผู้ชายเล็กๆ ดังขึ้นในที่ใกล้

“แหม วันนี้พี่พิศสวยจัง เสียแต่เดินยังกะการ์ตูน”

สุนทรีนึกขันคำของน้อง แต่เกรงอีกฝ่ายหนึ่งจะอาย จึงหันไปขึงตา

แต่งามพิศหันไปจับแขนเด็กชายเบาๆ และพูดแกมหัวเราะ

“พี่พิศกำลังหัดเดินเกือกส้นสูง”

เสียงกระดิ่งรถจักรยานดังขึ้น เด็กชายเล็กผู้ซึ่งแต่งตัวเสร็จแล้ว อยากจะออกจากบ้านเต็มที ก็ลงมือเร่งพี่สาว

สุนทรีลงจากเรือนแล้วก็สั่งคนใช้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าครัวว่า “คุณ​พระกับคุณผู้หญิงกลับมาละก็เรียนท่านนะว่า ฉันกับน้องๆ ไปรับคุณสุทัศน์ที่สถานี”

ขบวนรถวันนี้สั้นมาก แม้กระนั้นก็ยังยาวไปสำหรับจำนวนผู้โดยสาร

สุทัศน์นั่งมาคนเดียวในรถคันหนึ่ง รถคันนี้เทียบตรงหน้าสถานี เมื่อเขาชะโงกหน้าออกมานอกรถ งามพิศสังเกตเห็นหน้าเขาแดงจัด เห็นจะเป็นที่เขานั่งรถไฟกระทบความร้อนมาตลอดทาง !

“คนไข้ที่กรุงเทพฯ เป็นอย่างไรมั่งคะ?” สุนทรีถามทันทีที่เขาลงจากรถมาใกล้หล่อนแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” เขาตอบ “หมอที่ผมฝากไว้ตกใจมากไปหน่อย เขากลัวว่าถ้าพลาดพลั้งไปเขาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”

“ยังงั้นดูคนไข้ทางนี้มั่งคะ เป็นยังไง?” แล้วสุนทรีเบือนหน้าไปทางงามพิศผู้ซึ่งยืนเยื้องไปทางเบื้องหลังหล่อนเล็กน้อย

งามพิศก้มหน้าลงทันที ด้วยเกิดความกระดากและอยากเม้มริมฝีปาก ซึ่งหล่อนรู้สึกตลอดเวลาว่ามีสีทาอยู่

สุทัศน์เอียงคอลงเล็กน้อย เพื่อจะมองดูหน้าหล่อนให้ถนัด แล้วเขาพูดว่า “ดีขึ้นแต่ยังซีดอยู่มาก”

สุนทรีรู้สึกผิดหวัง หล่อนอยากให้สุทัศน์แสดงความตื่นเต้นสักหน่อย อย่างไรก็ตามหล่อนพูดว่า

“แหม ใจหัวใจแขวน กลัวว่าคุณหมอจะไม่มาเสียก็ไม่รู้ เห็นไหมคะ ต้องมาคอยรับทั้งที่ไม่ทราบแน่ว่าจะมา เพราะจะคอยจน​กว่าคุณหลวงชาญฯ จะไปส่งข่าวน่ะไม่ไหวอัดใจเต็มที”

“คุณสุนทรีบ่นสักกระบุงหนึ่ง” หลวงชาญฯ กล่าว “จนคุณพระขัดคอ”

“บ่นอะไร?” สุทัศน์ถาม เลิกคิ้วขึ้นในท่าพิศวง

“บ่นถึงคุณสุทัศน์น่ะซีคะ” สุนทรีตอบ “พิโธ่ ! เคยอยู่ๆ ด้วยกัน แล้วก็หายไปเสียเฉยๆ แล้วไม่รู้แน่ว่าจะกลับเมื่อไหร่ เป็นหมอนี่เหลือเกินไม่มีเวลาเป็นอิสระเสียเลย”

สุทัศน์รำคาญตัวเอง ในข้อที่หน้าของเขาชวนจะแดงขึ้นร่ำไป เขายิ้มเยาะตัวเอง เมื่อนึกถึงว่าตัวเป็นคนที่มีราคาสำหรับสุนทรี ก็เพราะสุนทรีถือว่าเขาเป็นแพทย์รักษา ผู้ที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของหล่อนดอก เหตุฉะนั้นเขาจึงตอบอย่างเคร่งขรึม

“ทำยังไงได้ หน้าที่ต้องเป็นหน้าที่”

แล้วเขาหันหน้าไปปราศรัยกับเด็กสามคน แล้วรีบหาเรื่องพูดกับหลวงชาญฯ เสียทันใด

ระหว่างนั้นงามพิศก็แอบกระซิบกับสุนทรี ขอให้ถามหมอว่าจะอนุญาตให้หล่อนลงอาบน้ำทะเลได้หรือยัง

“ก็ทำไมไม่ถามเอง” สุนทรีว่าแล้วหัวเราะ

“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวท่านว่า”

“อะไร้ !” เสียงสุนทรีดังขึ้นเล็กน้อย “ไม่ว่าหรอก ท่านใจดีจะตาย คุณหมอคนนี้น่ะ”

สุทัศน์หันมาดู เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้าย สุนทรีจึงพูดว่า

“คนไข้อยากจะถามอะไรหน่อยค่ะ”

​“อะไร?” สุทัศน์ถามและจ้องดูงามพิศ เจ้าหล่อนประหม่าด้วยนัยน์ตาของเขา ก็ก้มหน้าลงแล้วตอบว่า

“เปล่าค่ะ”

“อ้าว แล้วกัน” สุนทรีอุทาน “เกิดเปล่าเสียแล้ว ไม่ถามเองไม่ได้อาบ ฉันไม่รู้ด้วยนะ พิโธ่ ! หมอใจดีๆ ยังงี้ยังกลัวได้”

หลวงชาญฯ หัวเราะแล้วชวนให้ออกจากสถานี สุนทรีเห็นชอบด้วย แล้วหล่อนกำชับชายหนุ่มทั้งสองว่า

“วันนี้อาหารค่ำที่บ้านดิฉันตามเคยนะคะ” หัวเราะพร้อมกับพูดต่อไป “วันนี้หมอเห็นจะต้องอธิบายเรื่องเส้น เพราะเมื่อวานนี้คุณละม้ายขาแพลง”

ชายหนุ่มทั้งสองก็พากันหัวเราะกับหล่อนด้วย เพราะนึกขันโดยใจจริง

เมื่อมาถึงที่พักแล้ว สุนทรีปล่อยให้เด็กๆ ไปส่งข่าวเรื่องสุทัศน์แก่บิดามารดา ตัวหล่อนเองจับข้อมืองามพิศจูงไปตามใต้ร่มไม้ช้าๆ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันอ่อนโยน

“ขอสอนอะไรเธอสักอย่างหนึ่งนะ....” สบตางามพิศมองดูด้วยความกังวล ก็รีบพูดต่อไปพร้อมกับหัวเราะ “อย่าตกใจซิ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ฉันอยากให้เธอเป็นคนสวยเท่านั้นเอง เวลาที่เธอรู้สึกอายหรือกลัวขึ้นมาละก็อย่าก้มหน้างุบลงจน...อย่างที่เธอเคยทำ ที่จริงมันไม่ผิดร้ายหรอก แต่ว่าไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นสาวแล้ว ทำให้หายสวยไปหน่อย ก้มก็ได้แต่ก้มแต่น้อย แล้วก้มเบาๆ ช้าๆ ละก็จะดูงาม”

​ประมาณสัก ๑๕ นาทีต่อจากนั้น มีคนขับจักรยานสามล้อคนหนึ่งมาถามหาสุนทรี แล้วส่งขวดยาให้หล่อนหนึ่งขวด พร้อมกับนามบัตรซึ่งมีลายมือสุทัศน์ เขียนเป็นคำสั่งสั้นๆ ประกอบมาด้วยว่า “ให้งามพิศรับประทาน ๑ ช้อนหวาน หลังอาหารวันละ ๓ ครั้ง”

ยานั้นในยาตำรับปรุงเสร็จมาจากประเทศออสเตรเลีย สีดำแดง เหลวและข้น ไม่มีขมไม่มีขื่น แต่หวานจัดและเอียน เมื่องามพิศรับประทานแล้ว หล่อนนึกอยากนินทาหมอ แต่เมื่อนึกถึงความเอื้อเฟื้อของเขา หล่อนก็ต้องสรรเสริญเขาอยู่ในใจ

ตกเย็น เมื่อสุนทรีขึ้นจากอาบน้ำทะเล และรับประทานของว่างเสร็จ เตรียมตัวจะพางามพิศไปเดินออกกำลังตามเคย สุทัศน์กับหลวงชาญฯ ก็มาถึง

สุนทรีแสดงความยินดีมาก แต่งามพิศรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ชั่วโมงแห่งการเดินเล่นกับสุนทรี เป็นชั่วโมงที่งามพิศหวงแหน ไม่เต็มใจจะแบ่งให้ใคร หล่อนชอบการที่ได้เดินอยู่กับสุนทรี ริมๆ ลูกคลื่นที่วิ่งไล่กันขึ้นบนชายหาด เพลิดเพลินด้วยวาจาของสุนทรี ซึ่งงามสำนวน ‘คุย’ อย่างปกติสามัญ แต่ซึ่งมักจะมีบทเรียนบทใดบทหนึ่งแฝงอยู่ด้วยเสมอ

แต่เพราะเหตุที่สุทัศน์ ได้ออกปากอนุญาตให้งามพิศลองลงอาบน้ำทะเลได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป โดยที่มิได้มีผู้ใดผู้หนึ่งออกปากถามเขาขึ้นก่อนเลย งามพิศก็กลับนึกปิติในการที่หล่อนได้พบกับเขา

​ระหว่างทางที่เดินไปด้วยกันทั้ง ๔ คน สุทัศน์เอ่ยขึ้นว่า

“นายแมนจะแต่งงานเดือนหน้า”

“ยังงั้นรึ?” หลวงชาญฯ ถามอย่างไม่สู้เชื่อนัก “แต่งกับใคร?”

สุทัศน์ออกนามคู่หมั้นของนายแมน ซึ่งเป็นธิดาของผู้มีเกียรติและมั่งคั่งผู้หนึ่ง และซึ่งหลวงชาญฯ และสุนทรีรู้จัก

“เก่งมาก” หลวงชาญฯ กล่าวอีก “เก่งมากทีเดียว เคราะห์มันดี”

“โชคมาวาสนาเกื้อ” สุนทรีกล่าว “ทีนี้คุณแมนเห็นจะรอด” หล่อนชะงัก หันไปถามสุทัศน์ “คุณรู้จัก....คุ้นเคยกับคุณแมนมากหรือคะ?”

เขาอ่านความคิดของหล่อนออก จึงตอบพร้อมกับยิ้ม

“ไม่คุ้นเคย แต่รู้จักพอที่จะทราบว่าเขาเคราะห์ดีมาก”

“ผมว่าฝ่ายผู้หญิงเขาเก่งพอใช้ ที่จะกล้าแต่งงานกับนายแมน” หลวงชาญฯ พูด “บางทีมันอาจจะกลับตัวใหม่ได้กระมัง แต่ว่าพอแต่งงานแล้ว ผู้หญิงคงต้องตั้งหน้าใช้หนี้ไปอีกหลายปี”

“ก็ไม่เป็นไรนี่คะ ถ้ารักกันแล้ว ถึงจะลำบากหน่อยก็ทนได้ ชั่วแต่คุณแมนอย่าทำซ้ำหรือทำใหม่ก็แล้วกัน”

นิ่งเงียบไปด้วยกันทั้งสามคน เพราะต่างคนต่างคิดจนเพลิน งามพิศมองดูหน้าเขาทีละคนด้วยความทึ่ง ภายหลังหลวงชาญฯ เอ่ยขึ้นใหม่ว่า

“เขาว่าการแต่งงานนี้จัดกันมาแต่พรหมโลก ผมว่าถ้ายังงั้นพระพรหมก็ตาถั่ว เพราะเราจะเห็นว่าผัวเมียแต่ละคู่ไม่เหมาะกัน​เลย”

“นั่นแหละแปลว่าพระพรหมตาดี” สุทัศน์แย้ง “เพราะคนดีมีไม่พอให้เลือกได้ คู่ๆ เสมอกันก็ต้องเอาชั่วไปปนกับดี เอาดีไปปนกับชั่ว พอคละๆ ไว้จะได้ถ่วงน้ำหนักกันอยู่”

หลวงชาญฯ ไม่ค้านแสดงความเห็นต่อไปว่า

“ผมว่าการแต่งงานก็เหมือนแทงหวย เคราะห์ดีก็ได้ เคราะห์ร้ายก็เสีย”

“สำหรับผู้หญิงกระมังคะ” สุนทรีว่า “เพราะผู้ชายมีโอกาสเลือกได้ก่อน”

“เหมือนกันแหละครับคุณ” หลวงชาญฯ ตอบ “ชายเลือกได้ก่อนก็จริง แต่ไปเลือกเขาถึงก้นครัวเมื่อไหร่ ผู้หญิงน่ะเวลาออกแขกกับเวลาอยู่บ้านไม่เหมือนกันเลย”

สุนทรีนึกสงสัยว่าหลวงชาญฯ จะได้รับความผิดหวังการเลือกคู่ของเขาหรือไรหนอ?

สุทัศน์พูดขึ้นว่า

“ผู้ชายที่เคราะห์ดีก็ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างนายแมนใครจะนึกจะฝันว่าจะได้ผู้หญิงอย่างนั้น บางคนที่ซวยก็ซวยเหลือสติกำลัง พอรักผู้หญิงกับเขาทีหนึ่งก็รักผิด ลืมตาขึ้นพบว่าเขามีเจ้าของเสียแล้ว”

สุนทรีเงยหน้าขึ้นมองดูเขาโดยเร็ว แววตาเต็มไปด้วยความหวังดี หล่อนพูดว่า

“ดิฉันเลิกเชื่อเรื่องที่ว่า ผู้ชายอกหักเพราะผู้หญิงมาเสียนาน​เต็มที ถึงอย่างนั้นก็หวังว่าคุณจะไม่ไปโดนเข้าอย่างที่พูดนี้”

สุทัศน์มีความชินต่อสายตาของสุนทรีขึ้นมากแล้ว เขาลืมที่จะนึกเกลียด ก็มองตอบหล่อนและยิ้มขรึมๆ พร้อมกับพูดว่า

“ผมไม่ได้พูดถึงตัวผมเอง”

แล้วเขานึกภาวนา ขอว่าอย่าให้หล่อนเชื่อคำพูดของเขาเลย