Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...

เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28 October 2025, 17:25:41

Title: นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 7-8
Post by: ppsan on 28 October 2025, 17:25:41
นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 7-8




หลังจากวันนั้นมา ความสัมพันธมิตรระหว่างหนุ่มสาวมิได้เจริญขึ้น คงขึ้งเคียดต่อกันเรื่อยไป มยุรีเที่ยว กินน้ำชา ดินเนอร์ ดูหนัง ดูละคร สัปเปอร์ และเกือบทุกคราว มีนายละออเป็นองครักษ์ เจ้าคุณไมตรี มีความรักลูกมาก แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องแถมว่าท่านรักอย่างคนรักไม่เป็น กล่าวคือให้ของที่ลูกต้องการทุกอย่าง ตามใจในความประพฤติทุกประการ ให้ความอิสระจนไม่มีขีด ดังนั้นมยุรีจึงกลายเป็นหญิงที่มีชื่อโด่งดังในทางเป็นสมัยใหม่ยิ่งใคร ๆ วันหนึ่งเจ้าคุณตัก​เตือนในเรื่องที่หล่อนกลับดึกเกินควร หล่อนหัวเราะ พลางกอดคอท่านแล้วพูดว่า “โธคุณพ่อก็กลัวไปได้ นี่คะ ลูกก็มีเพื่อนผู้ชายมาด้วยทุกที”

“นั่นน่ะซี” เจ้าคุณกล่าวอ่อย ๆ “มันน่าเกลียดไหมล่ะ ไปกันสองต่อสอง บางคราวพ่อเองยังเสียวไส้”

“คุณพ่อคะ” มยุรีขัดเสียงค่อนข้างแข็ง “คุณละออเป็นสุภาพบุรุษ แล้วลูกก็โตพอที่จะระวังตัวได้แล้ว คุณพ่อไม่ไว้ใจลูกหรือคะ”

“ไว้ใจซี ถ้าไม่ไว้ใจจะปล่อยหรือ แต่ใคร ๆ เขาจะนินทาได้ และถ้าคู่หมั้นของเจ้ารู้........”

โดยไม่ตั้งใจเจ้าคุณได้สะกิดที่สำคัญของบุตรสาว มยุรียกศีรษะทวนคำอย่างขมขื่น

“คู่หมั้นของลูก เขาว่ายังไรลูกไม่เห็นทุกข์นี่ ส่วนเขาสิมิใยดีต่อลูก ส่วนลูกจะคอยระวังตัวกลัว เขาตลอดเวลา สิบเดือนเต็มที่เรากลับมาอยู่กรุงเทพฯ ​เขามิได้เคยกรายมาเยี่ยม จดหมายเขาจะมีถึงลูกสักฉบับก็ไม่มี

“ขันจริง ๆ มยุรี พอประสงค์เป็นคนเรียบร้อยมาแต่ไร เขาจะกล้ามาทำกรุ้มกริ่มเป็นเจ้าชู้กับเจ้าได้หรือ ไม่ใช่พ่อพวกสมัยใหม่ล้นคร่อกจะได้เอาแต่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้คะ เขาไม่ได้เป็นคู่หมั้นของลูกดอกหรือ”

“ถึงเป็นก็เถอะ พอพ่อพูดกับเจ้าเรื่องเขา เจ้าก็เริ่มตุปัดตุป่องเสียแล้ว ซ้ำตัดรอนอย่างเด็ดขาด ไม่ยอมถือสัญญาที่ผู้ใหญ่ให้กันไว้ พ่อของเขาถามมา เจ้าก็ยืนคำเต็มที่แล้ว พอประสงค์จะกล้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร ? พ่อเขาก็บอกอยู่โต้ง ๆ ว่าผู้ชายน่ะมันรักเจ้า แต่ส่วนเจ้าซิไม่มีเยื่อใยถึงเขาเลย เดี๋ยวนี้แหละจะมาว่าเขาทอดทิ้ง ถ้าหากว่าประสงค์มาหาเจ้าเวลานี้เจ้าจะกลับใจไม่คืนหมั้นรึ ?”

​“เดี๋ยวนี้สายเสียแล้วค่ะคุณพ่อ ลูกเห็นว่าหลานชายของคุณพ่อนั้น ไม่เป็นผู้ชายจริงหรือมิฉะนั้นก็ไม่รักลูกพอ ถ้าเขารักเขาต้องพยายาม ต้องมาหาลูก ทำตัวให้ถูกใจลูกแล้วก็คงจะเห็นใจเขาทีหลัง”

“เจ้าพูดเอาแต่ใจ มยุรี มีน้อยคนนักที่รู้ว่าเขาเกลียดยังด้านหน้ามาประจบ เป็นใจพ่อก็เหมือน กัน พอรู้ว่าเขาไม่ชอบแล้วละก็ต้องตัดใจได้ทันที พ่อเห็นว่าหายากนักที่จะทำอย่างเจ้าว่า”

“ไม่ยากค่ะ ลูกได้เคยพบ เคยได้ยินเขาพูด และเชื่อว่าเขาพูดจริง และย่อมจะทำจริง” มยุรีหน้าแดงเมื่อรู้สึกตัวว่า ผู้ที่หล่อนนึกอยู่นั้นคือประสมตัวศัตรู เขาเคยพูดว่า

“สิ่งใดเป็นของผม ผมต้องเก็บต้องรักษา ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผมตลอดกาล หญิงที่หมั้นกับ ผมแล้วย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ถ้าใครบังอาจมาแย่งผมก็ยิงเสียเท่านั้น”

​หล่อนพูดต่อไปและเน้นคำ “ลูกผู้ชายจริงต้องการอะไรต้องพยายาม ลูกจะแต่งงานกับคนทำอะไรทำจริง ไม่ใช่คนขลาต่อ่อนแอจับอะไรแล้วปล่อยเสียง่าย ๆ ลูกจะแต่งงานกับผู้ชายแท้ ๆ”

เจ้าคุณลุกขึ้นจากเก้าอี้ เห็นชัดว่าชักฉุน ท่านพูดหัวเราะ ๆ

“เป็นผู้ชายอย่างนายละออของเจ้างั้นซี เมาจนขับรถไปตำกอไผ่”

มยุรีผุดลุกขึ้นบ้าง

“อ้อ ลูกเข้าใจแล้วละค่ะ พ่อเลขานุการตัวโปรด ฮะ ๆ นิสัยของเขา ได้โอกาสทำความดีเข้าหนเดียว ต้องเป่าร้องทับถมคนอื่น”

เสียงประตูเปิด เจ้าคุณและมยุรีหันไปทางนั้น ก็เห็นร่างของประสมปรากฏอยู่ เขากลับจากทำงาน หน้ายังดำมันด้วยเหงื่อ

“นายละออมาขอรับ เขากำลังรอใต้เท้าอยู่ที่ห้องรับแขก”

​เจ้าคุณมีสีหน้าแสดงความยุ่งใจ ท่านมองดูคล้ายจะถามว่า

“ได้ยินคำพูดของมยุรีหรือไม่”

ประสมมีกิริยาเป็นปกติ เขาเปิดประตูกว้างแล้วหลีกทางให้ท่านเดินออกไป พอเขาขยับจะเดินตามท่าน ก็พอดีมยุรีเรียก

“นายประสมเชิญมานี่ประเดี๋ยวเถอะ” เสียงของหล่อนกระด้าง แววตาขุ่น ประสมปิดประตูแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าหล่อน

“ฉันยังไม่ได้ขอบใจเรื่องเมื่อคืนวานนี้ แต่นายประสมคงจะได้รับคำขอบใจในคำยกย่องจากคุณพ่อพอแล้ว” มยุรีเปิดฉาก

“เรื่องเมื่อคืนวานนี้” ประสมทวน “เรื่องอะไร ?”

“เรื่องที่เป็นเกียรติยศยิ่ง สำหรับนายประสม ในการที่มีใจอารีช่วยเข็นรถออกจากกอไผ่ และรับ​หญิงที่มีคู่รักเป็นคนเมามาส่งบ้าน ทิ้งชายผู้เมาให้นอนตากยุงอยู่น่ะซี”

“ผมไม่เห็นว่าเรื่องนั้นจะเกี่ยวกับเจ้าคุณอย่างไร”

“ย่ะ ไม่เกี่ยว แต่กระนั้นผมก็ยังอดเสนอไม่ได้!”

ประสมฉุนกึก “ใครเป็นคนบอกคุณว่าผมเสนอ ?” เขาถาม

“ พ่อฉันน่ะซียะ”

“เจ้าคุณ ท่านบอกว่าผมเล่าให้ฟังรึ ?”

“ท่านก็ไม่ได้บอกแต่ท่านรู้”

“อ้อ ! แล้วก็เหมาเอาว่าผมเป็นคนเสนอยังงั้นซี”

“ หรือจะปฏิเสธว่าไม่ได้เล่าล่ะ ?”

“แน่นอนทีเดียว ปฏิเสธ”

“โกหก!”

​เงียบ ! ภายในห้องนั้นไม่มีใครปริปาก ประสมก้าวเท้าเดินไปมา ในที่สุดเขาหยุด ตาจับตามยุรีเขม็ง เขาพูดว่า

“คุณมยุรี ไม่ทราบว่าอะไรทำให้คุณเผลอสติถึงบังอาจกล่าวคำหมิ่นเกียรติยศคนเล่นเช่นนี้ เกิดจากนึกว่าเป็นนายรึ ? หรือเกิดจากขาดจรรยาไม่รู้จักว่าคำพรรณ์นั้น อาจทำให้เกิดต่อยปากกันได้ หรือเกิดจากอยากจะออกรับต่อสู้แทนชายผู้นั้น จนทำให้ลืมอะไรทุกอย่าง จำไว้ผมไม่ใช่ทาสที่จะเกรงกลัวคุณ ถ้าหากผมบอกเจ้าคุณ คุณจะมาทำอะไรผมได้ เพราะฉะนั้นถ้าผมบอกจริงเหตุใดจะต้องกล่าวคำเท็จ แม้ผมมีฐานะเลวทรามใจของผมไม่จำเป็นจะต้องเลวไปด้วย เกิดเป็นคนต้องมีสัจจะและผมเป็นคน ขออย่าลืม”

“ถ้านายประสมไม่ได้บอก” มยุรีพูดยิ้มเยาะ ก็ต้องเป็นพรายกระซิบ ๆ กับท่าน ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อ​ในทางนั้นนัก-แต่ครั้นไม่เชื่อหรือก็ไม่รู้จะเดาอย่างไร นับตั้งแต่วันนั้นมา ยังไม่มีใครมาหาคุณพ่อ คุณพ่อไม่ได้ไปไหน ในส่วนความเสียหายน้อยคนนักที่จะรับตัวผิด........”

“ผมจะไม่พยายามอธิบายหรือโต้เถียงกับคนที่เกือบวิกลจริตด้วยความเดือดแค้นแทนคู่รัก ชะรอยเจ้าคุณจะได้ติเตียนพ่อเจ้าประคุณกระมัง แต่ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคุณเป็นลูกชายแทนลูกสาวของเจ้าคุณแล้วคุณจะกินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวันทีเดียว”

ขาดคำพูดเขาผลุนผลันออกจากประตูไป

เหลืออยู่คนเดียว มยุรีทรุดตัวลงนั่งตรองถึงเรื่องที่ได้โต้เถียงกันต่อไป ที่จริงหล่อนก็เชื่อว่าประสมมิได้บอก ตั้งแต่เขาปฏิเสธแล้ว แต่หากไม่อยากยอมแพ้ กับอยากจะยั่วโมโหเขาเล่น จึงแกล้งว่าให้เจ็บใจ แต่หล่อนก็สงสัยเหมือนกันว่า ใครเป็นผู้บอก ในคืนวันนั้น เมื่อรถไปติดกอไผ่อยู่​ที่ถนนสนามม้าก็ไม่มีใครรู้ มยุรีหวลนึกถึงคืนนั้นอีก

ตอนเย็นวานนี้ ละออมารับหล่อนไปดูหนังที่โรงพัฒนากร ในระหว่างดูภาพยนตร์ ได้อ้อนวอน ขอความรักกับหล่อน

“มยุรี เมื่อไรเธอจะตกลงรับรักของฉันเสียที” เขากระซิบข้างหูหล่อน

มยุรีมองดูภาพที่อยู่ในจอโดยไม่เห็นว่าตัวอะไร พ่อหมอหนุ่มพูดต่อไป

“หลายครั้งแล้วที่เธอผัดเพี้ยนฉันอยู่เรื่อย ๆ โธ่ เธอไม่เห็นใจฉันบ้างเลย ทุกวันทุกเวลาฉันเฝ้า นึกถึงแต่เธอ เมื่อไรเธอจะยอมมอบตัวให้เป็นของฉัน ส่วนฉันได้มอบชีวิตให้แก่เธอ นับแต่เราได้พบกันในคราวแรกแล้ว เธอไม่สงสารฉันบ้างหรือจ๊ะ”

มยุรีขยับตัวด้วยความอึดอัดใจ หล่อนไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร รักเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลาย​ครั้งที่หล่อนถามตัวเองก็ไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอน หล่อนเป็นเหมือนหญิงหลายใจ ที่ควรรักก็ไม่รัก ไพล่ไปนึกถึงคนที่ควรเกลียด ในที่สุดหล่อนพูดเพื่อตัดคำเพ้อเจ้อของละออ

“นี่คุณ ชวนดิฉันมาดูหนังหรือชวนมาเกี้ยวคะ ?”

ละออถอนใจยาว อาการนั้นทำให้มยุรีใจอ่อน แต่หล่อนคงนั่งนิ่ง ทอดสายตาดูภาพยนตร์ ขณะนั้น หล่อนรู้สึกว่ามือของหล่อนอยู่ในอุ้งมือของชายหนุ่ม เขาเคยเป็นเพื่อนที่ดีของหล่อนเสมอ ถ้าหากมิมีเงาอะไรอย่างหนึ่งอยู่ในใจ หล่อนก็คงมอบตัวให้เป็นสิทธิ์แก่เขาเสียแล้ว

“สังเกตดูเธอก็มิใช่ว่าเกลียดฉัน” ละออพูด เสียงสั่นเล็กน้อย “บางคราวนึกว่า รักฉันด้วยซ้ำ........เธอมีที่รักเสียแล้วกระมัง”

​“การนึกเอาเองจะนึกว่าอย่างไรก็ได้” มยุรีพูดเสียงแสดงความไม่พอใจ

“คำตอบของเธอไม่ทำให้ฉันรู้สึกสว่างขึ้นเลย เธอเกลียดฉันรึ อนิจจา.......!”

“เปล่าไม่เกลียด” มยุรีรีบค้าน เสียงเศร้าของชายหนุ่มทำให้หล่อนกลุ้มใจ

“จะให้ฉันทำอย่างไรเธอถึงจะยอมรับรักของฉัน เธอไม่พอใจในตัวฉันเรื่องอะไร ? โธ่ ฉันรักเธอจริง ๆ ถ้าเธอแต่งงานกับฉันแล้วฉันจะมีภรรยาแต่เธอคนเดียว จะรักแต่เธอคนเดียว จะไม่กินเหล้า จะไม่เที่ยว ทรัพย์สมบัติของฉันจะให้แก่เธอคนเดียวทั้งหมด ยังไงล่ะจ๊ะ ?”

มยุรีถอนใจ รู้สึกใจอ่อนมากเข้าทุกที หล่อนบีบมือเขาเป็นเชิงปลอบครู่หนึ่งแล้วหดกลับมาเสีย

“เรากลับกันเสียทีจะดีกระมัง” หล่อนว่า

“โธ่ เธอไม่ตอบฉันจริง ๆ แหละ ยังหัวค่ำ​อยู่เลย จะรีบไปไหน ห้าทุ่มเท่านั้น”

“ดิฉันอยากกลับเสียแล้วค่ะ นั่งอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ ดูไม่รู้เรื่อง”

“อีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น โธ่ แม่คุณเถอะ บอกฉันหน่อยซิจะให้ทำอย่างไร”

“คุณลองไปพูดกับคุณพ่อดู ท่านตกลงยังไรดิฉันจะตกลงดังนั้น” มยุรีพูดแล้วลุกขึ้นยืน

“ขอบใจเธอมาก พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเจ้าคุณ อกฉันจะแตกอยู่แล้วด้วยพิษรัก” ละออพูดด้วยความลิงโลดแล้วลุกขึ้นบ้าง

ขณะที่ออกจากบ็อกซ์ มยุรีเห็นชายคนหนึ่งนั่งที่ละสองบาท แถวที่สองถัดจากบ๊อกซ์ชะโงกตัว ดูหล่อน แต่หล่อนไม่ทันเห็นหน้าชัดว่าเป็นใคร

เมื่อออกจากโรงหนังแล้ว ละออชวนให้ไปราชวงศ์ มยุรีพยักหน้าไปแกน ๆ จิตใจไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว รู้สึกหวาดกลัวและหนักอกพิกล ส่วน​เพื่อนร่วมทางของหล่อนนั้นตรงกันข้ามเขาเบิกบานใจเป็นที่สุด การที่มยุรีให้คำพูดว่า บิดาตกลงอย่างไรหล่อนจะตกลงอย่างนั้น ละออรู้สึกคล้ายได้เป็นเจ้าของมยุรีแต่บัดนี้ไป เขาพูดเรื่อยเจื้อย พรรณนาความรักความยินดีที่มีอยู่ในใจ เคราะห์ดีทางจากพัฒนากรมาราชวงศ์นั้นกินเวลาไม่เกินห้านาที มิฉะนั้นมยุรีน่าจะสะอีกเพราะคำพูดอย่างน้ำท่วมทุ่งของเขา นายละออนำรถไปจอดหลังรถคันหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าร้านแป๊ะม้อ ตัวเขาโดดลงแล้ว ถามมยุรีว่าจะรับประทานอะไร หล่อนสั่นศีรษะ เขาก็กล่าวคำขอโทษแล้วเดินเข้าไปในร้านไอสกรีม ขณะเดียวกันนั้นมีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเดินสวนออกมา มยุรีจำได้คือประภากับพี่ชายของหล่อน สามคนหยุดพูดกันแล้วละออชี้มาทางที่หล่อนนั่งอยู่ หนุ่มสาวทั้งคู่ก็เดินเข้ามาหา

“แหมไม่นึกเลยว่าจะพบกับเธอที่นี่” ประภาพูดกับมยุรี

​“จริงนะ เผอิญแท้ ๆ ฉันกลับจากดูหนังก็เลยมา ขึ้นมานั่งบนนี้ก่อนซี แต่คุณหลวงเห็นจะต้องยืนอยู่อย่างนั้น” พูดแล้วมยุรีหลีกที่ให้เพื่อนของหล่อน

“เธอจะรับประทานอะไรไหมจ๊ะ ?” หลวงประเสริฐ ฯ ถาม

“ไม่รับประทานค่ะ ขอบพระคุณ นี่ไปไหนกันมาคะ ถึงเลยมานี่”

“มาจากบ้านจ้ะ มันร้อนนักก็เลยชวนน้องมาเที่ยวเสีย”

“นั่นคุณละออคงไปติดคุยเสียแน่ เพื่อน ๆ อยู่ในนั้นกันหลายคน” ประภาบอก

“ใครมั่งนะ ?” มยุรีถาม “แล้วทำไมคุณหลวงจึงออกมาเสียล่ะคะ ?”

“ไม่คุ้นเคยกันนี่จ๊ะ ฉันเพิ่งรู้จักกับเขาเหล่านั้นใหม่ ๆ ประภาเป็นผู้แนะนำ”

​“คุณพี่ชอบคนยากเหลือเกิน” ประภาพูดเป็นเชิงตัดพ้อ “พูดถึงใคร ๆ ก็คอยทำหน้าเบ้”

“หาความ” ประเสริฐว่า “น้องจะเกณฑ์ให้พี่เป็นคนหยิ่ง ยกตัวเหนือคนอื่นหมดเสียแล้ว....เธอต้องให้อภัยกับฉันในข้อที่ฉันเป็นหัวโบราณ มยุรี แต่เพื่อนของประภาทั้งหญิงชายออกจะถือความอิสระมากไปสักหน่อย บางคราวทำให้เวียนศีรษะ”

“ดีมาก” มยุรีหัวเราะเฝือน ๆ “โชคบันดาลให้ฉันเบื่อหนัง จึงได้มาฟังความเห็นของคุณพี่เธอ ประภา นาน ๆ จะได้ฟังสักที”

“ขอโทษ มยุรี ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรวมเธออยู่ในจำนวนนั้นด้วย และเป็นความจริงเธอยังไม่เคยทำให้ฉันเวียนศีรษะเลย”

“ไม่ต้องแก้ตัวหรอกค่ะ” มยุรีว่า “ถึงจะรวมดิฉันอยู่ด้วยก็ไม่ประหลาดอะไร ทุกคนย่อมมีความเห็นต่าง ๆ กัน”

​“แต่เธอคงเห็นว่าฉันเป็นคนมีกิริยาไม่ดีอย่างเอก” คุณหลวงหนุ่มพึมพำ

“เปล่าเลยค่ะ” มยุรีค้าน “ดิฉันชอบคนพูดตรง จริง ๆ นะคะ แล้วดิฉันมิได้นึกฉุนหรือติเตียนคุณหลวงแม้แต่น้อย

“ขอบใจมาก ใจเธอไม่น้อยเหมือนน้องสาวฉัน แต่เพื่อพิสูจน์คำพูดของเธอ ๆ ต้องไปรับประทานอาหารที่บ้านฉัน เสร็จแล้วเราไปดูหนังด้วยกัน” เขาพูดอย่างตั้งใจจริง

มยุรีหัวเราะอย่างสดชื่น เมื่อรู้สึกตัวว่ามีชายหนุ่มเอาใจใส่ เกรงกลัวความโกรธของหล่อน เปรียบเหมือนยาทิพย์มาหล่อใจให้บานขึ้น หล่อนว่า

“โธ คุณหลวงไม่เชื่อหรือคะ เอาเถอะดิฉันรับเชิญ จะให้ไปถึงบ้านก็ทุ่มล่ะ”

“เจ็ดนาฬิกากึ่ง เราจะรับประทานข้าวกัน เธอยังไม่เคยเห็นบ้านใหม่ของฉันไม่ใช่หรือ ?”

​“จริงแหละ” ประภารับ “บ้านใหม่ของเราอยู่ที่ศาลาแดง”

“เธอไม่ได้อยู่กับคุณน้าแล้วรึ ?”

“ไม่ได้อยู่แล้ว ฉันพบเธอจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องบ้านนี้ก็ลืมไป เป็นบ้านของคุณพี่คุณพ่อให้ เมื่อก่อนฝรั่งเช่าอยู่”

“เห็นจะสวยนะ แหม อยากเห็นจัง หลังไหนน่ะ”

“เธอจะได้เห็น........เมื่อไรนะ........แปลกจริง เราเชิญกันโดยบอกเวลา แต่ไม่บอกวัน มะรืนนี้ เป็นอย่างไร ?” แล้วคุณหลวงหนุ่มหัวเราะ

“ค่ะ ตกลง แต่ดิฉันไม่รู้จักบ้านคุณหลวง”

“ฉันกำลังจะพูดถึงเรื่องผู้นำ เธอช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันเชิญเขาเหมือนกัน เลวเต็มที่เจ้าคนนั้น สัญญาไว้จะไปกินข้าวด้วยกันทุกอาทิตย์ ไปสักหนหรือสองหนเลยเงียบหาย”

​มยุรีมองดูประภาเป็นเชิงถาม

“พูดถึงคุณประสม” ประภาตอบสายตานั้น “สติลอยใหญ่คุณพี่วันนี้”

“ดูเอาเถอะ เลอะเทอะพิลึก เป็นเหตุเพราะมัววิตกว่ามยุรียังไม่หายโกรธ” หลวงประเสริฐ ฯ ว่า

“คุณหลวง” เสียงนายละออพูดขึ้นข้าง ๆ ทั้งสามคนหันไปมอง “หนีมาแล้วยังไม่ยักกลับเข้าไป เขาบ่นถึงกันทั้งนั้น” พูดแล้วเอาแขนเท้าประตูรถ ทำให้มยุรีได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉิว ๆ

“ถึงไม่มีผม วิศกี้ก็ไม่มีรสน้อยลงไม่ใช่รึ ?” ประเสริฐย้อนและยิ้มอย่างที่มยุรีเห็นว่าตรงกันข้ามกับนับถือ “นี่คุณจะกลับรึ ?”

“นั่นต้องแล้วแต่แม่เจ้าประคุณ” ละออตอบเสียงไม่ปกติ มยุรีชำเลืองดูเห็นหน้าของเขาแดงกว่าเคย เขาดื่มกับเพื่อน ก็ไม่แปลกอะไร ผู้ที่เข้าสมาคมก็ต้องดื่มบ้างเป็นธรรมดา หล่อนหันหน้าไปพูดกับประภา

​“เห็นจะต้องกลับเสียที ดีใจที่ได้พบเธอวันนี้ ฉันคิดถึงเธอเสมอที่จริง”

“ฉันก็เหมือนกัน ประภาพูดเสียงอ่อนหวาน “ลาทีนะ มะรืนนี้พบกันใหม่”

“อย่าลืมนะจ๊ะ ฉันจะคอยนับชั่วโมงด้วยความเอาใจใส่ยิ่ง” หลวงประเสริฐ ฯ พูดขณะที่เปิดประตูรถให้น้อง

“เป็นพระคุณค่ะ” มยุรีว่าแล้วพนมมือไหว้

ตอนขากลับนี้ มยุรีรู้สึกว่ารถแล่นไม่ค่อยตรงทาง หากแต่เปิดเครื่องมิค่อยแรงนักจึงมิได้ประสบอันตราย ละออขับอ้อมทางไปตามถนนต่าง ๆ เขาบอกแก่มยุรีว่าอยากจะตากลม ซึ่งหล่อนก็ตกลงยอม พอถึงถนนสนามม้า เขาเปิดเครื่องเต็มที่ ปากก็พูดพร่ำถึงเรื่องอะไรร้อยแปด จนมยุรีจับได้ว่าเขาเมาจนลิ้นไก่สั้น หล่อนนึกตะขิดตะขวงในใจ อะไรเวลาเพียงสิบห้านาที เขาช่างดื่มเสียจนมีอาการ​เป็นเช่นนี้ หล่อนเตือนเขาในข้อที่รถวกไปเวียนมา และอาสาจะขับรถเอง เขาปฏิเสธอ้อแอ้ ผลักมือที่หล่อนเอื้อมมาพลางมืออีกข้างหนึ่งหักพวงมาลัยโดยแรง รถเลี้ยวอ้อมชนกอไผ่เข้าโครมใหญ่ แล้วผู้ขับก็หมดสติคอพับอยู่กับที่ เป็นคราวเคราะห์ดีของมยุรีอย่างยิ่งที่ไหวทันเอาเท้ากันไว้ได้เต็มแรงศีรษะจึงกระทบกรอบกระจกแต่เบา ๆ ไม่ถึงโน หล่อนพยายามปลุกนายละออ ไม่มีประโยชน์ เขาเมาจนหมดสติ จึงรับหน้าที่เปิดเครื่องถอยหลังเองก็หาออกได้ไม่ บังโคลนเข้าไปขัดกับกอไม้อันเบ้อเร่อ ขณะนี้มยุรีรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ความเงียบบวกกับความมืดของถนนยังให้เกิดความวังเวงใจและหวาดกลัว นอกจากแสงไฟฉายของรถที่ต้องกับกอไผ่แล้วกระท้อนกลับมาส่งในรถแล้ว ในบริเวณนั้นมืดตื้อ ดวงจันทร์ที่ให้แสงสว่างก็มีเมฆก้อนใหญ่มาบังเสีย ทันใดนั้นมยุรีได้ยินเสียงแตรรถยนต์ ไฟ​ฉายใกล้เข้ามา หล่อนยิ่งใจหาย ผู้ที่อยู่ในรถนั้นจะเป็นคนชนิดใด แต่จะนั่งนิ่งอยู่ก็ไม่ได้ ตัดสินใจโดยรวดเร็ว หล่อนโดดจากรถไปยืนอยู่กลางถนน พาหนะที่มาใหม่หยุดห่างจากหล่อนสักสิบหลา ชายคนหนึ่งโดดลงเดินกระฉับกระเฉงเข้ามา เปิดหมวกถามอย่างสภาพ

“หล่อนต้องการความช่วยเหลือหรือจ๊ะ”

แสงสว่างไม่พอที่จะให้โอกาสจำชายผู้นั้นได้ แต่พอเขาพูดขึ้นและเปิดหมวก มยุรีหัวใจพองโตด้วยความโล่งอก

“นายประสม !” หล่อนอุทาน มือทั้งสองยื่นออกหาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ชางหนุ่มมิได้แสดงกิริยาประหลาดใจ เข้ามองไปทางที่รถจอดถามว่า

“มีเรื่องรึ ?”

​ด้วยถ้อยคำอันวกไปเวียนมา มยุรีรีบอธิบายว่ารถไปขัดอยู่ได้อย่างไร ประสมไม่ชักช้าเรียกคนขับรถเช่าที่เขาใช้เป็นยานมาปล้ำกันอึกอักสักครึ่งชั่วโมงรถก็หลุดออกได้ ละออยังคงหลับสบาย ถึงรถจะเขย่าสักเพียงไรก็ไม่ทำให้เขาตื่นขึ้น

“เชิญขึ้นรถผม” ประสมบอกกับมยุรีพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก

“ก็........ก็........จะทิ้งเขาไว้อย่างนี้รึ” มยุรีถาม ตาไม่กล้าต่อตาประสม

“ไม่ช้าเขาคงตื่นขึ้น หรือคุณจะอยู่กับเขาก่อน หรือจะขับรถไปส่งเขาที่บ้าน ทางดีที่สุดควรขึ้นรถผม นี่สองยามกว่า อีกประเดี๋ยวจะมีตำรวจมาเดินตรวจตามเคย เพื่อนของคุณจะไม่ได้รับอันตรายอย่างใด

มยุรียอมตามคำเขา ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ประสมนั่งคู่​กับคนขับ ปล่อยที่ข้างในไว้กับลูกของนายคนเดียว พอลงถนนวิทยุมองเห็นตึกใหญ่รถก็หยุด ประสมให้เงินคนขับแล้วเดินมาเปิดประตูให้มยุรี

“เราจะต้องออกกำลังเล็กน้อย ผมไม่อยากจะให้เจ้าคนขับรถรู้ว่าคุณเป็นใคร” เขาพูดกับหล่อนเบา ๆ

ภาพเหล่านี้กลับปรากฏขึ้นในดวงจิตของมยุรี หล่อนนั่งนิ่ง คิด-คิด-คิด จนไม่รู้ว่าเวลาล่วงไปเท่าใด จนกระทั่งประตูเปิดออก เจ้าคุณไมตรี ฯ เดินเข้ามา สีหน้าของท่านเต็มไปด้วยความไตร่ตรอง

“มยุรี” ท่านเรียกและนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้า “ละออเขามาขอเจ้ากับพ่อ”

มยุรีมองดูท่านอย่างใจลอย

“เขาบอกว่าเขาได้บอกกับตัวเจ้าแล้วและเจ้าให้เขาพูดกับพ่อ”

“ค่ะ”

​“แล้วเจ้าจะว่ายังไร ?”

“ลูกบอกกับเขาแล้ว คุณพ่อตกลงยังไรลูกก็ตกลงยังนั้น”

“อยู่ดี ๆ ก็โยนกลองมาให้พ่อ ก็เรื่องคู่หมั้นของเจ้าล่ะ ?”

“คุณพ่อตอบคุณละออว่ายังไรคะ ?” มยุรีถามตีกิน ไม่ตอบคำถามของท่าน

“พ่อจะว่ายังไง ก็บอกเขาว่ามีคู่หมั้นแล้ว และเล่าเรื่องให้เขาฟัง กับบอกว่าพ่อยังตกลงยังไม่ได้ จนกว่าจะครบกำหนดหกเดือนตามที่ฝ่ายชายเขาสัญญา”

“ก็ดีแล้วนี่คะ”

เจ้าคุณมองดูหล่อนด้วยความประหลาดใจ เป็นความจริงท่านยังไม่รู้จักบุตรสาวของท่านเองเลยทีเดียว ใจของหล่อนเป็นยังไรก็ไม่รู้ ความในใจของมยุรีไม่เคยขยายให้ท่านทราบแม้แต่น้อย และ​ตามธรรมดาบิดาแม้จะรักบุตรสักปานใด ก็หามีความเอาใจใส่ ค้นความคิดและนิสัยของบุตรเท่ากับมารดามักค้นไม่ หญิงโดยมากช่างคิด ช่างตรอง ช่างแคะช่างไค้ ช่างปะติดปะต่อ ความสามารถในทางสังเกตความคิดมนุษย์จึงมีภาษีกว่าชาย

“เจ้ารักนายละออไหมล่ะ ?” เจ้าคุณถามบุตรี

“ลูกไม่รักใครทั้งนั้นแหละค่ะ นอกจากคุณพ่อ พูดแล้วมยุรีลุกขึ้นจากเก้าอี้มาคุกเข่าที่ข้างบิดา เอาศีรษะซบกับเข่าของท่านนิ่งไปครู่หนึ่ง มีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หล่อนยกมือขึ้นปิดหน้า พยายามกลั้นก็ไม่อยู่ เลยปล่อยสะอื้นออกมาดัง ๆ เจ้าคุณไมตรี ฯ ทั้งตกใจและประหลาดใจ ค่อย ๆ พยายามเล้าโลมปลอบถามเหตุผลก็ไม่ได้รับคำอธิบาย มยุรียังคงสะอื้นถี่อยู่เช่นนั้นจนธรรมชาติของร่างกายเบื่อแล้วก็นิ่งไปเอง

​นิสัยผู้หญิง แม่เขานั่นแหละ โกรธก็ร้องไห้ ดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ น้ำตาเป็นสรณะ เจ้าคุณรำพึงด้วยความเบื่อหน่าย แล้วนั่งนิ่งอยู่ มยุรีลุกขึ้นยืนหล่อนยิ้มทั้งน้ำตายังไม่แห้ง

“อย่าตกใจเลยค่ะ ลูกไม่เป็นอะไรเลย นึกอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาเลยน้ำตาออก เดี๋ยวนี้หายสบายใจ แล้ว ไปอาบน้ำเสียที”

เจ้าคุณยังไม่ทันตอบว่ากระไร หล่อนก็หายตัวออกประตูไป

สิ่งแรกที่มยุรีทำเมื่อขึ้นไปถึงห้องก็คือเขียนข้อความดังต่อไปนี้......

นายประสม

หลวงประเสริฐชวนไปรับประทานอาหารที่บ้านวันนี้พร้อมกับฉัน ฉันไม่รู้จักบ้าน ขอให้นายประสมเป็นผู้นำออกจากบ้าน ๗.๓๔ ล.ท.

มยุรี วิบูลย์ศักดิ์

----------------------------



Title: Re: นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 7-8
Post by: ppsan on 28 October 2025, 17:27:05



​ถึงเวลานัดประสมแต่งกายเสร็จแล้วเข้าไปในห้องนั่งเล่นของเจ้าคุณ พบท่านนั่งสบายอยู่คนเดียว

“พ่อประสมจะไปไหน ?” ท่านถาม

“คุณมยุรี บัญชาให้ผมเป็นผู้นำทางไปบ้านหลวงประเสริฐ” ประสมตอบอย่างนอบน้อมตามวิสัย

“เมื่อไรกัน ?”

“คุณมยุรีบอกว่า จะออกจากบ้านทุ่มสิบห้านาทีขอรับ”

“อ้าว! แล้วไม่กินข้าวเสียก่อนรึ ? เอ๊ะ นี่ยังไงกัน ? ไม่เห็นบอกเล่ากันเลย”

​เสียงประตูเปิด มยุรีแต่งตัวสีน้ำเงินอ่อนจี๊ดทั้งตัวเดินเข้ามา ในมือถือผ้าห่มเสวตเตอร์อย่างบาง สีน้ำเงินเหมือนกัน

“ลูก จะไปรับประทานข้าวที่บ้านหลวงประเสริฐค่ะ” หล่อนรีบพูดมิทันให้บิดาถาม “ลูกว่าจะ เรียนคุณพ่อตั้งแต่เมื่อเย็น มัวยุ่งเรื่องอื่นเสียเลยลืม”

“เออ! เจ้ามันดีหนักเข้าทุกที” เจ้าคุณดุโดยไม่มีความโกรธในดวงหน้า “ถึงทีบอกพ่อละก็ลืม ถึงทีจะไปทำไมไม่ลืมล่ะ”

มยุรีเดินอ้อมมาข้างหลังท่าน ยกมือโอบคอ หล่อนพูดเสียงหวาน

“โถ! คุณพ่อต้องรับประทานข้าวคนเดียว ลูกจะไปดูหนังมาฝากนะคะ พรุ่งนี้ลูกจะเล่าให้ฟัง”

“เออ! ไปไหนก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนเขาจะคอย”

มยุรีเอียงแก้มให้ท่านจุมพิตแล้ว หล่อนก็จูบ​ท่านบ้าง เจ้าคุณลุกขึ้นเดินตามมาดูลูกสาวขึ้นรถ ประสมทำหน้าที่องครักษ์เปิดประตูรถส่งแม่เจ้าประคุณขึ้น แล้วก็จะไปนั่งกับคนขับ

“อ้าว! ทำไมไม่นั่งกับน้องข้างในล่ะ” เจ้าคุณตะโกนถาม “นั่นแน่น้องเขาเรียก”

ประสมจำไม่ได้ว่าได้ยินเสียงมยุรี แต่เมื่อเหลียวไปดูก็เห็นหล่อนขยับที่ให้ แล้วพูดครึ่งเสียง

“นั่งข้างในนี่ซิ นายประสม”

เขาทำตามสั่ง พอรถเคลื่อนที่ มยุรีส่งจูบให้บิดาด้วยกิริยาแช่มช้อย ทำให้ท่านยิ้มด้วยความเอ็นดู

บ้านหลวงประเสริฐ ฯ เป็นตึกย่อม ๆ ทรวดทรงโปร่ง ปลูกอย่างทันสมัยเจี๊ยบ รถแล่นเข้าไปถึงหน้าตึก พบเจ้าของบ้านยืนอยู่ทั้งคู่ พี่นุ่งผ้าม่วงสีเขียวแก่ และสวมเสื้อแพรสีนวล ๆ ประภาแต่งเขียวเหมือนกัน ผมทรงชิงเกิลหวีไว้เรียบร้อย ดวง​หน้ายาวของหล่อนนวลละออน่าเอ็นดู ทั้งสองพี่น้องแสดงความยินดีและต้อนรับอย่างสนิทสนม

“ยินดีมากที่มา” ประเสริฐพูดกับมยุรี “หวังว่าเธอจะชอบบ้านของฉัน และกับข้าวก็คงจะถูกปากเธอทั้งสองคน วันนี้น้องประภาลงไปทำเองทีเดียว มยุรีมองดูประสมคล้ายจะบอกว่าเป็นหน้าที่ ของเขาจะกล่าวคำขอบใจ แต่ครั้นเขาคงนิ่งอยู่ หล่อนจึงว่า

“ขอบใจมากประภา อุตส่าห์ลำบากเพราะฉัน-หรือ ?”

“อ๋อ ก็แน่ละเธอ เรากินกันสี่คนเท่านั้น ไม่มีคนอื่น” ประภาตอบเรื่อย ๆ

“ถ้าจะพูดที่จริง เชิญคนมาสองคน แล้วตั้งใจทำให้สำหรับคนเดียว ดออกจะไม่ยุติธรรม จริงไหมน้อง ?” ประเสริฐค้านยิ้มมองดูหน้าเพื่อน “แต่ว่าเราไม่อยากจะขาแข็งละก็เชิญเข้าไปในห้องรับ​แขกเห็นจะดีกระมัง” พูดแล้วเขาก็เดินไปเปิดประตูห้องหนึ่ง ทำให้เห็นภายในนั้นมีแสงสว่างเป็นนวลสีน้ำเงินจาง ๆ ฝาทาสีน้ำเงินอ่อน ส่วนพื้นทำด้วยไม้สักขัดมันเป็นเงา เครื่องแต่งห้องมีโต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้พยุง หลวงประเสริฐ ฯ พามยุรีไปนั่งเก้าอี้นวมยาวกลางห้อง ตัวเขานั่งลงข้าง ๆ ประภาเดินเคียงประสมดูรูปที่ติดตามฝา

“เธอคิดว่า เราควรจะดูหนังที่โรงไหนดี ?” หนุ่มเจ้าของบ้านถามหญิงสาว

มยุรีหัวเราะ “เห็นจะต้องปรึกษาประภา” หล่อนว่า “ดิฉันไม่ได้เอาใจใส่โปรแกรมภาพยนตร์มานานทีเดียว”

“นั่นเป็นนิสัยของผู้มีอิสระเต็มที่ เวลาเป็นของตนแต่ผู้เดียว ไม่ชอบใจที่นี่ย้ายไปที่โน่น คืนละห้าหกโรงก็ได้ใช่ไหมจ๊ะ ?” หลวงประเสริฐ ฯ ยิ้มถาม

​มยุรีสะดุดใจ นึกจะหาคำตอบให้เหมาะก็พอ เขาหันหน้าไปทางประภา

“นั่นน้องจะไม่ให้ประสมนั่งหรือยังไงนะ มาทำความตกลงที จะไปดูหนังโรงไหนกันประสม นั่นแกดูอะไร อ้อ ! รูปประภานั่นเอง สวยไหม ? ถ่ายเมื่อปีกลาย กันใส่กรอบมาจากอังกฤษ”

“กันกำลังบอกคุณประภาว่าสวยเหมือนตัว แต่เธอค้านว่าเธอหาสวยเท่านั้นไม่”

“นั่นเป็นการถ่อมตัว” ประเสริฐว่า “หญิงสวยมักถ่อมตัวเก่ง และสิ่งนั้นทำให้หล่อนงามยิ่งขึ้น”

“คุณหลวงออกจะมีความรู้กว้างขวางในทางนิสัยของพวกเรา” มยุรีพูด

“ฉันหรือ ?” ประเสริฐถาม ทำเป็นไม่รู้เท่าว่าถูกเหน็บ “มิได้เลย ข้อเดียวที่ฉันรู้ก็ที่พูดไปแล้วเมื่อกี้ ใครเลยจะเรียนรู้ใจของสตรีได้ตลอด นัก​ประพันธ์คนหนึ่งเคยเขียนว่า ‘สตรีคือตัวความลับ’ ว่ากันที่จริงเราผู้ชายมักโง่เขลา”

“เพราะเหตุนั้น เขาจึงเหมาว่าเราเป็นเจ้ามารยากระนั้นหรือคะ ?”

“เธอแปลความหมายของเขาดังนั้นหรือ แต่คนที่มีความลับไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้ามารยาไปทั้งหมด”

“ฉันชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับน้ำใจและนิสัยของเพศเรา” ประภาพูด นั่งลงใกล้มยุรี “บางทีมันตรงกับใจเราอย่างน่าขัน ในการสนทนา ถ้ามีใครพูดถึงเรื่องนั้นฉันเป็นชอบฟัง ถ้าเขาพูดผิด....”

“ก็โห่ส่ง ยังงั้นซี! พี่เห็นจะต้องลาขี้เกียจจะถูกโห่ แน่ะประสม สุภาพสตรีทั้งสองนี้ชอบฟังพูดถึงเรื่องเพศหล่อนเอง แกเคยมีความรู้กว้างขวาง ขยายออกมาบ้างซี”

ประสมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งตรงหน้าสาว​ทั้งสอง ดวงตาดำวาวมองดูมยุรี แล้วเลยไปจับที่หน้าประภา เขาพูดเสียงเป็นกังวานประหลาด

“เราผู้ชายต้องเต็มใจที่จะปฏิบัติตามความประสงค์ของแม่เทพธิดาทุกเมื่อ แต่ในฐานะเช่นฉัน สตรีที่ได้พบก็สูงเกินตาเกินสมองไป เพราะฉะนั้นฉันจึงพูดอะไรไม่ได้เลย”

ความไหวของมยุรีบอกหล่อนว่าคำพูดนั้นหมายถึงใคร ดวงหน้าหล่อนแดงเรื่อขึ้น ขณะนั้น คนใช้นุ่งผ้าสีน้ำเงินสวมเสื้อชั้นนอกเข้ามาบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว ประเสริฐลุกขึ้นเดินนำหน้าพาไปห้องรับประทาน เขานั่งใกล้กับมยุรี ประสมกับประภานั่งใกล้กันต่างคนคุยกันอย่างร่าเริง ประเสริฐเป็นคนคุยอย่างสนุก พูดเพราะ ฟังไม่ขัดหู ประภามักมองดูพี่ชายอย่างภูมิใจ ส่วนมยุรีวางท่าอย่างเหมาะตามเคย ดวงตาคมปลาบนั้นเหลือบไปมา บางคราวส่งแสงราวจะแย่งความสว่างของไฟ หล่อนพูดว่า

​“นานแล้ว ไม่ได้รับประทานอาหารมากเท่าวันนี้” แล้วติดตลก “เสียดายท้องเล็กไปไม่พอกับปาก รู้ยังจะอดข้าวเสียแต่กลางวัน”

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง การรับประทานจึงเสร็จลง พากันกลับมายังห้องรับแขก มยุรีถามหลวงประเสริฐ ฯ เมื่อแลเห็นปีอาโนอันใหญ่

“คุณหลวงเล่นปีอาโนได้หรือคะ ?”

“ตายละไม่ได้สักอย่างเดียว ขึ้นชื่อว่าดนตรี แต่แปลกไหมเธอฉันชอบเต้นรำ ประภาแน่ะเล่นได้ แล้วเธอเองล่ะ ?”

“ได้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ดี”

ประสมเดินไปที่ประภานั่งอยู่ มือถือบุหรี่ไขว้ไว้เบื้องหลังเขาน้อมศีรษะลงพูดอย่างอ่อนหวาน

“โปรดลองสักเพลงได้ไหม ?”

ประภาเอียงอาย หล่อนตอบ “ต๊าย ดิฉัน เล่นไม่เก่งหรอกค่ะ มยุรีแน่ะ....”

​“อือ ได้หรือ เธอเป็นเจ้าของบ้าน” มยุรีค้าน

“ถูกของมยุรี” ประเสริฐเสริม “เอาหน่อยน่าน้อง อย่าอายเลยกันเองทั้งนั้น”

“โธ คุณพี่คะ ล้วนแต่น้ำเค็มกันทั้งนั้น จะ ให้น้องขยายเปิ่นเดี๋ยวหัวเราะเยาะกันตาย”

“เธอเล่นเพลงไทยได้ไหม” ประสมถาม

“ได้” ประเสริฐตอบแทน “ว่าง่ายหน่อยนะน้อง เดี๋ยวแขกของเราจะน้อยใจ”

“โปรดเล่นเพลงไทยให้ฉันฟังสักเพลงเถอะ” ประสมพูด เดินไปเปิดฝาปิอาโนขึ้น

ประภาต้องยอม หล่อนลุกขึ้นด้วยความไม่เต็มใจ นั่งลงที่ม้าเล็กแล้วลองเอานิ้วดีดปีอาโนดู ประสมเห็นหูหล่อนแดง เขายิ้มอย่างน่าเอ็นดู

“อายฉันรึ เสียใจจริง ไม่ควรอายเลย ประการที่ ๑ ฉันเล่นดนตรีไม่เป็น ๒ ฉันรักพี่ชาย​เธอมากย่อมจะไม่เยาะเย้ยน้องของเขา หรือแม้แต่นึกค่อนในใจ เชื่อฉันเถอะ”

ประภาหัวเราะคิก ๆ “ขอบใจค่ะ ดิฉันจะเล่นละ อย่าดูมือซีคะ”

“ตายจริง !” ประสมอุทานแกมหัวเราะ “ยังมีการห้ามดูกันอีก เล่นเถอะ ฉันจะไปนั่งทางโน้น”

ประภาเริ่มดีดเพลงลาวดำเนินทราย แรกลงมือหล่อนดีดพลาดผิดจังหวะมากกว่าหนึ่งหน แต่ครั้นเล่นไปความกระดากค่อยคลายลงความสนุกเกิดขึ้นแทนที่ เสียงดนตรีที่ดังขึ้นจึงเรื่อยเจื้อยและมีลูกขัดเก๋ ๆ ทำให้เนื้อเพลงคึกคักและร่าเริงขึ้น เพลงจบลงก็มีเสียงคนตบมือ แล้วประสมถามประเสริฐ เบา ๆ

“น้องแกเล่นเครื่องสายไทยได้บ้างไหม ?”

​“ไม่ได้เลย สมัยใหม่เจี๊ยบ เล่นเป็นแต่เปียโน” เพื่อนของเขาตอบ

“ก็ยังดี หล่อนเล่นเป็นเพลงได้”

ประภาเดินมาใกล้มยุรี ผู้ถูกกล่าวนามข้างหลังพูด

“แม่เรือนดีแท้ พื้นกระดานห้องมันสะอาด”

“เต้นรำได้ไหม ?” ประภาถาม เอารองเท้าส้นสูงถูกระดานไปมา

“เออ! พูดถึงเต้นรำ” ประเสริฐพูดเสียงดังคล้ายตกใจ “นี่แน่ะน้อง ผู้ชำนาญเต้นรำแทงโกฝรั่งเศส - ประสม น้องกันใจตรงกับแกชอบแทงโกเหลือเกิน ได้เห็นคนฝรั่งเศสคนหนึ่งเต้นที่โฮเต็ลพญาไทชอบอกชอบใจใหญ่ น้องถ้าเห็นประสมเต้นจะลิงโลด

“เพ้อเจ้อละ” ประสมขัด “คุณประภาถ้า​ฟังพี่ชายเธอกล่าวขวัญถึงฉันละก็ อย่าลืมเอาห้าหารเสียก่อน”

ประภาหัวเราะ ประเสริฐขึ้นเสียง “อย่าเชื่อเขาน้อง มองสิเออร์ท่านถ่อมตัวของท่านนะ หนหนึ่งในอังกฤษ เราไปคลับด้วยกัน มองสิเออร์ได้เต้นรำแทงโกอย่างฝรั่งเศสกับหญิงสาวปารีสได้คู่กันเหมาะ เล่นเอาแม่พวกแซนด์วิช๑ มองตาค้างตาม ๆ กัน เป็นความจริง ประสมเต้นรำได้งามมาก”

ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับมยุรีเสียงหนักแน่น ดุจจะบังคับให้หล่อนเชื่อ

มยุรีลืมซ่อนความประหลาดใจ หล่อนเบิกตากว้าง ประสมน่ะรึเต้นรำงาม หล่อนนึกว่าเขาเป็นเหมือนไม้ซุงชนิดแข็งและหนัก แต่ว่ามีจิตใจและวิญญาณอยู่ภายใน จึงมีการเคลื่อนไหว หรือไม่ก็ฤาษีเค็ม ๆ อะไรตนหนึ่ง เข้มงวด กระด้าง หล่อน​พิศดูเขาตั้งแต่รองเท้าดำขัดเป็นเงา จนถึงเส้นผมดำขลับหวีเลยขึ้นไป ประภาก็ตื่นไม่น้อยกว่าเพื่อนของหล่อนมากนัก

“เอ๊ะ ! สุภาพสตรี ฉันทำความประหลาดใจให้มากทีเดียวหรือ” ประเสริฐร้อง “อะไรท่านนึกว่าเพื่อนของฉันคนนี้เป็นตัวอะไร ? ประสมแกต้องเต้นกับน้องสาวกัน มิฉะนั้นสุภาพสตรีเหล่านี้จะหาว่ากันกุ ประภาหัดกับกันทุกวันเต้นเกือบได้ดีแล้ว เอาหน่อยน่ะ”

ประสมผุดลุกขึ้นยืน หน้าแดงด้วยความกระดาก เขายิ้มคล้าย ๆ เด็กขี้อาย เป็นอาการยิ้มที่มยุรีเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“ผ่าซีประเสริฐ แกจะให้กันเป็นตัวตลกสำหรับหัวเราะกันเล่นหรือ ? กี่ปีแล้วรู้ไหม ? กันไม่เคยได้เต้นรำเลย”

“อ๋าย เป็นอะไรไปนะ แกเคยพูดว่าเพลง​เต้นรำอะไรก็ดี ต่อให้ไม่เคยได้ยิน พอหูได้ฟังเข้า ใจเป็นลิงโลด พาเท้าไปตามจังหวะได้ทีเดียว เฉพาะเพลงแทงโก ก็เคยเป็นปราชญ์ จะลืมได้เทียวหรือ นี่แน่น้องถ้าจะเรียนอะไรให้ได้ดีต้องมีครูที่ดี ในเมืองไทย พี่คิดว่าไม่มีใครเต้นเก่งกว่าประสม นาน ๆ จึงจะมีโอกาสสักที ต้องเอาให้ได้” ประเสริฐพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่หีบเสียงจัดแจงไขลานแล้วเลือกเพลงแผ่นที่มีเพลงแทงโกใส่ ขณะนั้นประสมหน้าแดงยิ่งขึ้น เขามองดูประภาเป็นเชิงปรึกษา หล่อนก็มองดูเขาเช่นเดียวกัน ในที่สุดเขาพูดขึ้น

“เธอจะ - เธอไม่ - ไม่รังเกียจหรือ ?” ประเสริฐยืนอยู่ข้างหลังประสม ทำอาการคำนับอย่างผู้หญิง พลางพยักเพยิดกับน้องสาว มยุรีหัวเราะในใจนึกอยากดูก็อยาก ไม่อยากให้เต้นก็ไม่อยาก ขณะนั้น ประภาทนการคะยั้นคะยอของพี่ชายไม่ได้ก็ขอให้ประสมเป็นคู่หัดให้หล่อน ชายหนุ่มคอตกเกือบ​จะถอนใจออกมาดัง ๆ แต่เขาก็ทำตาม แขนโอบรอบร่างประภา พาหล่อนก้าวเท้าไปตามจังหวะ สองสามนาทีผ่านไป ความทะยานใจก็เกิดขึ้น ประสมพาร่างอันแบบบางเลื่อนเลี้ยวไปช้า ๆ ด้วยท่าอันนุ่มนวล ร่างสูงไหล่กว้างที่ก้าวเนิบ เหมาะเจาะกันน่าดูยิ่งนัก ศีรษะของประสมก้มลงเล็กน้อย เขาพูดอะไรเบา ๆ ประภาเงยหน้าขึ้นดูเขา ทั้งสองมีดวงตาแจ่มใส เห็นชัดว่าการเต้นรำนั้น ทำให้ดวงจิตเบิกบานขึ้น ตามนิสัยของผู้ที่รักทางนี้ ประสมยังจำท่าแทงโกได้ทุกท่ามิได้ลืม มยุรีมองดูร่างทั้งสองไม่วางตา สีหน้าของหล่อนไม่บอกว่าในใจของหล่อนนึกยังไร

แฉก........แฉก ประเสริฐผุดลุกขึ้นมือเกาศีรษะ “แหม ! กำลังดีทีเดียว ! ฝรั่งเจ้ากรรมมันทำแผ่นเสียงเล็กเท่าฝ่ามือ” เขาร้อง “ประภาเต้นพอใช้แล้ว เอาอีกหน่อยนะอาจารย์ สอนให้น้องกันทำ​ตัวอ่อนอีกสักหน่อยเถอะ” พูดแล้วเขาเริ่มไขลานและใส่แผ่นเสียงใหม่ การเต้นรำจึงดำเนินต่อไปอีก ประเสริฐถามมยุรี “บางทีเธอจะเต้นรำบ้างไหม ? ถ้าไม่รังเกียจฉัน....”

“ไม่รังเกียจดอกค่ะ แต่ว่าอยากดูมากกว่า ประภาเต้นนับว่าดีได้เทียวนะคะ”

“หัดมาเดือนเต็ม ๆ ถ้าไม่เป็นเสียบ้างก็จัดว่าโง่เต็มประดา”

“คุณหลวงเห็นจะเต้นเก่ง”

“พอเต้นได้จ้ะ แต่ไม่สวย รายนั้นซีเขาเรี่ยมนัก” แล้วเขาก็ชี้มือไปยังประสม

มยุรีมองตาม เห็นผู้ที่ถูกกล่าวนามกำลังพูดและยิ้มอย่างสดใส “เขากำลังมีความสุข” หล่อนรำพึง “ไม่เคยเห็นเขามีสีหน้าเช่นนี้เลย”

ต่อมาสักครู่ใหญ่ ๆ การเต้นรำก็ยุติลง ประสม​ส่งแขนให้คู่ของเขาเกาะ ทำท่าราวกับอยู่ในห้องเต้นรำที่ใหญ่โต แล้วพาหล่อนมาหาพี่ชาย

“แหม ! ร้อนจริงคุณพี่คะ ช่วยเปิดหน้าต่างทีเถอะ” ประภาพูดโบกผ้าเช็ดหน้าไปมา ประเสริฐลุกไปตามคำสั่ง เขาพูดเมื่อเปิดหน้าต่างแล้ว

“ มยุรี น่าเสียดายที่เป็นเวลากลางคืน เธอไม่ได้เห็นบริเวณบ้านเราทั่ว ว่าง ๆ เธอต้องมาเที่ยวอีก”

“เออ ไปดูห้องฉันไหมล่ะ” ประภาถามเพื่อนของหล่อน “สบายกว่าบ้านเก่ามาก ได้ลมดีด้วยกลางคืนนอนต้องปิดหน้าต่างมิฉะนั้นเป็นหวัด”

“ไปซี ฉันกำลังนึกอยู่ทีเดียว”

ประภาลุกขึ้นยืน พูดว่า “คุณพี่คะเราตกลงไปดูหนังที่โรงหนังบ้านหม้อนะคะ เราจะไปผัดหน้าผัดตาให้ดี พอกลับลงมาก็ไปกันทีเดียว”

“จ้ะ น้องสั่งให้เอารถออกด้วยนะ”

​“คันเล็กหรือคันใหญ่คะ”

“คันเล็ก พี่จะไปกับมยุรี เธอคงไม่รังเกียจที่จะไปกับฉันสองคนไม่ใช่รึ ? ประภาไปกับประสม”

สตรีทั้งสองออกประตูไปทิ้งสหายหนุ่มอยู่ด้วยกัน ประสมพิงเก้าอี้เหยียดขาอย่างขี้เกียจ สหายของเขานั่งพิศดูหน้าอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า

“แกกำลังนึกถึงอะไร ประสม ?”

“ก็แกล่ะ”

“กันกำลังนึกถึงแก”

“บอกให้รู้ได้บ้างไหม? นึกถึงว่ายังไง?”

“กันกำลังนึกว่า แกทำไมยังไม่มีเมีย แกเรียนเสร็จนานแล้ว”

“ก็แกทำไมถึงยังไม่มีล่ะ”

“กันอยู่แต่ในเมืองอังกฤษ แกคงไม่หมายจะให้แต่งงานกับผู้หญิงฝรั่งไม่ใช่รึ ?"

​ประสมหัวเราะ “กันไม่เห็นแปลก อย่าไปงัดเอากระป๋องนมเน่ามาก็แล้วกัน”

“ ข้อนั้นเห็นจะหมดอันตราย เพราะเดี๋ยวนี้กันก็กลับมาอยู่บ้านแล้ว กระป๋องนมทั้งดีและเน่าก็ยังไม่มี แต่กันมีน้องสาวที่น่ารัก หล่อนคือหวานใจของกัน”

“น้องแกเป็นหญิงที่น่าเอ็นดู”

“ถูกละ เป็นคนตรงดูง่าย ไม่เหมือนกับนายสาวของแก”

ประสมหัวเราะอีก “แกไม่ชอบเธอนักกระมัง ?”

“ไม่เกลียด กันเห็นว่าหล่อนเป็นคนฉลาด คม หยิ่งนิดหน่อย แต่สวย ท่าทางดี เข้าไหนเข้าได้ จริงไหม ? และถ้ากันดูไม่ผิดกันคิดว่าแกไม่ค่อยถูกกับหล่อน”

​“คนรักกันที่สุด อาจทำให้คนอื่นเห็นว่าเกลียดกันที่สุดก็ได้”

“จริง แต่กันยังเชื่ออยู่เสมอว่า แกกับหล่อนไม่ได้เป็นคู่รักกัน”

ประสมทำหน้านิ่ว “แน่ละ และกันมีคู่หมั้นแล้ว”

“โอ๋ จริงหรือ แล้วยังไงล่ะ ?”

“แต่หล่อนไม่รักกัน ไม่ยอมแต่งงานด้วย”

“เอ๊ะ เขาอ้างว่าแกเสียหายอย่างไร ?”

“ไม่อ้างว่าอะไรทั้งหมด ดู ๆ เหมือนเขารักคนอื่น”

“อ้อ! แล้วแกรักเขาซี”

“อือ”

“มิน่าล่ะ ดูหน้าตาแกไม่ค่อยมีความสุข”

“ดูกันเป็นทุกข์หรือ ?”

​“ก็ไม่เชิง แต่แกแปลกไปกว่าเดิม เมื่อก่อนแกเป็นคนชื่นบานพาลจะกร้องแกร้ง กันยังจำได้ว่าในเวลาเผลอสติแกมักกริ่มคล้ายคนฝันดี บางคราวกันคิดว่าแกน่าจะเป็นคนเจ้าชู้”

“เอ้อ เข้าที ๆ แล้วยังไงอีกล่ะ ?”

“แล้วเดี๋ยวนี้ แกกลับกลายเป็นคนแข็งหน้าเข้มถมึงทึง ไอ้ตาลอยยิ้มเผล่น่ะหายไปหมดแล้ว บอกตามตรงแกเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ”

“การทำงานมากทำให้คนแก่เร็ว”

“ไม่ใช่เท่านั้น กันเห็นแกมีท่าตรึกตรองเสมอ ดูเหมือนจะพูดสักคำ จะขยับสักหน่อยจะต้องคิดตั้งห้านาที บางคราวกันว่าแกกำลังเล่นละคร”

“แกมีสายตาคมพอใช้ แล้วยังไรอีกล่ะ ?”

“หมดแล้ว เหลือแต่กันอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นหรือทำให้แกเป็นเช่นนั้น”

​“ไม่รู้แฮะ กันรู้แต่ว่ากันมีความทุกข์ บางคราวกันรู้สึกสนุก คล้ายกับกำลังเล่นละครอย่างที่แกว่านี่แหละ”

“เอ๊ะ แกพูดยังไง ก็เขาไม่รักแก แกรักเขาไม่ใช่หรือ ?”

“ถูกแล้ว กันรักเขามากมายเต็มที่ เพราะฉะนั้นกันถึงไม่ทุกข์ ยังไงเสียเขาก็ต้องเป็นเมียกัน อย่างช้าอีกเดือนเดียวแกจะต้องรู้เรื่องดี และแกจะ....”

เสียงฝีเท้าดังใกล้ประตู แล้วการสนทนาจึงชะงักลง สองสาวเข้ามาในห้อง มีหน้านวลพริ้ง ประภาถือผ้าห่มมาด้วย

“ไปหรือยังคะ?” หล่อนถาม

“ไปซี มยุรี ผ้าห่มของเธอไม่ได้เอามา ดอกหรือ ?”

​“เอามาค่ะ อยู่ในรถ”

“อ้อ! ประสมแกเอาน้องกันไปรถแกด้วยนะ”

“รถของกันเองไม่มี” ประสมพูดเรียบๆ

ประเสริฐไม่รู้จะพูดอย่างไร มยุรีชำเลืองค้อน หล่อนว่า

“นายประสมไม่เคยนึกว่าอะไรในบ้านเปรียบเหมือนของเขาเลย แม้แต่หญ้าต้นเดียว”

“เพราะผมคิดว่า เป็นการปลอดภัยดีกว่าที่จะถือวิสาสะคิดเป็นของผมเสียหมด” ประสมตอบ ทันควัน

“เอ้า ! ตกลงว่ามยุรีให้ประภายืมรถนั่งไป และให้แกเป็นองครักษ์อีกต่อหนึ่ง” ประเสริฐพูดเมื่อเห็นหนุ่มสาวทั้งสองที่หน้าอริเข้าใส่กัน แล้วนำมยุรีมาขึ้นรถเฟียตตอนเดียวของเขา ประสมพาประภาไปขึ้นรถอีกคันหนึ่ง

​โรงภาพยนตร์บ้านหม้อ ชื่อแสดงอยู่แล้วว่า ตั้งอยู่แห่งใด เป็นโรงมหรสพที่ได้ชื่อว่าดีเยี่ยมในกรุงสยาม คำว่า ‘ดี’ เป็นคำกล่าวติดปากกันทั่วไป แต่อาจมีความหมายเป็นคนละอย่าง บางคราวผู้พูดหมายว่า ตัวโรง และวิธีปลูกเหมาะเจาะเข้าที เล็กโตไม่กล่าวถึง บางคราวหมายว่าดีเหมาะไม่โปร่งอากาศเข้าได้มากไม่อึดอัดเป็นอยู่ในหีบ ดังเช่นโรงภาพยนตร์อื่น ๆ อนึ่ง ถนนหน้าโรงสะอาด ปราศจากกลิ่นเหม็น มีร้านขายของรับประทานและเครื่องดื่ม มีกระถางต้นไม้และเก้าอี้ตั้งให้สาธารณชนพัก เมื่อรถแล่นเข้าจอดใต้สะพานคอนกรีตแล้วจะได้เห็นบาร์ ส้วมสะอาดและตู้โทรศัพท์ตั้งอยู่ในระยะชิดกัน

ผู้ที่มาใหม่พากันขึ้นข้างบน นั่งที่ละสองบาท โรงภาพยนตร์นี้ไม่มีบ๊อกซ์ ประเสริฐทอดสายตาไปรอบ ๆ ที่ๆ เขาเคยเหยียบเข้ามาเป็นครั้งแรก ​สิ่งที่ถูกใจเขาที่สุดในเมื่อได้ชมทั่วแล้ว คือ เฉลียงคอนกรีตยาวเป็นสะพานเชื่อมตัวโรงภาพยนตร์กับห้องเครื่องดื่ม ประเสริฐยืนพิงลูกกรงสะพานมองดูภาพเบื้องล่างอยู่ครู่หนึ่ง จึงกลับเข้ามาข้างใน

“ข้างนอกสบายมาก” เขาบอกกับมยุรีเมื่อได้นั่งลงแล้ว

“คุณหลวงเพิ่งเคยมาหรือคะ ?”

“จ้ะ เป็นครั้งแรก เหมาะมาก ท่วงทีดีทีเดียว เอ๊ะ นี่กำลังฉายเรื่องอะไรจ๊ะ ?”

“ดิฉันก็ไม่ทราบ ประภานเรื่องอะไรรู้ไหม?”

มยุรีถามประภาผู้นั่งติดกับหล่อน

“ไม่รู้ แต่คิดว่าไม่ใช่ ‘วัยคะนอง’ ที่ฉันอยากดู”

ผู้ที่มาด้วยกันทั้ง ๔ คน น่าจะไม่มีใครทึ่งกับภาพที่กำลังฉายอยู่เท่าหลวงประเสริฐ ฯ เขาดูจริงดูจังไม่พูดจา นอกจากเวลาไฟเปิดจึงพูดกับมยุรี​สักคำสองคำ ตรงกันข้ามกับประภาและประสม ทั้งสองพูดกันเรื่อย ศีรษะโอนเอนเข้าหากัน บางคราวมยุรีได้ยินประสมเลียนคำพูดที่คมคายในเรื่อง และทั้งสองก็หัวเราะกัน เมื่อไฟเปิดสว่าง ประภาจึงหันมาทางมยุรีเค้าหน้าอ่อนหวานยิ้มย่อง ประสมก็สดชื่น ความมั่นชาไม่มีอยู่ในวงหน้าอันงาม สรุปความว่ามาด้วยกันสี่คน สามคนได้รับความบันเทิงมากมาย ตรงกันข้ามกับมยุรี รู้สึกอึดอัดและคล้ายกับมีความโกรธแค้นอยู่ในใจ หล่อนเอียงหูฟังคำพูดของประภากับเลขานุการหนุ่มได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง เหตุนี้ทำให้ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้น มยุรีรู้สึกตัวว่าเปล่าเปลี่ยวตัวคนเดียว ไม่มีใครเอาใจใส่นึกถึง น้ำตาแล่นขึ้นมาถึงกระบอกตาพยายามกลืนดูเหมือนยิ่งยุ มองเห็นภาพในจอนั้นพราวพร่า มยุรีชอบมองดูความสนิทสนมระหว่างประภาและประสม แต่​เหตุใดเล่าความวิสาสะระหว่างน้องสาวของประเสริฐกับเลขานุการของบิดาจึงขวางตาหล่อน เสียงที่หนุ่มสาวทั้งสองหัวเราะกันทีหนึ่ง ๆ ทำให้มยุรีรู้สึกแสบราวกับแผลสดถูกทิงเจอร์ราด เวลาล่วงไปเป็นลำดับ หล่อนก็คงมีความรู้สึกเช่นนั้น เป็นการเหลือทน หล่อนจึงลุกขึ้น

“เธอจะไปไหน ?” ประเสริฐถามพลางหลีกเก้าอี้ให้

“ไปธุระข้างนอก” มยุรีตอบพยายามสะกดมิให้เสียงสั่น

ราวห้านาทีผ่านไป มยุรีจึงกลับมานั่งที่ คราวนี้มีอาการคล้ายคนที่เพิ่งมีโอกาสยกของหนักขึ้นจากบ่า ดวงหน้าอันงามนั้นยังตึง ริมฝีปากแดงเรื่อนั้นเม้มแน่น ลักษณะเหล่านี้ประภาเห็น หล่อนจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“เธอไม่ชอบเรื่องนี้รึ ดูเธอไม่ค่อยสนุก”

​มยุรีหัวเราะแห้ง ๆ ตอบพอไม่ให้เสียกริยา “เรื่องดี”

ต่อจากนั้นมยุรี มีอาการเปลี่ยนไปใหม่ คือมีการเหลียวดูบันไดทุก ๆ ห้านาที จวบจนถึงเวลา ๒๓ น. เศษ ซึ่งเป็นเวลาที่ภาพยนตร์จวนเลิก มีชายหนุ่มรูปร่างสันทัดขึ้นบันไดมายืนมองดูรอบ ๆ คล้ายแสวงหาใครคนหนึ่ง พอดีไฟเปิดเขาเดินตรงไปที่หลวงประเสริฐกับแขกนั่งอยู่

“อ้อ! อยู่นี่เอง มองหาเสียแย่” ผู้ที่มาใหม่พูดพร้อมกับเอามือเท้าพนักเก้าอี้ชะโงกหน้ามาหามยุรี !

“มาแล้วหรือคะ” มยุรีพูดไม่ได้แสดงความดีใจ “คุณหลวงคะ ดิฉันลืมบอกไปว่า คุณละออเชิญดิฉันไปรับประทานของว่างเวลา ๕ ทุ่มครึ่ง ขอประทานโทษ เห็นจะต้องไปที”

​สีหน้าหลวงประเสริฐ ฯ แสดงความประหลาดใจ ประภาเป็นผู้พูด

“เดี๋ยวนี้รึ ไม่รอให้หนังเลิกก่อนรึ ? อีกม้วนเดียวเท่านั้นนี่นา”

“อย่าเลยเธอ ขอบใจ สัญญาต้องเป็นสัญญา” มยุรีตอบ “ขอบพระคุณคุณหลวงมากที่ได้ เชิญตัวดิฉันมา เป็นคืนที่สนุก ดิฉันจะจำไว้เสมอ ลาทีนะคะ”

ผู้ชายลุกขึ้นยืน

“ผมขอโทษที่มาแย่งเอาแขกของคุณหลวงไป หวังว่าไม่ถือโทษไม่ใช่หรือครับ” ประโยคสุดท้ายละออพูดกับประภา พร้อมกับรับไหว้หล่อน แล้วก้มศีรษะลาหลวงประเสริฐ ฯ กับประสม ผู้มีนามข้างท้ายนี้ก้มศีรษะรับอย่างมึนชา

----------------------------

 

๑. แซนด์วิช หมายความถึงผู้หญิงอังกฤษผอมบาง โดยมากมักแห้ง ↩