Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28 October 2025, 17:21:28
-
นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 5-6
๕
พระราชวังพญาไท ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ใคร ๆ ก็ทราบว่าเป็นสถานที่หรูที่สุดในกรุงเทพ ฯ พระนครในวันพุธและวันเสาร์ย่อมมีสุภาพบุรุษและสตรีทั้งชาวพระนครและชาวต่างประเทศไปชุมนุมหาความเบิกบานกันมากมาย ตัวตึกชั้นล่างเป็นเฉลียงยาวมีคนเดินกันขวักไขว่ มีโต๊ะตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ เสียงพูดทั้งภาษาฝรั่งและไทยดังแซ่ บ๋อยวิ่งยกเครื่องดื่ม หลีกคนที่เดินและนั่งด้วยความลำบาก ห้องเต้นรำที่ออกจะแคบก็ก้องไปด้วยเสียงดนตรีฝรั่งบรรเลงเพลงเต้นรำ ไทยจับคู่กับฝรั่ง ฝรั่งจับคู่กับไทย จีนกับไทย ไทยกับจีน ไทยต่อไทย ประคองกันก้าวเท้าเดินตามจังหวะดนตรี ไหล่ต่อไหล่สีกัน ทรวงต่อทรวงประสานกัน มือต่อมือสัมผัสกัน ยิ่งเวลา ๑๐ นาฬิกาล่วงแล้ว คนก็ยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับ จนพัดลมหามีอำนาจปัดเป่าความร้อนได้ไม่ ฝ่ายชายเสื้อเชิ้ตชุ่มด้วยเหงื่อ ฝ่ายหญิงเสื้อแพรคอกว้างแขนไม่มีต่ำกว่าไหล หรือที่ถูกเสื้อไม่มีแขนเปิดให้ผิวหนังได้รับอากาศได้มากกว่า ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าแพร หรือลินินกว้างยาวไม่เกินหนึ่งคืบขึ้นซับเหงื่อที่หน้าผากบ่อย ๆ เหงื่อเจ้ากรรมมันทำให้หน้าหายนวล แก้มหายแดง และริมฝีปากเป็นสีม่วง กลิ่นน้ำหอมปนกับกลิ่นแอลกอฮอล์ปนกับกลิ่นบุหรี่แล่นเข้าฆานประสาท
ในจำนวนชายหญิงที่กล่าวมาแล้วน มีมยุรีรวมอยู่ด้วยหล่อนออกมาจากห้องเต้นรำ พร้อมด้วยคู่นายละออสวมเครื่องแต่งกายเวลาเย็นเยี่ยงชาวยุโรป ดวงหน้าอันเคยขาวกลายเป็นสีแดงจัดตลอดถึงหู ร่างสันทัดของเขาก็เหมาะกับเครื่องแต่งกายดีอยู่ มยุรีสวมเครื่องแต่งกายแดงแช้ดทั้งตัว รองเท้าแพรแดงนั้นส้นสูงปรี๊ด ทำให้ไหล่ของหล่อนได้ระดับกับไหล่ของนายละออ ดูเขาก็สมเป็นคู่กัน ฝ่ายสุภาพบุรุษยอมให้มยุรีเป็นคนสวย ฝ่ายสตรียกนายละออให้เป็นคนเก๋ นายละออมีหน้ายิ้มแย้มเสมอ กิริยากร้องแกร้ง แว่นตาโตทำให้เขาดูดีขึ้น เมื่อพูดกับมยุรีเขามักก้มหน้าเข้าไปจนชิดหล่อน เสียงที่พูดมีเสียงหัวเราะแกมเสมอ มยุรีมักมองดูเขาด้วยสายตาแสดงความพอใจ บางคราวหล่อนยิ้มอย่างล้อเลียน บางคราวก็มีแกมเยาะ สิ่งเหล่านี้ละออไม่เห็นประหลาด ธรรมดาผู้หญิงต้องดีดดิ้น ผู้หญิงซื่อ ๆ ดูไม่เพลินตา
“แหม ! เพลงเมื่อกี้เพราะจริง !” พยอมพูดเมื่อหนุ่มสาวทั้งสองเดินไปถึงที่หล่อนนั่งอยู่กับเพื่อนชายและหญิงอีกรวม ๕ คนด้วยกัน
“เพราะมาก” ละออรับ “ตั้งแต่เต้นรำมายังไม่เคยชื่นบานเท่าเมื่อกี้เลย”
“ด้วยคู่ที่งามเช่นนั้น ใครเล่าจะไม่ปลื้ม !” ชนชาติอเมริกันเข้าใจภาษาสยาม แต่พูดไม่ค่อยได้พูดเสริม
ละออก้มศีรษะให้มยุรีเป็นเชิงรับคำ ชายหนุ่มอีกสองคนร้องขึ้นพร้อมกันว่า
“พูดดีมาก!”
มยุรีก้มศีษะเอียงอายพอเป็นที คำชมเชยเพียงเท่านี้ ไม่พอที่จะทำให้หล่อนกระดากหรอก หล่อนเคยชินเสียมากกว่านี้หลายเท่า อย่างไรก็ดี หล่อนพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า
“มิสเตอร์แอ็ดดิสัน ไม่ทราบเลยว่าท่านยอเก่งถึงเพียงนี้”
“โน ๆ ! มายชายยอ” นายฝรั่งค้านด้วยภาษาไทย “เพนความจริงเช่นน้าน”
“จะดื่มอะไรกันบ้าง” นายละออถาม
“โอ! เราดื่มกันพอแล้ว” ชายหนุ่มที่นั่งข้างพยอมบอก เขาคือหลวงดำริสุขการ ข้าราชการในกรมนคราทร อีกคนหนึ่งอ้วนกว่าเขา แต่หน้าอ่อนกว่า ชื่อนายยวง มยุรีได้พบกับเขาทั้งสองในวันนี้เอง ละออแนะนำให้รู้จัก แต่มันเป็นจรรยาของหญิงที่ได้รับการศึกษาชั้นสูงและทันสมัยเจี๊ยบ ที่จะต้องแสดงกิริยาสนิทสนมต่อผู้รู้จักทุกคน จะเป็นเพื่อแสดงความใจดีไม่เย่อหยิ่ง หรือความมีปากหวานอะไรก็ตามที และยิ่งในงานเช่นนี้ มีผู้รู้จักมากก็ยิ่งมีเกียรติยศมาก และความสนุกมาก มาพญาไทในวันที่มีเต้นรำแล้วไม่รู้จักกับใคร นั่งจ๋องอยู่จะได้ความเพลิดเพลินมาจากไหน ?
“คุณพี่เป็นคู่เต้นรำกับน้องหน่อยเถอะ !” พยอมพูดขณะที่ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีก
“ได้ซี แต่ไม่ต้องถามพี่นะ ว่ารอบเมื่อกี้กับรอบที่จะเต้นนี้ พี่รู้สึกผิดกันอย่างไร” เขายิ้มมองดูมยุรีอย่างมีนัย
“มันไม่ใช่หน้าที่ที่น้องจะไปอิจฉาริษยานี่นะ” พยอมตอบทันใจ หล่อนเพิ่งออกมาจากโรงเรียนวังหลังกำลังจบออกมาใหม่เอี่ยมทีเดียว
ละออกล่าวคำขอโทษต่อผู้ที่นั่งอยู่แล้วส่งแขนให้น้องสาว มีชายมาขอให้เพื่อนของพยอมไปเต้นรำด้วย จึงตกลงเหลืออยู่แต่มยุรีกับชายอีกสามคน มยุรีจิบแชมเปญด้วยริมฝีปากบางของหล่อน แล้วเริ่มก่อการสนทนาตามวิสัยหญิงที่คุ้นกับการสมาคม หล่อนพูดเบา ๆ ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน ยิ้มปรากฏอยู่ในดวงหน้าเสมอ การสนทนานั้นประกอบด้วยคำหวาน ถามโดยไม่ตั้งหน้าฟังคำตอบ ตาลอยไปในที่ต่าง ๆ จับอยู่ตามใบหน้าบุคคลที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ และที่เดินผ่านไป เมื่อผู้ตอบๆ หมดประโยคก็ตั้งต้นถามใหม่ ถึงคราวที่จะตอบก็เคลือบคำพูดด้วยน้ำตาล ผลัดกันถามผลัดกันตอบ ริมฝีปากที่เผยอยิ้มนั้นคล้ายกับเอาใจใส่ฟังเสียเป็นที่สุด แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน ให้ใครลองถามมยุรีดูว่าหล่อนคุยถึงเรื่องอะไรกับนายฝรั่งและเพื่อนหนุ่มทั้งสอง หล่อนจะเลิกคิ้วยักไหล่แล้วหัวเราะอย่างขบขันที่สุด หล่อนจำไม่ได้ว่าได้ฟังอะไรบ้าง และพูดอะไรบ้าง! คงจะมีอยู่สิ่งเดียวที่ไม่ลืม-เขาพากันชมว่าหล่อนงาม !
ขณะนั้นมีชาวต่างประเทศหญิงหนึ่งชายหนึ่งเดินผ่านมา แอ๊ดดิสันลุกขึ้นทักทายกันแนะนำให้รู้จักกับผู้ที่นั่งอยู่กับเขา แล้วเขาขอหญิงคนหนึ่งให้ไปเต้นรำด้วย ตกลงที่นี้เหลือแต่มยุรีกับนายอ้วนและนายผอมเท่านั้น
หล่อนเริ่มเบื่อการฟังและการพูด นายอ้วนพูดเร็วเป็นครอก ซักถามอะไรต่าง ๆ โดยไม่ระวังปากขาดจรรยาฝรั่ง นายผอมนักเรียนอังกฤษ สำนวนที่พูดแห้งแล้งไม่มีน้ำเชื่อมและหัวเราะน้อย มยุรีจึงเกิดความต้องการที่จะไปเดินเล่นที่สนามหลังตึกสักหน่อย เดือนหงาย! อากาศบริสุทธิ์ภายใต้แสงจันทร์ มีคูน้อยอยู่ตรงหน้า สาวสวยอยู่เคียงข้าง ! เพื่อนหนุ่มทั้งสองรีบรับคำ สามคนเดินเคียงกันไปช้า ๆ มยุรีเดินกลาง นายอ้วนกับนายผอมเดินสองข้าง จนรอบบริเวณอันตระการตานั้นแล้ว จึงกลับมานั่งเก้าอี้ที่ริมคูห่างกับตึกเพียงเล็กน้อย
“ดิฉันเห็นจะต้องกลับเข้าไปเสียที เดี๋ยวคุณละออจะเที่ยวหา คุณจะไปหรือยังหรือจะอยู่ชมจันทร์ก่อน ?”
“ผมจะไปส่งแล้วจะกลับมาอีก” นายยวงบอก
“ขอบใจค่ะ ไม่ต้องหรอก ดิฉันอยากเดินคนเดียว”
สองสหายมองตามหล่อน พอเห็นขึ้นบันไดจึงลุกขึ้นจากที่นั่งเดินช้า ๆ แล้วหยุดหันหลังให้ตึก นายอ้วนเป็นคนพูดขึ้น
“ถ้าเมียกันสวยเท่าครึ่งของหล่อนแล้วจะเปรียวมากกว่าอีกเท่าหนึ่งก็ยอม”
นายผอมว่า
“กันละไม่เอาเด็ด สวยกว่านี้ก็ไม่เอา เที่ยวกับผู้ชายดึก ๆ ทุกคืน เสร็จเข้าไปกี่มากน้อยแล้วก็ไม่รู้”
ทั้งสองสะดุ้งสุดตัว ใกล้กับที่เขายืนอยู่ มีเก้าอี้ยาวตั้งหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง มีชายคนหนึ่งกระแอมแล้วโผล่เข้ามา เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างสบายใจ แต่พนักเก้าอี้สูงจึงบังเขาเสียจากสายตาคนทั้งสอง
นายประสมเดินไปตรงหน้าผู้พูด กล่าวเรียบๆ ว่า
“ท่านสุภาพบุรุษ ถ้าท่านเป็นลูกผู้ชายจริง ลองกล่าวขวัญและเอ่ยนามของสุภาพสตรีนั้นอีกสักครั้งเถิด”
สองสหายพิศวงและตกใจระคนกัน
“อย่างไรเล่าครับ ท่านสุภาพบุรุษ” ประสมกล่าว
“ได้สิขอรับ ถ้าท่านอยากฟัง” คุณหลวงพูดเน้นคำ “ข้าพเจ้าว่าผู้หญิงอย่างนางสาวมยุรีนั้น ให้สวยกว่านี้อีกเท่าหนึ่งก็ไม่ต้องการ และข้าพเจ้าว่าไปเที่ยวกับผู้ชายทุกคืน เสร็จเข้าไปกี่มากน้อยแล้ว ก็ไม่รู้ ท่านจะ........”
ไม่ทันจบประโยค เสียงกร้วม! ตูม! ซ่า! ร่างของผู้พูดลงไปลอยอยู่ในคู นายอ้วนโกรธแค้นแทนเพื่อนโดดเข้าชกประสมเต็มแรง เขามิทันรู้ตัว จึงเซถอยหลังไปสองสามก้าว พอตั้งหลักได้ก็ปล่อยหมัดแข็งเกร็งเข้าให้ที่คางอันหนาด้วยเนื้อ นายยวงเซถอยหลัง ลงไปเป็นเพื่อนอาบน้ำกับหลวงดำริสุขการทันที
ประสมมองดูคนทั้งสองตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เขาหัวเราะอย่างดูหมิ่น ล้วงมือลงในกระเป๋าหยิบธนบัตรออกโยนไว้ แล้วพูดว่า “นั่นน่ะค่าซ่อมแซมเครื่องราตรีสโมสรที่เปียกน้ำ”
“อะไรกัน นายประสม” เสียงมยุรีดังขึ้นข้างหลังเขา ประสมหันไปมองดูราวกับจะกินเนื้อ
“เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่กิจของใคร” เขาสะบัดเสียงตอบ ปัดเสื้อและผ้านุ่งจนเรียบร้อยแล้ว ก็หันหลังให้ เดินลงสันไปข้างหลังตึก
มยุรีก้มลงหยิบธนบัตรขึ้นดูเห็นเป็นจำนวนห้าสิบบาท หล่อนตื่นเต้นไม่รู้จะทำประการใด ทั้งโกรธนายอ้วนกับนายผอมผู้ขึ้นมายืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งอายที่ประสมได้ยินคำสบประมาท และได้ป้องกันเกียรติยศของหล่อน
เมื่อก้าวขึ้นบันไดไป หล่อนนึกถึงว่าได้วางผ้าเช็ดหน้าไว้ที่เก้าอี้ จึงย้อนกลับเพื่อจะไปเอาคืนมา ก็พอดีได้ยินคำสนทนาของบุรุษทั้งสาม ความคิดเรื่องผ้าเช็ดหน้าปลาสนาการไปจากสมองจนสิ้น หล่อนหันหน้าเดินขึ้นบันไดด้วยอาการเดือดแค้นพบนายละออก็ลากลับบ้าน โดยไม่อธิบายเหตุผลอย่างไรเลย
“อะไรกลับบ้านป่านนี้!” นายแพทย์หนุ่ม พูดพร้อมกับกางมือ “พยอมยังเต้นรำอยู่เลย”
“บอกหล่อนด้วยว่าดิฉันลา”
“ช้าก่อนมยุรีเธอจะกลับไปอย่างไรกับคนรถ หนทางเปลี่ยวนา ให้ฉันไปส่งเถอะ”
“อย่าเลยขอบใจ ดิฉันไม่อยากให้คุณละความสนุกเพราะดิฉัน”
“ถ้าเช่นนั้นเธออยู่ก่อน”
“ไม่ได้ อีกอึดใจเดียวก็ไม่ได้” มยุรีตอบ เสียงเกือบเป็นกระชาก คิ้วขมวดเข้าหากัน
ละออไม่กล้าคัดค้าน พาหล่อนเที่ยวเดินหารถของตน
มยุรีไม่ยอมไปกับเขา อ้างว่าอยากนั่งรถเล่นคนเดียว
เมื่อรถหล่อนเลี้ยวถนนวิทยุ มยุรีเห็นรถด๊อดจ์คันหนึ่งแล่นไปข้างหน้า แล้วหยุดตรงประตูใหญ่ “นายประสมนั่นเอง” หล่อนนึก ทำไมเขาถึงไปที่นั่นหนอ และเขาอยู่ที่ไหน จึงได้ยินเจ้าสองคนนั่นพูด สามนาทีภายหลัง รถหล่อนแล่นเข้าบ้าน หล่อนคาดว่าจะได้พบประสมและจะได้ขอบใจเขาแต่ไม่ทัน แสงไฟในห้องนอนของเลขานุการลอดออกมา แสดงว่าเจ้าของอยู่ในนั้นแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมยุรีลงจากห้องนอนจะเข้าห้องอาหาร พอได้ยินเสียงประสมพูดกับเจ้าคุณบิดาอยู่ หล่อนใจหายวาบ หยุดฟังสักครู่รู้ว่าเรื่องไม่เกี่ยวกับหล่อน กว่าจะเข้าห้องได้มยุรีชะงักข่มสติเสียนาน หล่อนมีความกระดากที่จะเผชิญหน้ากับนายประสม ครั้นเปิดประตูและนำตัวเข้ามาในห้องแล้ว ก็เข้ามาจุมพิตบิดา
ประสมเงยหน้าขึ้นยิ้มกับหล่อนอย่างปกติ ถึงกระนั้นมยุรีก็ยังรู้สึกว่าเลือดขึ้นหน้า
เจ้าคุณไมตรีฯ กับเขาคงสนทนากันต่อไปถึงเรื่องร้อยแปด เจ้าคุณซักถามถึงความเป็นไปแห่งกิจการป่าไม้ที่สวรรคโลก มยุรีนั่งนิ่ง ตาลอยไปในที่ต่างๆ ทันใดนั้นคำพูดของเจ้าคุณทำให้หล่อนเอาใจใสขึ้นทันที ท่านถามเลขานุการของท่านว่า
“ลูกชายของถนอม ตั้งแต่กลับจากนอกแล้วยังไม่เคยเห็นหน้าสักที เป็นอย่างไรบ้างเดี๋ยวนี้ ต่างคนต่างอยู่ไกลกันเสียนานเลยเรื่อยเฉื่อยกันไป”
ประสมตอบว่า “เมื่อรุ่นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้น ใคร ๆ ว่าดำลงเพราะทำงานตากแดด”
“รูปร่างท่าทางเป็นยังไรบ้าง”
“คนธรรมดาเรานี่แหละครับ...........ว่าแต่นี่ แปดนาฬิกาแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องแต่งตัว” พูด แล้วลุกขึ้นทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ
ประสมมีอาการเช่นนั้น เกือบทุกคราวที่เจ้าคุณพูดถึงสวรรคโลกและบิดามารดาของเขา จะว่าเขาอายหรือมีอะไรปิดบังก็ใช่ที่ เขาไม่มีอาการเช่นนั้น เป็นแต่ไม่อยากพูดถึงเอาเฉย ๆ เจ้าคุณสงสัย แต่ไม่กล้าซักถามด้วยความเกรงใจ
นับแต่คืนที่เกิดเรื่องที่วังพญาไทแล้ว มยุรีรู้สึกว่ามีอาการแปลกขึ้นในตัวของหล่อน หล่อนไม่มี ความสุขเหมือนแต่ก่อน สมองอันโปร่งไม่มีอะไรข้องเดี๋ยวนี้ก็เกิดมีขึ้น เป็นอะไรแน่ มยุรีไม่กล้าถามตัวเอง แต่หล่อนรู้สึกว่ามันเป็นความกลัวชนิดหนึ่ง อะไรเล่าที่หล่อนกลัว มยุรีอายที่จะสารภาพ....หล่อนกลัวนายประสม ไม่ใช่กลัวดุ หรือกลัวเขานินทา หรือกลัวเขาจะข่มเหง หรือกลัวเขาโกรธไม่ใช่ทั้งนั้น มันเป็นความกลัวที่อธิบายยาก เป็นความหวั่น ความกลัวชนิดนี้ ถ้ามีขึ้นกับหญิงใดมักจะทำให้เส้นประสาทเสีย ใจเต้นแรงผิดปกติ และเหน็ดเหนื่อยโดยไม่มีเหตุผล ความกลัวตัวเองจะรักคนที่ไม่อยากรัก ประสมตามที่มยุรีเห็นในบางคราว มีท่วงทีเป็นเสน่ห์แก่ตาไม่น้อย พูดเสียงเป็นกังวานชัดถ้อยคำ คำพูดไม่เหลวใหล เวลาพูดออกท่าเล็กน้อยและมักเอียงศีรษะข้างขวา ในเมื่อเอาใจใส่ฟัง ถ้าประสมไม่มีหนวดจะยอมยกให้ว่าเป็นคนสวยเก๋กว่าใครที่ได้เห็นมา ความรู้เล่าบิดาของหล่อนเองก็เคยออกปากว่าเก่ง ทำการงานเด็ดขาดรวดเร็วและไม่พลั้งผิด ความประพฤติก็ดีไม่เที่ยวเตร่หรือกินเหล้า แต่กำเนิดของเขาเท่านั้นไม่มีใครทราบ นอกจากความคิดในเรื่องกลัว หมู่นี้มยุรียังนึกถึงประสงค์คู่หมั้นอีกด้วย ก่อน ๆ หล่อนไม่เคยรำพึงถึงเขาเลย พอรู้ว่าเป็นคู่หมั้นก็เลยเกลียดส่ง ตั้งใจอยู่อย่างเดียวว่าจะเลือกคู่เอาเอง โดยมิให้ใครบังคับ ตั้งแต่ได้ฟังเรื่องชายโดดน้ำตายแล้วหล่อนก็ชักอยากรู้ความเป็นไปของคู่หมั้นขึ้นมาบ้างทีเดียว จดหมายของเจ้าคุณบำรุงฯ นั้น มยุรีได้อ่าน หล่อนหัวเราะเยาะในเรื่องที่นายประสงค์รักหล่อน เคยเห็นกันแต่เล็กแล้วรักมาจนโต! เหลือเชื่อ! ตอนเช้าเมื่อเจ้าคุณถามประสมนั้น หล่อนตั้งใจฟังคำตอบเต็มที่ แต่ผิดหวังไม่ได้เรื่องอะไรเลย บัดนี้ หล่อนกลับน้อยใจคู่หมั้นที่เขาไม่แยแสในหล่อน ตั้งแต่หล่อนกลับจากอเมริกานับเวลาหกเดือนเต็ม เขาควรจะมาเยี่ยมบ้าง แต่เขาใจดำเป็นที่สุด ไม่เคยทำเช่นนั้น หรือแม้แต่เขียนจดหมายถึงก็ไม่มี มยุรีรู้สึกเสียใจที่ได้ปฏิเสธลงไปเด็ดขาด........ก็หล่อนไม่รู้ว่าจะมีนายประสมคนหนึ่งมาเป็นเลขานุการของคุณพ่อ ! หล่อนอยากพบประสงค์ เผื่อบางทีเขาจะเป็นที่พึ่งแก่หล่อนได้ ส่วนนายละออนั้นมยุรีทราบชัดว่า พึ่งไม่ได้เสียแล้ว กิริยากร้องแกร้งของเขามีอำนาจน้อยกว่าอาการมึนตึงอยู่ในดวงหน้าอันงาม ถ้าประสงค์มีกิริยาเหมือนประสม หล่อนแน่ใจว่า เขาจะมีอำนาจขับประสมออกจากสมองหล่อนได้ทันที
“ฝันถึงอะไรลูก” เป็นคำพูดของเจ้าคุณดังขึ้นข้างหลังหล่อน มยุรีสะดุ้ง “นั่งซิคะคุณพ่อ” หล่อนว่าเมื่อเจ้าคุณนั่งลงแล้วหล่อนเอนศีรษะลงซบกับบ่าท่านพลางถอนใจ
“เอ๊ะ! เป็นอะไรไปลูกมีเรื่องอะไรรึ?” เจ้าคุณถามพลางเชยคางบุตรี
“ลูกกำลังนึกถึงคุณ........คุณประสงค์” มยุรีตอบเสียงแผ่วเบา
“คิดถึงพ่อประสงค์ ! คู่หมั่นที่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานด้วยเป็นเด็ดขาดน่ะรึ?”
“ค่ะ” มยุรีตอบเสียงเดิม
เจ้าคุณเกือบไม่เชื่อหูตัวเอง
“จริงค่ะ ลูกคิดถึง อยากทราบว่าเขาเป็นคนอย่างไร”
“ทำไมเจ้ากลับใจรึ ? เจ้าจะยอมแต่งงานกับเขารึ ?” เจ้าคุณถามเห็นชัดว่าดีใจ
“ก็ไม่เชิง เป็นอย่างไรไม่ทราบลูกบอกไม่ถูก”
“มันเป็นอย่างไร อธิบายให้แจ่มแจ้งสักหน่อยถี”
มยุรีเงยหน้าขึ้น ตาอันคมนั้นดูเศร้า
“ยังค่ะ ลูกยังอธิบายไม่ถูกไว้วันหลัง” หล่อนว่า ทันใดสายตาหล่อนเหลือบไปพบกุหลาบขาวที่กำลังออกดอกอยู่สะพรั่ง เปลี่ยนสีหน้าให้ชื่นขึ้น หล่อนลุกขึ้นยืนพูดว่า “แหม ดอกกุหลาบนั่นน่าเก็บจริง เดี๋ยวนะคะ ลูกจะเก็บไปปักแจกันสักหน่อย”
มยุรีตั้งพิธีตัดดอกกุหลาบอยู่นาน ในที่สุดก็รวมได้ช่อใหญ่ หล่อนเลือกเอาดอกกำลังแย้ม กลีบ ที่บานออกแล้วเป็นสีขาวข้างในเป็นสีชมพูอ่อน ค่อยบรรจงสอดลงตรงช่องลูกไม้ที่ติดเสื้อ หญิงโดยมากชอบดอกไม้แต่ความชอบของเจ้าหล่อนมีลักษณะต่างกัน บางคนเห็นเข้าอดเก็บไม่ได้ แต่พอเก็บได้สมใจก็ถือเล่น พอเบื่อแล้วก็ขว้างทิ้ง บางพวกเก็บได้แล้วก็ถนอมบำรุงมิให้ชอกช้ำ รักษาให้สดชื่นอยู่นานที่สุดที่จะนานได้ ในครู่ต่อมาเมื่อเดินถึงหน้าตึก มยุรีเห็นประสมกำลังนั่งสนทนาอยู่กับเจ้าคุณ พอหล่อนเข้าไปใกล้ เขามองดูหล่อนอย่างไม่แยแส เช่นเคย ปากคงพูดอยู่เรื่อย หล่อนจึงเลยไปห้องรับแขก บรรจงจัดราชินีแห่งดอกไม้ลงในแจกันเคลือบ ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง พอเสร็จได้ยินฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามา มยุรีใจเต้นหล่อนทราบว่าเป็นฝีเท้าใคร ฉวยหนังสือเล่มหนึ่งก้มลงจะอ่าน แล้วกลับนึกไม่อยากให้เขารู้ว่าหล่อนอยู่ในนี้ จึงเอาหนังสือติดมือไปยังเก้าอี้นวมตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ซึ่งตั้งหันหลังให้โต๊ะกลางห้องนั้น
ประสมเปิดประตูเบา ๆ แล้วนำตัวเข้ามา พอพบกุหลาบซึ่งชูดอกตั้งตรงเป็นเชิงหยิ่งในความงามของตนเอง เขาเดินเข้ามาใกล้ ก้มลงสูดกลิ่น ที่ข้างโต๊ะมีอีกดอกหนึ่งทิ้งอยู่บนพรม ประสมคงจำได้ว่ามันอยู่บนทรวงอกของมยุรีเมื่อสักครู่นี้ เขาก้มลงหยิบมันขึ้นเพ่งดู ดวงตาก็เกิดความอ่อนโยน ค่อย ๆ ยกขึ้นสูงเพียงจมูก แล้วบรรจงจุมพิตด้วยอาการดูดดื่มราวกับจูบของที่รักและบูชา....
มยุรีทิ้งหนังสือลงทันใด หล่อนเห็นการกระทำของเขาถี่ถ้วน หนังสือกระทบกับหนังปูเก้าอี้ทำให้เกิดเสียงดัง ประสมเงยหน้าขึ้น แววตายังหล่อด้วยแววประหลาด พอเห็นมยุรีเขาเบิกตากว้าง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึง เขาจ้องดูหล่อน มือบีบกุหลาบดอกน้อยบี้แบน ครั้นแล้วรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ โดยมยุรียังไม่ทันรู้สึกตัว เขาก้าวขาเข้ามาใกล้ รวบร่างหล่อนไว้ในวงแขน รักแน่นแล้วก้มลงจูบเต็มแรง จูบไม่ว่าที่ใด หน้าผากตาแก้มปาก ในขณะแรกมยุรีตกใจจนลืมป้องกันตัว แต่พอได้สติหล่อนดิ้นสุดแรง ประสมยิ่งรัดแน่นเข้า เขาจูบ ๆ ๆ จนสะใจแล้วก็คลายแขนปล่อยร่างหล่อนออก
มยุรีทิ้งกายลงบนเก้าอี้ เส้นประสาทสะเทือนไปหมด อายตกใจประหลาดใจแค้นหยิ่งปนกัน อยู่ในความคิด หล่อนยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้าคล้ายกับว่าจะเช็ดรอยที่ถูกสัมผัสให้สิ้นไป
“เป็นบ้าหรือ” หล่อนพูดเสียงหอบสั่นด้วยความถือตัว “จองหองถือว่าคุณพ่อรัก นึกว่าวิเศษกว่าใครทั้งหมดรึ?”
ประสมหน้าซีดเขายืนนิ่งมองดูหล่อนดวงตาลุกวาว
“ฉันจะฟ้องคุณพ่อให้ท่านเลือกเอาระหว่างเลขานุการตัวดีของท่านหรือลูกของท่าน” มยุรีพูด เมื่อได้นิ่งกันอยู่ครู่หนึ่งแล้ว
“ไม่จำเป็นต้องลำบาก ผมจะรายงานตัวของผมเอง” ประสมพูดเสียงต่ำ หันหน้าจะออกประตู
“ไม่ต้อง กลับมานี่ก่อน” มยุรีกระชากเสียงเรียก “ฉันรู้ว่าคุณพ่อจะต้องเสียใจ คุกเข่าลง ขอโทษฉันเสีย แล้วเป็นอันว่าเลิกแล้วต่อกัน”
“โอ้โฮ !” ประสมร้อง “เพื่อทำโทษชายที่บังอาจจูบคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น คุณให้เขาคุกเข่าลงขอโทษเท่านั้นแหละหรือ ? ผมจะคลานไปจากประตูนี้ แล้วคุกเข่าลงขอโทษคุณด้วยคำหวาน ขอแต่ให้ผม่ได้จูบคุณจนจุใจเถิด เออ ! คุณคนสวย สวยพอที่จะทำให้คู่หมั้นกระโดดน้ำตายได้” แล้วเขาก็หัวเราะจนตัวโคลงไปมา
“มนุษย์อุบาทว์ แกไม่ต้องถากถาง แกก็รู้แล้วฉันเป็นคู่หมั้นของคุณประสงค์ แกยังบังอาจทำได้ ชาติเนรคุณ เจ้าคุณบำรุงเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็ก แกยังจะแย่งคู่หมั้นของลูกชายท่านอีกหรือ”
“แย่ง-อื้ ! แย่งมาทำไม ? เอาชื่อคู่หมั้นมาข่มรึ ? คู่หมั้นที่คุณสลัดทิ้งเสียแล้วโดยไม่ใยดี เหตุใดไม่ออกชื่อนายละออของคุณเล่า จะขำกว่าเป็นกอง คุณประสงค์ ! จะทำอะไรกับคุณประสงค์ ? แล้วคุณประสงค์จะทำอะไร ? อีกสามเดือนคุณก็จะเป็นอิสระตามคำของคุณประสงค์ ที่ให้สัญญาไว้ เรื่องผู้ชายที่กระโดดน้ำตายดอกกระมัง ที่ทำให้คุณนึกถึงคู่หมั้น ไม่ต้องวิตกหรอก เขาคงไม่โง่บ้าพอที่จะกระโดดน้ำตาย คุณนั้นเหมือนดอกกุหลาบ งามพริ้งกลิ่นก็หอมฟุ้งซ่านใครผ่านก็เตะจมูก ชาวฝรั่งเศสคิดเห็นว่าดอกกุหลาบนั้นคือเครื่องหมายของความงามที่มีความลำพองชูหัวกลัวใครจะไม่เห็น ประสงค์เป็นคนหนึ่งที่เห็นจริงตามความคิดนั้น เขานิยมความงามอย่างดอกไวโอเล็ต ซุกซ่อนตัวอยู่ใต้ใบ ต้องคมจนชิดจึงจะได้กลิ่น และเมื่อเขาต้องการไวโอเล็ตดอกไหน เขาก็ย่อมจะเด็ดได้ทันที จะมาเสียดายอะไรกับดอกกุหลาบ เด็ดดีไม่ดีหนามตำมือเข้าจะเจ็บ”
พูดจบเขาก้มศีรษะอย่างเยาะเย้ย แล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้มยุรีนิ่งอั้นอยู่คนเดียว
----------------------------
-
๖
สงครามในใจ ระหว่างมยุรีกับนายประสมได้เป็นไปอย่างรุนแรง ความดูถูกเหยียดด้วยกิริยาและวาจา ทิ่มแทงดวงจิตมยุรีอยู่ไม่รู้หาย หนุ่มสาวต่างขึ้งเคียดต่อกันจนออกหน้า ในใจมยุรีไม่มีอะไรนอกจากความแค้นและเกลียดชัง แต่เป็นความเกลียดที่ดูแปลก ไม่มีความมุ่งร้ายปนอยู่ และความที่อยากไล่เขาเสียจากบ้านก็ไม่มีเลย ตรงกันข้ามโดยไม่รู้ตัว มยุรีกลับเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของประสมยิ่งขึ้น บางคราวนึกถึงคำพูดของเขาหล่อนรู้สึกตัวว่าชั่วช้า หล่อนมิได้ใช้กิริยาแลเครื่องประดับส่งเสริมความงามเพื่อตีตามนุษย์ดอกหรือ เมื่อมีคนกล่าวคำชมเชยหล่อน ดวงจิตมิได้พองโตขึ้นด้วยความลำพองดอกหรือ ถึงกระนั้นประสมผู้มีฐานะเพียงลูกจ้าง มีสิทธิ์อะไรที่จะมาว่าหล่อน มีใครบ้างที่ไม่ชื่นชมและหยิ่งในเมื่อรู้ตัวว่ามีความงามพร้อมบริบูรณ์ น้อยนักน้อยหนา ในพันคนจะค้นพบเพียงคนหนึ่งเป็นอย่างมาก ท่านสุภาพสตรีที่เคารพ ในเมื่อท่านแต่งตัวเต็มที่แล้ว และมีผู้ชมว่าท่านงาม ท่านจะไม่รู้สึกตัวเบาขึ้น และท่านจะไม่พยายามวางหน้าวางท่าให้งาม งามขึ้นมากที่สุดที่จะงามได้ดอกหรือ มยุรีก็เป็นหญิงธรรมดาคนหนึ่ง จะให้หล่อนทำอย่างไร โบราณท่านว่า หญิงงามแต่ไม่มีคู่เปรียบเหมือนเพชรไม่มีเรือนแหวน มยุรีเป็นหญิงงาม เมื่อไม่มีใครเคียงคู่ก็ไม่งามพร้อมบริบูรณ์ ฉะนั้นหล่อนจึงต้องควงกับใครคนหนึ่ง ในงานสโมสรสันนิบาต ไปด้วยกันแต่ผู้หญิงล้วนจะหารสที่ไหนมา มีหญิงต้องมีชาย มีชายต้องมีหญิง มิฉะนั้นก็กร่อยจืดชืด ไม่มีรสชาติ ดอกกุหลาบที่งาม แต่ก้านตกอ่อนระทวย เมื่อปักแจกันแล้วก็จะดูน่าเกลียด ต่อดอกตั้งตรงหรือเอียงแต่เล็กน้อย ส่งกลิ่นจัด นั่นซี ใครผ่านก็ต้องแวะจับและดม เมื่อกระนี้แล้ว เหตุไรประสมจึงมานั่งค่อนว่ามยุรี ไม่ได้ หล่อนไม่ยอมแพ้ หล่อนจะไม่ยอมยกโทษให้เป็นอันขาด มยุรีมีความพยาบาทอย่างรุนแรงอยู่ในใจ แต่ประสมก็เป็นคนที่คม การที่จะปล่อยให้ใครต้มนั้นยาก ยิ่งนานวันเขายิ่งเป็นคนรักของเจ้าคุณ นอกจากการงานได้ดำเนินดีขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่เขาได้เข้ามาเป็นผู้ช่วย คนงานก็ดี คนใช้ในบ้านก็ดีย่อมนิยมในความปราศรัยของประสม แม้แต่เด็ก ๆ ในบ้านเจ้าคุณไมตรี ฯ ทุกคนก็เป็นเพื่อนกันกับเขา มีอยู่คนเดียวที่เป็นศัตรูต่อประสมแลที่ประสมเป็นศัตรูต่อคนนั้นคือนางสาวมยุรี
วันหนึ่งเป็นวันที่มยุรีใกล้จะมีอายุครบ ๒๒ ปี บริบูรณ์ หล่อนดำริจะเชิญเพื่อนทั้งหญิงชายมารับประทานน้ำชา กะจำนวนแขกทั้งหมดรวม ๒๒ คน อาทิตย์หนึ่งก่อนถึงวันงาน ประสมผู้ซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เห็นว่าเป็นหน้าที่จะต้องทำอะไรบ้างสักอย่าง จึงออกปากอาสา มยุรีปฏิเสธ แต่เจ้าคุณกลับตอบฐานผู้ใหญ่ที่ฉลาดว่า “ให้คำแนะนำกับมยุรี”
ประสมยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบนี้ เขาแน่ใจว่า ถ้าเขาบอกให้มยุรีทำอะไร ก็เท่ากับเขาห้ามหล่อนเท่านั้น แต่มยุรีมีความชำนาญในทางนี้เป็นอย่างดี หล่อนเข้าใจซื้อของและเข้าใจประดับโต๊ะให้งดงาม สองสามวันก่อนวันเกิดหล่อนไปโน่นมานี่ซื้อของที่จะต้องใช้ เช่นผ้าเช็ดมือซ้อนส้อมที่ขาดไป อยู่บ้านก็เขียนบัตรเชิญเพื่อนยุ่งอยู่คนเดียว สองหรือสามครั้งที่ประสมอาสาให้ความช่วยเหลือ ทุกครั้งหล่อนมองดูเขาอย่างเย็นชา แล้วตอบเสียงแข็งว่า “ไม่ต้อง ขอบใจ”
เช้าวันงานเป็นวันศุกร์ มยุรีตื่นแต่เช้าก็ลงมือทำงาน ออกคำสั่งให้กิจการทุกอย่างตั้งแต่รายชื่อของรับประทาน จานชามช้อนส้อม เป็นการเหนื่อยมิใช่น้อย ที่จะต้องดูแลทุกฝีก้าวด้วยตนเอง และบางคราวต้องลงมือเองอีกด้วย ๑๑ ก.ท. มยุรีเริ่มรู้สึกเสียใจที่ได้คิดการนี้ขึ้น มันทำให้เหนื่อยและยุ่งใจ แต่มันสายเสียแล้ว มีเวลาอีกเพียง ๕ ชั่วโมงครึ่ง ที่จริงการจัดโต๊ะน้ำชาไม่เป็นของยากสำหรับผู้ที่ได้พบเห็นชำนาญมาแล้ว แต่ว่าแม้คำสั่งที่ออกไปจะถูกต้องดีแต่ผู้ฟังหาทำให้ถูกต้องไม่ วันนั้นมยุรีไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน มัวเดินไปโน่นมานี่ ขึ้นตกลงสนาม ไปครัว วนเวียนอยู่อย่างนั้นจนบ่ายสามนาฬิกากึ่ง การก็เสร็จเรียบร้อย กลางสนามมีโต๊ะกลมตั้งอยู่สามโต๊ะ เก้าอี้หวายตั้งอยู่รอบโต๊ะประมาณโต๊ะละ ๙-๑๐ ตัว บนโต๊ะมีผ้าปูซึ่งเย็บและถักอย่างประณีต แจกันปักดอกกุหลาบวางอยู่ ส่วนทางมุมสนามมีโต๊ะยาวใหญ่ บนนั้นมีจานและช้อนส้อมพร้อม เพื่อไม่ต้องลำบากกับคนใช้ ที่จะต้องไปยกมาจากครัวในเมื่อถึงเวลารับประทาน ผ้าขาวสะอาดคลุมภาชนะเหล่านั้นพ้นจากฝุ่นละออง มยุรีเหงื่อตก พอเสร็จแล้วหล่อนหันมายิ้มและถอนใจกับบิดา ซึ่งเดินตามดูหล่อนจัดอะไรต่ออะไรเรื่อยไป และนาน ๆ ก็ออกความเห็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งบุตรีได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง พอหล่อนลดตัวลงนั่งพักเหนื่อยก็พอเห็นประสมซึ่งกลับจากห้างเดินเข้าประตูใหญ่มา
“เออ ! พ่อประสมไม่ยักมากินข้าวบ้าน” เจ้าคุณทักพลางเคาะยาออกจากกล้อง ประสมถอดหมวกออกแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
“ที่ห้างนารีอาภรณ์มารับผ้า และเฉ่งเงินครับ กว่าจะเสร็จเรื่องก็เลยเวลาอาหาร ผมเลยไถลไปรับประทานที่ราชวงศ์” พูดแล้วเขาทอดสายตาไปทางสนามหญ้า
“เรียบร้อยไหม ? ” เจ้าคุณถาม “ช่วยติบ้างสิ”
“เท่าที่ความรู้ของกระผมจะเรียนได้นั้น คือว่าคุณมยุรีเป็นหญิงที่สมควรกับตำแหน่งแม่บ้านเป็นอย่างยิ่ง สังเกตดูตามความชำนาญที่เธอได้จัดการนี้” ประสมพูดยิ้มละไม
มยุรี ทอดตาดูสนาม กิริยาคล้ายไม่ได้ยินคำเยินยอนั้น แต่ภายใต้ขนตางอนงามมีแสงแห่งความชื่นชมฉายอยู่
ของที่หายากย่อมราคาแพง !
“แต่ถ้าใต้เท้า และคุณมยุรีจะให้อภัยกับผม” ประสมพูดต่อไป “บางที........ผมคิดว่า........โต๊ะ........ วันนี้เป็นวันเกิดของคุณไม่ใช่รึ”
มยุรีเงยหน้าขึ้น หล่อนพูดเร็ว “จริงแหละ เห็นจะต้องมีโต๊ะยาวอีกตัวหนึ่ง เพื่อน ๆ เขาคงไม่มามือเปล่า แต่ถ้ามีโต๊ะวางอยู่เฉย ๆ ดูออกจะน่าเกลียด”
“ถูกแล้ว ถ้าหาโต๊ะใหญ่ได้ก็เอามาตั้งแทน โต๊ะถ้วยชาม แล้วใช้ได้ทั้งสองอย่าง คุณเห็นเป็นอย่างไร ?”
มยุรีเห็นด้วย ถึงกระนั้นก็ยังเสียใจที่ประสมเป็นผู้นึกถึงโต๊ะของขวัญก่อนหล่อน สิบนาทีต่อมา ก็มีโต๊ะยาวใหญ่มาตั้งแทนโต๊ะเดิม โต๊ะสั้นสองตัวต่อกันเข้าก็กลายเป็นโต๊ะยาว แต่ยังคงขาดผ้าปู ประสมชักนาฬิกาออกจากกระเป๋าเสื้อ “สามโมงครึ่ง ไวท์เอเวยังคงเปิดอยู่ ถ้าคุณไว้ใจ ?”
มยุรีไม่ตอบว่ากระไร หันไปสั่งคนใช้ให้บอกรถออก แล้วตัวหล่อนเองวิ่งขึ้นไปบนตึก อึดใจหนึ่งหล่อนกลับลงมา หน้านวลผมหวีเรียบร้อย ก็พอดีรถแล่นมาถึงหน้ามุข ประสมเดินเข้ามาใกล้หล่อน ยิ้มแล้วพูดว่า
“คุณไม่สบายเสียละกระมัง แขกเขาจะมาสี่โมงครึ่ง คุณจะเอาเวลาที่ไหนแต่งตัว”
มยุรีสะบัดหน้า แล้วใช้สายตาคล้ายจะถามว่า “ธุระอะไรของแก”
ประสมไม่พรั่นคงพูดต่อไป
“ทำไมถึงรังเกียจที่จะให้ผมช่วยนัก คุณไม่มีความยุติธรรมเสียเลย เจ้าคุณท่านสั่งให้ผมช่วยคุณทุกอย่าง แต่คุณกลับกันท่าผมเสีย นี่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้แค้นรึ ?”
“ฉันไม่ต้องการให้ใครมาเกี่ยวข้องกับเรื่องของฉัน” มยุรีพูดเสียงแข็ง “งานนี้เป็นงานวันเกิด ไม่อยากให้ศัตรูมาเกี่ยว”
ประสมหัวเราะ “อย่าดังนัก คนรถยืนอยู่ที่นั่น เจ้าคุณก็กำลังเดินมา มาเถอะคนสวยของผม เวลาจะไม่มีอยู่แล้ว” พูดขาดคำเขายกร่างมยุรีขึ้นวางบนบันได ตัวเองขึ้นไปนั่งที่คนขับเปิดเครื่อง ก่อนรถจะออกเขาชะโงกหน้ามาหาหล่อน ส่งเสียงลอดเสียงเครื่องจักรมาว่า “ไปแต่งตัวเสียเถอะ น่ากลัวผมจะมาถึงทีหลังนายละออเสียด้วยซ้ำ”
คำทายของประสมนั้นผิด ๔ โมงสิบห้านาที เขากลับถึงบ้าน ยังไม่มีใครมา ส่วนมยุรีได้ความว่ากำลังแต่งตัว เพราะฉะนั้นประสมจึงรับหน้าที่จัดโต๊ะ เรียบร้อยแล้วก็ไปเรือนวัตถุ สิ่งหนึ่งที่ประสมพบ ในขณะแรกที่เขาเปิดประตูห้อง คือบัตรแผ่นเล็กตัวอักษรไม่ค่อยงามอยู่ใต้ชื่อและนามตระกูลมีความว่า
เชิญนายประสม....? รับประทานน้ำชา วันนี้ ๔ โมงครึ่ง”
ประสมหัวเราะอย่างเบิกบาน “จริงซิ หล่อนไม่รู้ว่าเรานามสกุลอะไร” เขานึก
แขกของมยุรีล้วนแต่หนุ่มสาว หญิงโสด ชายโสด บ้านของเจ้าคุณไมตรี ฯ ในตอนเย็นวันนี้ดูราวกับป๊าร์กน้อย ๆ ล้วนแล้วไปด้วยเทพบุตรเทพธิดา แต่ละองค์ทรงโฉมต่างกัน ฝ่ายหญิงอายุ ๒๔ ปีลงมา ฝ่ายชายไม่เกิน ๓๕ ขึ้นไป ทั้งหมดล้วนแล้วไปด้วยนักเรียนได้รับการศึกษาอย่างสมสมัย ครบบริบูรณ์ มยุรียืนอยู่ริมสนามคอยรับผู้ที่ถูกเชิญ เจ้าคุณนั่งอยู่ที่เก้าอี้ มีประสมเป็นองครักษ์ เมื่อเพื่อนของมยุรีเดินมาทำความเคารพกับท่าน ท่านก็ทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และตามวิสัยผู้มีความคิดสูง ท่านยอมพูดพร้อมกับชี้ที่ประสมว่า
“นี่หลานชายและผู้ช่วยของฉัน” ด้วยประการฉะนี้ ประสมก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับทุก ๆ คน ที่มา ท่วงทีที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้าคุณ อาการมองผู้ที่ถูกแนะนำให้รู้จักกับเขา มยุรีอดลอบสังเกตไม่ได้ เขามิได้ทำตัวเป็นหลานเจ้าคุณเต็มที่ คือมีการเดินก๋า หรือคุยหัวเราะตามสบาย แต่การแสดงตนเป็นลูกจ้างของเขา ก็มีไว้ตัวอยู่ในที ราวเกือบ ๕ ชั่วโมง โต๊ะใหญ่ยาวซึ่งตั้งอยู่มุมสนามก็มีของขวัญวันเกิดวางอยู่จนเกือบเต็ม มยุรีรับของขวัญจากมือเพื่อนด้วยท่วงทีที่เหมาะ กล่าวคือมีสีหน้าแสดงความขอบใจที่เพื่อนมีความอารี แต่ไม่มีความลิงโลดตื่นเต้นในของที่ได้จนเกินงาม เวลานี้ทุกคนต่างนั่งลงที่โต๊ะใกล้ผู้ที่ชอบพอกัน เจ้าคุณ ประสมและมยุรี นั่งกันคนละโต๊ะ และเป็นธรรมดาที่โต๊ะมยุรีจะต้องมีนายละออแลน้องสาวอยู่ด้วย
“ใครนะเธอที่เจ้าคุณบอกว่าเป็นหลานท่านน่ะ” เพื่อนหญิงคนหนึ่งของมยุรีเอ่ยถามหล่อนขึ้น
มยุรีมองดูประสมกำลังส่งจานขนมปังให้กับสตรีสาวที่นั่งใกล้เขา หล่อนตอบดังพอที่จะให้เขาได้ยินเพราะเขาอยู่ใกล้หล่อน แต่คนละโต๊ะ
“เลขานุการของห้าง คุณพ่อจ้างมาสำหรับงานของท่านโดยเฉพาะ แต่เขามักยื่นมือเข้าเกี่ยวในกิจการมากกว่าหน้าที่เสมอ”
ประสมวางจานขนมปังลง หันมาทางมยุรีพูดเบาแต่ชัดถ้อยคำ “เช่นเกี่ยวแก่ตัวคุณเป็นต้น” แล้วเขายิ้มจ้องดูหล่อน ซึ่งมองผาด ๆ คล้ายกับแสดงความสนิทสนมอย่างยิ่ง
มยุรีหน้าชา ที่ได้เห็นกิริยาเขาเป็นเช่นนั้น ความตั้งใจของหล่อนก็เพื่อจะเสียดสีเขาต่อหน้าธารกำนัล ความอายเป็นชนวนก่อให้เกิดโทสะลุกง่ายที่สุด เมื่อเหยื่อของหล่อนกลับแว้งเอาเช่นนั้น จึงทำให้เดือด เคราะห์ดีละออซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เป็นแต่ได้ยินคำพูดของประสมเอ่ยขึ้นว่า
“มีนายสาวอย่างเธอมยุรี ใคร ๆ ก็ต้องอยากเกี่ยว ถ้าเป็นฉันจะไม่รับเงินเดือนเลย”
ขณะนั้น มีรถบูอิคสีเขียวแล่นเข้ามาดวงตาทุกคู่หันไปมองดู มยุรีลุกขึ้นยืนร้องว่า “แหมประภา! นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว ล่ามากเทียวเธอ”
ผู้ที่มาใหม่เป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง หญิงขำ หน้ายาว จมูกโด่ง ชายมีเค้าหน้าคล้ายกันเห็นได้ว่า เป็นพี่ “เสียใจที่มาช้าไป” ประภาพูด กวาดตาไปรอบบริเวณสนาม “คนขับรถเป็นไข้ จึงต้องเหนี่ยวเอาคุณพี่มา หวังว่าเธอคงไม่รังเกียจ”
“ตรงกันข้าม” มยุรีตอบ “กลับยินดีเสียอีก เชิญนั่งที่นี่ซีคะ”
“ขอบใจมาก” หลวงประเสริฐสัมพันธ์ตอบ “เอ๊ะ! ฮัลโหล ! ประสงค์ใช่ไหม ? เขาร้องขึ้นเมื่อเห็นประสม ผู้กำลังจัดเก้าอี้ให้น้องสาวของเขา
มยุรีสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่า ‘ประสงค์’ หล่อนมองหน้าเลขานุการด้วยความประหลาดใจแต่ประสมมีสีหน้าเป็นปกติ เขายิ้มยื่นมือออกส่งให้ผู้ที่ทักเขาแล้ว “ประสม ใช่ นี่แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไรกัน ท่านเลขานุการสถานทูต”
“สิบห้าวันวันนี้เอง การงานป่าไม้เป็นยังไงบ้าง ผ่าซี ห้าปีแล้วตั้งแต่เราไปดูโอเปอราที่ลอนดอนด้วยกัน แต่แกไม่เปลี่ยนแปลงเลย”
“ส่วนแกสมบูรณ์ขึ้นมาก เป็นขุนนางชั้นไหนแล้วล่ะ”
“อำมาตย์ตรีหลวงประเสริฐสัมพันธ์ กันอยากฟังเรื่องของแกมากกว่าอยากเล่าเรื่องของกัน จริง ๆ นะ”
“รอก่อน คุณหลวงครับ เห็นไหมเราพูดจนเกือบไม่หายใจ ทำให้ทุกคนตะลึง”
หลวงประเสริฐ ฯ หัวเราะ หันไปทางมยุรี “ขอโทษนะจ๊ะ ความดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่าทำให้เผลอตัว
“นายประสม” มยุรีเอ่ยด้วยเสียงชาเย็น “ช่วยพาประภากับคุณหลวงไปหาคุณพ่อที”
ประสมก้มศีรษะให้ประภา เจ้าหล่อนลุกขึ้นเดินออกหน้าประเสริฐเดินเคียงไปกับเพื่อนเจ้าคุณปราศรัยกับสองพี่น้องแล้วจึงพากลับมาหามยุรี
“ขอบใจ” หลวงประเสริฐฯ พูด เมื่อมยุรีเชิญให้นั่งเป็นครั้งที่สอง แล้วหันมาหาประสมอีก “นี่แกพักอยู่ที่ไหนนะ ?”
ประสมชี้มือไปทางเรือนของเขา แล้วหันไปทางมยุรี พูดอย่างนอบน้อม “โปรดกรุณาให้ผมสนทนากับเพื่อนสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่”
มยุรีพยักหน้านิดหนึ่ง ซึ่งทุก ๆ คนที่นั่งอยู่ไม่เห็นว่าแปลก แต่ประเสริฐตีหน้าสนเท่ห์เป็นอย่างยิ่งเมื่อห่างจากคนทั้งปวงประเสริฐเอาแขนสอดแขนประสมพูดว่า
“ผ่าซี แม่เจ้าของบ้านทำไมทำท่ากับแกยังงั้นละประสงค์ ?”
“ประสม! กันชื่อประสมไม่มีนามสกุล ถ้าแกขืนเรียกชื่อกันผิดอีก กันจะหักคอเสียด้วย”
“บา! หักได้ซี ชีวิตของกันมันเป็นของแกมานานแล้ว ถ้าแกไม่ดันผ่าไฟเข้าไปในโรงละคร กันก็คงเสร็จอยู่นั่นเอง”
“เรื่องมันแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ แกอย่าไปงัดเอามันขึ้นมาพูดให้ใครฟังเป็นอันขาดเทียวนะ ถ้าแกเห็นว่ากันเป็นเพื่อน”
“เออน่า และถึงกันจะสงสัยว่าเหตุไรแกต้องปิดบัง แต่กันก็ยังสงสัยในเรื่องที่แกลงกับแม่คนนั้นนักมากกว่า”
“ไม่ลงได้รึ หล่อนเป็นนายกันนี่นา กันรับจ้างเป็นเสมียนของเจ้าคุณไมตรี เดี๋ยวนี้ได้เงินเดือนเจ็ดสิบห้าบาทนั่นแน่”
“บ้าใหญ่ ! ก็เจ้าคุณพ่อของแกเป็นยังไรไปล่ะ ?”
“อยู่ดีกินดี แต่นี่แน่กันไม่ใช่แขก เป็นคนใช้ในบ้าน ต้องทำหน้าที่มาก กลับไปหาหล่อนไป๊”
ประเสริฐมองดูหน้าเพื่อนด้วยความหลากใจ “แกมีเรื่องพูดให้กันฟังเท่านี้แหละหรือเพื่อนรัก กันรู้สึกยังไงพิกล”
“มีเท่านี้แหละ แกอย่าวิตกไปเลยกันไม่ได้เป็นอะไรหรอก จริง ๆ นะ ฤกษ์งามยามดีเสียก่อน กันจะสาธกให้ฟัง วันนี้ยังไม่มีเวลา........นั่นแน่นายของกันมองดูประเดี๋ยวจะตาเขียวเอากันเข้า”
ในจำนวนแขกทั้งหมดที่มาในวันนั้น ประเสริฐกับน้องเป็นผู้กลับทีหลังที่สุด รถออกจากบ้าน ได้สักครู่ ประเสริฐจึงถามน้องสาวถึงความเป็นอยู่ของประสม
“เจ้าคุณไมตรี ท่านต้องการผู้ที่รู้ภาษาฝรั่ง และรู้จักการค้าขาย เจ้าคุณบำรุงจึงส่งนายประสมคนนี้มาให้ และเขาก็อยู่ในบ้านนั้น มยุรีบอกน้องเท่านี้ แต่ทำไมคุณพี่ถึงสนิทสนมกับเขานักล่ะคะ”
ประโยคสุดท้าย ประภาทำเสียงอ่อยคล้ายไม่พอใจ
“นี่แน่ะน้อง” ประเสริฐพูดขึงขัง “ถ้าหากว่าคุณพ่อถึงแก่กรรม คงมีน้องเหลืออยู่กับคุณน้าคนเดียวโดยไม่มีพี่ น้องจะดีใจหรือเสียใจ ?”
“โถ! คุณพี่! ช่างถามได้” ประภาพูดเสียงหวาน “เมื่อสิ้นคุณแม่และคุณพ่อแล้วคุณพี่เป็นยอดรักของน้องคนเดียว ถ้าหากไม่มีคุณพี่ เมื่อคุณแม่เสียแล้วคุณพ่อคงไม่เป็นธุระกับน้องเลย คงจะพะนอแต่คุณน้าเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้น ไม่ต้องขายหน้าที่พี่เป็นเพื่อนกับเสมียนของห้าง รู้ไว้ว่าเขาช่วยพี่จากถูกไฟครอก”
“อุ๊ย จริงหรือคะ โธ่ ! ก็น้องไม่ทราบนี่ ตั้งแต่เมื่อไรกัน ?”
“ห้าปีกว่ามาแล้ว เมื่อพี่ถูกส่งไปเป็นเลขานุการสถานทูตใหม่ ๆ ประสมยังเป็นนักเรียนอยู่ที่เมืองฝรั่งเศส เขาข้ามมาลอนดอนและได้พบกับพี่ เราเคยอยู่โรงเรียนบางขวางด้วยกัน พบกันเข้าก็ดีใจ ไปกินข้าวด้วยกันหลายหน วันหนึ่งไปดูละคร ไฟฟ้าลุกขึ้นไหม้ฉากเลยลามเอาตัวโรง เป็นเวลาหยุดพัก ประสมออกไปข้างนอก ที่อยู่บนที่นั่งชั้นสูงใกล้ทางออกด้วยซ้ำ แต่อารามตกใจ ลงบันไดเท้าพลาด แล้วถูกเบียดด้วย เลยขาดันเข้าไปขันลูกกรงออกไม่ได้ ข้างประสมยืนอยู่ข้างนอก ไม่เห็นพี่ออกไปก็นึกเอะใจว่าคงจะเป็นอะไรสักอย่าง คนที่นั่งไกลทางออกยังออกกันได้หมด เขาก็ดันผ่าไฟที่กำลังติดม่านกินไม้เข้าไป ดึงกันอยู่นานเขาถึงได้หลุดออกมาได้ แหมน้องเอ๋ย พอลอดช่องประตูออกมาได้ ลูกกรงไม้ก็พังโครมทีเดียว”
ประภาตัวสั่น ประเสริฐพูดต่อไป “นี่แหละน้อง การที่คบคนดีมันเห็นคุณ ประสมกล้าผ่าไฟเข้าไปช่วยพี่ เราทั้งสองก็รอดออกมาได้ เขาก็ได้พี่เป็นเพื่อน ถ้าโดนคนขลาดพี่ก็ตายเปล่าอยู่ที่นั่นเอง
ฝ่ายทางบ้านพระยาไมตรีพิทักษ์ การรับประทานอาหารค่ำเสร็จลงแล้ว มยุรีรู้สึกว่าร้อนให้อึดอัดใจจึงออกมานั่งที่หน้ามุข ทิ้งให้เจ้าคุณสนทนาอยู่กับเลขานุการสักครู่ใหญ่ ๆ เจ้าคุณขึ้นห้อง ประสมก็ออกมาข้างนอกบ้าง เขานั่งลงบนบันไดใกล้มยุรี ต่ำกว่าหล่อนขั้นหนึ่ง แล้วส่งห่อกระดาษสี่เหลี่ยมให้พลางพูดว่า “นี่ของขวัญสำหรับวันเกิด”
มยุรีพูดโดยไม่ดูของหรือดูหน้า ทอดสายตาจับอยู่ที่สนาม “ขอบใจ แต่ฉันไม่ต้องการ”
“ตามใจ แต่บางทีคุณยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนี้”
มยุรีนิ่ง ประสมวางห่อนั้นไว้ข้างหลังแล้ว เอนกายพิงบันไดเหยียดเท้าไปตามขั้น
“ขออนุญาตสูบบุหรี่ได้ไหม ? - ขอบใจคุณ” เขาถือเอาการนิ่งเป็นคำตอบ หยิบบุหรี่ออกสูบ “คุณไม่พูด! เอ! ทำไมนะ ? นึกถึงอะไรเอ่ย-นึกถึงของขวัญชนิดไหนหนอ คุณวางท่ารับแขกดีมากเป็นเอก ถึงกระนั้นก็ยังงามสู้เวลาออกคำสั่งนายประสมไม่ได้ สังเกตดูนางสาวประภาออกจะไม่พอใจ ที่พี่ชายมารู้จักกับตัวอะไรตัวหนึ่ง น้องสาวเป็นเพื่อนรักของนายแต่พี่ชายกลับมาเป็นเพื่อนกับบ่าว” แล้วเขาหัวเราะเบาๆ
มยุรีเดาความหมายในคำพูดของเขาไม่ถูก แต่หล่อนเสียวใจพิกล การที่หล่อนใช้วาจาและกิริยากับเขาอย่างนั้น เป็นทางทำให้คนดูถูกเขาหรือ เขาน้อยใจในฐานะเขาเองหรืออย่างไร มีสิ่งหนึ่งคล้ายความสงสารเกิดขึ้นในใจ หล่อนจึงพูดว่า
“ทำไมถึงจะไม่พอใจ ในสมัยนี้ทุก ๆ คนต้องทำงาน ผู้ดีหรือไพร่ก็เหมือนกัน”
ขณะนี้ ถ้าความสว่างมีพอ มยุรีจะได้เห็นอะไรอย่างหนึ่งในดวงตาประสม
“หลวงประเสริฐเป็นนักเรียนอังกฤษแต่นายประสมเป็นนักเรียนฝรั่งเศส ทำไมจึงสนิทสนมกัน ราวกับได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน” หล่อนถามต่อไป
“ไม่มีอะไรมาก ผมเป็นนักเรียนไปเที่ยวลอนดอน ประเสริฐทำราชการได้เงินเดือนแล้ว ทั้งเจ้าคุณพ่อเขาก็มั่งมีมาก เขาเลี้ยงข้าวผมหลายอิ่ม ก็เลยชอบกัน”
มยุรีถอนใจ ประสมเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “หมู่นี้ดูคุณไม่สบายใจ อาทิตย์นี้ยังไม่เห็นไปเที่ยวกับนายละออสักครั้ง มีเรื่องอะไรหรือ หรือเกลียดเลขานุการมากนักเลยเป็นโรคกลุ้ม”
มยุรีไม่ตอบว่ากระไร หล่อนไม่มีอะไรจะตอบ หล่อนจะบอกเขาได้หรือว่าการที่หล่อนกลุ้มใจนั้น ไม่ใช่เพราะเกลียดเป็นเพราะกลัวต่างหาก กลัวว่าความรู้สึกที่มีอยู่เวลานี้จะกลายเป็นความรักขึ้น
“เดือนหงาย” ประสมพูดขึ้น “ถ้ามีคู่รักสักคนก็จะเช่ารถสักคัน พาเจ้าหล่อนไปชมเดือนเล่น เคยได้ยินเขาพูดกันว่าชมจันทร์กับสาวทำให้เบิกบานใจดีนัก-แต่เมื่อไม่มีคู่รัก-เพราะฉะนั้นลาที”
พอประสมคล้อยหลัง มยุรีก็ฉวยหอวัตถุวิ่งเข้าหาแสงไฟที่อยู่ใกล้ที่สุด รีบแก้ห่อออกดูด้วยความอยากรู้ มีผู้เคยกล่าวว่า “ความสอดรู้สอดเห็นกับสตรีเพศนั้นรวมเป็นอันเดียวกันได้” เพราะฉะนั้นเมื่อมยุรีเห็นประสมลุกขึ้นโดยไม่เหลียวมาดูของที่วางไว้ข้างหลัง ท่านคิดดูถีหล่อนจะทำอย่างไรดีกว่านั้น
ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง มยุรีได้เห็นรูปถ่ายขนาด ๖ นิ้ว เห็นได้ชัดว่า ถ่ายนานแล้วด้วย น้ำยาออกจาง แม้กระนั้นก็ไม่ยับเยินยู่ยี่หรือปรุแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นรูปของเด็กสองคน เด็กหญิงแก้มเป็นพวง หน้าแป้น ตากลม จมูกรั้นเล็กน้อย สวมกระโปรงอย่างเด็กฝรั่ง นั่งห้อยเท้าบนโต๊ะกลม มือทั้งสองประสานกันบนตัก คอเอียงมาทางซ้ายเล็กน้อย พอดีจรดกับศีรษะของเด็กชายซึ่งยืนชิดกัน แขนขวาของเขาโอบรอบตัวแม่หนูน้อยและใช้ตักของหล่อนเป็นที่วางมือ ทั้งคู่ยิ้มอย่างน่าเอ็นดู แต่เด็กชายซึ่งน่าจะแก่กว่าเด็กหญิงสัก ๔-๕ ปีนั้น มีแววตาซึ่งแลดูเลื่อนลอยคล้ายยามฝัน มยุรีพิศดูด้วยความเอาใจใส่รูปนั้น โดยไม่รู้ว่าเป็นรูปใคร ก็ยังสะกิดใจหล่อนอย่างประหลาด หล่อนพิศแล้วพิศอีก พยายามเดาว่ามันแปลว่าอะไร เพราะเหตุใดประสมจึงเอามาให้หล่อน เอ๊ะ ! เด็กหญิงนั้นคือตัวหล่อนเองกระมัง ? มยุรีสังเกตเห็นเค้าหน้าว่าเหมือนรูปของหล่อนที่ถ่ายเมื่อแรกไปอยู่ที่สหปาลีรัฐอเมริกา ส่วนเด็กชาย ? ต้องเป็นประสงค์ แน่นอนไม่ผิด ห้อยคออักษรไขว้ที่คอเขาก็คืออันที่หล่อนมีอยู่นั่นเอง ที่จริงเมื่อก่อน ล่อนใช้แขวนคอเสมอ แต่นับตั้งแต่หล่อนทราบว่ามันเป็นของหมั้น หล่อนก็เลยรังเกียจและโยนมันเข้าตู้เสียโดยไม่ใยดี มยุรีนั่งลงบนเก้าอี้นวมตาจับจ้องดูรูป หัวคิดก็เริ่มทำการวิ่งไปวิ่งมา ประสงค์ ประสม ประสม ประสงค์ สองชื่อนี้ วนไปเวียนมานาน ๆ มีละออแทรก แต่ผู้คิดมักทำหน้าเบื่อหน่าย ชายคนนี้รู้จักกับหล่อนเป็นคราวแรกในเรือกลไฟที่นำหล่อนจากฮ่องกงมาสู่สยาม เขาเป็นผู้ศึกษาที่อเมริกา และมยุรีย่อมโอ๋ทุกคนที่เคยติดต่อกับชนชาวโลกใหม่ เหตุฉะนี้เขากับหล่อนรวมทั้งน้องสาวของเขาจึงสนิทสนมกันทั้งสองคนเคยไปเที่ยวเล่นด้วยกันเสมอ บางทีมีพยอมไปด้วย แต่บางทีก็สองต่อสอง ละออแสดงอย่างเปิดเผยว่าเขาบูชาแม่สาวน้อย แต่ส่วนหล่อนเล่า ใครเลยจะสามารถหยั่งน้ำใจผู้หญิงได้โดยที่ตัวหล่อนเองก็หยั่งใจตัวเองไม่ถูก บางคราวน้ำใสใจจริงของหล่อนรัก แต่มีอะไรอย่างหนึ่งในตัวหล่อน ไม่ยอมสารภาพ บางคราวใจไม่รักแต่กริยาอาการย่อมสุภาพอ่อนหวานทำให้ชายตายใจ เหตุฉะนั้นการที่จะบ่งลงไปให้เด็ดขาดว่ามยุรีรักนายละออหรือไม่ จึงเป็นของเป็นไปไม่ได้เอาทีเดียว
ตอนเช้าคำแรกที่เลขานุการพูดกับนายสาวก็คือ
“เมื่อคืนผมวางของทิ้งไว้ที่ตรงเรานั่งกันเช้านี้ถามใครก็ไม่มีใครเห็น ไม่ทราบว่าหายไปไหน ผม กลัวใครจะกวาดทิ้งใต้ถุนเสียก็ไม่รู้”
มยุรีหน้าแดง หล่อนตีหน้าขรึมอย่างเคย และพูด
“ฉันเห็นมันทิ้งอยู่ก็เลยเก็บขึ้นไปบนห้อง !”
“โอ ! ดีจริง ! ขอบคุณที่สุด ผมวิตกเสียแย่ทีเดียว ของรักอย่างกับดวงใจ”
“ยังไงหรือ ?” มยุรีถามเรื่อย ๆ “แล้ว....แล้ว ทำไมถึงมาบอกว่าจะให้ฉันล่ะ ?”
“ก็เพราะทราบว่าคุณจะไม่รับน่ะซี ว่าแต่ของนั้นอยู่เรียบร้อยดีหรือ ?”
ซ่อนความผิดหวังและน้อยใจไว้ภายใน มยุรียกศีรษะไว้ด้วยอาการไว้ยศ
“นายประสม คงไม่คิดว่าฉันจะฉีกมันเล่นไม่ใช่หรือ ?”
“ฉีก ! เหตุใดคุณจึงรู้ว่าการที่จะทำลายวัตถุนั้นจะต้องใช้กิริยาที่ตรงกับคำว่า ‘ฉีก’ คุณแก้มันออกดูกระมัง”
“ฉันบอกหรือ ?” มยุรีตวาดเสียงเขียว พร้อมกันนั้นเลือดขึ้นหน้าจนร้อนฉี่ “ฉันหมายความว่าฉีกกระดาษที่ห่อ”
“อ๋อ! กระนั้นดอกหรือ ?” ประสมยานคาง พูดพลางหัวเราะ “แต่ผมคิดว่าความสอดรู้นั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษของสตรี”
อีกครั้งหนึ่งมยุรีสะบัดหน้า แล้วดูเหมือนสะบัดก้นด้วยเพื่อลุกขึ้นไปบนตึก
ครู่หนึ่งหล่อนกลับลงมาพร้อมกับเจ้าคุณ ในมือถือห่อกระดาษสี่เหลี่ยม หล่อนส่งให้เจ้าของโดยไม่ดูหน้า ส่วนเขายิ้มละไมในเมื่อรับของนั้นมาใส่กระเป๋าเสื้อ
เจ้าคุณพูด “พ่อประสม วันนี้ฉันไม่ไปทำงานละ นี่ลูกกุญแจลิ้นชัก เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลย”
“ใต้เท้าปวดศีรษะหรือขอรับ ?”
“ฮึ่! แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย มยุรี เมื่อคืนลูกก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกันกระมัง พ่อตื่นขึ้นทีไรเห็นไฟห้องเจ้าเปิดทุกที”
“ค่ะ ร้อนจัดเหลือเกินเมื่อคืนนี้” มยุรีรับ
“ที่ห้องกระผมสบายมาก ลมพัดเรื่อยตลอดเวลา ตอนดึกเกือบจะหนาวด้วยซ้ำ” ประสมพูด แล้วชำเลืองดูมยุรี หล่อนไม่ทันเห็นสายตาของเขา เพราะกำลังเดินไปที่โต๊ะอาหาร
----------------------------