Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28 October 2025, 17:18:52
-
นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4
๓
อาทิตย์หนึ่งหลังจากเวลาที่ได้กล่าวแล้ว เวลาเย็นมีชายคนหนึ่ง นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินสวมเสื้อขาว มือถือกระเป๋าลงจากรถม้าเช่าที่ตรงประตูบ้าน ที่มีกำแพงทาสีน้ำเงินล้อมรอบอยู่ เขาหยุดยืนทอดสายตามองดูรอบตัว แล้วก็เปิดประตูเล็กของบ้านนั้น เดินเข้าไปภายใน ที่หน้าตึกมิมีใครอยู่ แต่ได้ยินเสียงพูดแลเสียงหัวเราะมาจากทางหลังบ้าน ชายแปลกหน้านั้นเดินตรงไปที่บันไดหน้ามุข วางกระเป๋าและหมวกลงแล้วนั่งอยู่เงียบๆ
ประมาณห้านาทีจึงได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาทางในห้อง แล้วเปิดบังตาออกมาข้างนอก ชายกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วนแต่ภาคภูมิ ใช้สายตาซึ่งอยู่ภายในกระจกจ้องดูชายหนุ่มเป็นที่ถามอย่างประหลาดใจ ส่วนเขากราบลงกับบันไดแล้วควักจดหมายฉบับหนึ่งออกส่งให้ท่าน
“อ้อ! พ่อเห็นจะมาจากสวรรคโลกกระมัง” เจ้าคุณว่าขณะที่รับจดหมาย
“ขอรับกระผม”
“หาบ้านฉันยากไหม ?”
“กระผมเคยรู้จักมาก่อนแล้ว”
“อ้อ! - เอ๊ะ ทำไมฉันไม่รู้จักพ่อล่ะ”
“กระผมรู้จักบ้านใต้เท้าเพราะเคยอยู่”
“ยังงั้นหรือ ! เมื่อไหร่น่ะ ?”
“เมื่อใต้เท้าอยู่อเมริกา และเจ้าคุณบำรุงมาอาศัยอยู่ที่นี่”
“อ้อ ๆ เข้าใจละ ไปอาบน้ำอาบท่าเสียให้สบาย แล้วกลับมาหาฉันที่นี่-เฮ้ย ! อ้ายแปลก! นี่มันหายไปไหนกันหมดนะ อ้ายแปลก! อ้ายแปลกโว้ย”
เสียงครับผมดังลั่น เสียงฝีเท้าวิ่ง แล้วเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายออกมานั่งสำรวมอยู่
“พาคุณนี่ไปห้องที่ข้าจัดไว้ให้เขา แล้วเอ็งคอยรับใช้” เจ้าคุณสั่ง
นายแปลก พาชายหนุ่มไปยังเรือนสองชั้นไม้สักซึ่งเมื่อ ๑๐ ปีก่อนเคยเป็นที่อาศัยของแม่นมประสงค์ เรือนนี้เจ้าคุณบำรุงปลูกเอง ครั้นเมื่อท่านไปอยู่สวรรคโลก ก็เลยละไว้ให้เป็นสมบัติของเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มมองดูที่ ๆ ตนจะอาศัยอยู่ชั่วคราว ซ่อนยิ้มไว้ภายใต้หนวดอันดกดำ ซึ่งทำให้ดวงหน้าเขาเค็มอย่างที่เรียกกันว่าใส่เกลือไว้เจ็ดไห เรือนนั้นมีสามห้องด้วยกัน ห้องหนึ่งจัดเป็นห้องนอนอยู่ริมเปิดหน้าต่างเห็นโรงรถ หน้าต่างด้านหลังตรงหัวนอนเตียงนั้นมองเห็นทุ่งนา ห้องที่สองคือห้องกลาง มีตู้สำหรับใส่หนังสือแต่ไม่มีหนังสืออยู่ตู้หนึ่ง โต๊ะเขียนหนังสือกับเก้าอี้ ๒-๓ ตัว ห้องมุมติดกับเฉลียงไม่มีอะไรหมด นอกจากพรมปูไว้เฉย ๆ ส่วนที่เฉลียงมีเก้าอี้โยกกับเก้าอี้ยาวอย่างละตัว ชายหนุ่มเที่ยวเปิดโน่นเปิดนี่จนทั่วแล้ว ก็กลับเข้าห้องนอนจัดการผลัดเครื่องแต่งตัวแล้วก็อาบน้ำ เมื่อเสร็จแล้ว เขาถามแปลกว่า
“รู้ไหมฉันจะต้องกินข้าวที่ไหน ?” พูดแล้วเอามือลูบท้อง
เจ้าแปลกอ้อมแอ้มตอบได้ความว่า “ไม่ทราบ” แต่ถ้าหิวมันจะไปหาขนมปังให้รับประทาน
“ขอบใจแกมากไม่ต้องหรอก” ชายหนุ่มตอบ เขาฉวยเสื้อผ้ายัดเข้าตู้ใส่กุญแจ ใจมุ่งจะรีบไปพบกับเจ้าคุณ
ท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวที่สนาม จ้องดูเขาเดินมาแต่ไกล ท่วงทีที่เดินเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีสกุล ศีรษะตั้งตรง ก้าวเท้ามั่นคง พอถึงตรงที่ท่านนั่งอยู่ เขาลดตัวลงที่สนามแล้วนั่งตัวตรงอยู่
“อ้าวนั่งบนนี้สิ” เจ้าคุณไมตรี ฯ บอก พลางขยับที่ให้เขา “ใส่เสื้อชั้นนอกเข้าไว้ทำไมน่ะ ดูเกือกก็ไม่ใส่ แล้วไม่จำเป็นต้องนุ่งผ้า ทีหลังนุ่งกางเกงได้ ถนอมเขาเลี้ยงแกเหมือนลูก ฉันก็จะเลี้ยงเหมือนหลานสนิท แกชื่อประสมหรือในจดหมายถนอมบอกว่าดังนั้น”
“ครับผม”
“ทีหลังไม่ต้องมีคำว่า ‘ผม’ - ‘ครับ’ เฉย ๆ ก็พอ”
“ขอรับ”
“มานั่งด้วยกันบนนี้เถอะ อย่าเกรงใจเลย”
“ผมนั่งที่นี่สบายแล้วครับ” ประสมถนอมเสียงตอบ
เจ้าคุณพอใจในมารยาทสงบเสงี่ยมของประสม ท่านถามเขาว่าเห็นห้องเป็นอย่างไร ถามถึงอายุ การศึกษา และลงท้ายถึงบิดามารดา
“เจ้าคุณและคุณหญิงบำรุงคือบิดามารดาที่นับถือของผมครับ”
เจ้าคุณอึ้งไม่กล้าถามต่อไป คำตอบของเขาคล้ายกับจะหมายความว่า เมื่อเจ้าคุณบำรุงรับเป็นลูกแล้ว จะต้องไปยุ่งกับบิดามารดาทำไมอีกเล่า
“พรุ่งนี้เช้าฉันจะพาแกไปที่ร้าน และแกจะได้เริ่มเรียนการงานทีเดียว”
ประสมไม่ตอบว่ากระไร ขณะนั้นพอดีเสียงแตรรถยนต์ดังขึ้น มีชายคนใช้วิ่งไปเปิดบานประตูเผยทางให้รถอาร์มสตรองค์สี่สูบแล่นเข้ามา
ผู้ที่นั่งในรถมีสตรีสาว หน้านวลเป็นใย แก้มทั้งสองข้างเต่งตั่ง ตาคม มองดูห่าง ๆ เห็นเป็นสีดำ ถ้าเข้าใกล้จะเห็นว่ามีสีน้ำเงินเจืออยู่ ผมดำมีสีน้ำตาลแกม ตัดสั้นเพียงคอนั้น หยิกเป็นคลื่น และมีลูกผมตกอยู่ตามหน้าผาก จมูกโด่ง ปากน่าเอ็นดู แต่ลักษณะแห่งรอยจีบบอกนิสัยข้างดื้อ เจ้าหล่อนลงจากรถยนต์ด้วยกิริยากระปรี้กระเปร่า วิ่งมาที่สนาม แขนทั้งสองโอบรอบคอบิดาแต่ตามองข้ามศีรษะหงอกประปรายของท่านไป
“อะไรกลับจนค่ำมืดมยุรี ไปคนเดียวควรจะกลับให้วันกว่านี้” เจ้าคุณพูดเสียงเชิงติเตียน
“ก็แหม คุยกันสนุกนี่คะ ! คุณละออจะมาส่งแล้ว แต่ลูกไม่ยอม ไม่อยากกวนเธอ ค่ำวันนี้ลูกจะไปดูหนังนะคะ”
“เออ ! กลับมาหยก ๆ พูดถึงไปอีกแล้ว นี่แน่เลขานุการคนใหม่ที่พ่อบอกเจ้า”
ท่านทอดสายตาลงต่ำเมื่อหันมาข้างหน้าหวังจะเห็นประสมนั่งพับเพียบเอียนละเมียนอยู่ แต่กลับได้เห็นแต่เท้าทั้งสองของเขา ท่านเงยหน้าขึ้นพูดว่า
“พ่อประสม นี่ลูกสาวฉัน มยุรีรู้จักกันไว้ เพราะจะต้องอยู่บ้านเดียวกัน” ท่านหวังที่ขณะพูด ว่าจะเห็นประสมโค้งตัวลงยกมือไหว้อย่างงามสมกิริยาอันละมุนละม่อมของเขา แต่ผิดคาดอีก ชายหนุ่มโค้งกายและก้มศีรษะ ประกอบด้วยผมหยักโศกเป็นมันลงเพียงเล็กน้อย มยุรีผงกศีรษะพอเป็นที
ขณะนั้นเป็นเวลาพลบ เจ้าคุณลุกไปแล้ว เดินไปทางมุมสนาม เมื่อเปิดไฟ มยุรีไขว่ห้าง เปิดกระเป๋าหยิบกลักบุหรี่ออกจุดพูดลอย ๆ ว่า
“อากาศที่สวรรคโลกเห็นจะดี”
ประสมพูดเสียงต่ำ “พอใช้”
มยุรีฉุนกึก นี่หรือเลขานุการคนใหม่ ? หัวสูงเหลือประมาณ พูดไม่มีหางเสียง หล่อนสะกดใจพูดต่อไป วางน้ำเสียงเป็นสง่า “เห็นจะอยู่ที่นั่นมานาน”
“ใคร”
“นายประสมน่ะซี”
“นาน”
มยุรียังถือขันติ “เมื่ออยู่ที่โน่นมีหน้าที่ทำอะไร ?”
“ทุกอย่าง”
“อะไรเป็นต้น ?”
“โต้ตอบจดหมายแผนกต่างประเทศ”
“งานของ เรา ต้องการคนมีความชำนาญทางนั้น ถ้าขยันดี เรา จะให้เงินเดือนขึ้นโดยเร็ว”
หล่อนใส่น้ำหนักที่ตรง “เรา” ทุกทีเพื่อให้ลูกจ้างคนใหม่ รู้สึกว่าหล่อนกับบิดาเป็นคนเดียวกัน พ่อเป็นนายลูกก็เป็นด้วย
“เราทุกคนที่ทำงานบริษัทป่าไม้สวรรคโลกย่อมขยัน”
“ดีละ ขอเตือนว่า นายในบางกอกไม่เหมือนนายตามบ้านนอก บ้านเรายังมีจ้าว มีขุนนาง มีผู้ดี มีไพร่ มีบ่าว มีนาย”
“อ้อ เพิ่งทราบ
“ออกจะโง่ ถ้าเช่นนั้น ที่นี่ไม่ใช่อเมริกา จะได้ถือว่าเสมอกันได้หมด”
เคราะห์ดีที่เจ้าคุณไมตรีพิทักษ์เดินเข้ามาใกล้ มิฉะนั้นน่ากลัวหนุ่มสาวผู้เย่อหยิ่งทั้งสอง จะต้องวางมวยกันทั้ง ๆ ที่คนหนึ่งเป็นเพศอ่อนแอ ท่านพูดด้วยเสียงใจดีตามเคย “พ่อประสมคงหิวข้าว มยุรีจะอาบน้ำเสียก่อนไหมลูก อาบก็ไปเร็ว ๆ”
“ไม่อาบละค่ะ ลูกอาบเมื่อก่อนไปแล้ว รับประทานแล้วลูกจะแต่งตัวไปดูหนัง”
“ไปกับพยอมหรือ ?”
“ค่ะ”
“พ่อละออเป็นคนขับตามเคย”
“ค่ะ” มยุรีตอบแล้วหัวเราะน้อย ๆ
“มยุรีชอบดูหนังมาก ชอบมาแต่เล็ก ๆ ทีเดียว” เจ้าคุณหันมาทางนายประสม ท่านแถมว่า “ฉันคิดว่ามยุรีกับแกคงจะชอบกันนะ”
“ชายที่รู้จักอ่อนน้อม ย่อมเป็นที่ชอบของคนทั่วไป” มยุรีไม่ได้แถมว่า “แต่คนที่เย่อหยิ่งย่อมเป็นที่รังเกียจ”
แต่ประสมเข้าใจความหมายของหล่อน เขาพูดคล้ายกับเจ้าคุณ
“หญิงที่มีมารยาท ละมุนละม่อมย่อมเป็นที่ชอบของคนทั่วไป” มยุรีเดาประโยคที่ซ่อนอยู่ได้เหมือนกัน แต่เจ้าคุณไมตรี ฯ คาดว่าทั้งสองกำลังยอกันอยู่ ท่านอมยิ้มสั่งให้มยุรีไปบอกคนใช้ให้ยกข้าว
ขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งสำหรับแต่งตัวเพื่อไปดูภาพยนตร์ มยุรีมีตาลอยแสดงว่ากำลังนึกถึงอะไรเพลินอยู่ และน่าประหลาดไหม ? หล่อนนึกถึงพ่อเลขานุการคนใหม่นั่นเอง ในเวลารับประทานอาหารเมื่อแสงไฟจับเขาเต็มหน้า หล่อนลอบพิศดูเขา เห็นว่าทั้งเครื่องหน้าและใบหน้าจะหาที่ติไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ตาก็ดำสนิท คิ้วก็โก่ง ผมหยักโศก ฟันดีปากดี แต่หนวด ! โอ ! มันทำให้หน้าเขาเค็มจนน่ากลัว หล่อนรำพึงว่า ถ้าเขาเอาหนวดออกเสียจะดีไม่น้อย แต่เขาไม่ยิ้มเสียเลย หน้าถมึงทึง แววตาไม่อ่อนหวาน ถ้าจะพูดที่จริงเขาเป็นคนกระด้างที่สุด อย่างไรก็ดี ถ้าเมื่อแรกถูกแนะนำ เขายกมือไหว้หล่อนสักนิด หล่อนกับเขาก็คงเป็นสหายกันเสียแล้ว แต่นี่เขาโค้งอย่างไว้ตัว เออ ! ชายทั้งหลายที่หล่อนได้พบมา ทั้งฝรั่งและไทยแรกแนะนำทุกคนก็โค้งให้หล่อนต่ำกว่านี้มาก ๆ ทีเดียว นี่เขาอวดดีอย่างไรจึงวางท่าเย่อหยิ่งดังนั้น หรือเขาจะแสดงให้หล่อนเห็นแต่แรกพบทีเดียวว่า เขายอมให้แต่บิดาเท่านั้น ส่วนหล่อนจะมีอำนาจเหนือเขาไม่ได้ ดีละ หล่อนจะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน คืนนั้นหล่อนแต่งตัวอย่างประณีต เลือกซิ่นอย่างงามตัวที่หล่อนโปรด เสื้อสีเข้ากันเชี้ยบ ถุงเท้ารองเท้า ตลอดทั้งตุ้มหู อาภรณ์สิ่งเดียวที่หล่อนใช้ เป็นสีเนื้อเข้ากันหมด เมื่อแสงไฟจับทำให้เห็นเนื้อเป็นนวล น่ารักยิ่งนัก หล่อนมองดูเงาของตัวในกระจก สาวใช้ยืนพัดอยู่ข้าง ๆ หล่อนหันซ้ายขวาหน้าหลัง จนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ขยี้แป้งผัดหน้าอีกแต่พอนวล มิให้ขาวออกมานอกผิวเนื้อ เสร็จแล้วมองดูกระจกเป็นครั้งสุดท้าย นวยนาดลงมายังห้องที่บิดากับประสมนั่งอยู่
พอหล่อนย่างเข้าไป ประสมลุกจากที่นั่งไปยืนข้างตู้ หล่อนชำเลืองดูเขาและเสียใจที่หน้าของเขาบังเงาอยู่ หาเห็นดวงตาและสีหน้าของเขาไม่ หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับเขานั่งอยู่ เมื่อครู่ก่อน แล้วมองดูนาฬิกา
“จะไปโรงไหนนะวันนี้ ถึงแต่งตัวเสียสวยเช้ง” ท่านบิดาถาม
“พัฒนากรค่ะ เอ๊ะ เมื่อคุณพ่อนั่งอยู่คนเดียวหรือคะ ?”
“นั่งอยู่กับพ่อประสม อ้าว! แน่ะไปยืนแอบอยู่โน่นมานี่ซิ นั่งกับลูกสาวฉันเป็นอะไรไป มาเถอะพวกเราไม่ถือ”
ประสมค่อย ๆ เดินมานั่งที่เดิม มยุรีมองอย่างไม่แยแสแต่ในใจนึกว่า
“เขาจะจ้องดูไหมนะ คงจ้อง เขาจะนึกอย่างไรนะ ?”
ท่านผู้อ่านที่รักของข้าพเจ้า ถ้าท่านเป็นเพศชายควรถามภรรยา หรือน้อง หรือพี่ที่เป็นหญิงดูว่า เรื่องที่ข้าพเจ้าจะบอกต่อไปนี้เป็นจริงหรือไม่ ถ้าท่านเป็นหญิงโปรดถามตัวท่านเองดู ข้าพเจ้าว่าหญิงสาวเกือบทุกคน และหญิงที่รู้ว่าตัวมีความสวยทุกคน หากว่ามีชายคนหนึ่งมาบังอาจดูถูกหล่อนด้วยตา ด้วยวาจา ด้วยท่า อย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวคือแสดงการไม่แยแส และเหยียดหล่อน ผู้นั้นอยาก - อยากที่สุด - ที่จะทำตัวให้เป็นที่ถูกใจเขาอยากให้เขานิยมในความงาม ความหรู ความน่ารัก หรืออะไรก็ตาม อยากให้เขากล่าวชม ถ้ายิ่งหลงรักหล่อนด้วยก็ยิ่งดี แล้วและหล่อนจะได้ปัดความรักของเขา ด้วยคำพูดและกิริยาว่า หล่อนเห็นเขาดีกว่าแมวที่ผอมโซนิดหน่อยเท่านั้น เพียงเป็นการแก้แค้นทดแทนการดูถูกของเขา
ความตั้งใจของมยุรีจะสำเร็จหรือไม่ก็ยากที่จะเดา ประสมก็ไม่ได้แสดงกิริยาอย่างอื่นนอกจากนั่งประสานมือ ทอดสายตาข้ามศีรษะหล่อนไปจับจ้องอยู่กับอะไรสิ่งหนึ่ง อาการนี้ทำให้สีหน้าเบิกบานของหญิงสาวสลดลงเล็กน้อย แต่หล่อนฝืนให้แช่มชื่นด้วยความมานะ ขณะนั้นพอดีนาฬิกาตี ๘ ทีได้โอกาสที่จะปล่อยความฉุนออกมาได้หล่อนพูดว่า
“ตาย – พยอมผิดนัด ! เกลียดจริงไอ้เรื่องไม่ตรงเวลา !”
“ใจร้อนจริงลูก ! เขานัดสองทุ่มหรือ ?”
“ก็นี่มันสองทุ่มตรง ประเดี๋ยวก็มา หนังเรื่องดีหรือ ?”
“ลูกไม่ได้ดูโปรแกรมดอกค่ะแล้วไม่ได้กลัวดูไม่ทัน แต่เรื่องคอยละลูกเกลียดจริง.... อากาศมัน ร้อน ออกจะหงุดหงิด” หล่อนพูดยิ้มเก้อ ๆ อย่างที่รู้สึกตัวว่าทำกิริยาไม่ดี
ประสมมองดูหล่อน แล้วมองดูพัดลมที่อยู่เหนือศีรษะ
“ผมยุ่ง” มยุรีพูดเฉย ๆ
ประสมเงยหน้า ทอดสายตาไปยังที่เดิม เสียงแตรรถดังขึ้นทันใด แล้วเสียงรถแล่นใกล้เข้ามาทุกที เสียงเปิดประตู มยุรีปราดออกไปรับ
ผู้ที่เข้ามาใหม่ เป็นหญิงคนหนึ่งชายคนหนึ่ง หญิงมีผิวเนื้อขาว จมูกดี แต่ปากเชิดสูงกว่ามยุรีเล็กน้อย ชายปากดีกว่าน้องสาวแต่ตาเล็กแลล่อกแล่ก จมูกค่อนข้างใหญ่แต่เมื่อดูรวม ๆ กัน เขาก็จัดว่าเป็นคนค่อนข้างสวย เขาสวมแว่นตากรอบกระขนาดเขื่องข่มจมูกให้ย่อมลงเล็กน้อย
ประสมใช้เงาบังตัว ยืนจับจ้องดูอิริยาบถของคนทั้งสี่คนด้วยเอาใจใส่ การทักทายรวมทั้ง ชมเชยเครื่องแต่งกาย และความงามของมยุรีกินเวลาสัก ๕ นาทีเศษ เจ้าคุณพิทักษ์ ฯ จึงนึกถึงเลขานุการขึ้นมาได้ ท่านเหลียวหาเขาพอพบก็พูดว่า
“พ่อประสม อะไรคอยหลบเข้าเงามานี่แน่ะ รู้จักกันไว้”
ประสมก้าวขาออกมาตามคำสั่ง ในวงหน้าอันคมขำมิได้มีอะไรเลยเฉยคล้ายหน้าหุ่น มยุรีมองดูด้วยใฝ่ใจ
“นี่นายละออ แพทย์ประกาศนียบัตร นี่แม่พยอมน้องสาว ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักของมยุรี -- นี่ พ่อประสมหลานชายของฉัน”
ริมฝีปากภายใต้หนวดดกนั้นยิ้มเผยอนิดหนึ่ง เมื่อประสมยกมือพนมรับไหว้พยอมแล้ว หันมาทางละออ ประสมมองดูตัวแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า เคราะห์ดีละออไม่ใช่คนช่างจับไหวพริบเขาก้มศีรษะลงทำความเคารพ ซึ่งประสมรับอย่างมึนชา
“คุณหายไปไหนมา ผมมาที่นี่เกือบทุกวันตั้งแต่กลับจากอเมริกาไม่เห็นพบ เราเห็นจะชอบกันได้ ผมกับมยุรีรักกันมาก ไม่ใช่ หมายความว่า พยอมกับมยุรีรักกันมาก และผมเป็นพี่พยอม”
ประสมไม่ปริปากตอบ นอกจากจับสายตาผู้พูดเฉยอยู่ อาการนั้นทำให้มยุรีฉุนแทน หล่อนฉวยข้อมือพยอมพลางพูดว่า
“ไปเถอะ เดี๋ยวจะดึก”
ละออหยุดอธิบาย หันมาคล้อยตาม
“จริงละ ผมลาคุณประสม วันหลังพบกันใหม่ แน่ะ ผ้าห่มของเธอมยุรี”
สามคนทำความเคารพเจ้าของบ้าน แล้วพากันไปขึ้นรถ พอรถออกจากบ้านสักหน่อยมยุรีพูดกับเพื่อนสาวว่า
“พยอม เธอไหว้ประสมทำไมนะ ?”
“อ้าว ! ก็เขาเป็นพี่ของเธอมิใช่หรือ ?”
“พี่เพ่ออะไร ทีหลังอย่าไหว้นะ คุณพ่อท่านเลอะ ลูกใครก็ไม่รู้ หลาน หลาน”
ละออได้ยินเสียงพึมพำหันหน้ามาถาม
“พยอมค่ะ ไหว้กระทั่งเลขานุการ มืออ่อนจนเกินเหตุ”
“อ้าว! ก็เขาเป็นหลานคุณพ่อเธอไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ใช่หลาน” มยุรกระแทกเสียงตอบ “เป็นแต่เจ้าคุณบำรุงเพื่อนของคุณพ่อเคยเลี้ยงอย่างลูกเท่านั้น”
“เอ้อเฮอ! ฉันเห็นท่าเขาราวกับพระองค์เจ้า”
มยุรีเค้นหัวเราะสั่น ๆ ออกมา
----------------------------
-
๔
เดือนหนึ่งล่วงแล้ว นับตั้งแต่นายประสมได้ใช้หลังคาบ้านแห่งบิดาของมยุรีเป็นที่กำบังแดดและฝน เดือนหนึ่งนับตั้งแต่เขาได้ไปเยี่ยมโรงทอผ้าของพระยาไมตรีพิทักษ์ วันนี้ วันที่ ๒ ของเดือนสิงหาคมประสมได้รับเงินเดือนเป็นค่าแรง และค่ามันสมองที่ได้เปลืองไปในการบัญชีและจดหมายโต้ตอบ เมื่อเช้าวันนี้เจ้าคุณไมตรี ๆ ขณะที่ส่งเงิน ๖๐ บาทให้กับเขา ได้กล่าวด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มว่า “นี่พ่อประสมเงินเดือน ๆ แรกของแก ฉันดีใจที่ได้แกไว้ใช้ ขออย่าให้มีอะไรมาทำให้แกไปจากฉันเสียเลย” ประสมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนนึกถึงคำพูดประโยคนี้ เขาก็เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร ตั้งแต่ประสมได้พบกับลูกสาวของเจ้าของบ้าน ยังไม่เคยพูดกันฉันมิตรเลย ถ้าไม่จำเป็น หนุ่มสาวทั้งสองไม่พูดกัน แม้แต่ตาก็สบกันน้อยที่สุด เวลารับประทานอาหารทั้งเจ้าคุณ มยุรี และตัวเขารับประทานร่วมกัน นอกจากเวลากลางวันประสมรับประทานที่ ๆ ทำงาน แต่ตลอดเวลารับประทาน มยุรีกับประสมจะสนทนากันบ้างก็หาไม่ หล่อนไม่ยกโทษให้ที่เขาไม่เคารพหล่อนในวันแรก ส่วนเขาก็มีความคิดที่ได้ตกลงไว้เด็ดขาดว่าจะไม่ง้อ จนกว่าจะถึงเวลาที่เห็นควร ส่วนความในใจของทั้งสองจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ เท่าที่มองด้วยตาใคร ๆ รวมทั้งเจ้าคุณก็เห็นว่าทั้งสองไม่เป็นมิตรต่อกัน ดวงหน้าของประสมขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง คล้ายกับจะชมยวดยานที่ผ่านไปมานั้น เต็มไปด้วยความไตร่ตรอง ริมฝีปากเม้มแน่น คิ้วขมวดเข้าหากัน ครู่หนึ่งเขาผละจากหน้าต่าง สวมรองเท้าแตะแล้วลงจากเรือนมาที่สนาม มยุรีแต่งตัวอย่างเก๋นั่งเพลินอยู่คนเดียว ประสมเดินทอดน่องมาเรื่อย ๆ พอใกล้หล่อนเขาเงยหน้าขึ้น ชะงักและทำท่าคล้ายจะหันหลังกลับ แต่ด้วยความประหลาดใจจริง เขาได้ยินมยุรีเรียกชื่อเขาขึ้น
“นายประสม !” และมีท่าทางกระดากนิดหน่อย แต่ยังงั้นก็ยังไว้สง่า
ประสมหยุดมองดูหน้าหล่อนเฉยอยู่
“จะวางท่ากับฉันให้เหมือนกับเราชอบกันสักหน่อยได้ไหม ?” หล่อนถาม
“วางท่า ! อ้อได้ แต่เพื่อประโยชน์อะไร เราไม่ได้ชอบกันไม่ใช่รึ ?”
“นายประสมเกลียดฉันเพราะเหตุไร ?”
ฝ่ายชายเลิกคิ้วเป็นทีถาม
“จำไม่ได้ว่าได้เคยบอก”
“ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยคำพูด ฉันสังเกตดูท่าก็พอจะรู้”
“ยินดีที่บุตรีของนายมีความฉลาดถึงเพียงนั้น มีเสียแรงที่ได้เคยศึกษาวิชาที่ประเทศอเมริกา”
“ไม่ต้องเล่นสำนวนประชด” มยุรีกล่าวพลางสะบัดหน้า “เชิญนั่งซีท่านเลขานุการ”
“ขอบคุณ นั่งที่นั่นยืนสบายกว่า” เขาชี้ที่ข้างตัวหล่อน
มยุรีรู้สึกหน้าร้อนฉี่ ประสมสังเกตเห็นแก้มเป็นพวงของหล่อนแดงเรื่อขึ้น
“ถูกแล้ว เราไม่ชอบกัน” หล่อนพูดเสียงสั่นเต็มไปด้วยความโกรธและถือตัว “ฉันเกลียดนายประสม บอกจริง ๆ ที่พูดเมื่อตะก็อย่านึกว่าง้อ ไม่มีวันเสียละในชาตินี้ แต่หากเป็นเพราะคุณพ่อ....”
“เจ้าคุณ อ้อ พอเข้าใจ โปรดต่อไปอีกสักหน่อยจะเป็นบุญคุณยิ่ง”
“แน่นอน ฉันจะต่อ จะเป็นบุญคุณหรือ๕๕ ไม่ก็ช่าง คุณพ่อท่านต้องพึ่งนายประสม” เสียงของหล่อนเห็นชัดว่าประชด หล่อนใส่น้ำหนักตรงคำว่า พึ่ง “ท่านว่าท่านต้องพึ่งและท่านว่าฉันทำท่าปึ่ง....”
“ซึ่งเป็นการไม่จริง ?” ประสมขัด ยิ้มจนเห็นไรฟัน ซึ่งมยุรีนึกว่าไม่เคยเห็นใครยิ้มน่าเกลียดเท่า
“ธุระอะไรฉันจะว่าไม่จริง ฉันจะปึ่งกับใครก็ได้ ฉันเกลียดฉันก็ปึ่งใครจะทำไม”
“ถูกแล้ว โปรดต่อไปเถอะ”
ถ้าสายตาสามารถยิงมนุษย์ได้ ประสมก็คงจะหยุดหายใจเสียในที่นั้นแล้ว มยุรีพูดต่อไป
“ท่านสังเกตเห็นว่า ฉันไม่ชอบนายประสม เกรงว่า....”
“พอแล้ว ขอบคุณมาก” ประสมขัดพลางยกมือห้าม “เข้าใจความคิดของเจ้าคุณได้โปรดเรียน ท่านเถิดว่า ผมมิยอมให้คนอย่าง-โอ ! หมายความว่า มิเคยมีหญิงใดจะมาขัดขวางความเป็นอยู่ของ ผม ได้” เขากล่าวคำ ผม ไม่ค่อยสนิท พอพูดจบเขาก้มศีรษะให้หล่อนนิดหนึ่งแล้วหันหลังกลับ เดินจากไป
มยุรีเดือดจนหัวหมุน หล่อนนั่งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดแต่คำสนทนาที่แล้วไปเมื่อครู่ ลมพัดมาเอื่อย ๆ ต้องกิ่งไม้โอนเอนไปมามยุรียังคงนั่งอยู่เช่นนั้นจนค่ำ
คืนนั้น เมื่อเจ้าคุณนั่งลงตรงหัวโต๊ะอาหาร ประสมขณะที่เลื่อนเก้าอี้ให้มยุรี พูดกับหล่อนว่า
“คิดว่าคุณจะไปเที่ยวอีกเย็นนี้ เพราะแต่งตัว”
มยุรีประหลาดใจจนหาคำโต้ตอบมิได้ เจ้าคุณจึงตอบแทน
“แต่งตัวเก้อน่ะซี นัดกับแม่พยอมว่าจะไปกินกาแฟนรสิงห์ไม่ใช่หรือ ?”
“ค่ะ แล้วคุณละออมีธุระเสียเลยไปไม่ได้ จนย่ำค่ำจึงโทรศัพท์มาบอก”
“ก็ทำไมไม่เอารถของเราไปรับเขาล่ะ ?”
“ลูกก็ออกขี้เกียจด้วยกันแหละค่ะ เพราะมันค่ำแล้ว”
“บิดาแม่พยอมเป็นเชื้อจีนไม่ใช่หรือครับ ?” ประสมถามเรื่อย ๆ มือทำหน้าที่ตักข้าว ถึงกระนั้น เขาก็ยังเห็นว่ามยุรีเงยหน้าขึ้นมองดูเขา
“ฮึ่ ! เป็นครึ่งจีน แต่เขาทำตัวเป็นไทย บุตรชายกับบุตรสาวก็เลยเป็นไทยแท้ ๆ ละออเป็นเด็กน่าคบ”
ต่างคนต่างเงียบกันไป ได้ยินแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกับจาน ประสมเป็นคนพูดก่อน
“ผมอ่านหนังสือข่าววันนี้ ได้พบข่าวน่าสลดใจเหลือเกิน ชายคนหนึ่งหมั้นกับญาติของตัวแต่เล็ก ๆ ด้วยกัน เขารักคู่หมั้นซึ่งบิดามารดาเต็มใจให้ได้กันด้วยความรักอันลึกซึ้ง หญิงนั้นไม่รักตอบ เขาหนีตามผู้ชายคนหนึ่งไป คุณทายถีชายคู่หมั้นจะทำอย่างไร” ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับมยุรี หล่อนสั่นศีรษะ เขาจึงพูดต่อไป สีหน้าและสายตาเปลี่ยนเป็นขึงขัง และยิ้มเป็นดูหมิ่น
“เจ้าสัตว์ขลาดบ้า มันกระโดดน้ำตาย”
คำพูดธรรมดาเหล่านี้หลุดจากปากประสม แต่มีอำนาจดุจสายอสุนี เจ้าคุณและบุตรสาวนั่งเงียบ....ทั้งสองกำลังนึกถึงอะไร ?
ประสมรวบช้อนส้อมชำเลืองดูผู้ฟังทั้งสอง สังเกตดูกิริยาจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงกล่าวด้วยสำเนียงชนิดที่ผู้ฟังอธิบายไม่ได้
“ผมเสียใจแทนบิดามารดาของชายนั้น เออ ! ป่านนี้จะเศร้าโศกสักเพียงใด ส่วนพ่อแม่ของผู้หญิงเขาทั้งสองไม่ได้มีส่วนรับบาปด้วยดอกหรือ ? มโนธรรมน่าจะสะกิดใจเขาที่ได้ตกลงยอมรับหมั้นแทนบุตรีแล้วและไม่อบรมหล่อนให้อยู่ในโอวาท ส่วนแม่หญิงคนนั้น....คุณคิดว่าจะรู้สึกอย่างไร ?” เขาพูดกับมยุรี
“ไม่ทราบเลย เดาไม่ถูก แต่โอ ! ร้ายกาจ น่าเวทนา” มยุรีพึมพำ
“เวทนาชายคนนั้นหรือคุณ ผิดกับผม สำหรับผมเห็นว่าสมน้ำหน้า ฆ่าตัวตายเพราะผู้หญิง เหตุใดไม่พยายามให้ได้หล่อนเป็นกรรมสิทธิ์เสียแต่ต้นมือ และถ้าพยายามแล้วไม่ได้ เหตุใดไม่รักษาชีวิตของตัวไว้เพื่อ....แหม ! ถ้าเป็นผม”
เจ้าคุณและบุตรีอิ่มข้าว และซ้ำกลืนของหวานก็ไม่ลง บิดาหยิบบุหรี่ออกจุดสูบแล้วตั้งใจฟังต่อไป มยุรีจ้องดูผู้พูดไม่วางตา
“ถ้าเป็นผม ฮึ่ม !”
“จะทำอย่างไร ?” หล่อนถามเสียงคล้ายหอบ
“ผมรึ ? สิ่งใดที่เป็นของผม ผมต้องเก็บต้องรักษา ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผมตลอดกาล หญิงที่หมั้นกับผมแล้วต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ถ้าใครบังอาจมาแย่งผมก็ยิงเสียทั้งคู่เท่านั้น”
“พ่อประสม !” เจ้าคุณร้อง ส่วนมยุรีสะดุ้ง
“ทำไมครับ ? สามีเห็นภรรยาของตนมีชู้ จับได้กับตา เขาจะทำอย่างไร ถ้าเป็นผมฟันให้ขาดสองท่อน”
“นั่นมันมีชู้ ก็คู่หมั้นมันคนละอย่างนี่”
“สำหรับผมเห็นคล้ายกันมาก”
“สำหรับนายประสม แน่ละ แต่สำหรับกฎหมาย เขาจะได้ตัดสินประหารชีวิตเสียปะไรล่ะ”
“จะประหลาดอะไร เมื่อเราได้เห็นคนที่ทำให้เราเจ็บใจ ตายไปเพราะมือเราสมประสงค์แล้ว”
“เอาหนัก ๆ” เจ้าคุณบ่น ท่านไม่เคยเห็นประสมมีกิริยาเช่นนี้มาก่อน
ท่านลุกจากโต๊ะ ขณะที่มยุรีพูดว่า “เป็นความเห็นส่วนตัวของนายประสม ไม่มีใครจะโต้แย้งได้ แต่ข้อที่หญิงมีคู่หมั้นแล้วไปได้กับชายอื่น ต้องหาว่ามีโทษเท่ากับมีชู้นั้น ฉันยังไม่เห็นด้วย”
“แล้วแต่จะโปรด ทุกคนย่อมมีความเห็นส่วนตัว”
คืนนั้นมยุรีนอนหลับน้อยที่สุด จิตใจฟุ้งซ่าน นอนๆ พอจะหลับก็เห็นภาพชายที่กระโดดน้ำตายมายืนอยู่ใกล้ กางมือออกเป็นเชิงวิงวอน หล่อนรู้สึกว่าเขาเป็นคนร่างสูง ดวงหน้าแสดงความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้ง แต่หล่อนเห็นเขามีหนวดดำที่ริมฝีปากด้วย หล่อนพยายามจะลืมเรื่องเสีย ข่มใจให้หลับก็ไม่สำเร็จ หลับก็ผันตื่นก็เห็นไปเอง มันทรมานอยู่เช่นนั้นตลอดคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเพียงเจ็ดนาฬิกากว่าๆ เท่านั้น ประสมซึ่งยืนอยู่ที่เฉลียงเรือน จึงได้เห็นหล่อนเดินมาที่สระใกล้ ๆ เรือนเขาด้วย อาการแช่มช้า หล่อนมิได้เหลียวมาทางที่เขายืนอยู่ เป็นแต่เดินไปยืนอยู่ที่สระครู่หนึ่ง แล้วนั่งลงบนขอบสระที่ก่อด้วยคอนกรีต ประสมยืนนิ่งมองดูหล่อนอย่างเพลิดเพลิน ครั้นแล้วไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองเขากระวีกระวาดลงจากเรือนแล้วค่อย ๆ นำตัวไปประดิษฐานอยู่ข้างหลังมยุรี โดยเจ้าหล่อนมิรู้สึกตัว เช้านี้เจ้าหล่อนสวมซิ่นสีน้ำเงินแก่ แลเสื้อผ้าขาวตัดเรียบ ผมซึ่งเกือบดำเมื่อต้องแสงแดดอ่อนก็มองดูสีเหลือบเป็นเงางาม หล่อนนั่งเท้าแขนขาพับอยู่ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งห้อยเหยียดอยู่บนถนน
“คุณกำลังนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังเมื่อคืนนี้หรือ?”
มยุรีสะดุ้งเยือกทั้งตัว หล่อนประหลาดใจและออกฉุน ที่เขามาทายความคิดถูก หันขวับมาดู ประสมจึงเห็นว่าตาหล่อนลอยและหน้าเซียว
“นอนดึกมากกระมัง สังเกตดูคุณไม่ค่อยสบาย” ประสมพูดด้วยน้ำเสียงที่มยุรีไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อน
“ฉันนอนไม่ใคร่หลับ” หล่อนบอกตรงๆ เกือบจะเล่าว่านึกเห็นแต่ร่างคนที่โดดน้ำตายแต่ได้สติจึงยั้งไว้
“เสียใจที่ผมเป็นคนก่อเรื่องให้กวนใจ แต่ไม่ได้นึกว่าคุณจะเก็บเอาไปข้องถึงกับทำให้หน้าซีดไปเพียงนั้น ผมนอนหลับเหมือนตุ๊กตา”
มยุรีถอนใจอย่างกระสับกระส่าย เหตุใดชายนี้จึงเดาความคิดของหล่อนถูก รู้สึกเพลียทั้งกายและใจ ไม่มีแรงที่จะแสดงอาการไว้ตัวอย่างเคย ประสมพูดต่อไป
“ป่านนี้ หญิงคู่หมั้นของเขาคงคลอเคลียกับสามีได้สบายใจ เมื่อหล่อนพบข่าวตายของเขา หล่อนคงสะดุ้ง ครั้นสามีหล่อนถาม หล่อนคงชี้หนังสือพิมพ์ให้เขาดู พลางถอนใจนิด ๆ แต่พองาม แล้วยิ้มอย่างเศร้าเป็นเชิงสงสาร แต่ในสายตาของหล่อนที่มองดูสามีนั้นคล้ายจะบอกว่า ‘แกควรจะต้องบูชาฉัน ดูถี ฉันเป็นคนมีราคาแพงเพียงใดฉันทำให้คนตายเพราะฉันยังได้’....”
“หยุด! นายประสมพอที ! อวดดียังไง” มยุรีร้องผลุดลุกขึ้นยืน ประสมถอยหลังแสดงอาการตกใจเป็นล้นพ้น มยุรีไม่สามารถเห็นได้ว่า ภายใต้สีหน้าแสดงความพิศวงนั้น เขาซ่อนความยินดีไว้
“รับประทานโทษ เหตุไรคุณจึงมีอาการเช่นนั้น” เขาพูดอย่างไม่เดียงสา “เป็นความผิดที่รู้แล้วว่าคุณไม่สบายใจ กลับเอาเรื่องที่ไม่ชอบมาพูดให้ฟัง เสียใจมาก โปรดยกโทษให้ด้วย”
มยุรีกลับนั่งลงดังเดิม “ก็หล่อนไม่รักเขานี่นา เหตุไรเขาจึงรักเล่า” หล่อนพูดคล้ายกับพูดกับตัวเอง ดวงตาจ้องจับอยู่กับเงาในน้ำ หล่อนเห็นเงาของประสมซึ่งยืนอยู่ข้างหล่อน เยื้องไปทางหลังเล็กน้อย ทันใดดูเหมือนเงานั้นแสดงอาการกางมือกางเท้า แล้วทะลึ่งสุดตัว มยุรีหลับตาแน่นหันหน้ามาก็พบประสมยืนอยู่เป็นปกติ เขาก้มมองดูหล่อนแล้วพูดว่า
“วันนี้ที่พญาไทมีเต้นรำไม่ใช่หรือ”
“จ้ะ ฉันจะไปเหมือนกัน นัดพบกับพยอมและคุณละออที่นั่น”
ประสมกัดริมฝีปาก “คุณจะไปคนเดียวรึ ?”
“แน่ละ ฉันจะไปกะใครละ ฉันไม่มีพี่น้องสักคนเดียว”
“ก็เจ้าคุณ”
“โอ๊ คุณพ่อ เมื่อท่านกลับมาใหม่ ๆ ยังพาฉันไปเที่ยวดินเนอร์บ้างเต้นรำบ้าง บางทีชวนเพื่อน มาดินเนอร์ที่บ้าน ตั้งแต่ออกจากราชการแล้ว ไม่ไปไหนเอาเลยทีเดียว”
“คุณก็เลยไปคนเดียว”
“ก็ยังงั้นซี วันนี้นายประสมไปกับฉันไหมล่ะ?”
“ผมน่ะ นั่งรถไปกับคุณหรือ ตายละผมยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ นั่งรถไปกับหญิงอย่างคุณ ผมจะได้ถูกนินทาตาย”
“ทำไมล่ะ ฉันไม่เห็นประหลาดอะไรเลย เมื่อฉันอยู่ในอเมริกา ก็ไปเที่ยวกับเลขานุการสถานทูตเสมอ ไม่เห็นเป็นอะไร”
“นั่นหรือความเห็นของคุณ ที่นี่ไม่ใช่อเมริกาและผมต้องรักษาความบริสุทธิ์แลชื่อของผม”
มยุรีนิ่งอึ้ง มีความรู้สึกอย่างที่บอกไม่ถูก โกรธจัดแกมสงสัย หล่อนไม่รู้จะพูดอะไร จึงสะบัดหน้าลุกขึ้นเดินจากเขาไป ประสมมองตามจนสุดสายตา แล้วหัวเราะเบา ๆ
----------------------------