Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
		เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28  October  2025, 16:51:59 
		
			
			- 
				นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 13-14
 
 
 ๑๓
 
 อาการของนิจเพียบหนัก ชีวิตอยู่ในระหว่างความเป็นความตายถึง ๓ วัน นับตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านบิดา ครั้นแล้วเช้าวันหนึ่ง อากาศแจ่มใสบริสุทธิ์ท้องฟ้าปลอดโปร่งงดงาม หมอที่รักษาหล่อนได้พบอาการดี อันเป็นทางหวังว่านิจจะรอดพ้นจากอันตราย ในตอนบ่ายวันนั้นเอง หมอให้คำขาดว่านิจจะไม่ตายและจะหายเป็นปกติในไม่ช้า ความปลาบปลื้มในบางคราวย่อมลึกซึ้งเกินขีดที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือเป็นตัวหนังสือได้ เพราะฉะนั้นจะยกให้เป็นหน้าที่ของผู้อ่าน ชั่งน้ำหนักเอาเองตามความรู้สึกของท่านว่า เจ้าคุณสุรแสนและคุณหญิงจะปลาบปลื้มเพียงไหน เมื่อท่านทราบแน่ว่าธิดาที่รักของท่านจะมีชีวิตได้อยู่กับท่านต่อไปอีก ความรักชนิดใดเล่า จะเปรียบได้กับความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตร สุขุมละเอียดอ่อนบริสุทธิ์แท้ปราศจากความเห็นแก่ตัว ปราศจากความเบียดเบียน ปราศจากความหวังได้ เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีบาปแม้เล็กน้อยเจืออยู่ และมีค่าสูงลิบลับไม่มีอะไรเทียบเทียม
 
 ส่วนความรักระหว่างสามีภริยาหรือคู่รัก จริงอยู่ ย่อมรุนแรงโลดโผนและดูดดื่ม แต่หาใสสะอาดเหมือนความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรไม่ ดังจะเห็นได้จากความรู้สึกของชายหนุ่มในเรื่อง
 
 คุณเฉลาเดินเล่นอยู่ที่สนามกับพี่ชาย หล่อนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จมาใหม่ ๆ มีดวงหน้าอันนวลลออผมทรงชิงเกิลของหล่อนหวีไว้โดยเรียบ หล่อนนุ่งซิ่นสีเขียวแก่และสวมเสื้อขาว ผิวเนื้อสองสีค่อนข้างขาวนั้นดูเป็นน้ำนวล กำลังที่คุยกับพี่ชายเพลินอยู่เห็นชายคนหนึ่งเดินเชื่องๆ มาจากประตูใหญ่
 
 “คุณหลวงธนสาร!” คุณฉลาดร้องทักและยกมือขึ้นไหว้อย่างเรียบร้อย เฉลามิได้ทำดังนั้น ความมีอายุอยู่ในเขตของสาวใหญ่ และมีบิดาเป็นเจ้าพระยาทำให้หล่อนไหว้คนไม่ง่ายนัก รวมทั้งความเกลียดชังสามีอันโหดร้ายของเพื่อนทำให้หล่อนมีสีหน้าเฝื่อนไป และได้ยืนตัวตรงจ้องดูเขาตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า
 
 “ถ้าจะนำข่าวภริยามาแจกละกระมัง? พวกเราทราบกันหมดแล้ว เฉลาเพิ่งกลับจากบ้านโน้นได้สักครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง”
 
 ดวงหน้าอันเหี่ยวแห้งและร่วงโรยจนผิดตาของหลวงธนสาร ทำให้เฉลาใจอ่อนลงบ้างเล็กน้อย แต่ความหมั่นไส้ไม่อาจหายได้ง่าย ๆ เฉลาเห็นว่าสามีผู้โฉดเขลานี้ควรจะถูกกระทบกระแทกให้ใจเสียบ้าง คิดแล้วหล่อนยิ้มพลางถามช้าๆ ว่า
 
 “อดนอนพยาบาลใครมาหรือคะ ดูหน้าตาซีดเซียวไปมาก”
 
 ชายหนุ่มก้มหน้า หมุนหมวกที่อยู่ในมือเป็นการแก้เก้อ
 
 “ผมมีธุระอยากพูดกับคุณเฉลาสักหน่อย” เขาพูดเมื่อนิ่งอึดอัดอยู่แล้วเป็นครู่ใหญ่
 
 “อ้าว ยังงั้นผมก็ต้องไปเสียก่อนถูกไหมครับ” ฉลาดพูดอย่างเด็กดี “เชิญเถอะ ไปนั่งที่เก้าอี้นั่นแน่ะ ไม่มีใครมารบกวนละ” โดยไม่รอฟังคำตอบ ฉลาดก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินห่างไป
 
 เฉลาไม่ยอมไปนั่งเก้าอี้ตามที่พี่ชายบอกคงยืนอยู่ที่เดิม ถามผู้เป็นแขกด้วยเสียงอันชาเย็นว่า
 
 “มีธุระอะไรเกี่ยวข้องกับดิฉันหรือ?”
 
 หลวงธนสารพยายามรวบรวมความกล้าเต็มกำลัง
 
 “มิได้ ธุระของผมเอง ผมมาขอความช่วยเหลือจากคุณ” เขาตอบ
 
 เฉลายืนนิ่ง ยิ้มอย่างหมั่นไส้ปรากฏอยู่ที่ริมฝีปากและรำพึงว่า
 
 “เขามีสิทธิอะไรที่จะมาขอความช่วยเหลือจากเรา”
 
 อาการนิ่งของหล่อนทำให้ชายหนุ่มพูดไม่ออกไปด้วย เฉลาเอ่ยขึ้นว่า
 
 “ย่ำค่ำดิฉันมีหน้าที่ต้องดูแลให้คุณพ่อรับประทานข้าว นี่ ๕ โมงกว่าแล้ว พูดอะไรก็พูดเสีย”
 
 “เรื่องคุณนิจ ผมยังไม่ได้เห็นเธอเลยตั้งแต่เจ็บหนัก”
 
 “คุณหลวงควรจะได้เห็นเธอแล้ว ก่อนใครๆ หมด”
 
 “แต่...ผมไม่ทราบ...ไม่ทราบว่าเธอเจ็บ”
 
 “นั่นแสดงว่าคุณหลวงเป็นสามีชนิดที่จะหาอีกไม่ได้ในโลกนี้
 
 “ผมยอมรับ” เขาพูดอ่อย ๆ “เดี๋ยวนี้ผมทราบแล้วว่าเธอเจ็บมาก อาการเพียบ ผมได้พบกับหมอทุกวัน ทราบว่ายังไม่มีหวัง ผมอยากเห็นเธอเหลือเกิน ขอให้ได้เห็นสักครั้งเดียวเท่านั้น แล้วใครจะให้ผมทำอะไรผมยอมทั้งสิ้น ผมจะเซ็นหนังสือหย่าให้ตามที่เจ้าคุณสุรแสนบังคับ แต่ขอให้ผมได้เห็นหน้าภริยาของผมอีกครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้นบางทีจะต้องเป็นครั้งสุดท้าย” เขากัดริมฝีปากแน่นเบือนหน้าไปทางอื่น
 
 เพศชาย เป็นเพศที่ได้ชื่อว่าแข็งแรงและหนักแน่นบึกบึน น้อยนักน้อยหนาที่ใครจะได้เห็นน้ำตาของเขาสักหยดหนึ่ง คราวนี้เฉลาบังเอิญมีโชคได้เห็น ใจของเธออ่อนลงทันที ยิ่งกว่านั้นน้ำตาจะพาลไหลตามออกมาด้วย
 
 “วันนี้คุณหลวงได้พบหมอแล้วหรือยังคะ” เฉลาถามขึ้นเมื่อได้เงียบกันไปแล้วสักครู่ใหญ่
 
 “ผมได้โทรศัพท์ไปที่บ้านเขา เมื่อตอนกลางวันหนหนึ่ง แต่เขาไม่อยู่เสียแล้ว”
 
 “ดิฉันพบเขาเมื่อตะกี้นี้เอง และทราบว่าอาการของนิจดีขึ้นมาก ปรอทลดลงแล้ว หมอเข้าใจว่าหมดอันตราย เว้นแต่จะมีโรคอื่นมาแทรก”
 
 ดวงหน้าของชายหนุ่มแจ่มใจขึ้นทันที บีบมือของตนเองด้วยความตื่นเต้น แต่ครั้นแล้วก็ยิ้มเศร้าๆ พึมพำว่า
 
 “ผมคงไม่มีโอกาสได้พบเธออีก คำพูดของเจ้าคุณสุรแสนเมื่อไล่ผมออกจากบ้านนั้นแสดงอยู่โต้งๆ ว่า ผมไม่มีสิทธิที่จะเหยียบเข้าไปอีกเลย”
 
 เฉลามองดูคู่สนทนาอยู่เงียบๆ ขณะนั้นความคิดเดิมที่คิดไว้ว่า เป็นการสมควรที่จะให้นิจหย่าขาดจากสามีนั้นเริ่มเขวเสียแล้ว ความยึดถือข้อที่ว่าสามีภริยาควรต้องเป็นสามีภริยาอยู่เสมอกลับมาสู่สมองใหม่ พอดีหลวงธนสารพูดขึ้น
 
 “ผมมาหาคุณวันนี้ เพื่อจะวิงวอนให้คุณช่วยจัดการให้ผมได้พบกับคุณนิจอีกสักครั้ง ถ้าเธอจะตายไปขอให้ผมได้ขอสมาโทษเธอก่อน แต่ถ้ามีหวังว่าจะหาย ผมก็จะอดใจรอไปจนกว่าเธอจะมีกำลังพอที่จะทนดูหน้าผมได้ ผมเข้าใจดีว่าเธอจะต้องโกรธผมเพียงไร แต่ผมรู้ดีว่าหัวใจของเธอนั้นบริสุทธิ์และอ่อนโยน ตลอดเวลาที่เธออยู่กับผม ผมเห็นคุณความดีข้อนี้ของเธอเสมอ แต่หากผมเป็นคนบ้า-บ้าเสียจนเกือบเป็นสัตว์ บ้าเพราะความหลงผู้หญิงที่ผมเคยรักและที่แท้ผมควรจะรู้ตัว และเลิกหลงมานานแล้ว จึงได้ปล่อยให้เธอชอกช้ำอย่างโหดร้ายที่สุด อย่างไรก็ดี ผมมีหวังไม่มากหรอก เพียงนิดเดียว เป็นอย่างรางๆว่า บางที...บางทีเธออาจยกโทษให้ผมได้”
 
 “พูดสั้นๆ ก็คือ คุณหลวงไม่เต็มใจจะหย่าใช่ไหมล่ะคะ?”
 
 “ถูกแล้ว บัดนี้ผมรู้สึกว่า ผมรักเธอเหลือเกิน รักอย่างประหลาด ผิดกว่าที่เคยรักใครมาแล้วในโลก รักอย่างอยากได้มาไว้บูชา มาไว้เป็นนายและผมเป็นบ่าวที่จะคอยรับใช้ และถนอมน้ำใจมิให้ความเดือดร้อนสิ่งใดมาแผ้วพาลได้ เพื่อจะได้ใช้โทษแห่งความบ้าของผมในเวลาที่ล่วงมาแล้ว”
 
 “ความคิดนี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นชั่วแล่นละกระมัง จะไม่เปลี่ยนแปลงหรือในภายหลัง?”
 
 “พุทโธ่! คุณถามอะไรเช่นนั้น! แท้จริงก็ควรหรอกที่คุณจะไม่เชื่อ แต่ผมขอปฏิญาณให้ด้วยเกียรติยศ และโดยอะไรๆ ทั้งหมดที่ผมนับถือในโลกนี้ ว่าความคิดนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง จนกว่าผมจะตายไป ผมจะทำตัวให้เป็นสามีที่ดีที่สุดในโลก ขอแต่ให้ผมได้คุณนิจกลับมาไว้ในความอารักขาเถอะ”
 
 กิริยาภายนอกของเฉลาคงมึนชา แต่ภายในหล่อนกำลังใคร่ครวญถึงคำพูดของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับหาคำพูดและเหตุผลเตรียมไว้ สำหรับจะไปอธิบายกับเจ้าคุณสุรแสนด้วย ส่วนหลวงธนสารกำลังคลุ้มคลั่งเต็มที่ เฝ้ามองดูหน้าและคอยฟังคำตอบของหล่อนอยู่ ครั้นเห็นไม่ว่ากระไรก็ถอนใจยาว พลางส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
 
 “คุณเฉลาผมให้สัญญากับคุณแล้ว ผมอ้อนวอนคุณแล้ว คุณช่างไม่สงสารผมบ้างเลยเทียวหรือ ผมเห็นคุณคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเป็นที่พึ่งของผมได้ เพราะคุณเป็นเพื่อนคนเดียวที่คุณนิจนับถือและเชื่อฟัง คุณจะไม่กรุณากับผมบ้างหรือ โปรดพูดสักคำเถอะว่าคุณจะช่วยผม”
 
 “ดิฉันจะลองคิดดู” เฉลาพูดเรียบๆ “ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่อย่าเพื่อหวังเอาเป็นแน่นัก นิ่งๆ คอยไปก่อน”
 
 “ขอบคุณ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมสบายขึ้นมากแล้ว”
 
 เฉลายิ้มน้อยๆ “เรื่องที่คุณหลวงต้องการพูดกับดิฉันหมดเพียงเท่านี้ไม่ใช่หรือ? ดิฉันจะเรียกพี่ฉลาดกลับมา”
 
 “อย่าเลย ผมจะลาคุณกลับเดี๋ยวนี้ และจะไม่ลืมบุญคุณของคุณเลย” พูดแล้วเขายกมือขึ้นไหว้ เฉลายิ้มด้วยความพอใจ ขณะที่ทำความเคารพตอบ พอเขาจะออกเดินหล่อนยกมือขึ้นให้เขารอก่อนแล้วพูดว่า
 
 “ดิฉันขอเตือนสักอย่างหนึ่ง เมื่อคุณหลวงคิดจะทำอะไรหรือจะพูดอะไร อย่าลืมนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ของคุณหลวงบ้าง ถ้ามิฉะนั้นคุณหลวงอาจจะต้องเสียสัตย์ในภายหลัง”
 
 หลวงธนสารเปิดหมวกออก ก้มศีรษะรับคำแล้วก็ลาไป
 
 เขาอุตส่าห์คอยฟังข่าวจากเฉลาด้วยความอดทนถึงสามวันสามคืนเต็ม ๆ พอล่วงเข้าวันที่สี่ความอดทนนั้นก็ถึงขีดที่สุด ทำให้เขาพลุ่มพล่ามราวกับคนบ้า นั่งก็ร้อน นอนก็ร้อนดังถูกไฟลนหน้าดำคล้ำและตาก็ลึกโหล ความหวังในความช่วยเหลือของเฉลาหมดลงทุกที จนความระแวงเข้าแทนที่ บังเกิดความรู้สึกชังเพื่อนของภริยาอย่างร้ายกาจ เรื่องที่ภริยาจะตายนั้นสิ้นห่วงไปแล้ว แต่ความระแวงที่เกิดขึ้นใหม่นั้นร้ายกว่าความกลัวหลายเท่า ‘ยายเจ้าเล่ห์นั่นลวงเอาเสียแล้ว’ เขาบอกกับตัวเอง ‘ที่แท้เขาคงพยายามปั่นหัวนิจให้หย่ากับเราจนได้ ใครเล่าที่เก็บเรื่องอะไรต่างๆ ไปบอกเจ้าคุณสุรแสน? ไม่ใช่เขาดอกหรือ นิจหรือสวยราวกับอะไรดี น่ารักก็ปานนั้น ยังไงเสียอ้ายนายฉลาดก็ต้องติดใจ ดูแต่เมื่ออยู่ที่หัวหิน ช่างเล่นหัวกันสนิทสนมเกินกว่าพี่น้องกันไปอีก น้องสาวเขาคงต้องช่วยพี่ชาย เขาจะมาอาลัยตายอยากอะไรกับคนอย่างเรา เป็นลูกสะใภ้เจ้าพระยามิดีกว่าหรือ’ พอคิดถึงตรงนี้ให้เจ็บใจราวกับเลือดตาจะกระเด็น ‘โธ่นิจน่ะนิจใจคอช่างกระไรเลย ฉันอยากให้เธอตายไปดีกว่าที่จะตกไปเป็นของอ้ายหนุ่มหน้าเลี่ยนคนนั้นอีก ฮึ! นึกไปอีกทีหนึ่ง อ้ายเราก็เป็นบ้า จะไปนั่งเสียดายอะไรกับเมียคนหนึ่ง’ แต่นี่เป็นแต่เพียงความคิดที่เกิดขึ้นชั่วคราว ความรู้สึกอันแท้จริงหาเป็นดังนั้นไม่ ชั่วโมงยิ่งล่วงไปยิ่งทรมานเขายิ่งขึ้น คุณหญิงวิชัยก็พลอยถูกทรมานด้วย เพราะกิริยาอาการของลูกชาย ท่านพยายามเล้าโลม ปลอบก็แล้ว ขู่ก็แล้ว ให้เขาระงับสติอารมณ์เสียบ้าง แต่ไม่ได้ผล บุตรชายไม่ยอมฟังเสียง พร่ำบ่นอยู่แต่ว่า ‘โธ่เมียของผมแท้ๆ อยู่ๆ ก็พรากเอาไปเสีย ผมไม่ยอม ผมไม่ยอม’ ครั้นคุณหญิงเล้าโลมมากขึ้น เขากลับแสดงกิริยาฮึดฮัด และกล่าวหาว่า เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นก็เพราะท่าน ท่านไม่ทำหน้าที่มารดา ให้ท่าให้เขาเหลิงส่งท้ายจนเขาได้ใจไปเที่ยวเตร่กับหลานสาวจนเขาหลง เหตุที่ทำให้เขาพูดคำนี้ก็เพราะคุณหญิงได้เรียกรัศมีมาให้เล้าโลมพี่ชาย ผลที่ได้รับคือรัศมีถูกว่าอย่างสาดเสียเทเสีย และกล่าวหาว่าหล่อนทำมารยายั่วเขาจนหลง ในระหว่างสองสามวันนี้คนในบ้านเจ้าคุณวิชัย ตั้งแต่นายตลอดบ่าวพากันเดือดร้อนทั่วไปหมด คุณหญิงกลุ้มใจบุตร พาลไล่เบี้ยเอากับสามี เจ้าคุญฉุนภรรยาไปไล่เบี้ยกับคนใช้อีกทีหนึ่ง พวกบ่าวๆ หัวหมุนหนักเข้าเลยทะเลาะกันเอง
 
 ๒๔ ชั่วโมงผ่านไปอีกแล้ว และ ๑๐ ชั่วโมงของอีกวันหนึ่งก็ล่วงไปด้วย หลวงธนสารกลับจากกระทรวง ลงจากรถเดินคอตกขึ้นไปทางบันไดห้องของ ภรรยาเขาหยุดยืนกลางห้องนั้นห้องซึ่งเขาเคยเหยียบเข้ามาเป็นครั้งแรกเมื่อ ๘ วันก่อน ทอดสายตาอันทื่อจนเกือบไม่มีแววไปรอบๆ พร้อมกับถอนใจยาวหลายครั้งติดๆ กัน เขาเดินเข้าห้องของเขาเอง ถอดเสื้อชั้นนอกออกเหวี่ยงไว้บนเตียง แล้วไปยืนอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ เห็นจดหมายซองสีม่วงอ่อน จ่าหน้าซองถึงตัวเขาเอง ก็ฉีกออกดูช้าๆ อย่างเสียไม่ได้ ขณะนั้นเอง สีหน้าเขาชื่นขึ้น วัตถุที่อยู่ในซองไม่ใช่จดหมาย เป็นการ์ดชื่อเฉลาข้างหลังเขียนไว้ว่า
 
 “ถ้าอยากพบนิจไปหาได้วันนี้เวลาค่ำ”
 
 ใจความสั้นๆ นั้นมีอำนาจยิ่งใหญ่ ถึงกับหลวงธนสารทรงตัวไว้ไม่อยู่ มองดูนาฬิกาเพิ่ง ๑๖.๔๐ น. ยังจะต้องรอถึงชั่วโมงหนึ่งกับ ๒๐ นาทีถึงกระนั้นเขายังรีบอาบน้ำและแต่งตัวจนมือสั่น ไสวคนใช้งันงกเพราะถูกดุว่าเงื่องหยิบอะไรไม่ถูก ด้วยใจอันเต้นเป็นตีกลอง เขาขึ้นรถไปรออยู่ที่หน้าบ้านเจ้าคุณสุรแสนจนถึงเวลา
 
 ย่ำค่ำตรงเขาเดินมาที่ตึกทาสีไข่ไก่ ด้วยความกลัวและเกรงใจเจ้าของบ้าน ไม่กล้านำรถเข้ามาด้วย ที่นั่นเขาเห็นละไมคนใช้นั่งคอยอยู่แล้ว หล่อนยกมือไหว้เขาและพูดว่า
 
 “เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
 
 หล่อนพาเขาขึ้นบันไดไปชั้นบน หยุดที่หน้าห้องหนึ่งซึ่งประตูปิดอยู่ พูดอย่างถนอมเสียงว่า
 
 “เชิญเข้าไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ” แล้วหล่อนเองลงบันไดกลับไปข้างล่าง
 
 ชายหนุ่มยืนนิ่ง หัวใจเต้นเป็นระยะและเต้นแรงขึ้นทุกที จนเกือบจะหายใจไม่ออกเวลาที่เขาคอยอยู่ถึง ๕ วัน อันเป็นเวลาราวกับ ๕ ปีสำหรับเขา-มาถึงแล้ว แต่เขากลับรอรั้งชักช้าอยู่ ให้รู้สึกหวาดเกรงและสงสัยว่าผลที่จะได้รับจากการได้พบภริยาจะเป็นอย่างไร ความแน่นอนในข้อนี้สิที่เขากลัว คนเราแม้การรอสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ จะเป็นการทำให้เร่าร้อนเพียงไหน ก็ยังยินดีทนความเร่าร้อนมากกว่าที่จะรีบทราบความจริงอันจะเป็นเหตุให้สิ้นหวัง กว่าจะหักใจให้กล้าได้กินเวลา ๓ นาทีเต็ม ๆ เขาจึงค่อย ๆ เปิดประตูออก
 
 ห้องนอนเป็นห้องสี่เหลี่ยม กว้างยาวราว ๑๐ ศอก ฝาผนังทาสีน้ำเงินอ่อน มีหน้าต่าง ๔ หน้าต่าง ไฟฟ้าที่ห้อยลงจากเพดานเปิดอยู่ ๓ ดวง ห้องนั้นไม่มีเครื่องประดับประดา หรือเครื่องใช้อย่างใดเลย นอกจากเตียงนอนอันกว้างใหญ่ทาสีขาว และเขียนลายทองกับโต๊ะสี่เหลี่ยมสีขาวลายทองเหมือนกัน ตั้งอยู่ทางหัวนอน บนนั้นเต็มไปด้วยขวดยา เตียงนอนสูงไม่เกิน ๑ ศอก ตั้งอยู่ชิดฝาตรงหน้าต่าง ๆ หนึ่ง ประตูที่หลวงธนสารเปิดเข้าไปนั้นอยู่ทางปลายเท้า แสงสว่างของไฟฟ้ากับแสงแดดที่ยังไม่หมดไปปะทะกัน ทำให้หลวงธนสารตาฟาง เขาปิดประตูตามหลังแล้วหยุดนิ่ง อีกใจหนึ่งจึงเดินเข้ามากลางห้องแลมองเห็นคนไข้ซึ่งนอนอยู่บนเตียง ค่อย ๆ เดินด้วยฝีเท้าอันเบาเข้าไปใกล้ ตาเพ่งดูร่างอันคลุมด้วยผ้าขนสัตว์ เขายืนอยู่เช่นนั้นนาน หน้าซีดด้วยความตื่น ในที่สุดก็ทรุดตัวลงนั่งห้อยเท้าอยู่ข้างเตียงนั่นเอง
 
 ความกระเทือนทำให้คนไข้ขยับตัวและลืมตาขึ้นมองดู พอเห็นว่าผู้อยู่ข้าง ๆ นั้นเป็นใคร ริมฝีปากอันขาวซีดก็สั่นระริก นิจหลับตาลงแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
 
 “มีธุระอะไรหรือคะ?”
 
 “นิจ! นิจ!” เท่านั้นเองเป็นคำตอบแล้วก็เงียบ ไม่มีเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงนาฬิกาซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะยาเดินดังกิ๊กๆ
 
 หลวงธนสารขยับตัว พิศดูหน้าอันขาวซึ่งหลับตานิ่งอยู่ นิจลืมตาขึ้นมองดูตรงหน้า ดวงตาทั้งคู่ยังคงดำขลับ แต่ทว่าดูแห้งแล้งปราศจากน้ำหล่อเลี้ยง สามีมองดูแล้วใจหดหู่ จนไม่มีกำลังจะพูดหรือจะทำอะไรได้ เขาคงนิ่งอยู่เช่นนั้นจนนิจเตือนขึ้น
 
 “มีธุระอะไรก็พูดไปซีคะ”
 
 “นิจ! เธอโกรธฉันหรือ?”
 
 เป็นคำพูดที่โง่เง่าที่สุด แต่นิจก็ยังตอบว่า
 
 “เปล่าค่ะ”
 
 หลวงธนสารรู้สึกกระสับกระส่ายเหลือทนไม่ทราบจะตั้งต้นเรื่องว่ากระไรดี ทั้งเกรงว่าคำพูดของเขาอาจจะทำให้หัวใจหล่อนได้รับความกระทบกระเทือนและเห็นจะเหนื่อยเกินไปด้วย ในที่สุดก็หลุดออกไปดื้อ ๆ
 
 “เจ้าคุณท่านให้ฉันเซ็นหนังสือหย่าขาดจากเธอ ทราบแล้วหรือยัง?”
 
 “ทราบแล้วค่ะ”
 
 “เธอเต็มใจจะหย่าขาดจากฉันหรือ?”
 
 “ค่ะ”
 
 คำตอบนั้นค่อยและอ่อนโยน แต่หลวงธนสารรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ ดูอะไรๆ ในห้องนั้นพากันลอยขึ้นสูงแล้วกลับหัวลง ตาฝ้าฟางจนแลไม่เห็นว่าภริยาได้พลิกตัวและหันหลังให้เขา อนิจจา! นี่แหละคือผลที่ได้รับจากการที่ได้พบภริยา รางวัลทดแทนความคุ้มคลั่งที่เป็นอยู่ถึง ๕ วัน สุดกำลังที่จะทนความอัดอั้นเขายกมือขึ้นปิดหน้าแน่นป้องกันมิให้น้ำตาไหลออกมาได้
 
 เสียงสะอื้นกระซิกๆของคนไข้ ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น หล่อนร้องไห้ นิจร้องไห้เหมือนกันและสะอื้นดังขึ้นทุกที เสียงสะอื้นนั้นทำให้เขาหัวหมุนและเจ็บปวดเหลือกำลัง
 
 “นิจ!” เขาคราง “อย่าร้องไห้ประเดี๋ยวไข้จะกลับ อย่า ๆ เธอเจ็บหนักก็เพราะฉัน พอเธอฟื้นขึ้น ฉันยังจะตามมาฆ่าเธออีก อย่า! โปรดอย่าทำให้ฉันบาปขึ้นอีกเลย โปรดยกโทษให้ฉัน ยกโทษให้ผู้ที่โหดร้ายต่อเธอเป็นหนักหนา ฉันดิ้นรนอยากพบเธอ ก็อยากจะบอกให้เธอทราบว่า บัดนี้ฉันรู้ตัวว่าผิดแล้ว ผิดต่อหน้าที่ของสามีเธอ ผิดต่อความกรุณาของเจ้าคุณ ความเศร้าโศกเสียใจในความผิดที่ได้ทำแล้วนั้นมากมายเหลือล้นจนสุดที่จะกล่าวให้เธอทราบได้ เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ฉันได้บอกเธอแล้ว ได้ขอสมาเธอแล้วสมใจ ฉันต้องพอใจแต่เพียงเท่านี้ เป็นการยุติธรรมที่สุด ที่เธอจะหย่าขาดจากฉัน ฉันจะเซ็นหนังสือให้ตามความประสงค์
 
 เขาหยุดพูด นิจสะอื้นหนักขึ้นจนตัวสั่น หลวงธนสารปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย ผลุดลุกขึ้นเดินไปมาแล้วกลับมาที่เดิม ก้มหน้าลงใกล้หน้าภริยา น้ำตาซึ่งกลั้นไว้ได้เป็นเวลาหลายนาทีหยดลงต้องแก้มอันเหี่ยวแห้งของนิจ น้ำตานั้นร้อนผ่าวเกือบเท่าน้ำเดือด จนนิจหันหน้ามาดู หนุ่มสาวทั้งสองมองดูกัน แต่ต่างคนไม่เห็นหน้ากันชัด เพราะน้ำตาบังสายตาไว้ หลวงธนสารใช้หลังมือป้ายเสียโดยเร็ว แต่ขอบตาอันแดงส่อพิรุธเต็มตัว เขานั่งลงบนเตียงค่อย ๆ จับศีรษะภริยาให้หันมาทางเขา
 
 “นิจจ๋า” เขาพูดอย่างอ่อนหวานเต็มไปด้วยความวิงวอน “เธอจะยอมยกโทษให้ฉันสักครั้งได้ไหม ยอมปล่อยโอกาสให้ฉันได้หัดตัวใหม่ ให้ฉันได้พิสูจน์ให้เธอเห็นว่าฉันรู้ตัวว่าผิดจริง ๆ ฉันทำบาปหนักแต่ได้รับบาปเพียงพอทีเดียว ตกนรกเห็นทันตาอยู่ ๑๐ วันเต็มๆ ถ้าเธอไม่กรุณาแก่ฉันแล้วฉันจะต้องทุกข์ไปอีกนานเท่าไรก็ไม่ทราบ ฉันรักเธอ นิจ รักจริง ๆ เริ่มรักตั้งแต่วันที่เราหมอบเคียงกันอยู่บนเตียง แต่ฉันกำลังหลง และความหลงมีอำนาจมากกว่าความรักมาก มันทำให้ตามืดมัวมองไม่เห็นอะไรหมด ทำให้สมองมึนตื้อคิดอะไรไม่ออกจำอะไรไม่ได้ นอกจากความสัมผัสอันเต็มไปด้วยความยั่วยวน ม่านที่บังตาฉันอยู่เพิ่งขาดออกเมื่อฉันรู้สึกว่าเธอกำลังหลุดลอยไปจากฉัน ขณะนั้นเองฉันรู้สึกว่าฉันรักเธอมากเพียงไร เป็นความรักที่เงียบและเฉื่อยชา และได้พอกพูนขึ้นทุกทีเพราะคุณความดีของเธอ เธอเป็นคนดีหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ทั้งอดทนทั้งพากเพียร เธอเชื่อเวรเชื่อกรรมไม่ใช่หรือนิจ นึกเสียว่าเวรของเราทั้งสองที่ทำให้ฉันตาบอด และยกโทษให้ฉันได้ไหม?”
 
 ความรัก ความแค้นและความอุปทานกำลังต่อสู้กันอยู่ในสมองของนิจ หลวงธนสารจับมืออันมีแต่หนังหุ้มกระดูกมาประคองไว้ในอุ้งมือของตัว พลางมองดูด้วยสายตาแสดงความหวงแหน และนับถือประดุจของกายสิทธิ์ นิจพิศดูหน้าเขา และเห็นว่าเขาผอมไปผิดกว่าแต่ก่อนมาก ขอบตาเขียวคล้ำ ดวงตาใหญ่ซึ่งมีแววเลื่อนลอยนั้น ดูยิ่งใหญ่ขึ้นอีก ริมฝีปากก็ซีดเซียว อาการนิ่งทำให้ความหวังที่หลวงธนสารเห็นรางๆ อยู่เมื่อครู่ก่อนหายวับไปทันที เขาเริ่มถอนใจแรงมองดูภริยาอย่างเศร้าสลดแล้วพูดว่า
 
 “บางที่สิ่งที่ฉันขอร้องไปแล้วจะเกินกว่าขีดความกรุณาของเธอ มันเป็นกรรมของฉันเองที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว กรรมใดเราได้ทำกรรมนั้นจะตามสนอง ฉันจะยอมทนกรรมไปจนถึงที่สุด โธ่ นิจ เธอเป็นคนใจบุญเสมอจะไม่ช่วยฉันไว้เอาบุญบ้างหรือ อย่างน้อยขอให้เธอชั่งดูใจ…...ก่อน…….ก่อนที่เราจะหย่าจากกัน” เขาวางมือหล่อนลงแล้วเมินหน้าไปเสียทางอื่น นิจรู้ว่าเขาทำดังนั้นเพราะเหตุใด ด้วยความสงสารหล่อนพูดว่า
 
 “นิจเจ็บอยู่เช่นนี้จะทำความตกลงให้เด็ดขาดกันลงไปทีเดียวอย่างไรได้ ถึงอย่างไรก็ต้องรอไว้ก่อน”
 
 “แต่เจ้าคุณบังคับให้ฉันเซ็นหนังสือ ฉันผลัดขอให้ได้พบเธอสักหนหนึ่งก่อน ฉันจะทายว่าป่านนี้ท่านคงรออยู่ที่ห้องรับแขก เตรียมหมีกปากกาไว้พร้อม ฉันจะแก้ตัวว่าอย่างไรถึงจะยืดเวลาออกไปได้บอกว่าเธอให้รอไว้ก่อนนะ?” ปากพูดตาจ้องดูหน้าผู้ฟังอย่างร้อนรนและวิงวอน นิจพยักหน้า
 
 “ฉันต้องลาเธอกลับเสียที ถ้าขึ้นอยู่ต่อไปอีกคง จะต้องถูกไล่” เขาพูดเสียงละห้อย “เธอจะอนุญาตให้ ฉันมาเยี่ยมอีกได้ไหม?” -
 
 “ได้ค่ะ” นิจตอบ
 
 “ลาละเธอ จงนึกถึงฉันบ้าง นึกว่าฉันเป็นคนที่กำลังได้รับความทุกข์อย่างที่สุด โชคชาตาของฉันอยู่ในมือเธอ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด”
 
 นิจยกมือขึ้นไหว้ หลวงธนสารจับมือซึ่งประณมอยู่ขึ้นจูบอย่างบูชา ก่อนจะออกจากห้องเขาหันมาดูหล่อนอีก แล้วถอนใจยาวพลางออกประตูไป
 
 หลวงธนสารไม่ได้พบเจ้าคุณพ่อตาดังที่ได้คาดไว้ วันต่อๆ มาเขาเยี่ยมภริยาอีกคงไม่ได้พบท่านเช่นเดิม ดูเหมือนท่านพยายามหนีหน้าเขา บางวันเขาได้พบคุณหญิง ท่านคงทักทายเขาเหมือนเดิม แต่ในแววตาของท่านบางทีก็มีความโกรธ บางทีก็มีความเกลียด ในบางคราวก็มีความสงสาร นิจมีอาการดีขึ้นทุกวัน เรื่องหย่ายังไม่มีใครพูดถึง หลวงธนสารค่อยหายใจสะดวกขึ้นเขาเริ่มมีความหวัง และมองเห็นความสุขอยู่ข้างหน้ารางๆ
 
 วันคืนล่วงไปเป็นลำดับจนถึงเดือนมกราคมอากาศหนาวเย็น แต่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงให้ความอบอุ่นพอเป็นที่ชื่นใจ นิจหายเป็นปกติและกำลังซื้อไข้คือนอนได้ และรับประทานจุ หลวงธนสารไปเยี่ยมภริยาทุกวันมิได้ขาด และพาบิดามารดาไปด้วยสองครั้ง เห็นหน้าคุณหญิงนิจนึกถึงความหลังและตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะไม่ขอยอมอยู่ร่วมชายคาบ้านกับท่านอีกในชาตินี้มนุษย์ในโลกเรามีความอยุติธรรมประจำสันดานมาแต่เกิดเกือบทุกคน ที่ไหนเรารักเราก็ยกโทษให้ง่าย ที่ไหนเราชังก็คอยคุมแค้นอยู่เสมอ หลวงธนสารอ่านความรู้สึกของภริยาที่มีต่อมารดาเขาได้ดี และเตรียมการภายหน้าไว้พรักพร้อม
 
 วันหนึ่งเป็นวันอาทิตย์ เขาไปหาภริยาแต่เช้าและอยู่นี่นั่นทั้งวัน พอตกบ่าย ๔ นาฬิกาอากาศกำลังน่าสบาย ไม่หนาวนัก และแดดไม่ร้อนจัดเขาขออนุญาตคุณหญิงสุรแสนพาภริยาไปเที่ยว นิจรับเชิญด้วยความเต็มใจ เขาพาหล่อนเที่ยวไปในถนนต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยมียวดยาน เพื่อให้หล่อนได้รับอากาศบริสุทธิ์ พอถึงถนนราชดำริ เชิงสพานเฉลิมโลก เขาหยุดที่หน้าบ้านรูปร่างน่าเอ็นดูบ้านหนึ่ง และชวนให้หล่อนลงจากรถเข้าไปในบ้านนั้น
 
 ตัวตึกกะทัดรัดปลูกแบบทันสมัยและโปร่ง มีดาดฟ้าสี่เหลี่ยมยื่นออกมาทางด้านหน้าข้างตึกมีเรือนไม้ กระดานชั้นเดียวรูปร่างคล้ายห้องแถวสามห้องติดอยู่กับโรงรถ หน้าตึกมีสนามกลมหญ้าเขียวชอุ่ม ถนนโรยกรวดกว้าง ๔ ศอกวกไปเวียนมาหลายสาย หลวงธนสารกับภริยาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นอโศก อันมีกิ่งก้านสาขาใหญ่โตสามีชี้มือไปรอบบริเวณพูดว่า
 
 “บ้านนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากคนเฝ้าคนเดียว เห็นไหม หน้าต่างตึกปิดสนิท แต่ฉันหวังว่าวันหนึ่งหน้าต่างนั้นจะเปิดออกเพื่อรับแสงสว่างอันบริสุทธิ์และงดงามยิ่งกว่าดวงจันทร์ แสงสว่างซึ่งฉันจะพามาอยู่ด้วย
 
 ดวงหน้าของนิจแดงเรื่อขึ้น หล่อนยืนนิ่งมองดูตึกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้วพูดว่า
 
 “น่าสบายมากนะคะ”
 
 “จ้ะ” เขารับคำ “น่าอยู่ด้วย เธอพอใจไหมที่รัก?”
 
 หล่อนนิ่งไม่ตอบ แต่เขาอาจอ่านความคิดหล่อนออกจากสีหน้าอันยิ้มละไม เขาขยับเข้าไปยืนชิดหล่อนทางเบื้องหลัง ขณะนั้นลมพัดกระโชกมาโดยแรงจนตัวนิจโยก สามีอ้าแขนออกประคองไว้ ศีรษะของนิจอยู่เพียงหน้าอกอันยิ่งผายของเขา เขาก้มลงมองดูหล่อน และรู้สึกว่าร่างของหล่อนช่างแบบบางเสียนี่กระไร กระจ้อยร่อยและเบาจนลมพัดก็แทบจะปลิวไปตามลม มือที่จับเสื้อคลุมไว้นั้นก็เล็กนิดเดียว ดูช่างเล็กสมส่วนไปหมดทุกอย่าง ผู้หญิงแท้ ๆ อ้อนแอ้นอ่อนแอ แสนที่จะบาง กระทบของหนักก็คงแตกที่ไหนจะทนทานได้ น่าสงสาร น่าประคับประคอง มองดูร่างกายแล้วนึกถึงหัวใจของหล่อน คงกระจ้อยร่อยน่ารัก เออ! หัวใจอันเล็กนิดเดียวเท่านั้นช่างทนความบีบคั้นอยู่ได้ถึง ๖ เดือน นึกแล้วใจหาย แทบไม่เชื่อตัวเองว่าใจดำอำมหิตต่อเด็กหญิงคนนี้ได้ถึงปานนั้น ถ้าหากหัวใจอันน้อยนั้นมิได้ถูกหุ้มห่ออยู่ด้วยคุณธรรม ป่านฉะนี้เรื่องคงเป็นอื่น ที่ไหนเขาจะได้แก้วที่ได้ไว้แล้วและทิ้งเสียคืนมา ได้คืน! หลวงธนสารกล้าพอที่จะนึกถึงคำนี้ด้วยความอิ่มใจ เส้นผมอันละเอียดอ่อนของนิจปลิวขึ้นต้องหน้าผากเขา ทำให้หวนนึกถึงวันแต่งงาน เขาเป็นสามีของหล่อนถูกต้องตามกฎหมาย ต่อหน้าเทพยดาและต่อหน้ามนุษย์ จับตัวหล่อนให้หันมาทางเขาช้า ๆ เชยคางขึ้นมองดูตาอันหวานแฉล้ม แล้วก้มหน้าลงชิดหน้าหล่อนบรรจงจุมพิตเบาๆ อย่างถนอม ปากพึมพำว่า
 
 “ยอดรักของพี่คนเดียว”
 
 เขาพาภริยากลับมาส่งบ้าน นิจขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ทิ้งสามีไว้กับมารดาครู่ใหญ่จึงกลับมาหาเขา จูงมือบิดาเข้ามาด้วย เจ้าคุณสุรแสนถือกระดาษมาสองแผ่น ท่านส่งให้ลูกสาวแผ่นหนึ่ง อีกแผ่นหนึ่งให้กับลูกเขย กระดาษนั้นบรรจุข้อความที่หลวงธนสารหย่าขาดจากนิจผู้เป็นภริยา
 
 หลวงธนสารแทบเป็นลม หน้าซีดลงทันทีทันใด ตะลึงมองดูกระดาษที่ถืออยู่ในมือ เจ้าคุณสุรแสนจ้องดูเขาทุกอิริยาบถ ท่านพูดขึงขังน่ากลัว
 
 “เก็บไว้เป็นที่ระลึก”
 
 
 
 
- 
				
 ๑๔
 
 “เทียนในถาดนั้นครบ ๒๒ มัดแล้วหรือนิจ?”
 
 “๒๑ มัดเท่านั้นแหละค่ะ”
 
 “อ้าว! ต้อง ๒๒ ถึงจะถูก อายุเธอครบ ๒๑ ไม่ใช่หรือ? ธรรมเนียมทำบุญอายุเขาต้องทำเกินองค์หนึ่งเสมอ” พูดแล้วเฉลายกกระจาดเทียนเข้ามาใกล้ เรียงเทียนขี้ผึ้ง ๒๑ เล่มให้เป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วมัดด้วยด้ายขาว
 
 หล่อนกับนิจกำลังนั่งทำงานอยู่ที่นอกชานเรือนฝากระดานชั้นเดียวในบ้านใหม่ ที่จริงเรือนนี้มีไว้สำหรับให้คนใช้อยู่ แต่ยังคงมีห้องว่างที่แม่บ้านสาวใช้เก็บสัมภาระกระจุกกระจิกและอาศัยในเวลาทำงาน
 
 “นี่เป็นความรู้ใหม่” นิจพูดพลางหัวเราะ “เกิดมาเพิ่งเคยทำของทำบุญเองเป็นครั้งแรก ปีก่อนๆ คุณแม่ทำให้ทุกที และนิจไม่เคยสังเกตเลยว่าของนั้นมีจำนวนเกินอายุเสมอ ขันแท้ๆ”
 
 “เอ้าเสร็จแล้ว เธอเพิ่มใบชา หมาก พลู บุหรี่ และไม้ขีดไฟลงถาดอีกอย่างละหนึ่ง พี่จะมัดธูปให้ ส่งกรรไกรให้พี่ที”
 
 เมื่อจัดของลงในถาดแล้ว ก็ช่วยกันยกถาดเหล่านั้นไปแอบไว้ในห้อง หมากตัดเป็นระแง้เล็กๆ ระแง้ละ ๕ แผล กับพลูซึ่งอยู่ในซองและห่อยาจืดอยู่ในถาดหนึ่ง ไม้ขีดไฟห่อใหญ่กับบุหรี่ใบตองอ่อนอีกถาดหนึ่ง ธูปเทียนอยู่รวมกัน ใบชาอยู่ต่างหาก ๔ ถาดวางเรียงเป็นแถว
 
 “เสร็จกันที” นิจพูดพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วยืดตัวเหยียดแขนออก “แหมเมื่อยหลังจัง ถ้าหากพี่เฉลาไม่มาป่านนี้นิจคงนั่งอยู่คนเดียว”
 
 เฉลายกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วยิ้มอย่างตรึกตรอง หล่อนยังเป็นนางสาวเฉลา ชัยนคร อยู่อย่างเดิม เวลาสองปีทำให้หน้าของหล่อนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงสดชื่นและน่ารักตามเคย ถึงแม้ว่าแววตาของหล่อนจะไม่คมเฉียบอย่างแต่ก่อน เชื่องช้าลงและขรึม แต่ก็ยังเป็นแววตาของคนฉลาด มีความรู้หลักแหลม ช่างคิด ช่างตรอง
 
 “นี่กับข้าวและของหวานทำที่บ้านคุณอาหรือ?” เฉลาถาม
 
 “ค่ะ ทำที่นี่ไม่ไหว คนไม่พอ พรุ่งนี้คุณพ่อกับคุณแม่จะนำมาพร้อมกับตัวท่าน พี่เฉลาต้องมาด้วยนะคะ ย่ำรุ่งตรงถึงนี่”
 
 “จ้ะ พี่จะมา มาอนุโมทนากุศลและชมเชยความสุขของเธอ นั่งรอเวลาเช้าตรู่เป็นของโปรดของพี่ด้วย”
 
 “ความสุขที่เธอเป็นผู้อุปการะ” นิจต่อ กอดคอเฉลาไว้ “เอ๊ะ..ถึงเวลา…...คุณหลวงมาแล้ว ป่านนี้รถกำลังขึ้นสะพาน”
 
 “เอ๊ะ! เธอรู้ได้อย่างไร” เฉลาถามด้วยความพิศวง
 
 “รู้สิคะ” นิจตอบยิ้มละไมอย่างมั่นใจจริง ๆ “ไม่เชื่อก็คอยดูซี นิจทายถูกหรือไม่”
 
 เพียง ๓ นาที ภายหลังเท่านั้นมีรถแล่นเข้ามาในบ้านจริง ๆ เฉลาได้ยินเสียงประตูปิดดังปังใหญ่ พอสุดเสียงนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า “นี่คุณไปไหนล่ะ?”
 
 เฉลามองดูหน้าเพื่อน ซึ่งกำลังยิ้มอย่างผาสุก หล่อนก็พลอยยิ้มด้วยในความสุขของเพื่อน
 
 “แหม! ไฟฟ้าถึงกันแรงจริงนะ” หล่อนพูด “รถยังอยู่แค่สะพานอีกคนหนึ่งอยู่ในบ้านละรู้แล้วล่ะ นี่แสดงว่ากลับบ้านตรงเวลาเสมอไม่เคยชักช้าสักนาทีเดียวใช่ไหม?”
 
 นิจหัวเราะเบา ๆ อย่างอิ่มเอิบตอบว่า
 
 “ค่ะ โดยมากไม่ค่อยช้า นอกจากมีธุระอะไรจำเป็นมักโทรศัพท์มาบอกก่อน”
 
 ขณะนั้นเสียงฝีเท้าเดินโครมๆ อยู่บนตึกแสดงว่าผู้เดินๆ อย่างไม่ปรานีปราศรัย สักครู่หนึ่งเสียงรองเท้าแตะลงบันไดดังแฉะ ๆ สนั่น นิจกับเฉลานั่งลงห่อธูปกับเทียน แล้วรวบรวมของที่เหลือใช้ เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทุกที
 
 “อะฮา! คุณพี่ ผมไหว้ครับ คนที่มาใหม่พูดแกมหัวเราะ แล้วขึ้นบันได ๓ ขั้นมานั่งเท้าแขนพิงลูกกรง นิจหันไปยิ้มกับเขาอย่างหวานที่สุด เฉลาพูดว่า
 
 “เอาวางไว้นั่นแหละค่ะ”
 
 “อะไร?”
 
 “ไหว้น่ะซีคะ”
 
 “แหม! ดูถูกจริงคุณพี่นี่ เขาไหว้ทั้งทีไม่รับ วางทิ้งไว้ดื้อๆ ยังงั้นหรือ?”
 
 “ไม่รับไม่แร็บละ เอาแต่เพียงขอบใจเถอะ”
 
 “ใช้ได้-นี่ทำอะไรกันนี่?”
 
 “จัดของสำหรับใส่บาตรพรุ่งนี้ยังไงล่ะคะ” นิจตอบ
 
 “นี่จะมาทำลืมวันเกิดกันอีกละหรือ?” เฉลายั่ว
 
 “ลืมที่ไหนได้” ชายหนุ่มพูดอย่างเหย่อยิ่ง “ไปจ่ายตลาดมาด้วยกันนี่นา-แต่ฉันไม่เคยเห็นเธอทำของที่นี่นี่นิจ เห็นส่งไปที่บ้านเจ้าคุณทุกที”
 
 ก็เมื่อปีกลายนี้นิจทำไหวเมื่อไหร่ล่ะ” ภริยาสาวตอบ
 
 “อ้อ จริง! จริง! ลืมไป! เมื่อปีกลายนี้กำลังอ้วน”
 
 นิจหันไปค้อนให้ทีหนึ่ง เฉลาหัวเราะอย่างขบขันที่สุด
 
 “เออ! นี่หนูหายไปไหน?” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างตกอกตกใจ
 
 “ไปกับคุณย่าตั้งแต่เช้าค่ะ”
 
 “ป่านนี้ยังไม่กลับ? ตายละไปอยู่ทั้งวัน ประเดี๋ยวเอาอะไรต่ออะไรป้อนเข้าไปกลับมาท้องเสียแย่”
 
 “แหม! คุณพ่อ ช่างห่วงลูกจริงนะเหมือนกับใคร ๆ เขาไม่รู้จักภาษาอะไรยังงั้นแหละ”
 
 เฉลาว่าแล้วค้อนให้วงหนึ่ง “ดูราวกับตัวเคยเป็นพ่อแต่คนเดียว”
 
 “อ้าว คุณพี่ เคยโดนแล้วนี่นาถึงได้เป็นห่วง…...นี่เมื่อไรถึงจะกลับกันเสียที่ล่ะลูกเราน่ะ”
 
 ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับภริยา
 
 “เราต้องไปรับค่ะ” นิจตอบ “พาพี่เฉลาไปส่งบ้าน แล้วเลยไปรับหนู”
 
 รุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ พระอาทิตย์แรกขึ้นอากาศกำลังบริสุทธิ์และสดชื่น ดอกไม้กำลังหอม แมลงภู่กำลังสอดส่ายสุดเรณู นกกำลังออกจากรังโผผินบินไปมา เจ้าคุณสุรแสนสงครามกับคุณหญิงมาถึงที่อยู่ของบุตรี ลงจากรถตรงประตูใหญ่ ที่นั่นมีโต๊ะตั้งเตรียมอยู่พร้อมด้วยขันเชิงเงินใส่ข้าว ซึ่งกำลังร้อน ควันขึ้นฉุยกับของถวายสิ่งอื่น คุณหญิงเรียกคนใช้ให้ยกถาดกับข้าวและของหวานจากรถเอาลงมาตั้งบนโต๊ะ เจ้าคุณเดินตัดสนามไปที่หน้าตึก ยังไม่พบเจ้าของบ้าน อีกประเดี๋ยวหนึ่งเฉลาก็มาถึง ยืนคุยกับเจ้าคุณเป็นนาน นิจยังคงไม่ลงมา ในที่สุดเจ้าคุณอัดใจทนไม่ได้ เลยชวนเฉลาขึ้นไปข้างบน
 
 เสียงหัวเราะดังคิกคักอยู่ในห้องชั้นบนที่ติดกับบันไดนั่นเอง เจ้าคุณเลี้ยวเข้าไปในห้องนั้นจึงเห็นบุตรเขยของท่านนั่งยองๆ มือประคองเด็กขนาดขวบกว่า ๆ ไว้ในท่าให้เด็กยืน นิจกำลังพยายามจะใส่กระดุมเสื้อให้เด็กนั้น ซึ่งกำลังกระโดดขึ้นกระโดดลงและหัวเราะอยู่แก๊กๆ ข้างๆ คนทั้ง ๓ มีเสื้อตัวนิดๆ สีต่างๆ ทิ้งอยู่เรี่ยราด ชายหนุ่มเป็นคนเห็นเจ้าคุณก่อน เขาพูดว่า
 
 “แน่ะ หนูคุณตามาแล้ว เร็วๆ เข้า อย่าดิ้นไปซี แม่เขาใส่กระดุมไม่ติด”
 
 “ไม่เอาละ!” นิจร้องแล้วลุกขึ้นยืน “ผันแกไปจัดการไป๊”
 
 หล่อนวิ่งเข้าไปกราบและกอดบิดา เจ้าคุณจูบบุตรสาวพลางว่า
 
 “ขอให้เจ้ามีความสุขยิ่งๆ ขึ้นนะนิจ อายุมั่น ขวัญยืน อยู่กับสามีจนแก่จนเฒ่า”
 
 บุตรเขยของเจ้าคุณอุ้มบุตรเข้ามายืนตรงหน้า
 
 “หนู ขอรับผมคุณตาเสียที อ้าวอย่าดื้อวันนี้เป็นวันเกิดของแม่หนูต้องเป็นเด็กดี น่านยังงั้น”
 
 เจ้าคุณสุรแสนรับหลานมาจากบุตรเขย พ่อหนูสะบัดขาแรงแล้วหัวเราะ มือน้อยๆ คว้าผมอันหงอกขาวของเจ้าคุณเข้าไว้แน่น นิจหันไปหาเฉลา สองหญิงสวมกอดกัน เฉลาอวยชัยให้พรเสียยืดยาว ส่งห่อกระดาษสีชมภูอ่อนให้ วัตถุในห่อนั้นเป็นหีบกำมะหยี่สีน้ำเงิน เปิดหีบนั้นขึ้นจึงเห็นสายสร้อยเส้นเล็กนิดหนึ่ง มีพลอยสีโศกอยู่ในเรือนทองแขวนอยู่ด้วย นิจเอาสายสร้อยสวมคอแล้วกล่าวคำขอบใจอย่างอ่อนหวาน
 
 “ลงไปข้างล่างกันหรือยังล่ะ” เจ้าคุณเตือนขึ้น “ป่านนี้พระคงมาแล้ว มัวทำอะไรกันอยู่นะ เมื่อตะกี้ แขกมาถึงบ้านไม่เห็นมีใครรับ”
 
 “คุณหลวงแน่ค่ะ เกิดจะแต่งตัวลูกเองขึ้นมาละ เสื้อกี่ตัวๆ ไม่ถูกใจ เจาะจงจะให้ใส่อ้ายตัวสีชมพูที่ขาดน่ะแหละ”
 
 “ไม่ช่าย! ฉันเห็นว่าเธอเกิดในวันอังคารถึงอยาก ให้เจ้าหนูแต่งตัวสีชมภูเหมือนกับฉันยังไงล่ะ”
 
 เจ้าคุณสุรแสนส่งหลานให้กับบุตรสาวแล้วพากันกลับลงมาข้างล่าง นายวันผู้มีหน้าที่คอยนิมนต์พระ รายงานว่ายังไม่มีพระผ่านมาทางนี้สักองค์ จึงจับกลุ่มคุยกันเพื่อฆ่าเวลา
 
 “นี่หนูเมื่อไรจะมีชื่อเสียสักที?” เจ้าคุณสุรแสนถามขึ้น
 
 “ผมอยากจะให้ชื่อสมใจ แต่แม่เขาไม่ยอมเขาจะให้พี่เฉลาของเขาตั้งให้”
 
 “อยู่ดีๆ จะให้ชื่อสมใจ ซึ่งไม่มีจริงสักนิดนี่คะ นิจจะเล่าให้ฟังทุกคน เมื่อหนูเกิด พอรู้ว่าเป็นผู้ชาย คุณหลวงสะบัดหน้าแสดงความไม่พอใจเห็นโต้งๆ แล้ว จะให้ลูกชื่อสมใจถูกที่ไหนเป็นการหลอกเด็กเปล่าๆ”
 
 “เธอละก้อ! เดี๋ยวนี้มันสมใจฉันแล้วเพราะหน้าตามันเหมือนเธอราวกับแกะ” หันไปทางเจ้าคุณ “ผมอยากให้ลูกคนแรกเป็นผู้หญิงจะได้เอาไว้ดูแทนตัวนิจ เมื่อเราทั้งสองแก่เฒ่าลง ผมหวังว่าถ้าลูกหัวปีเป็นผู้หญิงคงมีนิสัยใจคอเหมือนแม่ไม่มีผิด พอเป็นที่ไว้ใจให้ดูแลน้องและเป็นตัวอย่างความประพฤติแก่น้องได้ในเวลาต่อไป แต่หนูดูเหมือนมันรู้ใจผม ยิ่งนานวันยิ่งเหมือนแม่มากขึ้น ดูซีครับตาหนูกับตานิจราวกับตาเดียวกัน ผิดแต่ที่แววเท่านั้น”
 
 คุณหญิงสุรแสนพอใจในคำพูดอันเป็นเชิงยกย่องบุตรีเป็นอันมาก พอจบลงท่านกล่าวว่า
 
 “ระวังนะเขาว่าหน้าตาของเด็กมักเปลี่ยนเสมอ เล็กๆ สวยโตขึ้นอาจขี้ริ้วก็ได้ ดูเด็กต้องดูเวลาเกิดใหม่ๆ เวลานั้นหน้าตาเหมือนใคร โตขึ้นมันจะเหมือนคนนั้น”
 
 “นิจออกจะให้เกียรติยศแก่ดิฉันเกินสมควร” เฉลาเรียนคุณหญิง “ถึงกับให้เป็นผู้ให้ชื่อกับลูกชายคนโต น่ากลัวพ่อของหนูจะอิจฉา”
 
 “ไม่มีเลย คุณพี่ เต็มใจที่สุด ชื่อที่คุณพี่ตั้งมาละก้อจะชอบทั้งนั้น ขอแต่ให้เร็วๆ เข้าเถอะ เจ้าหนูมันเกือบจะสองขวบอยู่แล้ว เมื่ออ้ายคำว่าหนูเต็มที่”
 
 “อะไรเกือบสองขวบ” คุณหญิงท้วง “เพิ่ง ๑๕ เดือนเท่านั้น
 
 “คุณพ่อท่านอยากให้ลูกของท่านเป็นหนุ่มเร็วๆ” เฉลาว่า
 
 “นั่นแน่ พระมาแล้ว!” ชายหนุ่มร้องขึ้น “เดินตามกันเป็นแถว ไปเร็วหนู ไปช่วยแม่ใส่บาตร”
 
 แสงแดดขึ้นมาเรื่อๆ ส่องลอดใบไม้มาตรงที่นิจยืนอยู่ พระภิกษุผู้มีหน้าอิ่มเอิบด้วยสีผ้าเหลืองจับ ยืนอุ้มบาตรอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงและผึ่งผาย ดวงหน้าสดชื่น ยืนอยู่ข้างภริยาตักข้าวและหยิบของรับประทานใส่ลงในบาตร สามีมือซ้ายอุ้มบุตรชาย มือขวาหยิบของไทยทานใส่ตามลงไปองค์ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม จนถึง ๒๒ องค์เป็นองค์ที่สุด นิจรับบุตรชายมาจากสามีแล้วจุมพิตแก้มเป็นพวงของพ่อหนู หลวงธนสารแสดงเหมือนยังเสียดายที่ได้อุ้มลูกไม่นานพอ เขยิบเข้าไปใกล้ก้มลงจุมพิตบุตรบ้าง ศีรษะทั้งสามชนชิดรวมกันอยู่ภายใต้แสงแดด อันเป็นวงกลมที่ถนนหน้าบ้าน สีเหลืองอ่อนของจีวรพระที่เดินเรียงกันเป็นแถวกำลังถูกแสงแดดจับเต็มที่ ความมันของฝาบาตรที่ทำด้วยทองเหลืองกำลังเป็นประกาย พระสงฆ์ ๒๒ รูปเดินสำรวมอิริยาบถตามกันไปช้าๆ ขึ้นสะพาน เฉลิมโลกลงทางถนนเพชรบุรี ภาพอันน่าเลื่อมใสบูชาก็ลับหายไป.
 
 จบ.