Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...

เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28 October 2025, 16:49:13

Title: นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11-12
Post by: ppsan on 28 October 2025, 16:49:13
นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11-12


๑๑

อีกครั้งหนึ่ง เฉลามาเยี่ยมเพื่อนรักถึงห้องนอน หล่อนตกใจมากที่เห็นนิจมีสีหน้าอันขาวซีด ขอบตาเขียวและจมูกก็แดง ทั้งใช้ผ้าไหมพรมผืนเบ้อเร่อพันคอไว้

“เป็นอะไรไปหรือนิจของพี่?” หล่อนถามพลางแก้ผ้าแพรดำสี่เหลี่ยมออกจากศีรษะ

“เป็นหวัดค่ะ ตั้งแต่ไปถูกฝนที่เขาตะเกียบมาแล้วก็เริ่มคัดจมูก พอเข้ากรุงเทพฯยิ่งเป็นมากใหญ่ลงคอเสียด้วย ไอเจ็บหน้าอกเหลือเกิน นั่งซีคะ พี่เฉลา”

​พิศดูหน้าเพื่อนครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไป “แหมเธออ้วนขึ้นจนผิดตา เมื่ออยู่ที่หัวหินเห็นกันทุกวัน นิจไม่ได้สังเกต เพิ่งเห็นวันนี้เอง”

“แต่ส่วนเธอตรงกันข้าม เวลาเพียง ๖ วัน เธอซูบซีดไปเยอะ อะไรที่ได้มาจากหัวหินน่ะไม่เหลืออยู่เลยเทียวหรือ?”

นิจสั่นศีรษะและยิ้มเศร้าๆ

“ไม่เหลือแม้แต่อย่างเดียว …...นั่งซีคะพี่เฉลา นั่งลงบนเตียงนั่นแหละ” แล้วหล่อนเองก็นั่งลงข้างๆ

เฉลามองดูหญิงสาวซึ่งหล่อนรักเหมือนน้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นโอบหลังหล่อนถามว่า

“มีอะไรร้ายกว่าเดิมไปอีกหรือ?”

“เปล่าค่ะ เหมือนเดิมนั่นแหละ เหมือนไม่ผิด” นิจตอบเสียงละห้อย “แต่นิจไม่ค่อยสบาย เส้นประสาท​ไม่ค่อยดี และใจอ่อนเหลือเกิน”

เวลาจวนค่ำ ในห้องที่สองสาวนั่งอยู่นั้นขมุกขมัวและเงียบสงัด นาน ๆ จึงได้ยินเสียงกาซึ่งจับอยู่ที่กิ่งมะขามข้างหน้าต่างร้องดังขึ้นสักหนหนึ่ง เฉลาถอนใจยาว ลุกเดินไปที่หน้าต่าง

“เปิดไฟหรือยังล่ะ?” หล่อนถาม

นิจค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ไอสองแค็กแล้วตอบว่า

“หมู่นี้นิจมีนิสัยชอบอยู่คนเดียว ในเวลาที่โพล้เพล้ ดูอะไรๆ มันมืดครึ้มและหม่นหมองทั้งเงียบสงัด สมกับฐานะของนิจ”

หล่อนเปิดไฟขึ้น แล้วกลับมานั่งที่เตียง เฉลาทำตามอย่าง มองไปยังห้องซึ่งติดกับห้องที่หล่อนนั่งอยู่ แล้วถามว่า

“นี่ไม่อยู่ซี?”

​“ค่ะ ไม่มีใครอยู่เลย เข้าวังกันหมด วันนี้เฉลิมพระชนมพรรษายังไงล่ะคะ”

“อ้อถูกละ พี่หลงไปได้นี่ คุณพ่อและพี่ๆ เข้าวังกันทุกคน... เมื่อคืนนี้เธอไปเที่ยวหรือเปล่า?”

“เปล่ะค่ะ นิจไม่สบายนี่คะ คุณหลวงเขาชวนเหมือนกัน แต่นิจรู้ดีว่าเขาจำเป็นจำใจทำตามหน้าที่ จึงปล่อยให้เขาไปกันตามลำพังพี่ๆ น้องๆ”

“วันนี้ล่ะ?”

“วันนี้ก็ตั้งใจจะอยู่บ้านเหมือนเมื่อคืนนี้ ส่วนคุณหลวงเขาทำโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว ตอนหัวค่ำจะพาเจ้าคุณและคุณหญิงไปเที่ยว ตกดึกจะไปรับน้องสาวที่บ้าน?”

“เขาบอกกับเธอรึ ว่าเขาทำโปรแกรมดังนั้น?”

​“เปล่าค่ะ แต่เขานัดกันต่อหน้านิจว่าให้ไปรับ ๒๓ นาฬิกา”

“และสามีเธอก็รับคำ?””

“แน่ละซีคะ เขาไม่เคยปฏิเสธอะไรเจ้าหล่อนเลย”

“แปลกแท้” เฉลาคิดในใจ “ช่างไม่รักเอาเสียเลยทีเดียวหรือ ถึงไม่รู้จักเกรงใจ เห็นท่าเมื่ออยู่หัวหิน เวลามองดูเมียก็บอกทนโท่นี่นาว่าไม่เกลียด ช่างไม่นึกเสียเลยว่าหัวใจของเด็กจะชอกช้ำเพียงไหน ในการที่ไปนัดแนะกันต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น ถ้าลับหลังก็พอทำเนา สันดานผู้ชายนี่เหมือนกันหมด คิดเห็นแต่ใจของตัวส่วนใจคนอื่นไม่นึกถึงบ้าง ช่างไม่เห็นบ้างเลยว่าเมียของแกน่ะดีแสนดี ไม่เคยแสดงกิริยาว่าหึงหวงสักนิด ถ้าเป็นอย่างคนอื่นป่านนี้ก็คงต้องขึ้นศาลกันแล้ว ผู้หญิงที่ไหนมีบ้างที่ไม่หึง ถึงผู้ชายก็เหมือนกัน หรืออีตาหนวดนี่​แกเป็นคนพิเศษไม่รู้จักหึง จึงไม่นึกถึงใจเมีย-เฮ้อ! ไม่มีละในโลกนี้ ผู้ชายยิ่งเจ้าชูยิ่งขี้หึง จะลองดีตาคนนี้สักทีเถอะ ว่าแกมีหัวใจเหมือนคนอื่นไหม” คิดแล้วดังนั้นหล่อนจึงพูดว่า

“พี่ไม่อยากจะพูดซ้ำเติมสามีเธอดอกนะ เพราะเกรงจะทำให้เธอช้ำใจยิ่งขึ้น แต่พี่เห็นว่าเขากำเริบเสิบสันขึ้นทุกวันตามที่เธอเล่าให้พี่ฟัง เห็นจะเป็นที่เธอทำใจดีต่อเขา เขานึกว่าเธอไม่มีหัวใจ ไม่รู้จักอิจฉาริษยา แม้ในคราวที่เธอมีสิทธิ พี่คิดว่าเธอควรจะทำให้เข็ดเสียบ้าง”

นิจยิ้มอย่างไม่เชื่อ

“ทำอย่างไรคะ?”

“ทำให้เขาอิจฉาเธอ”

“จะทำอย่างไรได้คะ คนที่จะอิจฉานั้นต้องมีความรัก เขาไม่รักนิจเลยเขาจะอิจฉาทำไม?”

​“ไม่จริงหรอกเธอ ผู้ชายเป็นเพศที่เห็นแก่ตัวเองเสมอ จะรักหรือไม่รัก มีสิทธิหรือไม่มี ถ้าขึ้นชื่อว่าเมียหรือคู่รักแล้วเป็นอิจฉาจนได้ ไม่เชื่อเธอคอยดูคุณหลวงของเธอซี”

“พี่เฉลาจะให้นิจทำอย่างไรคะ?”

“ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากไปเที่ยวดูงานเฉลิมสองคนกับพี่ แต่พี่จะเอารถของพี่ฉลาดไป เราไปกันสองคนเท่านั้น พี่จะขับรถเอง”

นิจทำหน้าตื่น “พี่เฉลาน่ะหรือจะขับรถเอง” หล่อนถามอย่างไม่เชื่อ

“พี่นะซี ก็พี่เคยขับนี่นา หรือเธอไม่รู้?”

“รู้ค่ะ เคยเห็นด้วย แต่งานเฉลิมนี้ทั้งรถทั้งคนจอแจนัก เดี๋ยวไปชนใครเขาเข้าละก็ตายละ แล้วเจ้าคุณท่านทราบมิถูกดุหรือคะ?”

“ไม่ดุหรอก ก่อนจะทำ เราอย่าให้ท่านรู้พอ ​พอแล้วไปแล้วจึงค่อยเล่าให้ท่านฟัง และหาวิธีเล่าให้สนุก ท่านคงลืมเอ็ด คุณพ่อตามใจพี่มากทีเดียวเดี๋ยวนี้เห็นจะเกิดจากไว้ใจ สำหรับที่เธอกลัวว่าจะเอารถไปชนเข้านั้น เราจะโง่ทำไมล่ะ เราอย่าไปที่ถนนมีคนมากซี เธอต้องไปอยู่ที่บ้านเจ้าคุณอาค่ำวันนี้ แล้วไล่รถกลับมาเสีย พอถึงเวลาพี่จะไปรับเธอ เราจะไม่ไปดูไฟที่ไหนเลยหาทางเงียบ ๆ ไปถึงหน้าวัดหัวลำโพงให้ได้เวลา ๕ ทุ่มพอดี”

“แล้วไปอยู่ที่บ้านเธอยังงั้นหรือคะ”

“ไม่ช่าย! หลวงธนสารเขาจะไปรับชิ้นของเขาเวลาห้าทุ่ม บ้านตาขุนขาหักแกอยู่ปากถนนบ้านพี่เอง เราไปให้ถึงตรงนั้น พอดีให้สามีของเธอเขาเห็นว่าเธออยู่ในรถของพี่ฉลาดกับใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้หญิง เข้าใจหรือยัง?”

ครั้นนัดแนะกันเป็นที่เข้าใจดีแล้ว เฉลาก็ลากลับ​ไป

คืนวันนั้น ขณะที่เจ้าคุณวิชัยและคุณหญิงสงวนแต่งตัวเสร็จแล้ว มาขึ้นรถที่จอดรออยู่ที่หน้าตึกหลวงธนสารกำลังทำหน้าที่คนขับรถ เขาประหลาดใจมากที่ได้เห็นภริยาของเขาลงมาเรียนกับคุณหญิงว่าขอให้ตาอาบขับรถพาหล่อนไปหาคุณพ่อ เขามองดูร่างซึ่งยืนอยู่ในเงารถ สังเกตเห็นว่าร่างกายอันแบบบางนั้นคลุมอยู่ด้วยเสื้อหนาวสีดำ คุณหญิงมารดาประหลาดใจไม่น้อยกว่าบุตรชาย แต่ท่านคงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตอย่างเสียไม่ได้

เขาพามารดาเที่ยวจนทั่วพระนครในเขตที่มีไฟตบแต่ง ราว ๒๒ น. ครึ่ง จึงพาท่านทั้งสองมาส่งบ้าน เขาเห็นตาอาบนอนเล่นอยู่กลางสนาม จึงเดินเปื่อยเข้าไปถามแกว่า “นิจ กลับมาแล้วหรือ?”

​“ยังขอรับ” ตาอาบตอบพลางลุกขึ้นนั่ง “เธอไล่ให้ผมเอารถกลับมา ผมมาถึงเมื่อครู่นี้เอง”

หลวงธนสารนิ่งตรองอยู่สักครู่แล้วถามว่า

“แกรู้ไหมเธอจะกลับอย่างไร?”

“ไม่ทราบขอรับ เมื่อไปถึงเจ้าคุณกับคุณหญิงก็ไม่อยู่ ไปเที่ยวเหมือนกัน แม้เมื่อผมกลับมาท่านก็ยังไมกลับ”

“เอ๊ะ!” หลวงธนสารอุทาน “เจ้าคุณกับคุณหญิงไม่อยู่ เขาไปอยู่ทำไมจนป่านนี้ แกจะเข้าใจผิดไปกระมัง? บางทีท่านจะกลับแล้วโดยที่แกไม่รู้”

“ทราบสิขอรับ ผมอยู่ที่หน้ามุขตลอดเวลา มีรถเข้ามาในบ้านคันหนึ่งเท่านั้น เป็นรถเฟียตตอนเดียวสีดำ คนที่นั่งอยู่บนรถขับเอง นั่งมาคนเดียว พอรถคันนั้นมาถึง คุณก็ไล่ให้ผมกลับบ้าน”

​หลวงธนสารขบกรามแน่น ก่อนที่จะถามว่า

“คนที่มารถนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

“ผมไม่เห็นหน้าถนัดหรอกครับ เห็นแต่ใส่เสื้อยาวๆ คล้ายๆ เสื้อของคุณ และไม่มีมวย”

“ผู้หญิงสมัยนี้เขาตัดผมข้างหลังเกรียนกันทั้งนั้น” หลวงธนสารพูดลอยๆ คล้ายพยายามจะหลอกใจตัวเอง ครั้นรู้สึกตัวจึงเสพูดว่า

“แกไม่พาลูกพาเมียไปดูไฟกับเขาบ้างดอกหรือ ตาอาบ?”

“ไม่ไปละขอรับ ผมเบื่อเสียแล้ว เห็นทุกๆ ปีเหมือนกัน แจ่มเขาไปกับเด็กๆ ก็ได้”

หลวงธนสารเดินทอดน่องมาขึ้นรถ ในใจให้กระอักกระอ่วนกังวล ใจหนึ่งอยากจะไปบ้านพ่อตาเพื่อดูว่าภริยาอยู่กับใคร ส่วนอีกใจหนึ่งเป็นห่วงหญิง​ที่ตนรัก กลัวจะผิดนัดเสียสัญญา ดังได้กล่าวแล้วว่า หลวงธนสารเป็นคนรักคำพูด เขามีวิธีรักษาสัตย์ตามใจของเขาเองอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นจึงหักใจเรื่องภริยาเสียได้ และขับรถแล่นผ่านถนนสาธรมาโดยเร็ว ขึ้นสะพานลงถนนคอนแวนต์และออกศาลาแดง ตรงไปหัวลำโพง ใกล้ๆ กับวัด มีสะพานไม้ขนาดพอดีรถยนต์ขึ้นได้สะพานหนึ่ง สำหรับข้ามคลอง ที่ปลายสะพานคนละฝั่งกับถนน คือบ้านแม่รัศมีของเขา เวลานั้นยังไม่ถึง ๒๓ นาฬิกา หลวงธนสารจอดรถชิดกับรางรถแล้วบีบแตรขึ้นสองที

ในถนนที่เขาจอดอยู่นั้นค่อนข้างเงียบ ผิดกับถนนพระราม ๔ ซึ่งแลเห็นอยู่ตรงหน้า ห่างไกลหันไปทางขวามือ แลเห็นหลังคาสถานีหัวลำโพง ซึ่งไฟสีน้ำเงินและสีแดงส่องจับเป็นเงาสว่างไสว เขามองดู​นาฬิกาข้อมือ เห็นเวลา ๒๓ นาฬิกาตรง ก็ได้ยินเสียงรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้ เขาหันหน้าไปดูและสะดุ้ง เมื่อเห็นรถนั้นมีหน้าหม้ออย่างรถเฟียตและสีดำ รถคันนั้นค่อย ๆ แล่นผ่านเขาไปช้าๆ ช้าพอที่เขาจะจำเสื้อคลุมกำมะหยี่ดำของภริยาได้ กับเห็นร่างของคนที่ใส่เสื้อหนาวอย่างผู้ชาย และไม่มีมวยได้ ครั้นผ่านเขาไปแล้วก็ชะลอเครื่อง ในที่สุดก็หยุดที่ข้างหน้าเขาห่างกัน เพียง ๑๐ กว่าวา

หลวงธนสารหน้ามืด กำมือแน่น ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี นอกจากจ้องตาไปข้างหน้าเห็นศีรษะของภริยาโคลงไปมา แสดงว่าหล่อนกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเจ้าคน ‘ไม่มีมวย’ เขากำลังครุ่นคิดว่าเคยเห็นใครนั่งรถคันนี้ ก็เห็นเจ้าคนไม่มีมวยนั้นลงจากรถเดินไปเปิดดูเครื่อง ความคิดบ้าๆ เกิดขึ้นในสมอง เขาเปิดประตูรถของเขาเอง กระโดดลงเดินพรวดๆ เข้า​ไปที่รถเฟียต ภริยาของเขากำลังมองดูเพื่อนเดินทางของหล่อน ซึ่งกำลังก้มหน้าอยู่ เขามิรั้งรอ ตรงเข้าจับแขนหล่อนบีบโดยแรง

“ว้าย!” นิจร้อง “ใครนี่? ตาย อีตาบ้า! พี่เฉลาช่วยด้วย ผู้ร้ายมันจะฉุดนิจ”

“พี่เฉลา!” หลวงธนสารคำราม “เฉลาหรือฉลาด! จำผัวไม่ได้จริงหรือถึงต้องร้องให้คนอื่นช่วย นึกว่าใครเขาไม่รู้เท่า!”

นิจสะบัดแขนเต็มแรง หลุดจากกำมือของสามี หลวงธนสารฉวยแขนเสื้อไว้จึงถอดเสื้อเสียโดยเร็ว ลงไปยืนอยู่ข้างเพื่อนเดินทาง

‘เจ้าคนไม่มีมวย’ ดูไม่ค่อยตกอกตกใจนัก มือซ้ายโอบหลังนิจไว้ มือขวายกไฟซึ่งกำลังฉายเครื่องรถ ฉายตรงไปที่หน้าของชายหนุ่ม แล้วอุทานดังพร้อมกับลดไฟลง

​“หลวงธนสาร!”

ผู้ถูกกล่าวนามสะดุ้ง เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิงแท้ๆ มีกังวานแสดงความประหลาดใจเต็มที่

“ตายละวา ผิดเสียแล้ว! คุณเฉลานั่นเอง” เขารำพึงพลางพิศดูเจ้าคน ‘ไม่มีมวย’ แต่นิสัยชายหนุ่มโดยมาก เมื่อทำการพลั้งพลาดแต่เพียงเล็กน้อย ครั้นรู้สึกตัวแทนที่จะหยุดไว้เพียงแค่นั้นกลับปล่อยให้เลยตามเลยและซ้ำส่งให้มากยิ่งขึ้น นิสัยพรรค์นี้มีอยู่ในสันดานของคน ‘ดันข้าง’ ดังที่ผู้ใหญ่ของเราเคยเรียกกัน สามีของนิจเป็นคนหนึ่งในจำพวกนั้น แทนที่เขาจะเปิดหมวกออกและกล่าวคำขอโทษ เขากลับแสดงความฉุนเฉียวยิ่งขึ้นเพื่อกลบความอายและพูดว่า

“เห็นดีอย่างไรที่มาเที่ยวตามลำพังในเวลาดึกดื่นป่านนี้ กลับบ้าน ไปขึ้นรถฉัน”

​นิจยืนนิ่ง เฉลาอมยิ้ม พูดโดยไม่อ้าปาก แต่พอให้นิจได้ยิน

“ไปกับเขาไป๊!”

นิจก้าวเท้าออกเดินตามคำสั่ง แต่หล่อนเดินไม่เร็วพอทันใจของสามี เขาเดินอ้อมรถเข้ามา จับ แขนหล่อนโดยแรงเกือบเหมือนฉุด พาหล่อนไปขึ้นรถของเขา ทิ้งเฉลาให้ยืนหัวเราะอยู่คนเดียว

หลวงธนสารลืมนึกถึงอะไรหมดในโลก นอกจากความห้าแต้มที่ตัวได้ทำไปแล้ว แม้แต่แม่รัศมีซึ่งกำลังเดินมาบนสะพานเขาก็ทำไม่เห็นเสียได้ เดินเครื่องและออกรถโดยแรง จนหน้าของนิจซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เกือบไปปะทะกับกระจกเข้า แล้วกลับรถแล่นไปตามถนนโดยเร็ว ครั้นถึงเสาไฟฟ้าตรงปลายสะพาน แทนที่จะเลี้ยวขึ้นสะพานนั้นอันเป็นหนทางไปบ้าน เขากลับเลี้ยว​ซ้ายไปตามถนนราชดำริ และขับรถแล่นไป-แล่นไปจนไม่ทราบว่าเลี้ยวถนนไหนบ้าง ขณะนั้นมีลมพัดแรง พายุฝนตั้งมาข้างหน้าฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ นิจรู้สึกความหนาวเย็นปะทะหน้าอกที่ไม่มีอะไรปกคลุม นอกจากผ้าพันคอเสว็ตเตอร์แพรผืนเล็ก รถยิ่งแล่นเร็ว ความเย็นยิ่งจัดขึ้น หลวงธนสารดูเหมือนไม่มีความรู้สึกต่อความหนาวนั้น เขาคงปล่อยให้รถแล่นไปเร็วเต็มกำลัง มือที่ถือพวงมาลัยยิ่งบีบแน่นเข้า ส่วนภริยาเอามือกุมหน้าอกอันเย็นเฉียบไว้แน่น สุดกำลังที่จะทนความหนาว จึงพูดกับเขาเปรย ๆ อย่างขลาดและอ่อนโยนว่า

“เบาๆ หน่อยเถอะค่ะ หนาวเหลือเกิน นิจลืมเสื้อคลุมไว้ในรถพี่เฉลา”

“เบารึ?- อย่าเลย” ความคลุ้มคลั่งอันเกิดจากความอายและความโกรธครอบงำความรู้สึกผิดชอบ​ของชายหนุ่มเสียสิ้น วี้ด! เสียงอากาศกระทบกับกระจกโดยแรง เขาได้ยินนิจครางเบาๆว่า “โอย! หนาวจริง เย็นเหลือเกิน” แต่เขาไม่พรั่น คงพารถแล่นไปโดยเร็วดังลมพัด วกไปเวียนมาตามถนนต่างๆ ซึ่งเงียบและปราศจากผู้คน จนความบ้าในสมองบรรเทาลง หลวงธนสารจึงพารถกลับบ้าน

นิจไม่รู้สึกว่า รถแล่นเข้าบ้านเมื่อไรหล่อนลงจากรถ ขึ้นเรือน และเข้าไปอยู่ในมุ้งได้โดยวิธีใด ร่างกายอ่อนเพลียเพราะเป็นหวัดอยู่แล้วตั้งอาทิตย์ ไม่มีกำลังพอต้านทานกับความเย็นอันดุร้ายได้

รุ่งขึ้นอีกสองวัน เฉลามาหานิจ ในใจให้รู้สึกสนุกสนานล่วงหน้า เพราะคาดว่าจะได้ฟังข่าวดี อย่างไม่มีอะไรเลย กิริยาท่าทางอย่างวิกลจริตของหลวงธนสาร ก็พอจะทำให้หล่อนหัวเราะไปได้หลายชั่วโมง ​แต่การคาดคะเนของหล่อนผิดถนัด ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง หล่อนพบยายเพียรพี่เลี้ยงของนิจที่เชิงบันได ดวงหน้าอันเหี่ยวแห้งของแกแห้งยิ่งกว่าวันใดๆ ที่เฉลาเคยเห็น ขอบตาอันบางของแกนั้นบวมและแดง พอแกเห็นเฉลา แกทรุดนั่งไหว้และสะอื้นดังฮั่ก ๆ จนเฉลาตกใจ

“เป็นอะไรไปหรือ ป้าเพียร” เฉลาถามชะโงกหน้าเข้ามาหาแก “ถูกคุณหนูเอ็ดเอาหรือ?”

ยายเพียรยกชายผ้าห่มเช็ดน้ำตา ปากอันดำด้วยหมากของแกเบ้ไปเบ้มาอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกได้

“เปล่าหรอกค่ะ แต่เธอคลั่งไปแล้ว พูดจาเพ้อเจ้อ จำดิฉันก็ไม่ได้”

เฉลาหน้าซีด ผละจากยายเพียรขึ้นบันไดโดยเร็ว พอโผล่เข้าห้องหล่อนก็ใจหายวาบ นิจนั่งอยู่บนเตียง​โยกไปโยกมา หน้าขาวซีดราวกับกระดาษตาแดงก่ำ ริมฝีปากที่กำลังขมุบขมิบอยู่นั้นก็แดงจัดกว่าปกติ เฉลาตรงเข้าประคองเพื่อนให้นอนลง แล้วเอามือคลำศีรษะ รู้สึกว่าร้อนจัดดังกับไฟ หล่อนคลี่ผ้าห่มออกคลุมให้ นิจปล่อยให้หล่อนทำโดยดี ดวงตายังคงลืมโพลงและไม่แสดงว่าจำเฉลาได้ เฉลาสงสารเพื่อนจนน้ำตาไหล นิ่งคิดไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป แล้วนึกถึงยายเพียรขึ้นมาได้จึงโผล่ประตูออกไปดู เห็นแกนั่งสะอึกสะอื้นอยู่เช่นเดิม ก็เรียกแกขึ้นไปข้างบน

“ไหนเล่าไปถีป้าเพียร มันเป็นอย่างไรกัน นี่นิจเจ็บมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยาหยูกก็ไม่เห็นมี?”

“เจ็บตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ดิฉันมาถึงเห็นเธอนอนอยู่บนเตียง ดิฉันเข้าไปจับเท้าเธอ เธอหันมามองดูตาเป๋ง แล้วร้องว่า ‘โอย! หนาวจริง เย็นเหลือเกิน’ ​ดิฉันตกใจ ถามเธอว่าเป็นอะไร เธอกลับผลักไหล่ดิฉัน บ่นอยู่คำเดียวแต่ว่า ‘หนาว! หนาว!’ ดิฉันตกใจเลยวิ่งลงไปข้างล่าง พอดีพบกับคุณ”

“เมื่อป้าเข้ามา เธออยู่คนเดียวหรือ? ละไมไปไหนเสียล่ะ”

“ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ ดิฉันมาถึงเห็นเธอนอนอยู่คนเดียว”

เฉลานิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า

“นี่แน่ะป้าเพียร หยุดร้องไห้เสียที คุณหนูไม่ได้เป็นบ้าคลั่งอะไรหรอก เป็นไข้เท่านั้น บ้าไปข้างหลังตึกนะ ถามคนใช้ดูว่าละไมอยู่ที่ไหน แล้วบอกให้เขามานี่ บอกว่าคุณนิจเรียก แล้วอย่าทำเอะอะไปล่ะ”

นมเพียรไปแล้ว เฉลากลับไปที่เตียง นิจกำลังพลิกตัวและดิ้นรนคล้ายกับกำลังต่อสู้กับอะไรสิ่งหนึ่ง ​เฉลาจับหน้าผากหล่อนเบาๆ แล้วเรียกชื่อด้วยเสียงอันอ่อนโยน นิจมองดูหน้าเฉลานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไอโดยแรงจนตัวพัดไปมา พอหยุดไอก็พึมพำว่า

“อุ๊ย หนาวจริง!”

เฉลากัดริมฝีปากโดยแรง เพื่อกลั้นน้ำตาค่อย ๆ ลูบศีรษะและร่างกายของคนไข้ และพูดปลอบโยนด้วยคำอ่อนหวาน ความสัมผัสอันนิ่มนวล และเสียงอันเต็มไปด้วยความปรานี ทำให้คนไข้สงบกระสับกระส่ายลงบ้าง นิจถอนใจแรงแล้วหลับตาลง

นมเพียรกลับมาพร้อมด้วยละไม นางคนใช้ทำท่าตื่นๆ เฉลายกมือเป็นเครื่องหมายให้เงียบ แล้วพาคนทั้งสองไปนั่งที่บันได

“ละไม” เฉลาตั้งปัญหา “คุณของแกเป็นอย่างนี้มาแต่เมื่อไร?”

​“เพิ่งเป็นวันนี้เองเจ้าค่ะ”

“เมื่อวานนี้ไม่เป็นอะไรเลยหรือ?”

“เป็นเหมือนกันเจ้าค่ะ เมื่อวานนี้ตอนเช้า เธอบ่นว่าปวดศีรษะและเจ็บที่หน้าอก เธอให้ดิฉันไปเรียนคุณหญิงว่า เธอไม่รับประทานอาหาร เพราะเธอไม่สบาย ดิฉันนำน้ำชาฝรั่งมาให้เธอถ้วยหนึ่ง เธอรับประทานเข้าไปอีกเดียว แล้วก็บอกว่ารับประทานไม่เข้า ตอนกลางวันก็ไม่ได้รับประทานอาหาร ตอนเย็นก็เหมือนกัน คุณหญิงสั่งให้ดิฉันนำอาหารขึ้นมาให้บนนี้ ดิฉันเอาข้าวสวยกับแกงส้มมา เธอกลับไล่ให้เอาลงไปเสีย เธอนอนคลุมผ้าอยู่นิ่งๆทั้งวัน ครั้นเช้าวันนี้ดิฉันขึ้นมาเห็นเธอกำลังเพ้ออยู่”

“แล้วแกไปบอกใครหรือเปล่า?”

“บอกเจ้าค่ะ บอกแม่ผันแม่ครัวกับนายแปลก”

​“ดี” เฉลาประชด “ไปบอกทำไมยายคนครัว ทำไมถึงไม่เรียนคุณหญิง?”

ละไมอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง

“ดิฉัน...ดิฉัน ง่า...กลัวท่านเจ้าค่ะ”

“กลัวทำไม แกทำอะไรผิดหรือ ถึงจะต้องกลัว กะอีจะเรียนว่านายของตัวเจ็บก็ต้องกลัวด้วยหรือ?”

“เพราะเมื่อดิฉันไปเรียนท่านว่า คุณไม่สบายเมื่อตอนเช้าวานนี้ ใครๆ ก็อยู่ที่นั่น เจ้าคุณก็อยู่ คุณหลวงก็อยู่ คุณรัศมีก็อยู่ด้วย คุณหญิงท่านกลับว่า ‘สมน้ำหน้า ขึ้นรถเที่ยวตามหึงผัวจนเจ็บ’ ดิฉันอายแทนคุณเจ้าคะ และวันนี้คุณหญิงก็มีแขกทั้งวัน”

เฉลารู้สึกตัวร้อนซ่าด้วยความโกรธ ความโหดร้ายชนิดนี้แรงมาก-แรงมากจนเกือบเหลือเชื่อ เพราะฉะนั้นหล่อนจึงซักต่อไป โดยหวังว่าจะได้ฟังเสียงที่ดีกว่านี้

​“แกว่า เวลาที่แกไปเรียนคุณหญิง คุณหลวงอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ ท่านไม่ได้ถามแกหรือ ว่าคุณนิจมีอาการเป็นอย่างไร?”

“คุณหลวงหรือเจ้าคะ ไม่ได้ถามเจ้าค่ะ”

“มาเยี่ยมหรือเปล่า?”

“ยังไรไม่ทราบเวลาดิฉันอยู่ไม่เห็นมา”

เฉลาหัวเราะอย่างขมขื่น มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วทำความตกลงใจในขณะนั้นเอง หล่อนหันไปมองดูนิจ เห็นยังนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

“ละไมแกอย่าไปจากห้องนี้ ต้องเฝ้าคุณของแกอยู่ที่นี่ คุณของแกเจ็บมากรู้ไหม? คอยระวังอย่าให้ออกจากห้อง และให้ห่มผ้าไว้เสมอประเดี๋ยวฉันจะกลับมา ป้าเพียรไปด้วยกัน ฉันจะพาไปส่งบ้าน”




Title: Re: นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11-12
Post by: ppsan on 28 October 2025, 16:50:17

๑๒

พระยาวิชัยกลับจากกระทรวงอาบน้ำแล้วก็เข้าห้องรับแขก สีซอ สีไปยังไม่ทันถึงครึ่งเพลงคนใช้เข้ามาแจ้งว่าเจ้าคุณสุรแสนมา

“ไปเรียนคุณหญิงไป๊” เจ้าคุณสั่งโดยที่ไม่อยากจะวางซอ แต่ขณะที่หันไปพูดกับคนใช้นั้นเอง จึงเห็นว่าเจ้าคุณสุรแสนยืนอยู่ในห้องนั้นแล้ว

ท่านนายพลผู้เฒ่ามีสีหน้าอันบึ้งตึง ก้มศีรษะลงคำนับเจ้าของบ้านอย่างมีพิธีรีตรอง แล้วเอ่ยขึ้น

​“ผมจะมารับนิจไปบ้าน”

พระยาวิชัยยิ้มแล้วถามว่า

“มีงานอะไรกันหรือขอรับ”

เจ้าคุณสุรแสนยิ้มอย่างแค้น “มิได้ แต่ลูกของผมมันเจ็บมาก”

“อ้อ ยังงั้นหรือครับ?” เป็นคำตอบอย่างซื่อ เท่ากับกวนโทโส

“โปรดพาผมไปห้องนังเด็กเคราะห์ร้ายนั่นที”

“เจ้าคุณวิชัยขมีขมันพาแขกของท่านออกจากห้องรับแขกขึ้นบันไดไปยังห้องบุตรชาย เจอะประตูขัดกลอนเข้าถนัดท่านทำท่าเปิ่นๆ หัวเราะแหะๆ บอกว่าขึ้นผิดทางเสียแล้ว ย้อนกลับลงมาข้างล่างเข้าห้องรับแขกทะลุออกข้างหลังจึงพาเจ้าคุณสุรแสนไปถึงห้องลูกสะใภ้ได้

เค้าหน้าของบิดาเมื่อเห็นบุตรีสุดสวาทนอนอยู่บน​เตียง มีคนใช้หน้าเซ่อนั่งเฝ้าอยู่คนเดียวเท่านั้น เหลือวิสัยที่จะบรรยายให้ถูกต้องได้ท่านค่อย ๆ เดินหย่งด้วยฝีเท้าอันเบา จนไม่น่าเชื่อว่า ชายร่างผึ่งผายและขึงขังนั้นจะทำได้ เข้าไปถึงหน้าเตียง มือยาวใหญ่และล่ำสัน แตะหน้าผากของคนเจ็บแล้วก้มลงจุมพิต กิริยาอันเต็มไปด้วยความรักของท่านผู้มีรูปร่างใหญ่โตนี้ น่าดูยิ่งนัก ครั้นแล้ว ประดุจประสาทของนิจได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะการจุมพิตอันร้อนผ่าว นิจลืมตาอันแดงขึ้น ริมฝีปากเผยอแล้วกลับหุบลงพร้อมกับถอนใจยาว

เจ้าคุณสุรแสนช้อนร่างของธิดาขึ้นแล้ว โดยไม่ปริปากว่ากระไร ท่านอุ้มร่างอันเบาของหล่อนผ่านเจ้าของบ้านลงบันไดโดยง่าย ผ้าห่มหนาและใหญ่เตรียมมาในรถ เฉลาก็มาด้วย เจ้าคุณห้ามภริยาไว้เด็ดขาดไม่ยอมให้มา เพราะกลัวจะมาแสดงอาการใจเสาะขึ้นใน​บ้านของผู้ที่ท่านถือว่าเป็นศัตรูแต่นี้ไป

วันนั้นหลวงธนสารกลับมาถึงบ้าน พอขึ้นตึกได้ยินเสียงมารดาเทศน์บิดาเสียงขรม เขาไม่เอาใจใส่ เพราะเคยชินการที่เจ้าคุณจะถูกเอ็ดนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าเด็กหกล้ม เพียงแต่ทำถ้วยแก้วแตกใบเดียวก็ถูกเอ็ดได้ เพราะฉะนั้นบุตรชายจึงอาบน้ำและแต่งตัวตามสบายจนเสร็จ เตรียมพร้อมที่จะออกจากบ้านไปหาคู่รัก เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อคนใช้มาบอกว่า ‘คุณหญิงให้หา’

“นั่นแน่ะ พ่อตัวดี” คุณหญิงเปิดฉากในวินาทีแรกที่บุตรชายเดินเข้ามาหา “มัวไปไหนเสียพ่อตาเขามาพาเมียไปแล้ว”

“ผมกลับมาจากกระทรวงก็มานี่” บุตรชาย​ตอบเสียงแข็ง “พ่อเขามารับลูกของเขาก็ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับผมนี่”

“ฉันกลัวมันจะเกี่ยวนะซิ ถึงได้บอกประเดี๋ยวจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเสียชื่อกันไปหมด”

“เอ๊ะ! มันมีเรื่องอะไรถึงจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ผมไม่เคยไปฉ้อโกงใครสักที”

“ถูกละ แต่พ่อตาของแกนะไม่ใช่เล่น ถ้าเขาฟ้องร้องขึ้นจะว่าอย่างไร?

“อะไรกันครับคุณแม่ พูดกันมาเป็นนานยังไม่รู้เรื่อง ผมไปทำผิดอะไร เจ้าคุณสุรแสนถึงจะไปฟ้อง”

“ถึงไม่ได้ทำก็เถอะ แต่ผู้หญิงน่ะเขาเป็นเมียของเจ้า เดี๋ยวนี้เขาว่าลูกสาวเขาเจ็บนัก คงจะหาว่าเราไม่ช่วยดูช่วยแล เขามารับลูกของเขาไปแล้ว อ้ายมีเมีย​ผู้ดีละมันเป็นอย่างนี้ละนา พ่อแม่ถนอมทูนหัวทูนเกล้า เป็นอะไรนิดหน่อยก็จะตายขึ้นมาทีเดียว ถ้าเป็นนังรัศมีป่านนี้แต่งตัวไปเที่ยวได้สบาย”

บุตรชายมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วเอาหมวกที่ถืออยู่สวมศีรษะ

“ผมไม่เห็นว่าคุณแม่จะต้องร้อนใจอะไร เมื่อคุณแม่รู้อยู่แก่ใจว่าเด็กนั่นไม่เป็นอะไรมาก เขาอยากเอะอะกันไปเองก็ตามใจเขาปะไร ดีเสียอีกเราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” พูดแล้วก็ออกจากห้องไป

กลางคืนเขากลับจากเที่ยวแล้ว ก็นอนหลับเป็นปรกติสุข และฝันดีตลอดคืน ฝันถึงดวงหน้าอันเก๋ดวงตาอันคมและเต็มไปด้วยเสน่ห์ ฝันถึงจริตอันยั่วยวน​ของผู้หญิงที่เขารัก ปรารถนาจะได้ชื่อว่าเป็นสามี ต่อรุ่งเช้าเมื่อตอนจะแต่งตัวไปทำงาน เขาเห็นดอกกุหลาบในแจกันที่บนโต๊ะหนังสือเหี่ยวแห้ง กลีบร่วงอยู่เกลื่อนกลาด และเสื้อชั้นนอกที่จะใส่ก็มีกระเป๋าอันติดกรังอยู่กับตัวเสื้อ ทั้งของใช้ที่อยู่ในกระเป๋าส่วนล่างก็ไม่ครบสิ่ง เขาจึงหวนนึกถึงภริยาผู้เคยทำหน้าที่นี้อย่างเรียบร้อย และออกสงสัยว่าอาการของหล่อนจะเป็นอย่างไร ตอนกลางวันระหว่างที่เขาทำงาน ได้รับโทรศัพท์เจ้าคุณสุรแสนสั่งว่าเลิกงานแล้ว ให้แวะไปหาท่านที่บ้าน เขาออกรู้สึกหงุดหงิดใจและหวั่น ๆ เกรงว่าจะได้รับความไม่พอใจจากบ้านนั้น อย่างไรก็ดีเขาคงทำตามคำสั่ง พอออกจากที่ทำงานก็ตรงไปถนนเพลินจิต

เจ้าคุณพ่อกำลังคอยเขาอยู่ในห้องรับแขก พอเขาโผล่เข้าไปยังไม่ทันทำความเคารพท่านส่งกระดาษขาว​ให้เขาแผ่นหนึ่ง พร้อมกับพูดเรียบ ๆ ว่า

“เอ้า! เซ็นชื่อเสีย แล้วอโหสิเวรอโหสิกรรมกันที”

หลวงธนสารรับกระดาษจากมือท่านมาถือไว้ มองดูหน้าอันเคร่งเครียดของท่านนิดหนึ่ง แล้วจึงมองดูตัวหนังสือ พออ่านได้ความว่าหนังสือนั้นเป็นหนังสือที่ถ้าเขาเซ็นลงไปแล้วจะทำให้เขาขาดจากเป็นสามีของนิจตามกฎหมาย หลวงธนสารรู้สึกว่าโทสะวิ่งขึ้นสู่สมอง เตรียมพร้อมที่จะหลุดออกจากปาก เป็นคำสบถสบานอย่างแรง แต่บุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า เป็นผู้มีอาวุโสกว่าเขา ด้วยวัยด้วยเกียรติยศ และด้วยเกียรติคุณเขาคงพูดแต่เพียงว่า

“ผมต้องขอคำอธิบายก่อนที่จะเซ็นนามลงในหนังสือนี้”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความถือดี ทำให้ดวงหน้า​ของเจ้าคุณสุรแสนแดงขึ้น ท่านนิ่งอึดอยู่นาน และเจริญพระพุทธคุณในใจ เพื่อดับโทสะอันวิ่งพล่านอยู่ในสมอง ข่มสติให้เป็นปกติแล้วพูดว่า

“คำอธิบายมีสั้นนิดเดียว ถ้าคุณเป็นอิสระเสีย ลูกของฉันมันจะได้ไม่ต้องถูกแช่งชักหักกระดูกอีก”

“ใต้เท้าหมายความว่ากระไรครับ?” เสียงของเขากระด้าง เขาจ้องตาเจ้าคุณเขม็ง

โทสะซึ่งบังคับไว้ไม่ได้สนิทเมื่อสักครู่นี้พองตัวเต็มที่และดิ้นรนอย่างแรง เจ้าคุณสุรแสนหัวเราะดังลั่นออกมา และพูดเกือบเป็นเสียงตะโกน

“หมายความว่ากระไร! คุณถามว่าอย่างนั้นหรือ? ชะๆ ยังมาตีโวหารถาม จะหมายความว่าอย่างไร นอกจากนิจเป็นไข้หนัก ปอดมันบวมอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ ฉันเป็นพ่อของมันอยากให้มันตาย​โดยสะดวก ตายโดยไม่ต้องมีใครแช่งชักหักระดูก เหอ! เหอ! ใครจะรู้ว่าป่านนี้มันตายแล้วหรือยัง”

หลวงธนสารถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สะดุ้งแรงเหมือนคนตื่นจากฝัน ตาย! คำนี้ก้องอยู่ในหู มันวิ่งไปกระทบแก้วหูซ้าย แล้วกระท้อนกลับมากระแทกแก้วหูขวา ตาย! นิจน่ะหรือจะตาย เด็กหญิงอันมีท่าทางประเปรียว มีแก้มเป็นพวงมีแววตาใสแจ๋วแหวว ซึ่งบางคราวถูกซ่อนเสียด้วยม่านไหมเส้นละเอียดคือขนตา ตาย! คำนี้น่ากลัวจริง มันบอกว่าเขาจะไม่ได้พบเห็นหล่อนอีก จะไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงหงิงๆ ในเวลาเช้า หล่อนจะหลุดลอยจากเขาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ตายคือนอนนิ่ง ตัวแข็งทื่อดังท่อนไม้ มือน้อยๆ ที่เคยจัดดอกไม้ในห้องเขาจะเขียวซีดวางนิ่งอยู่บนเตียง ตรงกับปากขันสำหรับรองรับน้ำอบที่ญาติมิตรจะนำมารด หลวงธนสารทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ยกมือขึ้นปิดหน้า คำว่าตาย​ทำให้เขาตื่นจากฝัน ตื่นจากความงวยงงที่ได้รับมาตลอดเวลา ๖-๗ เดือนนี้ โธ่! นิจคือภริยาของเขาแท้ ๆ ใครจะมีสิทธิพรากหล่อนไปจากเขา? ไม่มี! ไม่มีใครมีสิทธิ แม้แต่ความตาย เขากำมือแน่นกดกับหน้าผากและนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นนาน จนเจ้าคุณพูดขึ้นอีก

“คำอธิบายก็ได้แล้ว ความหมายก็แปลแล้ว ยังอยู่แต่คุณจะต้องเซ็นชื่อลงในหนังสือหย่านั้น แล้วก็เชิญออกจากบ้านไปเป็นสุขสบาย”

หลวงธนสารเงยหน้าขึ้น หน้านั้นขาวซีดยิ่งไปกว่าหน้าของเจ้าคุณ

“แต่หล่อนเป็นอะไร เป็นอะไรถึงจะตาย?” เขาพูดอย่างโหยหวน

เจ้าคุณหัวเราะอีกเต็มไปด้วยความเจ็บใจท่านพูด

“หล่อนไม่เป็นอะไร นอกจาก ขึ้นรถตามหึง​ผัวจนตัวเจ็บ สมน้ำหน้า ตอนกลางคืนตามหึงผัว รุ่งเช้าไข้เลยกิน ฮะ ๆ ตามหึงผัว ผัวฉุดขึ้นรถกลับบ้าน ผ้าห่มสักผืนไม่มีติดตัว จับไข้อยู่ทั้งวันไม่มีหมาจะมาแล!”

“ผัวฉุดขึ้นรถกลับบ้าน ผ้าห่มสักผืนไม่มีติดตัว!” เอาอีกแล้ว สองคำนี้ทำให้หลวงธนสารตัวชา หวนนึกถึงเสียงภริยาที่รำพันว่า ‘โอยหนาวจริง เย็นเหลือเกิน’ นึกขึ้นมาแล้วขนลุกถ้าหล่อนตายไปก็ไม่มีอื่น นอกจากเพราะความทารุณของเขานั่นเอง ในยามโกรธเขาลืมนึกว่าหล่อนเป็นหวัดอยู่ และความชื้นเย็นเป็นอันตรายแก่คนเป็นหวัดอย่างยิ่ง เสียงหนึ่งกระซิบอย่างโหดร้ายว่า ‘เจ้าฆ่าหล่อน เจ้าฆ่าหล่อน’ หลวงธนสารผลุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ดวงตาเหลือกลานเหลียวไปมารอบตัวแล้วร้องว่า

​“นิจ! นิจ! โธ่! ฉันไม่ได้แกล้ง! ไม่ได้ตั้งใจเลย! ฉันรักเธอเสมอ! เธออยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน?” ก้าวเท้าเซไปเซมาหลายก้าว ในที่สุดเซกลับนั่งลงดังเดิม

เจ้าคุณสุรแสนออกตกใจที่เห็นอาการของชายหนุ่มเป็นดังนั้น แต่ความจำที่ว่าลูกสาวจะตายไปเพราะชายผู้นี้ ทำให้หัวใจของท่านบึกบึนแทนที่จะสงสารท่านกลับหัวเราะ พูดว่า

“คุณจะไปถามถึงมันทำไม อีเด็กเจ้ากรรม? มันเป็นก้างขว้างคอคุณไม่ใช่หรือ ตายเสียก็รู้แล้วรู้รอดไป เมื่อมันเจ็บอยู่ในมือคุณ ๆ ไม่ใยดีกับมันแล้ว กลับบีบคั้นหัวใจไม่ปรานี คุณนึกว่าฉันไม่รู้เท่าคุณหรือ? มา! เซ็นชื่อลงในกระดาษนั่น ชื่อตัวเดียวไม่ยากลำบากอะไรเลยนี่นา เซ็นแล้วจะได้เชิญคุณออกจากบ้าน ขออย่าให้เวรกรรมพาฉันไปพบกับคุณ​อีกเลยตลอดชาตินี้”

คำพูดของพ่อตาเสียดแทงหัวใจเขาให้เจ็บแสบราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ แต่มันทำให้เขามีสติดีขึ้น พอท่านหยุดเขาก็พูดอย่างอ่อนน้อมว่า

“โปรดให้เวลาผมตรึกตรองดูบ้าง”

“อ๋าย! จะต้องตรึกตรองอะไรอีก เวลา ๖ เดือนยังตรองไม่พอหลือ? ขอเสียทีเถอะอย่าพูดเถลไถลไปหน่อยเลย ทำตัวให้เป็นนักเลงซีน่า” ท่านหยุดชะงักนิดหนึ่ง แล้วกัดฟันแน่นด้วยความแค้น “โธ่นิจของพ่อเอ๋ย พ่อฆ่าเจ้าเองแท้ๆ พ่อมีตาเสียเปล่าไม่มีแวว ไม่เห็นว่าตัวยกลูกให้กับคนจัญไร ฟังหน่อยเถอะคุณยะ ฟังแล้วเอาฝ่าเท้าตรองดูว่า ถ้าเผื่อเป็นอกคุณบ้างจะเป็นอย่างไร ฉันมีลูกคนเดียวถนอมเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย คำนิดมิได้ว่าให้เจ็บใจ ครั้นเพื่อนคนหนึ่งมาขอให้กับลูกชาย ฉันรู้ดีเขาขอเพื่อเหตุอย่างหนึ่งเพื่อเงิน​ของฉัน” หลวงธนสารสะดุ้ง “ย่ะ คุณเห็นจะไม่รู้ซีว่าฉันรู้เรื่องของคุณดี หรือที่ถูก เรื่องของพ่อแม่คุณ ฉันรู้ว่าเมื่อคราวข้าวแพง โรงสีของคุณขาดทุนย่อยยับจนเกือบจะตั้งอยู่ไม่ได้ ต่อมาอีกสักหน่อยข้าวลดราคาลงเล็กน้อย คุณจัดแจงกว้านข้าวอีกหวังจะแก้ตัวแต่เงินของคุณไม่มี คุณกู้เงินแบงค์ เอาเครดิตของโรงสีเป็นประกัน ข้าวกลับลดราคาลงจนเกินคาด คุณหญิงเข้าเนื้อ เจ้าแบงค์ชักยื่นมือออกคุณกำลังขวัญหายไม่เห็นทางไหนดีกว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อแม่มั่งมี เพื่อเอาเครดิตของพ่อตาเป็นประกัน คุณมาขอลูกสาวฉัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าขอเพื่อเหตุ ฉันก็บ้าพอที่จะทำ ใจบ้ายกลูกสาวให้เพราะเคยรักพระวิชัยอยู่ตั้งแต่ทำงานร่วมกัน อีกประการหนึ่งฉันนึกว่าคุณจะรักลูกสาวฉันได้เมื่อมันเป็นเมียคุณ แล้วไม่รู้ตัวว่าได้ยกลูกสาวให้กับอ้ายคนไม่มีหัวใจ”

​ท่านหยุดพูดเดินไปที่โต๊ะกลางหิน รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่ม หลวงธนสารนั่งนิ่งไม่เงยหน้าทั้งเจ็บทั้งอายทั้งเสียใจประดังแน่นกันอยู่ในอก เจ้าคุณกลับมาที่เดิมแล้วพูดต่อไป

“เรื่องยังมีอีก เมื่อวันแต่งงานนั่นเอง พอเรือจะออกจากท่า ฉันเห็นคุณยืนพะนอหญิงคนหนึ่งอยู่ได้ยินด้วยว่าคุณพูดอะไรกัน แต่ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะเชื่อเอาเองว่า เมื่อผัวเดินทางไปกับเมียมันก็ต้องเป็นผัวเป็นเมีย แล้วความรักก็จะทำให้คุณนึกถึงหน้าที่ของสามีได้ ฉันไม่นึกว่าคุณเลี้ยงลูกฉันเลวยิ่งกว่าเลี้ยงแมว ไม่รู้เพราะนิจอมพะนำไว้คนเดียว ไม่เคยปริปากพูดถึง ดีแต่คอยออกรับแทนตัว ฮะๆ พ่อบ้าแล้วลูกก็ยังพลอยบ้าไปด้วยอีก บ้าจนตัวจะต้องตายคนเดียว เหมือนหมากลางถนน หากว่ามีเพื่อนดียายเฉลาอุตส่าห์ตะลีตะลานมาบอกเล่าเรื่องที่นิจขยายให้ฟังถึงได้รู้”

​เมื่อได้พูดมาถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าคุณรู้สึกว่าหายใจสะดวกขึ้น โทสะก็เดือดหายไป คงเหลือแต่ความรักและความเสียดายลูกสาวกับความเจ็บใจตัวเอง พ่อตาและลูกเขยต่างนิ่งเงียบ เจ้าคุณเดินกลับไปกลับมาเหมือนเสืออยู่ในกรง สักครู่ท่านฉวยกระดาษที่วางอยู่บนเก้าอี้ เดินรี่เข้ามาหาหลวงธนสาร

“ได้โปรดเถอะขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นโดยเร็ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความวิงวอน “ใต้เท้าจะเฆี่ยนตีด่าว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ผมยอมรับว่าผมผิด ขอแต่โปรดกรุณาให้ผมได้พบคุณนิจสักหน่อยก่อน แล้วผมจะเซ็นชื่อให้ตามบัญชา”

“คุณจะพบไม่ได้ เพราะหมอห้ามเยี่ยมเด็ดขาด เมื่อไม่ยอมเซ็นชื่อก็เชิญกลับได้ รดน้ำเวลาใดจะให้คนไปบอก”

​“ใต้เท้า!” หลวงธนสารร้องเสียงกังวานเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “โปรดอย่าเพ่อพูดถึงเรื่องนั้น คุณนิจยังไม่ตาย เธอจะไม่ตายเป็นอันขาด ผม...”

“นั่นประตู!” เจ้าคุณสั่ง

บุตรเขยยังมีสติพอที่จะทำความเคารพท่าน ก่อนออกประตูไป