Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28 October 2025, 16:33:41
-
นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4
๓
วันที่ ๒๘ เดือนพฤษภาคม ตรงกับวันศุกร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันศุภฤกษ์ พระยาสุรแสนสงครามได้เลือกวันนี้ เป็นวันวิวาหมงคลระหว่างบุตรีกับหลวงธนสารสมบัติ เวลา ๗ นาฬิกา ภายในห้องโถงสี่เหลี่ยม ทาสีน้ำเงินอ่อนตั้งแต่ฝาผนังตลอดจนเพดาน มีอาสนสูงไม่เกินหนึ่งศอก ตั้งติดกับด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เครื่องใช้ตั้งแต่ผ้าปูอาสน หมอนสำหรับพิง ตลอดจนพานหมากแล้วถ้วยน้ำร้อน เป็นสีน้ำเงินแก่เข้าชุดกันทั้งสิ้น พระสงฆ์ซึ่งมีดวงหน้าผุดผ่องด้วยรัศมีคุณธรรม นั่งพับเพียบ สวดคาถา เสกน้ำพระพุทธมนต์ที่จะรดเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในวันนั้น ติดกับฝาผนังด้านเหนือทางขวาแห่งอาสนสงฆ์ มีที่บูชาตั้งอยู่หมู่หนึ่ง โต๊ะหมู่ทำด้วยไม้จำหลักปิดทอง และประดับกระจกสีน้ำเงินแก่ เครื่องตั้งคือแจกันกระถางธูปและเชิงเทียน ล้วนเป็นแก้วเจียระไนสีน้ำเงินแก่ ทั้งชุดอากาศในขณะนี้แจ่มใส แสงแดดอ่อน ๆ ผ่านหน้าต่างเข้ามาต้องพระพุทธรูปซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่บูชาเกิดแสงสีทองเป็นประกาย ช่อซ่อนกลิ่นซึ่งปักอยู่ในแจกันทั้งซ้ายและขวาแห่งองค์พระพุทธรูปนั้นเอนลงเล็กน้อย เหนือพระเกศคล้ายกับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาน้อมต่ำลง ทำให้หวนระลึกถึงเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ณ ภายใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์
ตรงกลางห้องมีพรมน้ำเงินแก่ผืนใหญ่ปูอยู่ สำหรับเป็นที่นั่งของเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว นิจนั่งพับเพียบมือประสานกันอยู่บนตัก ริมประตูหลังฉากกั้น พร้อมด้วยเพื่อนสาวอีกด้านหนึ่ง ดวงหน้าของหล่อนผุดผาดเปรียบได้กับความบริสุทธิ์ของดอกซ่อนกลิ่นซึ่งประดับที่บูชา ดวงตาซึ่งตามปกติมีแววแจ่มใจและดูไม่เดียงสานั้น วันนี้มีความเคร่งขรึมเหมาะกับสีหน้าอันเต็มไปด้วยความสำรวมยิ่งนัก ไม่มีใครเลยที่ได้เห็นนิจในเวลานั้น จะห้ามมิให้มีความรู้สึกชนิดที่คล้ายกับความเลื่อมใสเกิดขึ้นได้ แม้หล่อนจะนั่งอยู่ในหมู่เดียวกับคนทั้งหลาย ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนหล่อนอยู่ห่างจากใคร ๆ ลิบลับ ดูเหมือนกับเทพธิดาที่ทรงเครื่องขาว ทั้งตัวมีรัศมีแห่งความบริสุทธิ์ฉายอยู่รอบกาย
ครั้นพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบลงถึงเวลาที่จ้าวบ่าวเจ้าสาวจะต้องทำกุศลร่วมกัน ทั้งสองคลานเข้าไปยังที่ ๆ มีบาตรตั้งเรียงรายอยู่เป็นแถว และมีเครื่องคาวและหวานตั้งอยู่พร้อมเจ้าบ่าวจับทัพพีตักข้าวซึ่งอยู่ในขันเชิงถม แล้วทำอาการรั้งรออยู่ครู่หนึ่ง ด้วยเป็นธรรมเนียมที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะต้องตักข้าวพร้อมกัน และด้วยทัพพีเล่มเดียวกันด้วย นิจใช้มืออันขาวและเล็กจับปลายทัพพีเหนือมือหลวงธนสาร เจ้าบ่าวรู้สึกว่ามือของหล่อนที่กระทบมือเขาเย็นเฉียบและสั่นเล็กน้อย ทั้งสองช่วยกันบรรจงตักข้าวและใส่ของหวานของคาวลงในบาตร ทั่วทั้ง ๑๐ บาตร ตักบาตรข้าวพระพุทธด้วย แล้วกลับมานั่งที่เดิม
พระสงฆ์กระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวถวายเครื่องไทยทาน มีจีวร ดอกไม้ธูปเทียน ฯลฯ พระสงฆ์ ๙ รูปสวดอนุโมทนาแล้วก็ลากลับเป็นอันเสร็จพิธีตอนเช้า
ในวันเดียวกันเวลา ๑๔ นาฬิกาเศษ ภายใต้ต้นจามจุรีใหญ่หลังตึกบ้านพระยาวิชัย มีชายหนุ่ม คนหนึ่งนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ หน้าของชายผู้นี้ซีดและบึ้งตึง ตาจับอยู่ที่หญ้าตรงที่เขาเหยียบ เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองดูที่หน้าต่างตึก แล้วก็มองไปที่ทางเดิน เขากำลังคอยใครคนหนึ่ง ครั้นนานเข้าไม่มาก็เริ่มกระสับกระส่าย และลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อเวลาเดินเอามือไขว้ไว้ข้างหลัง ก้าวเท้าหนัก หนัก และหนักขึ้นเป็นลำดับ ก้มหน้ามองดูรองเท้า ขณะนั้นมีอึ่งอ่างตัวหนึ่งกระโดดมาตรงหน้าเขา ชายผู้นั้นเห็นก็ยกเท้าเตะสัตว์นั้นโดยแรง จนมันกระเด็นไปไกลตั้ง ๒๐ ก้าว แล้วก็หัวเราะอย่างสมน้ำหน้า คล้ายกับว่าเจ้าสัตว์นั้นได้กระทำความเดือดร้อนให้กับใคร สมควรที่จะได้รับความทารุณเป็นเครื่องตอบแทน ครั้นแล้วก็ตั้งต้นเดินไปใหม่
ราว ๕ นาทีผ่านไป มีเสียงรองเท้าแตะดัง ขึ้นพร้อมกับร่างของสตรีสาวผู้หนึ่งโผล่มาทางมุมตึก หลวงธนสารรีบก้าวเท้าไปหาหญิงนั้นโดยเร็ว ผู้ที่เห็นสีหน้าและท่าทางของเขาในเวลานั้นอาจเข้าใจว่าเขาจะตรงเข้ากอดหล่อนอย่างเต็มรัก หรือจะหักคอหล่อนเสียก็ได้ แต่เขามิได้ทำทั้งสองอย่าง เป็นแต่ยืนประจันหน้าหล่อนเฉยอยู่
คุณพี่อยากพบดิฉันด้วยเรื่องอะไร?” ฝ่ายหญิงถามด้วยความชาเย็น
“ก็เธอโกรธฉันทำไม?” หลวงธนสารถามเสียงเกือบเป็นตวาด
หญิงสาวหัวเราะเสียงสั่น ๆ “ดิฉันไม่มีสิทธิที่จะโกรธคุณพี่ด้วยเรื่องอะไรทั้งนั้น?” หล่อนตอบ
หลวงธนสารมองดูหน้าหญิงสาว และพยายามจะให้สบตาหล่อน แต่หล่อนไม่มองตอบเขาและเบือนหน้าไปเสียทางอื่นด้วยอาการไว้ยศ
นางสาวรัศมีเป็นบุตรคนที่สามของขนปราบทุรพ่าย และนางชม นางชมเป็นน้องสาวต่างมารดาของคุณหญิงวิชัย ตั้งแต่เด็ก ๆ รัศมีเคยอยู่กับป้าและได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนราชินี เรียนไปได้ถึงชั้นมัธยม ๔ ก็ต้องลาออก เพราะบิดาของหล่อนผู้เป็นนายตำรวจได้เสียขาไปข้างหนึ่งในหน้าที่ราชการ มารดาเกิดเป็นโรคเหน็บชากระเสาะกระแสะ พี่ชายคนใหญ่เป็นนายร้อยตำรวจ ต้องไปประจำการอยู่ที่ชลบุรี ส่วนคนที่สองพอเรียนหนังสือจบจะเข้ารับราชการก็พอดีเป็นไข้ถึงแก่กรรม เมื่อโรคภัยมาเกิดแก่ครอบครัวที่ซ้อนกันในพักเดียวถึงสองครั้ง ขุนปราบก็สิ้นอาลัยในความดีความงามของโลก กลายเป็นคนแฉะ ๆ คุ้มดีคุ้มร้าย คุณนายชมก็ไม่มีจิตใจจะเผชิญต่อความทุกข์ เพื่อทำหน้าที่ภรรยาและมารดา จึงร้องขอให้มีรัศมีไปอยู่บ้าน เพื่อจะได้ช่วยทำธุระและดูแลน้องเล็ก ๆ อีกสองคน เวลานี้รัศมีมีอายุเพียง ๑๕ กำลังมีใจเป็นเด็กครึ่งผู้ใหญ่ หล่อนต้องออกจากคฤหาสน์อันมโหฬารไปอยู่ยังบ้านเล็ก การงานใดที่ไม่เคยทำก็ต้องลงมือเองโดยเหตุที่ครอบครัวนี้ยังชีพอยู่ด้วยเบี้ยบำนาญ ที่ขุนปราบได้รับจากรัฐบาลเป็นจำนวนเล็กน้อย ไม่อาจที่จะจ้างคนไว้ใช้ให้พอกับความต้องการนอกจากการบ้านเรือนที่รัศมีแบกไว้นั้น มากจนเต็มแประแล้ว อารมณ์อันไม่ปกติของบิดายังทำความร้อนรำคาญใจให้อย่างยิ่ง ในสมัยนั้นเวลาที่รัศมีพอจะหาความสุขได้ มีอยู่แต่เพียงสองเวลาคือ เวลาที่หล่อนมาเยี่ยมคุณป้าที่บ้านและอยู่ที่นั่น ๒-๓ ชั่วโมง กับเวลาที่หล่อนมีหนังสืออ่านเล่นอยู่ในมือเป็นที่น่าเสียใจที่ความสุขทั้งสองประการนั้นกลับให้โทษแก่รัศมี กล่าวคือหนังสือที่หล่อนหาซื้อมาอ่านนั้น เป็นหนังสือชนิดที่ผู้เขียน ๆ ขึ้นโดยไม่ละอายแก่ใจ คิดเห็นแต่จะให้หนังสือนั้นขายคล่อง อันเป็นทางนำสตางค์มาเข้ากระเป๋าเท่านั้น ส่วนโทษหนังสือเป็นต้นเหตุที่ให้เกิดความชั่วร้ายขึ้น ในสันดานของเด็กหนุ่มสาวชาวไทยไม่พะวงถึงหนังสือเหล่านั้นเพียงแต่เห็นภาพหน้าปกก็เป็นอัปมงคลแก่สายตา ครั้นอ่านดูเรื่องก็ได้พบสิ่งที่เป็นอัปมงคลแก่ใจอีก กลับเป็นเครื่องเร้าราคะให้แก่กล้า ซึ่งหญิงสาวไม่ควรจะได้รู้ได้เห็นอย่างยิ่ง หนังสือเหล่านั้นมักอุปโหลกให้ผู้ถือความพยาบาทอาฆาตเป็นที่ตั้ง ซึ่ง มิสมควรกับชาวไทย ผู้ได้ชื่อว่าพุทธศาสนิกชนจะพึงประพฤติ-เป็นวีรบุรุษของเรื่อง และยกให้สตรีผู้ถือความรักเป็นใหญ่กว่าเกียรติยศและพรหมจารีย์ของตัวเป็นวีรสตรี ก็หญิงและชายจำพวกนี้ปกติชนย่อมไม่นับถือ แต่ทว่าสำนวนของเรื่องนั้นกล่อมใจให้คนอ่าน เกิดความสงสารอุปทานจนเคลิบเคลิ้มเห็นดีไปด้วย เรา เคยเรียนรู้มาแต่เด็กว่า ความเคยชินเป็นเครื่องหัดนิสัย ดังนั้น รัศมี ผู้เคยชินกับพระเอกนางเอกชนิดที่ได้กล่าว ก็เริ่มเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย ว่าถึงความสุขประการที่สอง คือ การได้มาสนทนาเล่นกับคุณป้า หรือที่ถูกฟังคุณป้าสนทนากับเพื่อนรุ่นเดียวกับท่าน ก็ให้โทษกับรัศมีเท่ากับการอ่านหนังสือ เหตุด้วยคุณหญิงวิชัยก็เหมือนกับคุณหญิงโดยมากของชาวเรา รักการนินทาเป็นสรณะ การได้เก็บเอาความผิดของผู้อื่นแม้น้อยและมาก มาก่อให้เป็นความชั่วเป็นความสุขสำคัญของท่านเหล่านี้ การสนทนาล้วนแล้วไปด้วยการขอดค่อนและติเตียนเพื่อนร่วมเพศของตนเอง ที่จะกล่าวชมใครนั้นน้อยนัก ดั่งได้กล่าวแล้วว่า รัศมีต้องเลิกจากการเล่าเรียนเสียครึ่ง ๆ กลาง ๆ จรรยาที่รับจากโรงเรียนแต่เด็กก็หามีกำลังพอต้านทานความเคยชินที่ได้พบใหม่ได้ไม่ ท่านผู้อ่านคงจะเดาได้ว่าในเวลาต่อมารัศมีจะเป็นคนนิสัยเช่นไร
“เราไปนั่งพูดกันที่เก้าอี้เถอะ” หลวงธนสารเอ่ยขึ้น ภายหลังที่ได้ยืนจ้องดูกันอยู่พักใหญ่
“ไม่ต้องหรอก มีธุระอะไรก็พูดเสีย ดิฉันจะรีบกลับไปบนตึก”
“ไม่ได้! เธอจะกลับไปก่อนที่จะพูดกับพี่ให้รู้เรื่องไม่ได้เป็นอันขาด มา-” เขาจับมือหล่อนดึง “ถ้าไม่เดินตามมา พี่เป็นอุ้มแน่”
หญิงสาวสะบัดมือโดยแรง และมองดูฝ่ายชายอย่างไว้อำนาจ แววตาชนิดนี้รัศมีเคยใช้มองดูเขาเสมอ เมื่อหล่อนจะบังคับทำอะไรอย่างหนึ่ง “ปล่อย” หล่อนพูด “ดิฉันเดินไปเองก็ได้ ไม่ต้องจูง” ด้วยอาการยกศีรษะอย่างผยองเกียรติ รัศมีพาร่างอันระหงของหล่อนนวยนาดไปยังเก้าอี้ ถึงแล้วก็นั่งลง
หลวงธนสารนั่งลงชิดกับหล่อน แขนซ้ายโอบหลังแล้วพูดว่า
“บอกพี่ โกรธพี่ทำไม?”
“พิลึกจริง! ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ได้โกรธ ไม่มีเรื่องอะไรจะโกรธ”
“มี รัศมีต้องมี เวลากินข้าวเธอไม่มองดูหน้าพี่เลย เธอก็รู้แล้วว่าพี่กลุ้มใจแทบคลั่งเป็นบ้า แทนที่จะช่วยให้พี่หายทุกข์ เธอกลับทำให้พี่กลุ้มใจยิ่งขึ้น เพราะความมึนตึงของเธอ
“ทุกข์!” รัศมีหัวเราะ “ในวันแต่งงานเจ้าสาวสวยราวกับนางฟ้า แล้วเจ้าบ่าวมาร้องว่าทุกข์ ใครเขาจะเชื่อ!”
สีหน้าชายหนุ่มบึ้ง แสดงว่าชักฉุนบ้างแล้ว นิ่งสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ
“ใครเขาไม่เชื่อก็ช่างเถอะ แต่เธอรู้อยู่แก่ใจจะไม่เชื่อไปด้วยหรือ ความกลุ่มของพี่นะร้ายแรงเหลือเกิน จะทำอย่างไรถึงจะหนีภัยมหาอุบาทว์นี้ไปพ้น พี่บอกแล้วมันจะทำให้พี่เป็นบ้า”
ตลอดเวลาที่หลวงธนสารพูด รัศมีไม่มองดูหน้าเลย เฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
“รัศมี” ชายหนุ่มพล่ามต่อไปด้วยเสียงอันสั่น พลางจับมือหล่อนมาบีบแน่น “เธอจะไม่พูดกับพี่หรือ? พูดอะไรสักคำเถอะเพื่อเป็นเครื่องเล้าโลมพี่ พอให้พี่มีกำลังต่อสู้กับความบ้าได้
รัศมีหันหน้ามาทางเขาช้า ๆ สายตาของหล่อนกระด้าง จ้องมองดูเขาราวกับผู้พิพากษามองดูนักโทษที่ทำความผิดฐานฆาตกรรม ตาต่อตาสบกัน ฝ่ายชายเต็มไปด้วยความวิงวอนงอนง้อ รัศมีหัวเราะนิดหนึ่งจึงตอบ
“กำลังสำหรับต่อสู้ความบ้าของคุณพี่นั้น ไม่ได้มีมาตั้งแต่เช้าดอกหรือคะ เมื่อเวลาใส่บาตร์น่ะ”
“หมายความว่ากระไร”
“โอ๊ หมายความอย่างที่พูดนี่แหละ คุณพี่อย่ามาหลอกฉันเลย จะเป็นบ้า! กลุ้มใจ! เด็กอมมือมันก็รู้เท่า เจ้าสาวหรือสวยราวกับอะไรดีจะมานึกถึงอะไรกับคนอย่างเรา ฮึ! แหมบรรจงจับทัพพี่ข้าวน่ะ! แล้วยังบอกให้เจ้าสาวจับเหนือมือ แต่บ่าวสาวที่เขาเต็มใจจะแต่งงานกันแท้ ๆ เขายังเกี่ยงกันใครเขาจะยอมเป็นเบี้ยล่างผู้หญิง แต่คุณพี่ช่างเต็มใจหมอบราบคาบแก้วกับแม่ทูนหัวเสียเหลือเกิน แล้วยังมาพูดเอาหน้า”
“อะไรกันรัศมี! เธอหยิบเอาของเหล่านั้นมาถือเป็นอารมณ์ เธอคลั่งพอที่จะริษยาเด็กคนนั้นเทียวหรือ”
รัศมีหันขวับมาทางเขา ดวงตาของหล่อนเวลานี้โตกว่าธรรมดาเป็นอันมาก หล่อนมองดูเขาด้วยอาการเคียดแค้น
“คลั่ง! คุณว่าฉันคลังเพราะริษยาเด็กคนนั้น! ก็เด็กคนนั้นมันไม่ใช่คนดอกหรือ มันไม่มีอวัยวะทุกส่วนเป็นผู้หญิงอย่างผู้หญิงดอกหรือ? อย่ามาทำมารยาสาไถยกับฉันหน่อยเลยฉันรู้เท่าหรอก นี่แหละเขาว่า สันดานผู้ชาย! เหมือนกันทุกคน! ปลิ้นปล้อน หลอกหลวง มีอยู่เท่านั้น
หลวงธนสารหน้าซีดด้วยความโกรธจนถึงขีดเสียงแหบสั่นจนเกือบเป็นเสียงคำราม
“หยุดทีรัศมี! ถ้าขึ้นพูดแต้มนี้อีกฉันอาจจะหักคอเธอเสียได้ ฉันเคยหลอกหลวงอะไรเธอ ฉันเคยโกหกเธอหรือสักครั้งหนึ่ง มันเป็นความผิดของฉันหรือที่ต้องแต่งงานกับเด็กคนนั้นในเมื่อฉันได้ขอให้เธอแต่งงานกับฉันแล้วจนนับหนไม่ถ้วน และเธอปฏิเสธเสมอ ครั้นเดี๋ยวนี้เธอมีสิทธิอะไรที่จะมาว่าฉันหลอกหลวง มีสิทธิอะไรที่จะหึงหวงเด็กคนนั้น? มีสิทธิอะไร”
คนที่ชอบอวดดีที่สุดน่ะแหละ คือคนที่ขี้ขลาดที่สุด รัศมีเมื่อเห็นหลวงธนสารเกรี้ยวกราดดังนั้นก็ลดเสียงให้อ่อนลง ตอบว่า
“สิทธิของดิฉัน ก็คือความรักอย่างรุนแรงที่มีต่อคุณพี่”
สีหน้าของหลวงธนสารคลายความบึ้งตึงลงทันที สายตาที่มองดูรัศมีนั้นเต็มไปด้วยความรักและสงสาร แต่ยังคงทำเสียงแข็งขณะที่พูด
“รักยังไง? รักยังไง? ถ้าเธอรักฉันทำไมจึงปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับฉันเล่า?”
เออ! คำถามชนิดนี้รัศมีจะตอบออกไปอย่างไรได้
เมื่อหลวงธนสารกลับจากยุโรป รัศมีกำลังอยู่ในวัยสาวเต็มตัว มีผิวพรรณผุดผาดและมีความเก๋อยู่ในจริต เขากับหล่อนได้พบปะและพูดเล่นกันเสมอ รัศมีเป็นหญิงสาวคนแรกที่หลวงธนสารได้วิสาสะด้วยตั้งแต่เขากลับจากการศึกษา มิช้านานเขาก็มีความรักในตัวหล่อนขึ้น ความช่างสังเกตเป็นสมบัติประจำตัวของสตรีทุกคน รัศมีอ่านความรู้สึกของหลวงธนสารออกโดยเร็ว และแต่งจริตให้เขาหลงยิ่งขึ้น ผู้หญิงที่ไหนมีที่ไม่รู้สึกภูมิใจและหยิ่งในเมื่อรู้ตัวว่าชายคนหนึ่งหลงรัก หลวงธนสารคอยเอาใจพะเน้าพะนอรัศมีราวกับนางพญา เต็มใจรับใช้เหมือนดังทาสในเรือนเบี้ย และให้ความอุปการะจนถึงบิดามารดาและน้องของรัศมี แต่เขาเป็นคนไม่มีนิสัยเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม กิริยาภายนอกขรึมและชาซ่อนความรู้สึกร้อนรนไว้ภายใน เวลาล่วงไปความรักยิ่งแก่กล้าขึ้น จนเขาทนนิ่งไว้ไม่ได้ จึงขอให้หล่อนแต่งงานกับเขา แทนที่จะรับรัศมีกลับปฏิเสธ โดยไม่ให้เหตุผลอย่างไรหมด ทั้งมิได้ลดกิริยายั่วยวนให้น้อยลง ถ้าจะพูดถึงเหตุผล รัศมีคงมีอยู่ในใจ แต่ทว่าไม่กล่าวออกมาให้เขาฟัง บางทีกิริยาเฉย ๆ เรียบ ๆ ไม่โก้ไม่เก๋และความไม่ช่างพูดของเขานั่นเองที่ทำให้หล่อนเห็นเขาไม่ดีพอใจสมกับที่ได้ใฝ่ฝันไว้ หลวงธนสารมิได้ละความเพียร อุตส่าห์ทำตัวเพื่อให้ถูกใจแม่เจ้าประคุณเสมอ นาน ๆ จึงพูดถึงความรักที่หนึ่ง รัศมีคงผัดเจ้าล่ออยู่เรื่อย คราวหลังที่สุดที่หลวงธนสารวิงวอนให้หล่อนแต่งงานกับเขา รัศมีปฏิเสธตามเคย จึงเกิดมีการตัดพ้อกันอย่างรุนแรง จนหล่อนพูดเป็นคำขาดว่า หล่อนไม่รักเขา และจะไม่แต่งงานกับเขาเป็นอันขาด ในระยะเวลาใกล้ ๆ กันนั้น เผอิญมีความจำเป็นอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่ครอบครัว คุณหญิงสงวนมีความเห็นว่า บุตรชายจะต้องแต่งงานกับบุตรีพระยาสุรแสนสงคราม เพื่อกู้ฐานะของตระกูลไว้ หลวงธนสารกำลังแค้นและเจ็บใจ จึงรับปาก โดยไม่รอเวลาตรึกตรอง หลังจากนั้นเองในคราวที่รัศมีรู้สึกว่าเขาจะตกไปเป็นของคนอื่นโดยแน่แท้ ก็บังเกิดความเสียดาย คนเป็นส่วนมากไม่รู้จักค่าของสิ่งที่ตนมีอยู่ ต่อสิ่งนั้นหลุดมือไปแล้วจึงได้คิด ตอนที่พระยาสุรแสนรับหมั้นของหลวงธนสารไว้นั่นเอง รัศมีเริ่มสำนึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มีค่า และหล่อนไม่ควรจะปล่อยให้หลุดมือไปเสีย วัตถุสิ่งไหนมีคนนิยมอยู่แล้วก็ยิ่งมีผู้มารุมนิยมมากขึ้นอีก วัตถุสิ่งไหนที่เรารู้ว่าหลุดมือไปเสียแล้ว เรายิ่งรักและอยากได้มากกว่าเมื่อยังเป็นของเราอยู่อีก เหตุฉะนี้รัศมีจึงตั้งต้นปรุงจริตล่อตาล่อใจหลวงธนสารใหม่ แต่มันสายเสียแล้ว หลวงธนสารแม้จะมีนิสัยไม่ดีอยู่หลายอย่างหลายประการ ก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง คือรักเกียรติยศและรักสัตย์ อย่างไรก็ดี มารยาสตรีมีอันตรายร้ายแรงนัก ถือกันมาแต่พุทธกัลป์จนทุกวันนี้ ประกอบกับความรักที่สุมอยู่ในอกเป็นเวลานาน หลวงธนสารไม่กล้าถอนหมั้นจากนิจ แต่เขาได้มอบความรักให้แก่รัศมีและประพฤติต่อกันฉันคู่รักเสมอมา
-
๔
เวลา ๑๗ นาฬิกาเป็นเวลาได้ฤกษ์หลั่งน้ำพระพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว นิจสวมเสื้อแต่งกายสีม่วงอ่อนทั้งชุด สวมถุงเท้าและรองเท้าสีเนื้อ หลวงธนสารนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินแก่สวมเสื้อขาว ถุงเท้าขาวและรองเท้าดำ ทั้งสองหมอบเคียงกันอยู่บนเตียง ซึ่งทาทองและปูด้วยพรมนุ่มสีแดง บนศีรษะสวมมงคลแฝด ผู้ที่มาหลั่งน้ำพระพุทธมนต์มีจำนวนมากมายนักหนา จนห้องที่จัดไว้สำหรับแขกนั้นไม่มีอากาศพอสำหรับหายใจ เพราะฉะนั้นท่านสุภาพบุรุษและสตรีเมื่อได้รดน้ำบ่าวสาวแล้วก็พากันไปนั่งที่สนาม ซึ่งได้จัดไว้เป็นที่รับแขกเหมือนกัน
สีหม่นแห่งเครื่องแต่งกายที่ท่านสุภาพสตรีสูงอายุแต่ง สีน้ำเงินแก่สดใสกับเสื้อสีขาวที่ท่านสุภาพบุรุษผู้มีบรรดาศักดิ์แต่ง สีเหล่านี้สลับกัน ดูเหมือนมีก้อนเมฆในท้องฟ้าในเวลาบ่ายที่ปราศจากฝน เด็ก ๆ ผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดูท่าทางกระฉับกระเฉง สวมเครื่องแต่กายสีสด เดินตามกันเป็นแถว ขณะที่ยกพานหมากบุหรี่และน้ำมาเลี้ยงนั้นเปรียบเหมือนสายรุ้งที่ทอผ่านก้อนเมฆไปเป็นทางยาว เสียงส่ายแห่งซิ่นแพรเสียงแสกสากแห่งผ้าม่วงเสียงเดือยของนายทหารผู้มีเกียรติ เสียงปลายกระบี่กระทบพื้นเสียงเหล่านี้รวมกับกิริยาท่าทางอันภาคภูมิของท่านผู้เป็นแขก ทำความสง่างามให้แก่งานของพระยาสุรแสนเป็นอันมาก ทั้งเป็นเกียรติยศยิ่งแก่คู่บ่าวสาวด้วย
แต่เจ้าบ่าวของเราไม่ค่อยมีความรู้สึกกับความหรูหราเหล่านี้เท่าใดนัก เพราะมัวพะวงอยู่แต่กับความเมื่อยชาซึ่งเกิดขึ้นทั่วสรรพางค์กายการที่ต้องหมอบนิ่งอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา ๒-๓ ชั่วโมงมิใช่เป็นของสบาย ยิ่งสำหรับนิจผู้มีนิสัยอยู่ไม่สุขมาแต่กำเนิดแล้ว เท่ากับถูกทำโทษอย่างหนัก ความเมื่อยทำให้นิจตั้งสติไม่อยู่ จนไม่มีโอกาสจำคำอำนวยพรได้สักคำเดียว หล่อนพลิกขากลับมาหลายครั้ง และอยากจะรำพันความเมื่อยให้เจ้าบ่าวฟังเป็นที่สุด หากติดด้วยเขากับหล่อนยังไม่เคยได้สนทนากันมาแต่ก่อน ทั้งดูเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนอย่างไรด้วย นิจชำเลืองดูเขาหลายครั้งก็เห็นหมอบอยู่เป็นปกติ ข้อศอกอยู่บนหมอนมือทั้งสองประสานกันอยู่ข้างหน้า นิจภาวนาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้ท่านที่กำลังหลั่งน้ำจากสังข์ลงบนศีรษะหล่อนนั้นเป็นคนสุดท้ายที่จะทำเช่นนั้นอีก เวลาล่วงไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ถึงที่สุด ในที่สุดถึงหลับตาทอดอาลัย พอดีได้ยินเสียงเจ้าบ่าวกระซิบว่า
“คนที่สุดแล้ว ถอดมงคลออกเสียซี”
แขนของนิจซึ่งงออยู่นาน ไม่สามารถเหยียดออกได้ทันที หลวงธนสารจึงยกมือของเขาขึ้น บรรจงถอดมงคลจากศีรษะเจ้าสาวอย่างระมัดระวัง ศีรษะของเขาชิดกับศีรษะของหล่อนความสัมผัสแห่งผมเส้นละเอียดซึ่งปลิวมาต้องหน้าเขายังให้เกิดความรู้สึกประหลาด นิจเบือนหน้ามาทางเขาและกล่าวคำขอบใจ ตาต่อตาสบกันอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ถอดมงคลออกจากศีรษะของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน ใช้แขนอันล่ำสันพะยุงร่างอันบอบบางของนิจให้ลุกขึ้น
ตอนค่ำมีการเลี้ยงอาหารที่บ้านเจ้าบ่าว ญาติสนิทของทั้งสองฝ่ายรวม ๒๘ คนได้รับเชิญมานั่งโต๊ะ การเลี้ยงได้รวบรัดให้เร็วที่สุด เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องลงเรือก่อนเวลา ๒๒ นาฬิกาเจ้าคุณกำแหงรณภพ ลุงของเจ้าบ่าวเป็นผู้กล่าวอวยพรให้แก่หนุ่มสาวและกล่าวคำต้อนรับกับอวยพรให้เจ้าสาวเป็นพิเศษ เจ้าคุณสุรแสนสงครามพูดตอบตามธรรมเนียม การเลี้ยงเสร็จลงโดยไม่มีการดื่มเพื่อความสิริมงคลแห่งเจ้าบ่าวเจ้าสาว เจ้าคุณสุรแสนปฏิเสธอย่างแข็งแรง ไม่ยอมให้มีเหล้าตั้งโต๊ะ โดยอ้างว่าชาวไทยเป็นพุทธศาสนิกชน ไม่ควรเสพของเมาในพิธีการมงคล ท่านเสริมว่าถ้าอยากจะดื่มให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวขอให้ดื่มน้ำ เพราะน้ำเป็นสิ่งวิเศษสุดแล้วสำหรับเมืองไทยของเรานี้
เวลา ๒๑.๓๐ เป็นอันหมดพิธีเลี้ยง และถึงเวลาที่จะต้องไปลงเรือ นิจไม่มีเวลาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว จึงต้องไปทั้งชุดสีส้มที่หล่อนแต่งในเวลานั่งโต๊ะ สีแดงแกมแสดของเครื่องแต่งกายกับสีผมดำสนิท รับกับผิวหน้าของนิจทำให้เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น ก่อนขึ้นรถเจ้าคุณกำแหงรณภพตบบ่าหลานชายเป็นเชิงสัพยอกพลางกล่าวว่า
“ลุงไม่นึกเลยว่าตาเจ้าจะสำคัญถึงเท่านี้เลือกหลานสะใภ้ได้อย่างสวยเด็ดทีเดียว ท่าทางหรือก็น่ารัก อยู่ด้วยกันให้ยืดยาวนะ แล้วอย่าทิ้งเขาไปมีเมียใหม่เสียล่ะ”
ไม่มีใครบอกได้ว่าหลวงธนสารรู้สึกอย่างไรในคำชมนั้น เขายิ้มน้อย ๆ และไม่ตอบว่ากระไร นิจไปรถคันเดียวกับบิดาและมารดา ตลอดทางเจ้าคุณและคุณหญิงพรสั่งสอนในเรื่องหน้าที่ภรรยาที่ควรปฏิบัติต่อสามี “ข้อสำคัญที่สุด” เจ้าคุณเสริมในตอนท้าย “นิจจะต้องรักญาติของสามีเหมือนดั่งญาติของตัวเอง”
นิจฟังคำสั่งสอนของท่านทั้งสองด้วยความเอาใจใส่ พร้อมกันนั้นได้ปฏิญาณในใจว่า จะพยายามทำตามให้ทุกข้อ แต่ในข้อสุดท้ายนี้นิจขนลุก เมื่อนึกถึงญาติคนสำคัญของสามี คุณหญิงวิชัย นางสาวรัศมี!!!
เรือมาลินีจอดอยู่ที่ท่าอิ๊สเอเชียติก เมื่อนิจไปถึงเห็นคนยืนอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของหล่อนน่ะเองรวมทั้งผู้ปกครองหรือผู้ควบคุมที่มาด้วย พอหล่อนลงจากรถเจ้าหล่อนเหล่านั้นก็พากันล้อมหน้าล้อมหลัง บ้างก็อวยพร บ้างแสดงความยินดี บ้างก็ล้อเลียน
“สมกันจัง!” คนหนึ่งกล่าวพลางจ้องดูเจ้าบ่าวซึ่งกำลังลงจากรถ
“เช้อ! พระเอกมีหนวด บอกให้โกนทิ้งทะเลเสียเถอะ”
“เฮ้อ! กะอีหนวดจะสำคัญอะไร ให้เขาเป็นคนดีและรักเราก็แล้วกัน!”
“นี่แน่ เธอเคยบอกว่าไม่รู้จักความรักเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้รู้หรือยังล่ะ?”
“ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าถือไม้เท้ายอดทอง ถือกระบองยอดเพชรเถอะนะ มีลูกคราวละ ๕-๖ คน”
“โอ๊ยตาย! สุ่มเสียงไม่เป็นคนเลย! มีลูกทีละ ๕-๖ คน เหลือร้าย!”
หญิงสาวอีกคนหนึ่งมีดวงหน้า คมคาย และแววตาแสดงว่าเป็นคนช่างคิดช่างตรอง หล่อนเป็นเพื่อรคนอื่น เพราะเหตุที่มีอายุต่างกันหลายปี กับเมื่อนิจอยู่โรงเรียนและยังเป็นเด็กอยู่นั้น เคยอยู่ในความดูแลของหล่อนด้วย เจ้าหล่อนผู้ที่ไม่ได้เข้าหมู่ล้อเลียนนิจ ยืนอมยิ้มอยู่นิ่งๆ จนคนอื่นพูดจบลงจึงดึงตัวเจ้าสาวเข้ามากอดไว้ พิศดูเครื่องแต่งกายที่นิจแต่งอยู่และพูดว่า
“นิจของพี่สวยเหลือเกินวันนี้ ขอให้สวยอยู่เช่นนี้ เสมอนะ” เงยหน้าไปทางสะพานพาดจากท่าสำหรับให้คนเดินไปลงเรือ “ผู้หญิงคนนั้นที่แต่งตัวสีแดง ตามหลังคุณหลวงของเธอน่ะใครนะ?”
นิจมีสีหน้าผิดปกติไปเล็กน้อย เมื่อมองตามสายตาเพื่อน
“ชื่อรัศมี เขาเป็นน้องคุณหลวง”
เจ้าคุณสุรแสน เดินเข้ามาปราศรัยเพื่อนของบุตรี และยืนพูดอยู่ด้วยครู่ใหญ่ แล้วก็เดินไปลงเรือ เพื่อพบกัปตันและเที่ยวชมเรือนั้น ท่านขึ้นไปบนดาดฟ้าก่อน แล้วลงไปดูห้องรับประทานอาหาร ทั่วแล้วจึงกลับขึ้นชั้นบน อันเป็นที่ของคนโดยสาร เสียงเครื่องยนต์ที่ตั้งอยู่ทางท้ายเรือทำให้ท่านอยากเห็นรูปร่างเครื่องจักรเป็นอย่างไร เท้าพาร่างไปทางที่โสตกำลังได้ยินเสียง พอเดินเข้าใกล้ได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงเครื่องจักรอีกเสียงหนึ่ง เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง มีกังวานโอดครวญ และโศกเศร้าโดยที่เสียงเครื่องจักรดังอยู่ในที่ใต้ลมแม้คำพูดจาไม่เข้าหูท่านทุกคำก็พอจะเข้าใจเค้าเรื่องได้
“คุณพี่ต้องสัญญานะคะ...........................ไม่ใช่ภรรยาคุณพี่.............ไม่ได้เป็นอันขาดยอมตาย......................ยาพิษ….…….ผูกคอ……………..ไม่รักหล่อน….…….ต้องเป็นคนที่คุณพี่รัก สัญญาเมื่อก่อนหมั้น…………....ดิฉันคนเดียว”
เจ้าคุณสุรแสนหัวเราะในลำคอพลางรำพึงว่า “ใครหนอช่างมาฝากบำเรอกันในเรือ” ขยับเท้าจะเดินกลับ พอดีเสียงห้าว ๆ ของผู้ชายดังขึ้น เสียงนั้นแสดงความเร่าร้อน ความรักและความเวทนาเสียงนั้นสะกิดความทรงจำของท่านให้ก้าวขาไม่ออก ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าขาสั่น โลหิตของคนแก่ก็เย็นชามากแล้ว แต่โลหิตแห่งความเป็นทหารยังร้อนแรงอย่างประหลาด มันฉีดขึ้นลงรวดเร็วเต็มที
“อย่า! อย่าร้องไห้..................ดูไม่ได้................... ยอมตายเสียดีกว่า.............นิ่งที ……….พี่สัญญา................จ้ะ.............แต่ในนาม........... เชื่อพี่......... เป็นสัญญา............ของเธอคนเดียว………….ของพี่คนเดียว”
นายพลผู้เฒ่ายืดตัวขึ้น ยิ้มขรึมๆ อยู่ในหน้า ท่านก้าวเท้าหนักและลงส้นตรงไปชะโงกดูเครื่องจักรและขีดไม้ขีดไฟขึ้นจุดบุหรี่ ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนแน่ใจว่าชายหญิงทั้งสองคงเลี้ยวหายไปแล้ว จึงหันหน้าไปดูรอบบริเวณ
ที่ตรงนั้นมืด ตรงที่หญิงชายทั้งสองยืนอยู่เมื่อสักครู่นั้น คือหลังเคบินห้องชั้นที่หนึ่ง และเป็นทางเดินไปได้รอบบริเวณเรือ ห้องเครื่องอยู่ชั้นล่าง มีบันไดราวทองเหลืองสำหรับไต่ลงไปแต่ยืนอยู่ข้างบนชะโงกลงไปก็พอแลเห็นรูปร่างของเครื่องจักรมหึมานั้นได้ ขณะนั้น พอดีเสียงหวูดเรือดังขึ้น แสดงว่าจะออก มองลงไปที่ท่าเห็นนิจกำลังร่ำลาเพื่อนและพี่น้อง ท่านรีบลงบันไดลงมาข้างล่าง พบกับบุตรีตรงปลายสะพานก็ตรงเข้าสวมกอด หล่อนด้วยอาการแสดงความรักอย่างรุนเรง จนนิจตกใจ แล้วก้มศีรษะลงจูบกระหม่อมและซบอยู่กับบุตรี อึดใจหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นพูดว่า
“จำไว้นิจ ไม่ว่าที่ใดและเวลาใด จงทำหน้าที่ของเจ้าด้วยความกล้าหาญ คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”
วู้ด! กลาสีชักสะพานขึ้น เรือแล่นออกจากท่าช้า ๆ เบนหัวออกทีละน้อย นิจส่งจูบให้กับผู้ที่ยืนอยู่ที่ท่า และโบกมือจนเรือห่างออกไปสุดสายตาเหลียวดูรอบกาย หลวงธนสารไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากหล่อนเอง มองดูแสงไฟฟ้าตรงหน้า ความสว่างส่องให้เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ๆ ที่นั้น ซึ่งกำลังโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหวๆ