Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: ppsan on 28 October 2025, 15:41:12
-
นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 7-8
๗
๗ วันนั้นและวันต่อมา หลวงบำรุง ฯ กับหลวงประกอบ ฯ ได้เป็นมัคคุเทศก์พาคุณหญิงรัตนวาทีกับนุช ไปเที่ยวในจังหวัดหลังสวนเกือบทั่วทั้งจังหวัด แต่เมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่ค่อยรุ่งเรือง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีโบราณวัตถุ และไม่มีภูมิประเทศที่งามพิสดารกว่าจังหวัดอื่น เพียงแต่ดูตัวเมืองดูตึกใหญ่ของตระกูล ณ ระนอง ซึ่งในบัดนี้เป็นที่ทำการรัฐบาล ดูพระอารามบางพระอาราม กับลงเรือไปดูปากน้ำเมืองหลังสวน แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือสำหรับดูอีก
ในระหว่างนั้น ความวิสาสะระหว่างนุชกับญาติหน้าใหม่ของหล่อนได้เจริญขึ้นตามสมควร แม่สาวชาวกรุงรู้สึกว่าหลวงประกอบฯ ผู้มีกิริยาท่าทางเป็นขุนนางบ้านนอกอย่างเต็มยศนั้น เป็นคนฉลาดเฉลียวและมีความรู้กว้างขวาง พอที่จะคุยกันเป็นที่เข้าใจกับหล่อนได้ หล่อนได้ทราบว่าเขาเคยเป็นนักเรียนประจำอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญหลายปี เมื่อเรียนสำเร็จก็เข้ารับราชการอยู่ในกระทรวงมหาดไทย และถูกส่งตัวมาประจำอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ในมณฑลปักษ์ใต้นี้ตลอด จนได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นนายอำเภอเมือง อายุของเขาได้ ๓๖ ปีกับ ๔ เดือน ได้เคยแต่งงานครั้งหนึ่ง แต่ภรรยาได้ตายจากไปเมื่อ ๒ ปีก่อน โดยมิได้มีบุตรธิดาด้วยกันแต่สักคน และในเวลานี้หลวงบำรุงฯ ผู้เป็นบิดากำลังแสวงหาคู่ให้เขาอยู่
แม่เฉลา น้องสาวคนโตของเขานั้น อายุย่างเข้า ๒๐ ในปีนี้ อ่อนกว่านุช ๒ เดือนเศษ บิดากำลังจะจัดการตบแต่งให้กับนายชัดผู้หลาน ส่วนแม่ฉลวยอายุเพิ่งได้ ๑๗ ปี หลวงบำรุงฯ ยังมองไม่เห็นใครจะเป็นคู่ครองกับหล่อนได้ แต่ก็กำลังมองหาอยู่ทุกวัน
หญิงสาวทั้ง ๒ คนนี้ เมื่อเด็กเคยเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ กับญาติทางมารดาหลายปี แต่ไม่เคยย่างเท้าเข้าไปในสถานศึกษาใดๆ ถึงกระนั้นหล่อนก็มีมารยาทและอัธยาศัยเรียบร้อย ตามแบบหคบดีชาวชนบท และอ่านหนังสือพอรู้ความ ทั้ง ๒ เป็นคนละมุนละม่อมโดยธรรมชาติ ใจเย็นและช่างพูด นิสัยของหล่อนนั้นซื่อและตรงจนมิได้เคยคิดว่า มีคำ ‘เล่ห์เหลี่ยม’ อยู่ในภาษาไทย เพราะฉะนั้นจึงสนิทสนมกับนุชได้เป็นอย่างดี วิสัยผู้มีธรรมและมีความเจริญในส่วนสมองจะสนิทชิดเชื้อ นับถือยกย่องผู้มีธรรมและมีความเจริญในส่วนสมองเสมอด้วยตนไว้ในฐานะแห่งเพื่อนของตน และจะเมตตาต่อผู้มีธรรมแต่ไร้ความเจริญในส่วนสมอง อย่างผู้ใหญ่เมตตาต่อเด็กอันไร้เดียงสา โดยนัยอันเดียวกัน ผู้ฉลาดและไหวพริบรอบตัว แต่ไร้ธรรม จะสนิทชิดเชื้อกับผู้ฉลาดและไหวพริบรอบตัวเสมอด้วย ตนและไร้ธรรมเช่นเดียวกับตนหาได้ไม่ ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างจะคอยแก่งแย่งซึ่งเหลี่ยมคู และคอยเอาเปรียบกันอยู่ แต่....ความประหลาดแห่งธรรมชาติ!...ผู้ฉลาดและไหวพริบแม้ไร้ธรรม อาจสนิทชิดเชื้อกับผู้ที่โฉดเขลากว่าตนได้ ด้วยเหตุว่าผู้ฉลาดนั้นมีช่องที่จะเอาเปรียบต่อผู้โฉดเขลาอยู่ทุกโอกาสจนเกิดความชิน ไม่ปรารถนาที่จะแก่งแย่งชิงเหลี่ยมคูอีกต่อไป โดยหลักข้อต้นที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ นุชกับเฉลาและฉลวย ๒ พี่น้อง จึงคุ้นเคยและเกิดความไว้วางใจต่อกันโดยง่าย เฉลากับฉลวยมิได้มองดูนุชอย่างขลาดแกมพิศวง และพูดด้วยเพียงครึ่งเสียงอย่างแต่ก่อน และนุชก็มิได้มองดูหล่อนทั้ง ๒ ด้วยสายตาแสดงความห่างเหินและไว้ตัวอีกต่อไป ทั้ง ๒ ฝ่ายได้เรียนรู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นสตรีธรรมดาด้วยกัน เวลาเช้าและบ่าย เมื่อไม่ได้ไปเที่ยวโดยยานทางบกหรือทางน้ำ หล่อนมักจะไปเดินเล่นกันตามลำพังแต่ ๓ คนหรือมิฉะนั้นก็พากันไปนั่งเล่นในสวนอันร่มรื่นด้วยต้นมังคุดทางหลังตึก เวลาแรกที่ได้นั่งลงบนเสือเหนือลานดิน นุชมักจะเอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และเปิดหนังสืออ่านเล่นภาษาอังกฤษออกอ่าน เฉลามักจะหยิบหลอดด้ายและเข็มควักลูกไม้ออกจากกระป๋องบุหรี่ซิกาแร็ต ฉลวยนั้นยังเป็นเด็กและรักที่จะนั่งพูดมากกว่านั่งทำงาน แต่มิช้านาน นุชก็ต้องทำตามอย่างหล่อนบ้างโดยที่สมองของหล่อนเชือนไปเอาใจใส่กับคำสนทนาของฉลวยกับเฉลาเสีย ดังนั้นหล่อนก็ต้องวางหนังสือไว้บนตัก ด้วยความตั้งใจว่าจะฟังข้อความเฉพาะตอนนั้นให้รู้เรื่อง แล้วจะอ่านต่อ ซึ่งในที่สุดความตั้งใจนั้นก็ต้องล้ม เพราะเหตุผลหล่อนถูก ๒ พี่น้องชวนให้พูดเสียเอง ถึงตอนนี้แล้วการสนทนาของหล่อนทั้ง ๓ ก็จำแนกออกได้เป็น ๒ เรื่องคือ ‘เรื่องเมืองฝรั่ง’ ตามที่แม่สาวชาวหลังสวนเรียก นุชเป็นผู้เล่า กับเรื่องเมืองหลังสวน อีกทั้งความเป็นไปในวงศ์ญาติ นุชเป็นผู้ฟัง และหล่อนก็ฟังด้วยความตั้งใจ
วันหนึ่งในขณะที่นุชกำลังเป็นฝ่ายฟังตามเคย หล่อนได้เอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณลุงของเราน่ะ ท่านไม่มีลูกเมียดอกหรือ?”
“มีเมียคะ ตายเสียตั้งแต่ยังสาว แต่ลูกดูเหมือนไม่เคยมี” ฉลวยตอบ
“เมียตายแล้วเลยอยู่คนเดียวเรื่อยมาหรือจ๊ะ ดีแท้ๆ เห็นจะรักเมียมาก ถึงกับไม่มีเมียใหม่”
“ก็ไม่เชิงค่ะ” ฉลวยค้านขึ้นโดยเร็ว แล้วลดเสียงให้เบาลง “แกมีไม่ได้อยู่เอง!”
“ทำไม?” นุชถามด้วยความทึ่ง ในวาระเดียวกันนั้นหล่อนเห็นเฉลาขมวดคิ้วมองดูน้องสาวอย่างไม่พอใจ ทำให้สีหน้าฉลวยเปลี่ยนไป อึกอักอยู่เป็นครู่ จึงพูดด้วยเสียงเกือบเป็นกระซิบ
“เรื่องมันมี ดิฉันจะเล่าให้ฟัง แล้วคุณพี่อย่าพูดไปนะคะ….ก็พอเมียตาย คุณลุงก็ติดคุกเพิ่งได้ออก จะมีเมียได้ที่ไหนล่ะ?”
“อุ๊ยตาย!” นุชร้องดังด้วยความตกใจและสมเพช “ทำไมถึงอย่างนั้น ติดอยู่กี่ปี โทษอะไรกัน”
“ไม่ทราบแน่ทั้ง ๒ อย่าง แต่แกเพิ่งกลับมาอยู่บ้านเมื่อเร็วๆนี่เอง ดูเหมือนก่อนคุณพี่มาไม่ถึงเดือน”
“เพิ่งออกจากคุกมาน่ะหรือ?” นุชถามสีหน้าเศร้า
“เห็นจะอย่างนั้นกระมังคะ” เฉลาตอบช้าๆ อย่างตรึกตรอง “ดิฉัน ๒ คนไม่ค่อยทราบเรื่องนี้ คุณพ่อปิดนักค่ะ แม่ฉลวยแกแอบได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกัน แกมาบอกดิฉันถึงได้รู้เรื่อง เมื่อแต่ก่อนนี้ดิฉันคิดว่าท่านอยู่กรุงเทพฯ เฉยๆ”
นุชผู้ซึ่งเมื่อครู่ก่อนนั่งเหยียดเท้าพิงต้นไม้อย่างสบายได้หดขาเข้ามาและยกมือขึ้นกอดเข่า สีหน้าของหล่อนขรึม มองดูไปข้างหน้าอย่างใจลอย
“คุณพ่อของแม่เฉลา คุณพ่อของฉันกับคุณลุง ๓ คนนี้เป็นพี่น้องสนิทกันหรือ?”
“คุณพ่อของดิฉันเป็นน้องของคุณลุงแท้ๆ แต่คุณพ่อของคุณพี่จะเป็นอะไรกัน ดิฉันไม่ทราบไม่เคยมีใครพูดถึงเลย”
“อย่างสนิทที่สุดก็คงเป็นลูกพี่ลูกน้อง...เคราะห์ดี ไม่ใช่ลุงของเราแท้ๆ” นุชรำพึง ครั้นแล้วหล่อนขยับไหล่คล้ายกับรู้สึกหนาว “โธ่! น่าสงสาร คนหน้าตาดีๆ แท้ๆ เป็นอย่างนั้นไปได้”
ในวันนั้น นุชเกิดมีความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ทำให้หล่อนเลี่ยงขึ้นไปนอนอ่านหนังสือเสียในห้องนอน แทนที่จะนั่งคุยอยู่กับชายชราดังทุกวัน แต่ในวันรุ่งขึ้นในเวลาบ่าย หล่อนกลับมาจากบ้านสวน พอจะก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน ตามองเห็นประตูห้องซึ่งอยู่ใกล้บันไดนั้น ใจหล่อนก็นึกถึงผู้ที่อยู่ภายใน มีความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นใหม่ให้นึกปรานีในชายผู้เคราะห์ร้าย นึกถึงสีหน้าอันเหี่ยวแห้งอยู่เป็นนิจ แต่มักจะเบิกบานแจ่มใสขึ้น เมื่อสายตาได้ประสบควงหน้าของหล่อนบุคคลผู้อารี เมื่อรู้แจ้งว่าตนของตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยทางหนึ่งทางใด มักจะปิติและปรารถนาที่จะเพิ่มพูนประโยชน์นั้น อนึ่ง แล้วนุชเป็นหญิงสาวและหญิงสาวทุกคนใฝ่ใจในอันที่จะบำเพ็ญตนให้เป็นที่ต้องใจถูกใจคนโดยไม่มียุติ หากแต่ว่าเจ้าหล่อนบางคนไม่มีความไหวพริบพอที่จะแสวงหาทาง หรือไหวพริบมีอยู่แล้วแต่ขาดสติ ที่จะบังคับตนให้เป็นอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย สำหรับนุชนอกจากความภูมิใจที่รู้ว่าตนเป็นที่ถูกใจของชายชราแล้ว ยังมีความรู้สึกที่เรียกได้ว่าความอยากรู้อยากเห็น เร้าใจให้หล่อนอยากเห็นหน้าชายชราเพื่อว่าจะได้เห็นความแปลกประหลาดในวงหน้านั้น….หน้าที่เจ้าของได้ทำผิด จนถึงต้องโทษคุมขังเป็นเวลาหลายปี!!!
….บรรจงเปิดประตูอย่างระมัดระวัง แล้วเยี่ยมหน้าเข้าไปภายใน นุชเห็นชายชรานอนหันข้างให้หล่อน กำลังเชยชมภาพถ่ายแผ่นหนึ่งมองปราดเดียวก็จำได้ว่าภาพของหล่อนเอง ถ่ายเมื่อวันจะเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงอังกฤษ ณ ราชสำนักเซ็นต์เยมส์ วันนั้นหล่อนสวมเครื่องแต่งกายแบบผู้หญิงอังกฤษที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน คือสวมเสื้อกระโปรงยาว หางระพื้น สวมถุงมือครึ่งแขน ปักขนนกบนศีรษะ และถือพัดขนนกกระจอกเทศ คืนที่ได้เฝ้าพระเจ้ากรุงอังกฤษนั้น เป็นคืนอันรื่นรมย์ที่สุดคนหนึ่งในชีวิตของนุช เพราะหล่อนได้รับคำชมเชยจากชายหนุ่มนับเป็นจำนวน ๑๐ ว่าหล่อนเป็นสตรีที่งามหาตัวจับได้โดยยาก ในขณะที่หล่อนกำลังนึกถึงภาพแห่งห้องโถงอันงดงามวิจิตร ซึ่งหล่อนได้เหยียบย่างเข้าไปเป็นครั้งแรก นึกถึงความตื่นเต้นอันเกิดจากความปลาบปลื้มระคนกับความประหม่านั้น ชายชราได้วางรูปของหล่อนลงบนทรวงอกและกอดประทับอย่างรักใคร่ พร้อมกันนั้น อัมพรผู้ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้พูดขึ้นว่า
“จะหาคนได้น้อยคนนักที่แต่งตัวขึ้นเหมือนเขา ใครได้เห็นจะไม่ชมว่าสวยเป็นไม่มี!”
สีหน้าของนุชแดงขึ้นทันที ผู้หญิงยิ่งสวยยิ่งชอบให้มีคนชมว่าสวย ถึงกระนั้นก็ยังหน้าชาเมื่อคำชมมาเข้าหู นุชหดตัวออกมานอกประตูเหมือนจะกลับใจเสียไม่เข้าไปในห้องนั้น แต่ครั้นแล้วหล่อนก็กลับใจอีก ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวินาที…. การเปลี่ยนความคิดเป็นสมบัติพิเศษของสตรีนุชไอขึ้นอีกครั้ง แล้วก็ก้าวเท้าเข้าในห้อง
จะเป็นเพราะความตกใจหรืออย่างไรก็ตาม ชายชราได้เลือกรูปเข้าไว้ใต้แพรเพลาะที่คลุมตัวโดยเร็วแล้ว จึงหันหน้าอันมีรอยแห่งความตื่นเต้นมาทางนุช
“ไปไหนมา?” อัมพรถามขึ้น
“มาจากสวนเดี๋ยวนี้เอง” นุชตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ “คุณลุงไม่นอนกลางวันหรือคะวันนี้”
“กำลังจะนอน” อัมพรตอบแทน “เราออกไปกันเสียก่อนเถอะเย็นๆ จึงค่อยมาหาท่านใหม่”
นุชเอียงคอมองชายชราอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ออกจากห้องไปโดยมิได้พูดว่าอะไร
ทั้ง ๒ พี่น้องพากันขึ้นไปบนห้องพัก นุชทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“อัมพรเอารูปเต็มยศของนุช ไปให้คุณลุงดูใช่ไหม?”
“นุชเห็นหรือ?” อัมพรย้อนถามด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ
“เห็นซี” หญิงสาวตอบพลางหัวเราะ “ดูแล้วท่านเอาวางบนหน้าอก พอได้ยินเสียงนุชท่านเลยยัดเข้าใต้ผ้าห่ม ทำยังกะรูป Sweet heart”
“โกงจัง เด็กคนนี้! ไปแอบดูเห็นออกถ้วนถี่แล้วทำไก่เป็นว่าข้าไม่รู้หนเหนือหนใต้” หยุดนิ่งเชิงตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้าวเท้าไปชิดน้องสาว เปลี่ยนเสียงพูดอย่างหนักแน่น แต่มีความตื้นตันระคนอยู่ด้วยว่า “ยิ่งเสียกว่า Sweet heart คุณลุงรักนุชมากกว่าสิ่งใดๆ ในโลกขอให้รู้ไว้”
นุชมองดูผู้พูดอย่างขบขัน พร้อมกับทำหน้านิ่วพอดีกับคุณหญิงสวงเข้ามาในห้อง หล่อนก็หันไปพูดกับท่านทันทีว่า
“คุณแม่คะ เมื่อไรเราจะกลับบ้าน?”
คุณหญิงชำเลืองดูอัมพรก่อน แล้วจึงตอบเนือยๆ
“แม่กะไว้ว่าจะกลับมะรืนนี้”
“Hurra! ดีจริง! นุชกำลังคิดถึงบ้านเต็มที่แล้ว”
สีหน้าอัมพรสลดลงทันที นิ่งอยู่เป็นครูจึงว่า
“นุชไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนหรือ?”
“ก็อัมพรจะอยู่ทำไมอีกล่ะ? นุชไม่อยู่แล้ว”
“ช่างถามได้ว่าอยู่ทำไม” น้ำเสียงออกสั่น “นุชก็เห็นแล้วตั้งแต่มาพี่ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่พยาบาลคุณลุงเท่านั้น”
“ก็อยากพยาบาลเองนี่ นุชไม่เห็นคุณลุงเจ็บเป็นอะไรถึงกับต้องเฝ้ากันวันยังค่ำเลย แต่ก่อนไม่มีอัมพรทำไมท่านถึงอยู่มาได้ เราไปแล้ว ยาย ฉ.๑ กับ ฉ.๒ แกก็พยาบาลกันเองนั่นแหละ”
ขณะที่น้องกำลังพูด สีหน้าอัมพรยิ่งสลดลงทุกที ในที่สุดหล่อนหันไปทางคุณหญิงสวงอย่างจะ ขอร้องความช่วยเหลือ คุณหญิงจึงพูดขึ้นว่า
“นุชยังไม่เข้าใจ คุณลุงท่านป่วยเป็นโรคหัวใจพิการอย่างหนัก ต้องการการพยาบาลเท่ากับต้องการเพื่อนคุย นุชเป็นคนช่างพูดช่างเล่นคนไข้อยู่กับนุชก็เพลิน อยู่กับพี่เขาต่อไปสักหน่อย เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น เมื่อเบื่อเต็มที่ก็โทรเลขไปบอกแม่จะกลับมารับ”
“เสียเวลาคุณแม่ต้องย้อนไปย้อนมาเปล่าๆ อย่าเลยค่ะ นุชจะกลับพร้อมกับคุณแม่มะรืนนี้แหละ”
“เสียเวลาแม่จะเป็นอะไรไป หรือไม่อย่างนั้นให้หลวงประกอบฯ ไปส่งก็ได้ แม่ได้ยินเขาบ่นว่า อยากไปกรุงเทพฯ อยู่เหมือนกัน”
“เฮ้อ! ออกเดินขากางอย่างนั้น ใครจะไปด้วย ไม่เอาละค่ะ คุณแม่กลับเมื่อไรนุชจะกลับด้วย เบื่ออ้ายเมืองนี้เต็มทีแล้ว ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ” พูดแล้วนุชก็นอนลงบนเตียงหันหน้าเข้าฝาเสียทันที
คุณหญิงกับอัมพรมองดูตากัน ครั้นแล้วคุณหญิงส่ายหน้าอย่างสิ้นพูด พลางเดินช้าๆ อย่างตรึกตรองออกจากห้องและลงไปข้างล่าง ลืมธุระที่ตั้งใจจะทำเสียสิ้น ส่วนอัมพรนั่งลงบนเตียงผ้าใบพินิจดน้องทางเบื้องหลังด้วยสีหน้าแสดงความยุ่งยากใจ ในที่สุดหล่อนเม้มริมฝีปากแน่นเข้า ผุดลุกจากที่ตรงเข้าไปนั่งข้างตัวนุช จับบ่าบีบค่อนข้างแรงและขยับปากเหมือนจะกล่าวถ้อยคำที่เผ็ดร้อนออกไปทันที ครั้นแล้วกลับได้สติ หักความฉุนเฉียวเสียได้ มือที่บีบบ่าก็คลายออก ย้ายมาลูบหลังอย่างปรานีพลางว่า
“หันหน้ามาทางนี้แน่ะน้อง พี่จะว่าอะไรให้ฟัง เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวแก่ชีวิตผู้มีพระเดชพระคุณ คือบิดามารดาของเราและเกี่ยวแก่ตัวเราทั้ง ๒ โดยตรงด้วย พี่อยากจะเล่าให้นุชฟังเป็นนักหนามานานแล้ว แต่ก็ผู้มีพระคุณอีกน่ะแหละห้ามไว้ จึงต้องทนความอัดใจไว้คนเดียว เดี๋ยวนี้ถึงคราวจำเป็นจะปิดบังไว้ไม่ได้ต่อไปอีกแล้ว พี่จะปล่อยให้นุชไปจากที่นี่โดยไม่รู้ความจริงเสียก่อนไม่ได้ จะต้องเล่าให้ฟังให้หมดที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่พี่ขอเตือนให้นุชตั้งใจระงับสติอารมณ์ให้ดี ไม่ตีโพยตีพายในเมื่อได้ฟังเรื่องของพี่แล้ว”
นุชพลิกตัวหันหน้ากลับมาช้าๆ จะเป็นเพราะเหตุใดหล่อนเองก็อธิบายไม่ได้ หล่อนรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนเต้นแรงขึ้นผิดปกติ จ้องดูพี่สาวด้วยแววตาแสดงความสงสัย และหวาดกลัวระคนกัน แล้วหล่อนจึงว่า
“มีอะไรก็เล่าไป นุชกำลังตั้งใจฟัง”
อัมพรประสานมือวางไว้บนตัก หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยถ้อยคำอันชัดเจนแต่ทว่าน้ำเสียงสั่นระรัว
“นุช เจ้าคุณรัตนวาทีและคุณหญิงสวงไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเรา แม่ของเราแท้ๆ นั้นตายเสียนานแล้ว และพ่อของเราแท้ๆ นั้นคือคุณลุง!”
.
-
๘
ถึงแม้ว่าสายอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมากลางห้อง ก็จะไม่ทำให้นุชตกตะลึงเท่ากับเมื่อหล่อนได้ยินคำพูดประโยคนั้น ผุดลุกขึ้นนั่ง ชะโงกตัวเข้าไปจนลมหายใจต้องหน้าอัมพร กัดฟันพลางถามว่า
“นี่อัมพรเป็นบ้าหรือ? พูดอัปมงคลอะไรอย่างนี้!”
พี่สาวจ้องหน้าน้อง ด้วยสายตาแสดงความสงสารเป็นล้นพ้น แล้วตอบช้าๆ ด้วยเสียงเดิม
“สติของพี่ยังบริบูรณ์ดี พี่รู้แล้วนุชจะต้องตกใจมาก แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“บ้า! บ้าห้าร้อยหน!” นุชกล่าว คางสั่น แทบว่าฟันจะกระทบกัน “ขี้ปดทั้งเรื่อง ฉันจะบอกคุณแม่!” พูดแล้วหล่อนก็ยื่นเท้าออกนอกเตียง
“ช้าก่อน!” อัมพรพูดเร็ว ยึดแขนน้องสาวไว้โดยละม่อม “นุชต้องนึกว่าพี่เป็นพี่ของนุชแท้ๆ เท่ากับคุณหญิงสวงเป็นคนอื่น เรื่องราวอะไรพี่จะเอาเรื่องเท็จมาบอกกับนุช ทรมานคนเล่นสนุกอะไร”
“บ้า!” นุชยืนคำเสียงสั่น สะบัดแขนจากกำมือพี่สาวโดยแรง “นุชน่ะหรือเป็นลูกของตาแก่ขี้คุกคนนั้น? ใครว่าจริงคนนั้นโกหก!”
ก่อนที่จะขาดคำ ดวงตาของนุชได้ประสานกับดวงตาของอัมพรอย่างจัง ทั้ง ๒ จ้องดูกัน... ในทันใดนั้น นุชก็ทิ้งตัวลง นอนคว่ำลงบนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอน ดังหนึ่งจะพยายามแทรกตัวเข้าไปอยู่เสียที่ในหมอน พร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูทั้ง ๒ ข้างไว้แน่นด้วย
อัมพรหายใจสะอื้น มองดูร่างที่นอนคว่ำอยู่ตรงหน้าด้วยความรันทดและประหลาดใจระคนกัน พลางพูดว่า
“พี่นึกแล้วว่านุชคงตกใจมาก แต่ไม่ได้นึกว่าจะรู้ความเป็นไปในชีวิตของคุณพ่อที่แล้วมา ใครเป็นคนเล่าให้นุชฟัง?”
นุชคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม อัมพรจึงพูดต่อไปช้าๆ
“เป็นกรรมของเราแล้วจะทำอย่างไร ดีแล้วที่นุชรู้ความจริงส่วนสำคัญในชีวิตของคุณพ่อเสียก่อน ทำให้พี่คลายลำบากใจ ในการที่จะต้องเป็นผู้บอกแก่นุช ความจริงต้องเป็นความจริง เราจะหลีกเลี่ยงอย่างไรก็ไม่พ้น แต่ขอให้นุชเข้าใจเสียก่อนว่า ถึงแม้พ่อของเราจะเคย...เคยต้องโทษคดีอุกฉกรรจ์ แต่ท่านมิใช่ผู้ร้ายใจอำมหิตและเป็นคนอันธพาล ตรงกันข้าม ท่านเป็นคนมีน้ำใจอันดี ที่เราควรจะเคารพเป็นอย่างยิ่ง หากแต่เวรกรรมบันดาล ให้ท่านลุอำนาจโทสะจริตขึ้นครั้งหนึ่งเท่านั้น จึงเกิดเป็นเรื่องร้ายเข้าลึกถึงเพียงนี้”
นุชยังคงนิ่งอึดอยู่เช่นเดิม แต่มือทั้ง ๒ ที่ปิดหูอยู่นั้นได้คลายออกเล็กน้อย อัมพรเองเมื่อนึกถึงความหลังแห่งบิดามารดาแล้วก็ให้ตื้นตันใจ แทบว่าจะพูดออกมาอีกมิได้ แต่อัมพรมิใช่เป็นคนอ่อนแอโลเล ความเด็ดขาดเป็นคุณสมบัติประจำตัวของหล่อน หล่อนได้ตั้งใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องให้น้องสาวฟังโดยละเอียด หล่อนจะต้องเล่าจนได้ ภายหลังที่ได้ตั้งสติรวบรวมความทรงจำได้ดีแล้ว หล่อนก็เริ่มเล่าเรื่องอันรวบรวมเป็นใจความดังต่อไปนี้
บิดาของอัมพรมีนามว่าอาจเป็นบุตรคหบดีผู้มีชื่ออยู่ในเมืองหลังสวนนี้ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี บิดาได้นำตัวไปฝากไว้ในโรงเรียนนายร้อยทหารบก ครั้นอายุได้ ๒๒ ปีก็ได้รับยศเป็นนายร้อยตรีในกองทัพบกสยาม เมื่อเวลาที่นายอาจยังเป็นนักเรียนทำการนายร้อย ได้ผูกสมัครรักใคร่กับธิดาคนเดียวของข้าราชการผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง โดยที่บิดามารดาของฝ่ายหญิงมิได้รู้ความ เจ้าหล่อนผู้นั้นมีนามว่าพิศ หนุ่มสาวทั้ง ๒ ได้ลักลอบพบปะกันและส่งข่าวสาส์นถึงกันเสมอมิได้ขาด แต่เป็นดังนั้นมาตลอดปีกว่า วันหนึ่งเมื่อถึงคราวเคราะห์ร้าย มารดาของพิศจับจดหมายที่นายร้อยตรีอาจมีไปถึงบุตรีได้ ได้นำจดหมายนั้นไปให้สามีดู จึงเกิดเหตุถึงกับพิศต้องถูกทุบตี ตลอดจนถูกกักตัวมิให้ลงจากเรือน แต่ท่านยอมว่า ความรักนั้นเรียกร้องความรักและเมื่อรักต่อรักได้ประสบประสานกัน แล้วก็เกิดเป็นอำนาจที่แรงกล้าพาไปสู่ความพยายาม จากนั้นความพยายามก็ชักจูงผู้พยายามไปสู่ความสมปรารถนา อันอาจเป็นผลดีหรือตรงกันข้ามแล้วแต่เหตุการณ์ ดังนั้นภายในเวลาอันไม่ช้านาน โดยความพยายามของคู่รักทั้ง ๒ พิศก็หายตัวไปจากบ้านได้โดยปราศจากร่องรอย ทำให้ท่านขุนนางผู้สูงศักดิ์เกิดเป็นฟืนเป็นไฟ สิ่งแรกที่ท่านขุนนางผู้นั้นกระทำลงก็คือ พาตำรวจไปค้นบ้านนายร้อยตรีอาจ ครั้นไม่ได้ตัวบุตรี จึงนำความไปแจ้งกับผู้บังคับกองพัน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนายร้อยตรีอาจนั้นเป็นเชิงอายัติ แต่ในวันและเวลาเดียวกันกับที่พิศหายไปจากบ้านนั้น นายทหารหลายคนได้เห็นคู่รักของหล่อนทำงานอยู่ที่กรมตลอดวัน ยิ่งกว่านั้น ตลอดหนึ่งสัปดาห์รวมทั้งวันอาทิตย์ด้วย อาจได้ขลุกอยู่ที่กรมหรือสโมสรเกือบจะว่าได้ว่าตลอด ๒๔ ชั่วโมง ความจริงนั้นคือพิศได้ออกจากบ้าน และโดยสารรถไฟไปนครปฐมกับเพื่อนคนหนึ่งของนายร้อยตรีอาจ เขาผู้นั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนสุรพจน์พิสุทธิ์ ได้พาหล่อนไปไว้ที่บ้านมารดาเลี้ยงของนายร้อยตรีอาจ และคู่รักของพิศได้ตามมาหาหล่อนใน ๑๐ วันต่อมา
ด้วยความพยายามและระมัดระวัง นายร้อยตรีอาจได้เวียนขึ้นเวียนล่อง เพื่อมาพบปะกับภรรยายอดที่รักบ่อยที่สุดที่ตนจะทำได้ ต่อมาประมาณ ๑๐ เดือนเศษ เขาก็มีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง บิดามารดาพร้อมใจกันให้ชื่อว่าอัมพร
เมื่อได้มีลูกเป็นเนื้อตัวขึ้นดังนี้แล้ว นายทหารหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว จึงปรารภที่จะพาภรรยากลับเข้ากรุงเทพฯ ไปอยู่ด้วยกันให้เป็นฝั่งฝา แต่พิศยังมีความกลัวบิดาอยู่ เป็นความกลัวของผู้เคยกลัว ถึงสามีจะได้ชี้แจงให้ฟังว่า บิดาของหล่อนนั้นหมดสิทธิในตัวหล่อนแล้ว พิศก็ยังไม่วายที่จะกลัวอยู่นั่นเอง ดังนั้นหล่อนจึงยังคงซ่อนตัวอยู่ในจังหวัดนครปฐมอีก ๓ ปีเศษ จนเกิดบุตรีเป็นคนที่ ๒ ในเวลาใกล้ๆ กันนั้น มารดาของพิศก็ถึงแก่กรรมลง
ความเศร้าโศกเสียดายมารดาที่รัก และเสียใจที่มิได้เห็นใจมารดาในวาระสุดท้าย ตลอดจนไม่มีหวังที่จะได้เผาศพ ทำให้ร่างกายพิศทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นกังวลในความอ่อนแอของภรรยาเป็นอย่างยิ่ง ความปรารถนาที่จะให้หล่อนได้อยู่ในความดูแลของตนทุกเวลาก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เขาจึงอุบายชี้แจงแก่หล่อนว่า เนื่องจากแม่ของพิศได้ตายจากไปแล้ว บิดาคงจะเมตตาต่อบุตรี และยอมยกโทษให้ในความผิดที่แล้วมา อาศัยความปรารถนาที่จะดูเปลวเพลิงมารดาเป็นเครื่องสนับสนุน พิศได้ตกลงพาบุตรีอายุ ๓ ปีกับ ๔ เดือนคนหนึ่ง กับบุตรีคนเล็กอายุเพียง ๓ เดือน โดยสารรถไฟกลับกรุงเทพฯ โดยเร็ว
ในเวลานั้น อาจได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยโท ชั้น ๓ ได้รับพระราชทานเงินเดือนเพิ่มเติมขึ้นอีกเล็กน้อย
๒ สามีภรรยา ได้มาอยู่เป็นหลักแหล่งในเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งที่ถนนตรีเพชร รื่นรมย์สมสุขอยู่ด้วยกันเพียง ๒ อาทิตย์ ครั้นแล้วเรื่องร้ายอันน่าหวาดเสียวก็เกิดขึ้น
นายร้อยโทอาจ จะต้องไปอยู่เวรรักษาการณ์ เขาร่ำลาภรรยาอย่างแสนอาลัย จูบลูกน้อยทั้งสองอย่างแสนรักแล้วก็จากไป
วันรุ่งขึ้น แทนที่จะได้กลับบ้านตามกำหนดให้ทันใจ เขาต้องทำหน้าที่พิเศษบางอย่าง ทุกค่ำมีการเลี้ยงที่สโมสร เพื่อนนายทหารมากหน้าหลายตา ทุกคนสนุก ทุกคนเฮฮา ทุกคนดื่มๆๆๆ จนเมา อาจหาช่องทางเลี่ยงจากสโมสร ได้เวลา ๒๒ นาฬิกา เขายังมีสติพอที่จะนึกถึงภรรยาของเขา มากกว่าความสนุก มาถึงบ้านเห็นรถเทียมม้าเทศเดี่ยวคันหนึ่งจอดอยู่ อาจมิได้เอาใจใส่ ตรงขึ้นเรือนโดยไม่รั้งรอ พอถึงขั้นบันไดสุด อาจหยุดชะงักชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้านหน้าเหี้ยมเกรียม ในมือถือตะพดอันใหญ่ ส่งเสียงเกรี้ยวกราดขู่ตะคอก และฉุดคร่าภรรยาของเขาอยู่ หน้ามืดด้วยฤทธิ์โทสะและแอลกอฮอล์รวมกัน อาจควักปืนจากกระเป๋ากางเกงยิ่งปังออกไปทันที
เสียงหญิงร้องหวีด! สุดเสียง ชายร่างใหญ่กำยำล้มลง ชักดิ้นชักงออยู่ ๒-๓ นาที แล้วก็ขาดใจ พิศตกตะลึงตาเหลือกลาน โถมตัวเข้ากอดศพไว้ แล้วก็แน่นิ่งอยู่กับที่ อาจถลันเข้าไปถึงตัวหล่อน ช้อนศีรษะขึ้นแนบอก พิศหลับตานิ่ง เขาก้มหน้าลงชิดกับจมูกหล่อน สังเกตลมหายใจ…. ลมหายใจ! จะมีที่ไหน! พิศสิ้นลมหายใจเสียแล้ว เดี๋ยวนี้เอง!!!
อาจสิ้นสติ ลืมตัว ลืมอันตราย เขาเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ศพยังนอนอยู่ตรงหน้า โลหิตไหลนองพื้นกระดาน อาจมิได้คำนึงถึง กอดศพภรรยาประทับไว้กับตัว ร่ำเรียกร้องจนเสียงหลง น้ำตาร้อนผ่าวหยดลงบนหน้าอันขาวซีด นั่งอยู่ในท่านั้นนานเท่าไรไม่มีใครบอกได้ ตราบเท่าจนตำรวจเข้ามาถึง เขาพากันยื้อแย่งจะดึงร่างของพิศจากวงแขนชายผู้เป็นสามี อาจดิ้นรนขัดขึ้น กำลังแรงดังหนึ่งพยัคฆ์ร้าย แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ กุญแจเหล็กสวมลงบนข้อมือดังฉับ พร้อมกับเจ้าของมือหมดสติล้มกลิ้งอยู่กับที่....
อัมพรเล่าถึงเพียงนี้ก็หยุดนิ่ง หยาดน้ำตาไหลเปื้อนเต็มหน้าของหล่อน นุชมิได้รู้สึกตัวว่าได้ลุกขึ้นนั่งตั้งแต่เมื่อไร แต่หล่อนก็กำลังนั่งตัวแข็งอยู่บนเตียง เสียงอัมพรเงียบหายลง เสียงสะอื้นจากลำคอนุชดังขึ้นแทน บุตรีคนเล็กของนายอาจกำลังร้องไห้จนไม่เป็นสติสมปฤดี
.