Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...

เรื่องราวน่าอ่าน => ถาม - ตอบ สารพัดปัญหา => Topic started by: Smile Siam on 22 December 2012, 07:13:13

Title: ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
Post by: Smile Siam on 22 December 2012, 07:13:13

ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : คำนำ

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"

คำนำ

...ความรักอาจเป็นสิ่งงดงามที่สุดสำหรับเหล่ากวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพอใจจะปลูกผักปลูกผลไม้กินกันเองตอนกลางวัน แล้วไปนอนนับดาวร่วมกันตอนกลางคืน ก็ง่ายที่จะร่ายบทกวีอันไพเราะได้ประมาณว่า แค่มีรักเสียอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นใดเพิ่มเติมอีกแล้ว และถ้าไม่มีรักเสียอย่างเดียว ก็ไม่รู้จะมีอะไรที่กำลังมีไปทำไมอีก
ใช่แล้ว… ความรักเป็นสิ่งงดงาม ในคำว่ารักไม่มีความน่าเกลียดน่าชัง แต่ การอยู่ร่วมกันของคู่รักอาจนำมาซึ่งความรู้สึกเกลียดชังได้ และหลังจากไม่อาจทนอยู่ร่วมกันจนต้องแยกทาง สิ่งเดียวที่หลายคู่ทิ้งไว้ให้แก่กันคือความรู้สึกแย่ๆและบาดแผลที่ไม่มีวัน ประสาน

...ถ้ารู้จักรัก ถ้าสร้างความรักเป็น และถ้าเข้าใจว่าจะแก้ปัญหาที่ความรักสร้างขึ้นได้อย่างไร คุณจะมีรักในอุดมคติ คือมีรักอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องรอส่วนประกอบอันใดเพิ่มเติมให้กับชีวิตคู่อีก
แต่หากเป็นตรงข้าม… ความรักอาจทำให้คุณรู้สึกขาดไปทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอิสรภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง ไปจนกระทั่งความดีงามเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง!

ดังตฤณ
มกราคม ๕๑

____________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : เนื้อคู่มีจริงหรือไม่

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
ถาม - เนื้อคู่มีจริงหรือไม่? ใช้เกณฑ์อะไรวัดว่าคนที่เราคบอยู่เป็นเนื้อคู่ของเราหรือเปล่า? นอกจากนี้ กรรมและบุญจะส่งผลต่อการเกิดมาเป็นคู่กันได้อย่างไร?

เนื้อคู่ในแบบที่ชาวโลกเพ้อว่าเป็นไปตามอุดมคติ ชนิดที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ ไม่พรากจากกันเลยนั้น ไม่มีหรอกครับ ดูจากในชาดกก็ได้ บางชาติพระนางพิมพา คู่บารมีของพระโพธิสัตว์ ยังเป็นมเหสีของพระอานนท์เลย
สิ่งที่ควรดู คือเมื่อเข้าคู่กันแล้ว


๑) รู้สึกว่าใช่หรือเปล่า (เป็นเรื่องของสัญญาณที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกล้วนๆ)

๒) เกิดแต่เรื่องดีๆเมื่ออยู่ด้วยกันหรือเปล่า (วัดผลของอดีตกรรมที่ให้เป็นวิบากฝ่ายดี)

๓) ร่วมกันเปลี่ยนอุปสรรคหรือเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้หรือเปล่า (ดูปัจจุบันกรรมที่เอื้อให้เกื้อกูลร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้แค่ไหน)

๔) เกิดแรงบันดาลใจให้คิด พูด ทำดีๆต่อกันและต่อคนรอบข้างหรือเปล่า (ปัจจุบันกรรมที่จะให้ผลเป็นวิบากอนาคตที่สดใสหรือไม่ เท่าที่ผมพบมา คู่ที่จรรโลงใจกันด้วยบุญ เลี้ยงใจกันด้วยบุญไม่ขาดสายเท่านั้น ที่ไม่เบื่อ ไม่แห้งแล้งต่อกันเสียก่อนตาย)

สรุปคือเข้าคู่กันแล้วรู้สึกดีๆ เกิดเรื่องดีๆ ก็ใช่เลยครับ และไม่ต้องไปหมายมั่นเอาว่านั่นคือเครื่องแสดงความถาวร เป็นเนื้อคู่นิรันดร์ เพราะสังสารวัฏไม่มีอะไรอย่างนั้นให้ มีแต่เปลี่ยนกับเปลี่ยนครับ จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงเท่านั้น

การที่มีอัตภาพได้ มาเจอกันแล้วรู้สึกดี ก็ถือว่าเป็นบุญเก่าที่ให้ผลเป็นกุศลวิบากอยู่แล้ว นั่นเป็นของในอดีตล้วนๆ นับแต่วินาทีแรกที่พบกัน แม้ว่าวิบากเก่าอาจจะยังให้ผลไม่หมดสิ้น มีแรงหนุนให้อยากคบหา หรือมีความหนุนเนื่องให้เกิดเหตุการณ์ดีๆ ปัจจัยประกอบดีๆ ก็ต้องถือว่าทั้งสองต้องเลือกเอาเอง กำหนดเอาเอง ว่าจะทำปัจจุบันให้เป็นอย่างไร ถางทางอนาคตให้ดีร้ายแค่ไหน จะเลี้ยง ความรู้สึกดีต่อกันไว้ได้นั้น บุญเก่าอาจมีส่วนในแง่ของการเอื้อปัจจัย แต่ไม่ได้เป็นประกันชัดเจนเหมือนบุญใหม่แน่นอน ทำนองเดียวกันกับที่เราอาจใช้ชีวิตตอนต้นเร่งสร้างเงินทอง เมื่อมีฝากธนาคารหลายๆล้านแล้ว ก็เรียกว่าเป็นปัจจัยหนุนเนื่องที่ดี ที่จะสร้างความสุขสมบูรณ์ให้ชีวิต แต่ใครจะรู้ คนบางคนพอมีเงินมาก แทนที่จะใช้ในทางดี กลับเอาไปเล่นพนัน ลงขวดเหล้า ลงอ่างน้ำ เป็นพิษสุราเรื้อรังก็ได้ เป็นเอดส์ก็มี หรือแย่น้อยกว่านั้นหน่อยก็อาจเอาแต่กินๆนอนๆ เงินทองไม่สั่งสมเพิ่มขณะที่ต้องจ่ายมากตามฐานะที่รวยมาก ในที่สุดก็หมดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อเวลาผ่านไป

ทำนองเดียวกัน สมมุติว่าสองคนสร้างบุญมาด้วยกัน ชาติใกล้ชักชวนกันทำทานเป็นงานอดิเรก ต่างฝ่ายต่างก็ได้แดนเกิดร่ำรวย ไม่ขัดสน พอมาเจอกัน คบกัน อยู่ด้วยกันไม่ทันไร อยากทำธุรกิจค้าขาย ก็อาจรวยไม่รู้เรื่อง ชาติใกล้เตือนกันและกันตั้งใจรักษาศีล ให้บริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างมีรูปร่างหน้าตาต้องใจเพศตรงข้าม พอมาเจอกัน ก็เอ็นดูเสน่หา หลงใหลในกันและกันรุนแรง ชนิดที่ใครอื่นหมื่นแสนก็ทำให้หลงไม่ได้เท่า ชาติใกล้อาจจูงมือกันเข้าวัดเข้าวา ฝึกภาวนาให้เกิดความตั้งมั่นทางจิตใจ เจริญปัญญาให้แก่กล้าหวังความหลุดพ้นในที่สุดด้วยกัน ตั้งความปรารถนาว่าจะพบเพื่อเกื้อกูลกันให้ถึงที่สุดทุกข์ ไม่ขวางกันและกันในเส้นทางมรรคผล พอมาเจอกัน ก็เกิดความผ่องใส เย็นรื่น แค่อยู่ด้วยกันเฉยๆก็อาจเป็นแรงสะกิด อีกฝ่ายให้สงบลงจากทุกข์ และโน้มน้าวกันให้ใฝ่แต่เรื่องแสนดี งดงาม ไม่เป็นที่ระคายต่อกัน เจอพระสงฆ์องค์เจ้าก็แต่ที่ดีๆ ไม่ลุ่มหลงประเภทพาญาติโยมลงเหว เป็นต้น

หน้าที่ของวิบากฝ่ายกุศลเป็นอย่างนั้น ให้ผลตามเหตุปัจจัยเป็นเรื่องๆ ผมเคยพบคู่ตัวอย่างที่วิบากเก่าให้ผลดีรุนแรงพรั่งพร้อมมาบ้าง ประเภทนี้จะได้เปรียบตรงที่เจอกันปุ๊บจะรู้สึกว่าเข้ากันได้ปั๊บ และเกิดแรงบันดาลใจจะทำกุศลชนิดล้นๆร่วมกันแต่แรก

อย่างไรก็ตาม มีอีกมากนัก ที่ทำบุญมาด้วยกันแค่ระดับทาน อาจรวยร่วมกัน เจอกันยิ่งรวยมหารวยเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ปัญญาที่จะประคองรักร่วมกันอาจขาดไป ได้กันแล้วก็เบื่อกัน ไม่ต่างกับเสพสมบัติชนิดอื่นๆ ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจมักมากในกามจนต้องออกไปเลอะเทอะข้างนอก และคนมีเงินนั้น ผิดศีลได้มากข้อนัก คงไม่ต้องขยายความ

มีอีกมากนัก ที่ชวนกันรักษาศีลมาก่อน จะโกหกนั้นไม่เอา บี้มดตบยุงก็ไม่ยอม แต่ขาดทานบารมีร่วมกันมา ชวนกันอดออม ชวนกันตระหนี่เสียมาก เพราะไม่รู้ค่าของทาน ไม่เชื่อผลของทาน เกิดมาเจอกันอาจจะรักกันดูดดื่มปานจะกลืน เพราะรูปสวยด้วยกันทั้งคู่ แต่ขอโทษ ต้องกัดก้อนเกลือกินจนตาย ถึงสัญญาเก่าที่เจือด้วยความบริสุทธิ์ของศีลจะดึงรั้งไม่ให้นอกใจกัน ก็อยู่ร่วมกันอย่างอัตคัดขัดสน ผอมแห้งแรงน้อย ก็เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่ายกันและกันอันเนื่องจากความเป็นอยู่ได้อีก

โดยความไม่สมบูรณ์ของ ทาน ศีล ภาวนา ที่บำเพ็ญมาร่วมกัน คู่รัก ที่เป็นปุถุชนทั่วไปจึงมักขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่ง ที่จะเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงตามวิถีทางธรรมชาติ ให้มั่นคงในรักต่อกัน หรือให้มีความสุขสดชื่นบำรุงจิตใจกันและกัน ฉะนั้นถ้าหากอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีปัจจัยปรุงแต่งชนิดที่เป็นกุศลหล่อเลี้ยง ให้เกิดความชุ่มชื่นใหม่ๆ ทวีขึ้นทุกๆวัน ก็เป็นธรรมดาที่ความรักจะโรยราลงตามธรรมชาติใจที่เบื่อหน่ายของเก่าซ้ำซาก จำเจ เท่าที่เคยเห็นคู่ที่ติดใจกันและกันโดยเนื้อหนัง เวลาเบื่อจะหน่ายยิ่งกว่าเห็นปลาทูเค็ม เล็บยังไม่อยากจะแตะ เงาก็ไม่อยากจะเห็น นี่คือธรรมชาติเสื่อมโทรมทางความรู้สึกในกาม

เท่าที่เห็นคู่ที่ทำบุญร่วมกันทุกวัน จะสัมผัสได้ถึงกระแสชนิดหนึ่ง เยือกเย็น อ่อนโยนเป็นธรรมชาติ กระแสชนิดนี้เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณทั้งฝ่ายชายและหญิง ให้เกิดความรู้สึกด้านดีต่อกัน แม้เบื่อกันทางเนื้อหนังแล้ว ก็ยังน่าจะอุ่นใจ เย็นกาย ไม่รู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายเลย เหมือนแต่ละฝ่ายเป็นส่วนเติมความเย็นให้แก่กัน เข้าใกล้กันแล้วไม่ร้อน อยู่ร่วมกันนานแล้วไม่จืด เพราะคอยเติมความเย็นให้ทวีขึ้นเรื่อยๆ (ต้องดูปัจจัยภายในเช่นเจตนาและความใจบุญแท้จริงด้วยนะครับ ชาวพุทธเราหลายคนทีเดียวที่ทำบุญแบบส่งๆ หรือทำสักแต่หวังแลกความรักแบบง่ายๆ อันนั้นก็ทำบุญแบบไม่ฉลาดนัก)

และเท่าที่มีโอกาสสัมผัสจริง คู่ที่หมั่นชวนกันภาวนาร่วมกัน ตะลอนๆหาวัดด้วยกัน จะมีสายสัมพันธ์อีกลักษณะหนึ่งให้สัมผัสรู้สึก มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งยิ่งกว่าคู่รักประเภทที่กล่าวมาข้างต้นมาก คือนอกจากกระแสความเยือกเย็นที่สื่อเป็นสายสัมพันธ์เหนียวแน่นแล้ว ยังมีความอบอุ่นมั่นคงอีกชนิดหนึ่ง ให้ความรู้สึกโปร่งเบา ปลอดภัย และมีความแน่นอนกว่ากันมาก อยู่ร่วมกันนานๆแล้วเมื่อกระแสจิตจูนตรงกัน ทั้งในระดับของการมีใจเปิดเป็นทาน ช่างให้ทั้งทรัพยทาน อภัยทาน วิทยาทาน ธรรมทาน ทั้งในระดับของการมีใจสะอาดเป็นศีล บริสุทธิ์สว่าง ห่างจากการคลุกกิเลสหยาบหนา ทั้งในระดับของการมีใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีความมั่นคงแน่วแน่ในภายใน เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกัน รวมทั้งตัวเองได้ ทั้งในระดับของการมีใจปล่อยวางอย่างเป็นพุทธิปัญญา ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ในกันและกันรุนแรง แบบนี้นะครับ ไปไหนก็เป็นความชุ่มฉ่ำ สุกสว่างให้กับทุกที่ ทุกคนที่ใกล้ชิด

พูดแล้วเหมือนนิยาย แต่ก็คือความจริง มีจริง เป็นไปได้จริง ขอให้มีพื้นฐานธรรมะอยู่ในใจของทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง เมื่อมาพบกัน รู้จักกัน ก็เกิดเรื่องจริงที่เหมือนอิงนิยายได้ทั้งนั้น เผลอๆนักประพันธ์จะคาดไม่ถึง จินตนาการไปไม่เจอด้วยซ้ำ เนื่องจากนักประพันธ์ส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจที่แท้จริง ว่าคู่อุดมคติตามแนวพุทธแท้ๆนั้น มีองค์ประกอบ มีปัจจัยอุดหนุนมาอย่างไร

http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm

____________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : คู่เวรมีจริงหรือไม่ และจะหลีกหนีได้หรือเปล่า

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
ถาม - คู่เวรมีจริงหรือไม่? แบบที่พออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความวิบัติ และความหมายของคู่แท้หมายถึงอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความสุขความเจริญใช่ไหม? หากเป็นเช่นนั้นต้องเชื่อเกณฑ์ของดวงชะตาราศีที่ว่าจะเจอคู่แท้เมื่อนั่น เมื่อนี่ใช่ไหม? ถ้าหากว่าเรามีวิบากที่ต้องเจอคู่ที่ทำให้เราไม่มีความสุข เราจะหลีกหนีได้หรือไม่?

คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่าคู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่าถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและ ปัจจุบันประกอบกัน

ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่
๑) มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน

เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศ เดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน
๒) มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน

คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นใน กันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ
๓) มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน

อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่น อีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กัน แน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน
๔) มีปัญญาเสมอกัน

กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่น ฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นฝ่ายรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้

แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้วิบากเก่าบันดาลให้ช่วงแรกคบเกิดแต่เรื่องดีๆ ต่างฝ่ายต่างเป็นสุขชื่นมื่น ไปที่ไหนใครก็เชียร์ ทำอะไรร่วมกันก็รุ่งเรือง แต่ถ้าบุญเก่าแพ้บาปใหม่ ค่อยๆสั่งสมบาปจนต้องทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดการทำร้ายกันด้วยวิธีต่างๆ คู่บุญก็เปลี่ยนเป็นคู่ครึ่งบุญ (เก่า) ครึ่งบาป (ใหม่) ได้ ความหลงลืมอดีตชาติ ความประมาทในวัย และความไม่รู้จักบุญบาป ไม่เชื่อว่าบุญบาปมีผลนั่นแหละ ที่อาจเปลี่ยนคู่บุญให้เป็นคู่บาปได้ตลอดเวลา

บาปนั้นแม้เล็กน้อยก็เหมือนเหรียญหยอดกระปุก เพียงสั่งสมให้มากวันละเล็กวันละน้อย เมื่อถึงวันหนึ่งลองยกกระปุกดู ก็อาจพบว่ามันหนักราวกับลูกเหล็กใหญ่ และถ้าเป็นบาปที่สะสมร่วมกัน ก็อาจถูกฉุดลากลงต่ำพร้อมกันได้

บาปอันมีผลที่ทำร่วมกันแล้วหญิงชายกลายเป็นคู่บาปนั้น ยืนพื้นอยู่บนกิเลส ๓ ประการของมนุษย์ ได้แก่
๑) ราคะ

คือทำเรื่องบาดใจกันทางเพศ ไปมองคนอื่น ไปคุยกับคนอื่น และกระทั่งไปมีคนอื่น กระแสกรรมอันสำเร็จด้วยการนอกใจ จะเป็นของแหลมคมที่กรีดใจผู้ทำให้เป็นทุกข์ก่อน ในรูปของความรู้สึกผิด และเมื่อประจวบกับความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งเมื่อเรื่องแดง คู่ของตนทราบเรื่อง ก็ต้องเป็นทุกข์ตาม ในรูปของความผิดหวังเสียใจ ความร้าวฉานอันเกิดจากเรื่องทางเพศนั้น แม้คู่ครองไม่ผูกใจเจ็บ อย่างน้อยก็กลายเป็นเงามืดติดตามไปบนเส้นทางความสัมพันธ์ เมื่อเกิดชาติใหม่ความสัมพันธ์ทางเพศจะเป็นแรงดึงดูด แต่แรงดึงดูดนั้นแฝงความน่าคลางแคลงชอบกล อย่างน้อยก็มีเหตุน่าสับสน ทำให้คิดๆว่าจะเอาใครดี คนนี้ดีแน่ไหม หรือกระทั่งเกิดความรู้สึกสกปรกเมื่อถูกเนื้อต้องตัวในช่วงแรกๆ ขัดแย้งกันแปลกๆกับความวาบหวามเมื่อใกล้กัน

รสนิยมทางเพศที่ไม่เสมอกันก็อาจเป็นชนวนได้ แต่มาในรูปของความหน่าย ไม่อยากไปด้วยกัน ไม่ใช่ความบาดใจเหมือนอย่างการนอกใจกัน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มเหงและเป็นโรคจิตวิปริตทางเพศ กระทำย่ำยีให้อีกฝ่ายเจ็บกายเจ็บใจเป็นประจำ ก็มีส่วนก่อกระแสภัยเวรขึ้นในสายสัมพันธ์ได้เช่นกัน
๒) โทสะ

ส่วนใหญ่มักมีมูลจากช่องว่างระหว่างคน เมื่อทรรศนะต่างกัน เมื่อความอยากต่างกัน เมื่อรสนิยมต่างกัน เมื่อสำเนียงและภาษาต่างกัน อะไรๆในทางร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในรูปของการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อทะเลาะเบาะแว้งย่อมผูกใจเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาท อยากแก้แค้น อยากเอาคืน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง พูดไม่ได้ก็เย้ยหยันเหยียดหยามผ่านแววตาให้สะใจเสียหน่อยก็ยังดี กรรมร่วมกันที่ทำด้วยโทสะจะเป็นแรงผลักไส หรือดลใจให้นึกเกลียดกัน แต่โทสะนั้นเองก็เป็นพลังร้อยรัดให้ต้องอดรนทนไม่ได้ อยากวนเวียนมาทิ่มตำกันเสียหน่อย ได้ประชดประชัน ได้เอาชนะสำเร็จแล้วสะใจและเป็นสุขพิลึก ท้ายที่สุดพอร่วมหอลงโรงจริง ความสนุกจากการงอน การง้อ ก็แปรไปเป็นโศกนาฏกรรมได้ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลทางเพศกลายเป็นเครื่องมือกดความรู้สึกให้ดูถูกกันและ กัน เห็นอีกฝ่ายแต่ในทางต่ำ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อาจบันดาลให้อยากส่งคู่ครองไปสู่ปรโลกได้ และถ้าฆ่ากันตายในชาติหนึ่ง ชาติถัดมาก็เกิดแรงยึดเหนี่ยวมาหากันอีกผ่านความดึงดูดทางเพศ แล้วต้องทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้ออีก จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอโหสิให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

ทุกวันนี้ที่เห็นดาษดื่นคือการน้อยใจกันแล้วฆ่าตัวตาย นี่ก็เป็นกรรมร่วมที่อยู่ในหมวดของโทสะ เจอกันใหม่ในชาติถัดไปก็จะมีอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว หรือเป็นเหตุบันดาลใจให้มักง่ายกับชีวิตอีก
๓) โมหะ

หมายถึงทำกรรมแบบโง่ๆร่วมกัน โดยอาจสำคัญว่าได้ใช้ความฉลาดเฉียบแหลม ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน เช่น เคยร่วมกันโกงสงฆ์ โกงเงินบริจาควัด โกงประชาชน โกงหมู่คณะ โกงเพื่อนฝูง หรือโกงคนแปลกหน้าเป็นรายตัว กรรมที่ทำร่วมกันแบบโง่ๆนั้นกว้างขวางพิสดารไม่รู้จบ เอาเป็นว่าถ้าทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้กันและกันด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย หรือทำความเสียประโยชน์สุขแก่มวลชนเป็นอันมาก อันนั้นแหละกรรมร่วมกันที่ยืนพื้นอยู่บนโมหะ ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาแค่ชาตินี้เมื่อถึงจังหวะที่กรรมเผล็ดผล ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขสักนาที มีแต่เรื่องราวรุมเร้า หรือไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่องให้กันเอง ความพินาศอันเกิดจากโมหะนั้น กล่าวได้ว่าน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด เพราะราคะและโทสะนั้นยังเปิดโอกาสให้ตั้งสติคิดพิจารณาทบทวนและให้อภัยกัน แต่โมหะจะปิดกั้นสติปัญญาแทบทุกประตู มองทิศไหนเหมือนเจอแต่ทางตันทึบทึม นั่นเป็นลักษณะสะท้อนของการทำกรรมด้วยความหลงเขลามืดบอด

แต่แม้เจอเรื่องร้ายรุมเร้า ก็ยังอุตส่าห์ปักใจเชื่อว่าต้องอยู่ร่วมกันถึงจะดี ทิ้งขว้างกันไม่ได้ ต้องทนทู่ซี้ทั้งอย่างนั้น นี่ก็เป็นภาคต่อยอดของโมหะด้วย

ขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆและรวบรัด ถ้าชวนใครทำบุญได้สำเร็จ ทั้งทำต่อกัน ทั้งทำต่อคนอื่น ด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นสุจริต คนนั้นมีแนวโน้มจะเป็นคู่บุญ และอยู่กับคุณได้อย่างแท้จริงในชาติปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นตรงข้าม เจอกันมีแต่ชวนกันตกต่ำ ทำอะไรเหมือนเป็นบาปกับตัวเองและคนอื่นไปหมด อย่างนั้นก็ส่อเค้าว่าไปด้วยกันไม่รอดหรอกครับ ถึงแม้มีความดึงดูดทางเพศขนาดไหนก็ตาม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกันก็พอบอกเป็นเค้าๆได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามาก็น่าจะเคยทำบุญร่วมกันไว้ก่อน แต่ถ้ามีแต่เรื่องร้ายๆ ก็ให้สันนิษฐานว่าไปทำอะไรไม่ดีร่วมกันไว้ เพราะมีอยู่ครับ วิบากชนิดที่จ้องรอจังหวะตอนคู่บาปมาเจอกัน เจอเมื่อไหร่เกิดเรื่องแย่เมื่อนั้น อันนี้สะท้อนให้เห็นบาปแต่ปางก่อนค่อนข้างชัด (ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเรียบง่ายดีๆ พอมาอยู่ด้วยกันค่อยเกิดเรื่องขรุขระร้ายแรงบ่อยๆ อันนั้นแหละฟันธงเลยครับ ใช่คู่บาปแน่)

หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์ยามใดๆครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลักความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม

สำหรับการหลบหลีกคู่เวรหรือคู่บาป ให้ตอบตรงไปตรงมาคือยาก แต่เป็นไปได้ครับ คือเมื่อเจอแล้วเรามีสติตั้งมั่น ไม่หลงถลำไปตามแรงดึงดูดทางเพศ การหักห้ามใจได้ บวกกับการตั้งใจเป็นผู้ไม่มีเวร ให้อภัยได้ด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงในทุกเรื่องที่น่าขัดเคือง จะค่อยๆแยกคุณออกห่างจากเขามาโดยดีในที่สุด

http://dungtrin.com/prepare/archive/prepare064.htm

(เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๕ - ตอนที่ ๑๑)

____________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : ไม่อยากเกี่ยวข้องกันอีกในภพหน้า

PDF พิมพ์ อีเมลล์

ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
ถาม - ถ้าหากเราอโหสิกับคนๆหนึ่งแล้ว แต่เขายังไม่ยอมเลิกรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาตั้งจิตอธิษฐานที่จะเอาชนะเรา จะทำอย่างไรเพื่อไม่ต้องกลับมาข้องเกี่ยวกันอีกในภพหน้าคะ?

ตอนแรกผมก็ ไม่อยากจะเชื่อเรื่องการจองล้างฝ่ายเดียวมีผลได้จริงเหมือนกันครับ เช่นที่รับทราบว่าอดีตพระเทวทัตเริ่มเป็นฝ่ายคิดจองล้างอดีตพระโคดมฝ่าย เดียว คือกอบทรายขึ้นแล้วอธิษฐานว่าขอให้ได้ล้างผลาญกันเป็นจำนวนเท่านี้ชาติ แล้วก็ได้ตามจองล้างสมใจนึก ทำเอาอดีตพระโคดมย่ำแย่อยู่หลายชาติ

สังสารวัฏมีแต่เรื่องน่าเศร้า และครุ่นคิดแล้ว (เหมือน) เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมครับ ออกจากสังสารวัฏเสียแหละ ปลอดภัยที่สุด

แต่ ก็มีวิธีหนึ่ง ที่จะทำให้คู่เวรของเราเขาตามไม่ทัน คือรู้ว่าเขาทำเลวแบบใด เราจ้องไว้เลยว่าชั่วชีวิตจะทำดีชนิดนั้นๆสุดโต่ง เช่น เขาชอบพูดหยาบ เราต้องมุ่งมั่นทำตัวเป็นคนพูดไพเราะสุดขีดให้ได้ แล้วอธิษฐานไปเรื่อยๆ อิงหลักสัจจะที่ว่าคนแบบเดียวกันย่อมโคจรมาพบ หรือมาใกล้ หรือมาเฉียดกัน คนต่างกันย่อมไม่มีเส้นทางให้โคจรมาพบ หรือมาใกล้ หรือมาแตะต้องกัน เขาเป็นอย่างนั้น เราจะเป็นอีกอย่าง ก็ขอให้แคล้วคลาดกันไปเสมอ แม้จำเป็นต้องมาพบเจอ ก็อย่าได้ทำความมัวหมองให้เราได้ หรืออย่าทำให้เราถึงขั้นเป็นทุกข์ได้ การอธิษฐานจะส่งผลจริง หนักแน่นตามการประพฤติจริงของเราด้วยครับ อ้างสัจจะไว้นั่นแหละ ได้ผลที่สุด

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005649.htm?82

_______________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : คู่เวรมีจริงหรือไม่ และจะหลีกหนีได้หรือเปล่า

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
ถาม - คู่เวรมีจริงหรือไม่? แบบที่พออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความวิบัติ และความหมายของคู่แท้หมายถึงอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความสุขความเจริญใช่ไหม? หากเป็นเช่นนั้นต้องเชื่อเกณฑ์ของดวงชะตาราศีที่ว่าจะเจอคู่แท้เมื่อนั่น เมื่อนี่ใช่ไหม? ถ้าหากว่าเรามีวิบากที่ต้องเจอคู่ที่ทำให้เราไม่มีความสุข เราจะหลีกหนีได้หรือไม่?

คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่าคู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่าถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและ ปัจจุบันประกอบกัน

ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่
๑) มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน

เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศ เดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน
๒) มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน

คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นใน กันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ
๓) มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน

อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่น อีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กัน แน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน
๔) มีปัญญาเสมอกัน

กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่น ฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นฝ่ายรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้

แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้วิบากเก่าบันดาลให้ช่วงแรกคบเกิดแต่เรื่องดีๆ ต่างฝ่ายต่างเป็นสุขชื่นมื่น ไปที่ไหนใครก็เชียร์ ทำอะไรร่วมกันก็รุ่งเรือง แต่ถ้าบุญเก่าแพ้บาปใหม่ ค่อยๆสั่งสมบาปจนต้องทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดการทำร้ายกันด้วยวิธีต่างๆ คู่บุญก็เปลี่ยนเป็นคู่ครึ่งบุญ (เก่า) ครึ่งบาป (ใหม่) ได้ ความหลงลืมอดีตชาติ ความประมาทในวัย และความไม่รู้จักบุญบาป ไม่เชื่อว่าบุญบาปมีผลนั่นแหละ ที่อาจเปลี่ยนคู่บุญให้เป็นคู่บาปได้ตลอดเวลา

บาปนั้นแม้เล็กน้อยก็เหมือนเหรียญหยอดกระปุก เพียงสั่งสมให้มากวันละเล็กวันละน้อย เมื่อถึงวันหนึ่งลองยกกระปุกดู ก็อาจพบว่ามันหนักราวกับลูกเหล็กใหญ่ และถ้าเป็นบาปที่สะสมร่วมกัน ก็อาจถูกฉุดลากลงต่ำพร้อมกันได้

บาปอันมีผลที่ทำร่วมกันแล้วหญิงชายกลายเป็นคู่บาปนั้น ยืนพื้นอยู่บนกิเลส ๓ ประการของมนุษย์ ได้แก่
๑) ราคะ

คือทำเรื่องบาดใจกันทางเพศ ไปมองคนอื่น ไปคุยกับคนอื่น และกระทั่งไปมีคนอื่น กระแสกรรมอันสำเร็จด้วยการนอกใจ จะเป็นของแหลมคมที่กรีดใจผู้ทำให้เป็นทุกข์ก่อน ในรูปของความรู้สึกผิด และเมื่อประจวบกับความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งเมื่อเรื่องแดง คู่ของตนทราบเรื่อง ก็ต้องเป็นทุกข์ตาม ในรูปของความผิดหวังเสียใจ ความร้าวฉานอันเกิดจากเรื่องทางเพศนั้น แม้คู่ครองไม่ผูกใจเจ็บ อย่างน้อยก็กลายเป็นเงามืดติดตามไปบนเส้นทางความสัมพันธ์ เมื่อเกิดชาติใหม่ความสัมพันธ์ทางเพศจะเป็นแรงดึงดูด แต่แรงดึงดูดนั้นแฝงความน่าคลางแคลงชอบกล อย่างน้อยก็มีเหตุน่าสับสน ทำให้คิดๆว่าจะเอาใครดี คนนี้ดีแน่ไหม หรือกระทั่งเกิดความรู้สึกสกปรกเมื่อถูกเนื้อต้องตัวในช่วงแรกๆ ขัดแย้งกันแปลกๆกับความวาบหวามเมื่อใกล้กัน

รสนิยมทางเพศที่ไม่เสมอกันก็อาจเป็นชนวนได้ แต่มาในรูปของความหน่าย ไม่อยากไปด้วยกัน ไม่ใช่ความบาดใจเหมือนอย่างการนอกใจกัน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มเหงและเป็นโรคจิตวิปริตทางเพศ กระทำย่ำยีให้อีกฝ่ายเจ็บกายเจ็บใจเป็นประจำ ก็มีส่วนก่อกระแสภัยเวรขึ้นในสายสัมพันธ์ได้เช่นกัน
๒) โทสะ

ส่วนใหญ่มักมีมูลจากช่องว่างระหว่างคน เมื่อทรรศนะต่างกัน เมื่อความอยากต่างกัน เมื่อรสนิยมต่างกัน เมื่อสำเนียงและภาษาต่างกัน อะไรๆในทางร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในรูปของการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อทะเลาะเบาะแว้งย่อมผูกใจเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาท อยากแก้แค้น อยากเอาคืน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง พูดไม่ได้ก็เย้ยหยันเหยียดหยามผ่านแววตาให้สะใจเสียหน่อยก็ยังดี กรรมร่วมกันที่ทำด้วยโทสะจะเป็นแรงผลักไส หรือดลใจให้นึกเกลียดกัน แต่โทสะนั้นเองก็เป็นพลังร้อยรัดให้ต้องอดรนทนไม่ได้ อยากวนเวียนมาทิ่มตำกันเสียหน่อย ได้ประชดประชัน ได้เอาชนะสำเร็จแล้วสะใจและเป็นสุขพิลึก ท้ายที่สุดพอร่วมหอลงโรงจริง ความสนุกจากการงอน การง้อ ก็แปรไปเป็นโศกนาฏกรรมได้ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลทางเพศกลายเป็นเครื่องมือกดความรู้สึกให้ดูถูกกันและ กัน เห็นอีกฝ่ายแต่ในทางต่ำ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อาจบันดาลให้อยากส่งคู่ครองไปสู่ปรโลกได้ และถ้าฆ่ากันตายในชาติหนึ่ง ชาติถัดมาก็เกิดแรงยึดเหนี่ยวมาหากันอีกผ่านความดึงดูดทางเพศ แล้วต้องทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้ออีก จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอโหสิให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

ทุกวันนี้ที่เห็นดาษดื่นคือการน้อยใจกันแล้วฆ่าตัวตาย นี่ก็เป็นกรรมร่วมที่อยู่ในหมวดของโทสะ เจอกันใหม่ในชาติถัดไปก็จะมีอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว หรือเป็นเหตุบันดาลใจให้มักง่ายกับชีวิตอีก
๓) โมหะ

หมายถึงทำกรรมแบบโง่ๆร่วมกัน โดยอาจสำคัญว่าได้ใช้ความฉลาดเฉียบแหลม ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน เช่น เคยร่วมกันโกงสงฆ์ โกงเงินบริจาควัด โกงประชาชน โกงหมู่คณะ โกงเพื่อนฝูง หรือโกงคนแปลกหน้าเป็นรายตัว กรรมที่ทำร่วมกันแบบโง่ๆนั้นกว้างขวางพิสดารไม่รู้จบ เอาเป็นว่าถ้าทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้กันและกันด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย หรือทำความเสียประโยชน์สุขแก่มวลชนเป็นอันมาก อันนั้นแหละกรรมร่วมกันที่ยืนพื้นอยู่บนโมหะ ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาแค่ชาตินี้เมื่อถึงจังหวะที่กรรมเผล็ดผล ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขสักนาที มีแต่เรื่องราวรุมเร้า หรือไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่องให้กันเอง ความพินาศอันเกิดจากโมหะนั้น กล่าวได้ว่าน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด เพราะราคะและโทสะนั้นยังเปิดโอกาสให้ตั้งสติคิดพิจารณาทบทวนและให้อภัยกัน แต่โมหะจะปิดกั้นสติปัญญาแทบทุกประตู มองทิศไหนเหมือนเจอแต่ทางตันทึบทึม นั่นเป็นลักษณะสะท้อนของการทำกรรมด้วยความหลงเขลามืดบอด

แต่แม้เจอเรื่องร้ายรุมเร้า ก็ยังอุตส่าห์ปักใจเชื่อว่าต้องอยู่ร่วมกันถึงจะดี ทิ้งขว้างกันไม่ได้ ต้องทนทู่ซี้ทั้งอย่างนั้น นี่ก็เป็นภาคต่อยอดของโมหะด้วย

ขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆและรวบรัด ถ้าชวนใครทำบุญได้สำเร็จ ทั้งทำต่อกัน ทั้งทำต่อคนอื่น ด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นสุจริต คนนั้นมีแนวโน้มจะเป็นคู่บุญ และอยู่กับคุณได้อย่างแท้จริงในชาติปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นตรงข้าม เจอกันมีแต่ชวนกันตกต่ำ ทำอะไรเหมือนเป็นบาปกับตัวเองและคนอื่นไปหมด อย่างนั้นก็ส่อเค้าว่าไปด้วยกันไม่รอดหรอกครับ ถึงแม้มีความดึงดูดทางเพศขนาดไหนก็ตาม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกันก็พอบอกเป็นเค้าๆได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามาก็น่าจะเคยทำบุญร่วมกันไว้ก่อน แต่ถ้ามีแต่เรื่องร้ายๆ ก็ให้สันนิษฐานว่าไปทำอะไรไม่ดีร่วมกันไว้ เพราะมีอยู่ครับ วิบากชนิดที่จ้องรอจังหวะตอนคู่บาปมาเจอกัน เจอเมื่อไหร่เกิดเรื่องแย่เมื่อนั้น อันนี้สะท้อนให้เห็นบาปแต่ปางก่อนค่อนข้างชัด (ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเรียบง่ายดีๆ พอมาอยู่ด้วยกันค่อยเกิดเรื่องขรุขระร้ายแรงบ่อยๆ อันนั้นแหละฟันธงเลยครับ ใช่คู่บาปแน่)

หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์ยามใดๆครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลักความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม

สำหรับการหลบหลีกคู่เวรหรือคู่บาป ให้ตอบตรงไปตรงมาคือยาก แต่เป็นไปได้ครับ คือเมื่อเจอแล้วเรามีสติตั้งมั่น ไม่หลงถลำไปตามแรงดึงดูดทางเพศ การหักห้ามใจได้ บวกกับการตั้งใจเป็นผู้ไม่มีเวร ให้อภัยได้ด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงในทุกเรื่องที่น่าขัดเคือง จะค่อยๆแยกคุณออกห่างจากเขามาโดยดีในที่สุด

http://dungtrin.com/prepare/archive/prepare064.htm

(เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๕ - ตอนที่ ๑๑)

_______________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : วาทะความรัก

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
คู่รักจะเอาใจใส่อีกฝ่าย ส่วนคู่เวรจะเอาแต่ใจตัวเอง

 
คู่เทียมเจอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คู่แท้ต้องเจอในจังหวะที่จะรักกันจริงเท่านั้น

 
ใจจริงไม่ได้เกิดจากความตั้งใจให้จริงเสมอไป ถ้าคู่ยังไม่ใช่ ใจก็คงจริงยาก

 
รู้สึกว่าใช่ ไม่จำเป็นต้องใช่ โดยเฉพาะถ้าได้ความรู้สึกว่าใช่มาจากการเอาแต่มองด้านดีท่าเดียว

 
อำนาจที่ทำให้ลุ่มหลงส่งมาจากส่วนสกปรกตรงไหนของร่างกายก็ได้ แต่แรงบันดาลที่ทำให้รักจริงต้องมาจากกลางใจที่ใสพอเท่านั้น

 
ความลุ่มหลงจะทำให้หน้าตาของเราโง่ลง ส่วนการเห็นตามจริงจะทำให้หน้าตาฉลาดขึ้นเป็นคนละคน

 
คนเราตาบอดเพราะชอบทึกทักเอาเองว่าเห็นอะไรมา ที่จะตาสว่างได้ก็เพราะยอมทบทวนดีๆว่ามีอะไรให้เห็นบ้าง

 
การจากกันบางครั้งดีกว่าอยู่กันไปเรื่อยๆ เพราะอาจเป็นทางเดียว ที่ทำให้คุณค้นพบว่าเคยมีความรักอยู่ตรงนั้นขนาดไหน

 
สิ่งดีๆที่ผ่านไป อาจเปิดทางให้สิ่งดีกว่าที่กำลังจะผ่านเข้ามา

 
รักที่ตายได้คือรักแต่จะเอา ส่วนรักอมตะคือรักการสละความเห็นแก่ตัว

 
เราอาจหลอกให้คนอื่นหลงรักได้ด้วยรูปภายนอก แต่ไม่มีทางหลอกให้รักตัวเองได้เลย ตราบเท่าที่รู้อยู่แก่ใจว่าภายในยังน่าเกลียดขนาดไหน

 
ความรักไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่ใจทั้งดวง เพราะหัวใจกว้างไม่ถึงคืบ ขณะที่ความรักแผ่กว้างได้ขนาดครอบโลก

 
การเริ่มต้นของความรักที่ซับซ้อน อาจเหมือนปกหนังสือที่ดูดีหลอกตา แต่เนื้อหาข้างในไม่ตรงกัน คุณจะงงเมื่อพยายามอ่าน และปวดหัวจนไม่นึกอยากทนอ่านให้ถึงครึ่ง

 
ถ้าตัวอยู่ห่างแล้วยังรู้สึกอบอุ่นและไว้ใจกัน ก็แปลว่าพวกคุณรักกันด้วยใจ ไม่ใช่หลงติดกันด้วยกาย

 
คนซื่ออาจพูดคำว่ารักได้ไม่เพราะ แต่ความรักของเขา จะให้ความรู้สึกแสนดีกว่าการได้ยินคำว่ารักอันไพเราะร้อยเท่า

 
ถ้าดีใจเวลาเห็นใครเป็นสุข คุณอาจไม่จำเป็นต้องรักเขาเสมอไป แต่ถ้าอ้างว่าคุณรักใครแล้วไม่ยินดีกับความสุขของเขา แปลว่าคุณเห็นแก่ตัวและดีแต่พูดเท่านั้น

 
ความรักที่อภัยไม่ได้คือต้นทางของความเกลียด ความเกลียดที่ถูกสละทิ้งได้คือต้นทางของความรัก

 
มีความสามารถในการผ่านรักร้าว ดีกว่ามีความสามารถฝันถึงแต่รักแสนหวาน

 
คนที่เอาแต่คอยความรักจะไม่เจอความรักไปจนตาย ส่วนคนที่เอาแต่สร้างความรักจะรู้จักความรักในสามวันเจ็ดวัน

 
อำนาจนัยน์ตาของคนที่รักคุณจริง อาจทำให้คุณสงบลงได้ทั้งที่กำลังวุ่นวายสิ้นดี แต่อำนาจนัยน์ตาของคนที่เอาแต่เรียกร้องให้คุณรัก อาจทำให้คุณวุ่นวายสิ้นดีทั้งที่กำลังสงบอยู่แท้ๆ

___________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : เจอแต่คนไม่มั่นคงในความรัก ทำอย่างไรจะพ้นวิบากกรรมนี้ได้

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
ถาม - ชีวิตผิดหวังเรื่องความรักตลอดมา เจอแต่คนไม่หนักแน่นมั่นคง ทำอย่างไรจึงจะพ้นวิบากนี้ได้? แล้วถ้าไม่มีใครจริงๆควรทำใจอย่างไร จึงจะสามารถเอาชนะความหวาดกลัว อ้างว้างที่เกิดขึ้น และอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข?

 

คนเราเกือบร้อยทั้งร้อยหวังพึ่งพาคนอื่น ในขณะที่คนอื่นก็วิ่งโร่หาที่พึ่งทางใจกันอยู่อย่างจ้าละหวั่น ต่างฝ่ายต่างเป็นได้แค่คนใกล้จมน้ำที่โผเข้ากอดคอกัน มันก็พากันจมเท่านั้นแหละครับ


คุณต้องหาที่อยู่ให้จิต หาที่พึ่งให้ใจ สร้างความอบอุ่นด้วยการให้ความอบอุ่น จะเป็นคนยาก เด็กอนาถา หรือจะเป็นสัตว์เลี้ยงก็ได้ ถ้าคุณทำให้คนจำนวนมากหายกลัว หายหดหู่ คุณจะไม่รู้จักความกลัวและความหดหู่อีกเลย

มีศูนย์ขอความช่วยเหลือมากมาย แต่ไม่ค่อยมีใครแล เลยไม่ค่อยมีใครรู้แหล่งทำบุญกับคนและสัตว์ ลองหาๆดูเถอะครับ อย่าให้ลิสต์รายชื่อเลย เดี๋ยวจะเป็นการลำเอียง


ถ้าอยากอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข ขอให้คุณลองเริ่มต้นจากการใช้ลมหายใจเป็นเพื่อน แต่ก่อนอื่นคุณต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ “วิธีมีเพื่อน” แบบนี้ให้ดี เมื่อเข้าใจและยอมรับ คุณจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุขที่สุดในโลก ขอแนะนำให้ลองอ่าน “วิปัสสนานุบาล” กับ “๗ เดือนบรรลุธรรม” ดูนะครับ


แล้วลองเปลี่ยนมุมมองใหม่อีกสักนิด แทนที่จะคิดว่าจะพ้นวิบากที่เจอแต่คนโลเลได้อย่างไร ลอง ตั้งโจทย์ใหม่ว่า ทำอย่างไรจึงจะใช้วิบากข้อนี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ใช้มันผลักดันเราให้ไปพบกับสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด เฉพาะตรงนี้ ลองอ่าน “กรรมพยากรณ์ ตอน เลือกเกิดใหม่” ดูนะครับ อ่านทั้งหมดได้ที่ dungtrin.com ครับ

 

http://www.dungtrin.net/newsletter/viewtopic.php?t=70

______________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : รักแท้มีจริงหรือไม่

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
ถาม - รักแท้มีจริงหรือไม่?

 

อันนี้แยกได้เป็นหลายคำตอบครับ บทสรุปหนึ่งก็คือว่า รักแท้น่ะมีจริง แต่ที่จริงกว่านั้นคือกิเลส หมายความว่าถ้ามองตามสายตาทางโลกก็ต้องว่ามี แต่ถ้ามองตามสายตาทางธรรมก็ต้องว่ารากของรักแท้นั้นมาจากกิเลสนี่เอง ที่รักแท้จะมีอันต้องกลับกลายเป็นรักเก๊ ก็ด้วยกิเลสอันเดียวกันอีกนั่นแหละ โดยมีตัวแปร เช่น บุคคล เวลา และสถานการณ์มาร่วมสมการกิเลส

จะวัยรุ่น หนุ่มสาว หรือย่างเข้าวัยกลางคนก็ตาม คนเราพอถามหมอดูทีไร ก็มีคำถามอยู่ไม่กี่คำ เช่น เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่ เนื้อคู่มีลักษณะเช่นไร มาจากไหน อย่างฉันนี้เมื่อไหร่จะสมหวังเสียที หรือไม่มีโอกาสอีกแล้ว ฯลฯ สะท้อนให้เห็นคล้ายๆทุกคนจะเชื่อเหมือนกันว่าใครๆต่างก็มีคู่แท้ที่จะครอง รักกันอย่างมีความสุขไปจนตาย แถมตายแล้วยังจองจะเจอกันต่ออีก

คนเรามักตั้งมุมมองเกี่ยวกับตัวเองไว้ในแง่ความหวัง ความสมหวัง อยากให้เนื้อคู่เราหล่อ สวย รวย เก่ง เอาใจ ไม่เจ้าชู้ ฯลฯ ถึงปากจะบอกว่าผิดจากนั้นก็หยวนได้ ขอแค่สองสามข้อก็พอ แต่ใจลึกๆต่างก็หวังว่าจะมีอะไรแบบลอยมาจากฟ้า เกิดมาเพื่อเป็นคู่กับเราด้วย แสนดีไปทุกอย่างด้วย วัดกันได้ชัดตอนอยู่ด้วยกันแล้ว อะไรนิดอะไรหน่อยขวางหูขวางตาไปหมด หมีกินผึ้งยังเรียกพี่ นั่นสะท้อนว่าคนเราอยากเอาอะไรอย่างใจ ไม่จริงหรอกที่บอกว่ามีที่ตินิดๆหน่อยๆไม่เป็นไร เพราะต่อให้ดีพร้อมขนาดไหน ก็ต้องมีเรื่องไม่ถูกใจ ไม่ลงกัน อยู่ด้วยกันแล้วต้องบ่น “เซ็งจริงๆพับผ่า” เข้าจนได้

สำหรับคนไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องภพชาติ แต่เชื่อเรื่องดวง ก็จะมองไปว่าธรรมชาติเสกคู่เตรียมไว้ให้เราโดยเฉพาะ ความรู้สึกเกี่ยวกับ “เนื้อคู่” จะจำกัดอยู่เท่านั้น แต่สำหรับคนที่เชื่อเรื่องกรรม เชื่อเรื่องภพชาติแบบตามๆกันมา ก็จะมองไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ใกล้เคียงกับประเภทแรกอยู่นั่นเอง กล่าวคือเชื่อว่าเราจะต้องมีใครอยู่คนหนึ่ง ทำบุญร่วมกันมา แล้วจะต้องติดตามกันไปตลอด ชนิดไม่พรากจากกัน

อันนี้ถ้าศึกษาเรื่องกรรมอย่างเข้าใจจริงๆ และศึกษาโดยเอาชาตินี้เป็นหลักเป็นฐานอ้างอิง ก็จะเห็นว่าคนเราอาจคิดไม่เหมือนกัน พูดไม่เหมือนกัน และทำไม่เหมือนกัน คนที่คิด พูด ทำใกล้เคียงกัน คบหากันแล้วจะมีความสุข อันนี้ยังไม่ต้องแบ่งแยกว่าดีหรือเลว เอาเป็นว่าอัธยาศัยต้องกันแล้วโน้มเอียงที่จะสบายใจ ไม่เป็นอื่นต่อกัน

เมื่อเริ่มด้วยความเป็น “ธาตุนิสัยเสมอกัน” สิ่งที่ตามมาก็เป็นไปตามครรลอง คือส่งเสริมกันไปในทางที่ชอบใจ เช่น ถ้าต่างมีดวงจิตน้อมไปทางกุศลก็จะชวนกันคิด พูด ทำไปในทางกุศล แต่ถ้าต่างมีดวงจิตน้อมไปทางตรงข้าม วันคืนผ่านไป ก็จะชวนกันก่อเรื่องเดือดร้อนให้ตนเองและคนอื่นมากขึ้นทุกที

ถ้าเข้าใจตรงนี้ ก็ต้องชี้ว่า ก่อนจะมี “คู่แท้ที่ติดตามกันทุกภพชาติ” ได้นั้น ก่อนอื่นน่าจะต้องมีธาตุนิสัยไปในทางกุศลพร้อมๆกันเสียก่อนเป็นปฐม จึงสามารถสร้างเหตุ สร้างปัจจัยที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในภายหลัง ถ้าไม่มีปฐมเหตุคือจิตที่คิดดี ปากที่พูดดี และมือไม้ที่ลงมือทำดีแล้ว จะไปสร้างเหตุแห่งความสบายใจร่วมกันได้อย่างไร มีแต่จะสร้างเหตุแห่งความเดือดร้อน ขัดใจ เจอกันแล้วเหม็นขี้หน้ากันเสียมากกว่า

แต่ก็น่าเห็นใจที่มีบางคู่ ทำเวรทำกรรมอะไรกันมานักก็ไม่ทราบ เจอกันแล้วมีความดึงดูด หรือเหตุปัจจัยให้หลงรักกันเหลือเกิน อยากจะดันทุรังอยู่ด้วยกันให้จงได้ แม้เครื่องแสดงแวดล้อมจะบอกว่าไม่เหมาะ มีความเสมอกันเพียงผิวนอกเล็กๆน้อยๆ คือมีเหลี่ยมมุมที่เผอิญหันมาชนกันแล้วสอดรับกันได้นิดหน่อย แต่แท้ที่จริง โดยแก่นอันเป็นภายในแล้ว หาความเสมอกันไม่ได้เลย ข้างนอกเหมือนหลอกกันว่าสุกใส พอดูข้างในมีแต่โพรงกลวงไปหมด

ในธรรมบทมีอยู่บทหนึ่งท่านกล่าวไว้ว่าสิริกับกาลีมาอยู่ด้วยกัน ความวิบัติก็เกิดขึ้นเอง อันนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าคิด พูด ทำต่างกันมากๆ คนหนึ่งไปทางบุญ อีกคนไปทางบาป อยู่กันก็รังแต่จะมีเรื่องร้อนๆตลอด และกรรมจะเป็นผู้แยกทางให้ ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย ฝ่ายดีจะยิ่งได้ไปดีขึ้น ส่วนฝ่ายร้ายก็จะยิ่งได้ไปเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส โดยเอาเวลาที่อยู่ร่วมกันนั่นเองเป็นเครื่องสร้างอนาคต กล่าวคือฝ่ายดีจะได้บำเพ็ญทั้งขันติ ทั้งอภัยทาน และอีกสารพัด ส่วนฝ่ายร้ายก็จะได้ก่อเวร ทั้งความเบียดเบียน ทั้งนิสัยถืออำนาจบาตรใหญ่

รายละเอียดเรื่องการครองคู่นั้นพิสดารลึกซึ้งนัก แต่พอสรุปได้คร่าวๆ คือ อยู่ดี อยู่ร้าย และอยู่ครึ่งดีครึ่งร้าย โดยมากจะเป็นแบบที่สาม คือครึ่งดีครึ่งร้าย เพราะฉะนั้นโดยมากเช่นกัน ที่คนเราจะเจอรัก “ครึ่งแท้ครึ่งปลอม” กัน นอกจากรักแท้แพ้ใกล้ชิดแล้ว ต้องบอกด้วยว่ารักแท้แพ้กรรมเก่า คนเราถ้าเคยร่วมบาปมากกว่าร่วมบุญกันมา อยู่ด้วยกันป๊อบแป๊บ วันหนึ่งก็ต้องมีเหตุให้แยกจากกัน แล้วไปเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม หาคนใหม่ที่เคยร่วมดีร้ายมาหนักเบากว่ากันอีก

ทีนี้ว่ากันเกี่ยวกับนิยามรักแท้ในแง่อุดมคติหรือเชิงธรรมะปรัชญาทั่วไป ผมเองมีความประทับใจจากการบันเทิงมากกว่าประสบการณ์จริง อันแรกได้จากการฟังเพลง Tie a Yellow Ribbon Around the Old Oak Tree เนื้อเพลงกล่าวถึงนักโทษคนหนึ่งที่เพิ่งออกจากคุก หลังจากติดอยู่นานสามปี เขาเขียนจดหมายถึงแฟนว่าตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว และต้องการจะรู้ว่ามีสิ่งใดที่ไม่เป็น หรือยังเป็นของเขาอยู่ ถ้าเธอยังต้องการเขา ก็ขอให้ผูกริบบิ้นสีเหลืองไว้อันหนึ่งบนต้นโอ๊กในสนามหน้าบ้าน หากเขาผ่านไปแล้วไม่เห็นสัญลักษณ์ตอบรับนี้ ก็จะไม่ลงจากรถบัส จะนั่งผ่านเลยไป แล้วลืมเรื่องราวแต่หนหลังเสีย กับทั้งจะตำหนิตนเองที่ก่อเหตุให้ต้องลงเอยอย่างนี้ ไม่โทษเธอเลยที่ตัดสินใจอย่างนั้น พอใกล้จะถึงบ้าน เขากลับไม่กล้ามองผลที่รออยู่ แต่ไหว้วานคนขับรถให้ช่วยมองแทน ว่ามีคำตอบเช่นใดอยู่ที่ตรงนั้น โดยรำพึงรำพันให้ฟังว่าเขายังเหมือนติดคุก และเธอเพียงคนเดียวถือกุญแจดอกที่จะปลดปล่อยเขาออกมาจากกรงขัง กุญแจดอกนั้นก็คือริบบิ้นสีเหลืองอันหนึ่งบนต้นโอ๊กซึ่งเขาเขียนมาขอไว้ ขอเพียงมีริบบิ้นสีเหลืองอันเดียวบนต้นโอ๊ก เขาจะเป็นอิสระทันที

พระเอกของเพลงคงเล่าด้วยลักษณะลืมตัวคร่ำครวญ คนทั้งรถเลยได้ยิน แล้วก็พลอยเป็นหูเป็นตาแทนให้พร้อมกัน ที่สุดก็ปรากฏว่ามีเสียงเชียร์ลั่นรถ ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้น และแทบไม่เชื่อสายตากับภาพที่เห็น เพราะมีริบบิ้นเป็นร้อยชิ้น ทอประกายเหลืองอร่ามจับตาอยู่บนต้นโอ๊ก ไม่ใช่แค่ไม่มี และไม่ใช่เพียงชิ้นเดียวที่อาจทำให้หลงหูหลงตา

แน่นอนว่านั่นคือคำตอบที่หนักแน่น และออกมาจากหัวใจที่ยังเปี่ยมด้วยรักมั่นคง เป็นความรักที่ยินยอมรอคอยด้วยความซื่อสัตย์ และไม่แปรใจเป็นอื่นทั้งรู้ว่าคนรักของตนกลายเป็นไอ้ขี้คุกไปแล้ว

ถ้าผมฟังอย่างตั้งใจทีไร ก็จะสะอึกทุกครั้ง เห็นภาพของรักแท้แจ่มชัดผ่านริบบิ้นนับร้อยที่ถูกบรรจงผูกไว้ แล้วก็ชวนให้นึกว่าจะต้องใช้อดีตหวานชื่นขนาดไหนหนอ ถึงทำให้ผู้หญิงปักใจรักผู้ชายสักคนได้มากมายปานนั้น

ส่วนสรุปจากตรงนี้คือรักแท้เป็นความพิศวาส ความอาลัยอาวรณ์รุนแรง ความปักหลักไม่เปลี่ยน ทนทานและท้าทายกาลเวลา โดยไม่สนใจว่าจะมีเรื่องเลวร้ายขนาดไหนเกิดขึ้นแล้ว และไม่สนใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ขอเพียงมีตัวตนของคนรัก ขอเพียงได้มาซึ่งตัวตนนั้น ที่เหลือจะมากหรือน้อย จะดีหรือร้าย ก็ไร้ความหมายสิ้นเชิง

เห็นได้ชัดผ่านเหตุการณ์ตามเนื้อเพลง ว่าเพลงนี้คือนิทานหลอกเด็กที่แต่งขึ้นโดยปราศจากเรื่องจริงรองรับ คนเราถ้ายังรักกันอยู่ก็ต้องไปเยี่ยมถึงคุก และไถ่ถามกันได้ความไปนานแล้วว่าจะเอายังไง อยู่กับฉันต่อไหวไหม แถมนึกแล้วผมหวาดเสียวแทน ว่าถ้าตอนเขาส่งจดหมายมาขอริบบิ้น เกิดสาวไม่อยู่บ้าน กำลังไปเยี่ยมชมโบราณสถานแถวเขมร ก็คงอดกัน ไม่ต้องได้รู้ความจริงตลอดไป ว่าที่แท้สาวเขายังรักเราอยู่

สาระจากเพลงคือต้องการระบายสีแต่งภาพรักแท้ออกมาให้ชม คนฟังก็คงรับผลแห่งจินตนาการที่นำมาย้อมใจผ่านเพลงกันไปเต็มปรี่ คั้นน้ำตาคนทั่วโลกมาแล้วต่อเนื่องกันหลายสิบปี เพราะเพลงนี้ค่อนข้างอมตะ ยังเปิดฟังกันเสมอกระทั่งทุกวันนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจมากๆ เป็นหนึ่งในหนังชุดแดนสนธยาที่ดูตั้งแต่เด็กๆ ชื่อเรื่อง The Invisible Man กล่าวถึงอนาคตนานๆต่อไป โลกมีกฎหมายประหลาดขึ้นมาเพื่อดัดนิสัยคน คือถ้าใครเห็นแก่ตัว เป็นคนไม่เอาใคร ขาดมนุษยสัมพันธ์อันดีมากๆแล้ว ก็จะโดนลงโทษขั้นรุนแรง คือต้องถูกประทับตราไว้บนหน้าผากว่าเป็น “มนุษย์ล่องหน” ความจริงไม่ได้ล่องหนไปไหน แต่กฎคือทุกคนที่เห็นนักโทษจำพวกนี้ จะต้องไม่พูด ไม่ยุ่งเกี่ยว ทำเหมือนพวกนี้เป็นมนุษย์ล่องหนไร้ตัวตน เรียกว่าต้องปฏิบัติกันเหมือนนักโทษเป็นอากาศธาตุ ไม่ว่ามนุษย์ล่องหนจะทำอะไรยังไงแค่ไหนก็ตามที หากใครฝ่าฝืนแล้วไซร้ โทษคือจะต้องเป็นมนุษย์ล่องหนตกตามกัน

กฎเข้มนี้มีผลบังคับใช้ทั่วทุกตารางนิ้วโดยไม่มีใครแอบฝ่าฝืนได้ เนื่องจากจะมีหุ่นยนต์บินได้คอยสอดส่องติดตามสำรวจมนุษย์ล่องหนทุกคน หากมนุษย์ล่องหนพยายามพูดกับใคร แล้วได้รับการสนองตอบ หรือแม้ยอมให้แตะต้อง ก็จะมีเวลาประมาณสิบวินาทีในการเปลี่ยนใจถอนตัวเสีย ถ้าขืนดื้อดึง ก็จะมีเสียงประกาศจากหุ่นยนต์พิพากษาให้กลายเป็นมนุษย์ล่องหนไปอีกคนทันที

พระเอกของเรื่องเป็นประเภทเข้าข่ายต้องรับโทษเป็นมนุษย์ล่องหนกับเขา คือไม่เอาใครเลย ไม่ยิ้ม ไม่ทักทาย ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เด็ก สตรี และคนชรา เขามีกำหนดรับโทษทัณฑ์ประมาณหกเดือน วันที่รู้ตัวว่าได้รับโทษ เขายังยิ้มเยาะโลกได้อยู่ และหนำซ้ำเห็นเป็นเรื่องสนุกเสียอีก เนื่องจากสามารถหยิบฉวยสินค้ากี่ชิ้นกลับบ้านก็ได้ โดยรัฐจะเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายให้ สามารถเข้าห้องอาบน้ำสาธารณะของผู้หญิงได้ โดยไม่มีใครกล้าปริปากโวยวาย อย่างมากแค่วางหน้าไม่ถูก กระอักกระอ่วนกันไป ฟังเขาหัวเราะร่าพูดกระเซ้า โดยไม่มีใครกล้าขับไล่หรือแม้จะปิดบัง เพราะนั่นเท่ากับเป็นการแสดงว่ารับรู้การปรากฏตัวของเขา ณ ที่นั้น ออกดีอย่างนี้ใครจะไม่ชอบ

ในช่วงเวลาที่กำลังสนุกอยู่ เขาไม่ยินยลสนใจกับการถูกเมินเฉยแม้แต่น้อย เพราะรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่เข้ากันดีกับนิสัยของตนเอง คือสมกับที่เขาเองให้แต่ความสัมพันธ์อันเย็นชาต่อสังคมมาตลอด ไม่ช่วยใคร ไม่พูดดี ไม่ยิ้มแย้มทักทายใคร กระทั่งเวลาเริ่มผ่านไปนานเข้า เขาก็เริ่มตระหนักว่าการไม่มีใครพูดด้วยเลยจริงๆนั้น มันต่างกันลิบลับกับครั้งเมื่อเพียง “อยากพูดให้น้อยๆ” เขาเริ่มรู้จักความเหงา และต้องการใครสักคนเป็นเพื่อนคุย กลุ่มคนที่เริ่มแสวงหา เริ่มชักชวนพูดคุย ก็คือพวกที่เป็นมนุษย์ล่องหนด้วยกันนั่นเอง แต่มนุษย์ล่องหนส่วนใหญ่ต่างจากเขา คือเป็นพวกรูปร่างคล้ายโจร หน้าคล้ายผี

วันหนึ่งเขาเจอกับเด็กสาว ค่อยดูดีหน่อย ถึงแม้หน้าตาท่าทางเป็นพวกเด็กมีปัญหาเก็บกด เขาก็รีบปรี่เข้าไปทักทายด้วยความยินดีที่น่าจะเจอเพื่อนแล้ว และหวังว่าเธอคงพูดคุยกับเขา เนื่องจากหน้าตาพูดรู้เรื่อง น่าคบได้ แต่ที่ได้รับคือการสะบัดหน้า ไม่พูดด้วยแม้แต่คำเดียว เรียกว่าแทบรีบวิ่งหนีไปเกือบทันทีเมื่อเห็นหน้าผากเขา ทั้งนี้เพราะโทษของการคุยกันเองระหว่างมนุษย์ล่องหนด้วยกัน คือการต้องโทษนานขึ้นเป็นหลายเท่าตัว หรืออาจโดนตลอดชีวิตทีเดียว มิไยเขาจะส่งเสียงอ้อนวอน ขอร้อง ให้เหตุผลว่าไม่ต้องไปแคร์สังคมอีก ขอเพียงอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ดูแลกัน จะให้ตั้งอาณานิคมใหม่โดยเฉพาะก็ได้

พระเอกของเรื่องเจอเหตุการณ์ร้ายขึ้นเรื่อยๆ แบบที่ทำให้เขาหุบยิ้มเยาะโลกอย่างสนิท บางคนแกล้งทำของหนักตกใส่ อ้างว่าไม่เห็น และแม้เมื่อได้รับอุบัติเหตุถูกรถชน ก็ไม่มีหมอคนไหนรับรักษาเขา แม้จะนอนร้องครวญครางกลางถนนก็ไม่มีใครเหลียวแล ความเป็นความตายของนักโทษล่องหนมีค่าเท่ากับศูนย์ จะไม่มีใครเอาผิด แม้เห็นชัดว่าเป็นตีนผีขับรถชนก็ตาม ปรากฏว่าถูกรถชนครั้งนั้นขาหัก แต่ไม่ถึงตาย นอนร้องไห้รักษาตัวเอง หยอดข้าวต้มให้ตัวเองทุลักทุเล แล้วก็ผ่านมาได้ หนังตัดมาถึงวันพ้นโทษ พระเอกกลายเป็นคนใหม่ หน้าตาแจ่มใส ยิ้มเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัวหายไป ทักทายใครต่อใครเหมือนมนุษย์มนาทั้งหลาย เรียกว่าสังคมได้สมาชิกใหม่ที่ดีงามเพิ่มมาอีกหนึ่งหน่วย

เรื่องน่าจะจบด้วยดี แฮปปี้เอนดิ้งเพียงเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเผอิญผ่านไปเจอเด็กสาวคนเดิมที่เขาเคยอ้อนวอนขอให้คุยด้วย ช่วงเวลานั้นเป็นจังหวะที่เธอลิ้มรสความเหงา ความเดียวดายจนสิ้นความอดทน เมื่อพบเขาก็พยายามเข้ามาดึงแขน ขอร้องให้คุยกับเธอ เป็นเพื่อนเธอ ทีแรกเขาเดินหนีทันที ด้วยความที่ยังสยองกับโทษทัณฑ์ซึ่งเพิ่งผ่านมาไม่หาย แต่พอเดินไปไม่กี่ก้าว ได้ยินเสียงร้องไห้น่าเวทนาของเธอ กับการวิ่งไล่ตามยื้อ และโถมตัวเข้ากอดหาความอบอุ่น เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ถึงช่วงเวลาอันทุกข์ทรมานของตนเอง ขณะนั้นหุ่นบินเริ่มลอยมาใกล้ และแจ้งให้เขาทราบว่าถ้าไม่หลีกหนีไปจากเด็กสาวคนนั้น เขาจะกลายเป็นมนุษย์ล่องหนอีกครั้ง และการเป็นมนุษย์ล่องหนรอบสอง หมายถึงการเป็นเช่นนั้นตลอดไป ไม่มีโอกาสกลับมาหาอิสรภาพอีก

หลังจากลังเล มีสีหน้าหวาดกลัว เป็นกังวล สีหน้าเขาก็กลับเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย สองแขนตก ไม่ขยับหนี การตัดสินใจของเขาคือปล่อยกระเป๋าเอกสารหล่นลงพื้น ยืนทอดตานิ่งให้เด็กสาวกอด ยอมเป็นหลัก เป็นที่พึ่งของเธอ ทั้งรู้ชะตากรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนต่อไป

หนังเรื่องนี้เข้ามาอยู่ในความทรงจำของผมถาวร เป็นภาพรักแท้ว่าคือความเสียสละอันยิ่งใหญ่ น่าเทิดทูน เป็นมหาจาคะที่เกิดจากความเข้าใจในทุกข์แบบเดียวกัน ทำให้เห็นอกเห็นใจ และยอมช่วยอย่างไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข เรียกว่ามนุษย์ล่องหนคนนี้รับโทษแล้วไม่ใช่แค่ดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นอะไรแบบที่คนทั่วไปไม่อาจดีเท่า เทียบทางพุทธเราก็เปรียบได้กับมหาโพธิสัตว์ทีเดียว คือยอมเอาชีวิตทั้งชีวิตของตัวเองไปแลกกับความทุกข์ของคนแปลกหน้าได้

ในชีวิตจริงอาจไม่เกิดเหตุการณ์แบบเพลงและหนังเป๊ะๆ แต่มันมีอะไรทำนองนั้นอยู่จริง และเป็นไปในแบบที่ยากจะเชื่อ และเมื่อเป็นชีวิตจริง สีเหลืองของริบบิ้นอาจก่อสุขล้นหลามได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่อาจผูกความสุขไว้กับจิตใจทั้งสองฝ่ายให้สม่ำเสมอคงเส้นคงวาจนตาย และความเสียสละแบบมหาโพธิสัตว์นั้น บางทีทำได้หลายแบบ หลายระยะห่าง ไม่จำเป็นต้องยอมเอาตัวเข้าไปตกนรกหมกไหม้ร่วมกับคนแปลกหน้าเสมอไป

สรุปทางโลกคือ รักแท้มีจริงขึ้นได้ด้วยปฐมเหตุคือใจ ใจดีๆแบบที่หายาก จึงได้รับความสุขอันเป็นไปได้ยาก การทำให้ใครสักคนดีใจจนตาเป็นประกายจัดด้วยอะไร เช่น ริบบิ้นสีเหลือง หรือการทำให้ใครสักคนอบอุ่นสมหวังด้วยอะไรเช่นยอมยืนนิ่งให้กอด ต้องใช้ความเข้มแข็งและเมตตาเหนือสามัญมนุษย์ สามารถหยิบยื่นสิ่งที่คนทั้งหลายยากจะมอบให้แก่กัน เป็นผู้มีศักยภาพในการก่อความผูกพันอันแน่นเหนียว ซาบซึ้งรุนแรง ระดับที่สามารถประทับลงในใจอีกฝ่ายไปจนข้ามภพข้ามชาติ

แต่มีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่านั้น มีคุณยิ่งกว่านั้น ถ้าเราสามารถทำให้ใครสักคนตาสว่างด้วยการเห็นธรรมะ ถ้าเราสามารถทำให้ใครสักคนอบอุ่นใจด้วยการให้ธรรมะเป็นที่พึ่ง ความรู้สึกนั้นจะยิ่งกว่าทำให้คนรักปีติด้วยของกำนัลล้ำค่าใดๆ เพราะการมีตาที่สว่างและใจที่อบอุ่นด้วยธรรมะนั้น จะติดตัวทั้งสองฝ่ายตราบจนแยกจากกันเข้าสู่นิพพาน ไม่มีอะไรมาทำให้เกิดความร้าวฉานแก่สัมพันธภาพระหว่างกันได้อีก

http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/006918.htm

____________________________________________________________________________
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก" : การปฏิเสธไม่รับรักคนที่มาติดพัน

PDF พิมพ์ อีเมล
ดังตฤณ วิสัชนา : ฉบับ "รู้จักรัก"
ถาม - การปฏิเสธไม่รับรักคนที่มาติดพัน แล้วปรากฏว่าเขาเสียใจมาก เป็นบาปหรือไม่?บาปหรือไม่บาป บาปมากหรือบาปน้อย ต้องมองหลายแง่ หลายวาระครับ
๑) คุณมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเขามาชอบข้างเดียว

หากยังมีลักษณะอนุญาตให้เขามีความหวัง หรือซ้ำร้ายทำเอาเขาอาการหนักขึ้นด้วยการให้ความหวังลมๆแล้งๆ โดยอาจใช้ภาษาพูดหรือภาษากายอ่อยเหยื่อ อย่างนี้ถือว่าเข้าข่ายหลอกลวง กฎหมายบ้านเมืองเอาผิดไม่ได้ แต่กฎแห่งกรรมจะตามล่าคุณในวันใดวันหนึ่ง ช้าหรือเร็ว คือมีเหตุบีบให้ต้องไปหลงชอบคนอื่นข้างเดียวด้วยความทรมานใจเข้าบ้าง
๒) คุณมีท่าทีอย่างไรในขณะพยายามปฏิเสธ

หากเต็มไปด้วยโทสะ พูดจาทิ่มตำให้เจ็บใจ ให้เขารู้สึกไร้ค่า อย่างนี้เข้าข่ายทำร้ายกัน กฎหมายเอาผิดคุณไม่ได้อีก แต่กฎแห่งกรรมจ้องจะคัดสรรคนมาทำร้ายจิตใจคุณคืนบ้าง หรืออาจเป็นเขาคนนั้นย้อนกลับมาเอง นี่เป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอน ผลัดกันหักอกนี่เยอะนะครับ เห็นๆเลยล่ะว่าเปลี่ยนผลัดกันก่อเวรในชาติเดียวกันนี่เอง ไม่ต้องรอชาติหน้า
๓) คุณมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าเขาเศร้าจัด

หากกระหยิ่มยิ้มย่อง เกิดความสะใจ ภูมิใจในเสน่ห์ของตนเอง อย่างนี้ก็เข้าข่ายเป็นเศษกรรมได้เหมือนกัน คือถึงแม้ทีแรกคุณไม่เจตนายั่วให้หลง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธห้วนๆแบบมะนาวไม่มีน้ำ ขอเพียงมีใจยินดีที่เห็นเขาเจ็บเพราะคุณ เท่านี้ก็จัดเป็นกรรมทางใจซึ่งมีผลแล้ว แต่ผลอันเกิดจากกรรมทางใจอาจรอคิวกันนาน แตกต่างจากที่ลงมือทำหรือออกปากพูดด้วยเจตนาประทุษร้ายมาก

หากสำรวจตัวเองแล้วเห็นว่าไม่มีจิตคิดประทุษร้ายสักขณะเดียว ก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่งครับ เห็นเขาเศร้าก็อย่าไปเศร้าตามเขา แค่ทำใจเป็นกลาง เป็นอุเบกขา ว่ามโนกรรมของเขาผูกมัดตัวเอง ร้อยรัดตัวเอง เขาก็ต้องทุกข์เอง คุณมีหน้าที่รักษาความสุข ความปลอดโปร่งของตนเองไว้ แล้วคิดกับเขาในทางดี พูดกับเขาในทางดีให้ได้สบายใจตามคุณ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับมโนกรรมของเขาเองเป็นหลัก

หมายเหตุทิ้งท้ายไว้หน่อย บางคนนี่ตอนไหนๆดีหมด ไม่แกล้งยั่วให้หลง ไม่ปฏิเสธแบบทิ่มแทง แต่ด้วยความไม่รู้ ยังพลาดนิดหนึ่งตรงคิดกระหยิ่มยิ้มย่อง ยังยินดีที่มีคนบาดเจ็บทางใจเพราะตนเป็นต้นเหตุ อย่างนี้เป็นกตัตตากรรม คือไม่ได้เจตนาให้เขาเจ็บแต่แรก ทว่าเมื่อเขาเจ็บแล้วยินดีเสมือนได้ลงมือทำ นี่ก็เรียกว่าเป็นกรรมทางใจในภายหลัง ผลอาจเป็นการเจอคนแล้งน้ำใจเมื่อต้องการความช่วยเหลือ หรืออาจถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

http://dungtrin.com/prepare/archive/prepare032.htm

(เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๓ - ตอนที่ ๕)

_____________________________________________________________________________