Messages |
Topics |
Attachments
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Messages - p_san@
Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 31
31
« on: 23 April 2021, 14:32:00 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 ตอนที่ 2
บทที่ 13
ตอนที่ 2
เส้นทางที่คดเคี้ยวลัดเลาะไปตามสายน้ำ จากที่เคยสัญจรได้อย่างสะดวกสบาย บัดนี้เริ่มรกแต็มไปด้วยไม้พุ่มชนิดต่างๆ บางช่วงก็เป็นดงบอนสลับกันกับดงเฟิร์นที่สูงท่วมหัว บางตอนก็มีแต่ดงหญ้าและเถาวัลย์ที่ขึ้นจนรกแทบมองไม่เห็นเส้นทาง รวมทั้งตลิ่งริมน้ำ ก็เริ่มสูงชันขึ้นเป็นลำดับ ครั้นจะเดินเลาะหลีกหลบให้ชิดลำน้ำ พื้นกรวดหินที่เคยเดินสะดวกเมื่อครั้งก่อน มาตอนนี้ก็มีแต่โคลนตมทำให้ทุลักทุเล เพราะแต่ละก้าวต้องออกแรงฉุดตัวเองจากหล่มโคลนที่ลึกเกินหน้าแข้ง กว่าจะผ่านมาได้แต่ละช่วงแต่ละตอน เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับยืนหอบจนตัวโยก บ่อยครั้งที่คิดจะเปลี่ยนใช้เส้นทางบก แต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ดงรกทึบ แหวกเดินเข้าไปได้ไม่กินสิบวา ก็ต้องถอยกับมาตั้งหลักที่เดิม
เกือบสองชั่วโมง ที่ชายหนุ่มใช้เส้นทางนี้ด้วยความทุลักทุเล จนเนื้อตัวมอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน โดยเจ้าตัวก็ไม่คิดที่จะชำระล้างทำความสะอาด เพราะล้างตอนนี้ก็ต้องเดินลุยโคลนไปเช่นเดิน หนักเขาก็ปล่อยให้มันเละอยู่อย่างนั้น ดูแล้วหมดสภาพความเป็นผู้เป็นคน จนเส้นทางนั้นมาสิ้นสุดลงที่ดงกกอันกว้างใหญ่ ที่ขึ้นขวางเส้นทาง มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นกกขึ้นจนรกทึบไปหมด โดยมีหน้าผาสูงตั้งฉากเป็นกำแพงอยู่เบื้องหลัง เปรียบเสมือนปราการกั้นขวางอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะโค้งโอบรับเป็นรูปปีกกา ขนาบไปกับภูเขาและป่าทึบฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีแม่น้ำสายนั้นกั้นกลาง เหมือนแบ่งกั้นอาณาเขตของกันและกันไว้ โดยมีส่วนที่อยู่ชิดกันมากที่สุด ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ ลักษณะเหมือนคอขวด ถ้ามองด้วยสายตาก็พอจะกะได้ว่า มันห่างกันไม่เกินยี่สิบวา
ชายหนุ่มค่อยๆลัดเลาะไปตามเส้นทางที่บีบบังคับไว้ ซึ่งเขาพยายามเดินเลาะเลียบชิดริมตลิ่งให้มากที่สุด เพราะระดับน้ำบริเวณนั้น ส่อแววว่าทำท่าจะลึกลงไปเลื่อยๆ บางช่วงก็ลึกระดับหน้าอก จนต้องถอดเป้ขึ้นมาเทินไว้บนหัว บ่อยครั้งก็ต้องสำลักน้ำจนหูตาเหลือก เพราะตกหลุม หรือไม่ก็เดินสะดุดเอากับตอไม้ใต้น้ำ จนทำให้เสียหลักหน้าคะมำ แต่ก็ยังมีสติพอที่จะประคองเป้หลังไม่ให้เปียกน้ำได้ ลักษณะบริเวณเวิ้งน้ำก็ดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจ ทั้งด้วยความลึกจนมองดูเขียวไปหมด แถมยังดูวังเวงไม่ชอบมาพากล บางครั้งก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงของน้ำที่แตกดังซู่ซ่าอยู่ในดงกกนั้น แต่ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า อะไรชนิดใด ทำให้น้ำไหวกระเพื่อมได้ขนาดนี้
ชายหนุ่มยืนพิเคราะห์สถานที่อยู่เพลินๆก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะเสียงป่าแตกดังโครมครามมาจากชายดงทึบ มันดังไล่มาจนถึงป่ากกที่ขึ้นอยู่ชายตลิ่ง จนดูไหววูบมาเป็นทาง พร้อมๆกับเสียงขู่กรรโชกของสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง มันดังสับสนไปหมด และดูทีท่าว่าจะใกล้เข้ามายังตำแหน่งของเขาเป็นลำดับ เมื่อสถานการณ์ดูไม่น่าไว้วางใจ ชายหนุ่มจึงต้องมองหาลู่ทางและชัยภูมิที่ได้เปรียบ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา สอนให้เขาได้ตระหนัก เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่จะต้องเผชิญอยู่นั้นเป็นเช่นไร จะเป็นภัยอันตราแก่ตัวเองหรือไม่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อกวาดตาไปโดยรอบ ก็ประจวบเหมาะที่เห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่บนเนินเดินใกล้ๆ กะความสูงด้วยสายตาก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบวา จึงค่อยๆไต่ขึ้นไปบนตลิ่ง เพื่อจะลองสังเกตุเหตุการณ์เบื้องหน้า แต่ก็ไม่อาจสังเกตุอะไรได้ถนัดนัก เพราะป่ากกสูงท่วมหัวบดบัง เห็นแต่ยอดของมันไหวๆเท่านั้น ด้วยความสงสัยอยากรู้จึงปีนต้นไทรใหญ่เพื่อสังเกตุการณ์ เพราะสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ อยู่บนต้นไม้ย่อมดีกว่าอยู่บนพื้นดิน ความสูงของต้นไทรทำให้เขาได้รู้ว่า เสียงที่ได้ยิน คือเสียงขู่ของหมาใน เกือบสิบตัว พว กมันพากันล้อมหน้าล้อมหลังไล่ต้อนเจ้ากวางหนุ่ม ซึ่งตอนนี้กระเสือ กกระสนหนีเอาชีวิตรอดเขาไปจนมุม ลอยคอแช่น้ำอยู่ในดงกกนั้น จะด้วยระดับน้ำที่ลึก หรือหมาในพวกนั้นไม่กล้าลงน้ำก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้พว กมันได้แต่วนเวียน วิ่งพล่านกันไปมาอยู่แบบนั้น ส่วนเจ้ากวางหนุ่มก็หนีไปไหนไม่ได้เช่นกัน เพราะติดดงกกที่ขึ้นอยู่หนาทึบ จะขึ้นก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ ทำได้แต่ลอยคอแช่น้ำอยู่แบบนั้น แต่ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ชายหนุ่มต้องตกใจสุดขีด ชนิดที่ว่าเย็นไปถึงสันหลังก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อเขาเหลือบไปเห็นอะไรชนิดหนึ่งค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากวังน้ำนั้น
“ฮึย!....ไ อ้เ ข้”ชายหนุ่มอุทาน
ส่วนหัวอันใหญ่โตของจระเข้ ค่อยๆลอยโผล่ เข้าไปใกล้เจ้ากวางหนุ่มจากทางด้านหลัง เพียงเสี้ยววินาที เสียงหุบน้ำดังตูมสนั่น เหมือนใครขับรถปิคอัพเสียหลักพุ่งลงน้ำ เขาเห็นถนัดชัดเจนที่สุดว่ามันคาบกวางหนุ่มไว้กลางตัว จนน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ก่อนที่มันจะม้วนพลิกตัวหมุนเป็นเกลียว จนป่ากกหักลู่ไปเป็นแถบ เศษเนื้อและคราบเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว มันกระเซ็นไปถึงตำแหน่งที่ชายหนุ่มเฝ้ามองอยู่ บนต้นไทรด้วยใจระทึก พร้อมๆกับร่างของเจ้ากวางหนุ่มก็หายวูบเข้าไปในดงกก เหลือไว้เพียงแรงกระเพื่อมของวังน้ำและคราบเลือดสีแดงจางๆ ที่โคต รไอ้ เข้ฝากไว้ให้เขาดู ส่วนไ อ้พ วกหมาใน ไม่ต้องพูดถึง พว กมันพากันตกใจวิ่งพล่านหายเข้าไปในดงทึบ ปล่อยไว้แต่ชายหนุ่ม ที่ตอนนี้มือเท้าช้าไปหมด แทบจะเป็นลม เสียสติ เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา มันเป็นเหตุการณ์สยองขวัญ ยิ่งกว่าเจอพวกฝูงค้างคาวผีไปสิบเท่า ใครจะเชื่อว่าจระเข้ที่เขาเห็นมันจะใหญ่โตขนาดนั้น เล่าให้ใครฝังก็คงไม่มีใครเชื่อ อย่าว่าแต่กวางหนุ่มเคราะห์ร้ายตัวนั้นเลยที่มันคาบทีเดียวหายไปต่อหนาต่อตา ต่อให้มีช้างสักตัวมันคงจะลากลงน้ำไปกินได้ง่ายๆ คิดแล้วก็เสียวสันหลังวาบ เมื่อนึกไปถึงตอนที่ตัวเองลงไปแช่น้ำเมื่อสักครู่ เดชะบุญขนาดไหน ที่ทำให้เขาไหวตัวขึ้นมาจากวังน้ำมฤตยูแห่งนั้น ถ้าเขาคิดช้าไปสักนิดก็คงไม่ต่างจากลูกเขียดตัวเล็กๆที่โดนปลาชะโดฮุบเอาไปกินเป็นของหวานเป็นแน่แท้
เกือบชั่วโมงที่ชายหนุ่มแขวนเติ่งตัวเองให้ติดอยู่บนต้นไทรต้นนั้น เหมือนร่างกายไม่มีความรู้สึก เพราะทุกส่วนมันชาไปหมด ราวกับถูกสะกดจิตไว้ กว่าจะรู้สึกตัวก็บ่ายคล้อยลงไปมาก เมื่อรวบรวมสติได้ ก็ค่อยๆไต่ลงมาอย่างระมัดระวัง โดยไม่ละสายตาไปจากคุ้งน้ำบริเวณนั้นเลย ก่อนจะค่อยๆหย่อนเท้าแตะลงพื้น จนตัวเองมายืนอยู่เต็มสองเท้า เพราะได้ขึ้นไปอยู่บนนั้นอยู่นาน จึงมีโอกาสได้เห็นช่องทางการหลบหลีก ชายหนุ่มค่อยๆเดินเลาะไปตามชายดง โดยเว้นระยะห่างจากริมตลิ่งออกไปพอสมควร อันด้วยยังหวาดระแวงกับเหตุการร์สยองที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปไม่นานนี้ ชนิดที่ว่ากลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ บงบอกว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้ฝันไป
จากลุยน้ำลุยโคลน มาจนตอนนี้ต้องมาเดินลุยป่า ทั้งดงหนาป่าทึบที่ต้องก้าวผ่าน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระแวกระวังภัยสุดขีด เพราะไม่อาจไว้วางใจได้ทั้งนั้น ทั้งโพรงไม้ โพรงหิน หรือแม้แต่ซุ้มไม้ ถ้าดูแล้วไม่น่าไว้ใจ เขาก็จะเลี่ยง หรือถ้าจำเป็นไม่อาจจะเลี่ยงได้ ก็หักไม้ขว้างหินทำให้เกิดเสียงดังเข้าไว้ เผื่อว่าจะมีสัตว์อะไรวิ่งส่วนออกมา จะได้หลบหลีกได้ทันท่วนที กว่าจะเจอที่โล่งโปร่งสบาย เดินได้อย่างสะดวก เนื้อตัวก็ถลอกได้เลือดไปไม่น้อย เพราะต้องมุดลอดผ่านซุ้มไม้หนามหลายที่ บางแผลก็โดนพวกคมหญ้าแฝกบาด เนื้อตัวมอมแมมจนดูสารรูปตัวเองไม่ได้ จนมาถึงลานหินกว้างติดหน้าผาหินตอนหนึ่ง ลักษณะเป็นเวิ่งเข้าไปเป็นถ้ำตื้นๆ ปากทางกว้างไม่เกินช่วงแขน ลึกเข้าไปไม่ถึงสามวา แต่ก็กว้างพอที่ให้เขาเข้าไปหลบอาศัยได้อย่างไม่อึดอัดนัก
เมื่อเดินสำรวจดูแล้วเห็นว่าปลอดภัย ก็จัดแจงวางแผนการพักแรมในคืนนี้ โชคดีที่ภายในนั้นมีแอ่งน้ำเล็กๆ ที่เกิดจากตาน้ำที่ไหลซึมออกมาจากแนวผาหินนั้น มากพอที่จะใช้ดื่มกิน และล้างหน้าล้างตาได้อย่างสบาย กว่าจะจัดการตัวเองให้ดูดีขึ้นมาอีกครั้ง ก็บ่ายคล้อยลงไปทุกขณะ ป่าใหญ่ดงทึบเช่นนี้ แค่ช่วงบ่าย บรรยากาศก็เย็นยะเยือก ยิ่งมีไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบจนแทบจะมองไม่เห็นตะวัน ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบดูมืดครึ้มลงไปอีก เพราะต้นไม้เยอะ ฟืนแห้งจึงหาได้ง่ายไฟกองใหญ่จึงถูกจุดสุมขึ้นมาอย่างง่ายดาย อย่างน้อยๆก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นกว่าเดิม
ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มกำลังสาละวนอยู่กับสถานที่พักแรมนั้นเอง อีกฟากหนึ่งของดงทึบ แพไม้ไผ่ทั้งสองลำ กำลังแล่นเคียงคู่กันมาตามสายน้ำเอื่อยๆนั้น นอกจากวิกฤตของสายน้ำวน ที่ทั้งหมดได้เผชิญมาแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่พบกับสิ่งอันตรายใดๆ นอกจากบางครั้งต้องผ่านตามโตรกหรือแก่งหินที่มีน้ำไหลเชี่ยว แต่ก็ไม่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเดินทาง เพราะแต่ละคนเริ่มมีความชำนาญขึ้นเรื่อยๆ และโดยการนำทางของพรานเบ ที่เลือกถ่อแพไปยังบริเวณที่น้ำไม่ลึกนัก อย่างมากลึกไม่เกินอก ตื้นพอที่จะมองเห็นพื้นกรวดหินด้านล่างได้ ช่วงไหนที่ลึกจนมองไม่เห็น ก็เลี่ยงเบี่ยงเข้าใกล้ริมตลิ่งเข้าไว้ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้ไม่เป็นอันตรายต่อทีมค้นหา บ่อยครั้งที่ลูกทีมร้องทัดทานให้เปลี่ยนมาเดินสำรวจ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะพรานนำทางให้เหตุผลที่ว่า ใช้วิธีสำรวจเช่นนี้ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสียวเวลาลุยดงทึบ
“ไอ้สิงห์มันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“นี่เราก็ล่องแพกันมาจนจะบ่ายอยู่แล้ว ยังไม่เห็นมันเลย”พรานพรร้องบอก พรานเบ
“แถวนี้ไม่เจอ”
“เราก็ต้องตามหามันไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ”พรานเบร้องตอบ
“ไม่รู้จะไปยันไหน”
“ฉันชักใจคอไม่ดีแล้วสิน้า”เจ้าพุ่มร้องบอก จากนั้นก็ใช้ผ้าขาวม้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตา
“ตราบใดที่เรายังไม่เจอรอยมัน”
“เราก็ต้องตามจนกว่าจะเจอ ช่วยๆกันดูทั้งสองฝั่งละกัน อย่าให้คลาดสายตา”พรานเบพูดจบก็ดันไม้ถ่อลงน้ำดังพรวด
“ไอ้เบโว้ย...”
“บ่ายกว่าจนจะเย็นอยู่แล้ว ข้าว่าเตรียมหาที่พักกันดีกว่า”พรานโส่ยร้องบอก มาจากแพที่ลอยขนาบตีคู่กันมาจากทางฝั่งซ้ายมือของลำน้ำ โดยทั้งสองลำมีระยะห่างกันเกือบสามสิบวา
“พ้นโค้งน้ำไปอีกหน่อย”
“ข้าคิดอยู่ว่าจะหาที่พักแถวนั้นก่อน แถวนี้ตลิ่งมันชัน แถมรกด้วย แกไม่เห็นหรือไง”
“โน่น ทางโน่น น้ำมันเริ่มตื้นขึ้นเรื่อยๆ ข้าว่าเลยโค้งไปน่าจะเป็นหาด คงจะหาที่พักกันได้”พรานนำทางร้องบอก
“ป่าแถวนั้นมันก็ดูทึบๆอยู่หน่า”
“แถวนี้ยังดูโล่งกว่าอีก”พรานโส่ยตอบ จากนั้นก็จุดไม้ขีดแล้วค่อยๆใช้มือป้องเปลวไฟขึ้นมาจอที่บุหรี่ยาเส้นของแกอย่างบรรจง
“เชื่อน้าเบเข้าเถอะตาโส่ย”
“แถวนี้รกจะตาย ไม่มีที่ให้ตั้งแคมป์หรอก ป่าก็ดูน่ากลัว วงน้ำแถวนี้ก็ลึกดูชอบกลยังไงไม่รู้”เหน๋อกระซิบบอก
“อย่าไปกลัวอะไรมากเลยไอ้เหน๋อ”
“ขืนมีอะไรโผล่มา พ่อจะยิงให้หัวแบะเลย”พรานโส่ยพูดวางมาดท่าทางขึงขัง ก่อนจะสูบบุหรี่ใบตองแห้งจนแก้มตอบ แต่ไม่ทันตาพรานเฒ่าจะพ่นควันออกมา ก็มีเสียงพรวดพราด แหวกกอหญ้าแล้วมาจากชายฝั่ง แล้วสัตว์เลื้อยคลานขนาดเขื่องชนิดหนึ่ง ก็กระโจนลงน้ำดังตูม เล่นเอาตาพรานเฒ่าคนพูดตกใจล้มหงายท้องขาชี้ฟ้า ส่วนคนอื่นๆก็พากันคว้าปืนคู่มือมาถือไว้แน่น แต่พอเห็นสัตว์บางชนิดโผล่น้ำขึ้นมาก็พอกันหัวเราะ
“โถ่...ตัวเหี้ ยนี่เอง”
“เล่นเอาเสียเส้น ตาโส่ยก็ทำเป็นตาขาวไปได้ ตะกี้ยังคุยอยู่เลยว่าอะไรโผล่มาจะยิงให้หัวแบะ”พรานแปะพูดจบ ก็ตวัดปืนคู่ใจที่กระชับอยู่ในท่าเตรียมขึ้นบ่าเช่นเดิม
“มันคงจะตกใจเสียงตาโส่ย ที่ขี้ โ ม้เสียงดังไปหน่อย”
“ดีนะที่เป็นแค่ตัวเหี้ ย ถ้าเป็นไอ้ตัวที่ข้าเคยเจอรอยมันนะ ป่านนี้ตาโส่ยคงเหลือแต่ชื่อ”พรานพรร้องบอก พรางหัวเราะชอบใจ
“เอ็งก็ทำเป็นพูดไป ไอ้พร”
“อยู่ในป่าดิบเถื่อนแบบนี้ พูดถึงมันบ่อยๆเดี๋ยวพวกก็ออกมาให้เจอจริงๆ”พรานเฒ่าขี้โ ม้พูดจบ ก็โยนมวนยาเส้นลงน้ำ
“ดูท่าทางมันก็ไม่ค่อยจะกลัวคนจริงๆ”
“สงสัยจะไม่เคยเห็นคน”เจ้าพุ่มเสวนาตอบ พูดจบก็ลดนกของปืนแก๊บลงเช่นเดิม
“สัตว์มันชุมจริงๆ ผักป่าก็มีหลายอย่างให้กิน ไม่ต้องกลัวอด”
“ต่อให้ข้าวสารหมดก็เถอะ”พรานแปะที่ถ่อแพอยู่ด้านท้ายร้องบอก
“ลำพังพวกเรามันเอาตัวรอดสบายอยู่แล้ว ปืนผาหน้าไม้ก็มีกันครบทุกคน”
“แต่ไอ้สิงห์นี่สิ ข้าหละหนักใจจริงๆ ปืนก็ไม่มีติดตัว มีดเราก็เพิ่งเก็บของมันมาได้อยู่นี่ ไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรติดตัวไปบ้างหรือเปล่า”
“ถ้ามีปืนติดไปด้วยก็ยังว่าอยู่”พรานเบพูดอย่างเป็นกังวล
“ข้าว่ามันต้องเอาตัวรอดได้ อย่างน้อยๆก็เคยเที่ยวป่ากับเราบ่อยๆ”
“วิชาพราน มันก็คงมีติดตัวไปบ้างแหละ คนมีความรู้แบบมัน ข้าว่ามันคงคิดหาทางรอดจนได้”
“แต่ถ้า...เอ่อ..ถ้ามัน..”พรานพรพูดออกมาได้แค่นั้นก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือกใหญ่
“มันต้องรอด มันต้องไม่เป็นอะไรสิวะ เอ็งก็อย่าปากเสียไปแช่งมันไอ้พร”
“ไอ้สิงห์มันดวงแข็ง”พรานโส่ยโพร่งออกมา
“มันก็น่าคิดอยู่หน่า ตาโส่ย”
“ล่องแพมาจะหมดวันแล้ว ยังไม่เจอรอยมันเลย”พรานพรพูดออกมาอย่างคนท้อแท้
“ตราบใดที่เรายังไม่เจอมัน เราก็ต้องตามหามันให้เจอ”
“ไม่ว่าจะเจอสภาพใดก็ตาม เราก็จะไม่หยุดตามหามัน”พรานนำทางพูดตอบ ก่อนจะอัดบุหรี่ใบตองแห้งจนแก้มตอบ
“เราคงไม่มากันผิดทางนะ น้าเบ”
“ฉันนี่สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้”เหน๋อร้องบอก
“เชื่อฝีมือพ่อผมเถอะพี่”
“ถึงจะขี้ โ ม้ไปหน่อย แต่แกก็ศิษย์มีครู”เจ้าเคิ้งเสวนาบ้างหลังจากเงียบอยู่นาน
ดวงตะวันบ่ายคล้อยลงไปเกือบจะลับทิวเขา แสงแดดที่เคยสาดส่องราดรดผิวกายจนแสบแทบไหม้ เมื่อตอนดวงตะวันตรงหัว มาตอนนี้เริ่มส่อแววว่าจะเย็นยะเยือกลงทุกขณะ เพราะยิ่งคณะเดินทางล่วงล้ำเข้าไปในเขตดงทึบมากเท่าไหร่ ความมืดครึ้มของหมู่ไม้พรรณต่างๆ ก็ยิ่งหนาทึบมากตามไปด้วย ตลอดทั้งสองฝั่งสายน้ำที่แพทั้งสองลำล่องผ่าน มีแต่พรรณไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น แต่ละต้นใหญ่โตชนิดที่ว่าไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน บางชนิดก็มีรูปร่างประหลาด เพราะรูปทรงดูบิดๆเบี้ยวๆผิดรูป แถมยังมีพืชจำพวกเฟิร์นหรือไม่ก็พืชจำพวกเคราฤาษีขึ้นเกาะปกคลุมไปตามกิ่งก้านสาขาดูแปลกตา ต้นผึ้งหรือต้นยวนผึ้ง บางต้นก็สูงลิบลิ่ว แต่ละต้นมีรังผึ้งหลวงเกาะอยู่นับร้อยรัง ทำให้กะเหรี่ยงทั้งคณะพากันตื่นเต้นกับภาพที่พบเห็น
*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะผู้ติดตาม จะพบกับกับบุคคลสูญหายหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป*****
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: ความเห็นที่ 1 : 18 มี.ค. 64, 16:054
สวัสดีครับน้าๆ แหม่ กว่าจะลงได้แต่ละตอน เล่นเอาเครื่องน๊อกไปหลายรอบ อาจจะติดขัดหน่อยนะครับ บทที่แล้วผมก็ลืมติ๊กช่องแสดงความคิดเห็น น้าๆสามารถคอมเม้นงานเขียนของผมได้เต็มที่นะครับ ไม่เคืองกันแน่นอน
จริงๆบทนี้มีภาพประกอบ แต่พยายามลงแล้วคอมมันน๊อกตลอดไม่รู้เป็นเพราะอะไร ขนาดรูปก็ไม่ใหญ่เกินกำหนด
เอาเป็นว่าจะพยายามหาเวลามาลงเพิ่มนะครับน้าๆ
ขอขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ยังติดตามอ่านนะครับ บทหน้าพบกันใหม่ สวัสดีครับ
32
« on: 23 April 2021, 14:27:00 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร
บทที่ 13
(ตอนที่ 1)
แสงอาทิตย์ในยามสาย เปล่งประกายรัศมีและความร้อน แต่ในป่าทึบดงดิบเช่นนี้ มันกลับทำให้มีความรู้สึกอบอุ่น ต้นไม้ใหญ่ดูหนาทึบ ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น จนดูเขียวครึ้มไปทุกหนแห่ง ตัดกับสีแดงส้มตามหน้าผาหินปูน ที่เหมือนใครแกล้งนำสีไปแต่งแต้มดูวิจิตรตระการตา ตลอดจนทุกสันเขาที่ปรากฏให้เห็น หน้าผาและภูเขาแต่ละลูก ดูสูงทะมึนจนเสียดฟ้า ซึ่งบางครั้งต้องแหงนมองจนคอตั้งบ่า พืชพรรณนานาชนิดมีมากมายเหลือคณานับ บางช่วงบางตอนก็ดาษดื่นไปด้วยต้นไม้ที่มีผลให้เก็บกิน ทั้ง มะเดื่อ มะไฟ ระกำ ลูกหวายที่ห้อยอยู่เป็นพวงก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป มันเป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้จากป่าภายนอก ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของความหายนะ ราวกับหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยเปรอะเปื้อนมลทินใดๆ
สายน้ำที่คดเคี้ยว ยังคงไหลเอื่อยไปตามช่องเขา บางช่วงบางตอนก็เชี่ยวกราด ดังอึกทึกไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ แก่งหินน้อยใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำ ดูเกลี้ยงเกลาเพราะถูกกัดเซาะมาเป็นเวลานาน ตามริมตลิ่งที่กระแสน้ำไหลเอื่อยเพราะตื้นเขิน มองเห็นกรวดทรายมากมายหลากหลายสี รวมทั้งหมู่ปลาเล็กปลาน้อยที่แหวกว่ายอยู่เป็นกลุ่มๆ เพราะพวกมันพากันหลบภัยจากปลานักล่า ทั้งปลากระสูบ ปลาเวียน ที่จับกลุ่มรอจังหวะฉวยโอกาสอยู่ในแอ่งน้ำที่ลึกกว่า นอกจากพวกมันจะต้องคอยระวังภัยจากปลานักล่าด้วยกันแล้ว นักล่าที่อยู่บนบกก็มีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนกกระยาง ที่เดินเลาะเลียบตามชายตลิ่ง นกกาน้ำที่ยืนตัวดำทะมึนกางปีกผึ่งแดดนิ่งอยู่บนคอน สูงขึ้นไปบนกิ่งไผ่ที่โน้มลงมา นกกระเต็นที่มีปากขนาดใหญ่สีแดงส้ม ดูผิดรูปเมื่อตัดกับลำตัวสีน้ำเงินเข้มของมัน สายตาที่คมกริบจับจ้องอยู่ที่ฝูงปลาเบื้องล้าง เมื่อได้จังหวะ ก็ทิ้งตัวลงมาราวกับหอกที่ถูกพุ่งลงน้ำ เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ก็โผล่พรวดบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไผ่ พร้อมกับรางวัลความสำเร็จในปากของมัน มันเป็น วัฏจักร ห่วงโซ่ อาหาร ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป
ชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกตัวขึ้น เพราะเสียงกรอบแกรบของกรวดหินริมน้ำดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เมื่อค่อยๆเปิดเปลือกตา ก็พบเข้ากับกวางสองแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่พากันลงมากินน้ำ ห่างจากเขาออกไปไม่เกินสองวา เจ้ากวางแม่ลูกอ่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่ก็หันมามองด้วยความสงสัย แต่ไม่กี่อึดใจก็ก้มลงกินน้ำตามปกติ แลดูแล้วเหมือนสัตว์เชื่องๆตามสวนสัตว์ที่ไม่ตื่นคน ก่อนที่มันจะผละกระโจนเข้าละเมาะไป มันและลูกน้อยของมันยังหันกลับมามองชายหนุ่มด้วยความฉงน พวกมันคงคิดว่า สัตว์ป่า หรือตัวชนิดอะไรหนอ มานอนเล่นอยู่ริมน้ำกลางดงทึบแห่งนี้
ชายหนุ่มค่อยๆยันกายขึ้น ก่อนที่จะสะบัดหน้าไปมาไล่ความมึนงง เมื่อหันไปสำรวจรอบๆบริเวณ กองไฟที่เคยก่อไว้เมื่อคืนที่ผ่านมา ตอนนี้เหลือแต่ขี้เถ้าขาวโพลน ส่วนปลายของท่อนฟืนที่เผาไหม้ไม่หมด ยังคงมีควันไฟคลุกรุ่นอยู่เบาบาง ถัดออกไปใกล้ปากโพรงที่เคยเข้าไปหลบพวกค้างคาวผี ยังมีหอกไม้ปลายแหลมวางพาดอยู่ห่างๆกัน สอง สามเล่ม เป้หลังที่ซุกไว้ภายในโพรงหินนั้นยังอยู่ตำแหน่งเดิม ส่วนบริเวณพื้นกรวดนั้น มองเห็นคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง ซึ่งคงจะเป็นเลือดของพวกค้างคาวผีพวกนั่น ส่วนตำแหน่งที่ตัวเองนอนพังพาบอยู่นั้น มีเพียงผ้าขาวม้าที่ถูกปูรองต่างฟูก มีท่อนไม้อีกท่อนต่างหมอน
“พลับพลึง” ชายหนุ่มอุทานขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะลุกพรวดพราดขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา หล่อนคนนั้น บัดนี้ได้อันตรธานหายไปไหนเสียแล้ว ตักที่เคยหนุนนอนในตอนนี้มันกลับกลายเป็นเพียงท่อนไม้ขนาดเขื่อง หรือมันเกินจากภาพหลอนของตัวเขาเอง ซึ่งอาจจะทำให้สติสัมปชัญญะขาดหายไป หรืออาจจะเป็นเพราะพิษของบาดแผลที่มือของเขาหรือไม่ ที่แผงฤทธิ์ทำให้ส่งผลต่อจิตรประสาท จนเกิดเป็นอาการหลอนต่างๆ แต่เมื่อพิจารณาบริเวณพื้นที่โดยรอบ ร่องรอยคราบเลือด และเศษซากของพวกค้างคาวนรก ก็ยังคงปรากฎ มันชี้ชัดว่ามันไม่ใช่ภาพหลอนหรือความฝันแต่อย่างใด
และแล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุดตากับอะไรชนิดหนึ่ง ที่วางเด่นอยู่บนก้องหินราบเรียบก้อนหนึ่ง ในทิศทางของกวางแม่ลูกอ่อนคู่นั้น ห่างออกไปร่วมสองวา ลักษณะของมันเป็นห่อใบตองสี่เหลียมขนาดเขื่อง ใบตองยังดูเขียวสดเหมือนเพิ่งถูกตัดมาใหม่ๆ ด้วยความมึนงง เมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อวันก่อน เขาแน่ใจว่าเจ้าห่อใบตองชนิดนี้ เขาไม่ได้เป็นคนทำหรือได้พบมาก่อน
“ห่ออะไรกันนี่ มันมาจากไหนกัน” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆตรงไปที่ห่อใบตองปริศนาห่อนั้น เมื่อค่อยๆเปิดออก ก็พบเขากับความมหัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะภายใต้ห่อใบตองปรากฏ หัวมันเทียนขนาดข้อมือสี่หัว แต่ละหัวยาวประมาณสองคืบ มันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เศษดินหรือแม้แต่เศษรากฝอย ไม่ปราฏกให้เห็นแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันถูกขัดล้างทำความสะอาดมาเป็นอย่างดีที่สุด
“คงไม่ใช่ใครที่ไหน”
“คุณเองสินะครับ....คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มรำพันกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะคว้าดอกช้างกระที่วางซุกอยู่ในห่อใบตองนั้นขึ้นมาพิจารณา
“ขอบคุณนะครับ ที่คอยช่วยเหลือผมมาโดยตลอด”ชายหนุ่มกลั่นถ้อยคำออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วค่อยๆบรรจงเก็บดอกช้างกระดอกนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ซึ่งตำแหน่งนี้เอง มันตรงกับหัวใจของเขาพอดี
ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบสุมไฟใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเชื้อไฟกองเดิมที่ยังพอคลุกลุ่นมีเชื้ออยู่บ้าง กองไฟกองใหม่ ก็ถูกก่อขึ้นมาอย่างง่ายดาย หลังจากนำหัวมันเทียนที่ได้มานั้น หมกขี้เถ้าทิ้งไว้ทั้งสี่หัว จากนั้นก็ผละไปที่เป้และกองเสื้อผ้าที่ตากผึ่งบนลานหิน อาหารจำพวกเนื้อแห้งหมดไปเมื่อก่อนค่ำวันก่อน ตอนนี้เหลือเพียงอาหารกระป๋องอยู่เพียงชิ้นเดียว และเขาคิดว่าจะเปิดกินเมื่อถึงคราวจำเป็นมาถึงขีดสุด ในใจก็ยังคิดไม่ออกว่า ถ้าหมดจากของสิ่งนี้แล้ว อาหารมื้อต่อๆไปจะทำเช่นไร ลำพังถ้าเป็นพรานกะเหรี่ยงแบบเพื่อนร่วมทาง ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะพวกเขาเหล่านั้น ต่างล้วนแล้วแต่เป็นลูกไพรด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับเขาที่เป็นคนเมือง เห็นท่าคงจะลำบากในสถานการณ์เช่นนี้ แต่แล้วราวกับสวรรค์ประทานพรหรือนรกยังไม่พร้อมที่จะต้อนรับเขา เพราะเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา กลับพบเข้ากับห่อเสบียงและอาหารปริศนา เปรียบเสมือนสายใยแห้งชีวิต ที่พอจะหล่อเลี้ยงให้อยู่ต่อไปได้ ซึ่งมันได้สร้างกำลังใจให้เขาได้ต่อสู้กับโชคชะตาขึ้นมาอีกครั้ง
มันเทียนหมกสุกจนส่งกลิ่นหอมฟุ้ง พร้อมกับสัมภาระที่ถูกบรรจุลงเป้อย่างลวกๆ อาหารเช้ามื้อแรกแสนจะธรรมดา แต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร รสหวานที่ได้สัมผัสปลุกความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้อย่างประหลาด ราวกับว่าได้กินหรือเสพอาหารทิพย์ของเทวดานางฟ้า เพียงแค่หัวมันแค่หัวเดียวที่กินเข้าไป กลับรู้สึกอิ่มจนแน่นท้องไปหมด ใช่สิ อาหารของเทวดา นางฟ้า โดยเฉพาะนางฟ้าจำแลง ที่มีนามว่า พลับพลึง
หลังจากอาหาร และน้ำดื่มที่ชายหนุ่มกวักขึ้นดื่มกลั้วคอ จนรู้สึกอิ่มแปล้ ส่วนมันหมกที่สุกอีกสามหัว ชายหนุ่มใช้ใบตองห่อเก็บเป็นเสบียงเหน็บไว้ข้างเป้สะพาย จากนั้นก็มาสำรวจเนื้อตัวและร่างกายของตัวเองอีกครั้ง นอกจากรอยถลอกตามเนื้อตัวไม่ได้มีบาดแผลฉกรรจ์ ที่หนักสุดก็คงเป็นแผลบนฝ่ามือเท่านั้น ซึ่งเกิดจากคมเขี้ยวของอสูรกายมีปีก แต่บัดนี้เนื้อบริเวณนั้นดูดีขึ้นมากกว่าก่อน รอยแผลที่เป็นรูโบ๋จากเขี้ยว มาตอนนี้เริ่มปิดชิดกัน อาการอักเสบปวดระบมที่เคยสัมผัส เปลี่ยนมาเป็นเสียวแปลบเมื่อถูกบีบหรือกดลงบนแผลนั้นแรงๆ โดยรวมแล้วเป็นไปในแนวทางที่ดี ที่เหลือก็รักษาตามอาการเพียงแค่ใส่ยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่
“ท่านจงตรองดูเถิด สิ่งใดที่นำพาท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งนั้น จักนำทางท่านย้อนกลับไปเอง” ชายหนุ่มนึกย้อนถึงถ้อยคำของหญิงสาว
“เราก็คงต้องเดินทวนน้ำไปสินะ”
“ไม่รู้ว่ามาไกลขนาดไหนกัน แต่ก็ต้องลองเสี่ยงดู”ชายหนุ่มรำพึงขึ้นมาเบาๆ
เมื่อนึกย้อนไปถึงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็ไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า จากจุดแรก ที่เขาพลัดตกลงมาจากเหวนรก ตอนที่หนีช้างป่าครั้งนั้น ถึงจะรอดตายมาได้ ก็ต้องมาหลงงมอยู่ในขุมนรกใต้ดินอีกนาน ซึ่งก็กะเวลาไม่ถูกว่าติดอยู่ภายในนั้นนานแค่ไหน แถมต้องมาเผชิญกับค้างคาวผีสิงอีก แต่ดูเหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาว่า ได้พบกับสุสานช้าง ซึ่งเป็นปลายทางที่พบกับแสงสว่างของทางออก แล้วต่อจากนั้นภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ดับวูบไป ก่อนที่จะมารู้สึกตัวอีกครั้งก็มาโผล่เอาที่ดินแดนลี้ลับแห่งนี้
ลมพัดมาตามทิวเขาอีกวูบเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้ชายหนุ่มได้เริ่มออกเดินทาง ปล่อยให้สายน้ำได้ไหลไปตามทิศทางของมัน ซึ่งก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกันว่า มันจะสิ้นสุด ณ ที่ใดของดงดิบแห่งนั้น เบื้องหน้าที่เป็นทิศทางที่เขาจะต้องบุกบั่นไปนั้น ก็ไม่สามารถบอกได้อีกว่า มันจะจบในรูปแบบใด แต่ที่แน่ๆบนเส้นทางแห่งนี้คงไม่ได้สะดวกง่ายดายเหมือนถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้ามถ้าจะเปรียบ ก็คงจะเหมือนประตูนรก ที่เปิดอ้าต้อนรับ หากเกิดผิดพลาดขึ้นมา ยมทูต ที่คอยท่าเขาอยู่ก่อนแล้ว ก็คงกล่าวคำว่า ยินดีต้อนรับ
ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามชายน้ำ โดยยึดเดินตามริมฝั่งที่ทอดยาวคดเคี้ยว ตลอดเส้นทาง ทั้งสองฟากฝั่งนั้นดาษดื่นไปด้วยไม้พรรณต่างๆที่ดูแปลกตา ไม้ใหญ่หลายต้นดูสูงทะมึน กลืนไปกับทิวเขาสูงชันที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลัง ต้นไม้บางต้นก็โดดเด่นผิดแปลกไปกับหมู่ไม้อื่นๆ เพราะลำต้นใหญ่โตมหึมาชนิดที่ว่า แหงนมองคอตั้งบ่า เห็นแต่พุ่มใบสูงลิบ บางต้นก็ทรวดทรงเหมือนไม้บอนไซในกระถาง งดงามวิจิตรตระการตา ผิดไปก็คือขนาดที่ใหญ่โต เมื่อเทียบกับตัวเขา ก็เปรียบเสมือนมดปลวกตัวเล็กๆ
พื้นที่ทางเดินริมน้ำ กลาดเกลื่อนไปด้วยกรวดหินหลายหลายสีสันดูเกลี้ยงเกลา ทำให้ชายหนุ่มเดินทางผ่านไปได้อย่างสะดวก เพราะโปรงโล่งไม่มีสิ่งใดกั้นขวาง นานๆครั้งที่ต้องผ่านแก่งหินสูงใหญ่ และกอไม้หรือท่อนซุงล้มขวาง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพียงแค่เดินอ้อมเบี่ยงหรือเดินลอดมุดผ่านไป ก็สามารถผ่านไปได้ หลายครั้งก็หยุดพัก แวะเก็บกินผลไม้ป่า ที่มีให้เก็บกินได้อย่างมากมาย ผลไม้ป่าบางต้นมีร่องรอยของสัตว์กัดกินทิ้งรอยให้เป็นอยู่เกลื่อนไปหมด โดยเฉพาะผลไม้ป่าที่มีรสชาติหวาน กล้วยป่าก็มีอยู่มากมาย แต่ก็จนปัญญาที่จะเก็บกิน เพราะแต่ละต้นที่ออกเครือขนาดของมันใหญ่เกินคนโอบ สูงน้องๆต้นตาล
ตามแก่งหินและวังน้ำ ปลาหลากหลายสายพันธุ์ก็มีให้เห็นอยู่ชุกชุม ทั้ง ปลากระแห ปลาตะเพียน ปลาตะพาก ปลาพลวง ที่พากันแหวกว่ายรวมฝูงกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ภายใต้ร่มของมะเดื่อป่าและต้นไทรใหญ่ ที่ยื่นเอนโน้มลงไปในแม่น้ำ พอผลที่สุกร่วงตกลงไป พวกมันก็พากันไล่ฮุบยื้อแย่งกันจนน้ำแต กกระเซ็น ดูสับสนอลหม่าน ชายหนุ่มได้แต่ทำท่าเงื้อง่าหอกค้างไว้เช่นนั้น เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะไล่ทิ่มแทง อันเนื่องมาจากระดับน้ำบริเวณนั้นลึกเกินหยั่งถึง นอกจากสัตว์น้ำที่มีอยู่มากมายแล้ว สัตว์ป่าน้อยใหญ่ก็มีให้เห็นเสียจนชินตา กระรอกดงหลายสิบตัว พากันไต่ยั้วเยี้ยไปตามเถาวัลย์และพุ่มไม้ พวก ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ที่ห้อยโหนโยนตัวอยู่ตามยอดไม้และคาคบก็มีให้เห็นเสียจนชินตา ตามพื้นทรายหรือริมตลิ่ง ลอยเท้าพวกเก้ง กวาง และหมูป่า มีให้เห็นอยู่เป็นเทือก บางที่ก็เห็นพวกมันหลายตัวลงมากินน้ำและหากินดินโป่ง ส่วนบริเวณไหนที่เป็นทุ่งโล่งก็จะเห็น วัวแดง และ กระทิง หากินกันอยู่เป็นฝูงๆ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นราวกับได้อยู่ในสวนสัตว์เปิด หรือ ซาฟารีขนาดใหญ่ บางครั้งเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบซุ่มหลีกทางพวกมัน โดยเฉพาะหมูป่า ที่ลงกินน้ำและพากันนอนเล่นกลิ้งเกลือกโคลนอยู่ริมตลิ่ง บางฝูงมีนับเป็นร้อยๆตัว ทั้งไอ้โทนจ่าฝูงที่ตัวใหญ่พอๆกับถังน้ำมันสองร้อยลิตร เขี้ยวของมันยาวโค้งออกมาเป็นคืบๆ ที่นอนแช่ปลักโคลนอย่างสบายอารมณ์ โดยมันก็ไม่ได้ระแคะระคาย ต่อการมาเยือนของมนุษย์ เหตุเพราะมันไม่กระสากลิ่นของเขาเพราะบังเอิญอยู่ในทิศทางใต้ลม แต่ก็ต้องคอยเฝ้าระวังไอ้พว กลูกเล็กเด็กแดงที่พากันวิ่งไล่กันไปเป็นพรวนดูลายตาไปหมด เพราะลวดลายลักษณะเหมือนแตงไทยของมัน บางทีก็ทำถ้าจะวิ่งมาทางเขา เล่นเอาใจหายใจคว่ำแทบจะต้องแอบชนิดกลั้นหายใจ
กว่าพวกหมูป่าฝูงนั้นจะพากันเข้าไปหากินในดงทึบ ร่วมชั่วโมงที่ชายหนุ่มซุกกายซ่อนเร้นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าที่จะกระดิกตัวไปไหน จนแทบจะเป็นตะคริว เมื่อดูแล้วปลอดภัยถึงได้เริ่มเดินทางต่อ ในตลอดชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นป่าดงพงไพรที่ไหน หรือสถานที่ใด จะอุดมสมบูรณ์ทั้งด้านป่าไม้ และสัตว์ป่าเท่ากับดงดำแห่งนี้ ธรรมชาติที่สมบรูณ์ปราศจากการถูกรบกวนของโลกภายนอก เหมือนกับได้อยู่กันคนละโลก บรรยากาศที่บริสุทธิ์ปราศจากสารเคมี เมื่อสูดหายใจเข้าเต็มปอดทำให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย เมื่อผ่านไปตามดงไม้พรรณพฤกษา ที่พากันออกดอกสะพรั่งหลากหลายสีสันด้วยแล้ว ยิ่งได้กลิ่นหอมหวนชวนให้ชื่นฉ่ำใจ ครั้งหนึ่งชายหนุ่มหยุดยืนนิ่งแล้วยิ้มขึ้นมาน้อยๆ เมื่อพบกับกอช้างกระกอใหญ่ที่ขึ้นเกาะอยู่ตรงคาคบไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“คุณพลับพลึง คุณอยู่ที่ไหนหนอ ในเวลานี้”
“ผมหวังว่า เราจะได้พบกันอีกนะครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาในใจ ขณะที่ยืนมองกอช้างกระกอนั้นอยู่เงียบๆ
*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร สิงห์และคณะจะพบกันหรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป*****
33
« on: 23 April 2021, 14:20:44 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 4
บทที่ 12
ตอนที่ 4
เพื่อความสะดวกและเบาแรง พรานกะเหรี่ยงที่ต่อแพแต่ละลำ ต่างลงไปยืนแช่บริเวณริมน้ำที่ลึกไม่เกินขาอ่อน จากนั้นก็ลากลำไผ่ที่ตัดมาได้ตามขนาด มาจัดเรียงเตรียมต่อแพ ได้ลำไผ่ที่เตรียมต่อแพแล้ว ก็ต้องมาบากปล้อง ให้ทะลุทั้งสองด้าน ทั้งด้าน หัว กลาง ท้าย ทำแบบนี้ทุกลำแต่ละลำให้รอยบากตรงกัน จากนั้นก็สอดไม้ขนาดเท่าแขนเข้าไปตามรูที่บากไว้ เพื่อร้อยลำไม้ไผ่ให้เป็นแพ แล้วมัดลำไผ่และไม้ที่สอดด้วยเถาวัลย์จนแน่นหนาและแข็งแรง ทำแบบนี้ด้วยกันทั้งสามตำแหน่ง หัวแพ ท้ายแพ และบริเวณกลางลำแพ เพราะด้วยลำไผ่ที่มีขนาดใหญ่ แพแต่ละลำที่ต่อ จึงใช้ลำไผ่ไม่เกินสิบลำ แต่ก็ได้แพกว้างเกือบวา และยาวร่วมหกวาเศษ
นอกจากตัวแพที่ต่อแล้ว บริเวณกึ่งกลาง ยังปรากฏแคร่ไม้ไผ่ขนาดย่อม ที่พรานกะเหรี่ยงต่อสูงขึ้นมาจากพื้นรวมศอก มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วางสัมภาระต่างๆไม่ให้เปียกน้ำ บ่งบอกถึงภูมิปัญญาที่จะสามารถคิดค้นได้ในเวลานั้น เมื่อทุกคนทดลองขึ้นไปยืนเพื่อถ่วงน้ำหนัก ก็พบว่าแพที่ต่อใช้งานได้ดีและสมบรูณ์แบบที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้
ถึงแม้จะสร้างแคร่ไม้สำหรับวางสิ่งของกันเปียกน้ำ พรานนำทางก็ไม่ประมาท ก่อนจะนำสัมภาระต่างๆขึ้นจัดเรียงบนแพ พรานเบยังสั่งให้นำผ้าใบมาปูรองและหุ้มหอสิ่งของต่างๆอีกชั้น นอกจากปืนประจำกายของแต่ละคนที่สะพายบ่าแล้ว สิ่งของทุกชิ้น เสบียงต่างๆ ทั้งหมดถูกห่ออยู่ภายใต้ผ้าใบผืนใหญ่ ก่อนที่จะถูกตรึงมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาที่สุด กว่าทุกอย่างจะลงตัวและพร้อมเพียง ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นกลางหัวพอดี
“เดี๋ยวขาจะนำไปก่อน”
“เว้นระยะห่างกันสักหน่อย เดี๋ยวจะชนกันเอง”พรานเบร้องบอกคณะจากหัวแพ จากนั้นก็ค่อยๆถ่อดันแพไปตามกระแสน้ำด้วยลำไผ่เล่มยาว โดยมีพรานพรคอยคัดท้าย ส่วนเจ้าพุ่มนั่งกอดเจ้าพะเปรียวอยู่แน่นที่กลางแพ
“ไอ้แปะ เอ็งอยู่ท้ายก็แล้วกัน”
“ให้ไอ้สองคนนี่อยู่กลาง”พรานโส่ยร้องบอก
“ยังไงก็ได้ลุง”
“เอ็งสองคนนั่งเกาะกันให้ดีๆ พลาดตกน้ำกันล่ะแย่เลย”พรานแปะร้องบอก เคิ้ง และ เหน๋อ ที่นั่งเกาะแคร่กันคนละด้าน
“ถ่อดีๆละกัน”
“ค่อยๆไป น้ำตรงนั้นมันเชียวน่าดู”พรานแปะร้องบอก
“เอานา เอ็งไว้ใจข้า”
“แต่ก่อนข้าเคยถ่อแพมาก่อน”พรานชราร้องบอกพรานแปะ
“เคยตอนไหนพ่อ”
“ไม่เห็นเล่าให้ฟังบางเลย”เจ้าเคิ้งผู้เป็นลูกร้องขัด
“ตอนหนุ่มๆโว้ย”
“ข้าเคยถ่อซุงไปขาย แพกับซุงมันคงไม่ต่างกันหรอก”พรานชราตวาด
“จะแพ จะซุง ก็ช่างเถอะ”
“อย่ามัวแต่โม้ โน่น ลำโน่นเขาไปยันไหนแล้ว”เหน๋อร้องลั่น ก่อนจะกวักน้ำใส่พรานชราที่กำลังยืนฝอยไม่หยุด
ท่ามกลางกระแสน้ำใส และไหลเชี่ยว แพแต่ละลำลอยลิ่วไปด้วยความเร็ว บางจังหวะก็สั่นคลอน เพราะระรอกคลื่น ที่ตกกระทบ บางตอนก็โอนเอียง เพราะคลื่นที่กระทบแก่งหินใต้น้ำ ดันตัวแพให้สูงกระเพื่อมขึ้น กระดกหน้า กระดกหลัง ราวกับนั่งรถไปในทางวิบาก ทำให้หวาดเสียวไปตามๆกัน แต่นั้นก็ไม่เท่ากับความน่าสะพรึงกลัวที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ปรากฏหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ ดูน่ากลัว ราวกับว่าเป็นปากหลุมไปสู้นรก ที่แม้แต่สิ่งใดก็ตามที่หลุดหายเข้าไปด้วยแรงดูด จะไม่มีโอกาสได้กลับขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ ใบไม้แห้งใบเล็กๆ
ใกล้ไปทุกขณะ อาการโอนเอียงของแพก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนพรานกะเหรี่ยงที่นำไปชุดแรก ต้องชักไม้ถ่อขึ้นมาไว้ด้านบน เพราะไม่สามารถต้านกระแสน้ำวนที่ดึงดูดไว้ได้ ก่อนทั้งหมด จะก้มตัวลงหมอบยึดแพแน่น เพราะแรงเหวียงหมุนของกระแสน้ำวน ทำให้ทรงตัวต่อไปไม่ได้ เสียงร้องเอะอะดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงรำไผ่ที่บีบกระทบกันดังลั่น สำหรับคณะที่ติดตามอยู่ท้ายสุด ต่างเห็นภาพเหตุการณ์ชนิดวินาทีต่อวินาที
“เฮ้ย!”
“แพไอ้เบมันจะแตกหรือเปล่านั่น”พรานชราร้องเสียงหลง
“ถ่อยันไว้ก่อน”
“ไอ้แปะ ยันแพไว้ก่อน”พรานชราร้องสั่ง
“ไม่ไหวลุง น้ำมันเชียวเกิน”
“ข้าเอาไม่อยู่แล้ว”พรานแปะร้องเสียงเอ็ดมาจากท้ายแพ
“มันวนออกไปแล้ว ดูนั่นลุง”
“แพน้าเบวนออกไปแล้ว แบบเดียวกับกระทงที่ลุงทำเลย”เหน๋อร้องเสียงสั่น ขณะตายังเบิกโพลงไม่กระพริบ
“ชักไม้ถ่อขึ้นลุง”
“เอาขึ้นมา ดูลำโน่นเป็นตัวอย่าง”พรานแปะร้องสั่งเสียงหลง ก่อนจะรีบสาวไม้ถ่อโยนไว้บนแพ แล้วพุ่งตัวลงมาหมอบเกาะลูกบวบแพแน่น
“หมอบไว้!”
“อย่ายืนเดียวตกแพ”เสียงพรานเบตะโกนอยู่แต่ไกล เมื่อเห็นแพลำที่สองกำลังพบกับเหตุการณ์ที่ตัวเองผ่านมา
สิ้นเสียงของพรานนำทาง แพลำที่สองก็มีอาการไม่ต่างจากลำแรก ทุกคนที่อยู่บนนั้นต่างรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของกระแสน้ำวน ทั้งแรงเหวี่ยง และแรงดูด พละกำลังอันมหาศาลของมัน ทำให้ทุกคนถึงกับหูอื้ออึงไปด้วยเสียงอึกทึกของสายน้ำวนนั้น แพที่อาศัยมา บิดไปมาเกือบเสียรูป เสียงรำไผ่ลั่นดังเปรี๊ยะ เหมือนกับแพทั้งลำจะแตกเสียให้ได้ ลำไผ่บางลำหลวมคลอน ทั้งๆที่ก่อนเดินทางทุกคนต่างช่วยกันมัดอย่างแน่นหนา กระแสน้ำที่ไหลทะลักที่ประทะใบหน้า รุนแรงราวกับน้ำที่ถูกฉีดจากสายยาง จนไม่สามารถลืมตาดูเหตุการณ์ต่างๆรอบตัวได้ ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ที่แพทั้งลำหมุนวนแบบนั้นอยู่สามรอบ แต่มันยาวนานร่วมทศวรรษ ที่อยู่ในกระแสน้ำวนแห่งนั้น และไม่นานมันกับสงบนิ่ง ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงอึกทึก ที่ค่อยๆเบาบางลงทุกขณะ
“เป็นอะไรกันหรือเปล่า”
“รอดตายแล้วโว้ย”พรานแปะร้องบอกอย่างดีใจ หลังจากผงกหัวขึ้นมาเป็นคนแรก
“อ๊วกกก”
“โอ้ย...ฉันตายแน่ๆ”เหน๋อร้องเสียงสั่น ก่อนจะโกงคออ้วกแตกอ้วกแตนจนหน้าเหลือง
“ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม”
“ช่วยกันดู ว่ามีตรงไหนพังหรือเปล่า”พรานเบร้องก้อง
“ลูกบวบมันแตกนิดหน่อยน้า”
“พอไปกันได้”พรานแปะป้องปากตะโกนตอบ
“ลุงโส่ย”
“ไหวไหมลุง ลุง”พรานแปะร้องเรียบพรานโส่ยดังลั่น หลังจากมองเห็นพรานชรานอนขดเป็นกุ้งเผา
“พ่อๆ”
“เฮ้ยพี่แปะ พ่อเป็นอะไรไม่รู้ นอนแข็งทื่อเลย”เจ้าเคิ่งร้องเสียงหลง
“ไหนๆพวกเอ็งหลีกทาง”
“ตาโส่ยๆ”พรานแปะกระโจนพรวดไปหาพรานเฒ่า ก่อนจะร้องเรียกชื่อแก พลางเขย่าไม่หยุด ทำให้ทุกคนใจเสีย โดยเฉพาะเจ้าเคิ่ง ที่มองเห็นพ่อตัวเองนอนตาค้างอยู่ตรงหน้า แต่ไม่กี่อึดใจ ก็ปรากฏเสียงแหบแห้งของพรานชราเล็ดลอดออกมา
“เฮ้ยๆ”
“พวกเอ็งเงียบสิ ตาโส่ยพูดว่าอะไร”พรานแปะร้องเสียงเอ็ด
“ยะ...ยา..”
“ขะ..ขอ..ยา..ด..ดม ขะ..ข้า หน่อย”พรานชราร้องเสี่ยงสั่น ก่อนทั้งหมดจะปล่อยก๊าก ออกมาดังลั่น
“วู้”
“เสียเส้นหมด คิดว่าตายห่ าไปแล้ว ตาแก่เอ๋ย”เหน๋อร้องเอ็ดตะโร ก่อนจะควักน้ำสาดใส่หน้าพรานชรา
ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลง หลังจากผ่านพ้นจุดวิกฤตมาอย่างชนิดที่ว่า เส้นยาแดงผ่าแปด สายน้ำที่เชี่ยวกราดดังหัสมัจจุราชที่คอยกระชากให้ลงหลุมนรก ก็ดูคลี่คลายราวกับริบบิ้นที่โบกสะบัดไปกับสายลมเอื่อยๆ สายน้ำที่ดูเขียวคล่ำเพราะความลึก ก็เริ่มแจ่มชัดจนมองเห็นกรวดหินและฝูงปลาน้อยใหญ่ ที่พากันแหวกวายไปตามกระแสน้ำดูเพลินตา
ท่ามกลางความเขียวขจี ของป่าดงพงไพรที่ขึ้นขนาบทั้งสองฝั่งของลำน้ำ และสัตว์ป่านานาชนิด ที่ท่องเที่ยวออกหากินอยู่ทั่วบริเวณ บางตัวต่างจับจ้องวัตถุประหลาย ที่ลอยมากับกระแสน้ำเบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ บางตัวก็ส่งเสียงแจ้ว ราวกับร้องทักทายเหล่าอาคันตุกะผู้มาเยือน นากฝูงหนึ่งดำผุดดำว่ายหากินอยู่ริมตลิ่ง พอพบกับสิ่งแปลกปลอมก็พากันดำหายเข้าไปในป่ากก ปล่อยให้ตัวจ่าฝูงยืนคุมเชิญอยู่บนตอไม้ ครั้นเมื่อเหล่ามนุษย์และพาหนะเคลื่อนผ่านไป กลับใจกล้าดำผุดดำว่ายเลาะเลียบเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับแมวเชื่องๆที่เข้ามาคลอเคลียขาเจ้านาย
“ตัวอะไรน้าเบ”
“แมว หรือ หมา”เจ้าพุ่มร้องถาม เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเห็นสัตว์ชนิดนี้มาก่อน
“ที่เอ็งเห็น ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
“เขาเรียกว่า นาค”พรานเบตอบ ขณะถ่อแพไปกับกระแสน้ำ
“สัตว์มันชุมจริงๆ”
“ปลาก็เยอะ ไม่ต้องกลัวอดเลยนะนี่”พรานพรร้องเสริม
“ดูไม่ค่อยจะกลัวคนเสียด้วย”
“อย่าๆ ไอ้พะเปรียว”พุ่งร้องปรามเสียงดุ ขณะที่เจ้าพะเปรียวยืนแยกเขี้ยวหูตั้งทำท่าจะงับหัวเจ้านาคสอดรู้
“ไปๆ”
“ขืนมาใกล้กว่านี้เอ็งหัวเละแน่”พุ่มกล่าว พลางกวักน้ำไล่นาค ก่อนที่นาคตัวนั้นจะดำน้ำหายไป
“ไอ้พร”
“เอ็งค่อยคัดท้ายไว้หน่อย ข้าจะยันแพไปที่ต้นไม้นั่น”พูดจบพรานเบก็ออกแรงถ่อไม้ยันหัวแพให้เบี่ยงไปทางต้นไม้ล้มด้านซ้ายมือ เมื่อแพลอยเฉียดเข้าไปใกล้ เจ้าพุ่มที่คงจะรู้งานอยู่แล้ว ก็เอื้อมมือ
ไปคว้าฝักมีด ก่อนที่จะชู้ขึ้นโบกไปมาให้คนที่อยู่บนแพด้านหลังดู จากนั้นก็ค่อยๆสอดฝักมีดที่เก็บได้ ใส่ในย่ามที่สะพายมา
สายน้ำยังคงไหลเอื่อย และคงที่ ทำให้คนถ่อไม่เสียแรงมากในการควบคุม คงปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้ำโดยธรรมชาติ มีบางจังหวะเท่านั้น ที่ต้องคอยถ่อดันแพให้เบี่ยงหลบกิ่งไม้ ต้นไม้ ที่ขวางทาง บางช่วงก็ต้องมุดรอดออกไป เพราะซุ้มไผ่ที่พาดขวางทั้งสองด้านกลายเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ ก่อนที่แพทั้งสองลำจะลอยลับโค้งน้ำนั้นไป ทุกคนต่างหันกลับไปยังต้นทางที่ตัวเองได้ผ่านมา น้ำตกสายใหญ่ที่เคยดังกึกก้องจนแทบจะตะโกนคุยกัน มาบันนี้ดูเบาบางราวกับเสียงกระซิบ สายน้ำที่แตกเป็นฝอยละอองหมอกเห็นอยู่จางๆ มาบัดนี้มันกลับเปล่งประกายแสงสีทองเหลืองอร่ามระยิบระยับ ตัดกับสายรุ่งที่โค้งหายเข้าไปในดงทึบ เพราะแสงตะวันที่ส่องกระทบผ่าน พรานนำทางถอนหายใจเฮือก ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางต่อ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จุดเริ่มต้นของการเดินทาง พรานนำทางคิดเช่นนั้นอยู่ในใจเพียงผู้เดียว ก่อนจะเสือ กปลายไม้ถ่อจมหายเข้าไปในกระแสน้ำ
จบบทที่ 12 ขอขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ติดตามผลงานนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทต่อไป
34
« on: 23 April 2021, 14:16:29 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 3
บทที่ 12
ตอนที่ 3
แสงของรุ่งอรุณเริ่มฉายแสงพ้นสันเขา บรรยากาศรอบด้านเริ่มชัดเจนมองเห็นสิ่งต่างๆได้ถนัด ทั้งภูเขาและป่าไม้ เกือบทุกอณูที่ปรากฏ ล้วนเต็มไปด้วยสีเขียวของพืชพรรณนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้เล็กไม้ใหญ่ ต่างเจริญเติบโตงอกงามผิดปกติ ไม้ใหญ่บางต้นใหญ่โตจนไม่คิดว่าทั้งชีวิตจะได้พบเห็น ก็ได้พบเจอได้จากป่าแห่งนี้ ร่องรอยของการถูกทำราย มีเพียงอย่างเดียวคือ การหักโค่นของไม้ใหญ่ที่เกิดจากแรงลมพายุ หรือไม่ก็ล้มเพราะอายุไขของมันเอง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานของไฟป่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย เพราะลักษณะของป่า ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื้นนี่เอง ที่ทำให้ผืนป่าแห่งนี้ยังคงรักษาบริสุทธิ์จากไฟป่าไว้ได้
“โน่น”
“มากันโน่นแล้ว”เจ้าพุ่มร้องบอก
“เจอไม๊”พรานชราป้องปากร้องถาม แทนคำตอบ พรานพรที่เดินอยู่ลั่งท้ายโบกมือตอบ
“เอาไงล่ะทีนี้”
“ทางโน่นก็ไม่เจอ เราจะเอาไงกันต่อ”พรานแปะกล่าวอย่างวิตก
“จะเอาไงก็เอา”
“ทวนน้ำไม่เจอ ก็คงต้องตามน้ำ”พรานเฒ่าร้องตอบ
“ไม่เจอ”
“เจอแต่ไอ้เข้”พรานพรร้องบอกคณะ ในระยะเกือบสิบวาจากที่พัก
“ไอ้เข้!” ทุกคนในคณะร้องเกือบจะพร้อมๆกัน
“พูดเป็นเล่นไป”พรานแปะร้องบอก
“มีจริงๆ”
“ตัวใหญ่เลยล่ะ น่าจะเท่าต้นยางนั่น”พรานพรร้องตอบ พลางชี้มือไปที่ต้นยางใหญ่ขนาดคนโอบ
“เอาไงล่ะทีนี้ ถ้าไม่ได้ความเสียแล้ว”
“หนีไอ้บ่างผี ยังจะมาปะจระเข้เสียอีก”เจ้าเคิ้งร้องบอกคณะ
“จะเอาไง ก็ต้องตามมันจนเจอนั่นล่ะ”
“ไม่ได้ตัว ก็ขอให้เจอรอยมันก็ยังดี ไอ้สิงห์มันดวงแข็ง ข้าว่ามันคงปลอดภัย”พรานชราร้องตอบขณะทอดสายตาไปกับสายน้ำ
“ข้าก็คิดแบบแก ตาโส่ย”
“ทานโน่นไม่มีรอยของไอ้สิงห์ พวกเราจะรองตามน้ำดูกันบ้าง”พรานนำทางกล่าว
“อ่าว นั่นใครไปเอาปลาที่ไหนมาย่างกิน”พรานเบร้องพลางมองไปที่กองไฟ ที่ตอนนี้มีปลาตะเพียนขนาดเท่าฝ่ามือสามตัว ถูกเสียบไม้ย่างไฟจนสุกได้ที่
“จะมีใคร ก็ไอ้สองตัวนี้นะสิ”พรานแปะร้องตอบ
“กำลังล้างถ้วยล้างจานอยู่ริมน้ำ ปลาที่นี้เยอะจริงๆ มารุมตอดรุมกินเศษข้าวเยอะไปหมด”
“เห็นตัวโตๆมันว่ายมาใกล้ก็เลยฟันด้วยอีเหน็บ”เจ้าเคิ้งสาธยาย
“ถ้ามีแห หรือข่าย คงได้กินปลาเป็นกระสอบๆ”เจ้าพุ่มแทรก
“เก้ง หมูป่า กวาง ก็เยอะ”
“ตะกี้ข้าไปทุ่งมา เห็นรอยให้เปรอะไปหมด มีแต่รอยใหม่ๆทั้งนั้น”พรานแปะกล่าว
“เรื่องเสบียงกรังคงหมดห่วง”
“ของกินเยอะแยะแบบนี้ ถึงไม่มีข้าวสารก็อยู่ได้”พรานชราร้องตอบ
“จะไปไหนมาไหนก็ต้องระวังๆกันด้วย”
“อย่าออกไปไหนคนเดียว ที่นี้มันไม่ใช่ป่าแบบบ้านเรา”พรานพรกล่าวเตือน
“อย่างเมื่อกี้ ข้ากับไอ้เบก็จ๊ะเอ๋กับไอ้เข้”
“ไม่รู้ต่อจากนี้จะเจออะไรกันอีก”พรานพรร้องบอก
“พวกเอ็งช่วยกันเก็บข้าวเก็บของกันให้เรียบร้อย”
“ดูดยาอีกสักตัวแล้วค่อยไปกันต่อ”พรานเบร้องบอกคณะ
เวลาล่วงผ่านไปอย่างเชื่องช้า พร้อมๆกับสรรสำเนียงของสัตว์ป่า ที่เริ่มส่งเสียง นกป่านานาชนิดส่งเสียงแจ้วบนยอดไทรใหญ่ นกเงือกหลายสิบตัวบินเกาะกลุ่มเป็นฝูงๆ พวกมันพากันบินผ่านเลยไปตามช่องเขา ก่อนจะบินโฉบหายเขาไปในดงไม้ใหญ่ ไก่ป่าขันต้อนรับแสงอรุณแรกตามหุบไหนสักแห่งใกล้ๆ พร้อมๆกับม่านหมอกที่เริ่มจางหาย เหลือคงไหวแต่หมอกบางๆเหนือผิวน้ำ ซึ่งตอนนี้ระยิบระยับด้วยแสงสะท่อนบนลูกคลื่น
เสียงอึกทึกของสายน้ำตกยังคงอยู่ พร้อมๆกับละอองฝอยของมันที่ไม่มีวันจางหาย พืชจำพวกมอสและเฟิร์น ต่างพากันเจริญเติบโตตามผนังหินและหน้าผา ซึ่งตอนนี้ดูเขียวครึ้มไปหมด ยกเว้นแต่ตามโขดหินเบื้องล่าง ที่ดูเกลี้ยงเกลาอันเนื่องมาจากการขัดสีและตกกระทบของสายน้ำเป็นเวลานานนับศตวรรษ เศษหินและกรวดทรายบริเวณใต้น้ำนั้น ต่างตีม้วนตลบหมุนเป็นวน ราวกับอยู่ในเครื่องปั่นขนาดยักษ์ มองผ่านๆก็ดูน่ากลัว ถ้าพลาดพลั้งตกลงไป
ทั้งคณะมาหยุดอยู่บริเวณน้ำตกนั้น เพราะเส้นทางไม่สามารถเดินต่อไปได้ เพราะมีสายน้ำที่เชี่ยวกราดของน้ำตกกั้นขวาง นอกจากจะว่ายข้ามไปอีกฝั่งที่อยู่ทางด้านขวามือซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะผ่านพ่นอุปสรรคนี้ไปได้ ก็เห็นที่จะยากเพราะมีอุปสรรคต่างๆมากมาย ทั้งแก่งหินที่ขวางกั้น และเสบียงกรังต่างๆ ไหนจะปืนผาหน้าไม้และเป้หลัง ในขณะที่ทุกคนพยายามสอดส่องสายตาเพื่อหาหนทางที่จะผ่านไป พรานแปะที่เดินสำรวจอยู่ริมน้ำก็ร้องเอะอะลั่น พลอยให้คนที่เหลือพากันแตกตื่นตามไปดูด้วยความตกใจ
“มีด!”
“มีดเหน็บของไอ้สิงห์”พรานแปะร้องละล่ำละลัก ก่อนจะโชว์มีดเหน็บที่เก็บได้ให้ทุกคนดู
“มีดของไอ้สิงห์จริงๆด้วย”
“เอ็งเห็นมันตกอยู่แถวไหน”พรานเบร้องบอก ก่อนจะคว้ามีดในมือพรานแปะขึ้นไปลูบคลำอย่างตื่นเต้น
“ข้าเห็นมันค้างอยู่ที่แง่หินนั่น”
“เห็นอะไรขาวๆเงาๆ คิดว่าปลา พามองใกล้ๆถึงเห็นเป็นมีด”พรานแปะบอกอย่างตื่นเต้นไม่หาย
“มันอาจจะทำตกไว้ก็ได้”
“เป็นไปได้ถ้ามันจะผ่านมาทางนี้”พรานชราร้องบอก
“แต่รอยมันไม่มีเลยนะ”
“ในถ้ำก็ไม่มี ฉันกลัวว่าพี่สิงห์จะตกลงมามากกว่า”เจ้าเคิ้งร้องบอกแข่งกับเสียงน้ำตก
“ปา กหมาอีกแล้ว”
“ตกลงมาขนาดนี้ ใครจะไปเหลือ”เจ้าพุ่มร้องทัก
“มันก็ไม่แน่”
“โน่น ถ้าไอ้สิงห์มันตกลงมาในดงหินนั้น คงเห็นมันแหลกอยู่ตรงนั้นล่ะ”พรานพรร้องบอก พลางชี้มือไปทางกองหินน้อยใหญ่ริมน้ำตก
“แต่ถ้ามันตกลงมา…”
“แถวๆระหว่างกลาง”พรานเบกล่าวพลางใช้ความคิด
“มันก็น่าจะรอด”
“น้ำแถวนั้นน่าจะลึกเอาการอยู่”พรานพรร้องบอกอย่างตื่นเต้น
“เป็นไปได้ ห้าสิบห้าสิบ”
“ถ้ามันตกลงมา ดูจากแนวน้ำที่วนออกไป มันน่าจะไหลไปทางด้านโน่น”เหน๋อที่เงียบอยู่นานเสนอความคิด ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็มีความเป็นไปได้
“โน่นไง”
“ที่ไม้ล้มริมน้ำเห็นไหมนั่น”เหน๋อกล่าวอย่างดีใจ พลางชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่ต้นไม้ล้มริมน้ำ ที่ห่างจากสายน้ำตกไปหลายสิบวา ถึงจะเป็นระยะที่ไกลพอควร แต่วัตถุที่สายตามองเห็นอยู่นั้น พอจะจับเค้าโครงในสิ่งที่เห็นได้ว่าคืออะไร
“นั้นมันฝักมีดเหน็บนี่หว่า”
“ได้การณ์ล่ะที่นี้”พรานพรร้องบอกอย่างดีใจ ก่อนจะตบฝ่ามือลงที่ต้นข้าตัวเองดังฉาด
“ฝักมีดมันเป็นไม้”
“มันจะลอยไปทางไหนก็ได้ เอ็งอย่าเพิ่งด่วนสรุป”พรานแปะกล่าว
“ช่างมันเถอะ”
“อย่างน้อยๆก็มีเค้ามันบ้าง”พรานพรกล่าว
“เอ็งค่อยๆดูไอ้พร แม่น้ำมันมีสองสาย”
“เอ็งจะรู้ได้อย่างไร ว่าไอ้สิงห์มันจะไหลไปทางแยกไหน ซ้าย หรือ ขวา”พรานแปะกล่าว
“มันก็น่าคิดตามไอ้แปะมันนา”
“ถ้าฝักมีดมันลอยแยกออกไปทางใดทางหนึ่ง มันก็พอจะคลำทางกันได้”พรานโส่ยกล่าว
คำถามของพรานชราทำเอาทั้งคณะเงียบไปตามๆกัน เพราะเหตุผลที่กล่าวมาล้วนแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น ด้วยความดีใจ ทำให้ลืม สายน้ำที่เป็นทางแยกเสียสนิท ซึ่งก็ไม่สามารถคาดเดาได้อีกว่า ชายหนุ่มผู้สาบสูญจะอันตรธานหายแยกไปทางทิศทางใดกันแน่ อุปสรรคสำคัญบังเกิดกับคณะอีกครั้ง เค้าโครงที่พบทั้งสองชิ้น ก็บ่งบอกและชี้ชัดเองอยู่ในตัวแล้วว่า เจ้าของวัตถุทั้งสองชิ้นได้ผ่านมาตามเส้นทางนี้ ไม่ทางบก ก็ทางน้ำ
“ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
“เดี๋ยวข้าจะลองขอเจ้าที่เจ้าทางดู เผื่อเจ้าป่าเจ้าเขาจะสงสารไอ้สิงห์”พรานชรากล่าว
“เอาไงก็เอา”
“มันก็ต้องลองเสี่ยงดวงดูสักทาง”พรานพรร้องบอกก่อนจะทิ้งตัวนั่งหมดแรงบนโขดหิน
“เองสองคนไปช่วยกันตัดใบตองแถวโน่นมาให้ข้าสักหน่อย”
“เดี๋ยวข้าจะทำกระทงเสี่ยงดวงดู เห็นดอกไม้อะไรสวยๆก็เก็บมาด้วย”พรานโส่ยร้องบอกสองกะเหรี่ยงหนุ่ม เพียงไม่นานสิ่งของที่พรานชราสั่งก็มากองอยู่ตรงหน้า เพราะวัตถุดิบที่ว่ามามีอยู่ดาษดื่น ทั้งใบตองป่า และดอกไม้นานาชนิด
“ยังพอมีเหล้าเหลือบ้างหรือเปล่า”
“ถ้ามีเอาใส่จอกนี้สักหน่อย”พรานชรากล่าว พลางส่งจอกเหล้าที่ทำจากไม้ไผ่ให้พรานแปะ
“ปลาย่างที่เก็บไว้”
“บิมาให้ข้าเสียหน่อย ใส่ลงไปในกระทงนี้”พรานโส่ยกล่าว
เพียงไม่นานนักกระทงที่ทำจากใบตองใบเขื่องก็เสร็จสมบูรณ์ ภายในกระทงนั้นมีดอกไม้ป่าหลากหลายชนิด ทั้งดอกปุดดินสีแดงสด ดอกอโศกป่าสีเหลืองเข้ม และกล้วยไม้ป่าอีกช่อใหญ่ ที่เจ้าพุ่มเก็บได้มาจากไม้ล้มต้นใหญ่ นอกจากดอกไม้ที่พรานชราเอามาประดับแล้ว ภายในนั้นยังมีกระทงเล็กๆอีกสองใบ ใบแรกมีเนื้อปลาย่างที่แกบิไว้ อีกใบแกแบ่งข้าวสวยจากหม้อสนามที่หุงเผื่อไว้อีกก้อน แถมด้วยจอกเหล้าไม้ไผ่อีกหนึ่งจอก ที่แกบรรจงจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม รวมถึงหมากพลูและบุหรี่ยาเส้นอีกอย่างละสามมวน
“พวกเรามารวมกันทางนี้”
“จะได้ผลอย่างไร ก็ช่าง ขอให้ทุกคนตั้งใจ ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”พรานชรากล่าว ก่อนจะนำกระทงมาเทินที่หน้าผาก พลางท่องคาถาอะไรของแกไปเรื่อย ทำให้ทุกคนพากันนั่งยองๆพนมมือ
ขึ้นบนบานสารพัด จากนั้นพรานชราก็ค่อยๆปล่อยกระทงให้ลอยไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชียว
ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชียวกราด กระทงใบน้อยถูกพัดไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับอาการลุ้นระทึกของคนที่เฝ้ามอง อย่างใจจดใจจ่อ บ่อยครั้งก็ต้องใจหายใจคว่ำ เมื่อกระทงใบน้อยถูกคลื่นซัดจนลอยระลิ่ว ซวนเซเหมือนจะคว่ำเสียให้ได้ หลุดจากเกลียวคลื่นก็มาลุ้นต่อที่กระแสน้ำวนที่ดูเป็นหลุมลึกน่ากลัว บางครั้งมันก็ดันน้ำให้ปูดโปนขึ้นมา ราวกับเนินดินหรือโคกสูงๆ กิ่งไม้ ใบไม้ที่ลอยผ่านเข้าไปในเกลียวน้ำวนนั้น ทุกอย่าถูกดูดหายเข้าไปหมดเกลี้ยง แต่ก็น่าแปลกใจ เมื่อกระทงใบนั้นลอยเข้าไปใกล้ แทนที่มันจะถูกดูดกลืนหายเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น มันกลับลอยวนอยู่เช่นนั้นสามรอบ ก่อนที่จะหลุดลอยเบี่ยงไปทางขวามือทวนเข็มนาฬิกาก่อนจะลอยเท้งเต้งผ่านฝักมีดที่ลอยค่างติดอยู่ที่กิ่งไม้ ท่ามกลางความตื่นเต้นของทุกคน จนในที่สุดก็ลับหายไปหลังโค้งน้ำ
“ป่ะ”
“นั่นปะไร ข้าว่าแล้วต้องได้ผล”พรานโส่ยร้องอย่าดีใจ พร้อมๆกับตบฝ่ามือลงที่ขาอ่อนตัวเองดังฉาด
“ขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่ชี้ทาง”
“ไอ้สิงห์เอ๋ย...รอพวกข้าก่อน อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปเสียก่อน”พรานแปะพนมมือท่วมหัว
“เอาไงต่อล่ะทีนี้ ทางพอจำคลำกันไปได้แล้ว”
“ต่อจากนี้จะไปกันอย่างไง”พรานพรกล่าว
“ต่อแพสิว่ะ”
“โน่นก่อไผ่มีอยู่เยอะแยะ”พรานชราร้องบอก
“เอาไงเอากัน”
“มีด พร้า เราก็มี จะไปยากอะไร”พรานเบร้องบอกคณะ
“จะต่อสักกี่ลำดี คนเรา ของเราก็มากโข”
“แถมหมาอีกตัว”เจ้าเหน๋อร้องบอกอย่างสงสัย
“สองลำก็พอ คนของ แบ่งกันอย่างละครึ่ง”
“ไอ้พร เอ็งกับข้า ไอ้พุ่ม เอ็งอีกคน”พรานเบร้องบอก
“ของข้าก็ตาโส่ย ไอ้เคิ้ง ไอ้เหน๋อ”
“ไอ้พะเปรียวอีกตัว เอามาอยู่ลำข้าก็ได้”พรานแปะร้องตอบ
“คนฝั่งเอ็งมากพอแล้ว”
“ไอ้พะเปรียม มันหมาข้า ข้ารับผิดชอบเอง”พรานเบร้องบอก ก่อนจะกล่าวเพิ่มอีกว่า
“เสบียง ของกินของใช้แบ่งลำละเท่าๆกัน”
“ปืนผาหน้าไม้อะไร ก็ตรวจให้ดีอย่าให้น้ำเข้า”พรานเบร้องสั่ง ก่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนขบวนไปที่ไผ่ก่อใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ดาษดื่นไม่ไกลนัก
ไผ่ป่าก่อใหญ่ที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่งหนาทึบ แต่ละรำมีขนาดใหญ่โตผิดหูผิดตา บางรำมีขนาดใหญ่โตมากกว่าโคนขา และสูงชะลูดเป็นลำตรง มีแต่ส่วนปลายเท่านั้นที่โอนเอียงไปมาตามกระแสลม และบางลำก็ล้มเอียงระไปกับกระแสน้ำ มองผ่านๆราวกับอุโมงค์ดูไปแล้วก็วิจิตรตระการตา ความใหญ่ของรำไผ่ บวกกับความหนาของเนื้อไม้ ทำให้แต่ละคนของคณะต้องเปลืองแรงเพราะความหนาของมัน เมื่อตัดจนขาดแล้ว ก็ต้องออกแรงลากพวกมันออกมาจากกออีก กว่าจะได้ลำไผ่แต่ละลำ ต่างพากันเหงื่อโชคกายเป็นแถวๆ
เรื่องราวกำลังสนุกและตื่นเต้น การเดินทางต่อจากนี้จะสำเร็จหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
35
« on: 23 April 2021, 14:13:13 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 2
บทที่ 12
ตอนที่ 2
บนเส้นทางนี้เอง ที่ทุกคนต่างพอจะสังเกตได้ว่า บรรยากาศบริเวณนี้เริ่มปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งเส้นทางที่เริ่มกว้างขว้างมากขึ้นไปทุกคณะ แต่ก็ไม่ทิ้งความคดเคี้ยว และลาดต่ำ ลักษณะคล้ายถนนบนภูเขา ที่ทอดเส้นทางโอบล้อมเป็นเกลียว
“ดูโน่น ใกล้ถึงทางออกแล้ว”
“ระวังตัวไว้ด้วยพวกเรา ไม่รู้จะมีอะไรมารอต้อนรับเราหรือเปล่า”พรานเบร้องบอกคณะ
“แก๊ปเปียกหมดเลย สงสัยต้องอัดกันใหม่”
“พวกที่มีปืนแก๊ป อยู่กลางก็แล้วกัน ใครถือลูกซองก็คุมหัวท้าย”พรานโส่ยร้องบอกแข่งกับเสียงอึกทึกของสายน้ำ
หลังจากตระเตรียมตัวกันเรียบร้อย ทั้งปืนผาหน้าไม้ของแต่ละคน ต่างอยู่ในสภาพพอจะใช้งานได้ ติดขัดอยู่เพียงไม่กี่คน ที่ใช้ปืนแก๊ปเท่านั้น เพราะตลอดเส้นทางที่ฟันฝ่ามาในโพลงถ้ำนี้ ละอองน้ำเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้แก๊ป ที่เป็นเสมือนหัวใจของปืนรุ่นโบราณประสบกับปัญหาสำคัญ กรณีที่แก๊ปชื่น ไม่สามารถติดชนวนได้ ปืนที่แบกกันมาก็ไม่ต่างจากท่อนไม้ดีๆท่อนหนึ่ง
เส้นทางโอบล้อม ราวกับพระจันทร์เสี้ยว ที่เลาะเลียบไปกับผาหินที่ขึ้นเป็นกำแพงสูงตระหง่านราวกับกำแพงยักษ์ ความสูงของมัน สูงเสียจนแสงของลำไฟฉายไม่สามารถส่องถึงยอดของมันได้ บวกกับอายหมอกและละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายทั่วทั้งบริเวณ ก็เป็นอุปสรรค์สำคัญที่ทำให้คณะทั้งหมดต้องระมัดระวังในการเดินทาง เพราะซ้ายมือของทุกคนคือ หุบเหวที่ทอดลึกลงไป ราวกับหลุมดูดไปสู้นรกขนาดใหญ่ ที่มีปีศาจร้ายร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นราวกับจะสาปแช่งผู้มาเยือน
“เดินกันระวังๆนะโว้ย”
“ชิดผนังไว้ อย่าแตกแถว”พรานผู้นำทางตะโกนฝ่าเสียงน้ำตก
“อย่าเดินเร็วกันนักซี”
“มองทางแทบไม่เห็นเลย”เหน๋อผู้ตาขาวตลอดการเดินทางร้องเสียงสั่น
“เกาะๆหลังกันไปนี่ล่ะ”
“ไม่ต้องรีบร้อน”พรานพรร้องมาจากท้ายขบวนสุด
“อุ๊บ!”
“ยุดทำไมว่ะไอ้เบ”พรานโส่ยร้องบอก หลังจากเดินชนคนนำทางเต็มแรง
“หยุดก่อนๆ”
“ทุกคนเงียบสิ”พรานเบยกมือขึ้นส่งสัญญาณ พลางร้องบอกคณะทั้งหมดให้เงียบเสียง
“ได้ยินกันหรือเปล่า”
“ทางนั้น”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกทิศทางของเสียง
“เสียงดังขนาดนี้ ใครมันจะได้ยิน”
“หูแว่วหรือเปล่าไอ้เบ”พรานโส่ยร้องบอก พรางป้องหูไปทางทิศทางที่พรานนำทางสำเนียกเสียง
“แก่ขนาดนี้จะไปได้ยินอะไร”
“โน่น ทางโน่น เสียงมันแปลกๆเหมือนหนูร้อง”พรานแปะร้องบอกมาอีกคน
“อืม...เอ็งได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินจริงๆด้วย”
“เสียงเหมือนหนู แต่ข้าว่าไม่ใช่”พรานเบเสวนาตอบ
“จริงๆด้วย เหมือนจะมาทางนี้ด้วย”เจ้าพุ่มร้องบอกด้วยความตื่นเต้น
“นั่นๆ เจ้าพะเปรียวเป็นอะไรของมัน”เจ้าเคิ้งร้องบอก หลังจากเห็นเจ้าพะเปรียววิ่งวนไปวนมา
“มันชักไม่เข้าท่าเสียแล้วนะข้าว่า”
“ระวังๆตัวกันไว้ดีกว่าพวกเรา เหมือนมันจะเข้ามาทางนี้เสียด้วยสิ เอ๊าเฮ้ย! นั่นมันตัวอะไรว่ะ เกาะบนนั้น”ไม่ทันที่พรานพรจะร้องเตือน ก็ปรากฏสัตว์ชนิดหนึ่งบินร่อนมาเกาะที่ผนังหินเหนือหัวของทุกคน
“ดูดีๆไอ้พร”
“บ่าง หรือ ค้างคาว”พรานเฒ่าร้องบอก
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
“พวกเราเตรียมตัว มันมากันโน่นแล้วเป็นฝูงเลย”สิ้นเสียงของพรานพร สัตว์ปริศนาหลายสิบตัว ต่างส่งเสียงร้องจนแสบแก้วหู บางตัวร่อนหายเข้าไปในโพลงถ้ำที่คณะผ่านมา บางตัวก็ร่อนมาเกาะตามผนังถ้ำแล้วค่อยๆไต่หายเข้าไปตามซอกผนังหิน แต่บางตัวกลับไต่เข้ามาใกล้คณะ ที่ตอนนี้ต่างพากันยืนเบิกตาโพลงตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน
“ระวังไอ้เหน๋อ”
“ฉับ!”พรานเบร้องเสียงหลัง ก่อนที่จะใช้มีดเหน็บฟันไอ้ตัวปริศนาจนขาดสะพายแล่น
“มัวแต่ยืนทื่อเป็นสากกระเบืออยู่ได้”
“เห็นมั๊ย คอเอ็งจะขาดอยู่แล้วถ้าข้าเห็นมันช้ากว่านี้”พรานเบตวาดลั่น พรางใช้ปลายมีดเขี่ยพลิกซากตัวประหลาด
“ตัวอะไรของมันว่ะนี่”
“เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น”พรานชราร้องบอก พลางก้มดูอย่างพินิจ
“โน่นมาอีกตัวแล้ว”
“ไอ้เคิ้งระวัง”เจ้าพุ่มร้องบอก ก่อนที่จะกระโดดพุ่งตัวดันเพื่อนให้พ้นรัศมี ของเจ้าสัตว์ประหลาดที่ทำท่าจะโฉบเข้ามาเฉียดก้านคอ จนทั้งสองคนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ก่อนที่มันจะทันได้ไต่หนีเข้าไปในถ้ำ พรานแปะที่ยืนดักอยู่ก่อนแล้วก็หวดมีดเหน็บเข้าที่กลางตัวของมัน ด้วยความคมของมีด ไอ้บ่างผีที่ทุกคนเข้าใจ ก็ขาดออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย
“โน่นๆมาอีกแล้ว”
“รีบออกจากที่นี่กันเร็ว ขืนอยู่ตรงนี้มีหวัง ไม่ใครต่อใครคงเสร็จมันแน่”พรานเบร้องบอกคณะ หลังจากหวดคมมีดดับชีพเจ้าสัตว์ประหลาดร่วงอีกตัว
บนเส้นทางที่ชุลมุนวุ่นวาย ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลายที่ไม่ต่างไปจากค้างคาวผสมบ่าง หลายตัวที่ต้องตายด้วยคมมีด ซึ่งทั้งหมดต่างไม่รู้สาเหตุและที่มาที่ไปของพวกมัน ว่าทั้งหมดมีจุดประสงค์อะไรต่อคณะ แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่นอน เพราะบางตัวส่อพฤติกรรมดุร้ายอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเส้นทางที่ถูกบีบบังคับให้ต้องไปต่อ ทั้งหมดต่างปกป้องกันและกันอย่างเต็มที ไม่มีจุดใด หรือ ตำแหน่งไหนเป็นจุดบอด ที่จะสามารถให้เจ้าสัตว์ประหลาดหลุดรอดเข้ามาใกล้หรือทำร้ายคนของคณะนี่ได้ ต่างคน ต่างเป็นโร่ป้องกันกันและกันอย่ากล้าหาญ แม้แต่เจ้าพะเปรียวก็ไล่งับไล่ฟัดไอ้บ่างผีบางตัวที่บาดเจ็บ ซึ่งมันก็สามารถพิชิตได้หลายตัว
เกือบชั่วโมงเต็มๆที่คณะทั้งหมดต้องรบกับสัตว์ประหลาดจากนรก มาเริ่มหย่าศึกกันได้ก็ต่อเมื่อบรรยากาศเริ่มเปลี่ยน เหตุการณ์ดูเหมือนจะคลี่คลายลงบ้าง อันเนื่องมาจากฟ้าเริ่มสาง ความมืดที่เคยปกคลุม เริ่มจากหายไปพร้อมๆกับหมอกหนา ที่เริ่มแผ่วเบาและดูบางตา เจ้าสัตว์ร้ายที่เคยระรานและก่อกวน เริ่มทยอยหนีหายเข้าไปในโพลงถ้ำอย่างรีบเร่ง ดูแล้วไม่ต่างจากค้างคาวที่รีบบินเข้าถ้ำอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันนรกที่ไหนนี่”
“เกิดมาไม่เคยเจอ”พรานโส่ยร้องบอก ก่อนที่จะทิ้งตัวนอนแผ่หลากับพื้นอย่างหมดแรง
“ไม่มีใครเคยเจอทั้งนั้น”
“เพราะที่พวกเอ็งมายืนอยู่นี้ คือ ป่าดำ”พรานเบร้องบอกเสียงหนักแน่น ก่อนจะเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนมีดที่ขากางเกง
“มันยังมีอะไรอีกเยอะ ที่พวกเราไม่เคยเจอ”
“ต่อไปนี้ ทุกคนต้องระวังตัวกันให้ดี”พรานนำทางพูดจบ ก่อนจะล้วงห่อยาเส้นออกมาม้วนสูบควันโขมง
“หวังว่าไอ้บ่างผีพวกนั้นคงจะไม่มาเล่นงานพวกเราอีกนะ”
“ตอนนี้ข้าว่าไม่ แต่กลางคืนข้าว่าพวกมันเล่นเราแน่”พรานคนเดิมร้องบอกคณะ ก่อนจะยกยาเส้นขึ้นสูบจนแก้มตอบ
“มาอีกซี่...ข้าจะยิงให้เละเลย”
“ถุย”พรานแปะถ่มน้ำลายเฉียดหัวเจ้าเหน๋อเพียงคืบเดียว ก่อนจะตวาดเจ้าเหน๋ออีกว่า
“ตะกี้เอ็ง ได้ยิงปืนสักนัดไหมล่ะ”
“กว่าจะได้เล็ง เอ็งก็ตายห่าก่อนใครแล้ว”พรานแปะพูดพลาง ม้วนยาเส้นไปพลาง
“ทีนี่จะเอายังไง”
“จะหยุด หรือจะไปต่อ”พรานพรร้องบอก
“พักก่อนดีกว่า เอาตรงริมก่อไผ่ริมน้ำนั่น”
“สว่างกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่”พรานเบพูดจบ ก่อนจะดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ดับ
หลังจากหมายตาไปยังตำแหน่งก่อไผ่ริมน้ำกอใหญ่ได้ พรานนำทางก็เริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง ทุกฝีก้าวล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ต่างคนต่างเฝ้าสังเกตสิ่งต่างๆรอบทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นสุมทุมพุ่มไม้ เหลี่ยมหิน หรือแม้แต่สายน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่นั้น ทั้งหมดก็ไม่อาจจะประมาทได้ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ สอนให้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เพราะทั้งหมดรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า พื้นปฐพีที่พวกเขาเหยียบย่ำอยู่นี้ ไม่ใช่พื้นดินเดียวกันที่พวกเขาจากมา
ภายใต้ซุ้มกอไผ่กว้างขวาง บริเวณนี้เองที่เหล่าผู้เดินทางต่างใช้เป็นสถานที่พักพิง หลังจากเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาอยากหนัก เกือบหนึ่งวันเต็มๆที่ทนอดหลับอดนอน และความหิวโหย เพื่อตามหาเพื่อนร่วมทางที่สาบสูญ และดูเหมือนว่าจะไร้วี่แววของชายหนุ่ม มาบัดนี้ เรี่ยวแรงที่มีอยู่ของทุกคน ก็เริ่มลดน้อยลงทุกขณะ ราวกับไฟในกองฟืนที่ใกล้มอดลงทุกที
กองไฟกองใหญ่ถูกก่อสุมขึ้นมาอย่างเร่งรีบ พร้อมๆกับหม้อไหที่เตรียมจัดแจงตั้งไฟเพื่อหุงหา กับข้าวถูกจัดเตรียมอย่างเรียบงาย มีเพียงเนื้อเก้งแห้งย่าง กับ พริกเกลือเท่านั้น ที่ทำให้ท้องที่ร้องครวญครางได้บรรเทาลงบ้าง เพียงไม่กี่อึดใจข้าวสวยร้อนๆก็ส่งกลิ่นหอมกลุ่นก็ตกทั่วถึงท้องของทุกคน
“พวกเอ็งอยู่ที่นี้กันก่อนก็แล้วกัน”
“ข้าจะเดินดูต้นทางแถวนั้นเสียหน่อย”พรานเบร้องบอกคณะ จากนั้นก็คว้าปืนคู่กายสะพายขึ้นบ่า
“ข้าไปเป็นเพื่อนอีกคน”
“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย”พรานพรเสนอตัว
“อยู่ทางนี้ก็ดูแลกันให้ดี”
“ปืนผาหน้าไม้อย่าให้ห่างตัว จะหลับจะนอนก็ขอให้มีคนเฝ้าด้วย”
“จะสว่างแล้วก็จริง อย่าประมาท”พรานเบ้ร้องบอกทิ้งท้าย ก่อนจะสาวเท้าฝ่าอายหมอกหายไปพร้อมกับพรานพร
แสงอรุณเริ่มส่องแสง ถึงแม้จะยังไม่พ้นสันเขา แต่อานุภาพรัศมีของดวงอาทิตย์ทำให้รอบบริเวณพอมองเห็นเค้าโครงรอบด้านได้ นอกจากเสียงอึกทึกของสายน้ำตก และ สายน้ำในลำธารที่ไหลเชียวภายใต้ม่านหมอกที่โรยตัวอยู่บางๆ ถึงจะมองได้ไม่ชัด แต่ทั้งสองพรานก็พอจะเดาความใหญ่โตของน้ำตกนั้นได้
ตามบริเวณชายป่า ที่ขึ้นปกคลุมอยู่ริมน้ำ ยังปรากฏเสียงสรรพสัตว์ให้พอได้อุ่นใจ ทั้งเสียงนกนานาชนิด ที่พากันส่งเสียงเพรียกป่า เคล้ากับเสียงลิง ค่าง ที่กู่ร้องอยู่ตามยอดไม้ใหญ่สูงริบ ครั้นเจอมนุษย์ผู้แปลกหน้า ก็พากันส่งเสียงโยนตัวขย่มยอดไม้สั่นไหว ก่อนจะพากันกระโจนหลบหายเข้าไปในดงทึบ ถึงกระนั้นพวกมันบางตัวก็ไม่วายแสดงความอยากรู้อยากเห็นคอยเฝ้าจับจ้อง อาคันตุกะผู้แปลกหน้า
นอกจากสัตว์ป่า ที่มีมากมายจนเหลือคณานับ ตลอดสายน้ำในลำธารแห่งนั้น ยังอุดมไปด้วยหมู่ปลาน้อยใหญ่สารพัดชนิด ทั้งปลาพลวงที่หากินอยู่เป็นฝูงๆตามวังน้ำที่ดูลึกลับ แต่ละตัวใหญ่โตขนาดขาอ่อน ปลาเล็กปลาน้อยก็มีมากมาย ทั้งปลาตะเพียน ขนาดฝ่ามือกางๆ ไปจนถึงปลาซิวปลาสร้อย ก็มีอยู่มากมายตามวังน้ำที่ตื้น บางครั้งพวกมันก็พากันว่ายหนีรวมกันเป็นกลุ่มๆ เข้าไปหลบตามป่ากกริมตลิ่ง ก่อนที่จะมีเสียงฮุบน้ำจนแตกกระจาย พร้อมๆกับปลาเล็กปลาน้อยที่พากันกระโดนหนีกันชุลมุน เพราะปลานักล่าที่มีขนาดใหญ่ไล่จับกินเป็นอาหาร
“แถวนี้สัตว์ป่าชุมจริงๆ”
“แถมเชื่องคนอีกต่างหาก”พรานพรกระซิบบอกพรานนำทาง ขณะยืนมองฝูงค่างบนยอดไม้ใหญ่
“จริงของเอ็ง”
“ถ้าแถวบ้านเรามีแบบนี้ พวกเราคงไม่มีวันอดตาย”พรานเบเสวนาตอบ
“ถึงมี ก็คงหมดไม่มีเหลือ”
“เดี๋ยวนี้มีแต่พรานกระจอกทั้งนั้น”พรานพรร้องตอบ
“ต่างคนต่างหากิน”
“จะว่าแต่เขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก”พรานนำทางตอบ
“ขนาดนกเงือก ลิงลม ยังไม่เว้น”
“ลองให้มันมาถึงที่นี่กันสิ ป่าเตียนแน่ๆ”พรานพรกล่าวอย่างหัวเสีย
“ข้าว่ายาก ป่าแห่งนี้มันมีอาถรรพ์”
“ขนาดพวกเรายังจะแย่”พรานเบร้องบอก ก่อนจะมุดตัวรอดผ่านต้นไม้ที่ล้มขวางทางเดิน
“นั้นนะสิ”
“ขนาดพวกเรายังแย่ แล้วไอ้สิงห์ล่ะ มันตัวคนเดียว เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”พรานพรร้องตอบ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ข้าว่าไอ้สิงห์มันต้องรอด”
“มันต้องไม่เป็นอะไร”พรานนำทางกล่าว
“สาธุ..เจ้าป่าเจ้าเขา ได้โปรดช่วยคุ้มครองไอ้สิงห์มันด้วยเถิด”พรานพรกล่าวพลางยกมือพนมขึ้นท่วมหัว
ตลอดเส้นทางที่สองพรานพากันก้าวสำรวจ ไม่พบสิ่งใดที่เป็นเบาะแส หรือทำให้ระแคะระคาย ของชายหนุ่มที่สูญหาย นอกจากสัตว์ป่ามีชุกชุมเป็นพิเศษ ทั้งสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ มีมากมาย โดยเฉพาะนกป่านานาชนิด ครั้งหนึ่ง ขณะที่พรานนำทางกำลังสาระวน อยู่กับหนามหวายที่เกาะเกี่ยวติดที่ชายเสื้อ และจังหวะที่พรานพรกำลังช่วยปลดหนามอยู่นั้นเอง จู่ๆ กวางป่าขนาดใหญ่ก็กระโจนมายืนอวดโฉมอยู่ตรงหน้าในระยะประชั้นชิด ต่างคนต่างเบิกตาโพลนจ้องกัน เจ้ากวางหนุ่มเขางามมีท่าทีตื่นๆ เนื่องจากมันเองก็คงไม่รู้ว่า สิ่งที่มันเห็นคือมนุษย์ หรือ สัตว์ป่าแบบมัน กำลังยืนยักแย่ยักยันอยู่ที่ต้นหวาย หลังจากจ้องตากันอยู่ครู่ มันก็เดินเหยาะกายไปที่ริมน้ำ ก่อนจะก้มลงดื่มน้ำในลำธารสายนั้นอย่าใจเย็น พออิ่มได้ที่ก็กระโจนหายเข้าไปในดงทึบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ทั้งสองพรานยืนงงอยู่ที่เดิม
หลังจากตื่นเต้นเรื่องกวางใหญ่เขางามไม่ทันไร ก็มีสิ่งที่ทำให้ต้องตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะในจังหวะที่ทั้งสองพรานพากันเดินแหวกดงกก ที่ขึ้นอยู่หนาทึบริมตลิ่ง ก็ปรากฏเสียงโครมครามของลำธารเบื้องหน้า พร้อมๆกับอาการไหววูบของต้นกก นกกระยาง และนกเป็ดน้ำที่หากินบริเวณนั้นต่างพากันตื่นตกใจโผบินขึ้นท้องฟ้า เมื่อทั่งสองเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่ต้องสงสัยของเสียงที่มา ก็ต้องตกใจ เพราะร่องรอยของต้นกก ต่างล้มลู่ไปเป็นทางยาว รอยนั้นยาวเป็นทางร่วมสิบวา ไล่ตั้งแต่เดินดินริมตลิ่งไปสิ้นสุดที่ริมน้ำที่ตอนนี้ขุ่นคลักไปด้วยโคลน ราวกับมีใครเข็นเรือลำใหญ่ลงน้ำ เมื่อก้มลงพิจารนารอยเท้า ที่ปรากฏอยู่เด่นชัด ก็ต้องพากันขนลุกเกลียว เพราะรอยที่เห็นลักษณะเป็นแฉกบ่งบอกที่มาของเจ้าของรอยอย่างชัดเจน
“ไอ้เข้!”
“แถวนี้มีไอ้เข้ด้วยหรือนี้”พรานเบร้องบอกเสียงสั่น
“เอ็งดูให้ดีสิไอ้เบ ตัวเหี้ ยหรือเปล่า”
“อย่าพูดเป็นเล่นไป ข้าเคยได้ยินคนเขาว่า มันชอบอยู่ตามบึง ไอ้นี่มันแม่น้ำ มันจะมีรึ”พรานพรกระซิบบอกพรานนำทาง
“ไม่ผิดแน่ เอ็งดูรอยตีนมัน”
“ตัวเหี้ ย มันไม่ใหญ่ขนาดนี้หรอก”พรานนำทางอธิบายรอยเท้าเปรียบเทียบกับรอยของตัวเงินตัวทอง พลางก้มตัวลงไปกางมือเทียบกับรอยเท้าที่ปรากฏ
“ป่าแหลกไปเป็นทางแบบนี้ ตัวคงจะใหญ่น่าดู”
“ระวังไว้ด้วย แถวนี้คงไม่เหมาะ”พรานเบร้องเตือนเพื่อนร่วมทาง ก่อนจะคว้าปืนที่สะพายบ่า มากำกระชับไว้ในมือแน่น
“ข้าว่าถอยก่อนดีกว่า ป่ากกข้างหน้าก็รกน่าดู”
“ไม่รู้จะเจอพวกมันอีกหรือเปล่า ออกไปตั้งหลักกันดีกว่า”พรานพรเสนอแผน พลางหันรีหันขวาง อย่างไม่ไว้ใจสถานที่
“ถอยก็ดี อันตรายเกินไป ไอ้สิงห์คงไม่ได้มาทางนี้”
“ถ้าเดินทวนน้ำขึ้นไปแบบนี้คงไม่เจออะไรแน่”พรานเบกล่าวอย่างคนใช้ความคิด
“ลง รอยอะไรก็ไม่เจอเลย”
“คงต้องย้อนกลับไปทางโน่นกันอีกที”พรานพรร้องบอกพลางบุ้ยปากไปทางสายน้ำตกเบื้องหลัง ที่ตอนนี้เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆหลังม่านหมอง
หลังจากทั้งสองพราน สรุปและตัดสินใจได้ไม่นาน ก็ต้องพากันเดินย้อนกลับทางเดินเส้นเก่า แต่ครั้งนี้ ทั้งสองต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก ทุกฝีก้าวที่เหยียบย่ำ ล้วนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความระแคะระคาย เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ได้สอนอะไรมากขึ้นไปอีก จระเข้ ที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอ ถึงจะไม่เห็นกับตา ว่าตัวตนและหน้าตาจะเป็นเช่นไร แต่ร่องรอยที่ปรากฏมันทำให้รับรู้ว่า ขนาดของมันใหญ่โตขนาดไหน ถ้าพลาดพลั้งโดนมันสุ่มโจมตี ก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มันกัดร่างนิ่มๆของมนุษย์อย่างพวกเขาก็คงขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะเดินทางจะกับคนหายหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
36
« on: 23 April 2021, 14:06:47 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร
บทที่ 12
ตอนที่ 1
ฌ สถานที่ตั้งของหน้าผาหินขนาดใหญ่มหึมา ราวกับกำแพงขนาดยักษ์ที่กั้นขวาง ในยามราตรีเช่นนี้ มันดูคล้ายกับยักษ์ที่นั่งปักหลักแข็งทื่อทะมึนในเงามืด ยิ่งเมื่อมีสายลมพัดผ่านมาตามช่องเขาและแง่หิน ทำให้เกิดเสียง หวีดหวิว ดังครวญคราง ยิ่งเพิ่มความหน้าสะพรึงกลัวยิ่งไปอีก แต่ภายใต้รอยแยกที่เหมือนรอยขวานยักษ์ที่ถูกจามไว้ กลับดูเงียบขนัดราวกับหูดับ แทบไม่ได้ยินเสียงสรรพสำเนียงอะไรเลย ถึงแม้บางจังหวะจะมีลมพายุโหมกระหน่ำสักเพียงใด ก็ไม่อาจจะมีเสียงใด ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้าไปภายในได้
ภายใต้ความมืดมิด เหมือนถนนหรือเส้นทางไปสู้ขุมนรก ใครจะรู้ว่า ภายในนั้น กลับมีหุบเหวกว้างขนาดใหญ่กันขวาง ราวกับหลุมอุกกาบาต ที่ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ปากหุบเหวที่ราบเรียบไม่มีสิ่งกีดขวาง เหมือนจงใจให้คล้ายกับ กับดัก ที่แม้มีสิ่งมีชีวิตใด ได้ผ่านเส้นขอบเหวนี้ไปแล้ว ก็ไม่สามารถรอดพ้นประตูสู่นรกได้ ราวกับมดตัวน้อยที่ตกหลุมดักของแมลงช้างที่พลาดตกลงไปแล้ว ก็ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น เพราะใครจะรู้ว่า เพียงแง่หิน แง่เล็กๆที่ยืดโผล่มาจากผิวดินไม่เกินศอก ตำแหน่งนี้เอง ที่ปรากฏเส้นเถาวัลย์ขนาดเขื่อง ซึ่งด้านหนึ่งของมัน ถูกม้วนพันไว้อย่างแน่นหนา และอีกด้านทอดลึกลงไปสู้หุบเหว สิ่งที่ปรากฏนี้หาได้เกิดจากธรรมชาติสร้างสรรค์ไม่ ตรงกันข้ามมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ มนุษย์ที่เพียรพยายามตามหามิตรร่วมทาง
“สิงห์โว้ย”
“วู้ ไอ้สิงห์”พรานเฒ่าที่มีนามว่า โส่ยป้องปากตะโกนโวกๆ หลังไต่มาตามเส้นเถาวัลย์เป็นคนสุดท้าย
“มันรอดแล้วพวกเรา นี้ไง รอยตีนมันเดินให้เปรอะไปหมด”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางส่องไฟฉายสำรวจไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น แต่ไม่ทันที่ทุกคนจะสำรวจรอยเท้าของชายหนุ่ม พรานพรที่เดินสำรวจอยู่ที่แนวกองหินก็ร้องเอะอะมาอีกคน
“เฮ้ย พวกเรามาดูทางนี้เร็ว”เสียงเรียกอย่างเอ็ดตะโร ของพรานพร ทำให้กลุ่มคนทั้งหกพากันวิ่งกรูเขาไปสมทบ บริเวณกองหินที่ขึ้นสลับซับซ้อน
“รอยไอ้สิงห์มันเข้าไปในซอกหินนี่”
“รอดแล้ว รอดแล้ว ไอ้สิงห์มันไม่ตาย”พรานพรร้องบอก พร้อมๆกับเหล่ากะเหรี่ยงพากันกอดคอกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปีติยินดียิ่ง
“เบาๆโว้ยพวกเรา ไหนลองเรียกมันดูสิ”
“ดีไม่ดี มันออกจะหลบอยู่ข้างในนั้นล่ะ”พรานแปะร้องปราม ขณะส่องไฟฉายเข้าไปในซอกหินนั้น
“เออ เข้าที”
“พี่สิงห์”
“พี่สิงห์ วู้...”
“พวกเรามารับพี่ขึ้นไปแล้ว ออกมาเถอะ”เสียงเคิ้งป้องปากตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไร้วี่แววการตอบสนองใดๆจากบุคคลที่ตัวเองหวังว่าจะอยู่ด้านใน
“ตามมันเข้าไปเลยดีกว่า”
“มันชักแปลกๆ”พรานเบร้องบอก อย่างครุ่นคิด
“ก็ดีเหมือนกัน รอเรียกจนคอแตกแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร”
“ข้าร้อนใจเต็มทนแล้ว”พรานโส่ยร้องบอก
“ไปๆ ไปกันดีกว่า เผื่อมีอะไรเกิดกับมันขึ้น จะได้ช่วยไว้ได้ทัน”เหน่อร้องบอกอย่างร้อนใจ
“เดี๋ยวข้านำเข้าไปก่อน พวกเอ็งค่อยๆตามกันมาล่ะ”
“ช่องมันแคบนิดเดียว ทิ้งระยะกันไว้ด้วย เกิดอะไรขึ้นมา จะได้หนีออกมาได้ทัน”พรานเบร้องบอกคณะ พูดจบก็มุดผ่านเข้าไปตามช่องหินนั้น
ภายใต้เส้นทางที่แคบ และสลับซับซ่อน ทั้งหมดต่างค่อยๆคืบคลานไปอย่างช้าๆ เพราะสภาพอันคับแคบของซองหิน หรือไม่ก็ถ้ำแห่งนั้น บางตอนก็เดินได้อย่างสบาย และบางช่วง ก็ต้องค่อยๆมุดและคลาน และบางช่วงก็เป็นทางแยก ทำให้ผู้นำทางเกิดความลังเลใจ แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถเคลื่อนขบวนได้ต่อ เพราะร่องรอยของชายผู้สาบสูญมีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ ทั้งรอยเท้าตามพื้น รอยถลอกตามผนังหิน ซึ่งอาจจะเกิดจากการครูดถูของเป้หลัง หรือแม้แต่กระป๋องเปล่า ของอาหารกระป๋อง ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้พรานนำทาง และทุกคนที่ออกติดตามดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง
“ดูนั่น”
“มันรอดแน่ล่ะแบบนี้”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางก้มลงไปหยิบอาหารกระป๋อง ที่ภายในว่างเปล่า
“เหมือนมันมาพักอยู่แถวนี้”
“นี้ไง มีบ่อน้ำอยู่อีกแอ่ง สงสัยมันขุดไว้แน่ รอยยังใหม่ๆอยู่เลย”พรานพรโพล่งมาอีกคน หลังจากแยกเดินออกไปสำรวจอีกทาง
“แล้วมันไปไหนของมันว่ะนี่”
“แทนที่จะอยู่ระแถวนี้”เหน๋อร้องบอกด้วยความสงสัย
“คงจะมีเหตุจำเป็นหรอกน่า”
“ข้ารู้นิสัยมันดี เป็นข้า ข้าก็ไม่รอหรอก”พรานแปะเสวนาด้วยอีกคน
“มึ งนี้ก็วุ่นวายจริงๆ”
“ไปไกลๆเลยไป๊”พรานชราร้องเอ็ดตะโร พลางไล่เตะเจ้าพะเปรียวที่ตอนนี้เดินเกะกะคณะไปหมด
“ช่างมันปะไร”
“มีหมามาด้วยนะดีแล้ว มันจมูกดึกว่าคน”พรานเบร้องปราม
“ว่าไปก็น่าสงสารไอ้พะบอง”
“ไม่น่ามาตายเลย ดูไอ้พะเปรียวสิ มันคงเสียใจที่เพื่อนมันตาย”เจ้าพุ่มร้องบอก ก่อนจะนั่งลงแล้วเอามือลูบหัวเจ้าพะเปรียงอย่างเอ็นดู
“อย่าเสียเวลาเลยพวกเรา”
“ไปต่อดีกว่า”พรานนำทางร้องบอกคณะ ก่อนจะมุดหายเข้าไปในซอกหิน
ทุกระยะที่ทุกคนก้าวผ่าน ต่างเห็นร่องรอยที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ให้เห็นเป็นระยะ ทั้งโดยเจตนา เช่น รอยขูดขีดเป็นลูกศร ตามผนังถ้ำ ส่วนที่ไม่เจตนาแต่บังเอิญทำให้ง่ายต่อการแกะรอย มีตั้งแต่ เศษน้ำตาเทียนที่หยดเป็นจุดๆ รอยเท้าที่เดินย่ำไว้ และรอยไถลลื้นตามโขดหินชัน ซึ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มได้ไต่ไปตามเส้นทางนั้น
“เฮ้ย เลือดอะไรเปรอะไปหมดวะนี่”
“ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์โว้ย”พรานเบร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นรอยเลือดหยดเป็นทาง
“มันชักไม่ดีแล้วว่ะ”
“ดูนี่สิ ตามผนังก็มีเลือดเปรอะไปหมด”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน
“แต่ข้าว่าไม่ใช่เลือดคนนะ”
“กลิ่นมันแปลกๆ”พรานแปะร้องบอก หลังจากใช้ปลายนิ้วแตะรอยเลือดขึ้นดม
“อือหือ...เหม็นเขียวชะมัด”
“คาวยังกะกบ”เคิ้งพูดจบก็เช็ดปลายนิ้วที่ตัวเองแตะเลือดกับผนังถ้ำ
“เฮ้ยมาดูอะไรทางนี้”
“ตัวอะไรของมันวะ”พรานเฒ่าร้องเสียงสั่น พลางฉายไฟไปที่ซากของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง
ท่ามกลางสายตาทุกคน เศษซากสัตว์ปริศนาที่ดูยับเยินจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ราวกับเศษผ้าขี้ริ้วขะมุกขะมอม ที่ขาดวิ่น เศษขนที่หลุดออกมาเป็นกระจุก หลุดออกมาเป็นก้อนๆผสมเลือดดูเกรอะกรัง เศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ดูแหลกยับ จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นชิ้นส่วนไหนของร่างกาย แม้แต่เจ้าพะเปรียวเมื่อก้มลงไปดมพิสูจน์ซาก ยังถอยหนีหางจุกตูดเพราะกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย
“บ่าง หรือ ค้างคาว”
“แต่หน้าตามันดูแปลกๆ”พรานเบวิเคราะห์ พลางใช้ปลายมีดเหน็บเขี่ยพลิกซากตัวประหลาดกลับไปกลับมา
“ข้าว่าบ่าง”
“มันเหมือนจะมีหนังตรงนี้ ดูนี่เหมือนปีก”พรานแปะร้องบอกอีกคน
“ค้างคาวแม่ไก่หรือเปล่า”
“บ่างมันไม่อยู่ในถ้ำนา”พุ่มแย่ง
“ไม่เห็นจะเหมือนสักนิด ข้าว่าไม่ใช่”
“ไอ้ตัวนี้มันเขื่องกว่าเยอะ”พรานเฒ่าวิเคราะห์
“จะตัวอะไรก็แล้วแต่”
“ที่สำคัญ มันมาตายอยู่แถวนี้ได้อย่างไงกัน”พรานพรร้องบอกอย่างสงสัย
“ถ้าไม่มาทางเดียวกันกับเรา ก็คงข้างหน้าเรานี้ล่ะ”
“แต่คิดๆไป ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”พรานเบร้องตอบอย่างพินิจ
“ใช่ๆ ข้าก็ว่าแบบเอ็งไอ้เบ”
“แก่จนปูนนี้แล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบ
“ไปกันต่อดีกว่า จะตัวอะไรก็ช่างมัน”
“เสียเวลามามากพอแล้ว”พรานเบร้องทัก ทำให้คณะทั้งหมดพากันเก็บข้าวของแล้วเดินทางต่อ
โดยการนำทางของพรานเบ ซึ่งเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นทุกขณะ อาจเป็นเพราะสิ่งผิดปกติที่ตัวเองได้พบเห็น ซากตัวประหลาด ที่ตัวเอง หรือ แม้แต่คนอื่นๆก็ไม่อาจจะสามารถตอบได้ว่ามันคือ สัตว์ชนิดใด และคราบเลือดที่เกาะเกรอะกรังไปหมด ทำให้เกิดความร้อนใจเพิ่มขึ้นไปอีก
บนเส้นทางที่สลับซับซ้อน และวกวน แต่ก็ไม่ทำให้คณะลดฝีเท้าลงไปได้ อันเนื่องมาจากสภาพของพื้นที่ ที่อำนวยต่อการค้นหา ทั้งเส้นทางที่เริ่มกว้างขวางมากขึ้น ถึงแม้จะมีโขดหิน ที่ทุกคนจะต้องไต่ข้ามผ่านไป แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญอะไรเลย เพราะจิตใจของแต่ละคนจดจ่ออยู่ที่บุคคลผู้สาบสูญ จนทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อย และยิ่งได้เห็นเค้าโครงและร่องรอยของชายหนุ่ม ยิ่งเพิ่มกำลังใจให้ฮึกเหิมมากขึ้น
ในคณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้นเอง อยู่ๆหัวขบวนที่มีพรานเบเป็นคนนำทาง ก็เกิดหยุดชะงักเอาเสียดื้อๆ ทำให้คนที่เดินตามกันมาไม่ทันระวังตัว ต่างเดินชนกันจนล้ม ทำให้เกิดเสียงเอะอะเอ็ดตะโรกันวุ่นวาย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหัวขบวน นอกจากลำไฟฉาย ที่ฉายลำแสงฉาบไปบนกองวัตถุชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
ท่ามกลางแสงไฟ ของไฟฉายหลายดวง ที่ส่องกวาดไปมารอบทิศทาง ภายใต้เงามืดนั้นเอง ที่ปรากฏกองกระดูกของสัตว์ขนาดใหญ่กองขาวโพลนไปหมด ซึ่งทุกคนที่เห็นต่างตอบได้ว่า สิ่งนั้นคือกระดูกของช้าง แต่มันเป็นมากมายมหาศาล จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ที่เห็นเป็นกองทับถมอยู่นั้น จะมีซากช้างสักกี่ตัว
“เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่”
“ข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบเสียงสั่น ขณะที่จ้องมองกองกระดูกตรงหน้าตาไม่กระพริบ
“ป่าช้าช้างชัดๆ”
“มีแต่ช้างตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลย”พรานพรร้องบอก พลางส่องไฟสำรวจกองกระดูกช้าง
“ม..มะ..มันมี ยะ..อยู่จริงหรือนี่”
“คิด..วะ..ว่ามีแต่ในนิทาน นี่ของจริงใช่ไหมพี่แปะ”เจ้าเคิ้งกระซิบบอกพรานแปะเสียงสั่น
“นะ..นี่ ล..ล่ะของ จ..จริง”
“ขอ..ของแท้..นะ..แน่นอน”พรานแปะกระซิบตอบเจ้าเคิ้งเสียงไม่ต่างกัน
“มีแต่ช้างงาทั้งนั้น”
“ดูอันนี้สิ ยาวท่วมหัวเข่าเลย”พรานเบร้องบอก พลางเดินไปลูบคลำงาช้างกิ่งหนึ่ง ที่ล้มพาดอยู่ที่กองกระดูก
“ถ้าขนไปหมดนี่ได้”
“มีหวังพวกเรารวยกันเละ”พรานพรร้องบอก พลางเดินสำรวจสุสานช้าง
“จริงพี่พร”
“มีแต่งางามๆทั้งนั้น แค่อันนี้อันเดียว คงได้หลายตังค์”เจ้าพุ่มบอกมาอีกคน ก่อนจะยกงากิ่งหนึ่งขึ้นมาอุ้มเล่น
“เอ็งอย่าคิดอะไรแบบนั้น”
“ถ้ำนี้มันต้องคำสาบ มันมีอาถรรพ์”พรานเบร้องเตือนสติเพื่อนร่วมคณะ ก่อนที่จะสาวเท้าออกไปยืนขวางทุกคน ที่ต่างพากันเดินสำรวจงาช้าง แล้วพูดเสียงเฉียบขาดขึ้นมาว่า
“พวกเอ็งทุกคนลืมไอ้สิงห์ไปแล้วหรือ”
“เรามาตามหามัน ไม่ได้มาเอางาช้างไปขาย”
“เจ้าป่าเจ้าเขาอาจจะลองใจพวกเราก็ได้”พรานเบร้องบอก
“จริงอย่างที่น้าเบแกพูด”
“อย่ามัวเสียเวลากับมันเลย ไอ้งง งาอะไรนี่ ตามหาไอ้สิงห์แล้วเอาชีวิตรอดกลับบ้านเราดีกว่า”เหน๋อร้องเตือนสติคณะอีกคน ทำให้อีกหลายๆคนที่พากันสนใจงาช้าง ต่างหยุดชะงักแล้วถอยเข้ามารวม
กลุ่มกันอีกครั้ง
“ไปต่อดีกว่า”
“พวกเอ็งฟังดีๆ ได้ยินอะไรอย่างที่ข้าได้ยินมั๊ย”พรานเบร้องบอก
“โน่นทางโน้น ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงน้ำไหล”
“บางทีอาจจะเป็นทางออกก็ได้”พรานนำทางร้องบอกด้วยความมั่นใจ ก่อนจะสาวเท้าไปยังตำแหน่งของเสียงที่ได้ยิน ทำให้คณะทั้งหมดเคลื่อนขบวนอีกครั้ง
บนเส้นทาง ที่ขนาบด้วยผนังหินทั้งสองด้าน หลังจากเดินหลบเหลี่ยมมุมของผนังถ้ำนั้น ก็ปรากฏเส้นทางคล้ายถนนเส้นใหญ่ ซึ่งกว้างพอที่ช้างตัวใหญ่ๆจะเดินเบียดเข้ามาได้ เส้นทางนั้นเริ่มลาดต่ำลงไปทุกขณะ สภาพอากาศและพื้นผิวที่เดินย่ำผ่าน ก็เริ่มมีความชื้นเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆกับเสียงอึกทึกของแผ่นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เส้นบางช่วงก็มีก้อนหินใหญ่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน หรือบางตอนก็มีหินงอกหินย้อยกันขนาบเป็นกำแพง ราวกับลูกกรง ซึ่งพรานนำทางให้ความสนใจตำแหน่งนี้เป็นพิเศษ เพราะรอยเท้าของชายหนุ่มได้หยุดหายลงเพียงเท่านี้
“มันชักแปลกๆ”
“อยู่ๆรอยไอ้สิงห์ก็หายไปเฉยๆ”พรานเบร้องบอกคณะแข่งกับเสียน้ำตกที่ดังกระหึ่ม
“เอ็งดูดีหรือยังไอ้เบ”
“ทางโน่น ลองดูสิว่ามีรอยมันบ้างหรือเปล่า”พรานพรร้องบอกมาอีกคน ก่อนจะส่องไฟฉายสำรวจไปทั่วบริเวณ ก่อนจะพูดต่อมาอีกว่า
“ทางนี้ก็ไม่มีเลย”
“พื้นมันแฉะขนาดนี้ ถ้ามันผ่านมาก็คงเห็น”พรานพรร้องตอบ พลางฉายไฟสำรวจพื้นที่อีกครั้ง
“ข้างล่างมันน่าจะเป็นเหว”
“ไอ้สิงห์คงไม่เดินตกลงไปหรอกนา”พรานชราร้องบอก พลางส่องไฟฉายต่ำลงไปจากขอบหน้าผาหิน ที่เป็นตำแหน่งสุดท้ายที่พบรอยเท้าของชายผู้สาบสูญ
“เอาไงดีไอ้เบ”
“ถ้ามันชักไม่ได้การณ์ซะแล้ว”พรานเฒ่าร้องบอกพรานนำทาง
“เป็นไปได้มั๊ย”
“ถ้าไอ้สิงห์มันจะพลัดตะลงไป”พรานนำทางตอบแบบใช้ความคิด
“น้ำมันแรงขนาดนี้ ตกลงไปจะไปเหลืออะไร”
“มันอาจจะเดินเลาะไปตามทางนี้ก็ได้ ใครมันจะบ้าโดดเหวลงไปซ้ำสอง”พรานแปะร้องทัก พลางส่องไฟสำรวจเส้นทางที่ตัวเองสงสัย แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะร่องรอยที่ตัวเองคิดไว้ กลับไม่ปรากฏให้
เป็นแม้แต่นิดเดียว
“ออกไปตั้งหลักก่อนดีกว่า”
“เดินออกไปอีกนิดเดียว ก็เห็นทางออกแล้ว น้ำมันฉ่ำพื้นขนาดนี้ บางทีอาจจะลบรอยตีนไอ้สิงห์มันหมดก็ได้”พรานพรร้องบอกคณะ หลังจากเดินออกไปสำรวจเส้นทางก่อน
“เอาไงดีไอ้เบ”
“ข้าก็ว่าที่ไอ้พรมันว่ามาก็มีเหตุผล”
“ดีไม่ดี อาจจะเจอไอ้สิงห์ข้างหน้านี้ก็ได้ อยู่ตรงนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา”พรานโส่ยร้องบอกมาอีกคน
“ก็เข้าทีดีนาน้าเบ”
“นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว ข้าว่าออกไปตั้งหลักข้างนอกก่อนดีกว่า ฟ้าสว่างคงเห็นอะไรได้ถนัดกว่านี้”พรานแปะร้องเสริม หลังจากทั้งหมดปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ก็สรุปออกมาได้ว่า ทั้งหมดควรออกไปตั้งหลักกันด้านนอกดีที่สุด เพราะสภาพแวดล้อมภายในถ้ำนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการค้นหา รวมไปจนถึง ร่องรอยของชายผู้สูญหายก็ไม่ปรากฏให้พบเห็นอีกเลย นับตั้งแต่ขอบหน้าผาของน้ำตกนั้นที่พบเป็นจุดสุดท้าย และอีกปัจจัยที่สำคัญหนึ่งคือ สภาพของแต่ละคนต่างสะบักสะบอมอ่อนเพลียไปตามๆกัน อีกทั้งข้าวปลาอาหารที่ไม่ได้ตกถึงท้องเกือบ 24 ชั่วโมง แต่ด้วยความอึดและความทรหดของแต่ละคน ทำให้ยังคงเก็บอาการได้เป็นอย่างดี
ทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากได้รับสัญญาณจากพรานนำทาง ต่างคนต่างมานะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะสอดส่องสายตาหาร่องรอยของชายผู้สูญหายทุกฝีก้าว สิ่งใด หรือ มีวัตถุชนิดใดที่ทำให้ระแคะระคายต่อการสำรวจ ก็ต้องหยุดตรวจสอบและพิจารณา ทั้งรอยหินพลิก หรือรอยน้ำที่ขุ่นข้นเป็นแอ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากชายหนุ่มที่เหยียบย่ำไว้ แต่หลังจากช่วยกันพิจารณาจนแน่ใจว่าไม่ใช่ เพราะเท่าที่สังเกตน่าจะเป็นรอยของช้างที่เดินย่ำไว้เป็นรอยเก่ามากแล้ว ทั้งหมดก็เคลื่อนขบวนต่อ...
*****การเดินทางของคณะผู้ติดตามต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร และเหล่าสหายทั้งหมดจะได้พบกันหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป*****
37
« on: 23 April 2021, 13:56:54 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 ตอนที่ 2
บทที่ 11
ตอนที่ 2
กองไฟกองใหญ่ที่เคยลุกโชนส่องแสงสว่าง เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มหมดแสง พร้อมๆกับฟืน ที่ใกล้หมดเชื้อ พระเพลิงที่เคยเป็นเกาะคุ้มกัน พอหมดกำลังลง ก็เปิดช่องทางให้ความมืดค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้ บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่พอจะมีความปลอดภัยขึ้นมาบ้าง พอถึงตอนนี้กลับกลายเป็นดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น ในขณะที่ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ เสียงปริศนาก็แทรกเขามาในโซนประสาทที่รางเลือนของเขา
“ท่านสิงห์..”
“ท่านสิงห์ ท่านจงรีบตื่นเถิด”
“ขณะนี้ ภัยร้ายกำลังเข้ามาใกล้ท่านทุกขณะแล้ว”
“ท่านสิงห์”ถึงจะฟังไม่ถนัดหูนัก เพราะราวกับเสียงแว่วของสายลม ชายหนุ่มก็จำเสียงนั้นได้โดยทันที ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ เสียงนั้นคือเสียงของหล่อน หล่อนที่มีนามว่า พลับพลึง
“พลับพลึง!”
“พรึบ!”
“จี๊ดดดดด” ชายหนุ่มทะลึ่งตัวขึ้น พร้อมๆกับ ร่างปริศนาที่กระโจนเฉี่ยวก้านคอของเขาไปแค่ฝ่ามือเดียว!
“เฮ้ย อะไรวะนั่น”ชายหนุ่มอุทานลั่น ก่อนจะกระเ สือกกระสนออกมาจากซอกหินที่ตัวเองซุกกายอยู่ ถึงแม้จะมองเห็นไม่ถนัดนัก เขาก็จำมันได้ขึ้นใจ เพราะสิ่งมีชีวิตที่เขาเห็นคือ สัตว์ประหลาดตัวร้ายสายพันธุ์ตัวเดียวที่อยู่ในถ้ำนรกนั้นนั่นเอง
“จี๊ดดดด พลั่ก! โครม” เสียงค้างคาวกระหายเลือดร้องลั่น พร้อมๆกับเสียงหอกที่ชายหนุ่มหวดเข้าเต็มหน้า จนร่างของมันกระเด็นลงไปกองสั่นริกๆบนพื้น
“พรึบ!”
“วูบ โครม” ไอ้น รกมีปีก ที่รอจังหวะจะเล่นงานอีกตัว ก็ไม่รอช้า แต่ก็สาย และหมดโอกาสที่มันจะแก้ตัว เมื่อหอกในมือของเหยื่อที่มันนึกจะเล่นงาน กลับพุ่งแหวกเข้าไปในร่างของมันเสียแล้ว
“มา!...เข้ามา”ชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความแค้น ก่อนจะสะบัดซากค้างคาวผีที่ติดปลายหอกกระเด็นหลุดออกไปไกลหลายวา
“ไฟ! ใช่แล้ว เราต้องสุมไฟ ”ชายหนุ่มนึกได้ จึงรีบลากฟืนเข้าไปสุมไฟในกองทันที แต่ก็ต้องค่อยระวังรอบทิศ เพราะทัศนะวิสัยไม่เต็มใจ เนื่องจากแสงสว่างจากกองไฟที่ดูริบหรี่ลงทุกที บวกกับหมอกจางๆที่เริ่มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่เขาต้องพึงระวัง
จังหวะที่ชายหนุ่มก้มลงไปลากฟืนอีกท่อนนั้นเอง เจ้าสัตว์น รกใต้พิภพอีกตัวที่สบโอกาสกับอาหารมื้อค่ำ ก็กระโจนพรวดมาที่สีข้างของชายหนุ่ม แต่มันก็ช้าไป เมื่อมนุษย์เดนตาย เอี้ยวตัวหลบฉากไปอีกทาง พร้อมๆกับท่อนฟืนในกองไฟ ที่เขาคว้าแล้วหวดเข้าไปตรงบริเวณกกหูของไอ้น รกมีปีก จนสะเก็ดไฟที่ปลายไม้แตกกระจาย
“พรึบ”
“กร๊อบบบ”ไม่ทันที่มันจะมีโอกาสได้ร้อง หรือ ผละหนีจากเหยื่อที่มันหมายปอง เพราะกะโหลกที่ดูน่าเกลียดของมันยุบไปเกินครึ่ง
เหตุการณ์เป็นไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย กับเหล่าอสูรกายมีปีกกระหายเลือด ที่แห่กันมาราวจะรุมกินโต๊ะมนุษย์ผู้โดดเดี่ยว แต่ละตัว ต่างพยายามยื้อแย่งเหยื่อที่มันหมายปองกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่เว้นแต่พวกเดียวกันเองที่นอนตายแยกเขี้ยวอยู่กับพื้น ก็ถูกรุมลากไส้ออกมากินเรี่ยราดไปหมด ไม่ว่านรกมีปีกตัวไหนเข้ามาใกล้รัศมีปลายหอกของชายหนุ่ม ก็ต้องบาดเจ็บล้มตายกันไป ตัวไหนบาดเจ็บก็ต้องกระเสื อกกระสนเอาชีวิตรอดจากพวกเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ต้องถูกแยกส่วนตายแบบทรมานเป็นภาพชวนสยดสยอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ชวนให้เกิดอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอม
เหล่าปีศาจร้ายเองก็คงจะรู้ตัวว่า อาหารมื้อโอชาของมันคงจะลิ้มชิมรสได้ไม่ง่ายนัก เพราะโดนหวดด้วยด้ามหอกบ่อยๆเข้าก็คงนึกถอดใจ ได้แต่บินโฉบเฉียวไปมาอยู่รอบๆเหยื่อของมัน บางตัวใจกล้าบินเข้ามาใกล้หน่อย ก็ไม่วายโดนด้ามหอกที่รอต้อนรับอยู่คอยท่า โดนเข้าแบบนี้หนักๆเข้า ก็พากันบินหนีแตกกระเจิง เปิดโอกาสและจังหวะให้ชายหนุ่มได้มีเวลาสุมฟืนในกองให้ลุกโชนเพิ่มขึ้นไปอีก
เมื่อมีแสงและความร้อนของพระเพลิงที่ลุกกระพือ ส่องแสงสว่างไสว เหล่าค้างคาวกระหายเลือดต่างพากันตื่นตกใจเผ่นหนี บางตัวก็บินสะเปะสะปะหนีหายเข้าไปในดงทึบ บางตัวที่บาดเจ็บบินไม่ได้ ก็พยายามคลานหนีเข้าไปตามซอกหิน บ่งบอกให้รู้ว่า ความร้อน และ แสงสว่าง มีอิทธิพลต่อพวกมั นมากน้อยขนาดไหน
“จี๊ดดดด”
“พรึบ”
“แกร๊กกกแกร๊กกก”
“พรึบ”
“แกร๊กกก” เหมือนสัญญาณ หรือ รหัส อะไรบางอย่าง ทำให้พวกกระหายเลือดมีปีก ที่บินอยู่ในเงามืด พากันพละหายไปช้าๆ ทีละตัวสองตัว และไม่นาน พวกมั นก็ค่อยๆพากันเงียบเสียงเข้าไปในดงทึบ ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนจังก้าอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งตอนนี้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ
ถึงแม้เหตุการณ์ดูเหมือนว่าจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ก็ไม่สามารถไว้ใจสถานการณ์ใดๆต่อจากนี้ได้ ว่าจะเป็นเช่นไร ชายหนุ่มเริ่มสำรวจสถานที่อีกครั้ง หลังจากจัดการกับค้างคางผีอีกสามตัว ที่เบียดกันซุกหลบอยู่ในซอกหินด้วยหอกไม้ปลายแหลม จากนั้นก็หาฟืนที่พอจะหาได้ในละแวกนั้น เพราะความมืดมิดจากภายนอกรัศมีแสงไฟ จึงทำให้ชายหนุ่มไม่อาจจะเสี่ยงที่จะออกนอกบริเวณนั้น แต่โชคก็ยังดีอยู่บ้าง เนื่องจากบริเวณที่พัก มีไม้แห้งและท่อนฟืนติดค้างอยู่ตามก้อนหินใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันคงลอยมาตามกระแสน้ำ ในช่วงที่ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้น นอกจากฟืนที่หามาได้มากพอตลอดทั้งคืนแล้ว ชายหนุ่มยังมานะเหลาหอกไม้อีกหลายเล่ม แต่ละเล่มถูกวางในตำแหน่งต่างๆ รอบทิศทาง เผื่อว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอีก จะได้หยิบฉวยอย่างสะดวก
ดึกสงัดลงทุกขณะ แต่เสียงอึกทึกของสายน้ำยังคงคำรามแว่วให้ได้ยินอยู่เสมอหมอกเริ่มโรยตัวหนายิ่งขึ้น ทำให้ทัศนะวิสัยในการมองเห็นตกต่ำ สิ่งแวดล้อมที่แสงไฟพอจะสอดส่องเห็นอะไรได้บ้าง ก็ถูกบดบังด้วยสายหมอกจนหมดสิ้น เห็นแต่เพียงเงาวูบวาบภายนอกเท่านั้น ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ต้องคอยระแวงอยู่ตลอดเวลา ร่างกายที่อ่อนแรงและเหนื่อยล้า พอเจอสถานการณ์บีบคั้นและกดดัน ก็พาลให้มองเห็นเงาอะไร วูบๆวาบๆ หลอนตัวเองไปหมด จังหวะที่ชายหนุ่มนั่งหมดแรงพิงก้อนหินใหญ่อยู่นั้นเอง จวบจวนที่ประสาทส่วนรับเสียงเกือบจะอื้อ และหนังตาที่ฝืนแทบไม่ไหว เพราะความเหนื่อยอ่อนของร่างกาย ครั้งนั้น เขาก็แว่วเสียงกรวดหินลั่นดังกรอบแกรบ คล้ายกับมีอะไรบางอย่างย้ำมาตามทางช้าๆ ครั้งแรกที่ได้ยิน เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศทางใด แต่พอทำสมาธิ และตั้งใจฟัง ก็จับทิศทางได้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้น ดังมาทางด้านปากทางเข้าเพิงหินของเขานั้นเอง และที่สำคัญเสียงย้ำนั้นดังเข้ามาใกล้ทุกขณะ
ในขณะที่ชายหนุ่ม ซุกกายหลบเข้าไปในซอกหิน พร้อมกับหอกไม้ในมือที่กำไว้แน่น เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกปลอมที่ย่างกายเข้ามาใกล้ สายตาก็คอยเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างใจเต้นระทึก สถานการณ์กลับเข้ามาตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเสียงปริศนาที่ได้ยิน อยู่ๆก็เหมือนว่าจะมาหยุดนิ่งอยู่หน้าปากทางเข้า หัวจิตหัวใจของสิงห์ในตอนนี้สั่นรัวคละเคล้ากับความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ครั้นจะออกไปเผชิญหน้า ก็พะว้าพะวง เพราะไม่แน่ใจว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคืออะไร จะมาดีมาร้ายแบบไหนก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ ถึงอากาศภายนอกอาจดูหนาวเย็น แต่ทำไมฝ่ามือและใบหน้าของชายหนุ่ม กลับชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต ความกระวนกระวายใจ ทำให้เขาแทบคลั่ง
ภายใต้ม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ เสียงและเงาปริศนาก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ละน้อย เริ่มจากเสียงย้ำมาตามพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายกับมีคนเดินย้ำผ่านกรวดหินเหล่านั้น ส่วนเงาที่เห็นอย่างเลือนราง ก็ไม่สามารถบอกกับตัวเองว่าคืออะไร จะว่าสัตว์ก็ไม่ใช่ เพราะรูปร่างไม่เป็นเช่นนั้น ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ต้องตกตะลึง เมื่อเจ้าของร่างปริศนาที่เขาเห็น ค่อยๆย่างกายฝ่าม่านหมอก ออกมายืนเด่นเป็นสง่า หญิงสาวในชุดสไบเฉียงสีเขียวอ่อน หล่อนที่ชายหนุ่มรู้จักเป็นอย่างดี
“พลับพลึง!” ชายหนุ่มละล่ำละลัก
“นี่ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม คุณพลับพลึงจริงๆด้วย”ชายหนุ่มแทบจะลุกพรวดพราดออกไปจากที่ซ่อน แต่ก็ต้องชะงักและช่างใจ เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เข้าไม่แน่ใจในภาพที่เห็น
“ท่านอย่าได้วิตกไปเลย”
“เรามาดี”
“หรือท่านจำสหายเก่าของท่านมิได้”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงเอย พร้อมกับรอยยิ้มที่สิงห์คุ้นเคย
“คุณจริงๆด้วย”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางโผเขากอดหญิงสาวแนบกาย ปากก็บอกชื่อหล่อนซ้ำๆ
“ผมดีใจที่สุดเลย ที่ได้พบคุณในตอนนี้”
“นี้ผมต้องฝันไปแน่ๆเลย”พูดพลางชายหนุ่มก็บีบจับไปตามท่อนแขนของหญิงสาวไว้แน่น ราวกับไม่เชื่อสายตาของตัวเองในยามนี้
“คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ”
“ข้างนอกอันตรายมาก”ชายหนุ่มร้องบอกด้วยความเป็นห่วง
“ตราบใด ที่เปลวเพลิงนี้ยังเปล่งแสงตลอดยามราตรี”
“จะไม่มี อันตราย ใดเข้ามากร่ำกายท่าน”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเอียงใบหน้าหลบชายหนุ่ม ซึ่งตัวเขาเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่า ในขณะนี้ตัวเองก็อยู่ในสภาพกึ่งเปลือย
“คุณรอผมตรงนี้ก่อนนะครับ อย่ารีบไปไหนเสียล่ะ”สิงห์พูดจบก็เดินหลบเข้าไปสวมชุดและกางเกงเดินป่า ที่ผึ่งไว้หลังโขดหิน
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ที่แต่งกายไม่สุภาพ”พูดจบก็ยืนเกาหัวแกรกๆ
“นั่งก่อนครับ ตรงนี้ดีกว่า”ชายหนุ่มร้องบอก ก่อนจะนำผ้าขาวม้าที่ผิงไฟไว้มาแผ่ปูรองนั่งให้หญิงสาว ซึ่งหล่อนเองก็ไม่ปฏิเสธ คำเชิญของเขา
“แล้วนี่ คุณจะบอกผมได้หรือยังครับ ว่าคุณไปยังไง มายังไง”ชายหนุ่มร้องถามด้วยความสงสัย แต่ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว นอกจากรอยยิ้มบนใบหน้า
“เอาล่ะ ผมไม่ถามคุณก็ได้ เพราะรู้ว่า ยังไงๆ คุณก็ไม่บอกผมหรอก”สิงห์ร้องบอก ก่อนจะหย่อนกายลงไปนั่งเคียงข้างหล่อน
“สิ่งนั้นมิสำคัญดอก ว่าเรา จะมาเยี่ยงไร”หญิงสาวตอบ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณอีกสักสองเรื่องได้หรือเปล่าครับ”สิงห์พูด พลางซุนฟืนเข้าไปในกองไฟ
“เชิญท่านไตร่ถามเราเถิด สิ่งใดที่เราสามารถตอบท่านใด เราจะมิปิดบังท่านเลย”หญิงสาวตอบ
“ข้อแรกนะครับ พวกผมตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง ยังอยู่ดีกันหรือเปล่า”สิงห์ถามถึงสหายรวมเดินทาง
“ข้อนั้นท่านอย่าได้วิตกไปเลย”
“นอกจากสหายสี่ขาของท่าน หนึ่งชีวิตที่ดับสูญไปแล้ว ทั้งคณะยังมีชะตาชีวิตอยู่”คำตอบของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มรู้สึก โล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
“แล้วตอนนี้ทุกคนอยู่ที่ไหนครับ”ชายหนุ่มเร่งถาม
“ในยามนี้ ทั้งหมดอยู่ภายใต้ถ้ำแห่งนั้น”คำตอบของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี เพราะตัวเขาเอง ก็รู้ดีว่า อะไรอยู่ภายในถ้ำนรกแห่งนั้น
“ในถ้ำนรกนั้นหรือครับ ที่นั่นอันตรายนี่”
“โถ่...ทุกคนไม่น่าจะต้องมาเสี่ยงชีวิตแบบนี้เลย”ชายหนุ่มร้องบอกเสียงสั่นเครือ
“สหายของท่าน ร่วนเป็นมิตรแท้”
“ท่านลืมไปแล้วฤา ตัวท่านเองเพียงลำพัง ยังเอาชีวิตรอดออกมาได้”
“ไฉนเลย กับคณะของท่านอีกหลายชีวิต จะมิมีความสามารถพอที่จะรอดออกมาได้”หญิงสาวตอบอย่างอ่อนโยน ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกปลอดโปร่งและคลายกังวล
“ผมก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นนะครับ”
“แต่พวกนั้นจะรู้หรือเปล่า ว่าในนั้นมันมีสัตว์ประหลาดรอดักเล่นงานอยู่”แทนคำตอบ หญิงสาวส่ายศีรษะไปมาช้าๆ
“หรือไม่ ก็คงจะพบกับเส้นทางใหม่ ที่ไม่ต้องเจอกับไอ้ผีพวกนี้”ชายหนุ่มเสวนาตอบ พลางใช้มือลูบปลายคางอย่างคนใช้ความคิด
“มิมีหนทางใดดอก นอกจากหนทางที่ท่านใดเผชิญและผ่านมา”หญิงสาวตอบเรียบๆ
“อ้าว...แล้วทำไมพวกนั้นถึงไม่เจอแบบที่ผมเจอล่ะครับ”ชายหนุ่มร้องบอกด้วยความสงสัย
“เจ้าสัตว์พวกนี้ จะออกหากินในยามราตรีกาลเท่านั้น”
“ยามใดที่เริ่มมีแสงของรุ่นอรุณ ยามนั้นพวกมันจักพากันหลบซ่อนในถ้ำแห่งนั้น”หญิงสาวอธิบาย
“เป็นอย่างนี้ นี่เอง แสดงว่า ตอนที่ผมรบกับพวกมัน เวลานั้นเป็นตอนเช้า”ชายหนุ่มตอบขณะทบทวนความจำ
“ที่ท่านกล่าวมาถูกต้องแล้ว”หญิงสาวตอบ
เมื่อนึกทบทวน สิ่งต่างๆที่ตัวเองพานพบมา ก็พอจะได้เค้าโครงตามที่หญิงสาวบอก เจ้าอสูรกายมีปีกที่ตนได้เผชิญอยู่นี้ ถ้าพิจารณาดูดีๆ ก็ไม่ต่างจากค้างคาวทั่วๆไป ที่มักจะออกหากินในเวลากลางคืน จะแตกต่างกันที่ ขนาด และ รูปร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว รวมถึงความดุร้ายกระหายเลือดของพวกมัน ขณะที่ตัวเองกำลังคลำหาทางออกภายในถ้ำนั้น และพบกับพวกมัน คงจะเป็นตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นที่ตัวเขาพลัดตกลงมาก้นเหว และเป็นจังหวะที่พวกมันหลบพักนอนตามปรกติ แต่เผอิญตัวเขาเองนั้นแหละ ที่ดันผ่าเข้าไปกลางฝูงของพวกมันอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขามาแน่ใจเอาตรงที่ ภาพสุดท้ายที่เข้าจำได้คือ แสงสว่างจากภายนอก
“ถือว่าเป็นโชคดีของพวกนั้น”
“ดีแล้วครับ ที่ผลออกมาเป็นแบบนี้”ชายหนุ่มบอก
“มันเป็นกรรมเก่าของท่าน”
“กรรมที่ท่านต้องเผชิญ”หญิงสาวกล่าว
“กรรมอีกแล้ว”
“กง กรรม อะไรหนักหนาครับ”
“นี่ผมยังตามชดใช้กรรมไม่หมดอีกหรือ คุณดูสภาพผมตอนนี้สิครับ มันน่าดูซะที่ไหน”ชายหนุ่มตอบแบบคนมีอารมณ์ ที่ให้หญิงสาวแสดงสีหน้าและแววตามีกังวล
“ท่านสิงห์”
“ท่านจงอย่าวู่วาม จงใช้สติและสมาธิของท่านให้แน่วแน่”หญิงสาวกล่าวปราม พลางยื่นมือของหล่อนไปจับที่หัวไหล่ของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งเอามือกุมขมับของตัวเองอยู่
“ถ้าท่านรักชีวิต และยังมีความคิดที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้”
“ท่านต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง อย่าให้ความกลัว เข้ามาครอบงำจิตใจและสติของท่าน”หญิงสาวกล่าวปลอบโยน
“ครับ ผมจะพยายาม”
“แต่บางครั้ง ผมก็อยากตายๆไปซะ จะได้หมดเรื่องหมดราว”ชายหนุ่มกล่าวอย่างคนสิ้นหวัง
“ท่านอย่าเอ่ยอะไรเยี่ยงนั้น”
“ท่านไม่คำนึงถึงสหายร่วมทางของท่านฤา”
“สหายของท่านจะรู้สึกเยี่ยงไร ถ้ามาพบท่านในสภาพสิ้นใจแล้ว”หญิงสาวตัดพ้อ ก่อนจะลุกขึ้น พลางยืนหันหลังให้ชายหนุ่ม
“เอาล่ะครับ ไม่ตาย ก็ไม่ตาย”
“ผมก็แค่พูดประชดชีวิตของผมไปอย่างนั้นล่ะ”
“ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ ที่คำพูดของผม ทำให้คุณไม่สบายใจ”ชายหนุ่มพูดจบก็ลุกขึ้นมาจับมือหญิงสาวไว้แน่น ก่อนจะพูดต่อมาอีกว่า
“เชิญคุณนั่งต่อนะครับ ได้โปรดอย่าได้หนีผมไปไหนในตอนนี้เลย”ชายหนุ่มกล่าวคำวอน แทนคำตอบหญิงสาวหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนที่จะทรุดกายลงนั่นพับเพียบในตำแหน่งเดิม
“มาต่อนะครับ”
“แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน?”ชายหนุ่มสอบถามในคำถามข้อสุดท้าย
“ท่านจงตรองดูเถิด”
“คณะของท่าน มีจุดหมายปลายทาง ณ ที่แห่งใด”หญิงสาวกล่าว
“ตาย...โหง”
“คุณอย่าบอกผมนะว่า ไอ้ที่ผมนั่งแกร่วอยู่นี้ คือ ป่าดำ”ชายหนุ่มโพล่งออกมา
“ถูกแล้ว เพียงท่านได้ก้าวผ่านปากถ้ำแห่งนั้น เพียงก้าวเดียว”
“ท่านก็เข้าสู่ อาณาเขตของ ดงดำแห่งนี้แล้ว”หญิงสาวกล่าวพลางอมยิ้มน้อยๆที่มุมปาก แต่คนฟังกลับเบ้ปากเอามือกุมขมับทำหน้าเครียด
“สาแก่ใจผมจริงๆ”
“ไอ้ผมนะ อยากจะมาเห็นแค่เฉียดๆดงดำนี้เท่านั้น”
“เจ้าป่าเจ้าเขาก็สนองพระเดชพระคุณผมจริ๊งๆ เล่นพามาให้ผมอยู่ซะกลางดงเลยมั๊งนี่”ชายหนุ่มกล่าวอย่างคนหมดแรง
“เป็นความประสงค์ ของท่านเองมิใช่ฤา”หญิงสาวกล่าว พลางเลิกคิ้วน้อยๆ ยวนกวนโทสะ
“ประสงค์กะผีนะสิคุณ นี่มันป่าไหนก็ไม่รู้ ขนาดเริ่มต้นก็เจอตัวประหลาดเล่นงานซะน่วมขนาดนี้”
“ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเจอตัวอะไรอีก”
“แล้วอีกอย่าง นี่ผมยังคิดไม่ออกเลย ว่าผมจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง”ชายหนุ่มร้องบอก ก่อนจะโยนท่อนฟืนแห้งลงไปในกองไฟดังโครม
“หาใช่ปัญหาไม่”
“ท่านจงตรองดูเถิด สิ่งใดที่นำพาท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งนั้น จักนำทางท่านย้อนกลับไปเอง”หล่อนบอกใบ้
“จริงสิ!”
“ผมก็ลืมไปเสียสนิท ผมลอยมาตามแม่น้ำสายนี้นี่”
“ถ้าผมเดินย้อนไปตามแม่น้ำนี่ บางทีผมอาจจะพบกับปากถ้ำที่ผมผ่านมา”ชายหนุ่มร้องตอบตาเป็นประกาย แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดต่อ หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงก็กล่าวสวนตอบมาว่า
“ยังดอก หาได้ง่ายดาย เยี่ยงนั้นไม่”
“จริงอยู่ ที่ท่านกล่าวมา สายน้ำนี้ จะนำทางท่านกลับสู่มาตุภูมิของท่าน”
“แต่อุปสรรค ที่ท่านจะต้องพบพานยังอีกยาวไกลนัก”คำตอบของหญิงสาวในชุดสไบเฉียง ทำให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังทันที
“อุปสรรค อะไรอีกหรือครับ”
“แค่นี้ ผมก็จะแย่อยู่แล้ว ปืนผา หน้าไม้ อะไรก็ไม่มีติดตัวมาสักอย่างสักอย่าง”
“มีแต่มีดพับเล่มกระจ้อย เล่มนี้เล่มเดียว”ชายหนุ่มพูดพลาง ยื่นมีดพับเล่มเล็กให้หญิงสาวดูตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่แยแสกับมีดเล่มนั้นของเขาเลย
“หาใช่เพียง คมหอก คมดาบ ที่จักเป็นศาสตราวุธแต่เพียงสิ่งเดียวไม่”
“ท่านลืมไปแล้วฤา”
“ปัญญาของท่าน ต่างหาก ที่เปรียบเสมือนคมหอก คมดาบ ที่คอยปกป้องคุ้มกันตัวท่านเอง”หล่อนกล่าว
“เอาจริงๆนะคุณ”
“สมองผมในตอนนี้ คงไม่ต่างอะไรจากไม้ตีพริกหรอก อย่าว่าแต่คมหอก คมดาบอะไรเลย”ชายหนุ่มกล่าวออกมา เพราะความรู้สึกในสมองของเขาตอนนี้ มันมึนตื้อไปหมด
“โปรดอย่าร้อนใจไปเลย ทุกปัญหามีทางแก้ไขเสมอ”
“ท่านอย่าได้วิตก”หญิงสาวกล่าวอ่อนโยน
“ในเวลานี้ คงมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นล่ะครับ”
“ที่คอยเป็นกำลังใจ และเข้าอกเข้าใจผมทุกอย่าง”
“ผมคงแย่กว่านี้แน่ๆ ถ้าตอนนี้ผมไม่มีคุณอยู่เป็นเพื่อน”ชายหนุ่มกล่าว พลางคว้ามือหญิงสาวขึ้นมากุม
“อย่างน้อยๆ ก็ในเวลานี้ ตอนนี้ ผมอยากจะขอร้องคุณอีกสักเรื่องได้หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มกล่าวแผ่วเบา ในจังหวะที่หญิงสาวจะเอ่ยคำได้ออกมา ชายหนุ่มก็ถือวิสาสะ นอนหนุนตักของหญิงสาวเอา
เสียดื้อๆ
“ไม่ว่าในตอนนี้ จะเป็นความฝัน หรือความจริง”
“ได้โปรดอย่าจากผมไปไหนในเวลานี้เลย”ชายหนุ่มกล่าว แทนคำตอบของหล่อน หญิงสาวคว้าข้อมือข้างที่บาดเจ็บของชายหนุ่ม ขึ้นมาลูบอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดตัดบทต่อมาว่า
“บาดแผลของท่าน เป็นเยี่ยงไรบ้าง”หญิงสาวเอ่ย
“ก็ยังปวดๆอยู่ครับ”
“แต่ไม่หนักเท่าไหร่ วันสองวันคงจะค่อยยังชั่วขึ้น”ชายหนุ่มกล่าว
แสงไฟจากกองฟืนยังคงส่องแสงวับวามในยามราตรี ท่ามกลางวงล้อมของอายหมอกที่โรยตัวหนาทึบรอบด้าน หญิงสาวและชายหนุ่มต่างสบสายตากันนิ่ง ถึงบรรยากาศตอนนี้จะเย็นยะเยือกสักเพียงใด แต่ความรู้สึกภายในใจของชายหนุ่ม จะมีใครรู้หรือไม่ว่า มันร้อนลุ่ม ราวกับฟืนที่ถูกสุมไฟอยู่ในขณะนี้ ความอ้าวว้าง ความเปล่าเปลี่ยว ที่ชายหนุ่มต้องเผชิญ และอุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านมา จนบางครั้งแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ทุกครั้งเมื่อเจอปัญหา หรือเหตุการณ์คับขัน ก็เห็นจะมีแต่หล่อน ที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้นี้ ผู้เดียว ที่คอยช่วยเหลือเขาทุกครั้ง ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม หรือนี้จะเป็นอีกบวงกรรมหนึ่ง ที่เขาจะต้องพบผ่าน หรือนี้จะเป็นบุพเพสันนิวาสที่ทำให้คนทั้งสองมาพบกัน
หริ่งหรีด เรไร ต่างพากันกรีดปีก บรรเลงไพร ราวกับเพลงรัก ที่กล่อมให้บรรยากาศหวานซึ่งยิ่งขึ้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ทั้งสองต่างมองตากันนิ่งเช่นนั้น เหมือทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์หรือมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มก็ดูเหมือนว่าจะลืมไปเสียสนิท ว่าครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้เขาได้พบกับเรื่องร้ายๆอะไรมาบ้าง ถึงตัวเข้าเองในตอนนี้ก็ดูจะไม่ยี่หละแล้วต่อชีวิต ที่ต้องมาตกละกำลำบากเช่นนี้ ตรงกันข้ามในใจส่วนลึกของเขา มันกลับมีความอุ่นใจ และสุขใจจนบอกกับตัวเองไม่ถูก ที่มีหล่อนอยู่เคียงข้าง
“ท่านจงหลับใหลเสียเถิด”
“อย่าได้ฝืนต่อสังขารของท่านเลย”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงเอ่ย พลางใช้มือลูบไปตามหน้าผากของชายหนุ่มอย่าง ทะนุถนอม
“ผมไม่อยากหลับตาเลยครับ”
“เพราะผมกลัวว่า ถ้าผมลืมตาขึ้นมาแล้ว ผมจะไม่พบคุณอีก”ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนจะกุมมือหล่อนมาไว้แนบอก
“ท่านจงอย่าลืมสิว่า”
ทุกราตรีกาล เราจะได้พบกันอีก”หญิงสาวเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
“ขอให้ท่านจงพักผ่อนให้สบายเถิด”
“ตลอดราตรีนี้ เราจะไม่หนีท่านไปไหน ท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย”หญิงสาวกล่าว
“หลับตาเสียเถิด”
“ราตรี จงมีสวัสดิ์แด่ท่าน” หล่อนพูดแผ่วเบา
ราวกับตกอยู่ในภวังค์ หรือมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ทำให้ความรู้สึกของชายหนุ่มปลอดโปรงและผ่อนคลายขึ้น ถึงแม้ตัวเขาเองจะนอนหนุนตักหล่อนบนพื้นกรวดหินเย็นๆก็ตาม แต่ความรู้สึกมันสบายเหมือนกลับว่า ได้นอนอยู่บนที่นอนนุ่มๆ หรือไม่ก็ ห้องนอนดีๆในโรงแรมห้าดาว ก่อนที่ความรู้สึกของชายหนุ่มจะหลุดลอยไป เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มบนหน้าฝากของเขา ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสที่แผ่วเบา แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่า มันเป็นการสัมผัสของริมฝีปากของหญิงสาว หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง...
*****ชายหนุ่ม และ หญิงสาวในยามวิกาล จะบอกต่อเรื่องราวหลังจากนี้ต่อไปเช่นไร โปรดติดตามตอนน่อไป*****
.....
ขอขอบคุณ เครดิส ภาพค้างคาวแม่ไก่ จาก คุณ ดอกดิน/เที่ยวๆดื่มๆ
38
« on: 23 April 2021, 13:52:04 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร
บทที่ 11
ตอนที่ 1
สายลมในยามบ่าย พัดผ่านมาตามช่องเขาดังครวญคราง ผสมกับเสียงแกว่งไกวของใบไม้และพุ่มไม้ไล่มาเป็นละลอกคลื่นตามกระแสลม ฟังดูอื้ออึงไปทุกทิศทางต้นไม้ใหญ่หลายต้นโอนเอนไปมาตามแรงลมเอื่อยๆ บางครั้งก็มีเสียงหักลั่นของกิ่งก้านที่แห้งพุพัง ตกลงพื้นเบื้องล่างดังโครมคราม ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยไม้พรรณนานาชนิด ทั้งกล้วยป่า หวายหนาม และกระวาน ที่ขึ้นรกจนหนาทึบ เถาวัลย์ใหญ่หลายต้นพันเกาะเกี่ยวกันระโยงรยางค์แทบไม่มีช่องว่างให้ลอดผ่านไปได้ ราวกับตารางหรือตาข่ายผืนใหญ่ ที่ถูกยักษ์ถักทอขึ้นมาปกคลุมทั้งผืนป่า
ห่างออกไปไม่ไกลนักจากชายป่าที่หนาทึบไปด้วยไม้ใหญ่ที่ขึ้นเบียดเสียดเสียงอึกทึกของแม่น้ำกว้างใหญ่ ที่มีสายน้ำไหลเชี่ยวกราด ส่งเสียงคำรามดูครึกโครมไปทั่วบริเวณ สายน้ำใสจนมองเห็นกรวดหินและหมู่ปลาน้อยใหญ่ ที่พากันแหวกว่ายทานกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและคดเคี้ยว บางช่วงกระแสน้ำนั้นก็ดูไหลเอื่อยราวกับจะหมดกำลัง เพราะบางตอนของลำธารสายนั้นดูกว้างขวางและตื้นเขิน แต่บางช่วงก็เชี่ยวกราดน่ากลัว เพราะเป็นโตรกแก่งหินแคบๆเหมือนคอขวด ทำให้กระแสน้ำที่ไหลมาอย่างมากมายมหาศาล อัดรวมกันที่ช่องหินแคบแห่งนั้น
ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มอ่อน ตอนนี้กำลังจะลับเหลี่ยมเขาไปทุกขณะ เสียงนกกานานาชนิด ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามยอดไม้ใหญ่ ไก่ป่าหลายฝูงขับขัน สลับกันไปมาตามหุบเขาและชายดงทึบ เหมือนพวกมันจะร้องเตือนว่า เวลานี้ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงลงไปทุกที เฉกเช่นเดียวกับฝูงชะนีป่า ที่ห้อยโหนโยนตัวอยู่บนยอดไม้ใหญ่สูงลิบ ต่างพากันกู่ร้องโหวกเหวก ก่อนจะค่อยๆแทรกกายหายไปในพุ่มยอดรกเหนือยอดไม้ใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันหายไปไหน นอกจากจะคิดเดาไปเองว่า พวกมันคงจะเตรียมหาที่หลับนอนตามคาคบไม้บริเวณใดสักแห่งบนยอดไม้สูงเหล่านั้น
สายลมในยามเย็นพัดผ่านมาตามช่องเขาอีกครั้ง ทำให้ยอดไม้และกิ่งใบ พากันสะบัดโบกแกว่งไกว พลิกไปมาจนดูเป็นมันวาว เพราะด้านใดด้านหนึ่งของมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ในยามเย็น พร้อมๆกับเสียงร่วงกราว ดังซู่ซ่า ของใบไม้แห้งที่หลุดปลิวออกจากขั้ว ก่อนที่พวกมันจะพากันลอยม้วนตลบไปมาในอากาศ ตามทิศทางของแรงลมนั้น ใบไม้แห้งบางใบลอยหายเข้าไปในดงทึบ บางใบก็ตกลงไปกองทับถบอยู่กับพื้นเบื้องล่าง ซึ่งตอนนี้ดูหนาเตอะไปหมดบ่งบอกถึงกาลเวลาที่เนิ่นนานของกองใบไม้แห้งเหล่านั้น และใบไม้แห้งบางใบก็พลัดปลิดปลิวตกลงมาบนผืนแผ่นน้ำ ทำให้ดูเหมือนเรือลำจิ๋ว ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางแม่น้ำหรือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก่อนที่มันจะค่อยๆลอยลิ่วไปอย่างรวดเร็ว เพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด
เย็นย่ำลงไปทุกขณะ เพราะดวงอาทิตย์หายลับเข้าไปจากเหลี่ยมเขานานแล้ว เหลือไว้แต่บรรยากาศโพล้เพล้ ใกล้สนธยาลงไปทุกที ยิ่งเป็นบริเวณป่าไม้ที่รกทึบเช่นนี้ ยิ่งทำให้บรรยากาศมืดมัวมากกว่าปรกติ เสียงไก่ป่าที่เคยขันบอกเวลาก่อนใกล้ค่ำ มาบัดนี้พวกมันพากันเงียบเสียงกันหมดแล้ว เป็นสัญญาณว่าช่วงเวลาของสรรพสิ่งที่เริงร่าในยามฟ้าสาง ได้หมดสิ้นลงแล้ว แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นในการออกหากิน ของสัตว์ป่าน้อยใหญ่บางจำพวก เสียง เป๊บๆ ของเก้งร้องโขกดังก้องจากหุบไหนสักแห่ง ติดตามด้วยเสียง ฮุกฮู...ของนักฮูกดังวังเวงในชายป่า ซึ่งตอนนี้เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงกรีดปีกของแมลงนานาชนิด ถัดออกไปที่สายน้ำ นอกจากเสียงอึกทึกของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวแล้ว บางจังหวะก็มีเสียงฮุบของปลาใหญ่ดังตูมสนั่น ติดตามมาด้วยเสียงน้ำแ ตกกระจายโครมคราม จากฝูงนาคหลายสิบตัว ที่พากันออกหากิน ตามริมตลิ่งชายน้ำ แต่แล้วพวกมันก็ต้อง ชะงัก เมื่อมองเห็นวัตถุประหลาด พาดขวางเส้นทางหากินของพวกมัน ทำให้พวกมันเกิดอาการ พะว้าพะวง กับวัตถุประหลาดนั้น บางตัวก็ผลุบเข้าผลุบออก เก้ๆกังๆ ราวกับว่าจะไปต่อหรือจะถอยหลังดี แต่ก็มีบางตัว ที่ใจกล้า ทำจมูกยื่นเข้าไปใกล้เพื่อพิสูจน์กลิ่น แต่แล้วก็ต้องถอยหนีจนน้ำบาน เพราะกลิ่นที่สัมผัสได้นั้นไม่คุ้นเคย บางตัวก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เพราะต่างแลเห็นวัตถุนั้นขยับไหวไปมาช้าๆ จึงทำให้นาคทั้งฝูงพากันส่งเสียงเอะอะกันระงมไปหมด ซึ่งพวกมันเองก็คงไม่รู้ว่า สิ่งที่มันเห็น หรือ วัตถุประหลาดนั้น คือ มนุษย์
ราวกับปาฏิหาริย์ หรือ ไม่ก็นรกเมิน ทำให้ชายหนุ่มยังมีลมหายใจอยู่ได้ ร่างที่นอนแน่นิ่งหมดสติมาเป็นเวลานาน จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ร่างนั่นนอนแช่น้ำอยู่ริมตลิ่งนานแค่ไหน สัมผัสแรกที่ชายหนุ่ม ผู้หลุดพ้นจากมือพญายมไม่ใช่ความร้อนแรงดังอยู่ในนรกอย่างที่คิดไว้ แต่มันกลับเป็น ความเย็นยะเยือกราวกับถูกแช่แข็ง ติดตามมาด้วยอาการปวดระบมไปทั้งตัว นอกจากนิ้วมือทั้งสองข้าง ที่ขยับไปมาด้วยอาการสั่นเทา ดวงตาที่ฝ้าฟาง ก็ค่อยๆขยับกรอกไปมาภายใต้เปลือกตา ซึ่งความรู้สึกในตอนนี้มันหนักจนไม่สามารถจะเปิดมันขึ้นมาได้ มีเพียงแสงสว่างเลือนรางเท่านั้น ที่พอจะลอดผ่านเปลือกตาได้เพียงน้อยนิด
กาลเวลาเริ่มผ่านเลยไป นกกานานาชนิด เงียบเสียงลง พร้อมๆกับแสงสว่างที่ลับหายไปจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก ราตรีกาลหมุนเวียนกลับเข้ามาอีกครั้ง หริ่งหรีด เรไร กรีดปีก ผสานเสียงระงมป่า พร้อมๆกับสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ที่พากันออกหากินอย่างเริงร่า ปล่อยให้เหล่าสรรพสัตว์ที่เคยออกหากินในรุ่งอรุณได้หลับใหล ร่างที่นอนแน่นิ่งมาเป็นเวลานาน บัดนี้ สติสัมปชัญญะ เริ่มกลับเข้าคืนมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็น ขณะเปลือกตาค่อยๆเปิดออก นั้นก็คือ ร่างของใครคนหนึ่ง ถึงแม้มันจะดูเลือนรางจนเกือบจะมองไม่เห็นเค้าโครง แต่ชายหนุ่มพอจะจดจำภาพที่เห็นนั้นได้
“พ..พะ..พลับพลึง!”
“นั่น คุณจริงๆหรือนี่?”ชายหนุ่มร้องบอกออกมาด้วยเสียงอันแหบพล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววที่เจ้าของร่างนั้นจะโต้ตอบใดๆ หรือแม้แต่จะขยับไหว
“พลับพลึง”
“นั่น ใช่คุณหรือเปล่า”พูดจบก็พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหายไปเสียหมด
“นี่เรายังไม่ตายหรือนี่...”
“แล้วที่นี่ มันที่ไหนกัน!” ชายหนุ่มนึกทบทวน ขณะสายตาของเขายังจับจ้องไปที่ร่างของหญิงสาว
“คุณได้ยินผมหรือเปล่าครับ”พูดจบก็ประคองร่างอันสะบักสะบอมไปที่ตำแหน่งที่เห็นร่างปริศนานั้น แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นเพียง ขอนไม้ผุพังเท่านั้น
“หนาวเหลือเกิน ขืนปล่อยไว้แบบนี้เราคงหนาวตายแน่”ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองในใจ เพราะบรรยากาศตอนนี้เย็นยะเยือกลงไปทุกขณะ
“ไฟ! ใช่แล้ว เราต้องก่อไฟ”ชายหนุ่มเดนตาย นึกขึ้นได้ก็รีบใช้มือลูบตบไปตามตัว เพื่อหา ไฟแช็ค หรือไม่ก็ไม้ขีดไฟ ที่อาจจะพกติดตัวมาด้วย แต่แล้วก็ต้องถอดใจ เพราะเสื้อผ้าที่เปียกปอนและดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งของทั้งสองชิ้นที่เขาปรารถนาอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ความท้อแท้ ความปวดร้าวระบมของร่างกาย ความเหน็บหนาวเยือกเย็นของอากาศ และความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ราวกับโลกทั้งใบมีเขาแต่เพียงลำพัง ชายหนุ่มนั่งพิงขอนไม้นั่น พร้อมกับทอดสายตาไปตามสายน้ำอย่างปราศจากความหมาย กำลังวังชาที่เหมือนว่าจะกลับคืนมาเมื่อครั้งแรก มาบัดนี้กลับลดน้อยลงเพราะกำลังใจที่ถดถอย เนื้อตัวที่พอจะขยับได้ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะชาไปทั้งร่าง เพราะอากาศที่เย็นจัด มนุษย์เดนตายกำลังนึกปลงต่อชีวิตของตัวเองอยู่ ครั้นแล้วพลันสายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่ต้นไม้ล้มริมน้ำชีวิตที่เคยท้อแท้ในยามนั่นกลับดูเหมือนว่าจะมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นในทันที เมื่อเขามองเห็นสิ่งของที่อยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าจะมองเห็นอยู่เลือนรางก็ตาม เขาก็จำสิ่งของสำคัญชิ้นนั้นได้ นั้นก็คือ เป้หลังของเขานั้นเอง
เหมือนชะตายังไม่ถึงฆาต หรือไม่ นรกก็ยังมีความปราณีอยู่บ้าง ชายหนุ่มรีบประคองร่างของตัวเองไปที่เป้หลังของเขา อย่างทุลักทุเล เขานึกขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาไปพลาง เพราะถ้าไม่มีต้นไม้ที่ล้มขวางต้นนี้ไว้ เป้หลังของเขาก็คงจะหลุดหายไปตามกระแสน้ำ และคงไม่มีโอกาสได้พบอีก เพราะสายสะพายข้างหนึ่งของเป้หลัง เกี่ยวเข้ากับกิ่งก้านของมันพอดี ราวกับมีใครมาช่วยคล้องไว้ให้ ชายหนุ่มตาเป็นประกายก่อนจะคว้าสิ่งนั้นมากอดแนบกาย ราวกับสิ่งของชิ้นนั้นสำคัญยิ่งกับชีวิต โอกาสรอดมาถึงแล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเปิดสำรวจสิ่งของภายในทันที
เริ่มจาก ด้านใน เสื้อผ้าคงไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกอณูของมันมีแต่น้ำ ห่อผ้าที่บรรจุกล่องลูกปืนอยู่หลายกล่องก็เปียกปอนไปหมด ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มเพิ่งจะนึกออกว่าปืนคู่กายของเขาได้หลุดหายไปเสียแล้ว นอกจากลูกปืนที่ไม่มีความหมาย ในเป้ใบนั้นยังมีแบตเตอรี่ของไฟฉาย ซึ่งก็ดูไร้ประโยชน์ เพราะตัวไฟฉายก็ไร้วี่แววเช่นกัน ถัดมาสำรวจช่องเก็บของด้านนอกเป้ของเขา ก็ใจชื่นกลับมาบ้าง เพราะนองจากอาหารกระป๋องที่เหลือกระป๋องสุดท้าย ในนั้นยังมีซองกันน้ำอย่างดี ภายในซองนั้นมีทั้งยาสามัญต่างๆ ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด รวมถึงชุดทำแผล ก็ยังอยู่ในสภาพดีทั้งสิ้น
ถัดมาดูอีกช่องก็ปรากฏว่าภายในนั้น มีถุงเก็บเนื้อแห้งอีกพวง แต่ดูเหมือนว่าเนื้อแห้งพวงนั้นจะไม่แห้งเสียแล้ว เพราะถุงพลาสติกที่ถูกผูกปากถุงไว้อย่างหลวมๆ นอกจากถุงเนื้อเค็มแล้ว ยังมีถุงที่ภายในมีเทียนไขอีกสี่ห้าเล่ม แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมของมัน เพราะแต่ละเล่มหักเป็นท่อนๆ คงจะเป็นเพราะแรงกระแทกที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มได้เผชิญมา และช่องเก็บของช่องสุดท้าย นอกจากผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกน้ำ ยังมีมีดพับเล่มเล็กของสวิสเซอร์แลนด์ที่อยู่ในสภาพเดิมของมัน และสิ่งของชิ้นสุดท้าย ที่ทำให้ชายหนุ่มดีใจจนเนื้อเต้นก็คือ ไม้ขีดไฟที่อยู่ในถุงพลาสติกที่เขาเองเป็นคนม้วนผูกปากถุงไว้อย่างดี ภายในกรักนั้น เมื่อลองเขย่าดูก็มีเสียงตอบกลับมา ราวกับเสียงจากสวรรค์ที่กระซิบบอกเขาว่า โอกาสรอดมาถึงแล้ว
ความมืดเริ่มโรยตัว แต่ปราศจากแสงดาวแสงเดือน ซึ่งตัวชายหนุ่มเองก็ไม่ระแคะระคายต่อความผิดปรกตินี่ อากาศเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่เวลานี้มากกว่า ที่ทำให้ชายหนุ่มทนทุกข์ทรมาน บวกกับบรรยากาศโดยรอบที่ดูน่าตระหนก ต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ที่ขึ้นอยู่รายล้อม พอตกกลางคืนก็เห็นเป็นเงาทึบทะมึนดูหน้ากลัวรอบด้าน ราวกับว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดคอยจับจ่อมมองดูมนุษย์ผู้แปลกหน้า แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ก็คือสายน้ำที่กว่างใหญ่ ถึงแม้จะมองเห็นเป็นเพียงเงาสะท้อนบ้างประปราย แต่เสียงอึกทึกของมันยังคงอยู่
ภายใต้แสงเทียนที่สาดส่องอยู่เรืองๆ ชายหนุ่มพยายามเพ่งสายตาหาเชื้อฟืนแห้งรอบกาย ไม่ว่าจะเศษหญ้า เศษไม้ ที่พอจะหยิบจับได้บ้าง ขอเพียงให้แห้งเข้าไว้ เขาก็ไม่เกี่ยงงอนว่ามันจะเล็กแค่ไหน เมื่อรวบรวมมาได้ตามที่ต้องการ ก็นำมากองสุมกันใต้เพิงหินใหญ่ริมน้ำนั้น ซึ่งเขาเลือกเป็นที่หลบพักชั่วคราว เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ดีและใกล้ที่สุดในเวลานั้น กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างง่ายดาย ด้วยการต่อไฟด้วยเทียนที่เขาถือ ไม่ช้าไม่นาน กองไฟขนาดย่อม ก็ลุกโชนส่องแสงและไออุ่น ความร้อนของมันทำให้ชายหนุ่มบรรเทาความหนาวเหน็บได้อย่างมาก พร้อมๆกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สิ่งต่อไปที่เขาทำคือ สำรวจบาดแผลที่ฝ่ามือของเขา เลือดที่เคยไหลนองในครั้งก่อน ถึงตอนนี้ปรากฏแต่เพียงรอยเขี้ยวเป็นรู และ รอยช้ำจนบวมเป้ง ซึ่งเป็นผลงานของค้างคาวผีในถ้ำนรกนั้น ถึงตอนนี้ ยาสามัญที่นำติดมาด้วยจึงได้ทำหน้าที่ของมัน ไม่ว่าจะเป็น ยาล้างแผล ยาฆ่าเชื้อ และผ้าพันแผล ก็ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ หลังจากจัดการบาดแผลเสร็จสิ้น ก็มาต่อด้วยอาหาร จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเป็นเนื้อเค็ม เพราะถ้าปล่อยไว้นานอาจจะเสียของได้โดยใช่เหตุ เพราะมันถูกเปลี่ยนสภาพจากการถูกแช่น้ำมาเป็นเวลานาน โดยไม่มีพิธีรีตองชายหนุ่มโยนพวงเนื้อเค็มลงกองไฟทั้งพวง กลิ่นของเนื้อเค็มย่างส่งกลิ่นหอม จนทำให้ท้องของเขาร้องครวญคราง เพียงไม่นานหลังจากใช้เศษไม้พลิกเขี่ยไปมา เนื้อเค็มย่างก็สุกได้ที่ ถึงแม้จะอยากกินเสียให้หมดพวงเพราะความหิว แต่เขาก็ต้องตัดใจแบ่งเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เพราะไม่รู้อนาคตในวันข้างหน้าว่า จะได้เจออาหารมื้อต่อไปเมื่อไหร่และอีกนานแค่ไหน เต็มที่ อาหารกระป๋อง คงจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่มีอยู่
หลังอาหารมื้อค่ำ พร้อมกับยาแก้ปวดอีกชุดใหญ่ กำลังวังชาของชายหนุ่ม จึงกลับเขามาเกือบจะเป็นปรกตินอกจากอาการปวดของมือ และ อาการปวดตามตัว ที่คอยจะขัดจังหวะชีวิตเป็นบางครั้งบางคราว ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว พอมีแสงไฟเป็นเพื่อน ก็พอที่จะคลายความเหงาและความหน้าสะพรึงกลัวลงได้บ้าง ขึ้นชื่อว่า พระเพลิง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งใด ก็มีความศักดิ์สิทธิอยู่ในตัวเสมอ เสื้อผ้าอาพรที่เคยเปียกปอน พอโดนความร้อนนานขึ้นก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นความชื้น ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขารีบจัดแจงผึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นบนก้อนหินใหญ่แทนราวตากผ้าอย่างดี สิ่งของชิ้นไหน ที่พอนำไปผิงกับไฟได้ ก็นำมาวางเรียงรายอยู่หน้ากองไฟ ถึงตัวเขาเองในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพที่กึ่งเปลือยเช่นกัน เพราะถ้าขืนยังสวมใส่เสื้อผ้าเปียกๆไปตลอดคืน คงเป็นไข้หรือไม่ก็ปอดบวมตายสถานเดียว
ราตรีกาลเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า สรรพสำเนียงในยามวิกาล ทั้งที่แบบเคยชิน และแบบไม่คุ้นหูก็มีมากมายหลากหลายชนิด ทั้ง เก้ง กวาง บ่าง นกฮูก นกเค้าแมว บางครั้งก็ฟังดูน่ากลัว ผสานเสียงกับ แมลงนานาชนิด ที่พากันกรีดปีกบรรเลงไพร แต่แล้ววงดนตรีกลางไพร ก็ต้องเงียบเสียง เมื่อมีเสียง โฮก ของเสือโคร่ง ที่อยู่ลึกเข้าไปในดงทึบเบื้องหน้า เข้ามาขัดจังหวะวงบรรเลง จนทำให้มนุษย์ผู้แปลกหน้าถึงกับขนลุกซู่ เพราะไม่เคยพบมาก่อน บ่อยครั้งเขาก็ทนไม่ไหว เนื่องจากเสียงที่ได้ยินนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ ถึงตอนนี้ฟืนแห้ง ไม้ล้ม ที่พอจะหยิบคว้าได้เท่าไหร่ ก็ถูกกองสุมมากขึ้นเท่านั้น โชคดี ที่เขาเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะเพิงหินที่ใช้หลบพักถูกรายล้อมด้วยก้อนหินขนาดใหญ่กลายเป็นกำแพงอย่างดี ดูไปแล้วเหมือนถ้ำย่อมๆ ถ้าพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นเกิดนึกอยากลองชิมเนื้อมนุษย์ขึ้นมา ก็มีเพียงช่องด้านหน้าที่ติดลำน้ำใหญ่นี้เท่านั้น ถึงจะเข้ามาถึงตัวเขาได้ หรือถ้าข้ามลำน้ำนั้นมาได้ ก็ต้องผ่านกองไฟกองใหญ่อีกกอง แต่เหตุการณ์ที่ดูว่าจะเลวร้าย ตอนนี้กลับกลายไปในทิศทางที่ดี เพราะไม่นาน เจ้าของเสียงปริศนาที่ไม่ปรากฏกาย ก็เร้นหายเข้าไปในดงทึบ ราวกับว่ามันคงออกมาสำรวจอาณาเขต และบังเอิญพบกับสิ่งแปลกปลอม ที่มันเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเช่นกัน
เหตุการณ์กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ไฟกองใหญ่ยังไม่พร่องลง ตรงกันข้ามชายหนุ่มเดนตาย ยังก่อไฟเพิ่มขึ้นอีกกอง จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณที่เขาอยู่ ดูสว่างรอบทิศทาง พอที่จะมองบริเวณรอบด้านได้อย่างถนัด เผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็ยังพอที่จะมีเวลา มองหาทางหนีทีไล่ได้ถูก อย่างน้อยๆก็มองเห็นซอกหินที่อยู่ด้านหลัง ที่พอจะแทรกกายเข้าไปหลบภัยได้บ้าง ในเมื่อสถานการณ์อาจดูว่าเป็นปรกติ แต่กระนั้นก็ยังไม่ประมาท ชายหนุ่มจึงจัดเตรียมสถานที่ให้ดูปลอดภัยและรัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งกิ่งไม้แห้ง ที่ลากเอามากองปิดปากทางเข้า และก้อนหินขนาดเขื่องที่งัดเอามาขวางและจัดเรียงเป็นกำแพงสำหรับช่องทางที่เป็นจุดเสี่ยง รวมทั้งหอกไม้ปลายแหลม อีกสามเล่ม ที่ชายหนุ่มมานะนั่งเหลาด้วยมีดพับเล่มเล็กที่มีอยู่ ถึงจะดูไม่มีพิษสง แต่อย่างน้อยๆก็ดีกว่าไม่มีอาวุธอะไรเลย
ลมดึกพัดโชย โยกไม้ใหญ่ในดงทึบให้ไหวเอนอย่างเชื่องช้า ครั้นต้องแสงไฟจากกองฟืน ทำให้เกิดเป็นเงาทะมึน โยงไหวไปตามแรงลม ราวกับปีศาจร้ายในเงามืด ที่เคลื่อนไหวไปมาช้าๆ เพื่อรอจังหวะที่จะเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อย ยิ่งดึกสงัดลงเท่าไหร่ ความเงียบและความวังเวงก็มีมากขึ้นเท่านั้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ชายหนุ่มนอนซุกกายอยู่ใต้ซอกหิน ความอ่อนล้า และความเจ็บปวด เป็นตัวกระตุ้นให้ร่ายกายหมดกำลัง บวกกับยาแก้ปวดที่เริ่มออกฤทธิ์ กลับทำให้ชายหนุ่มทนฝืนสังขารของตัวเองไม่ไหว ทั้งๆที่ตัวเองพยายามข่มใจสักเพียงใด แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กับสังขาร ที่เหมือนจะร้องบอกเขาว่าไม่ไหวแล้ว.....
*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ชายหนุ่มที่รอดจากขุมนรกออกมาได้ จะพบเจอกับสิ่งลี้ลับอะไรอีก โปรดติดตามตอนต่อไป*****
39
« on: 23 April 2021, 13:44:55 »
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 7 (จบบท)
บทที่ 10
ตอนที่ 7
ฝูงอสูรกายนับสิบตัว ซึ่งลักษณะไม่ได้แตกต่างไปจาก เจ้าของซากที่นอนสิ้นฤทธิ์อยู่นั้น ต่างพากันไต่ยั้วเยี้ยมาตามผนัง และเพดานถ้ำดูวุ่นวายไปหมด บางตัวก็พลาดตกลงมาจากเพดาน เพราะถูกพวกเดียวกันเองเบียดจนตกลงมาหงายท้อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ไอ้ สัตว์กระหายเลือดหยุดอยู่แค่นั้น พอมันตั้งหลักพลิกตัวกลับขึ้นมาได้ ก็คลานงุ่นง่านตรงมาทางชายหนุ่มทันที ซึ่งตอนนี้ถอยห่างออกไปหลายวา โดยไม่ละไฟฉาย ที่จะส่องจับออกไปอย่างไม่สู้จะไว้ใจนัก จนในที่สุด ก็มีไอ้ตัวที่คลานนำหน้าฝูงมาก่อนใคร ไต่มาถึงบริเวณซากของเพื่อนร่วมสายพันธุ์เดียวกันกับมัน แต่แทนที่มันจะแสดงปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่ากลัว หรือโกรธที่พบซากพรรคพวกของมัน ตรงกันข้ามมันกลับก้มลงกินซากนั้นอย่างกระหายหิว จนตัวอื่นๆที่ไต่มาถึงภายหลัง ต่างพากันยื้อแย่งซากนั้นอย่างบ้าคลั่ง ดูชุลมุนวุ่นวาย ราวกับฝูงแร้งยื้อแย่งซากศพ ทั้งเสียงกัดกันเอง เสียงฉีกขาดของเศษซาก ซึ่งตอนนี้มันได้แยกส่วนกระจัดกระจายจนจำเค้าเดิมไม่ได้ บางตัวก็ลากไส้ไต่หนีตัวอื่นๆขึ้นไปหลบกินบนผนัง บางตัวก็คาบชิ้นส่วนที่เป็นปีกหลบหายเข้าไปในเงามืด และบางตัวก็ฉุดกระชากชิ้นเนื้อดึงกันไป ดึงกันมา ราวกับเล่นชักเย่อกัน มันเป็นภาพชวนขนลุก ผสมกับความสะอิดสะเอียนเกินคำบรรยาย
ดูเหมือนว่า เหล่าอสูรกายจะเพลิดเพลิน อยู่กับมหกรรมเมนูอาหารชุดพิเศษ จนหลงลืมไปว่า มีสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์แปลกปลอมอยู่ด้วย เมื่อได้โอกาสเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงค่อยๆหลบฉากมาอีกทาง โดยปล่อยให้ไอ้ สัตว์กินซากรุมทึ้งพวกเดียวกันเองไว้เช่นนั้น ส่วนตัวเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่า รีบเผ่นออกจากวงโต๊ะอาหารสุดสยอง ให้เร็วที่สุด แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัว จนแทบจะชักขากลับออกมาไม่ทัน เพราะจังหวะที่ค่อยๆถอยหลังช้าๆอยู่นั้น ไม่รู้ว่าเจ้าป่าหรือยมทูตแกล้งปิดตาไม่ให้เห็น ไอ้ตัวกินซากตัวเขื่อง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ไปแอบซุกแทะซากอยู่บริเวณนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำให้ชายหนุ่มเหยียบเขาไปที่ตัวของมันชนิดเต็มๆฝ่าเท้า
จี๊ดดด!!
แจ๊กกกก
พลึบ ไอ้ตัวประหลาดร้องเสียงแหลม ก่อนจะเผ่นพรวดออกไปด้วยความตกใจ ไม่ต่างไปจากชายหนุ่มที่ผงะเกือบจะหงายหลัง จะว่าไม่กลัวหรือเสียดายอาหารของมัน ที่อุตส่าห์แย่งมาก็ไม่ทราบได้ แทนที่ไอ้ตัวประหลาดจะหนี มันกลับคลานงุ่นง่านกลับมาที่เหยื่อของมันอย่างรนรานกระหายหิว อารามด้วยความตกใจและไม่แน่ใจว่า ไอ้ สัตว์กระหายเลือดตัวนั้นจะมาทำร้ายหรือไม่ มีดที่ในมือจึงหวดลงไปอย่างเต็มที่
ฉับ! ไม่ทันที่เจ้าของร่างผู้เคราะห์ร้ายจะได้ตั้งตัว คมมีดที่หวดมาอย่างแรงก็ทำให้ร่างกายของมันขาดร่องแร่ง จะว่ารีบหรือมัวแต่ตื่นเต้นตกใจก็ไม่ทราบได้ แทนที่จะถูกจุดสำคัญของมัน คมมีดที่หวดลงไปกลับฟันเข้าไปบนส่วนที่เป็นปีกเข้าอย่างจัง ทำให้ไอ้ตัวประหลาดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ดิ้นเร้าๆหมุนเป็นกระแตเวียนอยู่เช่นนั้น เลือดสดๆสีแดงคล้ำพุ่งกระฉูด ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง
จี๊ดดๆ
พลึบๆๆๆ
ไอ้ปีกด้วนพยายามกระเสือ กกระสน กระพือปีกข้างที่เหลืออย่างสุดชีวิต แต่ก็ไปไหนไม่ได้ นอกจากจะหมุนเป็นวงอยู่แบบนั้น จังหวะที่ชายหนุ่มจะประเคนคมมีดให้อีก ก็ต้องชะงัก เพราะมีไอ้ตัวประหลาดอีกสองสามตัว พากันไต่ยั้วเยี้ยมายัง ร่างที่กำลังดิ้นเร้าๆ อยู่นั้น และภาพที่ทำให้สยดสยองกว่าเดิมก็คือ พวกมันพากันกัดกิน ร่างของเพื่อนของมันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งๆที่ร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ และดูเหมือนว่าจำนวน ของไอ้ตัวกระหายเลือด จะเพิ่มขึ้นมาทุกขณะ ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน แต่ที่แน่ๆในตอนนี้ก็คือ จะอยู่รอดูแบบนี้ต่อไปไม่ได้แน่ เพราะมีบางตัวมีทีท่าคุกคาม แต่ก็ทำได้ไม่นานก็ถูกประเคนด้วยมีดเสียก่อน
ในช่วงที่พวกมันพากันรุมทึ้งเหยื่อที่เป็นพวกเดียวกันเองจนดูชุลมุนไปหมด จังหวะนั้นเอง ที่พอจะทำให้ชายหนุ่ม ได้มีโอกาสแทรกตัวหลับเข้าไปในช่องทางเบื้องหน้าได้ เพราะโอกาสแบบนี้ ไม่มีให้รออีกแล้ว ยิ่งอยู่นานก็เหมือนพวกมันจะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ดูล้อมหน้าล้อมหลังกันเต็มไปหมด ขืนอยู่ต่อไป ก็คงไม่เหลือแม้แต่กระดูกไว้ให้ดูต่างหน้า มาถึงขนาดนี้แล้ว จะถอยกลับก็คงไม่ใช่ ทางเลือกมีอยู่ทางเดียวก็คือไปต่อ ในเมื่อมีสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าสัตว์ที่เห็นเป็นตัวอะไร แต่มันก็ทำให้แน่ใจได้ว่า ภายในโพรงถ้ำที่ตัวเองกำลังเข้าไปนั้น จะต้องมีทางออกที่ใดสักแห่งอย่างแน่นอน
ไฟฉายถูกกราดส่องไปในโตรกถ้ำ ท่ามกลางวงล้อมของอสูรกายกระหายเลือด ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ให้ความสนใจกับชายหนุ่มมากนัก นอกเสียจากเหยื่อของมันที่กำลังถูกแยกส่วนในไม่ช้า ซึ่งแต่ละตัวดูกระหายหิว ราวกับตายอดตายอยากมาจากขุมนรก เดินมุดลอดไปพลาง ก็ต้องคอยระวังพวกที่ไต่อยู่ตามผนังและเพดานถ้ำไปพลาง ตัวไหนเห็นท่าไม่ดีก็จัดการด้วยมีดเสียก่อน ที่ตายก็ตายไปกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของพรรคพวก ตัวไหนบาดเจ็บก็พยายามกระเสือ กกระสนหนีอย่างสุดชีวิต เหมือนกับว่ามันจะรู้ถึงชะตาชีวิตในไม่ช้า
ยิ่งถลำลึกเข้าไปมากขึ้นเท่าไหร่ หนทางแห่งชีวิตก็มีลางว่า จะเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ความเย็นยะเยือกของสายลมที่สัมผัสร่างกาย บอกกับตัวเองได้ว่า อีกไม่ไกลเกินรอ ชีวิตที่ตรากตรำอยู่นี้จะหลุดพ้นเป็นอิสระเสียที กำลังคิดวาดภาพฝันที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ทันได้นั้นเองก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อไอ้บ่างผีตัวหนึ่ง ซึ่งไต่อยู่บนเพดานถ้ำ จะว่ามันกระสากลิ่นอายของชายหนุ่มอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทำให้มันกระโจนพรวด มาเกาะที่เป้หลังของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง ด้วยน้ำหนักตัว ที่เขื่องพอๆกับไก่ชนตัวใหญ่ๆ จึงทำให้ชายหนุ่มถึงกับเซถลาเสียหลักจนล้มคว่ำ
อารามด้วยความตกใจ จึงใช้มืออีกข้างไขว่คว้าไอ้ สัตว์กระหายเลือด ซึ่งตอนนี้กำลังไต่มายังก้านคอของเขาอย่างหิวกระหาย พยายามอยู่อึดใจ ก็คว้าไอ้ตัวขนปุยได้ถนัด โดยหวังจะกระชากออกไปจากร่างกายให้เร็วที่สุด จังหวะนั้นเองความรู้สึกเจ็บปวด ราวกับถูกเหล็กแหมทิ่มแทง ก็พลันบังเกิดขึ้นบนง้ามมือข้างที่คว้าไอ้ตัวประหลาด
โอ๊ย!
ชายหนุ่มเผลอร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดอย่างลืมตัว พลางสะบัดมืออกจากคมเขี้ยวของสัตว์กระหายเลือดอย่างตกใจ เลือดอุ่นๆสีแดงไหลทะลักออกมาจากบาดแผลจากคมเขี้ยว พร้อมๆกับอาการปวดร้าวไปทั้งแขน แต่สิ่งนั้นยังไม่น่ากังวลเท่า ไอ้ตัวกระหายเลือดอีกสองสามตัว ที่อยู่ใกล้มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด แต่ละตัวเงยจมูกส่ายไปมากันให้ทั่ว โดยเฉพาะไอ้ตัวที่ฝากคมเขี้ยวไว้ เหมือนว่ามันจะติดใจ ในรสชาตกลิ่นคาวเลือดของมนุษย์ ทันที ที่จับทิศทางของเหยื่ออันโอชะของมันได้ มันก็ทยานพุ่งเข้าหาชายหนุ่มทันที
จี๊ดดด
พลึบ
ฉับ!แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ลิ้มรสเลือดมนุษย์เป็นครั้งที่สอง หัวที่มีแต่หนังเหี่ยวๆของอสูรกายกระหายเลือด ก็แบะออกเป็นสองซีก พร้อมกับอาการสั่นกระตุกของเจ้าของร่าง และไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร เพราะอึดใจต่อมา ร่างนั้นก็ถูกลากหายเข้าไปในเงามืด
ชายหนุ่มทนฝืนความเจ็บปวด ก่อนจะรีบใช้มืออีกข้างกดปิดบาดแผลนั้นไว้ ซึ่งตอนนี้ มีเลือดสีแดงไหลซึมอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวดร้าวไปทั้งแขน ทำให้ชายหนุ่มเผลอบัดกรามจนแน่น เพราะความปวดระบมอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ยิ่งกดบาดแผลแน่นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มความทรมานมากขึ้นเท่านั้น จนปลายนิ้วสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา เมื่อเลือดสดๆไหลนองพื้นเช่นนี้ สัญญาณอันน่าสะพรึงกลัวก็เปิดฉากขึ้น เพราะกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่นั้น เหมือนจะไปกระตุ้นต่อมความหิวกระหาย ให้กับพวกอสูรกายเหล่านั้น หลายตัวพากันส่ายจมูกควานหาที่มาของกลิ่นกันอย่างจ้าระหวั่น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้บอกกับตัวเองได้ว่า กำลังตกเป็นรอง
ประตูนรกเปิดอ้าต้อนรับชายหนุ่มอีกครั้ง และครั้งนี้ถ้าคิดช้าไปแค่เสี้ยววินาที ก้อนเนื้อมีชีวิตเช่นเขา ก็คงจะหมดเค้าโครงเดิมในไม่ช้า ไฟฉายที่กำแน่นอยู่ในมือ จึงรีบสาดควานหาช่องทางเอาชีวิตรอด ก่อนที่จะพยุงร่างกายอันสะบักสะบอม กระ เสือกกระสนแทรกกายหายเข้าไปในโตรกถ้ำ ปล่อยให้สัตว์กระหายเลือดพวกนั้น ชุลมุนวุ่นวายกับเศษซากพวกเดียวกันอยู่เช่นนั้น
ยิ่งลึกเข้ามาเท่าไหร่ โอกาสรอดก็ดูเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ตลอดระยะที่ตัวเองถลำลึกเข้ามา กลิ่นอายของชีวิตก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งอากาศที่ถ่ายเทจนสามารถสัมผัสได้ แต่ก็ต้องคอยระมัดระวัง ไอ้บ่างผีจากนรก ซึ่งจ้องจะคอยกินเลือดกินเนื้อ ยิ่งตอนนี้มีจุดอ่อนเกิดขึ้นบนร่างกายของเขา คือเลือดที่ยังคงไหลซึมหยดเป็นทาง ต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ ตัวไหนทำท่าไม่ดี ก็จัดการฆ่าเสียก่อนที่มันจะฆ่าเขา จากร้ายกลับกลายเป็นว่าส่งผลดี เพราะพวกมันที่เหลือจะละความสนใจจากตัวเขาไปในทันที เพราะมัวแต่กัดกินซากพวกเดียวกัน
อาการปวดระบมของบาดแผล ยิ่งส่งผลกระทบกับตัวชายหนุ่มมากขึ้นทุกระยะ ซึ่งไม่มีท่าทีที่จะทุเลาลงแม้แต่น้อย อาจเป็นไปได้ ที่คมเขี้ยวของมันคงมีพิษร้ายบางอย่างปะปนมาด้วย รวมทั้งจำนวนเลือดที่เสียไป ทำให้ร่างกายที่เหนื่อยหนักมาหลายชัวโมง เริ่มอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ขาที่เคยย่างก้าวออกไปอย่างมั่นคง เริ่มอ่อนกำลังลงจนบางครั้ง อ่อนพับลงไปกองกับพื้น แต่ก็ต้องกัดฟัน ฝืนตัวเองให้ลุกยืนขึ้นมาให้ได้ เมื่อตั้งหลักได้ ก็รีบก้าวเดินต่อไป โดนอาศัยผนังถ้ำเป็นหลักค้ำยันร่างกาย ดวงตาที่เริ่มพร่ามัว ทำให้มองเส้นทางดูเลือนลางลงทุกขณะ ภายใต้ความมืดมิดเช่นนี้ มันจึงเป็นอุปสรรค สำคัญของชีวิต สติที่ยังมีอยู่ บอกกับตัวเองว่าจะต้องรีบออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ร่างกายของตัวเองจะหมดแรง ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสรอดก็คงไม่มีอีกแล้ว
บนเส้นทางที่เริ่มลาดชันลงทุกขณะ ร่างที่สะบักสะบอมด้วยพิษบาดแผล กำลังไถลครูดมาตามผนังหินอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็มีอาการไหววูบของร่างกายนั้น พร้อมกับเสียงโลหะกระทบแผ่นหินดัง เฉี๊ยะ ติดตามมาด้วยเสียงร้องแหลม ของสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่คอยเฝ้าติดตามร่างนั้นชนิดที่ว่า ล้อมหน้าล้อมหลัง เพื่อรอจังหวะและโอกาส ราวกับฝูงแร้งที่เฝ้าคอยเหยื่อของมันล้มลง ทันใดนั้นเอง โสตของชายหนุ่มที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง ก็แว่วเสียงบางอย่าง แต่ก็ฟังไม่ค่อยถนัดนัก เพราะเหลี่ยมหินของผนังถ้ำกันขวาง บดบังทิศทางของเสียงที่ได้ยิน แต่เมื่อโผล่พ้นออกมาแล้ว สิ่งทำให้ตัวเองตะลึงก็เกินขึ้น
ท่ามกลางแสงไฟที่สาดจับไปเบื้องหน้า ทำให้มองเห็นม่านน้ำตกขนาดใหญ่มหึมา ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายใต้โพรงถ้ำขนาดใหญ่ สายน้ำหลากหลายสาย ที่อยู่สูงต่างระดับขึ้นไป ตกกระทบแก่งแง้หินที่ต่ำลงไปเบื้องล่าง จนดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ แลให้เห็นละอองฝอย ของสายน้ำปกคลุมไปหมด ก่อนสายน้ำเหล่านั้นจะไหล รวมตัวกันลอดหายเข้าไปในช่องโพรงผนังหินเบื้องล่าง ซึ่งตอนนี้มองเห็นแสงสว่างเรืองๆอยู่ภายนอก ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น มาบัดนี้มันได้ประจักต่อหน้าชายหนุ่มแล้ว แสงสว่างที่เห็นอยู่เรืองๆ สว่างวาวจนแลเห็นสีน้ำใสเป็นมรกต ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าด้านนอก หลังกำแพงหินนั้น จะต้องเป็นประตูสู่อิสรภาพ
โอกาสรอดมีมากเกินกว่าร้อย ชายหนุ่มจึงรีบผยุงร่างกายอันบอบช้ำ เกาะไต่ผนังหินนั้นไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้สังขารจะอ่อนกำลังลง จนแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ แต่ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าดูล่อตา ทำให้พอที่จะกัดฟันแข็งใจไปต่อได้ แต่ดูเหมือนว่าพิษจากบาดแผลที่เกิดขึ้น จากคมเขี้ยวของอสูรร้ายใต้พิภพ จะไม่ปราณีชีวิตของชายหนุ่มแม้แต่น้อย จังหวะที่ก้าวขาลงไปบนแง้หินนั้นเอง กำลังวังชาก็เหมือนว่าจะหมดลงไปในทันที เมื่อขาดกำลังที่จะทรงตัวร่างที่อ่อนระโหย เพราะร่างกายที่อ่อนล้าอยู่ก่อนแล้ว ก็พลันหล่นวูบเกลือกกลิ้งลงไปตามทางที่ลาดชัน ไฟฉายที่เคยกำแน่นอยู่ในมือ พลอยหลุดกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง พร้อมๆกับเสียง โครมคราม ของวัตถุบางอย่าง ที่ตัวเองตกกระแทก
ดวงตาที่ฝ้าฟาง ทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายไม่ถนัดนัก อีกทั้งทั่วบริเวณยังถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด เมื่อพยายามกวดสายตาไปรอบๆ ก็มองเห็นดวงไฟฉายของตัวเอง ตกอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น จึงค่อยๆพลิกตัว แล้วคืบคลานไปยังตำแหน่งดวงไฟที่ปรากฏ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะมีวัตถุประหลาดกีดขวางเส้นทางนั้น เมื่อใช้มือลูบคลำไปที่สิ่งกีดขวาง ก็ตอบกับตัวเองไม่ได้ว่ามันคืออะไร จะว่ารากไม้หรือตอไม้ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมันมีความแข็ง ลักษณะเป็นมัน แต่ก็ไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้น เพราะจุดประสงค์ของตัวเองก็คือไฟฉายกระบอกนั้น กว่าจะเข้ามาถึงตำแหน่ง และคว้ากระบอกไฟฉายไว้ได้ ก็เล่นเอาจนหอบซี่โครงบาน
ร่างกายที่อ่อนระโหย ไร้แม้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืน หรือสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ฝังศพของเขากันแน่ สู่อุตส่าห์ฝ่าฟันจนมาถึงที่นี่ ต้องมุดลอดหลุมอุโมงค์มาจนนับไม่ท้วน ปากทางออกสู่อิสระภาพมองเห็นอยู่นั่น แต่ก็ไม่สามารถจะยันกายไปถึงได้ ชายหนุ่มนึกสมเพชตัวเองขึ้นมาในทันที พลางทำให้ปลงชีวิตคิดต่อว่า ดินแดนแห่งนี้คงเป็นสถานที่สุดท้ายที่จะได้เห็นก่อนตาย แต่ก็ทำแข็งใจฝืนยันกายลุกนั่งพิงข้างก้อนหิน แต่กว่าจะยันขึ้นมาได้ก็ต้องพยายามอย่างยากลำบาก เพราะแขนข้างซ้ายดูเหมือนจะชาจนใช้การอะไรไม่ได้ในขณะนั้น เมื่อหยิบไฟฉายมาส่องสำรวจดูบาดแผล ก็พบว่าเลือดที่เคยไหลซึมได้หยุดลงไปแล้ว เหลือเพียงคลาบเลือดแห้งเกรอะกรังไปทั้งฝ่ามือ พอเห็นเลือดก็ทำให้นึกถึงไอ้ สัตว์กระหายเลือดฝูงนั้นได้ ทำให้ต้องรีบกราดไฟไปรอบๆอย่างหวั่นหวาด แต่ภาพภายใต้แสงไฟ ทำให้ตัวเองต้องตกใจอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นตอไม้ และรากไม้กลับกลายเป็นกองกระดูกขาวโพรนไปหมด
กองกระดูก กองใหญ่มหาศาล มองเห็นเพียงแวบแรกก็รู้ว่ามันเป็น โครงกระดูกของช้าง ทั้งเศษซาก ข้อต่อ ซี่โครง รวมทั้ง หัวกะโหลกขนาดใหญ่ และ งา ถูกกองระเกะระกะ กระจัดกระจายกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด และหนักไปกว่านั้น สิ่งที่เขานั่งพิงอยู่ มันไม่ใช่ก้อนหินอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนแรก เพราะมันเป็นส่วนที่เป็นหัวกะโหลกของช้างขนาดใหญ่ที่นอนตายแน่นิ่งมาเป็นเวลานาน
สุสานช้าง!
ปะ ปะ..เป็นไปได้อย่างไรชายหนุ่มอุทานภายในใจ
มันมีจริงหรือนี่
เป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ กับภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า สุสานช้าง ที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าต่อๆกันหลายชั่วคน ใครจะคิดว่ามันจะมีอยู่จริง หาใช่นิยาย หรือนิทานหลอกเด็ก ทั้งช้างพัง ช้างงา หลายสิบตัว นอนตายสงบนิ่ง ทิ้งไว้แต่เศษซากโครงกระดูก ซึ่งบางโครงถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ บ่งบอกถึงอายุที่ยาวนาน หรือบางโครงก็มีสภาพผุกร่อนไปตามเวลา แต่ก็ยังมีเค้าโครงเดิมให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบชายหนุ่มได้เลยว่า เหตุใดพวกช้างเหล่านี้ จึงเลือกใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสุสานฝังร่างของมัน
ถึงแม้ภาพที่เห็นจะชวนทำให้ตกใจละคนตื่นเต้นสักเพียงใดก็ตาม แต่อาการและสังขารของตน ที่กำลังหมดสภาพลงไปทุกขณะ ชี้ชัดว่าอีกไม่นานคงมีสภาพไม่แตกต่างอะไรไปกับโครงกระดูกที่เห็น เพราะพิษจากบาดแผล ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะป่วยเพราะเป็นพิษไข้ ซึ่งมาพร้อมๆกับอาการหนาวยะเยือกจนหนาวสั่นไปทั้งตัว ความรู้สึกและโสตประสาทเริ่มเฉื่อยชาลงทุกขณะ ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะค่อยๆทรุดลงไปนอนกองกับพื้น เปลือกตาที่ทำท่าว่าจะขยับปิดลงเหมือนจะหมดหวัง ตอนนั้นเอง จะว่ามันเป็นภาพความฝัน หรือไม่ก็ภาพลวงตา ที่มโนภาพของเขา ที่เริ่มจะหลุดลอยออกไป ทำให้มองเห็นร่างๆหนึ่ง ยืนเด่นอยู่ตรงหน้า
"..!"
พ..พะ...พลับพลึง!
ช..ชะ..ใช่..คุณ..หรือ ป..ปะ เปล่า ชายหนุ่มร้องถามเจ้าของร่าง ที่มองเห็นอยู่เลือนลางอย่างยากเย็น ไม่มีเสียงตอบใดๆจากเจ้าของร่างนั้น ทำให้ชายหนุ่มพยายามยันกายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่า ร่างที่เห็นัน้น จะค่อยๆถอยห่างเขาไปทุกขณะ
ดะ..เดี๋ยว...ก่อน..คะ..ครับ!
ชะ..ช..ใช่..คะ...คุณ..จริงๆด้วยชายหนุ่มร้องเรียกด้วยเสียงอันแหบพร่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของร่างนั้นหยุดอยู่กับที่ ตรงกันข้าม ยิ่งชายหนุ่มขยับกายเข้าหามากขึ้นเท่าไหร่ ร่างที่เห็นก็ถอยห่างเขาออกไป มากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดก็ต้องล้มลุกคลุกคลานตามร่างนั้นไปอย่างยากลำบาก
ค..คุณ..พลับ..พ..พลึง...รอ..ผ..ผม ดะ..ด้วยครับ
โครม!พยุงกายขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็ทิ้งตัวล้มโครมลงไปในกองโครงกระดูก เพราะกำลังที่มีอยู่แทบจะทรงตัวต่อไปไม่ได้ แต่ด้วยภาพที่เห็นทำให้พอจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง หลังจากพยายามอยู่อึดใจ ชายหนุ่มก็ยันกายลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่เมื่อหันไปมองหาร่างของหญิงสาวอย่างที่ตัวเองหวังไว้ ก็ปรากฏว่า ร่างของหล่อนได้หายไปเสียแล้ว นึกอยู่ในใจว่าคงเป็นเพราะตัวเองตาฝาดมองเห็นภาพหล่อนหลอกตัวเอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังแว่วมา
ทางนี้
ท่านสิงห์ ท่านจงตามเรามาทางนี้...เจ้าของเสียงที่คุ้นเคย ร้องบอกเสียงราบเรียบ ก่อนจะค่อยๆถอยเข้าไปในโตรกถ้ำ หลังม่านน้ำตก เมื่อเห็นว่าร่างนั้น ทำท่าว่าจะหายไปอีก ชายหนุ่มจึงรีบกระ เสือกกระสนติดตามร่างนั้นไปอย่างกระชั้นชิด
ร..รอ..ผม..ดะ ด้วย..คะ..ครับ
คะ..คะ..คุณ..พะ..พลับพลึงชายหนุ่มร้องเรียกจนสุดกำลังที่พอจะร้องบอกออกไปได้ แต่มันก็ดังไม่เกินเสียงกระซิบ จากนั้นจึงพยุงร่างกายที่สะบักสะบอมจนดูเกือบจะหมดสภาพของความเป็นคน ติดตามร่างนั้น ที่เดินหายเข้าไปในโตรกหิน ซึ่งมันถูกซ้อนไว้หลังม่านน้ำตกขนาดใหญ่ ละอองน้ำสาดกระเซ็น แตกเป็นฟองฝอย เปียกปอนร่างของชายหนุ่มจนหนาวสั่น แต่ภาพของหล่อนคนนั้นก็ยังถอยห่างออกไปจนก้าวตามไม่ทัน ที่สุดก็ต้องกันฟันเดินลากสังขารออกตาม เพราะกลัวว่าหล่อนจะหนีไปอีก แต่หล่อนคนนั้นกลับเดินลับหายเข้าไปในเหลี่ยมมุมของผนังหิน เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบก้าวตามออกไป พอพ้นเหลี่ยมมุมที่ขึ้นบังทางเท่านั้น แสงสว่างประหลาดจากภาพนอกก็ส่องจ้าเข้ามา จนต้องยกแขนขึ้นมาบดบังใบหน้า พร้อมๆกับความรู้สึบดับวูบของกำลังทั้งหมด ก่อนที่สติจะดับลง ความรู้สึกสุดท้ายที่สัมผัสได้คือ ความเย็นวูบของร่างกาย...
*****จบนิยาวแนวผจญภัย ภาค 1*****
*****ขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน ที่ติดตามอ่านผลงานกันมาอย่างยาวนาน และค่อยพบกับ นิยายแนวผจญภัย ภาค 2 เร็วๆนี้*****
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่ม ธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
.....
รายชื่อ น้าผู้โชคดีทั้ง 3 คนครับ
หวังว่าน้าๆคงชอบของขวัญเล็กๆน้อยๆ ที่ผมส่งให้แล้วนะครับ
เหลือแต่น้า คนเดียว ที่ยังไม่ติดต่อกลับมา ผมให้เวลาน้าติดต่อกลับภายใน 7 วันนี้นะครับ ถ้าหลังจากนี้น้ายังไม่ติดต่อกลับมา ผมจะจับรางวัลใหม่ น้าๆที่พลาดยังได้ลุ้นกันอีก 1 รางวัล นะครับ
Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 31