Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
21 May 2024, 00:18:36

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,703 Posts in 12,501 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Profile of LAMBERG  |  Show Posts  |  Messages

Show Posts

* Messages | Topics | Attachments

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - LAMBERG

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14
61
ชื่นใจได้คุณค่า น้ำสมุนไพรคลายร้อน



ในสภาวะอากาศร้อนจัดอย่างนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ "น้ำ" เพราะหากร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ อาจทำให้ถึงขั้นขาดใจได้ค่ะ แต่บางคนว่าดื่มน้ำเปล่าๆไม่ค่อยอร่อย อยากได้รสชาติเปรี้ยวๆหวานๆให้ชื่นใจบ้าง ทว่าจะดื่มน้ำอัดลมคงเป็นการเพิ่มโทษให้แก่ร่างกาย เรื่องนี้ไม่ยากค่ะ น้ำสมุนไพรไทยเรานี่แหละ ดับกระหายคลายร้อน และให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายทีเดียว....
 

น้ำกระเจี๊ยบแดง ช่วยย่อยอาหาร ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาบำรุงธาตุ และยาระบาย
 

น้ำมะนาว เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้ท้องอืด ช่วยขับลม แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน บำรุงธาตุ แก้เลือดออกตามไรฟัน และถ่ายพยาธิ
 

น้ำกล้วยหอม มีน้ำตาลหลายชนิด มีสารเพคติน มีโปรตีน วิตามินเอและซี ธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม
 

น้ำส้มเขียวหวาน แก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย แก้ลมจุกเสียด แน่นเฟ้อ น้ำจากผลให้วิตามินซี
 

น้ำมะเขือเทศ ช่วยย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยระบายและช่วยฟอกเลือด
 

น้ำแครอท บำรุงสายตา รักษาโรคตาฟาง ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งปอด ให้ความสดชื่น มีฤทธิ์ในทางขับปัสสาวะ
 

น้ำเตยหอม ลดอาการกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ เป็นยาขับปัสสาวะ รักษาโรคเบาหวาน
 

น้ำตะไคร้ รักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และแก้อหิวาตกโรค แก้นิ่ว บำรุงธาตุ
 

น้ำมะระขี้นก ช่วยเจริญอาหาร บำรุงน้ำดี แก้ไข้ แก้ร้อนใน
 

น้ำมะตูม ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้อาการร้อนใน
 

น้ำอัญชัน บำรุงสายตา แก้ตาฟาง ตาแฉะ ขับปัสสาวะ
 

แต่จะดื่มน้ำสมุนไพรให้ได้ประโยชน์ต้องมีเทคนิคกันนิดนึงค่ะ

1.การเลือกสมุนไพร ควรเลือกสมุนไพรสดๆเก็บมาจากต้นใหม่ๆตามฤดูกาล สีสันเป็นธรรมชาติ ไม่มีรอยช้ำเน่า สมุนไพรสดใหม่ช่วยให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูง สีสันน่ารับประทาน แต่ถ้าเป็นสมุนไพรแห้ง ควรเลือกสมุนไพรที่ใหม่สะอาด ดูลักษณะ สี กลิ่น และไม่มีเชื่อรา

2.ความสะอาดของสมุนไพร ควรล้างให้ถูกวิธี ถ้าเป็นสมุนไพรแห้งจะต้องล้างอย่างน้อย 1-2 ครั้ง ถ้าเป็นสมุนไพรสด ควรล้างอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันสารเคมีและสิ่งปนเปื้อนที่ติดมา

3.ภาชนะที่ใช้ ต้องสะอาด เลือกให้เหมาะกับชนิดของสมุนไพร ภาชนะที่ต้มควรจะเป็นหม้อเคลือบ ไม่ควรใช้หม้ออลูมิเนียม เพราะอาจทำให้กรดที่อยู่ในสมุนไพรกัดภาชนะได้ ถ้าเป็นหม้อหรือกระทะทองเหลือง จะทำให้รสชาติของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไป นอกจากนี้การที่เราดื่มน้ำสมุนไพรที่มีโลหะหนักผสมอยู่ อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ สำหรับภาชนะที่บรรจุควรจะเป็นขวดแก้ว จะสะดวกในการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อโรค และน้ำสมุนไพรจะไม่ทำปฏิกิริยากับขวดแก้วด้วย

อย่างไรก็ตาม น้ำสมุนไพรบางชนิดเมื่อดื่มครั้งแรกอาจจะไม่ถูกปากนัก เพราะฉะนั้นควรดื่มแบบจิบช้าๆ และดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ จะได้คุณค่าทางอาหารและยาค่ะ...แต่การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวกันติดต่อกันเป็นเวลานานๆอาจทำให้เกิดการสะสมของสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้ ดังนั้นเปลี่ยนรสชาติบ้างก็ดีค่ะ และที่สำคัญต้องไม่ลืมดื่มน้ำเปล่าสะอาดๆด้วยนะคะ



62
ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

เที่ยวแบบไทย ๆ เที่ยวไป กินไป ที่ไหนมีของอร่อย จะมีคนตามไปกินเสมอ เช่นเดียว กับที่นี่ ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ตลาดน้ำแห่งใหม่ใกล้กรุง ที่อำเภอ พระประแดง สมุทรปราการ มีเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ที่ติดกับเสาร์-อาทิตย์) เริ่มเวลา ๗ โมงเช้า เป็นต้นไปจนถึงเย็น แม้เพิ่ง เปิดตัวมาได้ไม่นาน (กลางปี ๒๕๔๗) แต่มีคนมาเที่ยวกัน มากโดยเฉพาะวันอาทิตย์จะมีคนมาเที่ยวประมาณ ๔,๐๐๐ คน มีนักท่องเที่ยวฝรั่งมาเที่ยวด้วย

เสน่ห์ตลาดน้ำที่นี่ คือวิถีชีวิตชาวบ้านริมคลอง ส่วนใหญ่เป็นชาวไทย เชื้อสายมอญ น้ำในคลองยังสะอาด มีของพื้นบ้านอร่อย ๆ ที่ชาวบ้านทำมาขายเอง มีเรือพายขาย ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ ขนมจีนน้ำยา หอยทอดในถาดขนมครก ขนมใส่ไส้ มีกลุ่มแม่บ้าน สตรีทำขนมทองหยอด เม็ดขนุน ฝอยทอง การทำกาละแมกวนมาขาย แต่สุดยอดของ อร่อยที่นี่ คือ ห่อหมกหมู ที่ต้องมาแต่เช้าจึงจะได้ทาน เพราะมาบ่ายจะขายหมด นอกจากนี้ก็มีผลไม้จากสวนที่มีอยู่ทั่วไปสองฝั่งคลอง ผลไม้ขึ้นชื่อที่สุดของบางน้ำผึ้ง คือมะม่วงน้ำดอกไม้ และยังมีไม้ดอกไม้ประดับ สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เช่น ดอกไม้ประดิษฐ์ ไข่เค็มดินสอพอง บริเวณตลาดน้ำมีเรือพายให้บริการ ถ้าพายเป็นจะพายเองก็ได้ ค่าเช่าชั่วโมงละ 20 บาท หากต้องการคนพายให้ เพิ่มอีก 20 บาท นั่งเรือลัดเลาะชมพื้นที่สีเขียว 2 ฝั่งคลอง มีทั้งป่าจาก สวนมะม่วง และมะพร้าว ในอนาคตจะมีบริการจักรยานให้เช่าด้วย

ที่เที่ยวใกล้เคียง
วัดมอญต่าง ๆ ที่อยู่ในพระประแดง สวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์ พระสมุทรเจดีย์ ป้อมพระจุลจอมเกล้า


การเดินทาง

ขับรถมาเองจะสะดวกที่สุด โดยใช้ทางด่วนมาลงที่ถนนสุขสวัสดิ์ เมื่อลงทางด่วน ขับมาเรื่อย ๆ จะเห็นสามแยก พระประแดง-สุขสวัสดิ์ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าตรงข้างปั๊มน้ำมัน BP พอถึงตลาด พระประแดงให้เลี้ยวซ้ายผ่านวัดทรงธรรม วรวิหาร ไปประมาณ 5 กิโลเมตร แต่ช่วงนี้เส้นทางกำลังมีการก่อสร้างทางด่วน ผิวถนนขรุขระ และเมื่อพบป้ายบอกทาง เข้าตลาดน้ำให้เลี้ยวขวาเข้ามาอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะถึงสถานีอนามัยบางน้ำผึ้งซึ่งเป็นที่จอดรถ

การเดินทางโดยรถประจำทาง สามารถโดยสารรถประจำทางที่วิ่งมายังพระประแดงแล้วต่อรถสาย บางคอบัวและมอเตอร์ไซค์ไปยังตลาดน้ำ ปอ.138 วิ่งจากจตุจักรขึ้นทางด่วนมาลงตลาดพระประแดงได้เลย หรือ สาย 82 วิ่งจากสนามหลวงก็มาถึง พระประแดงเช่นกัน แต่ถ้าโดยสารรถ ปอ.140 จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อรถลงจากทางด่วนสุขสวัสดิ์ ให้ลงป้ายแรก แล้วต่อรถสาย 82 เข้าตลาดพระประแดง หรือจากปากเกร็ดมีรถสาย 506 ไปยังตลาดพระประแดง ได้เช่นกัน จากตลาดพระประแดง มีรถสีฟ้าประจำทางสายบางคอบัว ค่าโดยสาร 5 บาท ถึงปากทางเข้าตลาดและต่อมอเตอร์ไซค์ รับจ้างมาอีก 6 บาท


สอบถามรายละเอียด ติดต่อ
-นายก อบต.บางน้ำผึ้ง 08 1171-4930 สำนักงาน อบต. บางน้ำผึ้ง 02819 6762



เชิญเข้าไปอ่านเรื่องราวจากลิงค์ข้างล่างกันก่อนนะครับ มีเวลาพอแล้ว จะมาทำเนื้อหาที่นี่อีกครับ


http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=164701
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/D3115718/D3115718.html
http://www.ladysquare.com/forum_posts.asp?TID=41017
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=landdolph&month=08-2007&date=15&group=2&gblog=6
www.poithai.com/ตลาดน้ำวัดบางน้ำผึ้ง-7865-guide.html
http://thaipriusclub.com/webboard/index.php?topic=2128.0
http://www.paknam.com/thai/bang-nam-pheung.html

วัดบางน้ำผึ้ง ตลาดน้ำกลางสวน ธูปหอมสมุนไพร ลูกตีนเป็ด อ พระประแดง จ สมุทรปราการ

<a href="http://www.youtube.com/v/qfO4PIELoDI?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/qfO4PIELoDI?version</a>





63
แด่ แฟน ๆ JBL Studio Monitor


ผมได้อ่านความเห็นของ Don McR ( GuRu ของชาว JBL) เมื่อสัก 6-7ปี ที่แล้ว เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับ แฟนๆ JBL Studio Monitor Series ทุกท่าน เลยขออนุญาต จขกท. นำมาลงให้อ่านกันเล่นๆ ( เพราะอาจแปลคลาดเคลื่อนไปบ้าง) ดังนี้ครับ

++++คำถาม++++
ลำโพงในปัจจุบัน มีทั้งแบบ Studio Monitor และNon Studio Monitor (ใช้ฟังในบ้าน)..ซึ่งลำโพง ประเภท" Studio Monitor " ถือเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมการบันทึกเสียง ด้วยคุณสมบัติของ"ความเป็นกลาง" และ ผู้ซื้อ อย่างเราๆ ก็ล้วนอยากได้ลำโพงที่ให้เสียงที่เป็นกลางแบบนั้น ที่ไม่แต้มสีสรร หรือ ตกหล่นรายละเอียดอะไรไปจากที่มันได้ออกมาจากห้องบันทึกเสียง.....แล้วทำไมผู้ผลิตฯทั้งหลาย จึงไม่ทำลำโพงประเภท Studio Monitor มาขายแบบเดียวเสียให้สิ้นเรื่อง....?

+++++คำตอบ+++

ลำโพงMonitorนั้น จำเป็นต้องมีความเป็นกลาง อย่างยิ่ง ตามที่มันควรจะเป็น....แต่ความจริงในปัจจุบันนี้ (6-7ปีที่แล้ว) ลำโพง Nearfield Monitor ที่ใช้กันในห้องอัดเสียงส่วนใหญ่ทั่วไป คือ "YAMAHA NS10"นั้น...Sound engineer ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปลื้มกับมันสักเท่าไร เพราะรับรู้อยู่ว่ามันไม่ได้มีความเป็นกลางอย่างนั้นจริงๆ แต่ทำงานกับมันอยู่ได้ ก็เพราะทุกคน ล้วนคุ้นเคยกับการใช้งานมันได้ดี และสามารถ นำไปถ่ายทอดและอ้างอิง ซึ่งกันและกันได้ง่ายในวงการบันทึกเสียงฯ และ ทำให้ Sound Engineerคนเดียวกัน ทำงานได้ง่ายขึ้น ในห้องบันทึกฯที่แตกต่างไป
ย้อนไปในอเมริกา ปี 1940-1960 มาตรฐานของลำโพงในห้องบันทึกเสียงฯ คือ ALTEC 604 ลำโพงตั้งพื้นแบบ Coaxial ที่ให้เสียงและมิติ ได้ยอดเยี่ยม ทั้งในแบบ Near และ Far Field แต่ภายหลังพบว่า มันมีปํญหาเรื่อง ความเป็นกลาง และ เสียงกลางที่ยังไม่สมบูรณ์พอ
JBL 4310/4311 คือมาตรฐานในห้องอัดเสียงตัวใหม่ ที่ออกแบบมาแก้ข้อบกพร่องดังกล่าวและแทนที่ Altec 604 ด้วยขนาด BookShelf ที่สามารถนำมาติดผนัง ฟังในแบบNearfield ได้ ทำให้มันเป็นขาใหญ่อยู่ในStudio ต่างๆ ได้จนถึง ราวปี 1970 ......ยุคของเพลงROCK ครองโลก
เพลง Rock สมัยนั้น เป็นปรากฎการณ์ ไม่ธรรมดา ที่ต้องการลำโพง แบบ High Ievel output ! ...Studio Monitor จึงต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง
JBL Monitor 4333 (L300 ในบ้าน) / 4343 และ 4350 ใช้ตัวขับเสียงลูกผสม (Compression Horn+ Woofer + crossover 3-4 ทาง)เพื่อรับมือกับเพลงRock ในห้องอัดเสียง โดยให้เสียงที่ Flat มากกว่า Altec 604 /JBL 4311และมี Variable Network ที่ง่ายต่อการSetupกับสภาพห้องบันทึกฯ มันจึงกลายเป็นผู้ครองตลาดอันดับหนึ่งในห้องบันทึกเสียง ตั้งแต่นั้นมาอีกร่วมๆ 10ปี
ปลายยุค '70-ต้นยุค'80 .. Nearfield.Mini Monitor ประเภท YAMAHA NS10 เริ่มถือกำเนิดและเพิ่มความนิยม ..ออกมาแข่งขันด้วย... มันจะเป็น..Jack ผู้ฆ่ายักษ์... หรือปล่าว?.......

ลำพัง ไอ้หนูวางหิ้ง อย่าง YAMAHA NS 10 ไม่มีทางจะให้เสียงสู้อะไรได้กับ JBL 4333 ลำโพงตั้งพื้นขนาดWoofer 15" เจ้าแห่งEnergy ของเพลงRock....แต่แฟนเพลงโจ๋ขาRock ต่างหาก ที่มาช่วย NS 10 ไว้...
ปลายทศวรรษ 70 The Beatles และผองเพื่อนวงRockร่วมสมัย ได้เปลี่ยนตลาดเพลงให้ไปอยู่ในกำมือของวัยรุ่นทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว...วัยรุ่น(อเมริกา)เสพย์เสียงเพลงง่ายๆจากวิทยุในบ้าน ในรถยนต์หรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงCompack ราคาไม่แพง (ส่วนพ่อแม่จมอยู่กับเครื่องเสียงและลำโพงขนาดใหญ่ในบ้าน) ตามด้วยวิทยุ-เทป กระเป๋าหิ้ว ยอดฮิตของวัยรุ่น ที่ระบาดออกมาฆ่า Tape Reel ในบ้านจนแทบสูญพันธุ์....

ตลาดเพลงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ก่อให้เกิดห้องอัดเสียงเฉพาะกิจ แบบ Home studio ขึ้นมากมายทั่วโลก เพื่อตักตวงผลประโยชน์และสนองความต้องการอันล้นหลามของวัยรุ่น Home studio ที่ไม่อยากลงทุนมากไปกับการปรับปรุงสภาพAcoustic ของห้องอัด และ อุปกรณ์ราคาแพง.. อีกทั้ง Studio บันทึกเสียงฯ เริ่มแข่งกันเอาใจวัยรุ่น โดยหา ลำโพง ที่จะสามารถจำลองสภาพเสียงจริงๆของเครื่องเสียงแบบกระป๋อง ที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ใช้ฟังกันอยู่ในโลกจริง..เพื่อให้Sound Engineer ได้Mixเสียงไห้โดนใจโจ๋ ฟัง CCRได้มันส์ทั้งวัน โดยไม่สนใจว่ามันจะมีอะไรมากไปกว่านี้.....
Yamaha NS10 Near Fields Small Monitor....คือคำตอบที่ Studio ทั้งหลายมองหา เพราะมันให้เสียงในบุคลิกเดียวกันกับ ลำโพงทั่วๆไปแบบที่ ใช้ฟังกันในบ้าน หรือ รถยนต์ ของคนส่วนใหญ่...เครื่องเสียงกระป๋อง และ วิทยุ/เทป กระเป๋าหิ้ว....! อีกทั้งการSetup ลำโพงในห้องบันทึกแบบ Near Fields ก็ช่วยตัดปัญหาการก้องสะท้อนของห้องบันทึกฯ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ของพวก Home Studio ได้เป็นอย่างดี ....นี่คือมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมเพลง ! 

  พอถึงทศวรรษ '80 Studio ใหญ่ๆทั่วโลกก็ล้วนมี ลำโพง Monitor 2 ชุดด้วยกันทั้งนั้น Main Monitor และ Near Fields Monitor...ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนบันทึกและ Mix เสียงโดย Near Fields Monitor.ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว
เจ้ายักษ์ JBL เหลือหน้าที่เพียงไว้สาธิตให้นักดนตรีฟังEnergyในย่านเสียงต่ำๆเท่านั้น

  ถึงตรงนี้ลำโพงแบบกรวย(CONE) ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างมากมาย จนคิดกัน(ในสมัยนั้น)ได้ว่ามันสามารถมาทดแทน Compression Horn เสียงกลางของ JBL ได้แล้ว ....นั่นจึงเป็นจุดจบอย่างแท้จริงของ ยักษ์ใหญ่ JBL 4333 และเพื่อนๆของมัน ในห้องบันทึกเสียง ที่ได้ทั้งเกิดและตายเพราะเพลงRock
การตายของ JBL.ในห้องบันทึกเสียง กลับเป็นการอยู่อย่างมั่นคงของ B&W 801 , Dunlavy , Wilson หรือ ATC ที่มีจุดแข็งในบุคลิกของเพลงประเภท Classic มันจึงยังยืนหยัดอยู่ได้ในห้องบันทึกเสียงใหญ่ๆหลังยุค JBL ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน คือ... ขาโจ๋ ไม่ชอบฟังเพลงClassic
ปัจจุบัน NS10เริ่มจะถูกแทนที่ด้วย Near Fields Monitor ในยุคหลังๆอย่าง Genelec หรืออื่นๆ อาทิ Tannoy, Mackie,Alesis หรือกระทั่ง JBL ! 
มาตรฐานในการบันทึกเสียงในแบบNearFields ปัจจุบันถูกลดลงอย่างมากมายจากยุค'80 สาเหตุใหญ่จาก พวก Home Studio ที่เน้น Project ด้วยระยะเวลามากกว่าคุณภาพในการบันทึกเสียง
JBL หลังตกต่ำจากยอดการขายในStudio ก็หันมาบุกตลาดบ้าน Consumer ด้วย JBL L100 ที่ใช้เทคโนโลยี่ Studio Monitor มาดัดแปลง จนขายระเบิดเถิดเทิงไปทั่วโลก...เพราะมันเล่นเพลง Rock อย่างมีEnergy .....ตามด้วย Hi end ในยุคนั้น L300 และน้องๆของมัน ที่เอา JBL4333 มาเปลี่ยนตู้และ Network ออกขายให้ผู้ฟังในบ้าน แต่ด้วยราคาสูงสวนกระแสแบบนั้น .....800$สำหรับ L100 และ 3000$สำหรับ L300 ในสมัยนั้น(1980) มันจึงอยู่ในตลาดแข่งขันได้ อีกสิบกว่าปี ก็ตองขายกิจการไปเพราะทนการแข่งขันด้านราคา กับพวกลำโพงวางหิ้งไม่ใหว
ปัจจุบัน ญี่ปุ่น ได้สิทธิ์ และ ผลิตขายทั้งในแบบ Professional (งานแสดงดนตรีสด) หรือ Consumer ทั่วๆไปในบ้าน รวมทั้งลูกหลานของ JBL 4333 ที่ได้ปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ แล้วนำออกมาขายใน Series Hi End ใหม่ๆจนทุกวันนี้
 
วันนี้หลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่ JBL ไม่เคยเปลี่ยน และไม่เหมือนใคร คือ..ENERGY.


http://www.audio-teams.com/webboard/?ca1=16&id=101523


64
ยินดีต้อนรับท่านสู่โลกใหม่แห่ง เกม ออนไลน์ “แพนเจีย” (Pangea)

โลกที่เคยมีเหล่าทวยเทพมาอยู่ร่วมกับมนุษย์

อารยะธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สาบสูญ

มีปริศนามากมายที่รอคอยผู้มาเปิดเผย

รางวัลสูงค่าที่ท่านนึกไม่ถึง

---------------------------------------------------------------------------
โลกแห่ง แพนเจีย ประกอบด้วย 5 ทวีป ทีรอคอยการผจญภัยของท่าน

1.อัสการ์ด(Asgard)

2.อีเดน (Eden)

3.ไททัน (Titan)

4.ซิปัง (Zipang)

5.หิมพานต์ (Himaparn)

ในแต่ล่ะทวีปมีเมืองใหญ่ๆนับร้อยๆเมือง เมืองขนาดกลางและเมืองขนาดเล็กอีกนับหมื่นๆเมือง มีพื้นที่ให้ท่านสำรวจและผจญภัยนับเป็นล้านล้าน ตารางกิโลเมตร ท่านสามารถเลือกที่จะเป็นนักผจญภัยที่ตะลุยไปทั่วโลก หรือถ้าท่านพร้อมท่านสามารถสร้างเมืองของท่านเองขึ้นมาได้ ทุกอย่างไม่มีข้อจำกัดใน แพนเจีย

เรามีโลกที่สวยงามและอันตรายรอคอยท่าน ไม่ว่าจะเป็นโลกหิมะอันหนาวเหน็บ ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ป่าดิบอันน่าสะพรึงกลัว  และหลายอย่างที่ท่านยังไม่เคยจินตนาการ ทุกอย่างเป็นไปได้ใน แพนเจีย

เชิญเข้าไปเปิดอ่านตามลิงค์ข้างล่างนะครับ
 
http://writer.dek-d.com/jojoro/story/view.php?id=580483



65
วันนี้กระปุกดอทคอม มีเรื่องราวจากประสบการณ์ในชีวิตจริงของ คุณ elen  แห่งเว็บไซต์พันทิป ที่อนุญาตให้นำมาบอกเล่าต่อให้ฟังกันค่ะ โดยก่อนหน้านี้ คุณ elen  เป็นเด็กหนุ่มที่เกเร ไม่สนใจการศึกษาเล่าเรียน แต่แล้วหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตกลับพลิกผันให้ คุณ elen หันมาสนใจการเรียน จนกระทั่งเข้ามาแบกรับภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัว และสามารถทำหน้าที่ลูกกตัญญูได้อย่างดีเยี่ยม หากได้ฟังเรื่องของคุณ elen แล้ว เชื่อได้เลยค่ะว่าจะช่วยเตือนใจ หรือเป็นประโยชน์ให้ใครหลาย ๆ คนได้อย่างดีทีเดียว

         โดยคุณ elen ได้ระบายความในใจของชีวิตตัวเองผ่านกระทู้เว็บไซต์พันทิปว่า ครอบครัวของเขามีทั้งหมด 5 คน คือ คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว ตัวคุณ elen เอง และน้องชาย ซึ่งลูก ๆ ทั้งสามคนได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นและใกล้ชิด ในสมัยเป็นวัยรุ่น ตัว คุณ elen เอง เป็นเด็กเกเร เที่ยวไปตั้งแก๊งค์ซิ่งมอเตอร์ไซค์กวนชาวบ้านกับเพื่อน ๆ อยู่เป็นประจำ และคุณแม่ก็มักจะมาตามให้กลับไปเรียนหนังสือแทบทุกวัน จนได้เรียนจบ ขณะที่ตัวพี่สาวเป็นเด็กเรียนดี สามารถสอบติดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ และเมื่อจบมาแล้วก็ได้ทำงานมั่นคงในบริษัทแห่งหนึ่ง เช่นเดียวกับน้องชายที่เป็นเด็กดีมาก ตั้งใจเรียน ไม่เคยทำตัวเกเรเหมือนที่ คุณ elen เคยเป็นแม้แต่น้อย กระทั่ง...น้องชายได้เข้ามาเรียนที่เทคนิคกรุงเทพฯ ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนเสียงดัง ใจกล้าบ้าบิ่น เอากินแต่เหล้า และอยู่แต่กับเพื่อน ๆ

         และก็มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งแรกของครอบครัวนี้ เมื่อคุณพ่อล้มป่วยกะทันหัน ไม่สามารถทำงานได้อีก แต่ยังโชคดีที่ครอบครัวได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากบริษัทของคุณพ่อทุก ๆ เดือน คุณแม่จึงนำเงินก้อนนี้ไปจ่ายค่าบ้านที่เพิ่งจะปลูกเสร็จใหม่ ๆ หลังจากคุณพ่อล้มป่วย คุณ elen เอง ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยความสงสารคุณแม่ เขาตัดสินใจหางานทำ เมื่อได้เงินมาก็แบ่งรายได้ส่วนใหญ่ให้กับคุณแม่ พอเริ่มมีเงินเก็บได้ก็ไปลงเรียนภาคค่ำ ทำงานไปด้วย เรียนหนังสือไปด้วย เลิกเรียนหนังสือก็จะกลับมาดูแลคุณแม่ และคุณพ่อที่ถึงแม้ล้มป่วย แต่ก็ยังเดินได้บ้าง

         สำหรับตัวน้องชาย ก็หมั่นสร้างปัญหาให้ที่บ้านไม่น้อย เพราะชอบไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสถาบันอื่น รวมทั้งมีปากเสียงกับอาจารย์จนถูกไล่ออก ทำให้คุณแม่และพี่สาวเศร้าใจมาก และช่วยหาที่เรียนใหม่ให้ แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับกลุ่มเพื่อนที่เทคนิคกรุงเทพฯ อยู่ประจำ

         "ช่วงเวลาที่เรียนตัวของน้องชายก็ยังไปมาที่เทคนิคกรุงเทพเหมือนเดิม คือไปกินเหล้าและแบ่งบารมีว่าข้าแน่ ข้าเก่ง จนเกิดเรื่องจนได้..คือไปขอหัวเข็มขัดเด็กโรงเรียนหนึ่ง แต่ตอนวิ่งหนีดันโง่ไม่ดูทางโดน รปภ.ของห้างจับได้ส่งไปที่สถานีตำรวจ โดยตำรวจโทรมาที่บ้านโชคดีที่เจ้าตัวไม่เอาเรื่อง แต่ผมทนไม่ได้ที่เห็นคุณแม่ต้องร้องไห้ยืนเกาะลูกกรงที่น้องมันโดนขัง จึงบอกน้องว่าทำอะไรทำไมไม่คิด...น้องตอบผมว่า มึงไม่ต้องเสือกเรื่องของกู มึงคนดี กูมันเลว..."

         คุณ elen เล่าต่อว่า ได้ช่วยจ่ายค่าปรับเพื่อประกันตัวน้องชายออกจากคุก โดยระหว่างทางกลับบ้าน คุณแม่จะสั่งสอนน้องตลอดเวลา แต่น้องชายก็เพียงแค่รับฟังแต่ไม่ทำตาม เพราะเมื่อกลับถึงบ้าน น้องชายตัวดีก็ยังออกไปกินเหล้ากับเพื่อน ฉลองความใจเด็ดของตัวเองอีก และช่วงหลังก็เริ่มไม่ไปเรียนหนังสือ เพราะคิดว่าสิ่งที่เรียนไปไม่สามารถเอาไปใช้ทำงานได้

         "ตัวคุณแม่ พี่สาวและผมเองก็ไม่อยากจะคาดหวังอะไรแล้ว เพราะเราพยายามพูดให้เข้าใจว่าคุณพ่อป่วย ทุกครั้งที่คุณพ่อป่วย และต้องเข้าโรงพยาบาลผมจะขอเจ้านายทำ OT เพิ่ม เพื่อที่จะพยายามให้คุณแม่ใช้เงินก้อนที่บ้านน้อยที่สุด โดยส่วนใหญ่จะช่วยกัน 2 คนก่อนคือผมและพี่สาว หากขาดเหลือก็จะขอให้คุณแม่ช่วยออกเงินค่ารักษา (หลักหมื่นบาท) ผมกับพี่สาวก็จะสอนน้องชายว่าเราต้องทำตัวให้ดีไม่ให้คุณแม่กลุ้มใจ และต้องเรียนหนังสือเพื่อช่วยเหลือครอบครัว...แต่ความคิดของน้องชายคือตัวของฉันเรื่องของฉัน..และเพื่อนฉันเท่านั้นที่สำคัญและคิดว่าก็ทั้ง 3 คนช่วยกันแล้วไง ทำไมฉันต้องมาช่วยอีก...."

          และแล้วจุดหักมุมอีกครั้งของครอบครัวก็มาถึง ในกลางดึกของคืนวันหนึ่ง

         "..ผมนอนหลับอยู่ ๆ มีเสียงโทรศัพท์จากน้องชายโทรมาบอกว่า พี่สาวติดคุก.!!!!!!!!!! เพราะยักยอกเงินบริษัทฯ จำนวน 3 ล้านบาท หลังจากที่น้องชายวางสายไป ผมก็นั่งงง ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงและเงินมากมายขนาดนั้นมันเอาไปใช้อะไร เพราะทุกครั้งที่ครอบครัวต้องใช้เงินมาก ๆ เพื่อรักษาคุณพ่อ เราก็จะหารกันเสมอ โดยผมต้องอดหลับอดนอนเพื่อทำ OT มันคิดไปต่าง ๆ นานา ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะอะไร และอะไรดลใจให้ทำแบบนั้น"

         "วันรุ่งขึ้นผมลางานตรงไปหาพี่สาวที่อยู่ในคุก!! ก่อนจะพบพี่สาว ในหัวของผมมีแต่ภาพของคุณพ่อที่ภูมิใจในตัวลูกที่จบจากสถาบันอันดับหนึ่งของประเทศแต่ ณ เวลานี้ กลับเอาความรู้ที่มีมาทำร้ายตนเอง รวมถึงคนในครอบครัวอย่างแสนสาหัส... เมื่อพบหน้าพี่สาวก็เอาแต่เศร้าไม่พูด ผมได้แต่ถามว่าจะให้ทำอย่างไร พี่สาวบอกเพียงว่าอย่าบอกให้คุณแม่รู้เดี๋ยวคุณแม่เสียใจ...ด้วยอารมณ์โกรธจัด ผมจึงด่าออกไปอย่ารุนแรง และถามว่าทำไมตอนทำไม่คิด ทำไมไม่นึกถึงเค้าตอนคิดจะทำเรื่องชั่ว ๆ ...ผมก็ไปคุยกับตำรวจ ท่านบอกว่าหากจะประกันตัวต้องใช้ข้าราชการระดับซี 8 (มั้ง) หากเป็นเงินก็ 4 แสนบาท แล้วผมจะไปหามาจากไหน จนสุดท้ายต้องให้คุณแม่ช่วยจนได้ โดยท่านไม่ลังเลที่จะถอนเงินก้อนสุดท้ายที่ตั้งใจจะเก็บไว้รักษาคุณพ่อมาประกันตัวพี่สาวออกจากคุก..."

         "ผมมองหน้าคุณแม่ตลอดเวลา ผมเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ว่ารักลูกเพียงใด ที่ผมมองท่านเพราะผมเสียใจเหลือเกินที่ความเจ็บปวดครั้งนี้เกิดขึ้นจากคนที่ท่านรักมากที่สุด นั่นคือลูกของท่านเอง ผมพยายามจะบอกคุณแม่ว่า ไม่ต้องห่วงนะ ลูกคนนี้จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและจะอยู่ข้าง ๆ คุณแม่เสมอนะ มันทำให้ผมมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผมเกเร ไม่เอาใจใส่ครอบครัว สนใจแต่กลุ่มเพื่อน แต่วันนี้ใจผมคิดถึงแต่ครอบครัว คิดถึงแต่คุณพ่อคุณแม่อย่างเดียวเท่านั้น บางทีก็นึกโทษฟ้าดินว่า มันอะไรกันนักหนาวะ...แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เกิดจากการกระทำของตัวบุคคลล้วน ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโชคชะตาแต่ประการใด"

         แต่แล้ว ปัญหาของครอบครัวนี้ก็ยังไม่จบ เมื่อพี่สาวได้สร้างเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง

         "หลังจากที่ประกันตัวออกมา พี่สาวก็มาประจบประแจงแม่มากขึ้น ส่วนน้องชายก็เอาแต่เบ่งบารมีกับรุ่นน้องและกินเหล้าอย่างกับเททิ้ง ไม่ใช่ว่าไม่พูดนะครับ คุณแม่ทั้งบอกทั้งขอร้องทั้งบังคับให้น้องชายกลับไปเรียนให้จบและกินเหล้าให้น้องลง เมื่อใจคนมันจะไม่ทำจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรก็แก้ไขไม่ได้... พี่สาวหลังจากหมดสิทธิ์ทำงานประจำก็มาเอาดีทางขายประกันและทำท่าว่าจะขายดี"

         "หลายท่านยังคงสงสัยว่าเงิน 3 ล้านมันไปใช้ทำอะไร เชื่อมั้ยครับว่าจนปัจจุบันนี้ ผมยังไม่เคยทราบข้อมูลเลยว่าเอาไปใช้อะไรที่ไหน..เพราะมันไม่เคยเอ่ยปากออกมาเลย ตัวเจ้าของเงินเค้าก็ไปขึ้นศาลพร้อมพี่สาวโดยให้ผ่อนขึ้นต่ำเดือนละ 20,000 บาท พี่สาวก็ตกลง จนเกิดเรื่องอีกด้วยความที่กดบัตรนั้นมาโปะบัตรนี้ทำให้เป็นหนี้มากมายอีกแล้ว....ด้วยความที่ประจบคุณแม่จึงขอร้องให้คุณแม่ไปยืมเงินน้องสาวของท่านที่มีตังค์เยอะ ๆ มาโปะหนี้บัตรเครดิต โดยให้เหตุผลว่าจะได้ใช้หนี้อาอี้เพียงคนเดียว (กับผ่อนส่งบริษัทฯ เดือนละ 20,000 บาท)"

         "น้องสาวแม่ก็ยอมให้ยืม เพราะพี่สาวรับประกันให้ว่าคืนแน่ โดยพี่สาวบอกว่าจะคืนเงินก้อนให้ทั้งหมดภายใน 6 เดือน (ยืมมา 400,000 บาท) เรื่องยืมเงินผมมารู้ทีหลัง ก็ดุคุณแม่ไปเยอะที่ไปช่วยในสิ่งที่ไม่ควร แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวของพี่สาวคุณแม่จึงโดนหลอก..เอากันเข้าไป อีกคนสร้างหนี้ไม่หยุด อีกคนกินเหล้าไม่หยุดเช่นกัน.. จนถึงเวลากำหนด พี่สาวผมก็แสดงความรับผิดชอบโดยการไม่รับโทรศัพท์ของอาอี้เลยสักครั้ง ทำให้อาอี้โกรธมากและโทรไปต่อว่าคุณแม่ ซึ่งผมเคยบอกคุณแม่แล้วว่า คุณแม่ไปหลงกลลูกสาวตัวเองคุณแม่ต้องรับผิดชอบนะ...ผมก็เลยไม่ยุ่ง (ผมก็เลวกับคุณแม่อีก) แต่การโทรของอาอี้นั้นได้ลามมาถึงผมแล้ว ผมจึงต้องเดือดร้อนสิครับ และชักไม่ไหวแล้วที่มานั่งฟังคนอื่นต่อว่าแม่ของตัวเองให้ฟัง...อาอี้ให้เหตุผลว่า...เงินที่พี่สาวเอาไป แม่ของผมเป็นคนรับปากให้ในเมื่อไม่มีเงินมาจ่ายก็ให้เอาโฉนดที่บ้านมาวาง...ผมอึ้งเลยครับ...ญาติกันเล่นกันเองแล้ว..ยอมรับครับว่าไอ้พี่สาวตัวแสบมันเลวที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์เค้า เค้าถึงตามมาถึงคุณแม่...จนลามมาถึงผม คุณแม่ผมท่านร้องไห้ทุกวัน..และเฝ้าโทรหาแต่ลูกสาวว่าให้เอาเงินไปคืนเค้า..พี่สาวก็รับปากว่าจะขายรถและเอาเงินไปคืนอาอี้..."

         "ตามที่พี่สาวพูดครับ รถขายจริง ๆ แต่เงินยังไม่ได้ไปให้อาอี้ เพราะพี่สาวอ้างว่าเงินอยู่ในบัญชี คุณแม่ก็ร้อนใจมาก ๆ ที่ไม่ยอมเอาเงินไปให้อาอี้ ผมก็พยายามตามสุดความสามารถ จนลากพี่สาวมาที่บ้าน เพื่อมาไขข้อข้องใจว่าทำไมไม่โอนเงินให้อาอี้...พี่สาวตอบสั้น ๆ ครับ เงินไปใช้หนี้หมดแล้ว... ผมวูบเลยครับ และมองหน้าคุณแม่ทันที คุณแม่ท่านร้องไห้ท่านเสียใจมาก ผมเสียใจอย่างที่สุดที่คนในครอบครัวเดียวกันมาหลอกกันแบบนี้ ผมเกลียดพี่สาวเหลือเกิน...รวมถึงน้องชายขี้เหล้าที่ไม่เคยสนใจและให้ความช่วยเหลืออะไรที่บ้านเลย...."

         "ทุกวันผมเห็นคุณแม่ท่านร้องไห้ตลอด เพราะท่านกลุ้มใจเรื่องพี่สาวมาก (ส่วนเรื่องน้องชายมันกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ไปแล้วครับ) จนกระทั่งน้องสาวคนเล็กของแม่โทรมาบอกผมว่า อาอี้เค้าจะเอาโฉนดที่บ้าน...ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาอาอี้ด้วยตนเอง...ผมบอกอาอี้ให้เข้าใจว่าโฉนดบ้านยังไงก็ให้ไม่ได้เพราะมันไม่เกี่ยวกับหนี้สิน และราคามันก็ต่างกันมาก อาอี้ก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้นจะเอาตังค์คืนอย่างเดียว ผมจึงขอร้องว่าอย่าโทรไปต่อว่าคุณแม่ผมเลยผมขอร้อง อาอี้ก็พูดแต่ว่าก็พี่สาวแกไม่รับโทรศัพท์แล้วจะให้โทรไปหาใคร ตัวผมเองก็คิดว่าหลายวันแล้วครับว่าต้องทำอย่างไร จึงตัดสินใจบอกอาอี้้เลยว่า หนี้สินทั้งหมดที่พี่สาวไปยืมอาอี้มา และที่แม่เป็นคนค้ำ ผมขอรับผิดชอบเอง ผมเลือกเพื่อที่จะให้แม่สบายใจ ผมเลือกที่จะให้แม่เบาใจ และผมเลือกที่จะยืนอยู่ข้าง ๆ คุณแม่เสมอ ท่านเดือดร้อนผมจะนิ่งได้อย่างไร...ผมทำไม่ได้จริง ๆ"

         ในที่สุด คุณ elen ก็ตัดสินใจแบกรับภาระหนี้สินของพี่สาวเองทั้งหมด

         "ผมรับหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อมาไว้ในอ้อมอก...ตัวพี่สาวผมไม่พูดถึงแล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์ การศึกษาไม่ได้ทำให้คนดีขึ้นเลย ผมนำเรื่องที่ผมจะชดใช้เงินคืนอาอี้ไปบอกคุณแม่ ท่านร้องไห้เยอะมาก ท่านเสียใจที่ทำให้ผมต้องเดือดร้อน ...ณ เวลานั้นผมคิดถึงแต่ช่วงเวลาที่ผมทำตัวเลว ๆ เกเร ๆ ผมบอกคุณแม่ว่า ผมโตแล้ว ผมจะดูแลครอบครัวของเราเอง ผมจะไม่ทิ้งคุณแม่ไปไหน ผมจะเป็นกำลังใจให้ท่านเอง..."

         เวลาผ่านไปไม่นาน ครอบครัวของ คุณ elen ก็ยังได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง

         "แต่แล้วมันก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตแบบยิ่งใหญ่ที่สุด คุณแม่ท่านทรุดป่วยลงกะทันหัน และระยะเวลาภายใน 3 เดือนท่านก็จากผมไปอย่างไม่ทันตั้งตัว และขณะเดียวกันคุณพ่อก็ทรุดลงกะทันหันทันที หากนึกภาพไม่ออกผมจะบอกว่า ทุก ๆ คืนหลังจากงานศพคุณแม่ พระท่านสวดเสร็จผมต้องรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อจะไปดูอาการของคุณพ่อที่ห้อง ICU ลองนึกดูแล้วกันครับว่าใจผมจะอยู่ในอารมณ์ไหน???????"

         "หลังจากเสร็จงาน คุณแม่ก็มีเงินประกันที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนของลูกทั้งสามคน โดยส่วนของผมผมเก็บไว้เพื่อรักษาคุณพ่อ ส่วนของพี่สาวและน้องชายอยู่รวมกัน ซึ่งผมคิดเองว่า พี่สาวผมคงจะแยกแยะออกว่าอะไรควรหรือไม่ควร แล้วมันก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ เพราะเงินส่วนของน้องชายที่อยู่กับพี่สาวได้หายไป.......หายไปไหน......คำตอบเดิม ๆ ครับ ใช้หนี้.......ไอ้เลวววววววว มันจะเลวไปถึงไหน ผมยอมรับว่าน้องชายถึงมันจะเอาแต่กินเหล้าไม่รับผิดชอบ แต่มันยังมีความสุจริตติดตัว ถือว่ายังมีดีอยู่บ้าง..."

         "ตลอดเวลาคุณท่านก็ไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเลย...จนกระทั่งวันตรุษจีน หลังจากที่ผมและพี่สาวได้มาไหว้ตรุษจีนแทนคุณแม่เป็นที่เรียบร้อย ก็เข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ ตลอดเวลาท่านจะหลับเสมอ แต่เพียงแค่ได้เห็นหน้าท่านผมก็น้ำตาไหลแล้วครับ ใจคิดเสมอว่า คุณพ่อท่านยังสู้ขนาดนี้แล้วเราจะท้อได้ไง...วันนั้นอะไรดลใจไม่ทราบ กราบคุณพ่อและผมก็นำสายสิญจน์ของหลวงพ่อโสธรที่ใส่ติดตัวมาตลอดมาใส่ไว้ที่ข้อมือท่านแทน และไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้นำพาท่านไปอย่างสงบ...ผมออกมาจากห้อง ICU ตอน 11.30 น. พยาบาลโทรมาหาตอน 12.00 ว่าท่านจากไปอย่างสงบแล้ว...."
         
         "ผมรีบกลับมาที่โรงพยาบาล และตรงไปกราบท่านที่เท้าของท่านที่ผมมักจะหอมเล่นเสมอ..ยอดดวงใจของลูกได้จากผมไปอีกแล้ว....ภาพในอดีตของคุณพ่อคุณแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัวตลอดเวลา ใจผมนึกอย่างเดียวว่าจะต้องเข้มแข็งและจัดเตรียมงานของท่านให้ดี..."

         "หลังจากเสร็จสิ้นงานคุณพ่อแล้ว ก็มีการคุยกันของพี่น้องทั้งสามคน... ผมถือว่าเป็นพี่ชายคนโตจึงขอพูดถึงเรื่องต่าง ๆ ของบ้านว่าจะเอาอย่างไร โดยบ้านให้น้องชายอยู่เป็นหลัก (ผมจะอาศัยอยู่ที่คอนโด) ส่วนพี่สาวจะไม่ได้รับสิทธิ์อะไรในบ้านหลังนี้เลย ตามความต้องการของคุณแม่ที่ท่านเคยบอกผมไว้คือ บ้านและที่ดินให้ใช้ชื่อผมกับน้องเท่านั้น เพราะพี่สาวได้ใช้เงินที่บ้านไปเป็นจำนวนมาก และอย่าทิ้งน้อง ถึงมันจะเลวยังไง มันก็เป็นน้องดูแลมันด้วย นี่คือ 2 ข้อที่คุณแม่สั่งผมไว้..."

         "การพูดคุยกันแบบพี่น้อง ผมขอให้ทุกคนลืมเรื่องอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด แล้วมาเริ่มชีวิตกันใหม่ โดยหนี้สินที่ก่อไว้ให้จัดการตนเอง แต่หากช่วงแรก ๆ ไม่ไหวผมก็ยังพร้อมจะช่วยอยู่ (หนี้ผ่อนอาอี้) และต้องปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และรู้ไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่เค้ามองเราอยู่เสมอ"

         "และด้วยสิ่งที่คุณแม่สั่งไว้ผมต้องปฎิบัติตาม ผมจึงถามน้องว่า ตอนนี้ขาดเหลืออะไรและอยากได้อะไร (ผมกับน้องชายก่อนหน้านั้นแทบจะไม่คุยกันเลยครับ) น้องขอรถมอเตอร์ไซค์แบบบิดได้ 1 คัน ผมเลยบอกว่าจะดาวน์ให้แล้วไปผ่อนเองโดยชื่อใส่เป็นของน้องไปเลยในเล่มจดทะเบียน..แต่ผมไปดูแล้วดอกเบี้ยมันโหดมาก เลยเปลี่ยนเป็นซื้อสดให้และมาผ่อนกันเองทีหลัง จริง ๆ แล้วถ้าผ่อนให้ก็ดี จะไม่ผ่อนก็ไม่ว่าอะไรเ พราะผมถือว่าตลอดชีวิตผมไม่เคยซื้อของอะไรให้น้องชายเลย..."

         "ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่จากไป ผมยังคงร้องไห้บ่อยมาก ๆ นั่นเพราะความคิดถึงและรักท่านมาก หลาย ๆ ครั้งที่ผมไปหาน้องสาวคนเล็กของคุณแม่เพื่อถามท่านว่า ที่ผมดูแลพ่อกับแม่ ผมทำดีแล้วหรือยัง? ผมเป็นลูกที่ดีมั้ย? ผมทำให้ท่านภูมิใจหรือเปล่า? คำตอบที่ผมได้ฟังคือ คุณแม่จะพูดให้น้องสาวคนเล็กของท่านฟังตลอดว่า ตั้งแต่คุณพ่อป่วยก็มีผมเนี่ยแหละที่สามารถดูแลทุกอย่างแทนคุณพ่อและช่วยเหลือทุกอย่าง.... พอมันได้ยินได้ฟัง ก็ร้องไห้หนักมากกกกกกกกก ผมดีใจครับ ผมดีใจมากที่เด็กเกเรแบบผม สามารถตอบแทนบุญคุณท่านได้"

         "ผมมักจะพูดกับตนเองเสมอว่า ลูกทั้ง 3 คน ถึงจะเกเร (มาก) ถึง 2 คน แต่ตัวผม ผมถือว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านประสบความเร็จสูงสุดในชีวิตคู่ ที่ท่านสามารถทำให้ผมรักท่านได้มากมายขนาดนี้ รวมถึงให้ความรักและความใส่ใจอย่างสุดความสามารถเท่าที่ใจผมจะทำได้ ...พ่อกับแม่ผมเรียนไม่สูง แต่ท่านมีความรักที่สูงส่งมากและเป็นความรักที่บริสุทธิ์รวมถึงให้แต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต ทำให้ผมเข้าใจคำว่า ชีวิตที่คุ้มค่านั้นเป็นอย่างไร บางคนอาจจะคุ้มค่าในแบบอื่น เช่น ท่องเที่ยว เล่นอะไรที่หวาดเสียว แต่กับผมคำว่าคุ้มค่าคือ การที่เราได้พบเจอปัญหาและอุปสรรคนานับประการมาอย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งมันทำให้เราเข้าใจถึงคำว่า ชีวิต ที่แท้จริง...."

         เรื่องราวข้างต้นเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของ คุณ elen และปัจจุบันนี้ คุณ elen ก็ยังคงทำงานที่เดิม ส่วนพี่สาวก็เริ่มดีขึ้น หากแต่น้องชายยังคงมีสภาพไม่ต่างไปจากเดิม

         "หลายท่านอาจอยากรู้ว่าปัจจุบันพี่น้องและตัวผมเป็นยังไง พี่สาวผมโชคดีมากมีคนเซ้งกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวให้ และขายดีมาก น้องชายผม บ้านที่เคยอบอุ่นวันนี้มีแต่ขวดเหล้าขวดเบียร์เต็มไปหมด บางวันขนเพื่อนมาถล่มซะเต็มบ้าน บางครั้งผมโกรธมากครับที่ทำแบบนี้ แต่ผมก็เข้าใจครับว่า ทุก ๆ คนเสียใจกับการจากไปของคุณพ่อกับคุณแม่ น้องชายผมเค้าเลือกกลุ่มเพื่อน ๆ มาช่วยกลบความเศร้า ส่วนผมระบายความเสียใจกับการท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ เหมือนให้ตัวเองมีแรงกลับมาอีกครั้ง ตัวผมเองปัจจุบัน กำลังทำสงครามกับเจ้านายที่เอาเปรียบและเห็นแก่ตัวอยู่ และกำลังตั้งความหวังว่า การที่คุณพ่อและคุณแม่ท่านไปสวรรค์ อาจะเป็นการบอกผมเป็นนัย ๆ ก็ได้ว่า ถึงเวลาที่ลูกจะได้ทำอะไรที่ตัวเองต้องการได้แล้ว (เพราะตลอดเวลา 13 ปี ผมยอมเหนื่อยอย่างมาก และไม่ยอมย้ายไปไหนยอมให้หัวหน้าโขกสับ เพราะผมต้องการเงินมารักษาคุณพ่อคุณแม่)

         "และที่สำคัญหลังจากที่คุณพ่อและคุณแม่ท่านจากไป ของใช้ทุกชิ้นของท่านได้นำส่งถึงบุคคลท่านอื่นที่เป็นประโยชน์ หากท่านใดยังจำได้ ผมบริจาคของใช้ทุกอย่างฟรี ตั้งแต่สำลีจนถึงเตียงปรับระดับ ของเหล่านี้ปัจจุบันได้ส่งถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในห้องพันทิปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดีใจครับอย่างน้อยก็สามารถใช้ประโยชน์กับบุคคลท่านอื่น ๆ ได้"

         "...เชื่อผมเถอะครับ บอกรักคุณพ่อคุณแม่บ่อย ๆ กอดท่านบ่อย ๆ กราบท่านบ่อย ๆ และพยายามตอบแทนบุญคุณท่านให้ถึงที่สุด ผมเสียใจที่่ท่านจากผมไป แต่ผมก็ยิ้มทุกครั้งที่คิดถึงท่าน นั่นเพราะผมได้มีโอกาสดูแลท่านอย่างดีที่สุด จนวินาทีสุดท้าย  สุดท้ายนี้ผมขอให้ลูก ๆ ทุก ๆ คน ที่กตัญญูกับพ่อแม่ มีแต่ความสุข ความเจริญครับ"

         "กำลังใจผมเต็มเปี่ยมครับ..ทุกวันนี้ผมมีปัญหาเดียวคือ ผมจะเอาเงินเดือนไปทำอะไร..เพราะทุก ๆเดือนผมจะเหลือเงินไว้ใช้เองประมาณ 3 พัน เป็นแบบนี้มาเกือบ 10 ปีแล้วครับ ที่เหลือให้คุณแม่หมดเลย ตอนนี้เงินส่วนต่างก็เก็บไว้ตามปกติในบัญชีที่ผมเปิดไว้เพื่อรักษาคุณพ่อ และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอครับ"

       คุณ elen ยังบอกอีกว่า "ทุกวันนี้ผมทำบุญบ่อยครับ และทุกครั้งจะอธิษฐานให้ท่านทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรง มีแต่ความสุขความเจริญ และรักกันมาก ๆ อยู่บนสวรรค์... ผมต้องการแค่นี้เองจากการทำบุญ บางครั้งผมอยากฝันถึงท่าน...แต่ท่านไม่เคยมาเข้าฝันเลย ดันไปเข้าฝันเพื่อน เพื่อนผมบอกว่า "เมื่อคืนฝันถึงคุณพ่อผม" สิ่งแรกที่ผมถามคือ ท่านเดินมาหาใช่มั้ย ท่านเดินได้ใช่มั้ย นั่นเพราะช่วงเวลา 3 ปีสุดท้ายท่านไม่สามารถเดินได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เพื่อนบอกว่า พ่อพี่เดินมา และให้ผมบอกพี่ว่า เค้าสบายดี!!! เพียงเท่านี้ใจก็เป็นสุขที่สุดแล้ว.....ผมรักท่านมากมายเหลือเกิน ผมเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุ นั่นเพราะความรักที่คุณพ่อมีให้คุณแม่ พอคุณพ่อป่วยคุณแม่ท่านก็ดูแลคุณพ่ออย่างดีมาก ไม่เคยคิดหนีหรือทิ้งท่านไปไหน ผมเห็น ผมสัมผัส ผมเข้าใจ มันจึงเป็นการให้สัญญากับตัวเองว่า จะต้องเป็นกำลังใจให้ท่าน จะสู้ จะไม่ย่อท้อ"

         "บ่อยครั้งที่ผมเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องยืนอยู่หน้าห้อง ICU ผมจะมองหน้าคุณแม่เสมอ เหมือนเป็นการบอกท่านว่า....ไม่ต้องห่วงนะคุณแม่ ผมอยู่ข้าง ๆ คุณแม่เสมอ และจะไม่มีวันทิ้งท่านไปไหน....และผมก็สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองได้ผมได้อยู่กับท่าน บอกรักท่าน กอดท่าน กราบเท้าท่านทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อให้ท่านรู้ว่าผมสำนึกในบุญคุณของท่านเสมอมาและตลอดไป..."

         "รักพ่อแม่ให้มาก ๆ นะครับ รักท่านให้มากๆ"

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/60236



66
บันทึกของผู้เฒ่า (๑๕๒) วันแรกของปีที่ ๕๒

บันทึกของผู้เฒ่า (๑๕๒)

วันแรกของปีที่ ๘๒

เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นวันเกิดครบรอบปีที่ ๘๑ และเริ่มวันแรกของ ปีที่ ๘๒ เพื่อนคนหนึ่งในไร้สังกัด ได้ตั้งกระทู้อวยพรวันเกิดให้ผู้เฒ่า ปรากฏว่ามีเพื่อนเข้ามาอวยพรถึงร้อย กว่าราย นับเป็นประวัติการณ์ของ เจียวต้าย ที่สูงสุดในชีวิตเลยทีเดียว

เมื่อได้เขียนกลอนตอบหมดทุกท่านแล้ว จึงขอนำมาวางไว้ในบล็อก เพื่อเป็นอนุสรณ์ ก่อนที่จะลาโลกนี้ไปในอนาคต

สุขสันต์วันเกิดค่ะ ... คุณลุงเจียวต้าย.
วันที่ ๑๙ มีนาคม
วันคล้ายวันเกิดของ คุณลุงเจียวต้าย
ขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย
ได้โปรดคุ้มครองและประทานพรให้
คุณลุง เจียวต้าย ผู้ใหญ่ใจดีของบอร์ด
จงมีสุขภาพที่แข็งแรง สดใส ไม่เหี่ยว
ไปนานแสนนาน นะคะ.
จากคุณ : nawaporn169
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 00:38:00

ขอขอบคุณ คุณnawaporn169 ที่กรุณาตั้งกระทู้อวยพรวันเกิด ครบรอบปีที่ ๘๑
และขึ้นวันแรกของปีที่ ๘๒ ครับ

ขอบคุณมะหง่าวน้อยลอยลม ติดตามชมห้องกล้องยังจำได้
คุณมิ้งกี้_มิ้งกี้มาอวยชัย คุณ tintilaท่านผูใหญ่มีเมตตา
กิน ทาน เที่ยว เพิ่งมาเจอไม่เก้อเขิน อ่านกันเพลิน ยายภูธร ไม่ซ่อนหน้า
พชรนุชิต เห็นไวไวไล่ตามมา เจอนายเก่าท่านจัดหาเครื่องเสียงดัง

ananrak คนใต้ไม่หน่ายแหนง อวยพรแข่ง phuketian เวียนกันมั่ง
คุณ หนูออน แอบหลังไมค์ให้พลัง เบียร์สองแก้วดีจังดื่มชื่นใจ
คุณ กอไผ่สีสุก สนุกด้วย รีบมาช่วยกันก่อนมอบพรให้
เดเมลซ่าแมวแม่มด งดได้ไง เจอ จันทรกานต์ ต้องได้กี๊ฟทุกที
คุณ คำบรรณ ผู้ใหญ่ใจดีมาก ไม่ลำบากอวยพรสั้นไม่หันหนี
คุณพุงป่องใส่แว่น(ตา)มาพอดี คุณนายหลิวลู่ลม รี่ติดตามมา
คุณแสนดีเหมือนทราย เธอน่ารัก วางธรรมะเป็นหลักบ่อยหนักหนา
คุณจริงใจ.......สบายจริง ไม่นิ่งช้า หอบกุหลาบส่งมาจากปากคลอง

คุณต้นโพธิ์ต้นไทร ไม่อยู่เฉย รักกันเลยรวบรัดจัดสนอง
คุณคนชอบดอกไม้สีเรืองรอง คุณ bownfamily ต้องส่งการ์ดสวย
@NBC ป้าเยาว์เจ้ามือใหญ่ เพื่อนจัดงานที่ไหนรีบไปช่วย
นทีทิพย์เกือบจะแย่แต่เพื่อนรวย เลยไม่ม้วยรอดมาได้ดีใจจัง

คุณGoogGuu ชื่อใหม่คนใจถึง ณ ลานดาว ชื่อติดตรึงสุขสมหวัง
คุณตาแว่น (chanyout) สุดจะดัง ชื่อตามหลังต่อไป ใจรจนา
คุณowl2 คนรถไฟชวนไปเที่ยว เลาะลดเลี้ยวถึงไหนก็ไม่ว่า
ส่วนคุณ รัตน์แปลว่าแก้ว แวววับตา คุณnanoae ก็ตามมาเห็นไวไว

labor_pu เสี่ยใหญ่คนใจถึง ไฟลามทุ่ง สุดซึ้งเป็นไหนไหน
jiwery คนรูปหล่อขอขอบใจ UCF2007 ให้มาลัยก็ขอบคุณ
ป้าจอยเอง คนเก่งมาชิดขวา ต่อด้วยหญ้าหนวดแมว ไม่ว้าวุ่น
เจอท่านขุนเดชาที่การุณ ท่านมีคุณแก่ลูกชายสบายแฮ

คุณ พี่กี้ร์ kenkob ไม่หลบหน้า ชัดเจนน้องนาง มาไม่ย่ำแย่
อีกทั้ง พร 3 ประการ ไม่ต้องแปล อายุ วรรณะ สุขะ แน่ ขอรับฟัง
safeandsound ชอบเสียงเพลงบรรเลงเฉื่อย ใช่เรื่อยเปื่อยเพลงเขาดีมีความหลัง
คุณป่าเหนือ กับ bankam คงชอบมัง Cha-Cha-Cha เลยต้องนั่งขยับขา

คุณนุนิกให้เค้กใหญ่ไร้สังกัด แทนเพื่อนฝูงที่ติดขัดแก้ปัญหา
คุณResource of life ส่งใจมา จากสุพรรณไม่ทันช้าแค่ห้าโมง
คุณGee Dai มาใหม่เพิ่งเห็นชื่อ คุณรักกัน นั้นหรือมาปลอดโปร่ง
ป้าสดใส มาต่อให้ไม่ขี้โกง คนอยู่โยงคือ ขวัญชัยอิศรา

ขอขอบคุณ คุณณัฐ วัชรพล ผู้เฒ่าด้นกลอนไปไม่ดูหน้า
เห็นแต่ภาพซาบซึ้งตรึงใจมา ท่านเก่งกล้าจัดงานให้เพื่อนกัน
ขอกล่าวถึงนายเสลา อาจารย์ใหญ่ พาพี่น้องกราบไหว้ขอพรทั่น
เจ้าอาวาสเล่งเน่ยยี่ที่สำคัญ ถ่ายรูปกันแกล้มไวน์ตั้งหลายครา

~นายเฉิ่มศักดิ์~น่ารักเชียนกลอนให้ อำนวยชัยแก่ผู้เฒ่าเจ้าเก่าหนา
ข้าม adayaday ได้ยังไงวา ขอสมาอำไพไม่น่าเลย
คุณขอพบในฝันนั้นนางฟ้า นำ เชียงคำ ตามมาไม่นิ่งเฉย
คุณnupvs อ่านไม่ไหวไม่คุ้นเคย บอก ป้าหน่อย รีบเอ่ยคุ้นกันดี

PICCANINNY'S DAD ก็อีกคน เพิ่งได้ยลครั้งแรกไม่แปลกที่
กาลามัง คนพิเศษเหตุมากมี ต้องผ่าตัดนัดนี้รอดปลอดภัย
คุณซำพอริมรั้วแสนน่ารัก รีบมาทักคุณลุงอ่ำ จำได้ไหม
โอ้คนเก่ายังไม่ดึกนึกว่าใคร คุณ Munro คนไกลยังไม่เลือน

คุณไข่มุกอันดามัน หรือ (siansian) ยังแวะเวียนคุยกันเป็นฉันท์เพื่อน
คุณป้าหนาสองนิ้ว ก็มาเยือน มากันเกลื่อนกระทู้ดูมากมาย
กบชรา_เปิดกะลาเดินย่องท่องโลก หมดทุกข์โศกมีแต่สุขสมมาตหมาย
เพื่อนเข้ามาอวยพรกันหลายราย ยังไม่ถึงสุดท้ายเพิ่งหกห้า

cullinon แฟนก้นครัวไม่มัวหม่น โย่ _เชียงใหม่ อีกคนชื่อซู่ซ่า
snyggen คนเก่าก็เข้ามา อีกข้าวโพดหลานคุณตาคิดถึงจัง
ปูจ๊ะจ๋า สำเนียงเพราะเสนาะโสต คุณครูอ้วน ต้องขอโทษย้ายชื่อหลัง
(beautiful teacher) ดูเด่นดัง thanapatpp น่าขลังคนใกล้ใกล้

คุณหน้าต่างไร้กลอน นอนหลับฟี้ กลอนไม่มี ถึงหนาวร้อนก็นอนได้
คุณก๋วยจั๊บกับแมวน้อย เจ้ากลอยใจ ถัดลงไปคุณนางมารไฮโซ
เจ็ดสิบห้า คห.ล่อเสียเหนื่อย กลอนเรื่อยเปื่อยด้นดั้นไปกลัวไม่โผล่
นึกไม่ถึงเพื่อนมากมายร่วมไชโย เจียวต้ายโก้ทู้ขึ้นหิ้งยิ่งภูมิใจ

คำอวยพรมากมายใช้ไม่หมด หายรันทดขอขอบคุณรุ่นเก่าใหม่
ขอพรนั้นคืนสู่ท่านทุกคนไป อยู่จนได้ร้อยปีกว่าอย่าเหี่ยวเลย
ฝ่ายคุณฯดิ้วฯ รีบมาต่อเจ็ดสิบหก คุณครูเพชร ไม่วิตกดูเฉยเฉย
ส่งดอกไม้สีแดงจ้ามาเหมือนเคย ฝากใครเอ่ย..อ้อ คุณชาย(ที่)ไร้รัก

หมอมาใหม่พก หัวใจนักท่องเที่ยว ชอบลดเลี้ยวท่องไปให้ประจักษ์
ฝั่งหัวใจ มาทางไกลได้ผ่อนพัก ดูคึกคักคุณ ป้า...สวย สำรวยร่าง
คุณบุหงาตานี มีความสุข อิ่มสบายท้อง มาปลอบปลุกไม่ให้กร่าง
เรา ต้องผ่านไปให้ได้ ไม่ไร้ทาง คุณป้าเห้อออออออออ กล่าวอ้างพระรัตนตรัย

คุณ บ้านหนองจันสอน มาตอนดึก เพิ่งรู้สึกง่วงจังนั่งไม่ไหว
Kevin Kaw มาล่าช้าเกินไป จนคนตอบหลับใหลไม่ลืมตา
ครั้นถึงเช้าเก้าโมงตื่นมาใหม่ แต่ต้องไปสังสรรค์เพื่อนหรรษา
พวกสื่อสารเล่าเหลาเฝ้าคอยมา ได้พบหน้า วิเศษไก่ย่าง ที่บางโพ...

คุณ Jiu_Bond รีบมาก่อน คุณอุ่นใจ คุณพิมพ์ณยิ่ง เพิ่งมาใหม่น้อยอาวุโส
คุณGiant คนตัวใหญ่เบ่งกล้ามโชว์ ไม่ได้โม้ชื่อนำด้วย XXL
อลินาดา อวยพรมาจากเมืองไกล ตัวผู้เฒ่าแสนดีใจนั่งยิ้มแป้น
เก้าสิบกว่าที่เข้ามาล้วนแต่แฟน เพื่อนเนืองแน่น คุณ Mochica มาต่อแถว

คุณcountdown มาแต่เช้าวันรุ่งขึ้น คงไม่มึนแม้จะช้าดูตาแจ๋ว
คุณปลาทูสงสัยมากเหมือนเด็กแนว เลยมาแซวอากงลงปิดท้าย
คุณพี่แต้ รีบมาหน้าสดใส พจนารถ ขอขอบใจไม่เสียหลาย
คุณนกยิ้ม ตามมานัยตาลาย ใจจะวาย ยุ่งหนักหนาป้าPHAJOB

คุณoDaineo หายไปตั้งนานมาก T-H-F-C ไม่ลำบากไม่หลีกหลบ
คุณคนหนองมะนาว ช่างน่าคบ ได้มาพบกันใน ไร้สังกัด
คำอวยพรมากมายใช้ไม่หมด ทั้งลาภยศขอแบ่งให้ไม่ติดขัด
จงสุขสันต์ทั่วหน้าสารพัด ซึ้งผู้จัด นวพร อุดรธานี
ยังเหลืออีก kratai-max คนน่าคบ คนบ้านฉางมาบรรจบอย่างด่วนจี๋
ตามติดติดคือมิ่งมิตร คุณsope กลอน Oncidium.นี้วางให้ยล

ศุภวาระ ดิถี ปีห้าห้า ที่สิบเก้า มีนา. มาอีกหน
ขอเชิญ เทพยดา ในสกล บันดาลดล คุณเจียวต้าย ไร้โรคา
ให้มีสุข ทุกสถาน แสนนานเนิ่น ให้เพลิดเพลิน ในทุกสิ่ง ที่ปรารถนา
ให้ถูกหวย รวยทรัพย์ อนันตา ให้มี อายุยืน หมื่นหมื่นปี

คุณ(กลบเกลื่อน) เลื่อนเวลาไปหกวัน ตามให้ทัน คุณyeti_kiwi
มาสุดท้ายเห็นจะเป็น ป้า MAY BEE ... เพิ่งมองเห็น เจียวต้าย นี้ให้อาทร
ขอขอบคุณอีกครั้งแด่ทุกท่าน ฝากไมตรีให้เห็นกันเหมือนเก่าก่อน
ทั้งร้อยแก้วบทกวีมีอวยพร อากาศร้อนก็ร่มรื่นชื่นชีวัน

คำอวยพรมากมายใช้ไม่หมด หัวใจสดกระชุ่มกระชวยด้วยสุขสันต์
ขอทุกคนทั้งใจกายสบายครัน นับแต่นี้จนปีหน้านั้นไม่เหี่ยวเอย.

๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕

ที่มา : http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=pn2474&group=32
ลองตามลิงค์ข้างบนไปดูนะครับ จะพบเรื่องในอดีตที่น่าสนใจอีกมากมาย


67
ชีวิตเฉียดล้มละลาย วรรณฤดี กลิ่นขจร


"ชีวิตดิฉันที่ผ่านมาไม่ใช่ธรรมดา ถ้าเป็นคนอื่นเขาผูกคอตายไปแล้ว.."

เสียงแหบ ห้าว เป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงที่ชื่อ *วรรณฤดี กลิ่นขจร* กล่าวอย่างสบายอารมณ์ เพราะในยามที่บอกว่า จะผูกคอตาย..นั้น เป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว

ความจริงเธอคนนี้ไม่ใช่ *วรรณฤดี กลิ่นขจร* อีกต่อไป แต่เป็น *วรรษิกา ชัยนพภัทรกุล*

ชื่อใหม่ แต่คนเดิม!! ถึงกระนั้นก็ยังเป็นผู้หญิงที่สร้างตำนานเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่รู้จบ

วันนี้..ชีวิตใหม่ของวรรณฤดี หรือวรรษิกา ยังคงเป็นเจ้าของร้านอาหารลือชื่อ "ช่อชะมวง" ตั้งอยู่ถนนทางไปน้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายก และมีกิจการเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นรีสอร์ต "ชะมวง คอตเทจ"

ยังไม่หมดเท่านั้นในอนาคตอันใกล้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอาง อื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมา

ช่วง 10 กว่าปีที่หายหน้าหายตาไปจากวงการ โดยเฉพาะวงการมวย ที่เธอเคยสร้างตำนานเป็นคนแจกทอง หลายคนอาจมองว่าชีวิตเธอจบไปแล้ว..

ความจริงเป็นเช่นไรนั้น "คุณด้วง" อยากเล่าให้ฟังเอง

*ที่ผ่านมามีเสียงลือว่ากิจการขาดทุน เจ๊งหมด?*

(หัวเราะเสียงห้าว..) ที่ผ่านมากว่า 10 ปี ยอมรับว่าลำบากเลือดตากระเด็น โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจฟองสบู่แตก แต่ไม่ใช่เราคนเดียว คนอื่นเขาก็ล้มเหมือนกัน เพียงแต่ว่าของเรามันล้มไม่ดัง และล้มแบบไม่มีใครรู้ เพราะเรายิ้มตลอด จนมีคนพูด "คุณด้วงเก่ง สามารถยืนอยู่ได้จนเดี๋ยวนี้" จริงๆ นะ เราล้มนี่ไม่มีใครรู้หรอก แม้แต่ลูกหรือคนใกล้ตัว

อย่างอื่นน่ะล้ม แต่ร้าน "ช่อชะมวง" ประคับประคองมาได้จนถึงทุกวันนี้

ที่ไม่ล้มเพราะทำคนเดียว ไม่มีหุ้นส่วน ร้านแรกอยู่ที่ลาดพร้าว ชื่อ "ช่อชะมวง" คนรู้จักดี ช่วงนั้นพวกโปรโมเตอร์มวย "แชแม้-นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์" "โกฮง-พงษ์ ถวาวิวัฒน์บุตร" มากินที่ร้าน ได้รู้จักกัน โยงไปให้รู้จักกับ "เขาทราย" แชมป์โลกชาวไทยนั่นแหละ ก็เลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการมวยตั้งแต่นั้นมา

*แล้วร้านที่นครนายก*

ชื่อชะมวงเหมือนกัน พอดีซื้อที่ดินไว้นานแล้ว เลยมาทำร้านที่นี่ด้วย ตอนที่เขาทรายดังก็ใช้เป็นที่เก็บตัวฝึกซ้อมก่อนขึ้นชก แต่ก่อนมีเวทีซ้อมอยู่ด้านหลังด้วย แต่เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว เพราะทำเป็นรีสอร์ต

*สร้างตำนานโปรโมเตอร์มวยหญิงคนแรกของเมืองไทย*

จะว่าใช่ก็ได้ เรื่องมีอยู่ว่าเขาทรายจะจัดชกชิงแชมป์โลกครั้งที่ 13 แต่ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าจัด เพราะใช้เงินถึง 6 ล้าน คนไม่มีเงิน และอีกอย่างมันเป็น "ลัคกี้นัมเบอร์" ด้วย ไม่มีใครกล้า ก็มาคุยกันที่ร้าน เราเห็นว่าเงินแค่นี้เราจัดให้ได้ และอีกอย่างมันเป็นชื่อเสียงของประเทศไทย ก็รับเป็นคนจัดให้ เพราะถ้าไม่จัดในประเทศไทย ต้องไปจัดชกที่ต่างประเทศ แพ้แน่ กำลังใจไม่มี คนเชียร์ไม่มี

แล้วบังเอิญว่าพอข่าวออกไป "วัฒนา อัศวเหม" รู้เข้ามองว่าเราเป็นผู้หญิงไม่เล่นการเมืองด้วย แต่สามารถจัดมวยได้ คงไม่ธรรมดา เลยเข้ามาช่วย บอกแชแม้ว่าเอาเงินที่ดิฉัน 3 ล้าน ส่วนอีก 3 ล้านให้ไปเอาที่คุณวัฒนา แต่ให้เป็นชื่อดิฉันเป็นคนจัด..เรื่องเป็นอย่างนี้

แล้วพอเขาทรายขึ้นเวทีชกชนะน็อคยก 6 ยิ่งสะเทือนวงการเลย มีคนวิ่งมาชูมือตะโกนบอก "คุณด้วงทำสำเร็จแล้ว คุณด้วงทำสำเร็จแล้ว..."


*เลยสร้างตำนานแจกทองแถมให้ด้วย*

(หัวเราะเสียงดัง) ใช่ เป็นตำนาน เพราะเป็นคนแรกที่แจกทองในวงการมวย ก็มีคนมาถามว่าทำไมสนับสนุนเขาทราย เราบอกว่าเขาเป็นคนทำชื่อเสียงให้ประเทศ ไม่เคยได้อะไรเลย-เลยให้ทอง กลายเป็นตำนานแจกทองให้นักมวย

อย่างเขาทรายถือว่าเขาเป็นคนมีค่าของประเทศ เป็นหัวใจทองของประเทศ เพราะฉะนั้นเขาควรจะได้ทองเป็นของที่ระลึก

*แล้วเรื่องที่มีเสียงว่าเป็นทองปลอม*

ไม่ทราบ ตลกที่สุดนะคนเรา (หัวเราะ)

มนุษย์เรามีหลายประเภท บอกอย่างชัดเจนว่าทองปลอมนั้นเป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของดิฉันแน่ เขาทรายเขารู้ดี คือตอนนั้นมีคนบอกเขาว่าจะให้ทอง 150 บาท แต่เขาทรายไม่รับ ถ้าเป็นทองของคนอื่นเขาทรายไม่รับ ต้องทองของคนนี้คนเดียว

เพราะ..เขาทรายเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าไม่มีครั้งที่ 13 ก็จะไม่มีครั้งที่ 19 ซึ่งเป็นการชกครั้งสุดท้ายก่อนเขาแขวนนวม และคงไม่มีเขาทรายในวันนี้ ไปดูที่ร้านหมูกระทะของเขาได้ทุกวันนี้มีรูปภาพแขวนในร้าน รูปดิฉันกับเขาเท่านั้นบนเวที

*แจกเขาทรายคนเดียว?*

ครั้งแรกแจกเขาทราย แล้วก็แจกทุกคน สมรักษ์ คำสิงห์ ก็แจก เหรียญทองอันแรกของสมรักษ์ที่เขาได้น่ะได้จากที่นี่ ตรงนี้เป็นประวัติศาสตร์เลย ดิฉันเป็นคนให้

ทีนี้พอคนรู้ว่าแจกทองแล้วดังก็อยากดังมั่ง พยายามแจกเหมือนกัน แต่พอแจกแล้วมั่ว กลายเป็นทองปลอม แต่ของเรารับรองทองจริง เขาทรายเก็บไว้หมดทุกเส้นที่ให้ไป จนบัดนี้เขาก็ยังเก็บทองนี้ไว้ เพราะเขาถือว่าเป็นของที่ระลึกจากผู้มีพระคุณ

*ครั้งแรกให้ทองไปเท่าไหร่?*

สิบบาท สลักชื่อด้วย ให้แต่ละครั้งก็ 10 บาทๆๆ ครั้งสุดท้ายให้เป็นหยกน้ำเต้าล้อมเพชรอย่างดีมาก มีคนหาว่าเราเว่อร์ เขาไปถามราคา แต่เขาทรายบอกว่า อย่าว่าแต่มาตีราคา 5 แสนเลย ให้เงินเขาหนึ่งล้านบาทเขาก็ไม่ขาย

*ทุกวันนี้ยังติดต่อกับเขาทรายอยู่หรือเปล่า?*

ยังติดต่อกันเรื่อย เวลามีกิจกรรมอะไรเขาก็ยังมาช่วย ครั้งล่าสุดจัดงานเทศกาลกินปลาของจังหวัดนครนายกเขาก็มาช่วย สมรักษ์ คำสิงห์ ก็มา พวกนี้เขาบอกเราเลยว่า "เขาเป็นคน มีหัวใจ ถ้าเจ๊เกิดมรสุมอะไรที่ช่วยได้จะเอาร่างกายและหัวใจไปช่วย จะให้ทำอะไรจะทำให้ทุกอย่าง" นี่คำพูดของเขาทรายนะ

*ร้านช่อชะมวงที่ผ่านมาก็เกือบเจ๊ง?*

ที่ผ่านมาสิบกว่าปีช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีกิจการก็แย่ลง แต่ดิฉันก็ไม่เลิก ประคับประคองมาเรื่อย แต่ไม่ลงทุนเพิ่ม

ที่มันจะล้มเพราะว่าช่วงที่กำลังเป็นคนดัง ดิฉันเป็นคนไม่คิดอะไรมาก คิดง่ายๆ ตอนนั้นมีเงินเยอะก็เอาร้านช่อชะมวงไปค้ำประกันให้กับบุคคลคนหนึ่ง เขาจะลงทุนทำธุรกิจ แล้วต่อมาเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทีนี้เราเลยต้องรับใช้หนี้คนเดียวเลย 100 กว่าล้าน

ตอนนั้นบอกได้เลยว่าเกือบหมดแรง..ชีวิตหมดเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร กว่าจะทำใจสู้มรสุมมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ต้องกลายเป็นคนเก็บตัว เซ็งสังคม เบื่อ ไม่อยากคบใคร อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเป็นคนดังพอมีเรื่องอะไรนิดก็จะเป็นข่าว จริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่านี่คือชีวิต

*เคยคิดฆ่าตัวตาย?*

เคย แต่ก็ไม่ จะเก็บตัวไม่ออกงานสังคมมากกว่า จนหลายคนคิดว่าเราหายไปจากวงการ แต่กิจการร้านช่อชะมวงยังดำเนินอยู่ ดิฉันก็อยู่ที่ร้านทำร้านของเราไปเรื่อย บางทีมีลูกค้าที่ทำธุรกิจแล้วล้มจนหมดตัวมีหนี้เป็น 10 ล้านมานั่งเล่าให้ฟัง เราก็หัวเราะบอกว่าเรามีหนี้เป็นร้อยล้านยังอยู่ได้เลย

ตั้งแต่ธุรกิจล้ม ทำให้ดิฉันมีความคิดอีกแบบเกี่ยวกับธนาคาร เครดิตลูกค้า จริงๆ เรื่องนี้อยากให้เขียนเป็นอุทาหรณ์ให้นายแบงก์ทุกคนได้รู้ ไม่ว่าสถาบันการเงิน ผู้นำประเทศ ควรฟังไว้

..คนที่ธุรกิจล้มทุกวันนี้ถูกขึ้นบัญชีดำหมด การขึ้นบัญชีดำทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย ปัญหาต่างๆ จึงเกิดขึ้น แต่ถ้านายแบงก์ สถาบันการเงิน หรือผู้นำประเทศให้โอกาสเขาบ้าง ให้เขาหายใจมีทางออกทำธุรกิจต่อไปได้ เขาก็สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้ เพราะคนเหล่านี้เป็นคนมีความสามารถเรื่องธุรกิจ แต่นี่ล้มแล้วตั้งตัวไม่ติด ยังโดนยึดทรัพย์ไปหมด เขาเลยฆ่าตัวตายก็มี ที่ไม่เป็นผู้เป็นคนก็มี

แล้วขณะเดียวกัน แบงก์หรือสถาบันการเงินก็ดี เอาโครงการของคนเหล่านี้ไปขายให้คนใหม่ โดยนักธุรกิจใหม่ที่ขึ้นมา นายสีนายสาตามีตามาทำธุรกิจไม่เป็น ถามว่าพวกนี้ทำรอดหรือ? แต่สถาบันการเงินให้เงินช่วยเหลือ สุดท้ายก็เจ๊งเหมือนเดิม เพราะคนพวกนี้ไม่มีความสามารถ ทำธุรกิจไม่เป็น พวกที่ล้มแล้วอยู่ในประเทศพวกนี้มีความรู้ความสามารถ เป็นคนทำจริง ไม่ใช่พวกที่แอบหนีไปต่างประเทศ พวกนั้นไม่ใช่ของจริง พวกที่ยังอยู่แต่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดนี่แหละของจริง ควรให้โอกาสเขา

*ถือว่าผ่านมรสุมแล้วตอนนี้*

กว่าจะผ่านมาได้ก็เครียดพอสมควร เพราะเราคนทำมาหากินจริงๆ ไม่ใช่หลอกลวงเอาเงินเขามาเฉยๆ จนถึงวันนี้ดิฉันยังโกรธกับแบงก์น่าดู

เคยไปเจรจากับเขาในฐานะผู้ค้ำประกัน ไม่ใช่ผู้ก่อหนี้ บอกว่าขอใช้หนี้ที่เราไม่ได้ก่อระดับหนึ่ง ดอกเบี้ย เงินต้น รวมแล้วน่าจะเท่านี้ ก็ขอใช้หนี้เป็นเงินเท่านี้ แบงก์ไม่ยอม เราก็บอกว่าถ้าไม่ยอมแล้วจะยึดที่ดินเราไปขายทอดตลาด ขอบอกก่อนว่าไม่มีปัญญาซื้อคืนหรอก และถ้าจะเอาอย่างนั้นก็อย่าลืมว่า คุณจะไล่ดิฉันออกจากที่ดินของดิฉันเองไม่ใช่การไล่คนใช้ออกจากบ้านนะ แต่คุณกำลังจะไล่คุณวรรณฤดีออกจากบ้านตัวเอง ไม่ใช่ของง่าย ถ้าเราสู้เราเสียแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของหนี้เท่านั้น สุดท้ายประธานแบงก์เลยยอมอนุมัติ เรื่องก็จบ เราก็สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราได้

*ประมาณปีไหนที่ตั้งตัวใหม่ได้*

สัก 4-5 ปีที่แล้ว ประมาณ พ.ศ.2543-2544 ทำร้านอาหารช่อชะมวงเหมือนเดิม และทำรีสอร์ตเพิ่มขึ้นมาอีก ชื่อ "ชะมวง คอตเทจ" ไม่ทำจัดสรรแล้วเพราะเศรษฐกิจอย่างนี้คงลำบาก และกลัวสถาบันการเงินด้วย

ธุรกิจตอนนี้ทำด้วยหัวใจ ไม่วูบวาบ ลดลงมาทำแค่ร้านอาหารและรีสอร์ต ถ้าเป็นเมื่อก่อนโอ๊ย...ไม่ได้ เขารวยระเบิดเถิดเทิง เราก็ต้องรวยด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เราเคยเจ็บไม่อยากเจ็บอีก

แต่บอกไว้เลยว่า ไม่ช้าอีก 4-5 ปี สถาบันการเงินต้องเจอมรสุมอีก เพราะคนใหม่ที่เขาให้เงินไปทำธุรกิจนั้นทำไม่เป็น

และดิฉันก็เป็นคนไม่ใช้บัตรเครดิต...

*ไม่ใช้? ไม่ทำ?*

คือบัตรเครดิตมันน้อยเกินค่าเงินที่ดิฉันจะใช้แล้ว

*ตอนนี้ยังมีหนี้อยู่เท่าไหร่?*

หมดไปแล้ว 7 เหลืออีกประมาณ 3 คือสมมุติเป็นหนี้ 10 ล้าน ก็เหลือประมาณ 3 ล้าน แต่ถ้าเป็นหนี้ 100 ล้าน ก็เหลือประมาณ 30 ล้าน ยังเป็นหนี้อยู่ แต่มันก็สบายใจขึ้น

*รีสอร์ตกิจการเป็นอย่างไร?*

กำลังไปได้ดี เสาร์-อาทิตย์เต็มหมด รีสอร์ตจะอยู่ด้านหลังร้านอาหาร ตอนนี้จะขยายทำกิจการสมุนไพรเพิ่มมาอีกอย่าง

*ทำอะไร?*

ยาสีฟันสมุนไพรชื่อ "ช่อชะมวง" เป็นของดีมีคุณภาพของโบราณ เป็นสมุนไพรจริงๆ เราลองใช้แล้วได้ผลดี กล้ารับรอง ก็อยากให้คนอื่นได้ใช้ของดีด้วย ตอนนี้พยายามจะปรับปรุงให้แพ็กเกจดูทันสมัย น่าใช้ อาจจะทำเป็นหลอดหรือเป็นครีมแทนที่จะเป็นผง ยังค้นคว้าอยู่

ตอนนี้ก็ใช้วิธีโฆษณาแบบปากต่อปาก ใครมาพักที่รีสอร์ตจะได้รับแจก เอามาแจกลูกค้า เขาใช้แล้วติดใจจะมาถามหาขอซื้อ ซึ่งมีเยอะมากทีเดียว คนหนึ่งซื้ออย่างน้อย 3 ขวด ราคาขายสามขวด 100 บาท แต่ส่วนมากส่งขายเป็นโหล

*แล้วไปรู้สูตรการทำได้อย่างไร?*

มีผู้ใหญ่ที่รู้จักเขาทำอยู่ คนเฒ่าคนแก่โบราณ ก็ไปช่วยเขาขาย

*จะมีอย่างอื่นด้วยไหมตอนนี้สมุนไพรกำลังฮิต*

ตอนนี้มียาสีฟันตัวเดียว แต่ต่อไปจะมีผลิตภัณฑ์ของผู้หญิงพวกครีมทาหน้า ยาบำรุง แต่จริงๆ เรามีตัวยาอื่นๆ เช่น ยาริดสีดวง ใช้ชื่อว่า "ยาริดสีดวงพรรณราย" ขณะนี้เป็นตัวขายอยู่และอยู่ในเครือเดียวกัน และมียาเบาหวานสมุนไพร

*ทำไมทุกอย่างถึงใช้ชื่อ "ช่อชะมวง" มีความเป็นมา?*

ดิฉันเป็นคนจันทบุรี ต้นชะมวงเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจันทบุรี และเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง เพราะต้นใหญ่มาก ปลูกเองไม่ค่อยขึ้น มันจะขึ้นในที่ที่มันชอบ แล้วแต่อารมณ์ของมัน ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ที่นี่ปลูกไว้ประมาณ 300 ต้น จะนำมาทำอาหาร "หมูต้มใบชะมวง" อร่อยมาก เป็นอาหารของภาคตะวันออก ก็เลยใช้ชื่อ "ช่อชะมวง" เป็นสัญลักษณ์ เพราะมันมีความมั่นคง ยิ่งตัดช่อมันยิ่งแตก

*ทุกวันนี้มีความสุข?*

มีความสุข เป็นความสุขระดับหนึ่งของสังคมในปัจจุบัน ที่ผ่านมาตั้งแต่รู้ว่าเป็นหนี้ก็ทำใจแล้ว พร้อมที่จะหมดตัว แต่เรารู้ว่าเราไม่ใช่นักเล่น ไม่สำมะเลเทเมา ไม่เคยทำอะไรที่มันเป็นอบายมุข ทำแต่งาน ดิฉันถือว่าคนทำมาหากินไม่มีวันหมด จึงตั้งใจที่จะต่อสู้ใหม่ และเริ่มคิดว่าเราต้องมีกำลังใจ ต้องเข้มแข็ง

กำลังใจที่ดีที่สุด คืออาบน้ำอาบท่าแล้วนั่งสมาธิ สวดมนต์

กำลังใจที่ว่าไม่ต้องไปดิ้นรนหากับใครที่ไหน อย่าไปหา กำลังใจที่ดี่ที่สุดคืออยู่ที่ตัวเรา

และจำไว้ว่า เวลาสวดมนต์อย่าสวดในใจ ต้องสวดให้พระท่านได้ยิน

ทุกวันนี้ดิฉันปฏิบัติจนเคยชิน สวดมนต์ นั่งสมาธิ กินมื้อเดียว เพราะกินมื้อเดียวก็มีชีวิตได้เท่ากัน

และเมื่อตั้งใจทำอะไร ต้องเอาชนะใจตัวเอง คนเราถ้าเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ก็เอาชนะอย่างอื่นในโลกนี้ไม่ได้

แต่ถ้าชนะใจตัวเองได้ ครึ่งหนึ่งของการดำเนินชีวิต เราชนะ..

ที่มา : board.palungjit.com/f6/ชีวิตเฉียดล้มละลาย-วรรณฤดี-กลิ่นขจร-31313.html
ก๊อปปี้ลิงค์ไปแป่ะที่ช่อง URL ข้างบนนะครับ



68
         

 


Download หนังสือ A brief History of Time
http://alleeshadowtradition.com/pdf/stephen_hawking_a_brief_history_of_time.pdf

สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง (Stephen William Hawking) เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485 ซึ่งวันรำลึกครบรอบ 300 ปีการตายของกาลิเลโอ นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอิตาเลียน ฮอว์กิงเกิดในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ และฟิสิกส์ทฤษฎี ที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ อีกทั้งยังได้เป็น “Lucasian Professor of Mathematics” ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่ไอแซค นิวตันเคยได้รับ ฮอว์กิงได้รับการยกย่องจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ด้วยกันว่าเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนหนึ่งของโลกปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์บางคนเทิดทูนฮอว์กิงว่าเป็นผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องต่อจากไอน์สไตน์ เลยทีเดียว ผลงานค้นคว้าที่สร้างชื่อเสียงให้กับฮอว์กิงมากที่สุดก็คือ ทฤษฎีหลุมดำ (black hole) และทฤษฎีที่ว่าด้วยกำเนิดและจุดจบของ จักรวาล ในสายตาของคนทั่วไปที่มิใช่นักวิทยาศาสตร์ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่พิการจะเดินเหินไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ จะพูดจาปราศรัยกับใคร ก็ไม่ได้ แม้แต่จะเขียนหนังสือ แต่งตัว หรือกินอาหารด้วยตัวเองก็ไม่ได้ เพราะฮอว์กิงป่วยเป็นโรคทางประสาทที่เรียกว่า Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ตั้งแต่อายุ 21 ปีซึ่งโรคนี้ ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางของเขาควบคุมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่ได้เลย แต่อวัยวะหนึ่งเดียวของเขาที่ทำงานคือ “สมอง” โดยเขาต้องอยู่บนรถเข็นตลอดเวลา และที่ร้ายยิ่งกว่านั้นเอ็นหลอดเสียงของเขาก็ใช้ไม่ได้ตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา โดยต้องสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์และเครื่องเลียนเสียงพูด เวลาเขาต้องการจะสนทนาติดต่อกับโลกภายนอก เขาจะใช้เครื่องพูดโดยใช้นิ้วกดปุ่มของตัวอักษรต่างๆ ประกอบ เป็นคำที่เขาต้องการแล้วจึงกดเครื่องออกเสียง ดังนั้นเมื่อมีคนถามคำถามหนึ่งคำถามเขาจะใช้เวลานาน 10-15 นาที ในการตอบ

ฮอว์กิงมักถูกนำไปเทียบกับไอน์สไตน์และนิวตันอยู่เสมอ หรืออาจจะเรียกได้ว่าทั้ง 3 เป็นอัจฉริยะของแต่ละยุค
ฮอว์กิงวิจัยทฤษฎีของจักรวาลโดยใช้พลังงานความคิดทางสมองเท่านั้น เขามีสัญชาตญาณวิเศษที่สามารถหา คำตอบของสมการฟิสิกส์ที่ยากๆ ได้ โดยไม่ต้องใช้ปากกาขีดเขียน เปรียบเสมือนกับการที่ บีโธเฟนแต่งซิมโฟนีสำเร็จโดยไม่ต้องเขียนโน้ตลงบนกระดาษแม้สักตัวเดียว ในปี พ.ศ. 2515 เขาได้ทำให้คนทั่วโลกตกตะลึง เมื่อเขาพบว่าหลุมดำที่ใครๆ เคยคิดว่าจะดึงดูดสรรพสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ ตัวมันนั้นจริงๆ แล้วสามารถแผ่รังสี และปลดปล่อยอนุภาคต่างๆ ออกมาได้ ฮอว์กิงได้พบว่าขณะจักรวาลระเบิด ใหม่ๆ แรงระเบิดที่มหาศาล ได้ทำให้เกิดหลุมดำขนาดเล็กมากมาย และเมื่อเขาพิจารณาคุณสมบัติด้านควอนตัมของ หลุมดำเล็กๆ เหล่านี้ เขาก็พบว่าหลุมดำเล็กๆ สามารถสูญเสียพลังงานไปได้เรื่อยๆ โดยการระเบิดให้ตัวมันเองหายวับ ไปกับตาในที่สุด ตราบเท่าทุกวันนี้ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดเห็นการระเบิดของหลุมดำในลักษณะที่ว่านี้เลย แต่หากมีใครเห็นนั่นก็ หมายความว่ารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์สำหรับปีนั้นก็จะเป็นของฮอว์กิงทันที เมื่อปี พ.ศ. 2531 เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “ประวัติย่อของกาลเวลา” หรือ A brief History of Time หนังสือเล่มนี้ ได้ติดอันดับหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกเล่มหนึ่ง โดยมียอดจำหน่ายกว่าหนึ่งล้านเล่ม และนั่นก็หมายความว่าคนทุกพันคน ในโลกจะมีหนังสือเล่มนี้ไว้ครอบครองหนึ่งเล่ม ภาษาที่เขาใช้ในการสื่อสารในหนังสือนั้นเรียบง่ายและทั้งเล่มมีสมการ อยู่เพียงสมการเดียวคือ E=mc2 ฮอว์กิงได้เขียนไว้ว่า เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิด "เวลา" ก็มีกำเนิดเหมือนกัน ปัจจุบันเรารู้ว่า จักรวาลของเรานั้นเกิดจากการระเบิดของสสารครั้งใหญ่ เมื่อประมาณ 15,000 ล้านปีมาแล้ว คำถาม ที่ใครๆ ก็มักจะถามคือ ก่อนนั้นจักรวาลมีสภาพเป็นอย่างไร ฮอว์กิงตอบว่าก่อนนั้นเวลาก็ไม่มี ดังนั้นการถามหาสิ่งที่ ไม่มีจึงเป็นคำถามที่ไม่มีความหมาย ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดของฮอว์กิง (และนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ทั้งหลาย) ก็คือการรวมทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเข้าด้วยกันเป็นทฤษฎีแรงโน้มถ่วงแบบควอนตัม ซึ่งถ้าทำสำเร็จก็จะกลายเป็นสุดยอดทฤษฎี หรือทฤษฎีสรรพสิ่ง (the theory of everything) ซึ่งจะสามารถอธิบายทุกสรรพสิ่งในเอกภพ โดยฮอว์กิงเชื่อว่าอีกไม่เกิน 20 จะมีการค้นพบทฤษฎีสรรพสิ่งนี้ อย่างไรก็ดี ฮอว์กิงได้เขียนไว้ในประวัติย่อของกาลเวลาว่า ถ้าหากมีสุดยอดทฤษฎีเช่นนี้อยู่จริง ทฤษฎีนั้นคงจะกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ด้วย รวมทั้งกำหนดด้วยว่าจะหาทฤษฎีพบหรือไม่ และถ้าเป็นเช่นนั้นบางทีทฤษฎีดังกล่าวอาจกำหนดให้ฮอว์กิงมีสภาพเป็นอย่างที่เขาเป็นอยู่ เพื่อแสดงให้มนุษย์ได้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางพลังสติปัญญา และการติดตามค้นหาเป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติได้ สำหรับชีวิตส่วนตัว บิดาของฮอว์กิง ชื่อ แฟรงค์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเขตร้อน และมารดาของเขาชื่ออิโซเบล ซึ่งเป็นลูกสาวของนายแพทย์ชาวสก๊อต ฮอว์กิงเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่บิดาเคยศึกษาอยู่ โดยเลือกเรียนทางด้านฟิสิกส์ เพราะชอบวิชาคำนวณ และยังได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ จากนั้นก็เข้าสู่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ศึกษาในระดับปริญญาเอกและทำวิจัยด้านจักรวาลวิทยา (Cosmology) และในช่วงนี้ที่แพทย์พบว่าเขาป่วยเป็นโรค ALS และกำลังจะตายภายใน 2 ปี ซึ่งในช่วงนี้ทำให้เขาได้พบกับ “เจน ไวลด์” ภรรยาคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนสมัยมัธยม และได้ให้กำลังใจเขาขณะต้องเผชิญโรคร้าย ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน ฮอว์กิงทุ่มชีวิตลงไปกับการศึกษาค้นคว้ากาล-อวกาศ และสภาวะ singularities ที่จุดเริ่มต้นของกาลเวลา โดยเมื่ออายุ 32 ปีเขาได้เข้าเป็นสมาชิกของรอยัล โซไซตี (Royal Society) และได้รับรางวัลอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein Award) ซึ่งเป็นรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดสำหรับนักทฤษฏีฟิสิกส์ นอกจากนี้ยังได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ เหรียญตราและเครื่องราชอิสราภรณ์มากมาย สำหรับประวัติอย่างละเอียดของฮอว์กิงในเข้าไปชมเว็บไซต์ของฮอว์กิง (ภาคภาษาอังกฤษได้ที่ hawking.org.uk/

Professor Hawking has given many lectures to the general public. Many of these past lectures have been released in his 1993 book, 'Black Holes and Baby Universes, and other essays'. Below are some of the more recent public lectures. Included with these lectures is a Glossary of some of the terms used.

Godel and the End of Physics (written in 2002)"In this talk, I want to ask how far can we go in our search for understanding and knowledge. Will we ever find a complete form of the laws of nature? By a complete form, I mean a set of rules that in principle at least enable us to predict the future to an arbitrary accuracy, knowing the state of the universe at one time. A qualitative understanding of the laws has been the aim of philosophers and scientists, from Aristotle onwards."
My Life in Physics (written in 2006)"I did my first degree in Oxford. In my final examination, I was asked about my future plans. I replied, if you give me a first class degree, I will go to Cambridge. If I only get a second, I will stay in Oxford. They gave me a first. I arrived in Cambridge as a graduate student in October 1962."The Origin of the Universe (written in 2005)"Why are we here? Where did we come from? The answer generally given was that humans were of comparatively recent origin, because it must have been obvious, even at early times, that the human race was improving in knowledge and technology. So it can't have been around that long, or it would have progressed even more.
"The Beginning of Time (written in 1996)"In this lecture, I would like to discuss whether time itself has a beginning, and whether it will have an end. All the evidence seems to indicate, that the universe has not existed forever, but that it had a beginning, about 15 billion years ago. This is probably the most remarkable discovery of modern cosmology. Yet it is now taken for granted. We are not yet certain whether the universe will have an end."The Nature of Space and TimeStephen Hawking and Roger Penrose gave a series of 3 lectures each at the Isaac Newton Institute in Cambridge. The full series is available in a book of the same name. Here we have compiled Stephen's contribution to the series, as well as the final debate.
This is available for download as pdf format or 4 postscript files or (penrose1.ps penrose2.ps penrose3.ps penrose4.ps).
Space and Time Warps (written in 1999)"In science fiction, space and time warps are a commonplace. They are used for rapid journeys around the galaxy, or for travel through time. But today's science fiction, is often tomorrow's science fact. So what are the chances for space and time warps.
"Does God Play Dice (written in 1999)"This lecture is about whether we can predict the future, or whether it is arbitrary and random. In ancient times, the world must have seemed pretty arbitrary. Disasters such as floods or diseases must have seemed to happen without warning or apparen t reason. Primitive people attributed such natural phenomena, to a pantheon of gods and goddesses, who behaved in a capricious and whimsical way. There was no way to predict what they would do, and the only hope was to win favour by gifts or actions.
"Life in the Universe (written in 1996)"In this talk, I would like to speculate a little, on the development of life in the universe, and in particular, the development of intelligent life. I shall take this to include the human race, even though much of its behaviour through out history, has been pretty stupid, and not calculated to aid the survival of the species."

เขียนโดย Project Control ที่ 22:59





ลองเลื่อนแถบข้างล่างนี่ ดูด้วยนะครับ เพราะภาพสุดท้ายนี้ใหญ่มาก


69
Cars / Exotic Cars
« on: 24 January 2013, 19:38:37  »


70
ภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง Canon EOS 5D Mark III



NightVision ~ After Dark with the Canon 5D Mark III

 

   


มีอีกมากนะครับ เชิญตามไปดูที่ลิงค์ข้างล่างได้เลยครับ ...

http://aaronreedphotography.com/
 


71
ยอดเยี่ยมมากครับ อย่างนั้นผมต้องเอาภาพที่ถ่ายด้วย EOS 5D มาโพสท์หลายแล้วครับคุณลุง

ห้องกิจกรรมยามว่าง ต้องเปิด Photo Corner เชิญคุณลุงเปิด Moderator แล้วนะครับ

72
Celebritties / Hollywood Super Stars (female 108 Pcs.)
« on: 24 January 2013, 16:20:19  »
1100X825







1600X1200











1600X1200 ถ้่าคลิกที่รูปเล็กแต่ละรูป จะได้รูปใหญ่ขนาดเต็มสามารถดาวน์โหลดได้ทุกรูป ทั้งหมด 108 ภาพนะครับ

   

 

73
Animals / Butterflies
« on: 24 January 2013, 16:17:23  »
 
 
 
 
 
 
 

 
 
10
 
 
 
 
 

 
 
 
 
20
 
 
 

 

26



74
Animals / หลากหลายสายพันธุ์
« on: 24 January 2013, 16:15:16  »

 
 
 

 
 
 

 
 
10
 

 
 
 

 
 
 

20
 
 
 

 
 
 

 
 
30
 

 
 
 

 

38

75
๑๐ ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก



ทุกคนรู้ดีว่างานศิลปะมีราคาแพง แต่คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือที่ว่าแพงนั้นแพงแค่ไหน? และนี่คือภาพเขียนที่แพงที่สุด 10 ภาพที่เคยซื้อขายผ่านการประมูล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าภาพเหล่านั้นเป็นภาพที่ดีที่สุดหรือสวยที่สุด แต่หมายความถึงว่าจิตรกรเหล่านั้นได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการศิลปะ ภาพวาดเหล่านี้จะเรียงตามลำดับมูลค่าของมัน ซึ่งมูลค่าของมันก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้นๆ ด้วย และคุณอาจจะสังเกตว่าภาพจิตรกรรมที่ขายไปใน1-2 ทศวรรษที่ผ่านมาติดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แน่นอนว่าภาพ Mona Lisa (La Gioconda) ที่วาดโดยจิตรกรเรืองนาม Leonardo da Vinci (1452-1519) ซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี 1503–1507 ปัจจุบันเป็นสมบัติของรัฐบาลฝรั่งเศส จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse du Louvre ในกรุงปารีส เป็นภาพที่ไม่มีวันนำออกมาประมูลขายได้ แต่มันเป็นภาพเขียนมีการประกันภัยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1962 ภาพนี้ได้รับการประกันภัยสูงถึง $ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนที่จะนำออกไปแสดงยังสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายเดือน และในปี 2006 ภาพนี้จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึงราวๆ $ 670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว 10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก




โดย: - [8 ส.ค. 49 21:02] ( IP A:202.12.74.5 X: )


ความคิดเห็นที่ 1
    1. Portrait of Dr. Gachet by Vincent van Gogh ($116,790,000)
ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือนาย Ryoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990 ด้วยวงเงินสูงถึง $ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr. Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1890 โดย Vincent van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ชาวดัทช์

นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่าเขาปรารถนาที่จะเผารูปเขียนของ Vincent van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเป็นแค่การพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใด ซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van Gogh ได้เขียนรูปเหมือนของ ไว้ 2 รูปด้วยกัน โดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส


โดย: - [8 ส.ค. 49 21:02] ( IP A:202.12.74.8 X: )

ความคิดเห็นที่ 2
    2. Bal au moulin de la Galette by Pierre-Auguste Renoir ($110,420,000)
Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส Pierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน


โดย: - [8 ส.ค. 49 21:04] ( IP A:202.12.74.6 X: )

ความคิดเห็นที่ 3
    3. Garcon a la Pipe by Pablo Picasso ($106,910,000)
Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้าย

ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ $ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุค Cubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียงของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง

โดย: - [8 ส.ค. 49 21:04] ( IP A:202.12.74.6 X: )

ความคิดเห็นที่ 4
    4. Dora Maar au Chat by Pablo Picasso ($95,216,000)
Dora Maar au Chat (Dora Maar with Cat) ภาพเขียนปี 1941 โดย Pablo Picasso จิตรกรเอกชาวสเปน ผู้หญิงในภาพคือ Dora Maar ภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้เขียนขึ้นในยุค Cubism ที่มีชื่อเสียงของเขา และถูกนำออกประมูลขายในการประมูลภาพเขียนของจิตรกรยุค Impressionism ที่สถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2006 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 95.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาที่ประเมินไว้คือ $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ไม่ประสงค์ออกนามเป็นผู้ที่ประมูลได้ไป


โดย: - [8 ส.ค. 49 21:06] ( IP A:202.12.74.6 X: )

ความคิดเห็นที่ 5
    5. Irises by Vincent van Gogh ($78,400,000) ภาพดอก Irises วาดโดย Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในขณะที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในสถานพักฟื้น Saint Paul-de-Mausole ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1890

ในปี 1987 ภาพนี้ได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก เมื่อมันถูกขายไปในราคาสูงถึง $ 54,000,000 ล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยนาย Alan Bond แต่เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายได้จึงต้องมีการประมูลขายอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันภาพนี้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ Getty Museum ในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริก

โดย: - [8 ส.ค. 49 21:07] ( IP A:202.12.74.5 X: )

ความคิดเห็นที่ 6
    6. Massacre of the Innocents by Peter Paul Rubens ($77,927,000)
ภาพเขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนาย Kenneth Thomson (บารอน ทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ($ 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby


โดย: - [8 ส.ค. 49 21:08] ( IP A:202.12.74.5 X: )

ความคิดเห็นที่ 7
    7. Les Noces de Pierrette by Pablo Picasso ($72,697,000)
Les Noces de Pierrette ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกอีกภาพหนึ่งของ Pablo Picasso จิตรกรและประติมากรเอกชาวสเปน วาดขึ้นในยุค Blue Period ของเขา เป็นช่วงที่เขาทุกข์ทรมานจากความยากจนและความโศกเศร้า เนื่องจาก Carlos Casagemas เพื่อนรักของเขาฆ่าตัวตายเมื่อปี 1901 ภาพนี้ถูกขายให้กับเศรษฐีชาวเอเซียด้วยราคาสูงถึง $ 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1989 ในการประมูลที่สถาบัน Binoche et Godeau ที่ปารีส


โดย: - [8 ส.ค. 49 21:09] ( IP A:202.12.74.6 X: )

ความคิดเห็นที่ 8
    8. Portrait de l'Artiste sans Barbe by Vincent van Gogh ($ 71,690,000)
Portrait de l'artiste sans barbe ("Self-portrait without beard") หรือ ”ภาพเหมือนที่ไม่มีเครา” หนึ่งในภาพเหมือนตัวเองหลายๆ ภาพของ Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปี 1889 ซึ่งเขาพำนักอยู่ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ภาพเขียนสีน้ำมันภาพบนเฟรมผ้าใบภาพนี้มีขนาด 40x31 ซ.ม. (16" x 13")

Van Gogh เขียนภาพนี้หลังจากที่เขาพึ่งโกนหนวดเสร็จ แตกต่างจากภาพเหมือนรูปอื่นๆ ของเขาที่ไว้เครา และมันได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกตลอดกาลเมื่อถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1998


โดย: - [8 ส.ค. 49 21:10] ( IP A:202.12.74.5 X: )

ความคิดเห็นที่ 9
    9. Rideau, Cruchon et Compotier by Paul Cezanne ($70,140,000)
Rideau, Cruchon et Compotier ภาพเขียนของ Paul Cezanne เขียนขึ้นในช่วงปี 1893-1894 Cezanne เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพหุ่นนิ่ง ซึ่งแสดงอารมณ์อันล้ำผ่านความสงบนิ่งในความเหมือนจริง

ภาพนี้ถูกประมูลขายไปด้วยราคาสูงถึง $ 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Sotheby เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1999 ผู้ที่ประมูลไปคือ ตระกูล Whitneys หนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นภาพนี้ได้ถูกนำมาประมูลใหม่อีกครั้งหนึ่ง

โดย: - [8 ส.ค. 49 21:10] ( IP A:202.12.74.5 X: )

ความคิดเห็นที่ 10
    10. Femme aux Bras Croises by Pablo Picasso ($52,851,000)
Femme aux Bras Croises (Woman with Folded Arms) ภาพเขียนฝีมือของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1902 ในยุค Blue Period ของเขา ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนและโศกเศร้า ในภาพเป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดอกอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย ความแตกต่างของน้ำหนักสีฟ้าที่สวยงามคือเทคนิคการใช้สีที่ Picasso นิยมใช้ในยุคนี้

ภาพ Femme aux Bras Croises ถูกประมูลขายไปในราคา $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลของสถาบัน Christie ที่ Rockefellerในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2000


โดย: - [8 ส.ค. 49 21:11] ( IP A:202.12.74.8 X: )

ความคิดเห็นที่ 11
   การอภิปรายเรื่องความงามและรสนิยมชมชอบทางศิลปะและดนตรีนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการอภิปรายกันยาวนาน (แต่ก็คงจะสุขใจกว่าการอภิปรายเรื่องการเมืองในช่วงนี้อย่างแน่นอน)

อย่างไรก็ตาม ความงามของศิลปินระดับโลกบางท่าน อาจจะต้องใช้ใจสัมผัส มองด้วยสายตาประการเดียวมิได้ นอกจากนี้ประสบการณ์, การสั่งสมเกี่ยวกับการศึกษาศิลปะทั้งการปฏิบัติและการเสพ ก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน(แม้นไม่โดยตรงก็โดยปริยาย) รวมทั้งความเข้าใจในอัตถชีวประวัติของศิลปินท่านนั้นๆ

สำหรับความงามในผลงานของฟาน ก็อก (จ๋าขออนุญาตอ่านด้วยสำเนียงดัชท์) มันคงไม่ใช่ความงามในรูปแบบเรียลลิสติกซิสมฺ (เหมือนจริง) แต่ความงามอันปรากฏในภาพเขียนของเขามันเป็นความงามที่ออกมาจากก้นบึ้งอารมณ์จากความเจ็บปวดรวดร้าวและสิ้นหวังซึ่งฝีแปรง สีสันและอารมณ์ของภาพมันรันทดเกินกว่าที่จะระบายออกมาในรูปแบบเรียลลิสได้

คุณ APM ลองพิจารณาภาพดอกทานตะวันและภาพดอกไอริสนะคะ เห็นไหม... ว่ามันร่วงโรยและบูดเบี้ยวเพียงไรก็เหมือนชีวิตของฟาน ก็อก นั่นละค่ะ ระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเข้าใจเขา ยกเว้นธีโอ น้องชาย ภาพเขียนก็ขายไม่ได้ (ลืมไป .. ขายได้ภาพเดียว) รักใครก็ไม่สมหวัง ยังมีภาพเซลฟ์พร็อทเทรต (ภาพที่ ๘) นั่นอีก คุณAPM มองเห็นไหมคะว่าดวงตาของเจ้าของภาพ มันแห้งแล้งหม่นหมองขนาดไหน ไม่มีความสดชื่นอยู่ในแววตาเลย

นั่นละค่ะ สิ่งที่เรียกว่า "ความงาม" ในภาพเขียนของฟาน ก็อก

ฉันใดก็ฉันนั้น รสนิยมเชิงศิลปะของแต่ละบุคคลนั้นต่างกัน ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก บ้างชอบจิตรกรรมไทย บ้างชอบอิมเพรสชั่นนิสม์
บ้างชอบเซอร์เรียลลิสม์ ฯลฯ รสนิยมทางดนตรีก็เหมือนกันบ้างชอบคลาสสิค บ้างชอบลูกทุ่ง บ้างชอบร็อค ฯลฯ
โลกนี้อยู่ได้ด้วยความหลากหลายค่ะ แต่สำหรับจ๋าแล้วศิลปะและดนตรี คือ เส้นทางแห่งการสร้างสรรค์ที่มีสุนทรียศาสตร์ โดยมีความงามและความอิ่มเอิบใจเป็นจุดหมายปลายทาง

จ๋าอาจจะพูดจาเฟอะฟะไปบ้าง โปรดอย่าถือสา

โดย: จ๋า [8 ส.ค. 49 21:11] ( IP A:202.12.74.6 X: )   

ความคิดเห็นที่ 12
  ไม่ทราบมีใครเป็นแฟน Gustav Klimmt รึเปล่า
ข่าวล่าสุดจากเว็บ manager ค่ะ

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงาน เจ้าพ่อเครื่องสำอาง โรนัลด์ เอส. ลอเดอร์ ซื้อภาพวาดในปี 1907 ของจิตรกรชื่อดัง กุสตาฟ คลิมท์ไปในราคาถึง 135 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในการซื้อขายภาพวาด

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับวานนี้ (19) รายงานว่า ภาพเหมือน “เด็กชายกับกล้องยาสูบ (เด็กเพิ่งหัด)” ของปิกัสโซในปี 1905 ซึ่งเคยมีราคาที่สูงทีสุดถึง 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการประมูลที่โซธบีส์ในปี 2004 ถูกทำลายสถิติโดยภาพเขียนของจิตรกรชาวเวียนนา กุสตาฟ คลิมท์

ภาพเหมือนหุ้มทองของอาเดเลอ บล็อค-เบาเออร์ ภรรยาของเจ้าของโรงงานน้ำตาลชาวยิว ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของคลิมท์ ซึ่งรัฐบาลออสเตรียต้องต่อสู้แย่งชิงภาพนี้กับหลานสาวของบลอค-เบาเออร์ผู้ที่โต้แย้งว่าภาพนั้นถูกทหารนาซียึดไประหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ ภาพเขียนทั้ง 5 ภาพของคลิมท์ได้รับการตัดสินให้คืนแก่หลานสาวของบล็อค-เบาเออร์ คือ มาเรีย อัลทแมนน์ วัย 90 ปี ซึ่งอาศัยในลอสแองเจลิสกับสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ

การซื้อขายภาพครั้งนี้เป็นข้อตกลงที่เป็นความลับ และลอเดอร์เองก็ไม่สามารถยืนยันราคาได้ทางโทรศัพท์ แต่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งคุ้นเคยกับการเจรจาต่อรองราคาที่ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวว่าลอเดอร์ซื้อภาพนั้นในราคา 135 ล้านเหรียญ

“มันเป็นการได้มาครอบครองครั้งหนึ่งในชีวิต” ลอเดอร์กล่าว นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง นู แกลเลอรี พิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ในแมนฮัตตันซึ่งเปิดให้ชมมาเป็นเวลา 5 ปี โดยจัดแสดงภาพศิลปะเยอรมันและออสเตรียน ซึ่งภาพเขียนทั้ง 5 ภาพของคลิมท์ก็จะออกแสดงให้ชม ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในวันที่ 13 กรกฎาคม - 18 กันยายน แต่ขณะนี้ภาพเขียนทั้งหมดยังคงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะนครลอสแองเจลิส


โดย: spass [8 ส.ค. 49 21:12] ( IP A:202.12.74.6 X: )

ความคิดเห็นที่ 13
   ศิลปินและงานศิลป์ของเขาจะไร้ค่า หากไร้ซึ่งผู้ซาบซึ้งศิลปะที่ดี
ผมไม่ทราบว่าคุณจ๋าเป็นศิลปินแค่ไหน แต่เป็นผู้ซาบซึ้งศิลปะที่มีคุณภาพจริงๆครับ

โดย: Kreisler [8 ส.ค. 49 21:13] ( IP A:202.12.74.8 X: )   

ความคิดเห็นที่ 14
  ขอทยอยตอบ ดังนี้
๑. ตอบคุณKreisler : ขอบคุณค่ะ จ๋าไม่ได้เป็นศิลปินหรอกค่ะ อาศัยว่าใจรักทางด้านประวัติศาสตร์ศิลป์และทัศนศิลป์ แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักหรอกค่ะ ธรรมดามากๆ
๒. ตอบลุงสุบ : คำถามแนวๆนี้ เมื่อหลายปีมาแล้วเคยเป็นข้อสอบในวิชาปรัชญาศิลปะ ซึ่งยากแสนยากที่จ๋าเคยเรียน แหะแหะ ต้องตอบอีกแล้วหรือนี่ ตอบแบบรวบรัดหน่อยนะ
ถ้าลุงสุบต้องการซื้องานreproduction(อ้อ..ควรเรียกว่า copy ดูจะตรงกว่า) เพื่อเสพย์ความงามแทนต้นฉบับและลุงสุบมีหัวใจที่รักศิลปะ ก็.. น่าจะ .. ซื้อได้ค่ะ
แต่จ๋าอยากจะบอกว่าเนื้อแท้ความงามของศิลปะนั้นมาจากการสร้างสรรค์ มาจากการหลอมรวมความรู้สึกนึกคิดตลอดจนประสบการณ์ของศิลปินออกมา ดังนั้นภาพ copy ดังกล่าวจึงน่าจะมีคุณค่าและความงามในเชิง decoration เท่านั้น ต่อให้ถูก copy จนเหมือนเพียงไรก็ไม่สามารถไปไกลถึงงาน pure art นะคะ
สำหรับช่างเขียนที่เน้นแต่การ copy ภาพที่มีชื่อเสียง เขาอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ปัจจัยต่างๆในการดำรงชีพก็ได้ค่ะ ไม่ว่ากัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าตลอดชีวิตเขาวนเวียนอยู่แต่การลอก/เลียนแบบ มันคงเป็นชีวิตที่แห้งแล้งสุดๆ
๓. เดี๋ยวจ๋ามาตอบคุณแก้วช่างสงสัยนะคะ กรณีงานของดาลี จิตรกรผู้มีความบรรเจิด (ศัพท์สุภาพของคำว่า ต๊อง )
๔. เพิ่มเติมสักนิด งานส่วนใหญ่ของกุสตาฟ คลิมท์ มักจะมีสีทองและมีความมลังเมลืองปรากฏอยู่เกือบทุกภาพ ทั้งนี้เพราะรากเหง้าของบรรพบุรุษเขาเป็นช่างทองค่ะ สงสัยจะฝังอยู่ในสายเลือด

โดย: จ๋า [8 ส.ค. 49 21:13] ( IP A:202.12.74.8 X: )   

ความคิดเห็นที่ 15
  ตอบคุณแก้วช่างสงสัยค่ะ

อย่าเรียกว่าชี้แนะเลยค่ะเพราะจ๋าก็ไม่ได้รอบรู้อะไร ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดละกันค่ะ
- ผลงานของดาลี ก็น่าที่จะเข้าใจยากอยู่สักหน่อย เพราะตัวเขาเองก็ยังประกาศออกมาอย่างโจ๋งครึ่มว่า จะให้บุคคลทั่วไปมาเข้าใจความหมายภาพเขียนของเขาได้อย่างไร ในเมื่องตัวเขาเองยังไม่เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ (ซะงั้น)
- ที่เป็นเช่นนี้ อาจจะเนื่องมาจากแนวความคิดของเขาที่ส่งสาส์นออกมาสู่ผู้ชมนั้น ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงจิตใต้สำนึก,สัญชาติญาณและอารมณ์ความรู้สึกดิบๆ,ความอ้างว้างว้าเหว่, สัมผัสเกี่ยวกับความตาย ที่มันแฝงอยู่ในมนุษย์ทุกคน ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานทางการศึกษาหรือว่าพื้นฐานทางวัฒนธรรม
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นความงามและแก่นแท้ของชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ แม้มันจะดูยากก็ตาม
งานของดาลีดูแปลกประหลาด ทั้งนี้เพราะในวัยเด็กเขาถูกกดดันมากจากพ่อแม่ ก่อนหน้านั้นเขามีพี่ชายคนหนึ่งชื่อซัลวาดอร์ ดาลี เหมือนกัน และเก่งมากแต่มาตายไปเสียก่อน ต่อมาพอมีลูกชายคนใหม่ก็เลยคาดหวังและเลี้ยงดูอยู่ในกรอบกฎเกณฑ์เกินไปหน่อยแต่บ่อยครั้งก็ใช้อารมณ์กับลูกเกินไปหน่อยดาลีเลยเครียดมากมีอาการเพี้ยนแบบสุดโต่ง ดังนั้น ความเก็บกดที่อยู่ในจิตใต้สำนึก ต่างๆนานาในชีวิต จึงน่าที่จะแฝงอยู่ในผลงานของเขาน่ะค่ะ
- ที่ดาลีโด่งดังมาได้ นอกจากผลงานที่ไม่เหมือนใครแล้วคาดว่าคงจะมาจากไลฟ์สไตล์แปลกๆของแก เช่น ในงานเปิดนิทรรศการศิลปะของดาลี มีการเชิญนักการเมืองมาด้วย ทันใดนั้นเอง ไม่มีใครคาดคิดพี่แกก็ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่านักการเมืองเฉยเลย (ไม่รู้ว่านักการเมืองคนนั้น หน้าออกเหลี่ยมๆหรือเปล่า)
รวมทั้งกาล่าผู้ภรรยาซึ่งเป็นเจ๊ดันสุดฤทธิ์ + ความสามารถอื่นๆในด้านการออกแบบของดาลีเอง เช่น ออกแบบฉากในละครเวที, บรรจุภัณฑ์ชอกโกเล็ต ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์
- ไม่รู้สึกชอบก็ไม่เห็นเป็นไรเลย จ๋าเองก็เคยมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับอาจารย์บางประการ คืออาจารย์ชอบผลงานของศิลปินคนหนึ่งแต่จ๋าไม่ชอบ ก็บอกเหตุผลและความรู้สึกที่ไม่ชอบให้อาจารย์ฟัง แกก็บอกว่าแต่ละคนก็มีเหตุมีผลเป็นของตนเอง ไม่ผิด แต่ถ้าตลอดชีวิตนี้ไม่เคยเห็นความงามของภาพเขียนแม้ซักภาพเดียว อันนี้ผิดปกติแน่นอน

โดย: จ๋า [8 ส.ค. 49 21:13] ( IP A:202.12.74.5 X: )   

ความคิดเห็นที่ 16
  - การที่ภาพแพงจนมากเกินไปนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปั่นราคาของบริษัทประมูล, dealer(ก็คงเหมือนกับการปั่นราคาไวโอลินละกระมัง) รวมทั้งนักวิจารณ์ศิลปะบางคน ที่ตกเป็นทาสเงินตรา รวมหัวกันสร้างราคาจนเกินจริงผ่านบทวิจารณ์
และเศรษฐีบางคนก็ชอบเก็งกำไร มากกว่าที่จะสะสมเพราะความรักในศิลปะอย่างแท้จริง

- สำหรับภาพที่๒ คุณเอ๊ะตาดีมากๆเลยและตั้งข้อสังเกตว่าผู้หญิงในรูป หลายคนมีหน้าตาเหมือนกัน
พอดูไปดูมา ก็ชักจะรู้สึกว่า " คล้ายกัน" แฮะ

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของภาพนี้ไม่ได้ต้องการวาดภาพ Portraitค่ะและก็ไม่ได้สะท้อนภาพที่เป็นความงามของหญิงชายในเชิงอุดมคติในใจของเรอนัวร์ แห่งลัทธิอิมเพรสชั่นนิสมฺ เท่ากับความรู้สึกของเขาที่มีต่อสภาพบรรยากาศทางสังคมและผู้คนในสังคมชั้นสูงของฝรั่งเศส ซึ่งในสมัยนั้นสังคมชั้นสูงก็ค่อนข้างจะเลยเถิด ไร้สาระอยู่เหมือนกัน (ในภาพจะเห็นว่าไม่ใช่การเต้นรำทั่วไปแต่มีการกอดรัดกันพอสมควร สตรีบางคนอยู่ในอาการมึนเมา)ภาพนี้นอกจากจะงามด้วยองค์ประกอบของภาพ สีสัน บรรยากาศโดยรวมๆแล้ว ยังถือเป็นภาพที่บันทึกเรื่องราวทางสังคมในสมัยนั้นได้ตามสมควร

โดย: จ๋า [8 ส.ค. 49 21:14] ( IP A:202.12.74.6 X: )   

ความคิดเห็นที่ 17
   มีอีกไอเดียที่เกี่ยวกับความงาม
บางครั้งความงามของภาพเขียนมันก็ขึ้นกับยุคสมัยนะ
ก่อนยุค impressionism และก่อนที่จะมีการถ่ายภาพในโลก ภาพที่เขียนเลียนแบบของจริงได้มากที่สุดจะมีค่ามาก จะถือว่ายอดเยี่ยม
อย่างเช่นภาพของ Vermeer ที่ชาญฉลาดมากในการเลียนแบบของจริงทั้งในเรื่องของสีและ perspective
แต่พอภาพในแนวนี้ออกมามากขึ้นๆผู้บริโภคเริ่มเอียน แถมมีวิวัฒนาการของกล้องถ่ายรูปขึ้นมาอีกทำให้รูปปวาดแบบนี้กลายเนธรรมดาไป ศิลปินเลยต้องหาแนวทางใหม่ๆมานำเสนอ
ดังนั้นใครก็ตามที่เป็นคนแรกที่ค้นพบแนวทางงานของเขามักจะมีความสำคัญเสมอ อย่างงาน impressionism นี่ในสมัยนั้นมันต้องช๊อคความรู้สึกคนอย่างมากกตัวอย่างเช่นภาพ impression sunrise ที่เหมือนกับเอาสีมาป้ายๆให้เปื้อนๆผ้าใบ บางคนอาจจะรับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหรี่ตาดูแบบสมมุติว่าเรากำลังตื่นขึ้นมาตอนเช้า ขี้ตาเต็มตาเลยมองไรไม่ใช่ก็จะเห็นว่าภาพนี้บันทึก อารมณ์ ของยามเช้าได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อดูๆไปก็จะซาบซึ้งในงานเหล่านั้นขึ้นเรื่อยๆจนถึงกับคลั่งไคล้
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานๆ มีงานผลิตมาในแนวนี้มากขึ้น คนสมัยต่อๆมาคงเข้าใจยากว่างานพวกนี้ยิ่งใหญ่อย่างไรในสมัยก่อน
นั่นเป็นเพราะว่างานพวกนี้มีความเป็น originality ในยุคของมันนั่นเอง

อย่างงานของ ฟาน ขฮ่อก (เลียนแบบคุณจ๋า ออกเสียงแบบดัทช์แท้ๆ Gogh จะออกเสียงเหมือขากสเลดเลยครับ นี่พูดจริงๆเพื่อนชาวดัทช์มันออกเสียงให้ฟัง มันขากสเลดดีๆนี่เอง คำว่า Paganini มันก็จะออกเสียงว่า ปัก - ขฮ้า - นินี่) ผมว่ามีดีตรงที่การใช้สี และฝีแปรงที่เป็นเอกลักษณ์รวมไปถึงการบันทึกอารมณ์และโลกทัศน์ที่บิดเบี้ยวของจิตกรความ มีเอกลักษณ์ ชื่อเสียงของจิตกร รวมไปถึงความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์นี่แหละครับที่ทำให้งานศิลป์แพงได้ถึงขนาดนี้
แพงกว่าไวโอลินตั้งเยอะแน่ะ ภาพเดียวซื้อ stradivari มาตั้งวง Orchestra ได้ตั้งวงนึงเลย

โดย: Kreisler [8 ส.ค. 49 21:15] ( IP A:202.12.74.6 X: )

http://www.pantown.com/board.php?id=1892&name=board7&topic=22&action=view

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.583 seconds with 21 queries.