Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
10 May 2024, 18:04:28

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,650 Posts in 12,467 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Profile of LAMBERG  |  Show Posts  |  Topics

Show Posts

Messages | * Topics | Attachments

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - LAMBERG

Pages: 1 ... 10 11 [12]
166
สาวเมืองโสม ...Kim Tae Yeon  :-\ หรือ "แท ยอน" พี่ใหญ่แห่ง So Nyeo Shi Dae หรือ Girl's Generation


             
10
               
20
               
30
     
33


แล้วจะมาต่อกันจนครบนะคะ... 


167
MOCHA



....ใช่สาวไทยมั้ยเอ่ย ....




























168
                           
15
   





169
สมาคมลับ CFR เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโลก


นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๒๐ หรือปี ค.ศ. ๑๙๐๐ เป็นต้นมา…จะเป็นเพราะความชุลมุนวุ่นวายอันเนื่องมาจาก ความขัดแย้งทางอำนาจและผลประโยชน์ในหมู่ชาติต่างๆ ในยุโรป ที่ปรากฏสืบเนื่องมาโดยตลอด และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสงครามครั้งแล้ว ครั้งเล่า หรือจะมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกด้วยหรือไม่? ก็แล้วแต่ บรรดาชาวยุโรปจำนวนไม่น้อย ได้เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของ “รัฐบาลโลก” (World Government) ที่จะทำหน้าที่ขจัดความขัดแย้งแตกต่างทางการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างชาติต่างๆ ด้วย “การทำโลกให้เป็นโลกเดียว” (One World) หรือ ”การสร้างสรรค์ระเบียบใหม่” ให้กับโลก (New World Order)…

กลุ่มคนที่พยายามนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ มีทั้งประเภทที่หนักไปในทางคิดฝันกันในเชิงอุดมคติ เช่น “เฮอร์เบิร์ต จอร์จ เวลส์” หรือ “เอช.จี.เวลส์” นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก้องโลก ที่ได้กล่าวถึงแนวคิดเหล่านี้เอาไว้หลายครั้งหลายหนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือถึงกับเคยเขียนถึงสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ในหนังสือชื่อ “One World State” ส่วนนักคิดและนักปรัชญาอย่าง “เบอร์ทรัล รัซเซล” ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ถึงความหวังต่อ “สันติภาพถาวร” ถ้าหากมี “รัฐบาลโลก” ถูกจัดตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานความเห็นชอบของนานาชาติ เพื่อควบคุมภยันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งกำลังเริ่มก่อให้เกิดความตึงเครียดกับโลกทั้งโลกมาตั้งแต่ช่วงระยะนั้น….หรือนักปราชญ์อาวุโสอย่าง “อาโนลด์ ทอยน์บี” ก็ถือได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่านี้และได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๖๑ ถึงความหวังที่จะมีรัฐบาลโลกเพื่อนำมาซึ่งหลักประกันสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติในยุคนิวเคลียร์…

ในขณะเดียวกัน…กลุ่มคนที่ไม่ได้มองแนวคิดเหล่านี้เพียงแค่ในเชิงอุดมคติ แต่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา และมีจุดมุ่งหมายที่หนักไปในลักษณะของความทะเยอทะยานอันมีแรงผลักดันมาจากความรู้สึกถึงความสูงส่งของเผ่าพันธุ์และชนชาติของตัวเองกันเป็นการเฉพาะ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เช่น แนวความคิดของ “เซซิล จอห์น โรเดส” นักธุรกิจเหมืองแร่และเจ้าที่ดินใหญ่ชาวอังกฤษที่ถือกำเนิดในแอฟริกาใต้ และเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้เกิดประเทศ “โรดิเซีย” (ซิมบับเว) ก็เคยเสนอแนวความคิดในลักษณะเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. ๑๙๐๐ ถึงความต้องการที่จะให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษจัดตั้ง “สหพันธ์รัฐบาลโลก” (Federal World Government) เพื่อที่จะช่วยปกป้องดูแลให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในโลกที่มีชาวผิวขาวปกครองและมีภาษาอังกฤษใช้เป็นภาษาหลัก…หรือ “ไลโอเนล เคอร์ติส” นักคิดชาวโปรเตสแตนท์ที่ได้เขียนหนังสือชื่อ “Commonwealth of God” ในปี ค.ศ. ๑๙๓๘ ปลุกเร้าให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ “ทำงานของพระเจ้า” (Work of God) ด้วยการรวมตัวกันจัดตั้ง “รัฐบาลโลก” เพื่อให้เกิดอาณาจักรของพระเจ้าที่ใช้ภาษาอังกฤษขึ้นมาในโลกนี้…

แต่นอกเหนือไปจากนั้น…แนวคิดในเรื่อง “รัฐบาลโลก” ก็ยังได้ถูกพูดถึง หรือได้ถูกสะท้อนออกมาผ่านทัศนคติของกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะถือได้ว่า เป็นกลุ่มที่มีพลังมากที่สุด!!! ในการขับเคลื่อนแนวความคิดดังกล่าวให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่อุดมคติที่เลื่อนลอย หรือเป็นแค่แนวความคิดที่เลอะเทอะ ไร้สาระดังเช่นกลุ่มอื่นๆ… นั่นก็คือกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายและแรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะขยายขอบเขตของผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองให้กว้างขวางออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้… หรือบรรดากลุ่มอภิมหาธุรกิจทั้งหลายทั้งในซีกตะวันตกและตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติก อันประกอบไปด้วยกลุ่มนายธนาคารระหว่างประเทศ กลุ่มนักอุตสาหกรรม การค้า รวมไปถึงชนชั้นขุนนางในยุโรป…

ด้วยอำนาจอิทธิพลทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจอันกว้างขวางใหญ่โตมหึมา… การผลักดันให้แนวความคิดดังกล่าวเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา…จึงก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในการพัฒนากลุ่มก้อนองค์กรนานาชนิด ให้อุบัติขึ้นมารองรับแนวความคิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง…ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้ง “ราชสมาคมว่าด้วยกิจการระหว่างประเทศ” (Royal Institute for International Affairs) ขึ้นมาในประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ตามมาด้วยการก่อตั้ง ”สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” หรือ “CFR” ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ การรวมตัวกันของนักธุรกิจการเงินในอเมริกาและอังกฤษที่จัดให้มีการประชุมเพื่อสร้างระบบการเงินโลกที่ “เบรตตัน วูดส์” ในปี ค.ศ.๑๙๔๔ ซึ่งได้นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในเวลาต่อมา ไปจนถึงการรวมตัวของผู้นำทางการเมืองในการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ …

นอกเหนือไปจากนั้น กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและทางการค้าเหล่านี้ยังพยายามสร้างเครือข่ายเชื่อมประสานผลประโยชน์ทางการเมืองและทางการค้าขึ้นมาด้วยองค์กรที่เรียกกันว่า “บิลเดอร์เบอร์ก” ในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ และยังมีส่วนผลักดันให้เกิดองค์กร “ตลาดร่วมยุโรป” หรือ “European Common Market” (EEC)ในปี ค.ศ. ๑๙๕๗ ที่ได้กลายมาเป็น “สหภาพยุโรป” ในทุกวันนี้ เกิดการจัดตั้ง “คณะกรรมการ ๓ ฝ่าย” หรือ “The Trilateral Commission” เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอำนาจของพันธมิตรอเมริกาเหนือ-ยุโรป-เอเชียเข้าด้วยกันในปี ค.ศ. ๑๙๗๓ จัดตั้ง ”องค์การการค้าโลก” หรือ “World Trade Organization” (WTO) ในปี ค.ศ. ๑๙๙๕… ฯลฯ บรรดาความเคลื่อนไหวเหล่านี้… ล้วนแล้วแต่ดำเนินสืบเนื่องกันมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้จุดมุ่งหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำพาโลกไปสู่การ “ทำให้โลกเป็นโลกเดียว”…โลกที่ได้รับการ “จัดระเบียบขึ้นมาใหม่” ให้อยู่ภายใต้อำนาจของ “รัฐบาลโลก”…???

แนวคิดในลักษณะที่ว่านี้…อันที่จริงก็ไม่ได้มีการแสดงออกในลักษณะปิดบังหลบซ่อนกันซักเท่าไหร่นัก หรือมันค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาในแนวเดียวกันกับที่ “เอช.จี.เวลส์” ได้เคยให้คำแนะนำเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าสามารถกระทำได้ในลักษณะที่เรียกว่า “การสมคบคิดอย่างเปิดเผย” (open conspiracy) นั่นเอง…ด้วยเหตุนี้…นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๒๒ มาแล้ว หรือเพียงแค่ประมาณ ๓ ปีเท่านั้นหลังจากได้มีการจัดตั้งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยมีอภิมหานักธุรกิจร็อคกี้เฟลเลอร์ ดำรงตำแหน่งประธานสภา บทความในนิตยสาร “ฟอร์เรจน์ แอฟแฟร์” ของ CFR ที่เขียนโดยสมาชิกขององค์กรชื่อว่า “ฟิลลิป เคอร์” ซึ่งได้จุดประกายความคิดเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนมาตั้งแต่นั้นแล้ว ก็ได้ระบุว่า… “ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน…สันติภาพและความรุ่งโรจน์ที่จะมีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ และกว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้จริงๆ…ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า… ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น…”

นอกเหนือไปจากนั้น…สมาชิกคนสำคัญๆ ของ CFR ในแต่ละยุค แต่ละรุ่น ก็เคยแสดงออกถึงแนวความคิดในลักษณะดังกล่าวอย่างไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไรมากมายนัก ไม่ว่าจะโดย “เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์” ที่ได้แสดงความเห็นในวารสาร CFR ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ว่า…”จะอีกนานเท่าไหร่สำหรับชีวิตของรัฐชาติ…จะอีกนานเท่าไหร่ที่เขาทั้งหลายพร้อมที่จะยอมเสียสละบางส่วนของบูรณภาพ โดยไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจจนไม่อาจยอมรับได้…เมื่อนั้นนั่นแหละที่…ระเบียบโลกใหม่… ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาและจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นสหประชาชาติที่แท้จริง หรือการนำไปสู่การกำหนดชะตากรรมร่วมกันของโลกใบนี้…”

แม้กระทั่งทายาทตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ อย่าง “เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์” ก็ได้เขียนถึงแนวคิดเหล่านี้ไว้ในหนังสือเรื่อง “Future of Federalism” ในขณะเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. ๑๙๖๒ และได้ยืนยันถึงแนวคิดเหล่านี้อีกครั้งต่อสำนักข่าว เอ.พี. ในระหว่างการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ ว่าเขาต้องการที่จะใช้ฐานะความเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในการผลักดันเพื่อให้เกิดการริเริ่มสร้างสรรค์อันจะนำไปสู่ “การจัดระเบียบโลกใหม่”…เช่นเดียวกับ “จอร์จ บอลล์” สมาชิกคนสำคัญของ CFR ผู้เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ได้เคยขายความคิดเหล่านี้ไว้ในระหว่างการปราศรัยต่อคณะกรรมการหอการค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ว่า “เขตแดนทางการเมืองของรัฐชาตินั้นคับแคบเกินไป และจำกัดขอบเขตกิจกรรมของธุรกิจสมัยใหม่ บรรษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการระดับโลกย่อมหวังที่จะเห็นแนวโน้มของโลกที่ไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี… แต่ยังต้องรวมถึงปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่ไม่ควรถูกจำกัดขอบเขตโดยความเป็นชาติอีกด้วย…” หรือ “เลสลี เกลบ์” ประธาน CFR ที่ได้ยืนยันเอาไว้ในรายการโทรทัศน์ในอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ว่า องค์กรอย่าง CFR ได้กล่าวถึงเรื่องราวของระเบียบโลกใหม่มานานแล้ว และถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานของ CFR ที่ได้ตอกย้ำมาโดยตลอดถึงการทำให้โลกเป็นโลกเดียว….

ภายใต้บทบาทของกลุ่มคนเหล่านี้ ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลและความผูกพันใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย จึงทำให้ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดว่า เหตุใดผู้นำทางการเมืองของอเมริกาในแต่ละยุคต่างก็ได้สืบทอดแนวความคิดเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ไม่ว่า ”แฟรงค์กลิน ดี. รูสเวลท์” ที่ใกล้ชิดกับ CFR ตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค และรับเอาบันทึกช่วยจำของ CFR ไปใช้เป็นนโยบายต่างประเทศอเมริกาในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประธานธิบดี “เฮนรี่ ทรูแมน” ที่ถึงกับประกาศเอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ ว่า…”เป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับชาติต่างๆ ที่จะเป็นสหพันธรัฐโลก เหมือนอย่างที่เราได้เป็นสหรัฐอเมริกาอยู่ในทุกวันนี้…” หรือ “เจมส์ พี.วาร์เบอร์ก” สมาชิกคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่าด้วยกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ว่า…”เราจะต้องมีรัฐบาลโลก…ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม คำถามมีอยู่แค่เพียงว่า มันจะบรรลุความเป็นไปได้ด้วยการยินยอมหรือโดยการบังคับ…เท่านั้นเอง…” และแนวคิดเช่นนี้ก็ได้ปรากฏให้เห็นสืบทอดกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะโดยรัฐบาลของรีพับลิกันหรือดีโมแครตก็ตาม…

คำประกาศถึง “การจัดระเบียบโลกใหม่” ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑๑ กันยายน ปี ค.ศ.๑๙๙๐ โดยประธาธิบดี “จอร์จ บุช” แห่งพรรครีพับลิกัน หลังสงครามเย็นได้ทำท่าว่าใกล้จะยุติลงไป จึงเป็นสิ่งที่มีเนื้อหาไม่ต่างอะไรไปจากแผน “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ในยุครัฐบาลประธานาธิบดี ”บิล คลินตัน” แห่งพรรคดีโมแครต หรือที่รู้จักกันในนาม “แผนยุทธบริเวณใหม่ของยุทธการสหรัฐ-ทางการเมือง-การทหาร” (Political-Millitary-A new Theater of Operation) หรือ “แนวทางยุทธศาสตร์ในอนาคตของสหรัฐอเมริกา” ที่ถูกประกาศออกมาในปี ค.ศ .๑๙๙๘.. และสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยกระดับให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้นไปอีกโดยประธานาธิบดี ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ด้วยการประกาศแนวทางของรัฐบาลอเมริกันต่อประเทศต่างๆ ในโลกเอาไว้ว่า…”ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา…ผู้นั้นก็คือฝ่ายผู้ก่อการร้าย” ซึ่งถือได้ว่า เป็นคำประกาศที่ไม่ต่างไปจากการสถาปนาตัวเองให้เป็น ”รัฐบาลโลก” อย่างเป็นทางการ…นั่นเอง!!!

แต่ในขณะที่รัฐบาลอเมริกาได้สถาปนาตัวเองให้กลายมาเป็นรัฐบาลโลกกันไปแล้วนั้น… ลึกลงไปในหน้าตาของความเป็นรัฐบาลอเมริกัน…ก็คงไม่ได้มีแต่ชาวอเมริกันที่มีบุคลิกโง่ๆ เซ่อๆ อย่างเช่นประธานาธิบดี “จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” เท่านั้น…ที่แสดงออกถึงความต้องการที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางความเป็นไปของโลกทั้งโลกในปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้า…. เพราะภายใต้ความเป็นรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุคแต่ละสมัยมันมักจะถูกแวดล้อมไปด้วยบรรดา “ชาวยิว” หรือบรรดา ”ชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรแล้วให้เป็นผู้ปกครองโลก” สอดแทรกอยู่ภายในทำเนียบประธานาธิบดีอย่างเป็นเครือข่าย… และดูเหมือนว่าบรรดากลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละ… ที่น่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญเอามากๆ หรือมีบทบาทอยู่เบื้องหลังการกำหนดทิศทางของโลกอย่างแท้จริง…???

ที่มา ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
http://www.onopen.com

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=neothailand&month=09-2008&date=05&group=5&gblog=14

http://chorchangsinging.blogspot.com/2011/10/new-world-order.html

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=neothailand&month=05-09-2008&group=5&gblog=14





ทักษิณกับCFR

A Conversation with Thaksin Shinawatra, Prime Minister of Thailand [Rush Transcript; Federal News Service, Inc.] - Council on Foreign Relations

ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ
CFR ที่ย่อมาจาก Council on Foreign Relations กันแล้ว ไม่ทราบว่ายังจำได้มั้ย?
ขบวนการ CFR อันเป็นขบวนการที่ผู้ทรงอิทธิพลทางการเงิน การค้า การเมือง รวมตัวกันตั้งขึ้นมาหลายศตวรรษแล้ว ด้วยเป้าหมายแห่งความเป็นศูนย์กลางอำนาจบังคับบัญชาโลก
โลกเดียว ๑ อำนาจ บริหารโดย "รัฐบาลโลก"
องค์การการค้าโลก เอ็นจีโอ ธนาคารกลางสหรัฐที่เรียกว่าเฟด ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก แม้กระทั่งตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นิวสวีก และซีเอ็นเอ็น ล้วนเป็นองค์กรเกิดขึ้นภายใต้การควบคุม-ชักใยของขบวนการ CFR นี้ทั้งสิ้น
"บุช-ผู้พ่อ" ของประธานาธิบดีบุชปัจจุบันนี้แหละ ตอนนี้เป็นประธานใหญ่ของ CFR ขบวนการปั่นโลก เดินบทบาทผ่านตำแหน่งประธานที่ปรึกษาคาร์ลไลส์กรุ๊ป ที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้ตามสถาบันการเงิน ตามธุรกิจโทรคมนาคม และตามธุรกิจพลังงาน
วานซืนโน้น ผมดูข่าว CNN ภาคดึก เป็นข่าวตูมตามว่า ซิตี้กรุ๊ป อันเป็นสถาบันการเงินใหญ่ของโลก ในเครือข่ายโกลด์แมนแซกส์ ออกอาการยุบ ขาดทุนบักโกรก ต้องอุดเงินอีกนับหมื่นล้าน
ซิตี้กรุ๊ป หรือโกลด์แมนแซกส์ นี่ก็กิจการในเครือข่าย CFR ซึ่งว่าไปแล้ว กิจการใหญ่ๆ ของ CFR จากสหรัฐ-ยุโรป "ครองโลก" อยู่ร้อยละ ๗๐-๘๐ จากสินค้า-ธุรกิจทั้งหมด
ฉะนั้น สงครามเศรษฐกิจ-การเงิน และผนวกด้วย "สงครามพลังงาน" ที่ป่วนโลกอยู่เวลานี้ ทั้งหลายทั้งปวง ส่วนหนึ่งเกิดจากความจงใจส่งสัญญาณจาก CFR เกือบทั้งนั้น
เพื่อสร้างเงื่อนไขนำไปสู่ New World Order สู่ศตวรรษที่ ๒๑

ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ไปบรรยายร่วมกับสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ CFR (โปรดดูโลโก้ด้านหลัง)

บิลเดอร์เบิร์ก (The Bilderberg Group)

บิลเดอร์เบิร์ก จัดประชุมกันครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2497 ที่โรงแรมบิลเดอร์เบิร์ก เมืองอูสเตอร์บีก ฮอลแลนด์ สมาชิกกลุ่มนี้ทั้งที่ตายไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น เฮนรี คิสซิงเจอร์, บิลล์ เกตส์, เดนนิส เฮียเลย์
(อดีตผู้นําพรรคแรงงานและ รมว.ความมั่นคงของอังกฤษ), เดวิด ร็อคกีเฟลเลอร์, เจ้าชายเบิร์นฮาร์ด
(พระสวามีของราชินีจูเลียนา แห่งเนเธอร์แลนด์), โรนัลด์ รัมส์เฟลด์ ฯลฯ

กลุ่ม บิลเดอร์เบิร์ก ประชุมสามัญกันทุกปีอย่างเปิดเผย โดยจะมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 100 ที่นั่ง ประชุมเสร็จ
ก็มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าประชุมอะไรกันไปบ้าง แต่จะไม่พูดถึงวาระลับซ่อนเร้น ที่รู้กันเฉพาะในหมู่สมาชิกเท่านั้น

การถล่มอัฟกานิสถานและอิรัก ความพยายามในการสกัดกั้นจีน ความรุนแรงในบางจังหวัดของบางประเทศ ฯลฯ นโยบายต่างๆ เหล่านี้มีการวางแผนและประสานจากองค์กรลับของโลกแทบทั้งนั้น ฝีมือของคน คนเดียวในระดับประเทศไม่มีทางทำอะไรได้ ต้องเป็นฝีมือของคนหลายคน ที่มีเครือข่ายโยงใยในหลายองค์กรโลกเท่านั้นจึงทำได้.

สมาคมนี้่มีแต่พวกยิวเป็นหลัก อย่างในรูปก็เป็นยิวคือนายมอริส กรีนเบิร์ก อดีต CEO ของ AIG ที่รับเงิน Bail out หลัง Lehman ล้ม ครั้งหนึ่ง AIG เคยเป็นบริษัทประกันใหญ่ที่สุดในโลก ใครทำงานเฟด กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯก็ต้องเคยอยู่ CFR มาทั้งนั้น นายจอร์จ โซรอสก็อยู่ เพระเป็นทั้งยิวและเป็นนักเก็งกำไร นายทักษิณก็รู้จักบุชผู้พ่อที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Carlyle Group ทุนการเงินทรงอิทธิพลของสหรัฐฯที่สนิทกับราชวงศ์อาหรับเป็นอย่างดี และนายอานันท์ ปันยารชุนก็เคยเป็นกรรมการบริษัทนี้ด้วย ดังนั้นนายอานันท์ก็เป็นคนน่าสงสัย และอาจมีเบื้องหลังเป็นคนกลุ่มเดียวกับทักษิณคือพวก CFR



170
"13 ตระกูลปริศนา" ผู้ทรงอิทธิพลของโลก


อันนี้เป็นลิ๊งค์ข้อมูล "13 ตระกูล"  ระดับหัวๆ ของพวกอีลูมินาติ และ NWO ( New World Order )หรือการจัดระเบียบโลกใหม่

เป็น หลักฐาน "ที่สำคัญ" อีกชิ้นที่ยืนยันสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดครับ ลิ๊งของแต่ละครอบครัวยังมีแตกย่อยลงไปอีก ว่าเค้าไปทำอะไรที่ไหนบ้าง แล้วแตกไปครอบคลุม อาณาจักรธุรกิจระดับโลกอะไรบ้าง เช่น อเมริกันเอ็กเพรส ซิตี้กรุ๊ป แม้กระทั่งขนส่งมวลชน และการเดินรถไฟในบางประเทศ ในอดีต คนพวกนี้ซ่อนตัวโดยใช้องค์กรการกุศลระดับโลกต่างๆ บังหน้าหรือเป็นหน้าฉากครับ แม้กระทั่ง UNICEF ก็ด้วย ลองดูข้อมูลในนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเชื่อมโยงข้อมูลครับ จะเห็นอะไรๆ ที่ทำให้ตาสว่างมากขึ้นเองครับ

http://www.bibliotecapleyades.net/bloodlines/index.htm#menu

เรา จะเห็นเลยว่าคนในครอบครัวเหล่านี้เข้าไปมีบทบาทในแวดวงการเมือง การเงิน การธนาคาร เศรษฐกิจระดับโลก หรือแม้แต่ "ชี้นิ้ว" ว่าจะให้ใครเป็นประธานาธิบดีของประเทศไหน แม้แต่สหรัฐครับ เพราะฉะนั้นต้องระวังเรื่องการเรียกร้อง "ประชาธิปไตยที่เกินเหตุ" ประสบการณ์กับข้อมูลที่ผมมีบอกผมว่าระบบที่เรามี กับ "พ่อหลวง" ของเราเรียกได้ว่าลงตัวและดีไม่แพ้ชาติใดในโลกแล้วครับ

จะ สังเกตุได้ว่า ไม่ค่อยมีใครแตะไปถึงหัวหรือเหนือจากคนกลุ่มนี้ขึ้นไปเพราะส่วนนึงคือข้อมูล ไม่พอ หาไม่ได้ง่ายๆ เพราะต้องไปค้นประวัติศาสตร์โลก และ Sources หรือแหล่งที่มีเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะเค้าแทบจะจดบันทึกทุกอย่าง หาเจอแล้วก็ยังเชื่อไม่ได้ต้องหาเปรียบเทียบอีก เจอแล้วบางทีคิดไปแล้วก็ไม่น่าเชื่อ แต่ผมมีครับแต่ต้องบอกก่อนว่ามัน "ลึก" มากๆครับ สำหรับใครที่สนใจจริงๆ จะค่อยๆโพสต์ให้ หรือเอาลิ๊งค์ให้ไปต่อยอดกันเอง และถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วจะเห็นภาพกลุ่มอำนาจที่ครอบงำโลกใบนี้ทั้งหมด ตั้งแต่อดีตเป็นพันปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน และโลกในอนาคต อีก 25-50 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อยครับ

"ลิ๊งค์ข้อมูลโดยคุณ Somcharn J. ขอบคุณครับ"


The Real Rothschilds

The Rothschilds หรือ Rothschilds Family หรือร๊อทไชลด์ เป็นครอบครัวที่ทรงอิทธิพลและมั่งคั่งที่สุดในโลกใบนี้ครับ ทรัพย์สินรวมไม่ต่ำกว่า 500-600 Trillion ไม่ใช่อย่างที่สารพัดนิตยสารจัดอันดับกันไว้ครับ ครอบครัวนี้เป็นมือทำงานทางด้านการเงิน ให้กับเครือข่ายดำขาวทั้งหมด เป็นครอบครัวเชื้อสายเยอรมัน-ยิว ทำกำไรจากสงครามโดยปล่อยกู้ให้กับคู่สงครามทั้งสองฝ่าย จัดหาอาวุธ  ทำกำไรจากตรงนี้ เป็นจิ๊กซอตัวที่ใหญ่ที่สุดตัวนึงบนกระดานการกำหนดความเป็นไปโลกใบนี้ครับ

ที่ เอามาเพิ่มให้เพราะไปเจอวีดีโอนึง เค้าเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกัน แล้วพาไปถึงตัวหัวเลยคือ Black Pope หรือ "โป๊ปดำ" ครับ ไหนๆ ก็เห็นเค้าลางอะไรหลายๆ อย่าง คงได้เวลาฉายไฟให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืดซักที เข้า YT, GG, GV, Wiki  แล้วใส่คีย์เวิร์ด "Black Pope" ครับ ชื่อตำแหน่งเป็นทางการคือ "Supreme General" สมญานามคือ "Black Nobility" "แล้วจะรู้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริงครับ"

( YT: Youtube; GG: Google, GV: Google Video, Wiki: Wikipedia )

แล้ว ถ้าอยากจะรู้จักว่าโป๊ปดำเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน มีที่มาอย่างไร ลองเข้าไปดูลิ๊งค์นี้ หมุนลงไปล่างๆ แล้วลองไปขยายความและต่อยอดกันดูครับ เค้านี่แหละครับยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลกแล้ว กลุ่มที่ "ควบคุม" ทั้งสหรัฐ อังกฤษและประเทศในเครือจักรภพ ฝรั่งเศษ และกลุ่มยุโรปทั้งหมดอยู่ในมือครับ แล้วการที่ 3 ชาตินี้ออกมากดดันอิหร่าน ที่สำคัญคืออยากให้รู้ครับว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้วเค้าต้องการอะไรกันแน่ นี่คือขั้วนึงของสงครามใหญ่ครั้งหน้า ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=debunk&month=09-2009&date=29&group=1&gblog=4
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=debunk&month=10-2009&date=10&group=1&gblog=18

ดูรูปนี้ครับเป็นการลงนามร่วมกันในรัฐธรรมนูณฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป
แล้วดูด้านบนของภาพ ที่อยู่บนหัวของ EU ก็คือ "หัว" พวกเค้านั่นแหละครับ
"ชัดเจน" นะครับ

http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=5730.0;prev_next=prev

______________________________________________________________________________
สรุป ว่าโอบาม่าได้รับเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลโบเบลเพียง 6 วัน หลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีครับ ในขณะที่ผู้ถูกเสนอชื่อท่านอื่นคุณลุง คุณป้าอายุ 60-70 กันแล้ว ทำงานเรียกร้องสันติภาพกันมา 20-30 ปี ไม่ค่อยมีด่างพร้อย

"ให้สังเกตุมือที่เปื้อนเลือด กับธงชาติอิสราเอลที่คอเสื้อครับ"

เห็น หรือยังครับว่าของเค้าแรงขนาดไหน ดูรูปนี้ครับ สังเกตุที่ "มือ" เลือดที่ติดมือยังไม่แห้งเลยครับ 55555 เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ไม่ถอนทหารจากอิรัค เปิดฉากสงคราอัฟกัน ส่งทหารเพิ่ม ความรุนแรงใน G20 เตรียมการโจมตีอิหร่าน สุดท้ายได้รางวัลโนเบล สาขาอื่นยังพอว่าครับ ได้สาขาสันติภาพอีก

ถ้า ใครตามเกมส์เค้าอยู่ตลอด จะเห็นว่าก่อน G20 โอบาม่าไป Address หรือปราศัยที่ยูเอ็นนิวยอร์ค ได้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประธานของ UN Security Council หรือกองกำลังของยูเอ็นครับ โดยที่ไม่มีการประกาศล่วงหน้ามาก่อน ภาพที่ออกมาทำให้ "งง" กันไปทั้งโลก ว่ายูเอ็นมันเล่นอะไรอีก คือการส่งสัญญาณครับว่า สหรัฐคงจะเป็นกองกำลังหลักและควบคุมกองกำลังของโลกใบนี้ทั้งหมดหลักจาก "เซ็นสนธิสัญญาโคเป็นเฮเก้น" เพื่อปูทางไปสู่การ "ตั้งรัฐบาลโลก" หรือ World Government ในเดือนธันวาคมนี้แล้ว ที่กรุงโคเป็นเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ค ใครที่สนใจการเมืองหรือความเคลื่อนไหวระดับโลกอยู่ เช็คเรื่องนี้เลยครับ เค้าจะเซ็นสนธิสัญญานี้กันในเดือนธันวาคมนี้แล้ว แต่จีน อินเดีย และรัสเซียประกาศแล้วครับว่าไม่เซ็น ไม่เอา ไม่ร่วม คงรู้ทันแล้วครับ

เกมส์ นี้ "ตัวดำขาว" เจ้าเก่ากะรวบหัว รวบหาง ใช้ UN เป็นเครื่องมือเหมือนเดิม ที่สำคัญที่สุดการประชุมรอบที่ผ่านมาเรื่องนี้เพิ่งประชุมจบไปที่่ไหนรู้ไม๊ ครับ "กรุงเทพ" บ้านเรานี่แหละ หลายรอบไปแล้วครับ ทำไมต้องเป็นประเทศเรา เราเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ทำไมหลายๆ อย่างมาใช้เราเป็นฐาน น่าคิดครับ การประชุมนี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น สรุปทั้งหมดทั้งสิ้นก็คือให้ไปเซ็นสัญญายอมรับการจัดตั้งรัฐบาลโลก หรือ Global Authority ที่พวกดำขาว อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ เรียกร้องกันนั่นแหละครับ คือขอให้ใครบางกลุ่มมีอำนาจสิทธิ์ขาดจัดการหลายๆเรื่องและอีกหน่อยจะเป็น ทุกๆ เรื่องในโลกใบนี้ได้ครับ

ภาพ ที่ออกมาเป็นช๊อตๆ กระจายไปทั่วโลก แล้วแต่ใครจะเห็นความเชื่อมโยงแล้วต่อติดหรือไม่ โดยเอาข้ออ้างเรื่องจะมีเงินไหลไปสู่ประเทศโลกที่ 3 เพื่อการพัฒนาในช่วง 2-3 ปีแรก ก็คือเอาเงินมา "ล่อ" ประเทศยากจนให้เค้าคิดว่าได้ประโยชน์แล้วยอมเซ็นรับ แล้วที่เหลือรัฐบาลโลกก็จะเริ่มเก็บ "ภาษี" ครับ

แล้ว ถ้าอ่านได้ลองหาสนธิสัญญาฉบับนี้อ่านเลยครับ ประมาณ 200 หน้า ถ้าจำไม่ผิด อ่านที่หลักๆก็พอแล้ว ถ้าอ่านแล้วจะเข้าใจว่า มันคือสนธิสัญญา NWO ( New World Order ) หรือการจัดระเบียบโลกใหม่นั่นเองครับ และทั้งหมดอยู่ภายใต้หน้าฉากของเรื่อง Glogbal Warming หรือภาวะโลกร้อนนั่นเอง นี่แหละครับพวก NWO เล่นเรื่องนี้มา  2-3 ปีก็เพื่อเรื่องนี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ "รัก" หรือ "ห่วงใย" โลกอะไร ใดๆ ทั้งสิ้นครับ เราถูกเค้า "หลอก" เรื่องนี้ไปมากและไปไกลแล้ว เรือง Global Warming หรือภาวะโลกร้อนไม่มีจริงครับ ที่ร้อนขึ้นเพราะเป็นช่วงวัฐจักรขึ้นลงของธรรมชาติเท่านั้นเอง

ลอง เซิร์ชหา "Global Warming Hoax" ในอินเตอร์เน็ตแล้วหาความจริงครับ หาดูกราฟระดับความร้อนความเย็นของโลกในช่วงพันปีทีผ่านมา ก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง  "โดยเฉพาะปีนี้จะเป็นปีแรกที่อากาศหนาวรุนแรงในเกือบ ทุกทวีปทั่วโลก" และจะหนาวรุนแรงขึ้นทุกปี จนอีก 15-20 ปีข้างหน้าโลกเราแทบจะเข้ายุคน้ำแข็งอีกครั้งแล้วครับ เป็นเพียงวัฐจักรของธรรมชาติเท่านั้นเอง มีหลักฐานไม๊ ง่ายนิดเดียวครับ เมื่อ 1-2 อาทิตย์ก่อนจนมาถึงวันนี้ ในทวีปอเมริกาเหนือแทบจะเข้าฤดูหนาวแล้วครับ หนักเข้าไปอีกหิมะตกลงมาถึง ภาคกลางตอนบนในเดือนตุลา แล้วอุณภูมิทำสถิติต่ำสุดในรอบ 40 ปี เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทั้งที่จริงๆ แล้วเพิ่งจะเข้า Fall หรือ ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมานี่เอง จะไปวินเทอร์อีกทีก็โน่น 21 ธันวาครับ "แล้วไหนบอกว่าโลกร้อนไง"

เรา ประเทศเล็กๆ คง "โดน" ครับแต่ไม่รู้ว่าจะกระทบมากขนาดไหน ได้แต่หวังว่าในส่วนหัวๆ ระดับบริหารประเทศเราจะตามเค้าทันครับ ตามเรื่องนี้ไว้ มันจะเป็น "กระแสโลก" ที่รุนแรงมากในอีก 5-10-15 ปีข้างหน้านี้ครับ อย่างนึงคือเงินภาษีส่วนนึงของพวกเราและคนทั้งชาติก็ต้องไปจ่ายสมทบให้กับ UN ในเรื่อง(เอาแบบตรงๆ เลยนะ) "แหกตา" เหล่านี้ครับ แล้วต้องไปยอมทำตามในหลายๆ เรื่องหลังจากที่เซ็นสนธิสัญญาฉบับนี้ไปแล้วครับ ถ้าไม่รีบจับเค้าเซ็นกันแล้วมันหนาวขึ้นมาแล้วเรื่องมันจะแตกครับ เลยต้องปลายปีนี้เลยครับ

ดูลิ๊งเหล่านี้ครับ:
http://unfccc.int/2860.php
http://www.npr.org/templates/story/story.php?storyId=113036276
http://www.eenews.net/special_reports/copenhagen/
http://en.cop15.dk/news/view+news?newsid=876

http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=5730.0;prev_next=prev

____________________________________________________________________________
ประเด็น ตอนนี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าการ "รวมหัว" กันทุบดอลล่าแล้วครับ สถานการณ์ตอนนี้คือ ใครไม่ทิ้ง ใครไม่ทุบสิแปลกครับ แล้วเป็นการกระหน่ำทุบ ทั้งกาย วาจา และใจเลยครับทีนี้ ปัญหาคือถ้ามันเร็วเกินไป ไม่ใช่ดอลล่าอย่างเดียวที่ล่มครับ เศรษฐกิจทั่วโลกมันจะตามกันไปทั้งหมด เหมือนที่ผมเคยโพสต์ไว้ตั้งแต่ไปเขียนในบอร์ด Goldhips นั่นแหละครับ ตอนนั้นยังไม่ข่าวอะไรเกี่ยวกับดอลล่าเลย ผมเขียนไว้ว่าดอลล่าจะล้ม อาจมีหลายคนหาว่าผมบ้าแน่ๆ  ไม่เท่านั้นยังแถมปอนด์อังกฤษให้อีกสกุลนึงด้วยอ้าว ยิ่งหนักเลยครับ

แต่ มาถึงตอนนี้คงจะได้คำตอบกันแล้ว แล้วเท่าที่ดูมันจะเร็วกว่ากำหนดซะด้วยครับ ให้ระวังอุบัติเหตุเรื่องค่าเงิน "ให้มากๆ ถึงมากที่สุด" เพราะมีข่าวทางลึกเค้าอาจจะใช้วิธีการล้มดอลล่าแบบ "ฉับพลัน" แล้ว ไม่เกิน 1 ปีครับ ส่วนตัวผมยังกลัวว่าจะไม่เกิน 6 เดือนซะด้วยซ้ำ วิธีการคือการก่อวินาศกรรมช๊อคโลกครับ เต็ง 1 ตอนนี้คือวอชิงตัน ดีซี เต็ง 2 คือนิวยอร์คเจ้าเก่า ลูกเดียวเท่านั้นแหละ หยุดทุกอย่างหมดเลย ล้มทั้งตลาดหุ้น เศรษฐกิจและเงินดอลล่า ในไม้เดียว ไม่เท่านั้นโยนความผิดไปให้อิหร่าน เกาหลีเหนือ และตัวการ์ตูนผู้ก่อการร้ายต่างๆ ที่่เค้าสร้างขึ้นมา แล้ว "เปิดฉากสงคราม" ทำเงิน ทำกำไรต่อเลยครับ ทั้งหนัก ทั้งเนียน และเค้าได้ประโยชน์เต็มๆ

เพราะ อเมริกาเค้าตันแล้วครับ เที่ยงคืนของวันที่ 31 ตุลาคมนี้ต้องปิดหีบงบประมาณแล้วต้องกางบัญชี เปิดเผยตัวเลขทุกอย่างทั้งของรัฐบาลกลางคือ Federal  และรัฐบาลท้องถิ่นหรือ State คือต้องประกาศตัวเลขต่างๆ ถ้าไปไม่ได้ก็ต้องประกาศล้มละลายครับ เค้าจะลงมือก่อนหรือไม่ต้องจ้องไว้เลยครับ หรือเค้าจะออกทางไหน แค่ลูกเดียวเท่านั้นหรืออาจจะมีเซอร์ไพรส์เพิ่มก็แล้วแต่ จากผู้ร้ายกลายเป็นผู้น่าสงสาร กลายเป็นฮีโร่ พลิกสถานการณ์ได้เลยครับ .......

ถ้าเอาแบบมวยก็ดูสถิติการชกที่ผ่านมาได้ก็คือ 2 ไฟลต์ที่ผ่านมา ชนะน๊อคทั้ง 2 ไฟลท์ครับ

1.สมัย คลินตัน วันที่ 19 เมษายน 1995 ( 9:02 น.) ระเบิดตึกที่ทำการรัฐบาลหลายหน่วยงาน รวมทั้ง FBI ที่โอคาโฮม่าซิติี้ รัฐโอคาโฮม่า หรือเรียกว่า "OKBOMB" ตายไป  168 บาดเจ็บ 680 แล้วลากไปสู่สงครามก่อการร้ายครับ ที่หน้าสังเกตุคือเป็นเวลาทำการช่วงเช้า แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ FBI บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว แล้วสอง วันที่ 19-04-1995 (1+9+4+1+9+9+5=38 / 3+8=11 ) เวลา 9:02 (9+2=11) มีลงลายเซ็นไว้หรือบังเอิญมั๊งครับ???


2.สมัย จอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช วันที่ 11 กันยายน 2001 เหตุการณ์การถล่มตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ หรือ 911 นั่นเอง แล้วสรุปว่ามีผู้ก่อการร้าย 19 คนแต่ตายหมด

นี่ เป็นตัวอย่างครับ สมมุติฐานนึงเท่านั้นครับ แต่ยิ่งใกล้สิ้นเดือนข้อมูล ข่าวสาร ข่าวลือเรื่องการก่อการร้ายยิ่งทะลักออกมา แล้วเอาไปโยงกับอัลไคดา และอิหร่านเจ้าเดิมครับ  ได้ลุ้นอีกแล้ววววว ฝากไว้ให้คิดครับ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ขอให้ไม่มีดีกว่าครับ มันคงจะยุ่งน่าดูถ้ามาเกิดอะไรตอนนี้


มี ข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนของเราครับ เข้ามายืนยันเพื่อเปิดเผยความจริงเรื่อง "ภาวะโลกร้อน" Global Warming หรือ Climate Change ที่เขียนไปพอดี เรามาดูครับว่า คนกลุ่มนี้เอาเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางใดบ้าง แล้วใครตอบโต้ หรือต่อต้านเรื่องนี้อย่างไรบ้าง จะเห็นว่า ทุกอย่าง "ชัดเจน" ครับ

“ลัทธิกีดกันการค้า”ด้วยข้ออ้างเรื่อง“โลกร้อน”
โดย มาร์ติน คอร์ 15 ตุลาคม 2552 21:32 น. 
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Climate protectionism on the rise
By Martin Khor
09/10/2009

ลัทธิ กีดกันการค้าและกีดกันเทคโนโลยีโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ นับวันแต่จะทวีตัว ในเวลาเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ยังตั้งท่าเงื้อง่าจะนำประเด็นภัยคุกคามต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ มาเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจากับประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องของการต่อสู้กับภัย คุกคามต่ออนาคตของโลก

ลัทธิกีดกันการค้าและ กีดกันเทคโนโลยีรูปแบบใหม่และอันตราย กำลังปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ภายใต้หน้ากากของการมุ่งต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้น มันยังส่งผลเป็นการวางยาพิษเข้าไปในสายสัมพันธ์เหนือ-ใต้ภายในการเจรจาสอง เวทีคือ การเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเจรจาด้านการค้า

ที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณชัดเจนว่าประเทศพัฒนาแล้วบางราย โดยเฉพาะสหรัฐฯ เตรียมใช้มาตรการการค้าฝ่ายเดียว อาทิ การเรียกเก็บภาษีศุลกากรและภาษีประเภทต่างๆ หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อต่อสู้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อเร็วๆ นี้ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างพรบ.ที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอันที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ตลอดจนภาษีประเภทต่างๆ จากสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ที่สหรัฐฯเห็นว่า ยังไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในอันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนั้น สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ ยังพยายามใช้ลัทธิกีดกันการค้ามาต่อต้านไม่ให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยผ่านร่างพรบ. 3 ฉบับที่ทางสภาแห่งนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้หากร่างเหล่านี้กลายเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ก็จะส่งผลให้ผู้แทนการเจรจาของสหรัฐฯ ที่ไปเจรจาหารือในกรอบของอนุสัญญาแม่บทสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) ไม่สามารถทำข้อตกลงใดๆ ในทางที่จะผ่อนปรนกฎระเบียบหรือการบังคับใช้กฎหมายอันเกี่ยวกับทรัพย์สินทาง ปัญญา และขณะนี้มีสัญญาณชี้แล้วว่า ประเทศพัฒนาอื่นๆ รวมทั้งพวกทางยุโรป ก็เตรียมการที่จะใช้ลัทธิกีดกันการค้าที่อิงไปกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศเช่นเดียวกัน

ด้านประเทศกำลังพัฒนา ต่างเริ่มแสดงการคัดค้านความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทั้งนี้ ในระหว่างที่รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ คือนางฮิลลารี คลินตัน เยือนอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้นั้น บรรดาผู้นำทางการเมืองของอินเดียออกโรงประท้วงสหรัฐฯ ในกรณีการขู่จะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศที่ไม่ลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก (carbon tarrifs) ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาวิจารณ์ประเด็นการกีดกันการค้าที่แฝงอยู่ใน ร่างพรบ.ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯด้วย

ที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายผนึกกำลังกันหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือในระหว่าง การเจรจาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งต่างๆ ก่อนที่จะถึงการประชุมที่จะเป็นบทสรุป ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคมปีนี้ กล่าวคือ ใน วันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา กลุ่ม 77 และจีน (Group of 77 countries and China) ออกคำแถลงที่เวทีการเจรจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี โดยเตือนไม่ให้ประเทศพัฒนาแล้ว หันไปใช้มาตรการจำกัดการค้าแบบที่เป็นการประกาศใช้ฝ่ายเดียว เพราะมันจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อินเดียยังได้เสนอด้วยว่า การประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน (ในระหว่างวันที่ 7-18 ธันวาคม ซึ่งคาดหมายกันว่านานาชาติจะสามารถทำข้อตกลงว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกฉบับใหม่ เพื่อใช้ต่อจากพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2012 -ผู้แปล) ควรต้องมีการเขียนในข้อตกลง ด้วยข้อความที่ชัดเจนไปเลยว่า ประเทศพัฒนาแล้ว “จะไม่ใช้มาตรการฝ่ายเดียวไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ซึ่งรวมถึงมาตรการในลักษณะการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน เพื่อเล่นงานสินค้าและบริการที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอิงเหตุผลในเรื่องการพิทักษ์ปกป้องสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเสถียรภาพด้านสภาพภูมิอากาศ”

ในการนี้ อินเดียอ้างถึงบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทฯ มากมายหลายข้อที่จะเข้าข่ายว่าถูกละเมิดถ้ามีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ความพยายามของอินเดียได้รับการขานรับจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน อาร์เจนตินา บราซิล สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และรวมทั้ง กลุ่ม 77 และจีน ก็ออกคำแถลงในเรื่องนี้ด้วย

ทางด้านการเจรจา (เพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าโลกรอบโดฮาภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลก -ผู้แปล) ที่นครเจนีวา เหล่า นักการทูตของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ก็แสดงความวิตกต่อเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมองเห็นความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย จะใช้มาตรการข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ มาเล่นงานขึ้นภาษีศุลกากร ตลอดจนการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้ การกระทำเช่นนี้จะเข้าข่ายเป็นการใช้ข้อพิจารณาในประเด็นว่าด้วยกระบวนการ และวิธีผลิตสินค้าเหล่านั้น ( Process and production method หรือ PPM) ซึ่งยังเป็นประเด็นที่เกิดการถกเถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรงอย่างยากจะหาข้อ ยุติ

ทั้งนี้การเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเพิเศษ ตลอดจนการเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้า โดยใช้ประเด็นพีพีเอ็ม ถูกประเทศกำลังพัฒนาต่อต้านว่าเป็นรูปแบบแอบแฝงของลัทธิกีดกันการค้า มาตั้งแต่เมื่อคราวประชุมองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ปี 1996 โดยที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาชี้ไว้ว่ามาตรการเช่นนั้นนับว่าไม่เป็นธรรม เพราะจะส่งผลเป็นการกีดกันสินค้าของประเทศกำลังพัฒนาไม่ให้สามารถเข้าสู่ ตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎของดับเบิลยูทีโอ

อย่างไรก็ตาม มีพวกประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากทีเดียวที่อยากนำมาตรการทางการค้าไปใช้กับ เงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม และจึงมีการเตรียมชงเรื่องที่จะเอื้อให้มาตรการด้านการค้าที่ผูกอยู่กับพีพี เอ็ม กลายเป็นกฎระเบียบขึ้นมา หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะผลักดันให้มาตรการการค้าที่โยงอยู่กับเรื่องสภาพภูมิอากาศ ได้รับอนุมัติในกรอบ “ข้อยกเว้นทั่วไปเพื่อสิ่งแวดล้อม” (general exception for the environment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกรอบใหญ่ของข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยอัตราภาษีศุลกากรและการ ค้า (General Agreement on Tariffs and Trade หรือ GATT)

ด้านประเทศกำลังพัฒนาอ้างว่า การโยงมาตรการการค้าไปผูกกับเรื่องภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นับว่าไม่เป็นธรรม เพราะพวกตนมีความสามารถเชิงเทคโนโลยีต่ำกว่าพวกประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งพวกตนย่อมไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้วได้ไหว และดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรได้รับความช่วยเหลือผ่านการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทว่า ระบอบแห่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขตามข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของดับเบิลยูทีโอ ที่เรียกกันว่าข้อตกลง TRIPS) คืออุปสรรคขัดขวางเรื่องนี้อยู่ ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ รัฐสภาของสหรัฐฯ ก็มาแสดงท่าทีว่าจะประกาศห้ามไม่ให้รัฐบาลอเมริกามีสิทธิอนุมัติให้มีการ ผ่อนปรนในเรื่องกฎว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา

ถ้าประเด็นการปกป้อง สภาพภูมิอากาศได้รับการอนุมัติ มันจะเป็นการเปิดทางให้สารพันมาตรการเพื่อกีดกันการค้า หลั่งไหลกันเข้ามากางกั้นไม่ให้สินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าสู่ตลาด ของประเทศพัฒนาแล้วด้วยข้อพิจารณาว่าด้วยกระบวนการและวิธีผลิตสินค้า

ลัทธิกีดกันการค้าตัว ใหม่ที่ฉกาจฉกรรจ์ระดับมาตรการตัวแม่อย่างนี้ ก็ช่างเลือกเวลาแจ้งเกิดโดยแท้ เพราะจะมาเล่นกันในยามยุคเศรษฐกิจถดถอย อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้นำชาติทั้งหลายประกาศกันขึงขังว่า จะไม่ยอมหันไปใช้มาตรการกีดกันการค้าอย่างแน่นอน ดังนั้น ประเด็นการค้า-การปกป้องภูมิอากาศช่างเป็นระเบิดเวลาอันร้ายกาจ และมันจะกลายเป็นชนวนเปิด “กล่องแพนดอรา” (Pandora’s box) ที่ฝ่ายต่างๆ เคยนำปัญหาโลกแตกไปซุกไว้เพื่อซื้อเวลา โดยเมื่อมันถูกเปิดขึ้นมา มันจะไปสร้างราคีแปดเปื้อนให้แก่การเจรจาต่างๆ ตามกรอบ อนุสัญญาแม่บทของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการเจรจาดับเบิลยูทีโอด้วย

มาร์ติน คอร์ เป็นกรรมการบริหารของศูนย์ South Centre อีเมล์ติดต่อเขาคือ director@southcentre.org ประเด็นปัญหาลัทธิกีดกันการค้าด้วยข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ ที่นำมาเสนอในข้อเขียนนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากฉบับพิเศษของจดหมายข่าว South Centre bulletin

ขอขอบคุณลิ๊งข้อมูลโดยคุณ "cool_kid" ครับ


สำหรับ ใครที่ยังคาใจเรื่องการทำนายเศรษฐกิจของโครงการเวบบอท หรือ โรบอทเวบไซท์ หรือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการประมวลผลคีย์เวิร์ดต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในโลกไซเบอร์  เวบโรบอท เป็นอะไรที่มองข้ามไม่ได้ครับ เป็นทั้งประโยชน์และโทษร้ายร้าง คือจะมีหน่วยงานนึงของรัฐบาลสหรัฐ คือ NSA หรือ National Security Agency

ลิ๊งค์ของ NSA: http://www.nsa.gov


เค้า พัฒนาเจ้าโปรแกรมตัวนี้ขึ้น เพื่อเป็นฐานข้อมูลขนาดยักษ์ และเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยเรื่องความั่นคง และใช้ Webbot นี้แสกนเวบไซท์ อีเมลล์ เวบบล๊อก และอะไรก็ตามที่อยู่ในอินเตอร์เนต โดยอ้างเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก เจาะเข้าได้ทุกเวบ ทุกระบบ


โดย เฉพาะพวกฟรีอีเมลล์ต่างๆ เคยสงสัยไม๊ครับว่าทำไมถึงให้ใช้ฟรี แล้วเค้าได้อะไร ที่เค้าได้คือข้อมูลในอีเมลล์ของเรานั่นแหละครับ แล้วก็จะมีการซื้อขายข้อมูลทุกชนิดกัน เพราะฉะนั้น ทุกอีเมลล์ของเราที่ใข้ฟรี เป็นของส่วนกลางครับ ไม่มี Privacy ใดๆ ทั้งสิ้นไม่ต้องไปเชื่อเค้าครับ แล้วนโยบายการเก็บข้อมูลของแต่ละเวบไม่เหมือนกัน เช่น Hotmail, Live Mail อาจจะเก็บไว้ 3-6 เดือนในเซิร์ฟเวอร์ของเค้าแล้วจะลบออก แต่สำหรับ G Mail จะถูก "เก็บไว้ตลอดกาล" ครับ ถึงแม้เราจะลบในถังขยะใน Trash Folder ไปนานขนาดไหนแล้วก็ตาม แล้วข้อมูลพวกนี้แหละครับ "จะไปมัดตัวคุณในชั้นศาล" ถ้าเค้างัดมันออกมา เพราะฉะนั้นอะไรที่อยู่ในนี้ ใส่อะไรไปได้แค่ไหน ต้องรู้ครับ  ในเมืองไทยเรื่องนี้อาจจะยังมาไม่ถึง แต่ในหลายๆ ประเทศทั้งยุโรปและอเมริกา หลายคดีปิดลงไปที่อีเมลล์นี่แหละครับ


แต่ เวบโรบอท ตัวนี้เป็นของเอกชน โดย Cliff High หรือนายคลิฟ ไฮ เรามาดูว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เค้า Predict หรือคาดการณ์อะไรไว้บ้าง ตอนนี้เค้าเน้นมากๆ คือวันที่ 25 (+,- 10 วันครึ่ง) เค้ามั่นใจว่าเป็นเรื่องค่าเงินดอลลอลจะมีปัญญหารุนแรง และเค้าไม่คิดว่าเป็นการก่อการร้ายแต่ก็ไม่ทิ้งประเด็นนี้ครับ ในการพยากรณ์หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ความแม่นยำของเค้าขึ้นไปถึง 90% ครับ รวมทั้งเหตุการณ์ 911 เค้าเตือนล่วงหน้าไว้ถึง 6 เดือนแต่ไม่มีใครใส่ใจ แต่หลังจากนั้นก็ดัง และไม่มีใครมองข้ามอีกเลย.......



เค้า คาดากการณ์ไว้ว่า วันที่ 25 เป็นต้นไป เงินดอลล่าจะมีปัญหา ถูกปฏิเสธจากหลายๆ ชาติอย่างชัดเจน แล้วจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนพฤศจิกา ธันวา ไล่ไปมกรา จนไม่เกินกลางปี 2010 จะเกิดวิกฤติการค่าเงินดอลล่าแล้วลุกลามไปทั่วโลก กลับมาที่วันที่ 25-26 นี้เค้าคาดว่าจะมี Event หรือเหตุการณ์ที่  Cliff บอกว่ามันจะไป Trigger หรือกระตุ้นให้ปัญหาของเงินดอลล่าแดงออกมาอย่างชัดเจน

ถึงขั้นที่จะทำให้การเงินโลกระบบรวน แล้วมีการล๊อคตายระบบการเงินการธนาคารทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา ครับ ผมใส่วีดีโอไว้ให้ครับ ทำความเข้าใจแล้วตีความกันเองดีกว่า เพราะข้อมูลมัน Sensitve หรืออ่อนไหวมากครับ แล้วช่วงท้ายๆของตอนที่ 1 ไปต่อตอนที่่ 2 เค้าพูดถึงผลกระทบต่อเอเซีย แล้วก็เงินบาทของเราด้วยครับ


ที่มาhttp://jimmysiri.blogspot.com/2009/10/webbot-project-predictiion.html

http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=5730.0;prev_next=prev


171
::+::สมาคมลับ Illuminati (อิลลูมินาติ)::+::

Illuminati (อิลลูมินาติ)

แปลตรงตัวตามดิกชันนารี่ illuminati หมายถึง ผู้ที่มีสติปัญญาอันล้ำเลิศ

อิลลู มินาติ เป็นกลุ่มนักวิทยาศาตร์ตั้งขึ้นมาอย่างลับๆเนื่องจาก พวกตนได้ถูกกลุ่มคริสตจักร ไล่ฆ่า เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นลัทธิ ของซาตาน เนื่องจากเหล่านักวิทยาศาสตร์เกิดความขัดแย้งขึ้นกลับคริสตจักร ในเรื่องการ กำเนิดโลก และในอีกหลายๆเรื่อง ประเด็นหลักก็คือ คริสตจักรเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าสสารไม่มีวันเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า(จึงได้ เกิดทฤษฎี บิกแบง ที่เป็นทฤษฎีการกำเนิดโลกที่ได้รับการเชื่อถือมากที่สุด ในทางวิทยาศาสตร์

เนื่องจากในอดีตศริสตจักรเป็นกลุ่มที่มีอำนาจมาก ทำให้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ไม่อาจต่อกรได้จึงต้องคอยหลบหนี หรือแอบซ่อนไม่เปิดเผยตัว จึงได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาโดยใช้ชื่อ illuminati และหาที่รวมกลุ่มเพื่อ ใช้สนทนาเรื่องวิทยาศาตร์กัน หรือแลกเปลี่ยนแนวความคิด สมาชิกกลุ่ม อิลลูมินาติ เช่น กาลิเลโอ

นัก วิชาการส่วนใหญ่เชื่อกันว่า กลุ่มอิลลูมินาติได้แทรกซึมเข้าไป ยังกลุ่มเมซันด้วย กลุ่มเมซัน คือกลุ่มคนที่มีอำนาจทั้งด้านการเมืองและการเงิน เป็นพวกนายธนาคารหรือนักการเมือง อยู่ในกลุ่มนี้

เนื่องจากมีการแทรก ซึมของ อิลลูมินาติไปในกลุ่มเมซัน รองประธานาธิบดีวอลเลซ (Henry Agard Wallace เป็นรองประธานาธิบดีคนที่33ของสหรัฐ) เป็นผู้เสนอสัญลักษณ์ดังกล่าว ให้ประธานาธิบดีโรสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt ประธานาธิบดีคนที่32-33ของสหรัฐอเมริกา) ใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวในธนบัตรดอลลาร์ เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในกลุ่มเมซัน และการที่รองประธานาธิบดีวอลเลซเสนอให้ใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นเพราะความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของ อิลลูมินาติด้วย

  สรุปได้ว่า กลุ่มอิลลูมินาติ ต้องการที่จะล้มล้างคริสตจักรนั้นเอง โดยการหาทฤษฎี ต่างๆมาหักล้างเรื่องพระเจ้า เพื่อที่จะเปลี่ยนแกนอำนาจความเชื่อของคนในยุคนั้นจากทางด้านศาสนามาเป็น ด้านวิทยาศาตร์นั้นเอง

อย่างที่บอกกลุ่มอิลลูมินาติ มีการแทรกซึมของ อิลลูมินาติไปในกลุ่มFREEMASON ตอนสร้างเมือง วอชิงตัน ดี.ซี. กลุ่มอิลลูมินาติได้ออกแบบเมืองวอชิงตัน ดี.ซี.
ถ้ามองจากมุมสูง (มองจากนอกโลก)จะเห็นเมืองวอชิงตัน ดี.ซี.เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มอิลลูมินาติคือรูปดาวครับ ขอโทษด้วยที่หาภาพให้ไม่ได้นะครับแต่ลองไปดูใน google earth ได้ครับ สังเกตดีๆนะครับ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ แต่สิ่งนี้ก็กลายเป็นจุดขายของนิยายเรื่องนี้ เพราะสถานที่สำคัญ 4 แห่ง ดันมีความหมายเป็น ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ธาตุทั้ง 4 สิ่งเป็นธาตุสากลของหลายชนชาติ โดยธาตุนี้ถูกนำมาใช้ดูลักษณะของคนตามวิชานรลักษณ์ของหมอดูด้วย

หาก จะอ้างว่านี้คือวิธีของนักวิทยาศาสตร์ก็นับว่าน่าสนใจที่นำทฤษฎีนี้มาโยงกับ สมาคมลับอย่าง "อิลลูมินาติ" เพราะดูมันจะขัดแย้งกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับโหราศาสตร์

การสร้างผัง เมือง เป็นศาสตร์หนึ่งของพวกสถาปนิก เรื่องนี้จึงโยงไปถึงกลุ่ม "ฟรีเมสัน" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรื้อฟื้นเรื่องฟรีเมสันในนิยายเรื่องนี้ จึงประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด 
 

http://sweet-murder.exteen.com/20090520/illuminati

ปิรามิดและสัญลักษณ์ของ Illuminati .

http://www.youtube.com/watch?v=7DqsH7kK4Uo&feature=related



172
สมาคมลับฟรีเมสัน


เริ่มได้รู้จักชื่อ สมาคมลับฟรีเมสัน ก็จากหนังสือ ถอดรหัสลับดาวินชี เป็นสาเหตุทำให้เกิดสนใจขึ้นมา พร้อมกับคำถามมากมายจากเรื่องนี้เช่นกันค่ะ......

************************
เล่าเรื่องย่อ (ขนาดย่อแล้วนะ)

องค์กร ”ฟรีเมสัน” ก่อตั้งโดยชนชาติที่มีประวัติศาสตร์และชะตากรรมอันโหดร้ายมานับพันๆปี ชนชาติยิวจึงต้องหาทางหลุดพ้นจากวัฏจักรนั้นๆ

การคิดค้น ”กรรมวิธีในการเอาตัวรอด” นานาชนิดและพัฒนาต่อๆกันมานั้น ชาวยิวสามารถพัฒนาเครือข่ายสมคบคิดที่มีระบบ มีการเชื่อมประสานโยงใยที่กว้างขวาง รัดกุม สลับซับซ้อน มีรูปแบบที่สามารถปกปิดจุดประสงค์ และเป้าหมายที่แท้จริงได้ อย่างสลับซับซ้อนและแยบยลได้อย่างดียิ่ง และเป็นที่มาและก่อเกิดขององค์กรลับที่เรียกชื่อกันว่า ”ฟรีเมสัน” ( Freemason ) อันได้กลายมาเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลกว้างขวางครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรปและทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมานั่นเอง

การปรากฏตัวขององค์กร ”ฟรีเมสัน” ในยุโรปนั้น ถูกกล่าวถึงในฐานะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรืออยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การขับเคลื่อนทัศนคติใหม่ๆ ที่มีลักษณะต่อต้านอำนาจของศาสนจักรคริสเตียนในขณะนั้น เป็นผลลุกลามบ่อเกิดของความเหี้ยมโหด ไร้ความยุติธรรมของพวกพระ ทำให้มีการเรียกขานยุคนั้นว่า ”ยุคมืด” (Dark Age) ฝ่ายศาสนจักรคริสเตียนต้องการรักษาอำนาจ สถานะ และแนวคิดในการชี้นำสังคมเอาไว้ให้ได้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีการจัดตั้ง ”สมาคมลับ” ของชาวยุโรปจำนวนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งสมาคมลับของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองเนเปิลในประเทศอิตาลี, สมาคม ”อินวิซิเบิล คอลเลจ” (Invisible College) ของนักวิทยาศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ, สมาคมศึกษาปรัชญาของนักคิดนักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศส และเยอรมัน…ฯลฯ และบรรดาองค์กรและสมาคมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องพยายามสร้างความใกล้ชิด หรือพยายามแสวงหาการปกป้องคุ้มครองจากบรรดากษัตริย์และพ่อค้าที่กำลังมีอำนาจอิทธิพลเพิ่มขึ้นทุกที….

ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นสมาชิกและเกี่ยวพันกับองค์กรเหล่านี้ มีทั้งกษัตริย์ ขุนนาง พ่อค้าอันทรงอิทธิพล นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่ถูกแรงกดดันของศาสนจักรกวาดต้อนให้ไหลไปรวมกันจนกลายเป็นปึกแผ่นแน่นหนากันในท้ายที่สุด และบรรดากลุ่มคนเหล่านี้…ล้วนแล้วแต่มีบทบาท มีส่วนกระตุ้น หรือมีส่วนในการวางรากฐานให้เกิดอำนาจทางการเมืองแบบใหม่ ทฤษฏีทางการเมือง-เศรษฐกิจแบบใหม่ ทัศนคติแบบใหม่ ที่มีต่อโลก ต่อวิถีชีวิตของผู้คน ต่อศิลปะและวิทยาการ…ที่แตกต่างไปจากยุคศาสนจักรเรืองอำนาจกันแบบโดยสิ้นเชิง…จนเกิดการเรียกขานยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแรงผลักดันของกลุ่มคนเหล่านี้ว่า… ยุคแห่ง ”แสงสว่างทางปัญญา” หรือ ”เอ็นไลท์เทนเม้นท์” (enlightenment)…ซึ่งแน่นอนว่า…. ความหมายของคำว่า ”แสงสว่าง” ในที่นี้…ย่อมไม่ได้หมายถึงแสงสว่างที่เคยสาดส่องลงมาจาก ”พระเจ้า” อย่างที่ฝ่ายศาสจักรเคยกล่าวเอาไว้… แต่เป็นแสงสว่างอันก่อเกิดขึ้นมาจากศักยภาพความเป็นมนุษย์ ที่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระไปจากอำนาจของคริสตจักรด้วยการเอาชนะผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าลงได้อย่างราบคาบแล้วนั่นเอง

ในปัจจุบัน สมาคมลับ Free Mason ยังคงดำเนินการอยู่เฉกเช่นเดิม แต่เนื่องจากสมาชิกลดน้อยลงมาก (คนรุ่นใหม่ ความคิดหลักเกณฑ์เปลี่ยนไปแล้ว) ทำให้มีการรับสมาชิกที่เป็นหญิงขึ้นแล้วค่ะ (ดูจากสารคดีเมื่อไม่นานมานี้เอง)

**************
ขอเพิ่มอีกนิดนะค่ะ เรื่องถอดรหัสลับดาวินชี ทำไมมาเกี่ยวกับองค์กร ฟรีเมสัน (ขอเกริ่นหน่อยเดียว .... เรื่องยาวมาก) สาเหตุมาจากรูปภาพที่วาดโดยดาวินชี (ดาวินชีก็เป็นสมาชิกองค์กรลับเช่นกัน..เขาบอกมา) ชื่อภาพคือ "The Last Supper" ที่เมืองมิลาน http://en.wikipedia.org/wiki/Image:Leonardo_da_Vinci_%281452-1519%29_-_The_Last_Supper_%281495-1498%29.jpg
ได้กล่าวว่าบุคคลที่นั่งทางขวามือของพระเยซูคือ Madaline (คือผู้หญิงที่ใกล้ชิดพระเยซู) มิใช่นักบุญหนุ่มโยเซฟ (ไม่แน่ใจชื่ออ๊ะ)อย่างที่เข้าใจกัน และกับสัญญาลักษณ์ในรูปหากมองจากที่ไกลๆจะเห็นอักษร คือ M เป็นเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับสถานภาพของพระเยซู ดูคล้ายกับดาวินชี จะต่อต้านพระเยซู แต่อันที่จริงสิ่งที่ปรากฏในรูปได้แสดงสัญลักษณ์บอกเป็นนัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน
ที่มา:
รายละเอียดเพิ่มเติม
1 http://www.onopen.com/2007/01/1466
2 http://www.innnews.co.th/innexct/jan50_v25/p16.php
3 http://my.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=378014
4 http://www.guitarthai.com/webboard/question.asp?QID=118028
5 สัญญาลักษณ์ของฟรีเมสัน ที่เราอาจคุ้นตา
http://dic.moohin.com/f/freemason-3173.shtml
2 ปี ผ่านไป

http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080301202027AAEpAOi

_____________________________________________________________________________
Freemason เป็นสมาคมลับที่มีอยู่จริง แต่เป้าหมายจะเป็นอะไร สมาชิกมีใครจะไม่เป็นที่เปิดเผยแน่ชัด กิจกรรมของสมาคมนี้ทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ เพราะโดยเบื้องหน้า ฟรีเมสันจะดูเหมือนเป็นสมาคมของพวกช่างอิฐ ช่างก่อสร้าง แต่บ้างก็ว่า เป้าหมายจริงๆของฟรีเมสัน คือการทำ New World Order หรือให้พูดง่ายๆ คือมีคนเชื่อกันว่าหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้เกิดมาโดยความบังเอิญหรือฟ้าลิขิต แต่เกิดจากมีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีความฉลาดกว่าคนทั่วๆไป คอยกำหนดความเป็นไปให้แก่โลกใบนี้ ซึ่งคนกลุ่มที่ว่า ก็เชื่อกันว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งกับฟรีเมสัน โดยที่ที่เป็นแหล่งของฟรีเมสันในปัจจุบัน ก็คืออเมริกา เชื่อกันว่าประธานาธิบดีของสหรัฐหลายคนที่ดังๆ เป็นฟรีเมสัน เช่น จอร์จ วอชิงตัน แฟรงคลิน ดี รูสเวลต์ และก็มีหลายๆคนเชื่อว่า ฟรีเมสัน คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังประเทศอเมริกา กล่าวกันว่า ปัจจุบันสมาคมนี้มีสมาชิกนับล้านๆคนทั่วโลก ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า ในธนบัตรของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนสิ่งก่อสร้างสำคัญๆของประเทศนี้ จะปรากฏสัญลักษณ์ของฟรีเมสันอยู่

เชื่อกันว่า ฟรีเมสันมีความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยโรมัน โดยเป็นองค์กรของชาวยิว ลักษณะองค์กร ว่ากันว่าเป็นเหมือนเครือข่ายการทำงาน ว่ากันว่าคนที่เป็นสมาชิกองค์กรนี้แล้ว ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกคนอื่นๆที่มีตำแหน่งสูงในรัฐบาลของประเทศนั้นๆ หรือในองค์กรต่างๆ ให้ได้รับตำแหน่งที่สำคัญมากขึ้น เพื่อเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันไปให้เป็นปึกแผ่น นิติภูมิ นวรัตน์ ถึงกับเคยพูดว่า ประเทศไทยเราน่าจะมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นฟรีเมสัน แล้วจะเจริญ (อันนี้เป็นความเห็นของคุณนิติภูมิ ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าทำไมแกถึงคิดอย่างนั้นก็คงต้องไปถามแกเอาเอง)

Freemason เป็นสมาคมลับที่จะแอบจัดการประชุมกันลับๆ การเป็นสมาชิกก็เป็นด้วยการเข้าไปสอบถามกันคนที่เป็นฟรีเมสันโดยตรง และสมาชิกก็จะมีวิธีการในการเลื่อนระดับชั้นให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็เห็นว่ามีการเปิดเผยตัวมากขึ้น เช่น เมื่อสักยี่สิบปีที่แล้ว มีนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่ได้ทำพิธีเพื่อเข้าเป็นฟรีเมสันอย่างเปิดเผย

ในสมัยฮิตเลอร์ กลุ่มฟรีเมสันถูกจับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปด้วยพร้อมๆกับชาวยิว เพราะฮิตเลอร์เกลียดคนกลุ่มนี้ ถ้าใครเคยดูหนังเยอรมัน หรือหนังฝรั่งเศสบางเรื่องอาจจะเห็นว่า คนที่เป็นฟรีเมสันจะถูกทหารนาซีตามล่าตัว

ส่วนคริสตจักรเองก็ไม่ชอบฟรีเมสัน เพราะมีคนมองว่าสมาคมลับนี้เป็นสมาคมของพวกคนยิว มีเป้าหมายเพื่อให้คนยิวครองโลก คนยุโรปเกลียดคนยิวอยู่แล้ว ฟรีเมสันจึงถูกเกลียดไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นในสเปนสมัยนายพลฟรังโก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคริสต์ที่อนุรักษ์นิยม และค่อนข้างไปในทางคลั่งศาสนา กลุ่มฟรีเมสันก็ถูกกวาดล้างเข้าตารางอยู่บ่อยๆ

ในประเทศคอมมิวนิสต์ ฟรีเมสันก็ถูกกดดันอย่างหนักเช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ

และสำหรับโลกอิสลาม ฟรีเมสันเป็นสิ่งผิดร้ายแรง และผิดกฎหมายในทุกประเทศที่ใช้กฎหมายชาเรียในการปกครอง รวมไปถึงประเทศอิสลามอีกหลายประเทศที่ไม่ได้ใช้กฎหมายชาเรียด้วย โดยในอิรักสมัยการปกครองของซัดดัม ฮุสเซ็น คนที่เป็นฟรีเมสัน จะได้รับโทษถึงประหารชีวิต

นิยายของแดน บราวน์ มีเขียนเกี่ยวกับพวกองค์กรลับเหล่านี้เอาไว้ สนใจก็ลองไปหาอ่านดูได้ แต่สิ่งที่อยู่ในนิยายของแดน บราวน์ จะเป็น conspiracy theory ที่อาจจะไม่จริงก็ได้
ที่มา:
http://www.guitarthai.com/webboard/question.asp?QID=118028
2 ปี ผ่านไป

http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080301202027AAEpAOi

______________________________________________________________________________
สมาคมลับ และขบวนการสมคบคิด???
Wed, 14/03/2007 - 17:48 — onopen
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า…ประวัติความเป็นมาของชาวยิวนับตั้งแต่ยุคโมเสสเป็นต้นมา… น่าจะถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา แทรกอยู่ในความสุขความสำเร็จที่มักจะเกิดขึ้นเพียงแค่ในบางช่วงบางระยะและมักจะเป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ การกดขี่ บังคับ กระทำการอย่างโหดร้ายทารุณต่อชาวยิวโดยบรรดาชนชาติต่างๆไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ ชาวอียิปต์ อัสซีเรีย บาบิโลน เปอร์เซีย กรีก โรมัน ไปจนถึงพวกฝรั่งในยุโรปแทบทุกชาติ ทำให้ชะตากรรมของชาวยิวนั้น เป็นสิ่งที่น่าเวทนา และน่าเห็นอกเห็นใจไม่น้อย…

แต่ในท่ามกลางความน่าเห็นอกเห็นใจเหล่านี้…ปฏิกิริยาโต้ตอบ วิธีการในการดิ้นรนเอาตัวรอด รวมทั้งการกระทำที่ชาวยิวมีต่อชนชาติอื่นๆ แม้นแต่ชนชาติที่อยู่ในฐานะถูกกดขี่ข่มเหงเช่นเดียวกันกับตัวเอง…บางครั้ง-บางคราก็อาจทำให้ความรู้สึกน่าสงสารน่าเห็นใจที่ใครต่อใครเคยมีต่อชาวยิว ลดลงไปอย่างฮวบๆฮาบๆ หรือดีไม่ดีอาจจะเกิดความรู้สึกถึงความน่าหวั่นใจ น่ากลัว น่าสยดสยองขึ้นมาแทนที่…???

ดูเหมือนว่า…ชะตากรรมอันโหดร้ายทารุณไม่ต่างไปจากคำสาปแช่งของพระเจ้า ที่มีต่อชาวยิวในแต่ละรุ่นแต่ละห้วงระยะเวลานั้น จะไม่ได้ทำให้ชาวยิวเกิดการปรับตัวปรับใจ ไปในทิศทางที่พระเจ้าต้องการกันซักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะพระเจ้าในแบบที่ชาวยิวอย่างพระเยซูคริสต์เคยอธิบายขยายความเอาไว้… แต่บรรดาชะตากรรมโหดๆเหล่านี้ กลับเป็นตัวเคี่ยวกรำให้ชาวยิวยิ่งแสดงอาการออกมาในลักษณะผู้ที่ ”ปล้ำสู้กับพระเจ้า” หรือพยายามทำให้พระเจ้าเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือเป็นพระเจ้าที่จะต้องประทาน อำนาจ ดินแดน หรือผลประโยชน์ต่างๆ ให้กับชาวยิวตามพันธะสัญญาที่พระองค์ได้ให้เอาไว้ตั้งแต่แรก …???

และภายใต้การถูกเคี่ยวกรำโดยชะตากรรมอันน่าขมขื่นที่มีความต่อเนื่องกันมาเป็นพันๆ ปี…ทำให้ ”กรรมวิธีในการเอาตัวรอด” นานาชนิดที่ชาวยิวได้ค้นคิด และพัฒนากันมาเป็นระยะๆ ก็กลายเป็นอะไรที่ทั้ง ”น่าทึ่ง” และ ”น่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัว” ไม่น้อยทีเดียว…???

สิ่งหนึ่งที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ได้ปรากฏให้เห็นอยู่ในตลอดประวัติศาสตร์การดิ้นรนต่อสู้ของชาวยิว จนแทบกลายมาเป็นลักษณะพิเศษของชาวยิวไปแล้วก็คือ ความสามารถในการใช้กลอุบาย เล่ห์เหลี่ยม การสมคบคิด ความพยายามในอันที่จะเข้าถึงแหล่งอำนาจหรือศูนย์กลางอำนาจ เพื่อใช้อำนาจนั้นๆไปปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองหรือเผ่าพันธุ์ตัวเอง….

และลักษณะพิเศษเหล่านี้ ยิ่งนานวันก็ดูจะยิ่งถูกพัฒนาให้กลายเป็นเครือข่ายสมคบคิดที่มีระบบ มีการเชื่อมประสานโยงใยที่กว้างขวาง รัดกุม สลับซับซ้อน มีรูปแบบที่สามารถปกปิดจุดประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างสลับซับซ้อนและแยบยลยิ่งขึ้นทุกที…

นับตั้งแต่ยุคที่ชาวยิวยังคงดิ้นรนอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน… ผู้ที่ศึกษาประวัติความเป็นมาของชาวยิวบางราย ซึ่งจะโดยความมีอคติต่อชาวยิวหรือไม่? เพียงใด? ก็แล้วแต่ แต่ก็ได้เคยมีการกล่าวถึงร่องรอยของความพยายามก่อตั้งขบวนการสมคบคิดโดยชาวยิว เพื่อดำเนินการเคลื่อนไหวปกป้องผลประโยชน์ของชาวยิวในลักษณะลับๆ กันมาตั้งแต่ระยะนั้น…หรือตั้งแต่ยุคกษัตริย์ ”เฮโรด” อันเป็นผู้ปกครองชาวยิวในอาณาจักรโรมันช่วงปี ค.ศ. ๓๗-๔๔ นั่นก็คือการระบุถึงการก่อกำเนิดขององค์กรลับของชาวยิวองค์กรหนึ่งในช่วงระยะนั้น ที่เรียกชื่อกันว่า ”ฟรีเมสัน” ( Freemason ) อันได้กลายมาเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลกว้างขวางครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรปและทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมานั่นเอง…???

ประวัติความเป็นมาขององค์กร ”ฟรีเมสัน” นั้น จะสามารถย้อนหลังกลับไปถึงยุคโรมัน หรือยุคใดๆ ก็ตามแต่ ก็คงไม่อาจหาหลักฐานมาพิสูจน์กันได้ชัดๆ ด้วยลักษณะความเป็นมาขององค์กรที่ ”ปิดลับ” กันมาตั้งแต่แรก แต่โดยการเปิดเผยของผู้ที่เคยเข้าร่วมกับองค์กรดังกล่าวและได้สลัดตัวออกมาแล้ว หรือผู้ที่ยังแสดงตัวว่าเป็นสมาชิกอยู่ในองค์กรแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่ยอมรับถึง ”ประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่” ของ ”ฟรีเมสัน” ด้วยกันทั้งนั้น…

และคำว่า ”เมสัน” (mason-matio-macon) อันถูกแปลความหมายออกไปในทำนอง “สถาปนิก”, ”ช่างฝีมือ, ”ผู้สร้างสรรค์”, ”นักก่ออิฐ” ฯลฯ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ขององค์กรดังกล่าวได้ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าตั้งแต่ยุคที่ชาวยิวตกเป็นทาสของฟาโรห์อียิปต์ ถูกใช้ให้ทำหน้าที่ก่ออิฐ สกัดหิน สร้างสถาปัตยกรรมอันมหัศจรรย์อย่างปิรามิดกันมาเมื่อเป็นพันๆ ปีที่แล้ว หรือโดยการอธิบายปรัชญา ”เมสัน”ในหมู่มวลสมาชิกขององค์กรที่ว่ากันว่ามีการเท้าความไปถึง ”พระเจ้า” ในฐานะที่ถือได้ว่าเป็นสถาปนิกคนแรกในการสร้างโลก ต่อมาจนถึงบรรพบุรุษมนุษย์รุ่นต่างๆ ที่ได้ถูกกล่าวถึงในตำนานความเชื่อของชาวยิว ไม่ว่า ”โนอาห์” สถาปนิกผู้ได้สร้างเรืออพยพขึ้นมาในระหว่างน้ำท่วมโลก ตลอดไปจนถึงผู้ที่ได้สร้าง ”หอบาเบล”, ”ปิรามิด” และ ” วิหารโซโลมอน” เป็นต้น…

ไม่ว่าประวัติความเป็นมาขององค์กรดังกล่าวจะมีที่มา-ที่ไปอย่างไรก็ตามที การปรากฏตัวขององค์กร ”ฟรีเมสัน” ที่เริ่มขึ้นมาในยุโรปนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า…มันค่อนข้างสอดคล้องกับบรรยากาศการปะทะหักล้างกันและกัน ระหว่างอำนาจของศาสนจักรคริสเตียนกับอำนาจของกษัตริย์และพ่อค้า ที่กำลังเป็นไปอย่างถึงพริกถึงขิงอย่างพอดิบพอดี…???

ความพยายามของศาสนจักรคริสเตียนในอันที่จะรักษาอำนาจ สถานะ และแนวคิดในการชี้นำสังคมเอาไว้ให้ได้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมซึ่งกำลังก่อตัวให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะในกรณีที่อำนาจของกษัตริย์ในยุโรปเติบโตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่ศาสนจักรจะไปควบคุมบังคับได้เช่นเดิม การขยายตัวของการค้า การพาณิชย์ การอุตสาหกรรม ที่ทำให้ทัศนคติของผู้คนใน ”สังคมเมือง” ผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนใน ”สังคมฟิวดัล” อันเป็นผู้ที่เคยยึดมั่นศรัทธาอยู่ในศาสนาคริสต์โดยแทบไม่มีคำถาม รวมไปถึงการไหลบ่าของความรู้ วิทยาการ ปรัชญา วิทยาศาสตร์ที่มักก่อให้เกิดการตั้งข้อสงสัย หรือการเพาะพันธุ์ความเชื่อที่แปลกแยกไปจากความเชื่อดั้งเดิมในศาสนา ซึ่งเริ่มกระจายตัวเข้ามาสู่ภาคใต้ของเสปน ไม่ว่าเมืองคอร์โดบา, ทอเลโด, เซวิลล์ จนกระทั่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งยุโรป…ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีส่วนเกี่ยวพันกับบทบาทขององค์กรฟรีเมสันที่ปรากฏตัวขึ้นมาในยุโรปในช่วงระยะเดียวกันนั้น หรือไม่? เพียงใด? ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเพียงข้อกล่าวหา การตั้งข้อสังเกต หรือข้อสงสัยกันไปตามเรื่องตามราว…แต่อย่างไรก็ตามทีภายใต้บรรยากาศของสังคมยุโรปที่เป็นไปเช่นนี้…ก็ทำให้ศาสนจักรต้องดิ้นรน พยายามหาหนทางตอบโต้ กดดัน ขจัดปัดเป่ากระแสความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กันในทุกวิถีทาง…

การตอบโต้ของศาสนจักรต่อความเคลื่อนไหวต่างๆที่อาจเข้ามากัดเซาะบ่อนทำลายอำนาจ หรืออิทธิพลความเชื่อของตัวเองในช่วงระยะนั้น ก็คงต้องเรียกว่า รุนแรงและเหี้ยมเกรียม อำมหิตอยู่ไม่น้อย จนชาวยุโรปถึงกับมีการเรียกขานช่วงระยะเวลาแห่งการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามอำนาจของศาสนจักรในระยะนั้นกันว่า ”ยุคมืด” (Dark Age)กันไปเลยทีเดียว การจับคนไปฆ่า ไปเผา ไปทรมานโดยการตัดสินใจของพวกพระ ที่มักอาศัยพื้นฐานของความเชื่อซึ่งอาจจะไร้เหตุไร้ผล หรือกระทั่งไร้ความยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัดเจน…ภายใต้สภาพเช่นนี้…ได้ทำให้การดิ้นรนเพื่อหาทางหลุดรอดและหลีกเลี่ยงจากการถูกกดดันหรือถูกเล่นงานโดยศาสนจักร กลายเป็นสิ่งที่มีความสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในแบบซ่อนเร้น ปิดลับ ที่บรรดาชาวยิวมีความถนัดจัดเจนอย่างเป็นพิเศษมาตั้งแต่แรก และจะด้วยบทบาทของชาวยิวเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวดังกล่าวหรือไม่? เพียงใด? ก็ตาม แต่โดยบรรยากาศที่ครอบงำสังคมยุโรปในช่วงระยะนั้น ก็ได้นำไปสู่การจัดตั้ง ”สมาคมลับ” ของชาวยุโรปจำนวนมากมาย โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ไม่ได้มีอำนาจต่อรองในสังคมมากนักอย่างเช่นบรรดานักคิดและนักวิทยาศาสตร์เป็นต้น… ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งสมาคมลับของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองเนเปิลในประเทศอิตาลี สมาคม ”อินวิซิเบิล คอลเลจ” (Invisible College) ของนักวิทยาศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สมาคมศึกษาปรัชญาของนักคิดนักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศส และเยอรมัน…ฯลฯ และบรรดาองค์กรและสมาคมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องพยายามสร้างความใกล้ชิด หรือพยายามแสวงหาการปกป้องคุ้มครองจากบรรดากษัตริย์และพ่อค้าที่กำลังมีอำนาจอิทธิพลเพิ่มขึ้นทุกที….

การปรากฏตัวขององค์กร ”ฟรีเมสัน” ในยุโรปเป็นครั้งแรกนั้น อันที่จริงได้ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. ๑๓๗๕ และภายใต้รูปแบบภายนอกที่ดูเสมือนหนึ่งเป็นเพียงแค่ ”สมาคมช่างฝีมือ” ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับสถาปัตยกรรมแบบ ”โกธิคส์” ที่กำลังแพร่หลายไปในยุโรปขณะนั้น แต่ในท้ายที่สุดบทบาทขององค์กรดังกล่าวก็มักจะถูกกล่าวถึงในฐานะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด หรืออยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า และการขับเคลื่อนทัศนคติใหม่ๆ ที่มีลักษณะต่อต้านอำนาจของศาสนจักรคริสเตียนในขณะนั้น…อย่างตรงไป-ตรงมา…???.ในปี ค.ศ. ๑๔๔๔และ๑๔๔๕ คำว่า ”แฟรงค์-เมสัน” (Frank-macon)ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. ๑๔๕๙ กฎหมายรัฐบาลอังกฤษก็เริ่มมีการกล่าวถึงสถานะและบทบาทของ ”ฟรี-เมสัน” (Free-mason) เป็นครั้งแรก จนกระทั่งประมาณปี ค.ศ. ๑๗๑๗-๑๗๒๑ บทบาทขององค์กรฟรีเมสันก็ได้ถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งยุโรป…

ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นสมาชิกและเกี่ยวพันกับองค์กรเหล่านี้ มีทั้งกษัตริย์ ขุนนาง พ่อค้าอันทรงอิทธิพล นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่ถูกแรงกดดันของศาสนจักรกวาดต้อนให้ไหลไปรวมกันจนกลายเป็นปึกแผ่นแน่นหนากันในท้ายที่สุด และบรรดากลุ่มคนเหล่านี้…ล้วนแล้วแต่มีบทบาท มีส่วนกระตุ้น หรือมีส่วนในการวางรากฐานให้เกิดอำนาจทางการเมืองแบบใหม่ ทฤษฏีทางการเมือง-เศรษฐกิจแบบใหม่ ทัศนคติแบบใหม่ ที่มีต่อโลก ต่อวิถีชีวิตของผู้คน ต่อศิลปะและวิทยาการ…ที่แตกต่างไปจากยุคศาสนจักรเรืองอำนาจกันแบบโดยสิ้นเชิง…จนเกิดการเรียกขานยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแรงผลักดันของกลุ่มคนเหล่านี้ว่า… ยุคแห่ง ”แสงสว่างทางปัญญา” หรือ ”เอ็นไลท์เทนเม้นท์” (enlightenment)…ซึ่งแน่นอนว่า…. ความหมายของคำว่า ”แสงสว่าง” ในที่นี้…ย่อมไม่ได้หมายถึงแสงสว่างที่เคยสาดส่องลงมาจาก ”พระเจ้า” อย่างที่ฝ่ายศาสจักรเคยกล่าวเอาไว้… แต่เป็นแสงสว่างอันก่อเกิดขึ้นมาจากศักยภาพความเป็นมนุษย์ ที่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระไปจากอำนาจของคริสตจักรด้วยการเอาชนะผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าลงได้อย่างราบคาบแล้วนั่นเอง…..   

http://www.onopen.com/2007/01/1466


173
รัฐบาลที่มองไม่เห็น (New World Order)


รัฐบาลที่มองไม่เห็น???

อันที่จริงแล้วอำนาจอิทธิพลของชาวยิวที่มีต่ออเมริกานั้น.. อาจจะเรียกได้ว่ามีมาตั้งแต่อเมริกายังไม่ได้อุบัติขึ้นมาเป็นประเทศกันเลยก็ว่าได้ หรือในขณะที่อเมริกายังเป็นเพียงแค่อาณานิคมของอังกฤษ ระบบการค้าและอุตสาหกรรมต่างๆ ในอเมริกาล้วนแล้วแต่ถูกผูกขาดควบคุม โดยบรรดาบรรษัทที่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากกษัตริย์อังกฤษให้เป็นผู้จัดการดูแลผลประโยชน์ในเขตอาณานิคมกันมาโดยตลอด… และแน่นอนว่าหนึ่งในบรรดาบรรษัทที่ว่านั้น ก็หนีไม่พ้นบริษัท “อินเดีย ตะวันออก” ที่อยู่ในเครือข่ายของตระกูลรอทไชลด์นั่นเอง…


และแม้นว่าการดิ้นรนเพื่อประกาศอิสรภาพของอเมริกา จะมีที่มาจากปัญหาความไม่เป็นธรรมต่อระบบการค้าและการจัดเก็บภาษีโดยบรรดาบรรษัทที่ควบคุมดูแลผลประโยชน์เหล่านี้ แต่เมื่อความขัดแย้งต่างๆ ได้บานปลายไปสู่การทำสงครามระหว่างกองทัพอาณานิคมกับกองทัพอังกฤษ บรรดากลุ่มธุรกิจที่อยู่เบื้องหลังบรรษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้กระทบกระเทือนไปด้วยเลย คณะรัฐบาลชุดแรกของอเมริกาภายใต้การนำของนักรบอย่างนายพล “จอร์จ วอชิงตัน” ก็ยังต้องหันมาอาศัย “อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน” ผู้ที่มีความใกล้ชิดกับกลุ่มนักธุรกิจ และกลุ่มอุตสาหกรรมในอเมริกาและกับตระกูลรอทไชลด์อีกด้วย ให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเพื่อวางรากฐานให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่อย่างอเมริกากันมาตั้งแต่ต้น…และการวางตัวอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เอาไว้ในตำแหน่งนี้ จึงกลับกลายเป็นการเปิดช่องให้ธุรกิจธนาคารของรอทไชลด์ได้เข้าไปลงรากปักฐานในอเมริกาได้อย่างมั่นคงแน่นหนายิ่งขึ้นเรื่อยๆ…

นอกเหนือไปจากนั้น…บรรดากลุ่มนักธุรกิจที่ค่อยๆเติบโตขึ้นมามีบทบาทควบคุมธุรกิจการค้า การธนาคาร อุตสาหกรรมและการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่า จอห์น ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์, เจ. เพียร์พอนท์ มอร์แกน, แอนดรูว์ คาร์เนกี, เจมส์ เมลลอน, คอร์เนเลียส แวนเดอร์บิล, ฟิลิป อาร์เมอร์…ฯลฯ ผู้คนที่อยู่ในแวดวงตระกูลเหล่านี้ถ้าหากไม่ได้เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติโดยการแต่งงานกับลูกหลานในตระกูลรอทไชลด์แล้ว ก็หนีไม่พ้นไปจากผู้ที่ได้เกาะกลุ่มทำมาหากินร่วมกับตระกูลรอทไชลด์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง… ด้วยเหตุนี้แม้นว่าในระยะต่อมาจะเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “นาธาน รอทไชลด์” กับนักการเมืองที่เติบโตขึ้นมาเป็นถึงระดับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่าง “แอนดรูว์ แจ๊กสัน” หรือ “อับราฮัม ลินคอล์น” จนน่าจะเกิดอุปสรรคกีดขวางเส้นทางการเติบโตทางอิทธิพลของตระกูลรอทไชลด์ในอเมริกาได้ไม่น้อย… แต่สุดท้ายแล้วโอกาสที่ประเทศนี้จะสลัดหลุดไปจากเครือข่ายอำนาจของตระกูลรอทไชลด์และบรรดากลุ่มธุรกิจชาวยิวทั้งหลาย ก็กลับเป็นไปไม่ได้เอาเลย…???


และไม่เพียงแต่เครือข่ายทางการค้าของชาวยิวเท่านั้น ที่ค่อยๆแผ่สยายครอบคลุมประเทศเกิดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นขึ้นตามลำดับ บรรดาองค์กรหรือสมาคมของชาวยิวที่เชื่อกันว่าอยู่ภายใต้เครือข่ายขององค์กรลับอย่าง “ฟรีเมสัน” หรือ “อิลูมิเนติ” ก็ยังได้กระจายตัวออกไปตั้งฐานอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศอเมริกากันไม่น้อย อย่างเช่นสมาคม “Children of Covenant” ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาในนิวยอร์ค ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๔๓สมาคม “Yaweh Presence” ที่จัดตั้งขึ้นที่เพนซิลเวเนียในปี ค.ศ. ๑๙๐๙ สมาคม “Kiwani” ก่อตั้งในปี ค.ศ. ๑๙๑๕และสมาคม “Exchange” ที่ก่อตั้งโดยพ่อค้าอัญมณีในดีทรอยต์ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๖ ยังไม่นับรวมไปถึงสมาคมบางสมาคมอย่างสมาคม “Rotary”, “Lioness” หรือสมาคมหัวกะโหลกไขว้ (Skull and Bones) ที่มักจะถูกกล่าวหาโดยบรรดาพวกที่มีอคติกับชาวยิวทั้งหลายว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับสมาคมลับอย่างฟรีเมสันหรืออิลูมิเนติอยู่เสมอๆ….


ภายใต้สภาพการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเช่นนี้ แม้นว่านักการเมืองในอเมริกาบางยุคบางสมัยจะเคยแสดงความไม่พอใจต่อบทบาทของตระกูลรอทไชลด์อย่างออกนอกหน้า โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดี “อับราฮัม ลินคอล์น” ซึ่งต้องเผชิญกับ “สงครามกลางเมือง” ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ที่ระเบิดขึ้นมาในปี ค.ศ. ๑๘๖๑ แต่นักการเมืองอย่าง “ลินคอล์น” ก็ไม่ได้มีโอกาสมากพอที่จะทำอะไรกับอิทธิพลของเครือข่ายชาวยิวที่กำลังเติบโตแข็งแรงเพิ่มขึ้นๆ ได้เลย ว่ากันว่าความขัดแย้งระหว่าง “ลินคอล์น” กับตระกูลรอทไชลด์นั้นเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจต่อพฤติกรรมการฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ทำกำไรของตระกูลรอทไชลด์ ในช่วงระหว่างที่อเมริกากำลังเกิดสงครามกลางเมืองในขณะนั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วพฤติกรรมเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ตระกูลรอทไชลด์เคยกระทำมาบ่อยๆไม่ว่าในยุโรปหรือในที่อื่นๆ เช่นการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือกับทั้งสองฝ่าย… แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนตามข้อกล่าวหาของกลุ่มคนที่อาจจะมีอคติกับชาวยิวได้ระบุเอาไว้…. แต่อย่างไรก็ตาม จากคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของ ”ลินคอล์น” ก่อนหน้าที่จะถูกลอบสังหารและได้มีการบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานสามารถพิสูจน์และยืนยันได้นั้น ก็สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวล และความห่วงใยต่ออิทธิพลของกลุ่มธุรกิจและนายธนาคารที่กำลังมีต่อประเทศสหรัฐฯในขณะนั้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ดังเห็นได้จากคำพูดที่แทบไม่ต่างไปจากคำทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ว่า…. “บัดนี้บรรษัทธุรกิจได้ครองประเทศไปแล้ว…ศักราชแห่งการโกงกินในระดับสูงจะติดตามมา อำนาจเงินจะสามารถอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกนาน โดยอาศัยความหลงผิดของประชาชน จนกระทั่งเมื่อความมั่งคั่งถูกสะสมอยู่ในมือของกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ…สาธารณรัฐก็จะถูกทำลายลงไปในที่สุด…”


และทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปตามนั้น…หลังการลอบสังหาร “ลินคอล์น” ผ่านไปแล้ว นักการเมืองแต่ละรายที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็มักถูกมองผ่านสายตาของชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยว่าล้วนแต่ได้รับการหนุนหลังให้ขึ้นมามีบทบาททางการเมือง โดยบรรดานักกลุ่มธุรกิจไม่กี่รายที่รวมตัวกันเป็นเครือข่ายชักใยอยู่เบื้องหลังการเมืองสหรัฐฯยิ่งขึ้นทุกที “แมธทิว โจเซฟสัน” นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันได้ถ่ายทอดถึงบรรยากาศของการเมืองสหรัฐในช่วงระยะนั้นออกมาด้วยคำพูดที่ว่า… “รัฐสภาของฝ่ายนิติบัญญัติได้ถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นตลาด โดยที่ทุกสิ่งทุกอย่างมีราคาและสามารถต่อรองซื้อขายกันได้ ไม่ว่าเสียงของนักการเมืองไปจนถึงกฎหมายและระเบียบต่างๆ…”


และในขณะที่สภาพการเมืองอเมริกันกำลังเป็นไปเช่นนี้ กลุ่มอภิมหาเศรษฐีกลุ่มเล็กๆ เหล่านี้ก็ยิ่งขยายอิทธิพลอำนาจแผ่กว้างออกไปยิ่งขึ้นทุกที สิทธิประโยชน์ที่กลุ่มธุรกิจได้รับจากการออกกฎหมายโดยนักการเมืองในรัฐสภาฉบับแล้วฉบับเล่า เงินรายได้ที่เกิดจากการหลีกเลี่ยงภาษี ได้ถูกนำไปลงทุนในกิจการระดับยักษ์ๆ ไม่ว่าการครอบครองที่ดินอันมหาศาลตั้งแต่ตะวันออกไปจนถึงดินแดนที่ได้รับการบุกเบิกในซีกตะวันตก การผูกขาดกิจการการสร้างเส้นทางรถไฟทั่วประเทศ การลงทุนในธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าอุตสาหกรรมเหล็กกล้า พาณิชย์นาวี ประกันภัย การธนาคาร ระบบขนส่งและสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ยาง กระดาษ ทองแดง อุตสาหกรรมพลังงาน…ฯลฯ


สำหรับตระกูลรอทไชลด์ นั้น ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญในการร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศอเมริกา จนแทบไม่เหลือร่องรอยของความเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ-เสมอภาคและภราดร-ภาพ อย่างที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของอุดมการณ์ในการก่อกำเนิดประเทศนี้ขึ้นมาเลย….ในขณะที่วิถีชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรมอันเต็มไปด้วยความเรียบง่าย ประหยัด ซื่อสัตย์ และยึดมั่นในศาสนาตามวิถีทางที่ผู้อพยพออกมาจากอังกฤษมายังอเมริกา หรือบรรดาพวกที่เรียกๆ กันว่า “พิวริตัน” ทั้งหลายเคยแสวงหากันมาตั้งแต่แรก ได้ถูกทำลายลงไปอย่างยับเยิน อุตสาหกรรมที่ได้สร้างแรงดึงดูดผู้คนและแรงงานเข้าไปกระจุกตัวอยู่ในเมืองต่างๆ ก็กลับไม่ได้ก่อให้เกิดความร่ำรวย ความเป็นธรรม หรือวิถีชีวิตที่ดีขึ้นต่อชาวอเมริกันกี่มากน้อย ตรงกันข้ามกับอำนาจของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีกลุ่มเล็กๆ ในอเมริกากลับเติบโตขยายตัวเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกันและกันได้มั่นคง แข็งแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลรอทไชลด์ร่วมมือกับตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ เปิดกิจการน้ำมันในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ เจ.พี. มอร์แกน และร็อคกี้เฟลเลอร์ ตัดสินใจควบรวมกิจการต่างๆ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในต้นปี ค.ศ. ๑๙๐๑ ในนาม “บริษัทหลักทรัพย์ภาคเหนือแห่งนิวเจอร์ซี” ที่ถือครองทรัพย์สินในขณะนั้นเป็นมูลค่าถึง ๒๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี ค.ศ. ๑๙๑๓ กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันจัดตั้ง “ธนาคารกลางสหรัฐ” (Federal Reserve) ที่เป็นอิสระจากอำนาจของรัฐบาล แต่สามารถควบคุมระบบเศรษฐกิจสหรัฐหรือแม้กระทั่งระบบเศรษฐกิจโลกได้ทั้งระบบ… ไม่ต่างไปจาก “ธนาคารแห่งกรุงลอนดอน” ที่สามารถควบคุมระบบการเงินของประเทศอังกฤษ พร้อมๆ กับระบบเศรษฐกิจของอาณานิคมทั่วทั้งโลก…และหลังจากที่กฎหมายจัดตั้งธนาคารกลางสหรัฐได้ผ่านความเห็นชอบของประธานาธิบดี วุฒิสมาชิก “ชาร์ลส์ ลินด์เบอร์ก” ก็ได้วาดภาพให้เห็นด้วยคำพูดที่ว่า… “ทันทีที่ประธานาธิบดีลงนามในกฎหมายฉบับนี้…เราก็ได้ให้กำเนิด…รัฐบาลที่มองไม่เห็น…ซึ่งสามารถใช้อำนาจทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศผ่านระบบการเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย…”

ภายใต้สถานภาพในลักษณะเช่นนี้นี่แหละ ที่เคยทำให้หนึ่งในกลุ่มอภิมหาธุรกิจอย่าง “แอนดรูว์ คาร์เนกี้” ถึงกับกล่าวเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๘๖เป็นต้นมาว่า…. “เพียงแค่การตัดสินใจของคนประมาณ ๖ หรือ ๗ คนเท่านั้น ก็สามารถทำให้ประเทศต่างๆต้องกระโจนเข้าสู่สงครามได้ทันที… โดยไม่จำเป็นจะต้องผ่านการเห็นชอบหรือขอคำปรึกษาจากรัฐสภาใดๆ เลย...”  ? ?


*หมายเหตุ อ้างอิงจาก Onopen_com

http://www.oknation.net/blog/Joseph/2007/12/28/entry-1


174
ไขปริศนา ''รหัสลับดาวินชี'' : จากเค้าโครงความจริงหรือแค่คำลวง


ใน ''รหัสลับดาวินชี'' หัวหน้าสมาคมลับล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้นเช่น ไอแซค นิวตัน วิกเตอร์ ฮิวโก และลิโอนาโด ดาวินชี  ทุกคนสาบานที่จะเก็บรักษาความลับและปกป้องผู้สืบสายเลือดจากพระเยซู เรารู้ดีว่า ทุกคนเชื่อว่าพระเยซูมีอยู่จริง แต่พวกเขาเชื่อหรือไม่ว่ามีสมาคมลับที่ชื่อ ''ไพรออรี่ ออฟ ไซออน''


ในช่วงราวๆ ปี 1980 เริ่มมีการพูดถึงสมาคมลับดังกล่าวเมื่อมีการตีพิมพ์หนังสือสองเล่มคือ ''โลหิตศักดิ์สิทธิ์และจอกศักดิ์สิทธิ์'' และ ''The Messianic Legacy'' แต่งโดย ไมเคิล เบเก้น ริชาร์ด ลีห์ และเฮนรี่ ลินคอล์น ซึ่งเป็นนักเขียนบทโทรทัศน์

ความลับเกี่ยวกับผู้สืบสายเลือดจากพระเยซูถูกเก็บไว้เป็นเวลานับพันปีโดยไม่มีใครทราบเรื่อง สมาคมลับดูจะทำหน้าที่ปกปิดความลับได้ดีมาก ถ้าเช่นนั้น ลินคอล์นได้เบาะแสของเรื่องนี้มาได้อย่างไร



สาเหตุของเรื่องเริ่มขึ้นในปี 1969 ขณะที่ลินคอล์นไปพักผ่อนที่ประเทศฝรั่งเศส เขาได้ซื้อหนังสือชื่อ The Accured Treasure of Renne le Chateau แต่งโดย เจราร์ด เดอ ซาด ซึ่งเป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับชีวิตของพระในสังฆมณฑลในศตวรรษที่ 19 ชื่อ เบรองเจ โซนิแอร์ ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสและเป็นผู้ค้นพบบันทึกจำนวนหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ภายในเสาโบสถ์

ข้อความในบันทึกถูกนำมาตีพิมพ์ในหนังสือ ตามความเห็นของ เดอ ซาด ข้อความในบันทึกระบุถึงข้อมูลที่เป็นความลับ ซึ่งเขาได้ทิ้งข้อความดังกล่าวไว้เป็นปริศนาโดยไม่มีการแปล ในเวลานั้น ลินคอล์นได้ติดต่อไปยังเดอ ซาดซึ่งแนะนำให้เขาศึกษาข้อมูลจากเอกสารจำนวนหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติของฝรั่งเศส เอกสารดังกล่าวมีชื่อว่า Dossier Secrets หรือ เอกสารลับ


นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานเกี่ยวกับ สมาคมลับไพรออรี่ โดยเอกสารระบุว่า สมาคมลับก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1099 และยังได้ก่อตั้งขุมกำลังของตนเป็นกองทหารที่ชื่อ อัศวินแห่งเทมพลาร์ (The Knights of Templar)

ผู้ปกครองคนแรกในราชวงศ์เมอโรวิงเจียน ชื่อ เมอโรเว็ค ซึ่งเป็นผู้ครองอาณาจักรฟรังก์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 5 เรื่องราวของ เมอโรเว็ค มีอยู่ในรูปของตำนานมากกว่าข้อเท็จจริง เช่น ตำนานที่ระบุว่า เมอโรเว็คมีพ่อเป็นปลา ข้อมูลพวกนี้ทำให้เฮนรี่ ลินคอล์นสนใจ



ลินคอล์นและผู้ร่วมเขียนหนังสือเล่มนี้เชื่อว่า พวกเขาได้ค้นพบโยงใยระหว่างพระเยซูกับราชวงศ์เมอโรวิงเจียน และกล่าวว่า สมาชิกคนหนึ่งในราชวงศ์เมอโรวิงเจียนชื่อ เธโอโดริก ได้สวมมงกุฎขึ้นเป็นผู้นำชนชาติยิวที่อาศัยอยู่ในเขตที่ในอดีตเรียกว่า เซพติมาเนีย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ผู้เขียนกล่าวว่า เธโอดอริกเป็นที่รู้จักกันในฐานะราชาของชาวยิวและเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากเดวิด ซึ่งทำให้เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลที่สามารถสืบสาวไปถึงพระเยซู


เรื่องนี้ก่อให้เกิดสมมติฐานที่เป็นที่ถกเถียงกันและเป็นต้นตอของหนังสือ ''โลหิตศักดิ์สิทธิ์และจอกศักดิ์สิทธิ์'' รวมทั้ง ''รหัสลับดาวินชี'' ซึ่งระบุว่าราชวงศ์เมอโรวิงเจียนสืบเชื้อสายมาจากพระเยซูและแมรี่ แมกดาเลน และไพรออรี่ ออฟ ไซออน ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้สืบสายโลหิตจากพระเยซู แต่เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวอะไรกับเบรองเจ โซนิแอร์และแรนน์ เลอ ชาโต เพื่อเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องย้อนกลับไปในปี 679 เมื่อผู้ปกครองคนหนึ่งในราชวงศ์เมอโรวิงเจียนที่ชื่อ ดาโกแบต์ที่สอง ถูกลอบสังหาร



เรื่องนี้นำเรากลับไปยังข้อความลับที่เฮนรี่ ลินคอล์น พบอยู่ในหนังสือของเจราร์ด เดอ ซาด ความลับเรื่องผู้สืบสายเลือดจากพระเยซูก็คือ สมบัติแห่งแรนน์ เลอ ชาโต ใช่หรือไม่ การค้นพบความจริงเรื่องนี้ได้ทำให้พระที่ไม่มีเงินสักแดงเดียวอย่าง เบรองเจ โซนิแอร์ กลายเป็นเศรษฐี เอกสารลับไม่ได้ให้คำตอบของเรื่องนี้ แต่กลับมีความจริงเรื่องอื่น

นั่นก็คือ รายชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ (ในฐานะหัวหน้าของสมาคมไพรออรี่ ออฟ ไซออน) ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความเคลือบแคลงในชีวิตและการงานของผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้แล้ว ยังเป็นการท้าทายประวัติศาสตร์โลก ฉบับที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ในขณะนี้อีกด้วย ถ้าเป็นไปตามที่อ้างว่า สมาคมลับไพรออรี่ ออฟ ไซออน ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้สืบสายเลือดของพระเยซู



ในรายชื่อยาวเหยียดที่สืบย้อนไปได้ถึงปี 1188 บันทึกลับยังได้ให้รายชื่อที่ประกอบด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกด้วยเช่น บอททิเซลลี่ จิตรกรเลื่องชื่อในยุคเรอเนสซองส์ วิกเตอร์ ฮิวโก ผู้ประพันธ์เรื่อง Hunchback of Notre Dame และ Les Miserables นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเช่น ไอแซค นิวตัน และ ลิโอนาโด ดาร์วินชี

หลายคนเชื่อว่า การเป็นคนที่มีทั้งสองขั้ว (เป็นคนเงียบขรึม ขณะเดียวกันก็เป็นวิศวกรของกองทัพ) ทำให้ลิโอนาโดเป็นคนที่สามารถเก็บความลับได้และเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบสำหรับสมาคมลับไพรออรี่ ออฟ ไซออน ในรหัสลับดาวินชี่ ได้ยกย่องสิ่งประดิษฐ์ลึกลับชิ้นหนึ่งว่ามาจากฝีมือของลิโอนาโด สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับเก็บข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดของไพรออรี่ ออฟ ไซออน มีชื่อเรียกว่า Crypt text



ข้อความที่เป็นความลับถูกเขียนบนกระดาษปาปิรัส จากนั้นนำไปพันรอบแก้วที่บรรจุน้ำส้มสายชู ของทั้งสองชิ้นถูกใส่ไว้ในช่องว่างในกระบอกทรงยาวซึ่งต้องแก้โค้ดตัวอักษรให้ถูกต้องเพื่อเปิดออก สิ่งที่กล่าวไว้ในรหัสลับดาวินชี่ คือ หากน้ำส้มสายชูซึมออกมาจะย่อยกระดาษปาปิรัสให้สลายในทันที ศัตรูก็ไม่สามารถล่วงรู้ข้อความที่เป็นความลับได้

ทีนี้ถ้าคุณเกิดลืมรหัสขึ้นมาจะทำอย่างไร กลไกของอุปกรณ์จะทำให้แก้วแตกหรือไม่ น้ำส้มสายชูจะย่อยสลายกระดาษปาปิรัสไหมและลิโอนาโดประดิษฐ์อุปกรณ์ดังกล่าวนี้จริงหรือ

ทั้งหมดนี้คือนิยายสืบสวนสอบสอนที่โยงใยซับซ้อนและอื้อฉาวที่สุด



http://artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=4160


175
สมาคมลับ


เป้าหมายแรกของพวกฟรีเมสันคือการต่อสู้กับศาสนาคริสต์ หลังจากนั้น เป้าหมายของพวกนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นการต่อสู้กับทุกศาสนา เพื่อสถาปนาอิสราเอลขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งและเพื่อกลับไปสู่ปาเลสไตน์ ใน ค.ศ.1717 พวกฟรีเมสันได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งภายใต้ชื่อใหม่ว่า"สมาคมฟรีมาโซนิคหรือฟรีเมสัน"เพื่อต่อต้านศาสนาอย่างเปิดเผย นอกจากนั้นแล้ว พวกนี้ยังได้ใช้เครื่องหมายใหม่เป็นรูปสามเหลี่ยมและวงเวียนปลายแหลมสองด้านเป็นสัญลักษณ์อีกด้วย แหล่งพบปะหรือที่เรียกกันว่า “ลอดจ์” (lodge) แห่งแรกของคนพวกนี้ถูกตั้งขึ้นในอังกฤษโดยใช้คำขวัญใหม่ว่า “เสรีภาพ ภราดรภาพและเสมอภาค”ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มมาโซนิคและสโมสรต่างๆที่กล่าวไว้ข้างต้น

หลังจากนั้น คนพวกนี้ก็ตัดสินใจประกาศเป้าหมายที่แท้จริงของตนดังต่อไปนี้ คือ

1) เพื่อรักษาศาสนายูดาย


2) เพื่อต่อสู้ศาสนาต่างๆโดยเฉพาะนิกายแคธอลิก


3) เพื่อเผยแพร่การไม่เชื่อในพระเจ้าและลัทธิเสรีนิยม
หลังจากนั้น แหล่งพบปะใหม่ๆของพวกฟรีเมสันก็ถูกตั้งขึ้นในสหรัฐฯ

งานศึกษาหลายชิ้นโดยนักเขียนชาวตะวันตกตลอดจนแถลงการณ์ของพวกยิวและการศึกษาค้นคว้าเป็นการเฉพาะได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกยิวกำลังวางแผนที่จะทำให้โลกเสื่อมทรามลงโดยคำขวัญที่สวยหรูต่างๆซึ่งมุสลิมเป็นเป้าแรกที่ต้องทำลาย คนพวกนี้มีคำขวัญว่า “ศาสนานำไปสู่การแตกแยกในขณะที่ฟรีเมสันนำเราไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”

มีรายงานในสารานุกรมมาโซนิคที่ออกในฟิลาเดลเฟียเมื่อปี ค.ศ.1906 ว่าแหล่งพบปะทุกแห่งของพวกมาโซนิคจะต้องเป็นสัญลักษณ์ของวิหารชาวยิวและครูทุกคนจะต้องเป็นตัวแทนของกษัตริย์ยิวและองค์การฟรีเมสันทุกแห่งจะต้องรวบรวมผู้ทำงานชาวยิวไว้ ในแถลงการณ์ของพวกมาโซนิคที่ ออกในลอนดอนในค.ศ.1935 กล่าวว่า : “ความปรารถนาของเราก็เพื่อที่จะก่อตั้งลัทธิความเชื่อที่สมาชิกของลัทธิใช้วิธีการมีความสัมพันธ์ทางเพศ” ดังนั้น จึงได้มีการตั้งสโมสรต่างๆสำหรับคนชอบเปลือยกายขึ้นและพยายามอย่างเต็มที่ในการทำลายคุณค่าทางศีลธรรม

เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายของตน พวกฟรีเมสันได้ใช้ชื่อต่างๆกัน เช่น “ลูกหลานแห่งพันธสัญญา” (Children of covenant) “คิวานี”(Kiwani) “ไลออนเนส” (Lioness) “ยะฮ์เวห์ เพรสเซนส์” (Yahweh Presence) “เอ็กซเชนจ์” (Exchange) “สโมสรโรตารี” (Rotary Club) และอื่นๆ ชาร์ลส มาร์ไดน์ (Charles Mardine) ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง Rotary and The Like ของเขาซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ.1936

1) ลูกหลานแห่งพันธสัญญา (Children of covenant) พวกมาโซนิคกลุ่มนี้เกิดขึ้นในนิวยอร์คใน ค.ศ.1843 โดยมีสมาชิกเป็นชาวยิวโดยเฉพาะ หลังจากนั้น กลุ่มนี้ก็มีสาขาหลายแห่งทั่วโลก ในการประชุมครั้งหนึ่งซึ่งคนกลุ่มนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3/5/1966 นายฟอร์สเตอร์ ดัลลัส ได้กล่าวในที่ประชุมว่า : “อารยธรรมตะวันตกวางพื้นฐานอยู่บนความเชื่อของยิว ประเทศตะวันตกทั้งหมดจะต้องป้องกันฐานที่มั่นของอารยธรรมของตน นั่นคือ อิสราเอล”


2) “กลุ่มคิวานี” กลุ่มนี้มีคำขวัญว่า “รู้ด้วยตัวเองก็แล้วกันว่าจะทำให้เสียงของพวกท่านเป็นที่รับฟังได้อย่างไร” กลุ่มนี้ถูกจัดตั้งขึ้นใน ค.ศ.1915 ในเมืองดีทรอยต์ สหรัฐฯ


3) “ไลออเนสส์” สาขานี้ปรากฏขึ้นในชิคาโกมาตุภูมิของสโมสรโรตารี ตามหนังสือพิมพ์อัล-อะฮ์รอมฉบับวันที่ 2/12/1985 รัฐมนตรีหญิงได้ไปเปิดสโมสรไลออเนสส์แห่งแรกที่โรงแรมเชอราตันไคโร รายชื่อสมาชิกของกลุ่มนี้มีอยู่ในหนังสือพิมพ์ด้วย

4) “เอ็กซเชนจ์” ถูกก่อตั้งขึ้นในเมืองดีทรอยต์ในสหรัฐฯเมื่อวันที่ 27/3/1916 โดยชาร์ลส เบอร์คี ซึ่งเป็นพ่อค้าอัญมณีคนหนึ่ง กลุ่มนี้จัดประชุมครั้งแรกขึ้นใน ค.ศ.1917


5) “ยะฮ์เวห์ เพรสเซนส์” เป็นมูลนิธิของพวกยิวในชื่อคริสเตียน ยะฮ์เวห์เป็นนามของพระผู้เป็นเจ้า (พันธสัญญาเก่า) ถูกตั้งขึ้นในเพนซิลวาเนีย สหรัฐฯหลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์คในค.ศ.1909 ผู้ปฏิบัติงานของมูลนิธินี้จะออกไปเยี่ยมเยียนผู้คนที่บ้านเพื่อส่งเสริมหลักการที่วางพื้นฐานอยู่บนคัมภีร์โตราห์ (ซึ่งคนพวกนี้ได้บิดเบือนแล้ว) กลุ่มนี้เป็นสมาคมยิวที่อันตรายที่สุดกลุ่มหนึ่งทั้งนี้เนื่องจากมันหลอกลวงชาวคริสเตียนและสร้างเรื่องเท็จต่างๆขึ้นมาเกี่ยวกับศาสดา เช่น การพยากรณ์ถึงดินแดนแห่งพันธสัญญา


ใน ค.ศ.1951 ความลับของพวกฟรีเมสันก็แดงขึ้นในวารสารของกองทัพโดยนายทหารคนหนึ่งซึ่งเข้าไปร่วมกันคนพวกนี้และหลังจากนั้นได้ออกมาเปิดเผยความลับของคนพวกนี้ นอกจากนี้แล้ว นายทหารคนหนึ่งยังได้เปิดเผยความลับของคนพวกนี้ในหนังสือเรื่อง “The World is the Doll of Israel” (โลกนี้คือตุ๊กตาของอิสราเอล) ซึ่งได้ถูกแปลเป็นภาษาอาหรับ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีหนังสือบางเล่มเกี่ยวกับเรื่องฟรีเมสันที่เป็นประโยชน์และสมควรที่จะกล่าวถึงในที่นี้ เช่น “Freemasonry Open Air” และ “Pawns on the Chase”โดย ดร.มุฮัมมัด อะลี อัซ-ซุบี, นอกจากนี้ ดร.มุฮัมมัดเคยเป็นพวกมาโซนิคคนสำคัญคนหนึ่งในเลบานอน แต่หลังจากนั้น เขาสำนึกผิดและได้กลับมาสู่อิสลามและได้ถูกพวกฟรีเมสันฆ่า


ในหลายประเทศจะไม่ยอมให้คณะผู้นำของประเทศขึ้นมาสู่อำนาจอย่างไร้ทิศทาง บางประเทศเข้มข้นถึงขนาดมีองค์กรลับที่สุด เพื่อที่จะสรรหาและฝึกฝนผู้คนขึ้นไปสู่การมีอำนาจและการดูแลอำนาจ องค์กรหนึ่งซึ่งทรงพลังมากในสมัยโบราณหลายร้อยปี และยังคงทรงพลังต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็คือ “ฟรีเมสันส์”

ขอเรียนซะก่อนนะครับ ว่าฟรีเมสันส์ไม่ใช่องค์กรศาสนา แต่เป็นศูนย์รวมใจของสมาชิกและภราดรภาพ ฟรีเมสันส์เคยถูกมองว่าเป็นพวกที่มีแนวความคิดขบถต่อสังคม ผู้อ่านท่านลองไปค้นชื่อของสมาชิกขบวนการปฏิวัติในสหรัฐฯ และในฝรั่งเศสดูซีครับ ไม่ว่าในสงครามประกาศอิสรภาพเมื่อ พ.ศ. 2318-2326 และการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2332-2342 หรือในการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญ ในประเทศทางแถบยุโรปและในอเมริกากลาง ท่านจะพบว่าสมาชิกขององค์กรฟรีเมสันส์มีบทบาทนำแทบทั้งสิ้น จึงมีหลายคนมองว่าฟรีเมสันส์เป็นองค์กรที่มีบทบาททางการเมือง แต่สมาชิกฟรีเมสันส์ก็ออกมาปฏิเสธว่า พวกตนไม่ยุ่งการเมือง


ฟรีเมสันส์เคยถูกมองว่าเป็นสมาคมลับ แต่พวกฟรีเมสันส์เองมองว่าพวกตนไม่ใช่สมาคมลับ แต่เป็นสมาคมที่กุมความลับต่างหาก

ถ้าผู้อ่านท่านที่เคารพเข้าไปในเว็บไซต์ ท่านจะเห็นว่ามีการสมัครบุคคลเข้าเป็นสมาชิกของฟรีเมสันส์กันเปอะปะ ขอเรียนนะครับว่า คำประกาศรับสมัครเป็นสมาชิกฟรีเมสันส์ที่ท่านเห็นนั้น มักจะไม่เป็นความจริง เพราะการเข้าเป็นสมาชิกฟรีเมสันส์จริงๆจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมาก จะต้องเป็นชายที่มีความเป็นอิสระ ไม่ผูกพัน, เชื่อในความมีตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า (จะพระเจ้าตามความเชื่อของชาวคริสต์หรือศาสนาอื่นไม่ก็ได้) มีอายุไม่ตํ่ากว่า 18 ปี ต้องมีจิตใจดีงาม มีคุณธรรมและจริยธรรม และข้อสุดท้ายก็คือ จะต้องมีชาติกำเนิดที่เป็นไท ไม่เคยตกเป็นทาส


สมัยก่อน ห้ามผู้หญิงเป็นสมาชิกของฟรีเมสันส์อย่างเด็ดขาด จนกระทั่งวันหนึ่ง เอลิซาเบธ อัลด์เวิร์ธ มองลอดช่องอิฐผนัง บังเอิญไปพบเห็นการประกอบพิธีกรรมขององค์กรนี้ที่บ้านของคุณพ่อ เมื่อถูกจับได้ ชาวฟรีเมสันส์จึงแก้ไขปัญหาด้วยการยอมรับเธอเข้าเป็นสมาชิกหญิงคนแรก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็จึงเกิดองค์กรของสมาชิกฟรีเม-สันส์ที่รับผู้หญิงเข้าร่วมด้วย



ก่อนที่จะเข้ารับพิธีกรรมเป็นฟรีเมสันส์เต็มตัว ผู้จะเป็นจะถูกเรียกว่า แคนดิเดต ที่มีความหมายว่า ผู้ถูกเสนอตัว คนที่เป็นแคนดิเดต จะสวมเสื้อและกางเกงธรรมดา แต่จะต้องพับแขนเสื้อขึ้นไปข้างหนึ่ง ขากางเกงก็จะพับขึ้นไปอีกข้างหนึ่ง ปล่อยข้างหนึ่ง จะต้องถูกผูกตาด้วยผ้าผูกตาสีดำ ซึ่งหมายถึงว่า ก่อนจะมาเป็นสมาชิกของฟรีเมสันส์ ยังคงอยู่ในโลกมืดที่มืดมน แคนดิเดตจะมีเชือกผูกเงื่อนคล้องที่คอ ต้องปล่อยปลายเชือกไว้ให้กับสมาชิกฟรีเมสันส์คนอื่นเป็นผู้ถือ

แคนดิเดตจะถูกนำไปอยู่ตรงระหว่างเสา 2 ต้น ที่หน้าโต๊ะบูชา เสาทั้ง 2 ต้นนี่แทนสัญลักษณ์ของเสา 2 ต้น ที่เคยอยู่ตรงหน้าวิหารแห่งโซโลมอน ระหว่างเสา 2 ต้น จะมีโต๊ะบูชาที่มีคัมภีร์ฟรีเมสันส์เปิดอยู่ หน้าที่เปิดของคัมภีร์จะมีสัญลักษณ์ไม้ฉากและวงเวียนวางอยู่ ที่นี่แคนดิเดตจะทำพิธีให้สัตย์สาบานปฏิญาณตน ว่าจะเชื่อในพระเจ้าของฟรีเมสันส์ และจะกระทำตนตามแบบอย่างของฟรีเมสันส์ คำปฏิญาณข้อสำคัญของแคนดิเดตก็คือ จะต้องรักษาความลับของหมู่คณะเท่าชีวิต


ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงไม่มีเรื่องของพวกฟรีเมสันส์ แพร่งพรายออกสู่โลกภายนอก เมื่อสาบานเสร็จก็จะมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นชุดเครื่องแบบของสมาชิกฟรีเมสันส์ เมื่อพิธีสำเร็จแล้ว ก็จะมีการนำผ้าผูกตาและบ่วงคล้องคอเอาไปทิ้ง


จากนั้นสมาชิกใหม่ก็จะได้ผ้ากันเปื้อนที่คาดไว้ตรงเอวแบบผ้ากันเปื้อนของทารก ที่ต้องใช้ผ้ากันเปื้อน ก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ พิธีกรรมที่ว่านี้ทำกันโดยเปิดเผย แต่พิธีกรรมหลังจากนั้นเป็นพิธีกรรมลับอีกหลายพิธี ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยต่อคนอื่น ดังนั้น ใครก็ตามที่แอบไปได้เห็นการกระทำพิธีกรรมลับอันนี้ ก็จะต้องถูก ให้เข้าเป็นสมาชิกของฟรีเมสันส์


http://atcloud.com/stories/26286

____________________________________________________________________________
ขอเรียนยํ้าว่ามีจริงๆครับ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน และผมมีความเชื่อว่าจะยังมีต่อไปในอนาคตอีกนานเท่านาน


คนระดับโลกที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกขององค์กรลับตั้งแต่เด็กๆ องค์กรเหล่านี้รับสมาชิกยากมากจริงๆ แต่เมื่อรับไปแล้ว สมาชิกก็จะเขยิบขึ้นเป็นคนระดับโลก เดินทางมาไหนไปประเทศใด จะมีมือที่มองไม่เห็นคอยจัดการอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง เมื่อปฏิบัติ การงานสิ่งใด ก็จะมีมือที่มองไม่เห็นคอยจำกัดศัตรูเพื่อให้ท่านใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น


องค์กรลับระดับโลกดังๆ ก็เช่น องค์กรหัวกะโหลกกระดูกไขว้ หรือ สกัลล์ แอนด์ โบนส์ สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ CFR, ไทรเลตเทรอล คอมมิสชัน, บิลเดอร์เบิร์ก และ อิลลูมิเนติ องค์กรลับทั้ง 5 แห่งเหล่านี้มีการจับมือแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ช่วยเหลือกัน ต่อมาจึงครองโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งขึ้น

อดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช ผู้พ่อ สมัยหนุ่มเคยเข้าพิธีสาบานตนต่อหน้าคัมภีร์ฟรีเมสันส์ แต่ไม่ได้เข้าพิธีอย่างสมบูรณ์ จึงไม่ถือว่าเป็นสมาชิกของฟรีเมสันส์ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช คนลูกก็เหมือนกัน พยายามหาทางเข้าเป็นสมาชิก แต่ทำพิธีได้ไม่ครบจึงไม่ถือว่าเป็นสมาชิกฟรีเมสันส์


บิลล์ คลินตัน ฉายแววผู้นำตั้งแต่ยังเด็ก สมัยเด็กได้ทำพิธีในสำนักเดอ โมเลย์ ซึ่งเป็นสำนักฟรีเมสันส์สำหรับเด็ก สมาชิกองค์กรลับฟรีเมสันส์ คนอื่นๆ ก็เช่น เฮนรี ฟอร์ด, วอลเตอร์ ไครส์เลอร์, โธมัส เจ วัตสัน, เอิร์ล วอร์เรน (หัวหน้าคณะทำงานสอบสวนคดีลอบสังหาร จอห์น เอฟ.เคนเนดี,เจ. เอดการ์ ฮูเวอร์ เจ้าพ่อเอฟบีไอ),


กษัตริย์วิลเลียมที่ 4 แห่งอังกฤษ, กษัตริย์จอร์จที่ 4 แห่งอังกฤษ, กษัตริย์จอร์จที่ 6 แห่งอังกฤษ, โฮเซ เดอ ซาน มาร์ติน (วีรบุรุษของชาวอาร์เจนตินา), นโปเลียน โบนาปาร์ต, กษัตริย์ฮุสเซน แห่งจอร์แดน, ยาวะหะราล เนห์รู, ยิตซัค ราบิน, ยัสเซอร์ อาราฟัต, เซอร์ วินส์ตัน เชอร์ชิลล์,วูล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ต, ลุตวิก ฟาน บีโธเฟน, เกรน ฟอร์ด, คลาร์ค เกเบิล, จอห์น เวย์น, โธฮัน วูล์ฟกัง, ฟอน เกอเธ, จอห์น เกรน, เจมส์ วัตต์ ฯลฯ

ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ตั้งแต่คนแรก จอร์จ วอชิงตัน มาจนถึงปัจจุบัน เป็นสมาชิกฟรีเมสันส์เต็มรูปแบบถึง 15 คน และรองประธานาธิบดี 19 คน


ปัจจุบัน ในสหรัฐอเมริกามีสำนักงานองค์กรลับฟรีเมสันส์ อยู่ครบทุกรัฐ องค์กรฟรีเมสันส์เข้าไปในสหรัฐฯเมื่อ พ.ศ. 2276 สำนักฟรีเมสันส์แห่งแรกตั้งที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเสตต์ แต่เป็นสาขาจากอังกฤษ สำนักงานที่เป็นของสหรัฐฯอย่างแท้จริงนั้น ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2277 ที่เมืองซาวันนา รัฐจอร์เจีย ต่อมาพวกฟรีเมสันส์ในสหรัฐฯแบ่งเป็น 2 สาย คือสายสมัยใหม่ และสายเก่าแก่ที่เรียกว่าสายแอนเทียนต์


ในหลายประเทศมีองค์กรลับคอยดูแลความเป็นไปของชาติ โดยการรวบรวมคนที่ฉลาดจริงๆ มีการศึกษาดี เข้ามาอยู่ด้วยกัน คนพวกนี้จะเข้าใจความเป็นไปของโลก มีเครือข่ายระโนงโยง ไปเหมือนใยแมงมุม เมื่อมีปัญหาที่ประเทศชาติบ้านเมืองของตนต้องการความช่วยเหลือ สมาชิกขององค์กรลับเหล่านี้ก็จะใช้ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่สุดของตัวเองเข้า ไปจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

ผมมีความเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ในประเทศไทยของเรา ก็มีสมาชิก องค์กรลับฟรีเมสันส์อยู่หลายคน สมาชิกขององค์กรที่ทรงอิทธิพลอย่าง CFR ก็น่าจะมีไม่น้อย



ในยุคที่ "แสงสว่างแห่งปัญญา" อันเกิดจากศักยภาพของมนุษย์ ผู้ซึ่งสามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ พ้นไปจากการครอบงำทางความคิดอันล้าหลังของศาสนจักร ได้เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรป…องค์กรลับอย่างฟรีเมสันก็ได้แสดงตัวให้ชาวยุโรปได้รับรู้กันในฐานะ "สมาคมแห่งภราดรภาพ" หรือ "สมาคมของผู้ที่มีความสุขต่ออิสรภาพ" และได้ประกาศคำขวัญในหมู่มวลสมาชิกเอาไว้ว่า"เสรีภาพ-ความเสมอภาค-และภราดรภาพ"ที่ในระยะเวลาต่อมามันได้กลายมาเป็นคำขวัญของบรรดาขบวนการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจการปกครองของรัฐบาลต่างๆในยุโรปไปโดยลักษณะใดก็ไม่อาจทราบได้…???


แต่โดยบรรยากาศความร้อนแรงในยุค "แสงสว่างแห่งปัญญา" กำลังสาดส่องอยู่ทั่วยุโรปนั้น สมาคมลับอีกแห่งหนึ่งที่ชาวยิวมีส่วนเข้าไปพัวพันตั้งแต่จุดเริ่มต้น และมีบทบาทในการรองรับความหิวกระหายเสรีภาพ-ความเสมอภาค-ภราดรภาพของชาวยุโรปได้ถนัดถนี่ยิ่งกว่าฟรีเมสันก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือองค์กรที่ใช้ชื่อว่า "อิลูมิเนติ" ( illuminati ) ซึ่งโดยความหมายที่ถอดความมาจากภาษาละตินนั้น ก็หมายถึง "แสงสว่าง" หรือ "ความรู้แจ้ง"ไม่ต่างไปจาก "แสงสว่างแห่งปัญญา" เช่นเดียวกับคำว่า "เอ็นไลท์เทนเม้นท์" นั่นเอง…
บทบาทของ "อิลูมิเนติ" นั้นได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างชัดเจนในยุโรปตั้งแต่ประมาณช่วงปี ค.ศ. ๑๔๙๒ ในบรรดาเมืองสำคัญๆ ของประเทศเสปน อันเป็นแหล่งรองรับวิทยาการที่หลั่งไหลจากจักรวรรดิอิสลามเข้ามาสู่ยุโรปในช่วงแรกๆ นั่นเอง เช่น เมือง เซวิลล์, คอร์โดบา และทอเลโด ฯลฯ เป็นต้น หลังจากนั้นบทบาทของ "อิลูมิเนติ" ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาในฝรั่งเศสในช่วงปี ค.ศ. ๑๖๒๓-๑๗๒๒ และแพร่สะพัดไปสู่ประเทศอังกฤษในช่วงระยะเดียวกัน ก่อนที่จะลุกลามไปสู่เยอรมันโดยเฉพาะในแคว้นบาวาเรียในช่วงปี ค.ศ. ๑๗๗๗ โดยชาวยิวที่มีชื่อว่า "อาดัม ไวซ์ชวาปท์" และได้แพร่ต่อไปยังโปแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ค ฮังการี ออสเตรีย ฯลฯ ก่อนที่จะไปปรากฏตัวชัดเจนในประเทศรัสเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๗๙๐ เป็นต้นมา…

องค์กรอย่างอิลูมิเนตินั้น… แตกต่างไปจากฟรีเมสันตรงที่สามารถสลัดหลุดออกมาจากกรอบความคิดในเรื่อง "พระเจ้า" ได้อย่างสิ้นเชิง หันมาให้ความสำคัญกับ "ความรู้" และ "ความมีเหตุมีผล" ที่เกิดจากการ "ค้นคิดอย่างเป็นอิสระ" ภายใต้ศักยภาพความเป็นมนุษย์ อันเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการยึดมั่น-ศรัทธาแทนความเชื่อในเรื่องสิ่งสูงสุดทางศาสนา…หรือที่เรียกๆ กันว่าแนวทาง "ความรู้นำไปสู่สุขคติ" (Gnosticism)…


บทบาทขององค์กรฟรีเมสันและอิลูมิเนติ ที่ต่างก็แผ่กระจายเข้าไปมีอิทธิพลเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วทั้งยุโรปในขณะนั้น มันจะมีที่มา-ที่ไปแตกต่างกันหรือไม่? เพียงใด? ก็แล้วแต่…แต่สิ่งที่ทำให้ฟรีเมสันและอิลูมิเนติมีความเหมือนกันและสอดคล้องกันและกันก็คือ องค์กรทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นสมาคมลับ และต่างก็เป็นสมาคมที่ชาวยิวเข้าไปมีบทบาทในการก่อตั้งและขับเคลื่อนมาตั้งแต่แรกด้วยกันทั้งคู่…???

http://atcloud.com/stories/26286

__________________________________________________________________________
ในการปฏิวัติฝรั่งเศสปี ค.ศ. ๑๗๘๙ หัวหอกสำคัญในการก่อการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐ ที่เรียกกันว่าพวก "จาโคแบงส์" (Jacobins) ได้ถูกกล่าวหาหรือตั้งข้อสงสัยว่า มี


ในการก่อการปฏิวัติเพื่อโค่นล้มอำนาจของพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ที่ ๗ ในประเทศเสปน ช่วงปี ค.ศ. ๑๘๑๙ "นักสาธารณรัฐนิยม" ผู้เป็นหัวหอกสำคัญในการปฏิวัติอย่าง "ราฟาเอล เดล เรียโก อิมูเนซ" ก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะสมาชิกคนสำคัญขององค์กรฟรีเมสันกันมาตั้งแต่แรก…


"สมาคมศิลปะและการฝีมือ",  "สมาคมพิธีศพ" , สมาคมเลี้ยงเด็กกำพร้า", "สมาคมหาคู่"…ฯลฯ แต่ภายใต้กิจกรรมของสมาคมต่างๆ ที่ดูเหมือนกับไม่ได้มีจุดประสงค์และเป้าหมายใดๆ ที่อาจจะกระทบต่อนโยบายกำจัดสิทธิ์ซึ่งรัฐบาลรัสเซียมีต่อชาวยิวเลยนั้น โดยการเชื่อมโยงของเครือข่ายสมาคมต่างๆ เหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ชาวยิวในรัสเซียสามารถสร้าง "อำนาจรัฐซ้อนรัฐ" หรือ "อำนาจการปกครองตัวเอง" ซ้อนอยู่ในอำนาจของรัฐบาลรัสเซียได้สบายๆ หรือสามารถใช้สมาคมต่างๆ ดูแลปกครองชาวยิวตามตัวบทกฎหมายของชาวยิวเอง แม้นว่ารัฐบาลรัสเซียจะมีคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ชาวยิวหรือชนชาติส่วนน้อยใดๆ ทำการปกครองตัวเองภายในแผ่นดินรัสเซียก็ตาม…ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่เมื่อเกิดการปฏิวัติโค่นล้มระบบซาร์ในรัสเซีย ช่วงปี ค.ศ. ๑๙๑๗ กลุ่มกำลังที่มีส่วนสำคัญในการปฏิวัติไม่ว่ากลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "บอลเชวิค" หรือ "เมนเชวิค" ก็แล้วแต่ ต่างก็ถูกระบุถึงการมีสัมพันธ์โยงใยอยู่กับสมาคมลับอย่างอิลูมิเนติ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชาวยิวในรัสเซียที่ล้วนแต่เติบโตขึ้นมาภายใต้เครือข่ายขององค์กรบังหน้าในลักษณะรัฐซ้อนรัฐกันมาตั้งแต่แรก…

บทบาทของชาวยิวไม่ว่าโดยฐานะตัวบุคคล โดยองค์กรทั้งในแบบลับๆ หรือเปิดเผย ที่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมในยุโรปนั้น…ว่าไปแล้วค่อนข้างเป็นอะไรที่สับสน สลับซับซ้อน จนยากที่จะควานหาเป้าหมาย แนวทางกันได้ชัดๆ มีทั้งบทบาทที่แสดงออกในลักษณะ ปิดบัง ซ่อนเร้นจนยากที่จะหาร่องรอยหลักฐานใดๆมาเป็นข้อพิสูจน์ได้ มีทั้งลักษณะที่เปิดเผยตรงไป-ตรงมาซึ่งถูกแสดงออกผ่านนักธุรกิจ พ่อค้า

หรือเครือข่ายอำนาจทางการค้า อันเป็นบทบาทที่เคยหนุนช่วยอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในบางช่วงบางระยะ แต่ก็กลับมามีบทบาทในการโค่นล้มอำนาจกษัตริย์ในช่วงระยะต่อมา มีทั้งตระกูลคหบดีชาวยิวที่อาศัยความมั่งคั่งทางการค้าแผ่ขยายเครือข่ายเข้าไปในหมู่ชนชั้นสูงในยุโรป ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจรัฐจนกลายเป็นเครือญาติของราชวงศ์และชนชั้นขุนนางสืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆ แต่ก็มีเครือข่ายของชาวยิวอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยความเจ็บปวดเคียดแค้นของชนชั้นกรรมาชนแผ่ขยายความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอำนาจที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยนักปฏิวัติผู้พยายามโค่นล้มระบบขุนนางและกษัตริย์ลงไปให้ได้

และยังมีชาวยิวในแต่ละบุคคลที่อาศัยสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดเฉพาะตัวแสดงบทบาททั้งในฐานะผู้กระตุ้นให้เกิดลัทธิทุนนิยมขึ้นมาในยุโรป รวมทั้งเป็นผู้ที่ให้กำเนิดลัทธิคอมมิวนิสต์อันเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับทุนนิยม จนบรรดาผู้ที่เชื่อมั่น-ศรัทธาต่อความคิดของชาวยิวทั้งสองฝ่ายต้องหันมาประหัตประหารกันเองทั่วทั้งยุโรปและทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมาอีกด้วย….ฯลฯ ฯลฯ


แต่ภายใต้ลักษณะที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน สับสน และผิดแผกแตกต่างกันปาน


อารมณ์ความรู้สึกของชาวยิวแต่ละบุคคล หรือชาวยิวที่อยู่ในแต่ละกลุ่มก้อนองค์กรไม่ว่าจะเป็นยิวฝ่ายไหนก็แล้วแต่ แม้นว่าจะกระจัดกระจายพลัดพรากกันไปในแต่ละประเทศ เติบโตขึ้นมาในสังคมที่มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน อยู่ในสถานะทางชนชั้นที่แตกต่างกันจนอาจก่อให้เกิดทัศนคติที่แตกต่างกันในลักษณะเช่นใดก็ตามที…

แต่ท้ายที่สุดแล้ว…สายเลือดและวิญญาณของเผ่าพันธุ์ที่ถูกปลูกฝัง ตอกย้ำกันอย่างเอาจริงเอาจังมาตั้งแต่ยุคอับราฮัม อิสอัค ยาโคปมาโดยตลอด…ก็ยังสามารถโลดแล่นอยู่ในตัวตนของชาวยิวแต่ละรายได้เสมอๆ…และภายใต้อารมณ์ความรู้สึกที่ถูกฝังอยู่ในจิตวิญญาณของชาวยิวอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ทำให้ความแตกต่างในหมู่ชาวยิวทั้งหลาย กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกนำมาปรับใช้เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกลมกลืนระหว่างกันและกัน และนำไปสู่จุดมุ่งหมายอันเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ???

มุ่งหมายอันเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ???


จุดมุ่งหมายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเลยตั้งแต่ต้น…นั่นก็คือจุดมุ่งหมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น


ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าองค์กรลับอย่างฟรีเมสันจะแสดงการยอมรับต่อการมีอยู่พระเจ้า ในขณะที่องค์กรอิลูมิเนติปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า…แต่ท้ายที่สุด…ภายใต้เครือข่ายการเคลื่อนไหวของทั้งสององค์กรที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรป ก็ดูจะนำมาซึ่งผลสรุปอันเดียวกัน…นั่นก็คือ ในขณะที่ชนชาติต่างๆ ในยุโรปต่างก็ปั่นป่วนวุ่นวายจนกระทั่งมีผลลุกลามกลายเป็นความวุ่นวายของทุกๆชนชาติทั่วทั้งโลก…ชนชาติที่ยังคงแข็งแกร่งจนอาจจะปกครองโลกทั้งโลกได้ในวันใดวันหนึ่งก็คงเป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายมาจาก "ผู้ที่ปล้ำสู้กับพระเจ้า" หรือชนชาติ "อิสราเอล"


ว่ากันว่า นายดีปรี พนม... คือหนึ่งในคนขององค์กรณ์นี้

ขอบคุณ

หลายเวป

ง่ายๆ ประเทศสหรัฐอเมริกาถูกก่อตั้งโดยองค์กรณ์นี้เพื่อใช้เป็นฐานยึดโลก

ขอบคุณ

หลายเวป

ประดุจถูกแยกให้กลายไปเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกันและกันเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ก่อให้เกิดการละลายหรือการเจือจางความเข้มข้นใน "ความเป็นยิว" อันเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาในแต่ละรุ่นแต่ละรุ่นตลอดชั่วอายุของเผ่าพันธุ์นับเป็นพันๆ ปีที่แล้วลงไปได้เลย…???ในรัสเซีย เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ ๑ ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการปกครองประเทศ หลังจากได้ทำสงครามกับพระจักรพรรดินโปเลียนเป็นต้นมา จนเกิดการกดดัน การจำกัดสิทธิต่างๆ ของชาวยิวในรัสเซีย ชาวยิวในรัสเซียก็ได้หันมาจัดตั้งสมาคมในรูปแบบต่างๆ ที่เรียกกันว่า "เฮฟวรา" อันสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความจัดเจนในการใช้รูปแบบของ "องค์กรบังหน้า" ที่กระจัดกระจายอยู่ในนามสมาคมนานาชนิด ไม่ว่า "สมาคมเลี้ยงอาหารคนจน", ในอิตาลี…ถึงแม้นจะไม่มีการเอ่ยถึงบทบาทของฟรีเมสันหรืออิลูมิเนติชัดเจนซักเท่าไหร่นัก แต่ในการปฏิวัติในอิตาลีนับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๒๐ เป็นต้นมา หรือหลังจากที่พระจักพรรดินโปเลียนผู้สร้างคุณูปการให้กับชาวยิวทั่วทั้งยุโรปได้พ่ายแพ้ในสงครามวอเตอร์ลู และอำนาจของกษัตริย์และศาสนจักรกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในอิตาลี

http://atcloud.com/stories/26286

___________________________________________________________________________
องค์กรที่ทำการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติหรือเพื่อต่อต้านอำนาจของกษัตริย์และพระสันตะปาปาในอิตาลี ที่มีชื่อว่า "คาร์โบนา" นั้น แม้นว่าจะเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของชาวคริสต์ก็ตาม แต่ก็เป็นที่รับทราบกันอย่างชัดเจนว่าได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มพ่อค้าชาวยิวอย่างเต็มที่ หรือกลุ่ม "อิตาลีหนุ่ม" ที่พยายามก่อการปฏิวัติต่อมาหลังจากนั้น ก็ได้รับความสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากชาวยิวในอิตาลีที่ไม่ใช่เพียงแค่ในเรื่องเงินๆ-ทองๆเท่านั้น แต่ยังมีการระดมอาสาสมัครชาวยิวเข้าร่วมก่อการปฏิวัติกับกลุ่มอิตาลีหนุ่มภายใต้การนำของ "กิเซปป์ มาสินี" อย่างเปิดเผย… ความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิดกับองค์กรอิลูมิเนติ แม้นว่าคำขวัญที่ถูกใช้ในการปฏิวัตินั้นกลับเป็นคำขวัญที่ไม่แตกต่างไปจากคำประกาศของพวกฟรีเมสันกันเลยแม้แต่นิด นั่นก็คือคำว่า "เสรีภาพ-เสมอภาค-และภราดรภาพ"นั่นเอง…??? และภายใต้ความเหมือนกันหรือสอดคล้องต้องกันเช่นนี้… บทบาทขององค์กรทั้งสองยังมักจะถูกกล่าวถึงหรือถูกนำไปเกี่ยวโยงพัวพันกับความเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและทัศนคติทางสังคมที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในประเทศต่างๆทั่วทั้งยุโรปในช่วงระยะนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า…??? อย่างไรก็ตาม…แม้นว่าองค์กรอย่างฟรีเมสันจะถูกกล่าวหา หรือตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีบทบาทในการต่อต้านอำนาจของฝ่ายศาสนามาโดยตลอด แต่ปรัชญาและแนวคิดของฟรีเมสันนั้นยังคงผูกติดอยู่กับกลิ่นอายทางศาสนาอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือการให้ความยอมรับต่อสิ่งสูงสุดในทางจิตวิญญาณหรือ "พระเจ้า" เพียงแต่การอธิบายความหมายหรือการตีความในเรื่องพระเจ้าของฟรีเมสันนั้น ออกจะพิลึก พิสดารแตกต่างไปคนละเรื่องคนละราวกับพระเจ้าในความหมายเดิมๆที่ชาวคริสต์เคยรับทราบในหลายแง่หลายมุมด้วยกัน ซึ่งก็คงไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลากล่าวถึงในที่นี้……??? 

http://atcloud.com/stories/26286

_______________________________________________________________________________
สมาคมลับ
ความวุ่นวายทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ในบ้านเราปัจจุบันทุกวันนี้ ถ้าจะให้มีการแก้ไขไปตามระบบคงจะเป็นไปได้ยาก ข่าวล่ามาเร็วแจ้งว่ามีหลายหน่วยถูกจัดตั้งขึ้นเป็นลักษณะของสมาคมลับ ประสงค์ก็คือต้องการใช้วิธีการรุนแรงเข้าไปแก้ไขปัญหาของชาติ เช่น เมื่อรู้ว่ามีนายกเทศมนตรี หรือนายก อบต. คนไหนชั่วช้าสามานย์แอบลงนามให้ห้างค้าปลีกต่างชาติเข้าไปตั้งในถิ่นของตัวเองได้ ก็จะมีสมาชิกสมาคมลับเข้าไปจัดการขั้นเด็ดขาดถึงชีวิต ทั้งชีวิตของเจ้าตัวและ      ครอบครัวคนรอบข้าง

ต่อข้อถามที่ว่า นิติภูมิคุณเห็นด้วยกับสมาคมพวกนี้ไหม? ผมตอบได้อย่างเต็มปากเลยครับว่า “ไม่เห็นด้วย” เพราะว่าจะเกิดการโกลาหลอลหม่านขึ้นในประเทศ การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงคือช่องทางสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ความจริงให้สมาชิกในสังคมได้รับรู้อย่างถูกต้อง หากไปไม่ไหวจริงๆ ก็ยังมีช่องทางทางกฎหมายอีก

พวกที่เคยใช้สมาคมพวกนี้ ก็มีจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่อิตาลีที่ผมเพิ่งไปเยือนมาสัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่มีสมาคมลับ ผู้คนล้มหายตายไปอย่างไม่มีสาเหตุจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่คิดคดทรยศต่อชาติบ้านเมือง สังคมและเผ่าพันธุ์ตนเอง บางสมาคมเล่นไกลถึงญาติโกโหติกา ผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวดองหนองยุ่งด้วย

อิตาลีมีคาร์โบนารี หรือคาร์โบนีเรีย เป็นสมาคมลับของคนอิตาลี สมาชิกสมาคมลับพวกนี้ยึดอุดมการณ์เสรีนิยม ชอบการปกครองแบบสาธารณรัฐและเน้นความรักชาติ สมาคมคาร์โบนารีเริ่มต้นจากขบวนการต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสในรัฐเนเปิลส์ระหว่างสงครามนโปเลียน ต่อมาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเพื่อต่อต้านระบบอนุรักษนิยม ตลอดจนต่อต้านอำนาจและอิทธิพลของจักรวรรดิออสเตรียในคาบสมุทรอิตาลี  ประสงค์ของสมาชิกของสมาคมนี้ก็คือการรวมชาติให้เป็นปึกแผ่น

คาร์โบนารีเป็นคำในภาษาอิตาลีหมายถึง คนเผาถ่าน ใครคนไหนก็ตามที่จะเป็นสมาชิกของสมาคมจะต้องผ่านการคัดเลือก ส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการที่รักชาติ พวกขุนนางก็เยอะ พวกที่เป็นเจ้าของที่ดินรายย่อยก็มีไม่น้อย ผ่านการคัดเลือกด้วยระบบที่เคร่งครัดแล้ว ยังต้องมีพิธีกรรมอะไรบานเบอะเยอะแยะ การสื่อสารของผู้คนในสมาคมลับก็ใช้สัญลักษณ์สลับซับซ้อน และใช้คำพูดที่เป็นรหัสลับติดต่อกัน

สมาคมลับคาร์โบนารีแพร่ขยายกระจายไปจนมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีพวกขายชาติส่วนหนึ่งได้รับประโยชน์ทางการค้าและอิทธิพลทางการเมืองจากต่างชาติ สมาคมลับสมาคมนี้มีแหล่งซ่องสุมอยู่ทั่วประเทศ แต่ศูนย์กลางของสมาคมอยู่ที่อิตาลีตอนกลางแถวรัฐสันตะปาปา ทางตอนใต้ก็อยู่ที่รัฐเนเปิลส์

สมาคมลับจะยึดเอาประโยชน์ของผู้คนในชาติส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ดังนั้นจึงมักจะได้รับความเห็นใจและได้รับการช่วยเหลืออย่างลับๆ จากกองทัพ อย่างเช่น กษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งปกครองอิตาลีในสมัยนั้นคือ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ไม่ค่อยดูแลประชาชน แถมเห็นแก่ประโยชน์พวกต่างชาติมากกว่าคนอิตาลี สมาคมลับ    คาร์โบนารีเห็นว่า ถ้าขืนยังให้ครองราชย์อยู่ ประเทศล่มจมแน่ ก็จึงคิดหาหนทางกำจัด ทหารบกของรัฐบาลพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 แทนที่จะจับกุม กลับช่วยเหลือพวกสมาคมลับทำการปฏิวัติจนพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 สูญเสียพระราชอำนาจ

อำนาจจากต่างชาติออสเตรีย ซึ่งเป็นพวกที่เคยได้รับประโยชน์ จึงเอากองทหารของตนเข้ามาปราบปรามและโค่นรัฐบาลปฏิวัติ    จากนั้นก็ช่วยให้พระเจ้า            เฟอร์ดินานด์ที่ 7 ให้กลับขึ้นไปได้นั่งอยู่บนบัลลังก์เหมือนเดิม

ออสเตรียเข้ามากอบโกยประโยชน์ในอิตาลีอยู่นาน   พวกสมาชิกสมาคมลับ        คาร์โบนารีจึงปลุกพลังมวลชนให้ลุกฮือ เมื่อสืบทราบว่า พระสันตะปาปาก็มีส่วน พวกคาร์โบนารีก็เอาพลังประชาชนไปปิดล้อมรัฐสันตะปาปา ทหารของพระสันตะปาปาเห็นผู้คนมาล้อมจึงกระจัดพลัดพรายหายไปจากรัฐ วิ่งหางจุกก้นหนีทัพกันหมด

พระสันตะปาปาหมดหนทาง จึงไปขอความช่วยเหลือจากต่างชาติออสเตรียให้มาจัดการกับพวกสมาชิกสมาคมลับคาร์โบนารี ออสเตรียก็เข้ามาปราบพวกก่อการและยึดแคว้นแฟร์ราราและโบโลญญาไปเป็นของตัว ตอนหลังประชาชนคนอิตาลีก็ลุกฮือต่อต้านพระสันตะปาปาใหม่ พระองค์ก็ทรงขอกำลังทหารจากออสเตรียอีก

ตอนหลังมีขบวนการลับลักษณะเดียวกันตั้งขึ้นมา ชื่อว่า ขบวนการอิตาลีหนุ่ม สมาคมลับคาร์โบนารีก็จึงค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคมอิตาลี แต่มีผลงานที่ช่วยปกป้องประเทศชาติไว้มากมายอย่างน่าประทับใจ.

 
http://www.mediathai.net/module/newsdesk/newsdesk_subcat1.php?board_id=20493



176
สมาคมลับเหนือสมาคมลับครองโลก ตอนที่ 1(ประวัติย่อๆ)


ประวัติย่อๆเกี่ยวกับสมาคมลับ

ปี 1717 ก่อตั้ง Masonic Grand Lodge ในอังกฤษ (ขณะนั้นอังกฤษเป็นประเทศที่นับถือนิกายโปรเทสแทนท์ แล้วกลุ่มฟรีเมสันพยายามแทรกซึมเข้าไปเพื่อทำลายกลุ่มโปรเทสแทนต์)

ปี 1721 ก่อตั้ง Masonic Lodge แห่งแรกในฝรั่งเศส

ปี 1731 เบนจามิน แฟรงคลิน เข้าร่วมเป็นสมาชิกฟรีเมสัน

ปี 1738 คริสตจักรโรมันคาทอลิคประณามกลุ่มฟรีเมสัน (โรมพุ่งประเด็นทุกอย่างไปที่กลุ่มฟรีเมสัน แต่วงในรู้ดีว่าคณะเยซูอิต(Jesuit Order)ควบคุมกลุ่มฟรีเมสันอีกชั้นหนึ่ง)

ปี 1758 - Sir Francis Dashwood ก่อตั้ง The Hell-Fire Club
- Benjamin Franklin เดินทางไปอังกฤษเพื่อไปหารือเกี่ยวกับการเอาอเมริกามาเป็นประเทศในอาณานิคมในอนาคต

ปี 1768 ก่อตั้ง The Rite of the Strict Observance (33 degree) โดย Baron Von Hund โดยรับแนวทางปฏิบัติพื้นฐานมาจาก The Templar , Frederic of Prussia ก่อตั้ง The Order of the Architects of Africa และใช้ชื่อ “Illuminati” เพื่อที่จะประกาศว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเมสันใหม่ (neo-Masonic lodge)

ปี 1770 Benjamin Franklin ได้รับเลือกตั้งให้เป็น Grand Master of Nine Sister lodge ในปารีส ฝรั่งเศส

ปี 1771 ก่อตั้ง Grand Orient Masonry ในฝรั่งเศส

ปี 1776 ก่อตั้ง Order of Perfectibilist หรือ Illuminati และเริ่มมีการปฏิวัติในอเมริกา

ปี 1778 Peter ก่อตั้ง the Secret Circle

ปี 1785 Grand Masonic Congress ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มผู้คบคิดร่วมกันทำการปฏิวัติในฝรั่งเศส กลุ่มอิลูมินาติถูกต่อต้านใน Baveria แล้วพวกเขาได้หลบลงใต้ดิน (ทำการอย่างลับๆ)

ปี 1789 เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศส

ปี 1784 อิลูมินาติคบคิดวางแผนโค่นล้ม The Hapsburgs (ตระกูลเยอรมันที่มีเชื่อสายเป็นกษัตริย์ในอาณาจักรของโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ออสเตรีย และสเปน)และทำได้สำเร็จ ขณะนี้กลุ่มสมาคมลับต่างๆได้อยู่เบื้องหลังกิจการของโรมันคาทอลิคโดยมีศุนย์บัญชาการอยู่นครวาติกัน

“ปัจจุบันพระสันตปาปาของคริสตจักโรมันคาทอลิค มีตัวแทนซึ่งเป็นสมาคมลับแทรกซึมอยู่ทุกหัวระแหงทั่วโลก อันได้แก่ The Jesuit(คณะเยซูอิต), Knights of Malta, Opus Dei และอื่นๆ พวกเขาเป็นหน่วยองค์กรลับหรือมือทำงานที่ทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของวาติกัน(หรือโรมันคาทอลิค)ที่มีการฝึกฝนมาอย่างดี มีความจงรักภักดีสูงสุดต่อพระสันตปาปาและมีฝีมือที่ไม่เป็นสองรองจากกลุ่มใดเลยในโลกนี้” (จาก Dave Hunt 1994, American Baptist Historian)

A Woman Rides the Beast (หญิงที่นั่งอยู่บนสัตว์ร้าย: วิวรณ์ 17:3), Dave Hunt, (Eugene, Oregon: Harvest House Publisher, 1994) p.87

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=debunk&date=29-09-2009&group=1&gblog=1


177
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ


สู้เพื่อบ้านเมือง 220755
<a href="http://www.youtube.com/v/6EOoTaDYwxU?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/6EOoTaDYwxU?version</a>

http://www.youtube.com/watch?v=6EOoTaDYwxU

.....เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง        น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา               เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน             ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร               องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส                  แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน                  เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง                  ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา             ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม              สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป               โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว                ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี               เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ                มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน          พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก   เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย           เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช          ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล                 จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ             ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม                  ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว                     ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง        สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม                    หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป                เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น             แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา      ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ...




178
A Living Past : Music Maker Patron’s Sampler


Album      :    A Living Past : Music Maker Patron’s Sampler
Artist       :    Various Artists
Label/No.    :    Music Maker/9410
Style       :    Blues

              นักเล่นเครื่องเสียงน้อยคนนัก ที่ไม่คุ้นหูกับชื่อของ มาร์ค เลวินสัน (Mark Levinson) เพราะชื่อนี้ได้สร้างความเป็น “อภิมหาอมตะนิรันดร์กาล” เอาไว้ในวงการเครื่องเสียงบ้านมากมาย...เขาเป็นผู้ก่อตั้งเครื่องเสียงบ้านระดับ “อภิมหาไฮ-เอนด์” โดยเอาชื่อของตัวเองคือ Mark Levinson มาการันตีตั้งเป็นชื่อยี่ห้อ ปรากฏว่าดังขจรขจายทะลายวงการ เป็นเครื่องเสียงระดับ “อภิมหา” ทั้งราคาและคุณภาพ ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาเขาจะโบกอำลาซาโยนาระจาก Mark Levinson ไปได้นายทุนเงินหนา โยนถุงเงินมาให้ทำแบรนด์ใหม่ และในอีกมุมหนึ่งเครื่องเสียงบ้านแบรนด์ Mark Levinson จะถูก Harman International เข้ามาเทคโอเวอร์ไปก็ตาม แต่ด้วยชื่อเสียงเรียงนามของแบรนด์ Mark Levinson ที่สร้างสมมาเนิ่นนานบานตะไท ก็ส่งให้ Mark Levinson ก็ยังเป็นที่นิยมชมเปาะของออดิโอไฟล์มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าตัวจริง-เสียงจริงอย่างนายมาร์ค เลวินสัน ไม่ได้มีเอี่ยวและส่วนเกี่ยวข้องแล้วก็ตาม

                หลังเลิกราจาก Mark Levinson พ่อยอดชายนายมาร์คของเรา ก็ออกมาทำแบรนด์เนมใหม่ โดยใช้ชื่อว่า Cello...จะด้วยความแค้นฝังหุ่นหรืออะไรก็ตามแต่ นายมาร์คบรรจงลงมือออกแบบแบรนด์ใหม่ชนิดสุดลิ่มทิ่มดาก ปรากฏว่า Cello ดังระเบิดเถิดเทิงกว่า Mark Levinson แบรนด์เก่าเป็นไหนๆ และทุกอย่างน่าจะแฮปปี้เอนดิ้งจบลงด้วยดี แต่ด้วยเพราะทำแต่ระดับไฮ-เอนด์มานาน นายมาร์ค เลวินสัน ก็อยากทำอะไรที่อยู่ในระดับสามัญประจำบ้านดูบ้าง แต่โปรเจ็คท์นี้ไม่เป็นที่ถูกโฉลฃกของนายทุน ที่จะถูกจะแพงก็ขอให้แดงไว้ก่อน...เมื่อความเห็นเดินเป็นเส้นขนาน ไม่มีวันบรรจบพบกันได้ นายมาร์ค เลวิสัน ก็เปิดหมวกอำลาเป็นคราที่สอง และคราวนี้แยกวงออกมาเป็น “ศิลปินเดี่ยว” ไม่ขอเอี่ยวกับใคร ควักเงินของตัวเองออกมาทำแบรนด์ใหม่ชื่อ Red Rose Music สบายใจเฉิบไปเลย! และก็ได้ทำเพลงออกมาสนับสนุนสินค้าของตัวเอง และก็ฮือฮากันตามระเบียบ เพราะยี่ห้อมาร์ค เลวินสันแล้ว จะทำอะไรออกมาก็ต้องไชโย...ไชโย...ลีโอสามขวดกันก่อนว่า...เจ๋ง!

            สำหรับ A Living Past : Music Maker Patron’s Sampler เป็นแผ่นซีดีการกุศลที่มาร์ค เลวินสัน ทำขึ้นมาในยุคที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่กับ Cello...ที่ว่าเป็นแผ่นการกุศลก็เนื่องจากว่า ทำขึ้นมาเพื่อหารายได้ช่วยเหลือศิลปินเพลงบลูส์ระดับ “พ่อเพลง-แม่เพลง” หลายๆคนที่กำลังจะเหลือไว้แค่ “ตำนาน” เพราะหลายคนอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต และใช้ชีวิตอย่างลำบากยากไร้ บางคนนอนรักษาอย่างอนาถาอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล และบางคนอยู่อย่างสิ้นไร้ไม้ตอกขาดคนดูแล...ด้วยกลัวว่า “ตำนานบลูส์” เหล่านี้จะสูญหายไปโดยไม่มีอะไรเหลือไว้ให้นึกถึง นายมาร์ค เลวินสัน ก็เลยทำซีดีชุดนี้ขึ้นมาด้วยประการฉะนี้แล!

            เนื่องจากเป็นแผ่นการกุศล ที่ไม่ต้องวัดครึ่งหนึ่ง-กรรมการครึ่งหนึ่ง แผ่นนี้พอตกมาถึงเมืองไทย โดย “เสี่ยเปา” แห่งเอกซ์เซลล์ ไฮ-ไฟ สั่งเข้ามา จึงมีราคาที่แทบช็อค...พระเจ้าช่วยจ๊อดด้วยเถิด! ราคามันแพงโคตรถึง 2,500 บาท...คิดดูเถอะในสมัยนั้นแผ่นซีดีธรรมดาราคา 320 บาท ถ้าเป็นประเภทออดิโอไฟล์ก็แค่ 500 กว่าๆ แต่นี่ปาไปถึง 2,500! แต่ก็แปลกแฮะ!ที่ขายดีมีเรตติ้งที่สูงเอาเรื่อง...เหตุผลสำคัญที่ทำให้แผ่นนี้ขายดีเหมือนไล่แจก ก็น่าจะมาจากชื่อของนายมาร์ค เลวินสัน ที่รับประกันได้ในทุกกรณี และอีกประการหนึ่งเครื่องไม้เครื่องมือในการบันทึกเสียง และทำมาสเตอร์จะเป็นของ Cello ทั้งหมด...แค่นี้ไม่ต้องจ้างเปิดเพลงละพัน วันละเพลง ก็ดังระเบิดระเบ้อก่อนออกวางจำหน่ายด้วยซ้ำไป

                ใน Living Past : Music Maker Patron’s Sampler มีอยู่ทั้งหมด 17 เพลง เป็นเพลงร้อง 13 เพลง ส่วน 4 แทรคที่เหลือจะเป็นการบอกกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆ...เพลงที่บันทึกส่วนใหญ่จะเป็นเพลงบลูส์ระดับ “คลาสสิค” ที่ต้นฉบับออริจินัลเดิมๆได้สูญหายไปตามกาลเวลา เมื่อนายมาร์ค เลวินสันนำมาปัดฝุ่นเจียระไนกันใหม่ ก็ยังใช้คนร้องเดิมๆ และวางรูปแบบของดนตรีไว้ในบรรยากาศเดิมๆเช่นกัน คือจะมีเสียงร้องกับเสียงกีตาร์โปร่งเป็นหลัก จะมีเสียงเปียโนเข้ามาประกอบอยู่ 2-3 เพลง...จังหวะและลีลาของเพลงจะไปแบบเรื่อยๆ และจะเป็นแบบ Pure Blues เหมือนกันหมด หากทั้งชีวิตจิตใจไม่ใช่สาวกของเพลงบลูส์แล้ว อาจจะฟังกันได้ไม่นาน พาลจะอึดอัดเอาดื้อๆ เพราะเสียงร้องและดนตรีจะมาในทางเดียวกันหด คือเสียงร้องจะเป็นแบบแผดเสียงและโหนเสียง บางทีก็บ่นงึมๆงัมๆ ฟังไม่ได้ศัพท์แต่ต้องจับมากระเดียด ในส่วนของภาคดนตรีก็หม่นๆทึมๆ แทบจะไม่มีเพลงหนึ่งเพลงใดที่แตกต่างออกไป แต่กับความแตกต่างของอารมณ์ และทักษะในการร้องและการเล่นของแต่ละคน ก็พอที่จะช่วยลดดีกรีของ “ความเหมือน” ให้เจือจางและบางเบาลงได้บ้าง...เหมือนกับซดน้ำแกงจืดนั่นล่ะครับ เพียงแต่เป็นแกงจืดที่เลือกใช้ของดีๆ ถูกปรุงด้วยกุ๊กมือเทวดา จากเหลาเลิศหรู และบรรจงเทแกงจืดลงในชามเบญจรงค์ ใส่ถาดทองมาน้อมองค์บรรจงเสิร์ฟให้เรากินนั่นล่ะครับ

                ถึงแม้ว่าลีลาของเพลงจะเฉื่อยๆดูทึมๆไปบ้าง แต่มีอย่างหนึ่งที่แผ่นนี้ทำออกมาได้ดีมาก นั่นคือการบันทึกเสียงที่เก็บ “บรรยากาศ” มาได้โดยมิให้ขาดตกหกหล่นแม้แต่น้อย...ขั้นตอนของการผลิตมันยุ่งยากลำบากตั้งแต่เริ่มทำ “เดโม” กันแล้ว เพราะศิลปินแต่ละคนที่ถูกกำหนดเอาไว้ ล้วนแล้วแต่เป็นไม้ที่ห่างจากฝั่งไม่ถึงศอกไม่ถึงเมตรกันทั้งนั้น หลายคนเจ็บกระเสาะกระแสะอยู่ที่บ้าน และบางคนก็นอนรักษาตัวอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกเหิรเดินไปไหน  จำเป็นต้องขนเครื่องไม้เครื่องมือมาบันทึกเสียงกันถึงบ้าน  รวมทั้งบันทึกเสียงกันบนเตียงของคนไข้ในโรงพยาบาล...โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่มีปัญหานานาสารพัน เป็นต้นว่าความจำกัดของห้องที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการทำงานมากนัก อีกทั้งตัวศิลปินเองก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์พูลสุขดีนัก อาการกระเสาะกระแสะก็ยังมีอยู่ เพราะหลายเพลงที่บันทึกเสียงอยู่นั้น จะมีเสียงไอค็อกๆ แค็กๆ และเสียงหอบเหนื่อยของศิลปิน “ไม้ใกล้ฝั่ง” เหล่านี้ มีให้ได้ยินกันเป็นช่วงๆ หรือเสียงของไมโครโฟนตกหล่นอยู่หนสองหน แผ่นนี้ก็เก็บตกบรรยากาศเหล่านั้นมาได้จนหมด

                การบันทึกเสียงทำออกมาได้ดีมาก(มาร์ค เลวินสัน รับประกันอีกแล้วครับท่าน) เนื้อเสียงอิ่มข้น แต่ความถี่เสียงจะเกาะกลุ่มอยู่ในย่านกลางเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะย่านกลางต่ำไปจนถึงย่านกลางสูง เสียงในย่านต่ำและสูงไปกว่านี้ ไม่มีมากนัก เสียงโดยรวมจะออกมาในโทนเดียวกันหมด เพราะในแต่ละเพลงจะมีเพียงเสียงร้องกับเสียงชิ้นดนตรีคือกีตาร์เพียงชิ้นเดียว จะมีเปียโนและแบนโจเข้ามาแจมบ้าง ก็แค่ 2-3 เพลง...นอกจากเนื้อเสียงที่อิ่มข้นแล้ว เกรนเสียงจะเนียนและสะอาด บันทึกเสียงออกมาดี ไม่มีอาการวูบวาบและแกว่งของน้ำเสียง แต่ถ้าเป็นอาการแกว่ง, วูบวาบ ลุ่มๆดอนๆ เป็น-ตาย 50/50 เท่ากันของนักร้องรวมชรา(เหมือนรัฐบาลชุดนี้เป๊ะเลย) ที่เกิดจากการพ่ายแพ้สังขารของตัวเองแล้วละก็...มีให้เห็นกันเพียบเลย! ตรงนี้แหละที่ถือเป็นบรรยากาศที่พอจะกลบเกลื่อน “ความเหมือน” ของเพลงลงไปได้บ้าง

                หลายๆเพลงในอัลบั้มชุดนี้ ให้ความรู้สึกและอารมณ์ของบลูส์ที่ชวนน่าติดตาม อย่างเช่นเพลง Careless Love เสียงร้องของ Preston Fulp ในวัยเกือบ 80 ที่บันทึกกันบนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล เสียงข้อง Preston Fulp แหบแห้ง โหนเสียงสูงไปไม่ถึง มีอาการหอบเหนื่อยและกระแอมไอแทรกอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเสียงไมโครโฟนตกหล่นอยู่ 2-3 หน ตรงจุดนี้แหละ ที่ให้บรรยากาศ อารมณ์ และความรู้สึกที่ดีมาก

                แทรคที่ 13 เพลง Do You Know What it Meanes to Have a Friend เสียงร้องของ Guitar Gabriel และ Lucille Lindsey ก็ให้อารมณ์และความรู้สึกที่ชวนติดตามเช่นกัน ถึงแม้ว่าในภาคของดนตรีจะมีแค่กีตาร์เดินคอร์ดง่ายๆเพียงตัวเดียว ไม่สลับซับซ้อนอะไร แต่การนำเสนอทางด้านเสียงร้อง โดยเฉพาะเสียงร้องของ Lucille Lindsey ที่ทอดเอื้อนเสียงอ่างเศร้าสร้อย ก็สามารถถ่ายทอดความหมายของเพลงได้อย่างลึกซึ้งเต็มอารมณ์...อีกคนหนึ่งคือ Willa Mae Buckner ซึ่งเป็นนักร้องระดับคุณย่า-คุณยายอีกคนหนึ่ง เธอร้องเพลงได้ถึงอารมณ์มาก แม้ว่าอายุอานามจะปาเข้าไป 80 กว่าๆแล้วก็ตาม แต่ก็ยังหลงเหลือพลังของการแผดเสียง และการทอดเอื้อนอย่างโหยหวน

                เป็นแผ่นที่เก็บ “อารมณ์” ของคนร้อง และเก็บ “บรรยากาศ” ในระหว่างการบันทึกเสียงมาไว้ได้หมด ในปัจจุบันเป็นแผ่นที่หายากมากอีกแผ่นหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าแผ่นของเมืองจีนจะทำอัลบั้มชุดนี้ออกมาหรือเปล่า...ยังไงๆก็ขวนขวายกันนิด ไม่ได้แผ่นจริง แผ่น “ไรท์” ก็ยังดี! น่าเก็บครับ เพราะมันเป็นอีกตำนานหนึ่งของเพลงบลูส์


http://www.caraudioonline.net/content/view.asp?MenuID=6&ContentID=251
http://www.audio-teams.com/webboard/?ca1=21&id=53685


Pages: 1 ... 10 11 [12]
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.169 seconds with 15 queries.