31
นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง / Re: กรงกรรม บทประพันธ์ของ จุฬามณี
« on: 01 March 2020, 18:00:49 »
ตอนที่ 15 : ก้าน-เพียงเพ็ญ
๑๕
คืนนั้นพอนาฬิกาที่ข้างฝาบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า ๆ ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอนเย็นก็โปรยปรายลง...นางแรมมุดออกจากมุ้งไปที่นอกชานหลังบ้านเพื่อรองน้ำใส่โอ่ง เพียงเพ็ญเดินเป็นเสือติดจั่นอยู่ในห้อง...ไม่รู้ว่า ป่านนี้ ทางพี่ทิดก้านจะเป็นอย่างไรบ้าง เพียงเพ็ญภาวนาให้เขาไม่มาตามนัด เพราะไม่อยากให้เขาต้องเปียกฝนรอ แต่คำภาวนาของเพียงเพ็ญไม่มีผล...
เสียงฟ้าคำราม เสียงฝนกระทบหลังคาสังกะสีดังกึกก้อง...หญิงสาวเปิดหน้าต่างมองไปทางจุดนัดพบ...ประกายฟ้าแลบทำให้เห็นเงาต้นไม้ และกองฟาง...ลมพัดโกรกหน้าต่างเข้ามา เพียงเพ็ญเพ่งมองอีกครั้งก็พบว่าพี่ทิดก้านวิ่งออกมาจากด้านหลังกองฟาง หญิงสาวคลี่ยิ้ม เขาวิ่งมาจนถึงใต้หน้าต่าง แล้วส่งสัญญาณให้เพียงเพ็ญรู้ว่า เขาจะรออยู่ที่ใต้ถุนเรือน...เพียงเพ็ญรับรู้ ก่อนจะปิดหน้าต่างลง...เดินไปเปิดประตู ก็มองเห็นป้าแรมนั่งตำหมากอยู่ข้างมุ้งเสียแล้ว...
“จะออกไปไหนรึ”
“จะออกไปฉี่”
“กระโถนก็มี ฉี่ในกระโถนก็ได้ ไม่ต้องลงไปหรอก”
“ฉันปวดหนักด้วย...”
“งั้น เดี๋ยวป้าไปเป็นเพื่อน ขอตำหมากแป๊บ...”
“ไม่ต้องหรอก ขอไฟฉายฉันก็พอ...”
“ไม่ได้หรอก ถ้าพ่อกำนันรู้ว่าป้าปล่อยให้หนูลงจากเรือนในช่วงกลางค่ำกลางคืนคนเดียว เช้ามาพ่อกำนันเอาป้าตาย...เห็นใจป้าเถอะนะ”
เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตเพียงเพ็ญจึงบอกว่า “ตามใจ...งั้นป้าตามหนูมานะ หนูไม่ไหวแล้ว” ว่าแล้วเพียงเพ็ญก็เดินออกไปทางนอกชานหลังบ้าน ทั้งที่ฝนยังลงเม็ดไม่ขาดสาย โดยไม่สนใจว่าร่มกับไฟฉาย...พอลงจากเรือน ก็รีบมุดมาที่ใต้ถุน เพียงเพ็ญก็กระซิบเรียก “พี่ก้าน ๆ”
อึดใจร่างของก้านก็มาอยู่ห่างกันเพียงคืบ
“พี่กลับไปก่อนนะ คืนนี้ฉันไม่สะดวก เอาไว้วันหลังค่อยว่ากัน” คำบอกกล่าวนั้นแทนที่จะผลักให้ก้านรีบกลับบ้าน เขากลับดึงเพียงเพ็ญเข้าไปกอดรัดหาความอบอุ่น เพียงเพ็ญดิ้นพอประมาณโดยสายตานั้นก็หันไปมองทางบันไดหลังบ้านด้วย...
เพราะถึงแม้จะสาแก่ใจที่ทำตามใจตัวเองได้ แต่เพียงเพ็ญก็รู้ดีว่า มันไม่งามนักที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับคำว่า ‘รัก’ แต่เขาก็ทำให้เธอร้อนรุ่มเสียทุกครั้งที่เจอกัน ทว่ายามไม่ได้เห็นหน้ากัน ใจนั้นก็เป็นทุกข์เป็นร้อนยิ่งกว่าเพราะกลัวว่าเขาจะกลายเป็นอื่น...
“ไม่ได้พี่ เดี๋ยวป้าแรมตามลงมา”
“ก็ตอนนี้แกยังไม่ลงมา ก็ขอพี่ชื่นใจหน่อยเถอะ คิดถึงจะแย่แล้ว” ปลายจมูกและริมฝีปากของเขาระเรื่อย ดูดซับสูดความหอมหวานไปตามใบหน้าและต้นคอไล่ลงมาที่ทรวงอกจนเพียงเพ็ญอ่อนระทวย เวียนขึ้นมาที่ริมฝีปาก มือคู่นั้นก็เคล้นคลึงไปตามเรือนร่างอ้อนแอ้นอย่างหนักหน่วง...
“ฉันช้ำหมดแล้ว...” เพียงเพ็ญกระซิบตอบ...
“เนื้อเอ็งหอมเหลือเกิน รู้ไหมว่าพี่คิดถึงตัวเอ็งแค่ไหน”
“เบา ๆ หน่อยพี่...” เพียงเพ็ญเสียงกระเส่า...แล้วหญิงสาวก็ได้สติ...เมื่อนางแรมลงบันไดมาร้องเรียกพร้อมกับสาดไฟฉายไปทั่ว พอขานรับแล้วเพียงเพ็ญก็ผลักชายหนุ่ม แล้วรีบเดินไปหา ส่วนก้านรีบโผไปหลบหลังสุ่มไก่ ใจนั้นที่ร้อนรุ่มเพราะข่าวที่ได้จากร้านนางศรีนั้นยังไม่ได้รับคำยืนว่าจริงเท็จ
... เถ้าแก่ใหญ่ในตลาดชุมแสงทาบทามมาทางกำนันศรแล้ว และกำนันก็คงตกลงปลงใจอย่างไม่อิดออด
แต่เขาจะยอมให้ ‘เมีย’ ของเขากลายเป็นเมียของอื่นไม่ได้ เมื่อเข้าตามตรอกออกทางประตู หมายทำให้ถูกต้องตามประเพณี แต่ก็สู้แรงเงินของหนุ่มบ้านไกลไม่ได้ มันก็ต้องใช้วิธีการ ‘ฉุด’
*******************
เพราะก้านนั้นเป็นคน ‘พวกมาก’ พอเหล้าเข้าปากแล้ว ก็ ‘ปากพล่อย’ เรื่องที่ควรจะเป็นความลับ เลยไม่เป็นความลับ...ดีแต่ว่าเรื่องที่ ‘ได้เสีย’ กันแล้วนั้น ก้านยังเก็บงำไว้ได้ แต่เรื่องลักลอบพบกันในตอนที่ผู้ใหญ่ในเรือนของเพียงเพ็ญเผลอไผลนั้น เพื่อนฝูงต่างรู้กันดี...
พอฝนเหือด เพื่อน ๆ ของก้านที่ตั้งวงกินเหล้า ร้องเพลงรอกันอยู่ที่กระท่อมข้างบ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังกะทัดรัดของเขา ก็เห็นก้านที่อยู่ในชุดกางเกงขาก๊วยเสื้อตราห่าน มีผ้าข้าวม้า คลุมหัวเดินตากฝนกลับมา...
ไอ้คนที่เป็น ‘ต้นเพลง’ เห็นดังนั้นจึงให้สัญญาณให้คนเคาะกลอง กับคนตีฉิ่ง แล้วมันก็เริ่มต้นเพลง ‘เก็บเงินแต่งงาน’ ของ ‘เมืองมนต์ สมบัติเจริญ’ ทันที
‘พี่อุตส่าห์ทำงาน ก็เพื่อน้อง หวังเก็บเงินเก็บทอง เอามาหมั้นแม่ขวัญใจ ถึงงานจะหนัก แม้จะเหนื่อยสักเท่าไหร่ จะตากแดดผิวเกรียมไหม้ ก็หวังให้ได้เงินมา...ถ้ารวบรวมเงินได้ สักหนึ่งก้อน พี่จะไปมาหมั้น แม่ขวัญบังอร อย่าได้ตัดรอน นะหล่อนจ๋า...ช่วยบอกพ่อแม่ พี่จนแท้นะขวัญตา นึกว่าช่วยกรุณา อย่าเรียกราคาให้แพง...เดือนหก จะยกขันหมากมา พร้อมกระทั่งเงินตรา มีใบละร้อยแดงแดง เรียกเท่าไหร่ จะหามาให้ไม่เปลี่ยนแปลง จะขายข้าว มาจัดแจง กำใบแดงแดง มาแต่ง งานฯ’
เพลงบาดใจจบ...ก้านวางจอกเหล้าที่ไอ้คนตีฉิ่งส่งมาให้คลายหนาวลง...
“ตัวเบาเลยซิพี่ทิด” หนุ่มต้นเพลงรีบถาม
“เบากับผีอะไร ฝนดันตกซะก่อน...”
“แบบนี้ เรื่องไอ้หนุ่มชุมแสงก็ยังไม่รู้ซิว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“มันก็คงจะจริงหรอก วันนี้แม่เพิ่งไปชุมแสงกับอาศรีมา...” ว่าแล้วก้านก็ถอนหายใจอย่างแรง
“แล้ว ถ้าเขาจับแม่เพียงเพ็ญไปแต่งกับลูกเจ๊กซะแล้ว พี่ทิดของฉัน จะทำอย่างไรล่ะ”
ดวงตาของก้านวาวโรจน์ขึ้นมา... แผนแรกที่คิดไว้คือ ‘ฉุด’ แม้จะเสี่ยงกินลูกปืนของพ่อกำนัน มันก็เป็นแผนเดียว ถ้าทำสำเร็จเขาก็จะได้ครอบครองเพียงเพ็ญไปโดยปริยาย...ส่วนแผนถัดมาคือ สกัดกั้นไม่ให้ไอ้หนุ่มหน้าจืดนั่นหรือไอ้หนุ่มหน้าไหน มาเป็นเจ้าบ่าวของแม่เพียงเพ็ญ...ข้อนี้มันจะทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัย และพอเวลาเนิ่นนานไป พ่อกำนันก็คงใจอ่อนเห็นแก่ความรักของเขากับแม่ลูกสาวคนเล็กจนได้...
ก้านนิ่งคิดหาทางออก...ก่อนจะบอกว่า “พวกเอ็งไปสืบกับทางอาศรีให้ได้ว่า ไอ้ลูกเจ๊กชุมแสงมันมีชื่อแซ่อะไรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร...ให้กูหน่อย”
“ถ้ารู้แล้ว พี่จะทำอะไรมัน”
“ให้รู้ก่อนแล้วกัน แล้วพวกมึงก็อย่าได้พูดมากไปล่ะ...เกิดไอ้นั่นมันตายห่าไปซะก่อนแต่ง จะเดือดร้อนกันหมด”
เพียงแค่นั้นก็เป็นอันรู้กันว่า ศัตรูหัวใจ ของพี่ทิดก้าน อาจจะถึงแก่ความตาย หากว่า ไม่คิดถอย...
เรื่องที่เพียงเพ็ญลักลอบพบเจอกับก้าน ใช่ว่ากำนันศรจะไม่รู้ แต่ครั้นจะเอ็ดอึงไป ด้วยเป็นฝ่ายผู้หญิงก็จะมีแต่เสียกับเสีย ทางเดียวที่ทำได้ คือ กำชับกำชานางแรมให้ช่วยเข้มงวด คอยติดตามอย่าให้เพียงเพ็ญได้คาดสายตาอีก เพราะถึงข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ก็ใช่ว่า ยังไม่มีหนทางแก้ไข...
เช้าวันรุ่งขึ้น กำนันศรรีบไปยังบ้านของนางศรีที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ลูกสาวของนางศรีที่ออกเรือนไปแล้ว เฝ้าหน้าร้านขายของ...
“แม่ทำกับข้าวอยู่ในบ้านจ้ะลุงกำนัน...”
กำนันศรก็รีบเดินไปหา นางศรีพอเห็นพี่ชายเดินมาก็รีบละมือ ลงจากครัวหลังเรือน ออกมารับหน้า...
“ทำอะไรกินรึ...”
“แกงหมูเทโพ ทำทีไรก็คิดถึงสังข์แม่... เดี๋ยวเสร็จแล้วจะให้ไอ้ศักดิ์มันถือไปให้นะ” ศักดิ์นั้นเป็นลูกเขยของนางศรี...
“อืม...”
“มีอะไรถึงได้มาแต่เช้าตรู่”
“เรื่องนั้นแหละ...ข้าร้อนใจ อยากให้มันเป็นฝั่งเป็นฝาเสียโดยไว”
“เราเป็นฝ่ายผู้หญิงนะพี่กำนัน ออกตัวมากไป มันจะไม่งาม...เขาจะระแวงเอาได้ว่า ของ ๆ เรามันมีตำหนิอะไรรึเปล่าถึงได้เร่งเร้านัก”
กำนันศรเหลือบตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะบอกว่า “ตำหนิ มันมีแน่...แล้วข้าก็กลัวมันจะท้องป่องขึ้นมาซะก่อนนะซิ อีลูกคนนี้ มันผ่าเหล่าผ่ากอ”
ก้านก็เคยมาเป็นคนงานในโรงไม้โรงถ่านของกำนันมาก่อน พอกำนันเห็นหนุ่มสาวส่งสายตาให้กัน กำนันก็รีบกันก้านออกไปจากบริเวณบ้านโดยอ้างว่า แรงงานเกินงานเสียแล้ว หลังจากนั้นก้านก็ไปบวชพระ บิณฑบาตผ่านบ้าน ลูกสาวมีใจให้พระ จึงลุกขึ้นมาตักบาตรทุกวัน กระทั่งรับกฐิน ก้านก็สึกมาอยู่ที่บ้าน...
และคืนหนึ่งกำนันลุกมาเข้าส้วมก็เห็นว่า นังลูกสาวลงจากเรือนมาหาไอ้ทิดก้านที่กองฟางหลังบ้านตั้งแต่เมื่อใดกำนันก็ไม่อาจทราบได้...และถ้าเดาไม่ผิด มันคงไม่ใช่ครั้งแรก เพราะกว่าที่ทั้งคู่จะผละจากกัน ไอ้ทิดก้านก็กอดรัดแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของโดยที่ลูกสาวของตนไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด
...พอเห็นเหตุการณ์บัดสีตำตาแล้วกำนันจึงได้ ‘ล้อมคอก’ ให้แน่นหนายิ่งขึ้น...คำพูดเหมือน ‘รับรู้’ แต่ ‘ไม่ยอมรับ’ เกิดขึ้นบนเรือน ลำพังพ่อแม่ลูก และนางแรม ทันที...แต่เพียงเพ็ญก็หาได้คล้อยตามแม่น้ำทั้งห้าที่ชักมาให้เห็นว่า คบหากับก้านไป รังแต่จะดึงตนเองให้ตกต่ำ สุดท้ายกำนันก็เลยต้องนำเรื่องคับอกนั้นมาปรึกษานางศรีผู้เป็นน้องสาวให้คิดกันช่วยหาทางแก้ปัญหานี้...
“แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ทางนั้น เขาก็ว่า จะเอาลูกเขาไว้บวชก่อน ปีสองปีนั่นแหละถึงจะแต่งงานกันได้ เพราะไอ้คนที่สอง ก็เพิ่งแต่งไปกับลูกเถ้าแก่ที่ทับกฤชเมื่อวันก่อน คงจะหมดไปหลายเงิน...”
“ทำให้มันเร็วขึ้นได้ไหม...สินสอดทองหมั้น ไม่ใช่เรื่องจำเป็น ขอให้รีบตกลงเท่านั้น”
“ฉันจะไปพูดอย่างไร” หัวคิ้วของนางศรีขมวดเข้าหากัน...
“ปีหน้าสักเดือนยี่ รึไม่ก็เดือนสี่ ไม่เร็วหรอกนะ...ช่วงนี้ข้าก็กำชับทั้งนังพร นังแรม ให้จับตามองมันไว้ให้ดี...”
นางศรีครุ่นคิด... พลางถามอีกรอบว่า “เราจะอ้างอย่างไรกันดี ถึงจะไม่น่าเกลียด”
“เอาอย่างนี้ บอกไปว่า ช่วงนี้ข้าเจ็บไข้ออดๆ แอด ๆ เลยอยากเห็นนังหนู มันเป็นฝั่งเป็นฝาเร็ว ๆ เอ็งว่ามันจะน่าเชื่อถือไหม”
“ก็น่าจะเป็นข้ออ้างที่ไม่เลว แต่ฉันว่า ทางที่ดี พี่กำนันก็ลองแวะเวียนไปที่ร้านแม่ย้อยกับฉันดูบ้าง...ทำทีว่าฉันติดเรือพี่กำนันที่จะเข้าไปอำเภอ ไปตลาด ได้เห็นกันแล้ว ทำความรู้จักกันแล้ว มันก็น่าจะพูดกันได้ง่ายขึ้น...อ้อ ตอนนั้น พี่กำนันก็แกล้งไอถี่ ๆ หน่อยก็ได้...ทำให้เหมือนคนป่วย มันน่าจะพอให้เชื่อถือได้บ้างนะ ฉันว่า”
ฟังความคิดของน้องสาวแล้วกำนันศรก็พยักเบาๆ
“เว้นสักวันสองวัน เราค่อยเข้าไปในเมืองกัน ไปวันนี้เลย มันน่าเกลียด...”
**************
กลิ่นควันไฟและเสียงไอโขรก ๆ จากครัวทำให้ก้านต้องผุดลุกขึ้นนั่ง...พอเปิดมุ้งเดินออกมาก็พบว่าแม่ซึ่งย่างเข้าสู่วัยชราของตนนั้นกำลังก่อไฟเตรียมหุงข้าวอยู่....
“ทำไม แม่ไม่ปลุกฉันล่ะ” ว่าแล้วก้านก็คว้าขันที่คว่ำไว้บนฝาโอ่งตักน้ำมาลูบหน้า...คว้าแปรงสีฟันยาสีฟันที่วางไว้ข้างโอ่งมาสีฟันอย่างเร่งรีบ...
ไม่มีคำตอบจากนางคนเป็นแม่...
“อ้าว แม่ ยังไม่ได้หุงข้าว...สงสัยฉันกินไม่ทันแล้ว มันสายแล้ว” วันนี้นั้นก้านรับจ้างเกี่ยวข้าวไว้ จึงต้องรีบออกจากบ้านไปให้ทันคนอื่น...
“เพิ่งรู้ว่าข้าวสารมันไม่พอหุง ก็เลยลงไปตำซะพักใหญ่ กว่าจะได้ทะนานเล่นเอาเหงื่อชุ่ม...แต่ข้าวเย็นก็ยังเหลือ รองท้องไปก่อน เดี๋ยวตอนกลางวันแม่ทำใส่ปิ่นโตตามไปให้” ว่าแล้วนางแม่ก็ไอโครก ๆ ขึ้นมาอีก
“งั้นเดี๋ยว ฉันหาบข้าวเปลือกไปที่โรงสีให้นะ...แม่ก็ตำกินไปสักวันสองวันก่อน”
“ไอ้ทิด เหล้ายาปลาปิ้งเพลา ๆ บ้างเถอะนะ...เป็นหนุ่มเป็นแน่น ริเรื่องพวกนี้ ไปขอลูกสาวบ้านไหนไม่มีใครเขาเอาหรอก”
“ถึงไม่กินเหล้า ก็ไม่มีใครอยากได้เราไปเป็นลูกเขยหรอกแม่....”
ว่าแล้วก้านก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง...ครุ่นคิดถึงเรื่อง ‘ฉุด’ แม่เพียงเพ็ญลูกสาวกำนันขึ้นมาอีก...แต่อีกใจก็นึกเป็นห่วงว่า ถ้ามุทะลุเอาแต่ใจตัว เพลี่ยงพล้ำขึ้นมา แม่อยู่ทางนี้คนเดียวก็จะลำบากอีก และเสียงไอของแม่ก็ทำให้เขาต้องถามแม่ว่า
“แล้วแม่กินหยูกกินยาบ้างหรือเปล่า” ยาที่ก้านพูดถึงเป็นยาตำรับโบราณที่บอกต่อ ๆ กันมาว่ารักษาอาการไอเรื้อรังได้...
“กินแล้ว แต่มันก็ยังไอ...” นางแม่บอกอย่างปลง ๆ
ก้านครุ่นคิดแล้วบอกว่า “งั้นเดี๋ยววันนี้ ฉันจะเบิกค่าแรงแล้วเข้าตลาดไปซื้อยามาให้...แม่ทนไอไปสักวันก่อนนะ...”
“อย่าเลยไอ้ทิด ว่าไปมันก็ดีขึ้นแล้ว เอ็งเก็บเงินไว้เถอะ มันยังต้องมีเรื่องต้องใช้อีกเยอะ...ไอ้ยาขนานนี้ มันไม่ได้ผล เดี๋ยวแม่จะลองขนานใหม่”
“เหอะแม่...ฉันกลับค่ำ ๆ หน่อยแล้วกัน อย่างไรแม่ก็รอกินข้าวเย็นกับฉันด้วยนะ...” ว่าแล้วก้านก็รีบไปคว้าจานข้าวเย็นมาวางแล้วใช้มือบี้น้ำพริกแมงดาในถ้วยมาขยำกับข้าว...นางแม่มองอาการรีบร้อนของลูกชายเพื่อที่จะไปรับจ้างหาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน แล้วน้ำตาก็คลอลูกนัยน์ตา...
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวในสายตาของคนอื่น ๆ แต่ไอ้ทิดก้านมันก็เป็นลูกที่ดีของนางเสมอ...และนางก็หวังใจว่า ความดีของมันจะทำให้อนาคตของมันเจอแต่เรื่องดี ๆ...
*********
“เรณูเมื่อวาน แม่ผัวเอ็งไปทำอะไรที่เกยไชยล่ะ” พอว่างเว้นจากลูกค้า...แม่ค้าขายผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ที่นั่งอยู่ติดกันก็หันมาถาม...หัวคิ้วของเรณูขมวดเข้าหากัน
“พี่รู้มาได้ไงล่ะ”
“อ้าว ก็ผัวพี่มันเป็นคนขับเรือหางยาว เมื่อวานตอนบ่าย ๆ มันพาแม่ผัวเอ็งกับไอ้ป้อมไปบ้านหมอมี....”
“หมอมี...คือใครหรือจ๊ะพี่” เรณูรีบซัก
“หมอมี หมอยากลางบ้าน คนทรงเจ้าเข้าผี ดูดวง สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงชะตา แก้คุณไสย ถอนเสน่ห์ ไงล่ะ”
‘ถอนเสน่ห์’ คำ ๆ นี้ ทำให้เรณูรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา... แล้วเรณูก็เอะใจว่า เมื่อวานนี้ระหว่างที่ปะทะคารมกันนั้น ตนเองเผลอหลุดปากออกไป...จนนางย้อยเริ่มคลำทางถูกเป็นแน่...
นึกแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองนัก...ป่านนี้นางย้อยคงกำลังหาทางแก้ไข หรือไม่ก็จัดการแก้ไขสำเร็จไปแล้วก็ได้...
ใจของเรณูเริ่มร้อนรุ่ม...เพราะเดาไม่ได้ว่า ถ้าปฐมหลุดจากอำนาจมนต์ดำของหมอก้อนแล้ว เขาจะเป็นอย่างไร...จะจัดการกับเธออย่างไร
และถ้านางย้อยรู้ว่าเธอทำเสน่ห์ใส่ลูกชายของนาง วันนี้นางย้อยจะไปหาเธอที่โรงสีอีกรึเปล่า ดีไม่ดี วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเธอที่ชุมแสงก็ได้...คนทำผิดเริ่มเดือดเนื้อร้อนใจไปสารพัด
“ต๊าย...เรณู ๆ คู่สะใภ้เธอมาเดินตลาดแล้ว” เสียงจากแม่ค้าขายผัก ดึงสติเรณูกลับมา หญิงสาวมองไปยังร่างสวยสดเหมือนดอกกุหลาบแรกแย้มดูสดชื่นสบายตาแล้วรู้สึกริษยา ...ไม่ใช่แค่เสื้อกางเกงใหม่เอี่ยมที่ตัดเข้าชุดอย่างประณีตทันสมัย แต่ที่ข้อมือ นิ้วมือ และ ที่คอของพิไลนั้นก็สะดุดตาด้วยทองรูปพรรณเข้าชุดกันด้วย...
พิไลเดินทักทาย แนะนำตัวกับแม่ค้า ว่าตนเองนั้นเป็นใคร แล้วเดินมาหยุดที่หน้าหาบของเรณู...
“ขายดีไหมซ้อ” น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นไม่ได้ทำให้เรณูรู้สึกสดชื่นเลยสักนิด...แต่เรณูก็ฝืนน้ำเสียงให้เป็นปกติตอบกลับไปว่า “ก็พอได้”
“ตะโก้เผือกที่ฉันสั่งไว้ล่ะ 4 ห่อ เก็บไว้ให้หรือเปล่า”
เรณูเปิดกระด้งที่มีถาดขนมวางอยู่ด้านบน หยิบห่อขนมในกระจาดที่กันเอาไว้ออกมา...
“บาทเดียวใช่ไหม”
“บาทเดียว...”
“เหลือเยอะเลยนี่ งั้นช่วยซื้ออีกบาทแล้วกัน อ้อ ซื้อสองบาท แถมสักห่อได้ไหม”
ถ้าเป็นคนอื่นเรณูคงไม่ให้...แต่เมื่อพิไลกล้า ‘ขอ’ เรณูจึงบอกว่า
“คนกันเอง ได้ซิ แต่ว่าถือไปหมดเหรอ ตะกร้าก็ไม่ได้เอามา”
“เลิกขาย แล้วเอาไปส่งที่ร้านแม่ได้รึเปล่าล่ะ วันนี้มาช่วยแม่ขายของวันแรก...”
เรณูกลืนน้ำลายลงคอ ข่มใจ อดกลั้นความรู้สึกว่ากำลังถูก ‘เปรียบเทียบ’ และ ‘กด’ ให้ต่ำต้อยไว้...ยิ่งตนเองนั่งบนเก้าอี้ตัวเตี้ยๆ อยู่หลังหาบ กับพิไลยืนเด่นเป็นสง่าก็ยิ่งเห็นชัด “ได้ซิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...”
“อ่ะ สองบาท ฉันไปก่อนนะ อ้อ..ขอห่อที่แถมไปก่อนแล้วกัน...เห็นแล้วน้ำลายไหล” คว้าขนมแล้วพิไลก็เดินจากไปทันที...เรณูมองตามหลังไป...โดยหูก็ได้ยินนางแม่ค้าขายผักพูดว่า “คู่สะใภ้ของเธอดูท่าจะไม่ธรรมดาเลยนะ”
******************
ขณะที่ประสงค์กำลังจัดร้านตามหน้าที่ พิไลก็เดินเข้าไปในร้าน วางขนมห่อนั้นลงบนโต๊ะบัญชีแล้วก็เดินไปยังหลังบ้าน พบว่านางย้อยกำลังหุงข้าวทำกับข้าว...แม้จะไม่ชอบเข้าครัว แต่พิไลก็รู้ดีว่า ไม่มีแม่ผัวคนไหน รักใคร่พึงพอใจลูกสะใภ้ที่หุงหาข้าวปลาให้ลูกชายของตนกินไม่เป็น...
“ม้า...ทำอะไรอยู่จ๊ะ มีอะไรให้หนูช่วยไหม”
นางย้อยหันมาทางต้นเสียง พินิจดูเสื้อผ้าหน้าผมของลูกสะใภ้แล้วก็รู้สึกหนักใจ...เพราะถ้าให้ช่วยหุงหาอาหาร กลิ่นก็จะติดเนื้อติดตัวเสียอีก...แต่ถ้าไม่ให้ช่วย วันหน้าก็จะไหว้วานให้ทำอะไรไม่ได้เสียอีก
“กำลังจะแกงฟักทอง...ถ้าจะช่วย ช่วยปอกฟักทองให้หน่อย...” เพราะมีแต่ลูกชาย นางย้อยจึงรู้สึกแปลก ๆ เมื่อต้องเอ่ยปาก ‘ใช้’ ลูกสะใภ้ ...และคำว่า ‘สะใภ้’ ก็ทำให้นางย้อยรู้สึกเสียวสันหลังเสียร่ำไป...
เพราะถ้าตึงเกินไป ก็จะกินแหนงแคลงใจกันไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ถ้าหย่อนเกินไป สะใภ้ก็จะขึ้นหน้า ได้ใจ เหลิงว่าใจดี ไม่มีปากเสียอีก...เป็นแม่คนว่ายากแล้ว แต่เป็น แม่ผัว นั้น นางย้อยรู้สึกว่ามันยากกว่า
“ได้จ้ะ” ว่าแล้วพิไลก็เดินไปคว้าฟักทองพร้อมกับมีดบาง แล้วเดินออกไปทางหลังบ้านที่ได้มาสำรวจตั้งแต่เมื่อวานแล้ว... ระหว่างที่นั่งปอกเปลือก พิไลก็ชวนนางย้อยคุยไปด้วย...
“ตะกี้หนูไปเดินดูอะไรที่ตลาดสดมา หนูเจออาซ้อใหญ่ด้วย...เห็นว่าขนมเหลือเยอะ หนูก็เลยช่วยซื้อมากินสองบาท”
“ทำไมซื้อซะเยอะแยะ...”
“ก็ สงสารแกนะม้า...นั่งหน้าแห้งหน้าเหี่ยว...เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”
นางย้อยนิ่งฟัง ครุ่นคิดถึงคำพูดของพ่อหมอแล้วใจก็ขุ่นขึ้นมา...มันจะนั่งหน้าแห้งหน้าเหี่ยว ก็เรื่องของมัน หลังจากที่ปฐมกลับมา แก้เสน่ห์แล้ว มันจะต้องระเห็จไปจากที่นี่...
พอเห็นว่านางย้อยไม่ต่อปากต่อคำ...พิไลก็เหยียดริมฝีปาก แล้ว พูดต่อว่า “สงสัยคงจะคิดถึงตั่วเฮียนะม้า”
“ปอกเสร็จแล้ว ก็หั่นด้วยเลยนะ” นางย้อยเปลี่ยนเรื่อง....
พิไลรับคำ ชั่วอึดใจ นางย้อยก็ได้ยินเสียงร้อง...พอลุกไปดูก็พบว่า มีดบาดมือพิไลเสียแล้ว....
**************
เดินเข้ามาถึงร้านถ่ายรูป มงคลที่เตรียมตัวกลับปากน้ำโพ ก็ได้ยิน เสียงเพลง ‘แซ่ซี้อ้ายลื้อเจ็กนั้ง’ ของ สุรพล สมบัติเจริญ ดังแว่วมาจากหลังร้าน นอกจากนั้นเขายังพบ หมุ่ยนี้นั่งยิ้มแป้นให้เขาประหนึ่งว่าเป็นเมียเจ้าของร้าน...
“มาเอารูปหรือสี่ เสร็จแล้ว แจ้ เสียมารยาท ดูไปแล้ว ไม่ว่ากันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกแจ้ แค่ดูไม่สึกหรอหรอก...แล้วแจ้ล่ะมาทำอะไร”
“มารอรูปเหมือนกัน...”
มงคลพลิกอัลบั้มรูปดูไปเรื่อย ๆ แล้วก็ต้องชะงักมือ เมื่อถึงรูปของ ‘วรรณา’ ที่ถ่ายที่สถานีรถไฟปากน้ำโพ
“เธอรู้จักวรรณาด้วยเหรอ”
“อ้าว แจ้รู้จักวรรณาด้วยเหรอ” มงคลย้อนถาม...
“รู้ซี่ ก็อีมาหาพี่สาวอี แล้วพี่สาวอีก็พามาที่ร้านแจ้ นี่อียังเอาผ้ากลับไปตัดให้เลย ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่...”
“จะฝากอะไรไปถึงอีไหมละ อั๊วจะกลับปากน้ำโพวันนี้แหละ”
“ฝากบอกว่า แจ้รอเสื้ออยู่แล้วกัน แล้วลื้อจะไปดูอีประกวดนางสาวสี่แควหรือเปล่าล่ะ...ถ้าไป ก็ถ่ายรูปอีมาด้วยนะ ถ่ายมาเยอะ ๆ”
“ออกค่าฟิล์ม ค่าล้าง ค่าอัดให้อั๊วไหมล่ะ ถ้าออกให้ อั๊วจะถ่ายให้หมดม้วนเลย”
หมุ่ยนี้ทำหน้าคิดหนัก...ก่อนจะบอกว่า “หารสองได้ไหมล่ะ...”
“ก็ได้...ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย” เพราะตัวเขาเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะเสนอตัวให้เจ๊ง้อ จ้างตัวเองไปถ่ายรูปอยู่แล้ว...
“ได้แล้วของลื้อ” อาเฮียเจ้าของร้านถือซองใส่รูปของหมุ่ยนี้ออกมาจากห้องด้านหลัง...หมุ่ยนี้ยื่นมือไปรับแล้วดึงรูปออกมาดู ในซองนั้นมีทั้งรูปของตน และรูปของจันตา...
“ใครเหรอ แจ้” มงคลที่เหลือบตาไปมอง ร้องถาม
“ว่าที่พี่สะใภ้ลื้อไง”
“จริงรึ...”
“แจ้ล้อเล่น...”
“อ้อนึกออกละ เห็นเฮียซาเคยบอกว่า คนนี้เฮียรองอีเหล่ๆ อยู่ แต่ว่าอีเป็นแฟนกับปลัดอำเภอนี่นา”
“ยังไม่ได้เป็น แค่มอง ๆ กันอยู่ เท่านั้น อียังไม่มีแฟน”
“ยังไม่มีแฟน งั้นอั๊วก็จีบได้ซิ”
“ถ้าเป็นลื้อ แจ้ขวางเต็มที่เลย...”
“ทำไมละแจ้ อั๊วมันไม่ดีตรงไหน”
“ลื้อมีแฟนอยู่ที่ปากน้ำโพแล้ว แจ้รู้หรอกน่า”
“ยังไม่มี...”
“ไม่มี ก็ไม่ให้จีบ...ถ้าเป็นอาซาก็ว่าไปอย่าง”
“ฮั่นแน่ จะกันท่าไว้ให้เฮียซ่าใช่ไหม”
“อาจันตาอีเป็นคนน่ารัก อาซาก็คนน่ารัก แจ้เลยอยากให้เขาทั้งสองคนรักกัน”
“รักกันได้ที่ไหนละแจ้...”
“ทำไมล่ะ...”
“ก็เฮียซาของอั๊ว เขามีคู่หมายของเขาแล้ว...”
“เหรอ ทำไมอั๊วไม่เห็นรู้เรื่อง คู่หมายของอีเป็นคนที่ไหน ลูกเต้าเหล่าใครรึ”
“เป็นลูกสาวคนเล็กของกำนันตำบลฆะมัง...มีชื่อว่าเพียงเพ็ญ...อีสวยกว่า จันตานี่อีกนะ”
“อาซาไม่เห็นบอกอั๊วเลย”
“แจ้...หาว่าอั๊วโกหกรึไง”
“เปล่า อั๊วไม่ได้หา” หมุ่ยนี้กลืนอีกประโยคลงคอไว้ ‘แต่อั๊วรู้สึกได้ว่าอาซานั้นน่ะ ชอบจันตาอยู่นี่นา’
**********************
จากฆะมังมาตลาดชุมแสง นอกจากใช้เรือล่องมาตามลำน้ำน่าน ก็ยังมีทางเกวียนอีกทาง...หลังเลิกงานเกี่ยวข้าว ก้านเบิกเงินมาจากเจ้าของนา แล้วก้านก็ยืมจักรยานของพวกหมู่ ปั่นมายังตลาดชุมแสง แม้ว่าทางจะเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง แต่ด้วยเดินทางจนชำนาญ เรื่องมืดค่ำจึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา...
พอถึงตลาดชุมแสง เขาก็รีบปั่นจักรยานไปหยุดที่ร้านขายยาแผนโบราณ บอกเล่าอาการของแม่ ซึ่งมีทั้งไอจนหอบและกินข้าวไม่ได้ ผอมแห้งแรงน้อย นอนไม่หลับเพราะกลางคืนจะไออยู่ตลอดเวลา
ระหว่างที่เจ้าของร้านหันไปจัดยาให้...ก้านหันไปที่หน้าร้าน พบชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับตน เดินเข้ามาในร้านแล้วหยุดอยู่ข้าง ๆ ตน...แต่พอมองหน้าเขาชัด ๆ ก้านคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ น่าจะอายุน้อยกว่าตน...
“อาแปะ...จัดยาแก้ไอ ยาบำรุงร่างกายให้อั๊วหน่อย...”
“ใครเป็นอะไรล่ะอาซา” อาแปะเจ้าของร้านหันเงยหน้ามาถาม...
“เตี่ย...ไอโขลก ๆ ทั้งคืน ไอจนนอนไม่ได้ ม้ารำคาญเลยให้มาดูยาไปให้แกกินซะหน่อย”
“เป็นมานานหรือยัง”
“ช่วงหลัง ๆ มานี้ ไอตลอดเลย สองสามเดือนแล้วนะ”
“บอกอีให้เบาๆ สูบยามั่งนะ มันไม่ดีกับปอดกับระบบทางเดินหายใจ”
“ห้ามแล้ว ฟังที่ไหน แกบอกว่า ใคร ๆ ก็สูบกันทั้งนั้น”
“อ้าว ของลื้อได้แล้ว...” อาแปะบอกกับก้าน แล้วก็บอกกับกมลต่อ “อาซาเจ้านี้ก็อาการคล้าย ๆ กับเตี่ยลื้อ แต่ว่าคนที่ไอคือแม่ของเขา ไอจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผอมแห้งแรงน้อย ตลกดีนะ อยู่กันคนละที่ แต่อาการป่วยดันเหมือนกันได้”
ก้านมองยาตรงหน้าแล้วถามราคา พอรู้ราคา หน้าของเขาถอดสี...ก่อนจะบอกว่า
“คือ ผมมีเงินมาไม่พอ มีมาแค่ 20 บาท ถ้าจะขอเอายาออกบ้าง ให้เหลือ 20 บาทได้ไหม”
“ได้ซี่...”
“ไม่ต้องหรอกแปะ คิดเขาแค่ 20 นั่นแหละ อีก 4 บาท เดี๋ยวเอาที่อั๊ว”
ก้านไม่คิดว่าจะเจอคนดีมีน้ำใจถึงเพียงนี้...แม้จะรู้สึกตื้นตัน แต่เขาก็รู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก “มันเอ่อ ไม่ดีมั้งน้องชาย ให้อาแปะเอายาออกเถอะ”
“อย่าเอาออกเลยพี่ชาย รับน้ำใจจากผมไปเถอะ เตี่ยผมก็ป่วยเหมือนกัน นอนฟังเตี่ยไอทั้งคืน ก็สงสารเตี่ย...พี่ชายก็คงเหมือนกัน คิดซะว่า ผมซื้อยาให้แม่พี่ชายแล้วกันนะ...รับไว้เถอะ”
“รับไว้เถอะพ่อหนุ่ม เดี๋ยวอั๊วลดให้ สองบาทแล้วกัน ช่วยกันคนละครึ่งกับอาซามัน ลื้อจะได้สบายใจ” อาแปะแสดงน้ำใจบ้าง....ก้านยกมือไหว้กมล แต่เขารีบจับมือของก้านไว้...
“ไม่ต้อง ๆ ไม่เป็นไร อั๊วยินดี แล้วนี่ พี่ชายมาจากไหน” เพราะเสื้อผ้าและกลิ่นตัว ทำให้กมลแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนในย่านนี้แน่ ๆ
“มาจากฆะมัง”
‘ฆะมัง’ กมลรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา แล้วเขาก็บอกให้ก้านรีบกลับบ้านไปซะก่อนจะมืดค่ำ...
*********************
๑๕
คืนนั้นพอนาฬิกาที่ข้างฝาบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า ๆ ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอนเย็นก็โปรยปรายลง...นางแรมมุดออกจากมุ้งไปที่นอกชานหลังบ้านเพื่อรองน้ำใส่โอ่ง เพียงเพ็ญเดินเป็นเสือติดจั่นอยู่ในห้อง...ไม่รู้ว่า ป่านนี้ ทางพี่ทิดก้านจะเป็นอย่างไรบ้าง เพียงเพ็ญภาวนาให้เขาไม่มาตามนัด เพราะไม่อยากให้เขาต้องเปียกฝนรอ แต่คำภาวนาของเพียงเพ็ญไม่มีผล...
เสียงฟ้าคำราม เสียงฝนกระทบหลังคาสังกะสีดังกึกก้อง...หญิงสาวเปิดหน้าต่างมองไปทางจุดนัดพบ...ประกายฟ้าแลบทำให้เห็นเงาต้นไม้ และกองฟาง...ลมพัดโกรกหน้าต่างเข้ามา เพียงเพ็ญเพ่งมองอีกครั้งก็พบว่าพี่ทิดก้านวิ่งออกมาจากด้านหลังกองฟาง หญิงสาวคลี่ยิ้ม เขาวิ่งมาจนถึงใต้หน้าต่าง แล้วส่งสัญญาณให้เพียงเพ็ญรู้ว่า เขาจะรออยู่ที่ใต้ถุนเรือน...เพียงเพ็ญรับรู้ ก่อนจะปิดหน้าต่างลง...เดินไปเปิดประตู ก็มองเห็นป้าแรมนั่งตำหมากอยู่ข้างมุ้งเสียแล้ว...
“จะออกไปไหนรึ”
“จะออกไปฉี่”
“กระโถนก็มี ฉี่ในกระโถนก็ได้ ไม่ต้องลงไปหรอก”
“ฉันปวดหนักด้วย...”
“งั้น เดี๋ยวป้าไปเป็นเพื่อน ขอตำหมากแป๊บ...”
“ไม่ต้องหรอก ขอไฟฉายฉันก็พอ...”
“ไม่ได้หรอก ถ้าพ่อกำนันรู้ว่าป้าปล่อยให้หนูลงจากเรือนในช่วงกลางค่ำกลางคืนคนเดียว เช้ามาพ่อกำนันเอาป้าตาย...เห็นใจป้าเถอะนะ”
เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตเพียงเพ็ญจึงบอกว่า “ตามใจ...งั้นป้าตามหนูมานะ หนูไม่ไหวแล้ว” ว่าแล้วเพียงเพ็ญก็เดินออกไปทางนอกชานหลังบ้าน ทั้งที่ฝนยังลงเม็ดไม่ขาดสาย โดยไม่สนใจว่าร่มกับไฟฉาย...พอลงจากเรือน ก็รีบมุดมาที่ใต้ถุน เพียงเพ็ญก็กระซิบเรียก “พี่ก้าน ๆ”
อึดใจร่างของก้านก็มาอยู่ห่างกันเพียงคืบ
“พี่กลับไปก่อนนะ คืนนี้ฉันไม่สะดวก เอาไว้วันหลังค่อยว่ากัน” คำบอกกล่าวนั้นแทนที่จะผลักให้ก้านรีบกลับบ้าน เขากลับดึงเพียงเพ็ญเข้าไปกอดรัดหาความอบอุ่น เพียงเพ็ญดิ้นพอประมาณโดยสายตานั้นก็หันไปมองทางบันไดหลังบ้านด้วย...
เพราะถึงแม้จะสาแก่ใจที่ทำตามใจตัวเองได้ แต่เพียงเพ็ญก็รู้ดีว่า มันไม่งามนักที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับคำว่า ‘รัก’ แต่เขาก็ทำให้เธอร้อนรุ่มเสียทุกครั้งที่เจอกัน ทว่ายามไม่ได้เห็นหน้ากัน ใจนั้นก็เป็นทุกข์เป็นร้อนยิ่งกว่าเพราะกลัวว่าเขาจะกลายเป็นอื่น...
“ไม่ได้พี่ เดี๋ยวป้าแรมตามลงมา”
“ก็ตอนนี้แกยังไม่ลงมา ก็ขอพี่ชื่นใจหน่อยเถอะ คิดถึงจะแย่แล้ว” ปลายจมูกและริมฝีปากของเขาระเรื่อย ดูดซับสูดความหอมหวานไปตามใบหน้าและต้นคอไล่ลงมาที่ทรวงอกจนเพียงเพ็ญอ่อนระทวย เวียนขึ้นมาที่ริมฝีปาก มือคู่นั้นก็เคล้นคลึงไปตามเรือนร่างอ้อนแอ้นอย่างหนักหน่วง...
“ฉันช้ำหมดแล้ว...” เพียงเพ็ญกระซิบตอบ...
“เนื้อเอ็งหอมเหลือเกิน รู้ไหมว่าพี่คิดถึงตัวเอ็งแค่ไหน”
“เบา ๆ หน่อยพี่...” เพียงเพ็ญเสียงกระเส่า...แล้วหญิงสาวก็ได้สติ...เมื่อนางแรมลงบันไดมาร้องเรียกพร้อมกับสาดไฟฉายไปทั่ว พอขานรับแล้วเพียงเพ็ญก็ผลักชายหนุ่ม แล้วรีบเดินไปหา ส่วนก้านรีบโผไปหลบหลังสุ่มไก่ ใจนั้นที่ร้อนรุ่มเพราะข่าวที่ได้จากร้านนางศรีนั้นยังไม่ได้รับคำยืนว่าจริงเท็จ
... เถ้าแก่ใหญ่ในตลาดชุมแสงทาบทามมาทางกำนันศรแล้ว และกำนันก็คงตกลงปลงใจอย่างไม่อิดออด
แต่เขาจะยอมให้ ‘เมีย’ ของเขากลายเป็นเมียของอื่นไม่ได้ เมื่อเข้าตามตรอกออกทางประตู หมายทำให้ถูกต้องตามประเพณี แต่ก็สู้แรงเงินของหนุ่มบ้านไกลไม่ได้ มันก็ต้องใช้วิธีการ ‘ฉุด’
*******************
เพราะก้านนั้นเป็นคน ‘พวกมาก’ พอเหล้าเข้าปากแล้ว ก็ ‘ปากพล่อย’ เรื่องที่ควรจะเป็นความลับ เลยไม่เป็นความลับ...ดีแต่ว่าเรื่องที่ ‘ได้เสีย’ กันแล้วนั้น ก้านยังเก็บงำไว้ได้ แต่เรื่องลักลอบพบกันในตอนที่ผู้ใหญ่ในเรือนของเพียงเพ็ญเผลอไผลนั้น เพื่อนฝูงต่างรู้กันดี...
พอฝนเหือด เพื่อน ๆ ของก้านที่ตั้งวงกินเหล้า ร้องเพลงรอกันอยู่ที่กระท่อมข้างบ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังกะทัดรัดของเขา ก็เห็นก้านที่อยู่ในชุดกางเกงขาก๊วยเสื้อตราห่าน มีผ้าข้าวม้า คลุมหัวเดินตากฝนกลับมา...
ไอ้คนที่เป็น ‘ต้นเพลง’ เห็นดังนั้นจึงให้สัญญาณให้คนเคาะกลอง กับคนตีฉิ่ง แล้วมันก็เริ่มต้นเพลง ‘เก็บเงินแต่งงาน’ ของ ‘เมืองมนต์ สมบัติเจริญ’ ทันที
‘พี่อุตส่าห์ทำงาน ก็เพื่อน้อง หวังเก็บเงินเก็บทอง เอามาหมั้นแม่ขวัญใจ ถึงงานจะหนัก แม้จะเหนื่อยสักเท่าไหร่ จะตากแดดผิวเกรียมไหม้ ก็หวังให้ได้เงินมา...ถ้ารวบรวมเงินได้ สักหนึ่งก้อน พี่จะไปมาหมั้น แม่ขวัญบังอร อย่าได้ตัดรอน นะหล่อนจ๋า...ช่วยบอกพ่อแม่ พี่จนแท้นะขวัญตา นึกว่าช่วยกรุณา อย่าเรียกราคาให้แพง...เดือนหก จะยกขันหมากมา พร้อมกระทั่งเงินตรา มีใบละร้อยแดงแดง เรียกเท่าไหร่ จะหามาให้ไม่เปลี่ยนแปลง จะขายข้าว มาจัดแจง กำใบแดงแดง มาแต่ง งานฯ’
เพลงบาดใจจบ...ก้านวางจอกเหล้าที่ไอ้คนตีฉิ่งส่งมาให้คลายหนาวลง...
“ตัวเบาเลยซิพี่ทิด” หนุ่มต้นเพลงรีบถาม
“เบากับผีอะไร ฝนดันตกซะก่อน...”
“แบบนี้ เรื่องไอ้หนุ่มชุมแสงก็ยังไม่รู้ซิว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“มันก็คงจะจริงหรอก วันนี้แม่เพิ่งไปชุมแสงกับอาศรีมา...” ว่าแล้วก้านก็ถอนหายใจอย่างแรง
“แล้ว ถ้าเขาจับแม่เพียงเพ็ญไปแต่งกับลูกเจ๊กซะแล้ว พี่ทิดของฉัน จะทำอย่างไรล่ะ”
ดวงตาของก้านวาวโรจน์ขึ้นมา... แผนแรกที่คิดไว้คือ ‘ฉุด’ แม้จะเสี่ยงกินลูกปืนของพ่อกำนัน มันก็เป็นแผนเดียว ถ้าทำสำเร็จเขาก็จะได้ครอบครองเพียงเพ็ญไปโดยปริยาย...ส่วนแผนถัดมาคือ สกัดกั้นไม่ให้ไอ้หนุ่มหน้าจืดนั่นหรือไอ้หนุ่มหน้าไหน มาเป็นเจ้าบ่าวของแม่เพียงเพ็ญ...ข้อนี้มันจะทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัย และพอเวลาเนิ่นนานไป พ่อกำนันก็คงใจอ่อนเห็นแก่ความรักของเขากับแม่ลูกสาวคนเล็กจนได้...
ก้านนิ่งคิดหาทางออก...ก่อนจะบอกว่า “พวกเอ็งไปสืบกับทางอาศรีให้ได้ว่า ไอ้ลูกเจ๊กชุมแสงมันมีชื่อแซ่อะไรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร...ให้กูหน่อย”
“ถ้ารู้แล้ว พี่จะทำอะไรมัน”
“ให้รู้ก่อนแล้วกัน แล้วพวกมึงก็อย่าได้พูดมากไปล่ะ...เกิดไอ้นั่นมันตายห่าไปซะก่อนแต่ง จะเดือดร้อนกันหมด”
เพียงแค่นั้นก็เป็นอันรู้กันว่า ศัตรูหัวใจ ของพี่ทิดก้าน อาจจะถึงแก่ความตาย หากว่า ไม่คิดถอย...
เรื่องที่เพียงเพ็ญลักลอบพบเจอกับก้าน ใช่ว่ากำนันศรจะไม่รู้ แต่ครั้นจะเอ็ดอึงไป ด้วยเป็นฝ่ายผู้หญิงก็จะมีแต่เสียกับเสีย ทางเดียวที่ทำได้ คือ กำชับกำชานางแรมให้ช่วยเข้มงวด คอยติดตามอย่าให้เพียงเพ็ญได้คาดสายตาอีก เพราะถึงข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ก็ใช่ว่า ยังไม่มีหนทางแก้ไข...
เช้าวันรุ่งขึ้น กำนันศรรีบไปยังบ้านของนางศรีที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ลูกสาวของนางศรีที่ออกเรือนไปแล้ว เฝ้าหน้าร้านขายของ...
“แม่ทำกับข้าวอยู่ในบ้านจ้ะลุงกำนัน...”
กำนันศรก็รีบเดินไปหา นางศรีพอเห็นพี่ชายเดินมาก็รีบละมือ ลงจากครัวหลังเรือน ออกมารับหน้า...
“ทำอะไรกินรึ...”
“แกงหมูเทโพ ทำทีไรก็คิดถึงสังข์แม่... เดี๋ยวเสร็จแล้วจะให้ไอ้ศักดิ์มันถือไปให้นะ” ศักดิ์นั้นเป็นลูกเขยของนางศรี...
“อืม...”
“มีอะไรถึงได้มาแต่เช้าตรู่”
“เรื่องนั้นแหละ...ข้าร้อนใจ อยากให้มันเป็นฝั่งเป็นฝาเสียโดยไว”
“เราเป็นฝ่ายผู้หญิงนะพี่กำนัน ออกตัวมากไป มันจะไม่งาม...เขาจะระแวงเอาได้ว่า ของ ๆ เรามันมีตำหนิอะไรรึเปล่าถึงได้เร่งเร้านัก”
กำนันศรเหลือบตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะบอกว่า “ตำหนิ มันมีแน่...แล้วข้าก็กลัวมันจะท้องป่องขึ้นมาซะก่อนนะซิ อีลูกคนนี้ มันผ่าเหล่าผ่ากอ”
ก้านก็เคยมาเป็นคนงานในโรงไม้โรงถ่านของกำนันมาก่อน พอกำนันเห็นหนุ่มสาวส่งสายตาให้กัน กำนันก็รีบกันก้านออกไปจากบริเวณบ้านโดยอ้างว่า แรงงานเกินงานเสียแล้ว หลังจากนั้นก้านก็ไปบวชพระ บิณฑบาตผ่านบ้าน ลูกสาวมีใจให้พระ จึงลุกขึ้นมาตักบาตรทุกวัน กระทั่งรับกฐิน ก้านก็สึกมาอยู่ที่บ้าน...
และคืนหนึ่งกำนันลุกมาเข้าส้วมก็เห็นว่า นังลูกสาวลงจากเรือนมาหาไอ้ทิดก้านที่กองฟางหลังบ้านตั้งแต่เมื่อใดกำนันก็ไม่อาจทราบได้...และถ้าเดาไม่ผิด มันคงไม่ใช่ครั้งแรก เพราะกว่าที่ทั้งคู่จะผละจากกัน ไอ้ทิดก้านก็กอดรัดแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของโดยที่ลูกสาวของตนไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด
...พอเห็นเหตุการณ์บัดสีตำตาแล้วกำนันจึงได้ ‘ล้อมคอก’ ให้แน่นหนายิ่งขึ้น...คำพูดเหมือน ‘รับรู้’ แต่ ‘ไม่ยอมรับ’ เกิดขึ้นบนเรือน ลำพังพ่อแม่ลูก และนางแรม ทันที...แต่เพียงเพ็ญก็หาได้คล้อยตามแม่น้ำทั้งห้าที่ชักมาให้เห็นว่า คบหากับก้านไป รังแต่จะดึงตนเองให้ตกต่ำ สุดท้ายกำนันก็เลยต้องนำเรื่องคับอกนั้นมาปรึกษานางศรีผู้เป็นน้องสาวให้คิดกันช่วยหาทางแก้ปัญหานี้...
“แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ทางนั้น เขาก็ว่า จะเอาลูกเขาไว้บวชก่อน ปีสองปีนั่นแหละถึงจะแต่งงานกันได้ เพราะไอ้คนที่สอง ก็เพิ่งแต่งไปกับลูกเถ้าแก่ที่ทับกฤชเมื่อวันก่อน คงจะหมดไปหลายเงิน...”
“ทำให้มันเร็วขึ้นได้ไหม...สินสอดทองหมั้น ไม่ใช่เรื่องจำเป็น ขอให้รีบตกลงเท่านั้น”
“ฉันจะไปพูดอย่างไร” หัวคิ้วของนางศรีขมวดเข้าหากัน...
“ปีหน้าสักเดือนยี่ รึไม่ก็เดือนสี่ ไม่เร็วหรอกนะ...ช่วงนี้ข้าก็กำชับทั้งนังพร นังแรม ให้จับตามองมันไว้ให้ดี...”
นางศรีครุ่นคิด... พลางถามอีกรอบว่า “เราจะอ้างอย่างไรกันดี ถึงจะไม่น่าเกลียด”
“เอาอย่างนี้ บอกไปว่า ช่วงนี้ข้าเจ็บไข้ออดๆ แอด ๆ เลยอยากเห็นนังหนู มันเป็นฝั่งเป็นฝาเร็ว ๆ เอ็งว่ามันจะน่าเชื่อถือไหม”
“ก็น่าจะเป็นข้ออ้างที่ไม่เลว แต่ฉันว่า ทางที่ดี พี่กำนันก็ลองแวะเวียนไปที่ร้านแม่ย้อยกับฉันดูบ้าง...ทำทีว่าฉันติดเรือพี่กำนันที่จะเข้าไปอำเภอ ไปตลาด ได้เห็นกันแล้ว ทำความรู้จักกันแล้ว มันก็น่าจะพูดกันได้ง่ายขึ้น...อ้อ ตอนนั้น พี่กำนันก็แกล้งไอถี่ ๆ หน่อยก็ได้...ทำให้เหมือนคนป่วย มันน่าจะพอให้เชื่อถือได้บ้างนะ ฉันว่า”
ฟังความคิดของน้องสาวแล้วกำนันศรก็พยักเบาๆ
“เว้นสักวันสองวัน เราค่อยเข้าไปในเมืองกัน ไปวันนี้เลย มันน่าเกลียด...”
**************
กลิ่นควันไฟและเสียงไอโขรก ๆ จากครัวทำให้ก้านต้องผุดลุกขึ้นนั่ง...พอเปิดมุ้งเดินออกมาก็พบว่าแม่ซึ่งย่างเข้าสู่วัยชราของตนนั้นกำลังก่อไฟเตรียมหุงข้าวอยู่....
“ทำไม แม่ไม่ปลุกฉันล่ะ” ว่าแล้วก้านก็คว้าขันที่คว่ำไว้บนฝาโอ่งตักน้ำมาลูบหน้า...คว้าแปรงสีฟันยาสีฟันที่วางไว้ข้างโอ่งมาสีฟันอย่างเร่งรีบ...
ไม่มีคำตอบจากนางคนเป็นแม่...
“อ้าว แม่ ยังไม่ได้หุงข้าว...สงสัยฉันกินไม่ทันแล้ว มันสายแล้ว” วันนี้นั้นก้านรับจ้างเกี่ยวข้าวไว้ จึงต้องรีบออกจากบ้านไปให้ทันคนอื่น...
“เพิ่งรู้ว่าข้าวสารมันไม่พอหุง ก็เลยลงไปตำซะพักใหญ่ กว่าจะได้ทะนานเล่นเอาเหงื่อชุ่ม...แต่ข้าวเย็นก็ยังเหลือ รองท้องไปก่อน เดี๋ยวตอนกลางวันแม่ทำใส่ปิ่นโตตามไปให้” ว่าแล้วนางแม่ก็ไอโครก ๆ ขึ้นมาอีก
“งั้นเดี๋ยว ฉันหาบข้าวเปลือกไปที่โรงสีให้นะ...แม่ก็ตำกินไปสักวันสองวันก่อน”
“ไอ้ทิด เหล้ายาปลาปิ้งเพลา ๆ บ้างเถอะนะ...เป็นหนุ่มเป็นแน่น ริเรื่องพวกนี้ ไปขอลูกสาวบ้านไหนไม่มีใครเขาเอาหรอก”
“ถึงไม่กินเหล้า ก็ไม่มีใครอยากได้เราไปเป็นลูกเขยหรอกแม่....”
ว่าแล้วก้านก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง...ครุ่นคิดถึงเรื่อง ‘ฉุด’ แม่เพียงเพ็ญลูกสาวกำนันขึ้นมาอีก...แต่อีกใจก็นึกเป็นห่วงว่า ถ้ามุทะลุเอาแต่ใจตัว เพลี่ยงพล้ำขึ้นมา แม่อยู่ทางนี้คนเดียวก็จะลำบากอีก และเสียงไอของแม่ก็ทำให้เขาต้องถามแม่ว่า
“แล้วแม่กินหยูกกินยาบ้างหรือเปล่า” ยาที่ก้านพูดถึงเป็นยาตำรับโบราณที่บอกต่อ ๆ กันมาว่ารักษาอาการไอเรื้อรังได้...
“กินแล้ว แต่มันก็ยังไอ...” นางแม่บอกอย่างปลง ๆ
ก้านครุ่นคิดแล้วบอกว่า “งั้นเดี๋ยววันนี้ ฉันจะเบิกค่าแรงแล้วเข้าตลาดไปซื้อยามาให้...แม่ทนไอไปสักวันก่อนนะ...”
“อย่าเลยไอ้ทิด ว่าไปมันก็ดีขึ้นแล้ว เอ็งเก็บเงินไว้เถอะ มันยังต้องมีเรื่องต้องใช้อีกเยอะ...ไอ้ยาขนานนี้ มันไม่ได้ผล เดี๋ยวแม่จะลองขนานใหม่”
“เหอะแม่...ฉันกลับค่ำ ๆ หน่อยแล้วกัน อย่างไรแม่ก็รอกินข้าวเย็นกับฉันด้วยนะ...” ว่าแล้วก้านก็รีบไปคว้าจานข้าวเย็นมาวางแล้วใช้มือบี้น้ำพริกแมงดาในถ้วยมาขยำกับข้าว...นางแม่มองอาการรีบร้อนของลูกชายเพื่อที่จะไปรับจ้างหาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน แล้วน้ำตาก็คลอลูกนัยน์ตา...
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวในสายตาของคนอื่น ๆ แต่ไอ้ทิดก้านมันก็เป็นลูกที่ดีของนางเสมอ...และนางก็หวังใจว่า ความดีของมันจะทำให้อนาคตของมันเจอแต่เรื่องดี ๆ...
*********
“เรณูเมื่อวาน แม่ผัวเอ็งไปทำอะไรที่เกยไชยล่ะ” พอว่างเว้นจากลูกค้า...แม่ค้าขายผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ที่นั่งอยู่ติดกันก็หันมาถาม...หัวคิ้วของเรณูขมวดเข้าหากัน
“พี่รู้มาได้ไงล่ะ”
“อ้าว ก็ผัวพี่มันเป็นคนขับเรือหางยาว เมื่อวานตอนบ่าย ๆ มันพาแม่ผัวเอ็งกับไอ้ป้อมไปบ้านหมอมี....”
“หมอมี...คือใครหรือจ๊ะพี่” เรณูรีบซัก
“หมอมี หมอยากลางบ้าน คนทรงเจ้าเข้าผี ดูดวง สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงชะตา แก้คุณไสย ถอนเสน่ห์ ไงล่ะ”
‘ถอนเสน่ห์’ คำ ๆ นี้ ทำให้เรณูรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา... แล้วเรณูก็เอะใจว่า เมื่อวานนี้ระหว่างที่ปะทะคารมกันนั้น ตนเองเผลอหลุดปากออกไป...จนนางย้อยเริ่มคลำทางถูกเป็นแน่...
นึกแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองนัก...ป่านนี้นางย้อยคงกำลังหาทางแก้ไข หรือไม่ก็จัดการแก้ไขสำเร็จไปแล้วก็ได้...
ใจของเรณูเริ่มร้อนรุ่ม...เพราะเดาไม่ได้ว่า ถ้าปฐมหลุดจากอำนาจมนต์ดำของหมอก้อนแล้ว เขาจะเป็นอย่างไร...จะจัดการกับเธออย่างไร
และถ้านางย้อยรู้ว่าเธอทำเสน่ห์ใส่ลูกชายของนาง วันนี้นางย้อยจะไปหาเธอที่โรงสีอีกรึเปล่า ดีไม่ดี วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเธอที่ชุมแสงก็ได้...คนทำผิดเริ่มเดือดเนื้อร้อนใจไปสารพัด
“ต๊าย...เรณู ๆ คู่สะใภ้เธอมาเดินตลาดแล้ว” เสียงจากแม่ค้าขายผัก ดึงสติเรณูกลับมา หญิงสาวมองไปยังร่างสวยสดเหมือนดอกกุหลาบแรกแย้มดูสดชื่นสบายตาแล้วรู้สึกริษยา ...ไม่ใช่แค่เสื้อกางเกงใหม่เอี่ยมที่ตัดเข้าชุดอย่างประณีตทันสมัย แต่ที่ข้อมือ นิ้วมือ และ ที่คอของพิไลนั้นก็สะดุดตาด้วยทองรูปพรรณเข้าชุดกันด้วย...
พิไลเดินทักทาย แนะนำตัวกับแม่ค้า ว่าตนเองนั้นเป็นใคร แล้วเดินมาหยุดที่หน้าหาบของเรณู...
“ขายดีไหมซ้อ” น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นไม่ได้ทำให้เรณูรู้สึกสดชื่นเลยสักนิด...แต่เรณูก็ฝืนน้ำเสียงให้เป็นปกติตอบกลับไปว่า “ก็พอได้”
“ตะโก้เผือกที่ฉันสั่งไว้ล่ะ 4 ห่อ เก็บไว้ให้หรือเปล่า”
เรณูเปิดกระด้งที่มีถาดขนมวางอยู่ด้านบน หยิบห่อขนมในกระจาดที่กันเอาไว้ออกมา...
“บาทเดียวใช่ไหม”
“บาทเดียว...”
“เหลือเยอะเลยนี่ งั้นช่วยซื้ออีกบาทแล้วกัน อ้อ ซื้อสองบาท แถมสักห่อได้ไหม”
ถ้าเป็นคนอื่นเรณูคงไม่ให้...แต่เมื่อพิไลกล้า ‘ขอ’ เรณูจึงบอกว่า
“คนกันเอง ได้ซิ แต่ว่าถือไปหมดเหรอ ตะกร้าก็ไม่ได้เอามา”
“เลิกขาย แล้วเอาไปส่งที่ร้านแม่ได้รึเปล่าล่ะ วันนี้มาช่วยแม่ขายของวันแรก...”
เรณูกลืนน้ำลายลงคอ ข่มใจ อดกลั้นความรู้สึกว่ากำลังถูก ‘เปรียบเทียบ’ และ ‘กด’ ให้ต่ำต้อยไว้...ยิ่งตนเองนั่งบนเก้าอี้ตัวเตี้ยๆ อยู่หลังหาบ กับพิไลยืนเด่นเป็นสง่าก็ยิ่งเห็นชัด “ได้ซิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...”
“อ่ะ สองบาท ฉันไปก่อนนะ อ้อ..ขอห่อที่แถมไปก่อนแล้วกัน...เห็นแล้วน้ำลายไหล” คว้าขนมแล้วพิไลก็เดินจากไปทันที...เรณูมองตามหลังไป...โดยหูก็ได้ยินนางแม่ค้าขายผักพูดว่า “คู่สะใภ้ของเธอดูท่าจะไม่ธรรมดาเลยนะ”
******************
ขณะที่ประสงค์กำลังจัดร้านตามหน้าที่ พิไลก็เดินเข้าไปในร้าน วางขนมห่อนั้นลงบนโต๊ะบัญชีแล้วก็เดินไปยังหลังบ้าน พบว่านางย้อยกำลังหุงข้าวทำกับข้าว...แม้จะไม่ชอบเข้าครัว แต่พิไลก็รู้ดีว่า ไม่มีแม่ผัวคนไหน รักใคร่พึงพอใจลูกสะใภ้ที่หุงหาข้าวปลาให้ลูกชายของตนกินไม่เป็น...
“ม้า...ทำอะไรอยู่จ๊ะ มีอะไรให้หนูช่วยไหม”
นางย้อยหันมาทางต้นเสียง พินิจดูเสื้อผ้าหน้าผมของลูกสะใภ้แล้วก็รู้สึกหนักใจ...เพราะถ้าให้ช่วยหุงหาอาหาร กลิ่นก็จะติดเนื้อติดตัวเสียอีก...แต่ถ้าไม่ให้ช่วย วันหน้าก็จะไหว้วานให้ทำอะไรไม่ได้เสียอีก
“กำลังจะแกงฟักทอง...ถ้าจะช่วย ช่วยปอกฟักทองให้หน่อย...” เพราะมีแต่ลูกชาย นางย้อยจึงรู้สึกแปลก ๆ เมื่อต้องเอ่ยปาก ‘ใช้’ ลูกสะใภ้ ...และคำว่า ‘สะใภ้’ ก็ทำให้นางย้อยรู้สึกเสียวสันหลังเสียร่ำไป...
เพราะถ้าตึงเกินไป ก็จะกินแหนงแคลงใจกันไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ถ้าหย่อนเกินไป สะใภ้ก็จะขึ้นหน้า ได้ใจ เหลิงว่าใจดี ไม่มีปากเสียอีก...เป็นแม่คนว่ายากแล้ว แต่เป็น แม่ผัว นั้น นางย้อยรู้สึกว่ามันยากกว่า
“ได้จ้ะ” ว่าแล้วพิไลก็เดินไปคว้าฟักทองพร้อมกับมีดบาง แล้วเดินออกไปทางหลังบ้านที่ได้มาสำรวจตั้งแต่เมื่อวานแล้ว... ระหว่างที่นั่งปอกเปลือก พิไลก็ชวนนางย้อยคุยไปด้วย...
“ตะกี้หนูไปเดินดูอะไรที่ตลาดสดมา หนูเจออาซ้อใหญ่ด้วย...เห็นว่าขนมเหลือเยอะ หนูก็เลยช่วยซื้อมากินสองบาท”
“ทำไมซื้อซะเยอะแยะ...”
“ก็ สงสารแกนะม้า...นั่งหน้าแห้งหน้าเหี่ยว...เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”
นางย้อยนิ่งฟัง ครุ่นคิดถึงคำพูดของพ่อหมอแล้วใจก็ขุ่นขึ้นมา...มันจะนั่งหน้าแห้งหน้าเหี่ยว ก็เรื่องของมัน หลังจากที่ปฐมกลับมา แก้เสน่ห์แล้ว มันจะต้องระเห็จไปจากที่นี่...
พอเห็นว่านางย้อยไม่ต่อปากต่อคำ...พิไลก็เหยียดริมฝีปาก แล้ว พูดต่อว่า “สงสัยคงจะคิดถึงตั่วเฮียนะม้า”
“ปอกเสร็จแล้ว ก็หั่นด้วยเลยนะ” นางย้อยเปลี่ยนเรื่อง....
พิไลรับคำ ชั่วอึดใจ นางย้อยก็ได้ยินเสียงร้อง...พอลุกไปดูก็พบว่า มีดบาดมือพิไลเสียแล้ว....
**************
เดินเข้ามาถึงร้านถ่ายรูป มงคลที่เตรียมตัวกลับปากน้ำโพ ก็ได้ยิน เสียงเพลง ‘แซ่ซี้อ้ายลื้อเจ็กนั้ง’ ของ สุรพล สมบัติเจริญ ดังแว่วมาจากหลังร้าน นอกจากนั้นเขายังพบ หมุ่ยนี้นั่งยิ้มแป้นให้เขาประหนึ่งว่าเป็นเมียเจ้าของร้าน...
“มาเอารูปหรือสี่ เสร็จแล้ว แจ้ เสียมารยาท ดูไปแล้ว ไม่ว่ากันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกแจ้ แค่ดูไม่สึกหรอหรอก...แล้วแจ้ล่ะมาทำอะไร”
“มารอรูปเหมือนกัน...”
มงคลพลิกอัลบั้มรูปดูไปเรื่อย ๆ แล้วก็ต้องชะงักมือ เมื่อถึงรูปของ ‘วรรณา’ ที่ถ่ายที่สถานีรถไฟปากน้ำโพ
“เธอรู้จักวรรณาด้วยเหรอ”
“อ้าว แจ้รู้จักวรรณาด้วยเหรอ” มงคลย้อนถาม...
“รู้ซี่ ก็อีมาหาพี่สาวอี แล้วพี่สาวอีก็พามาที่ร้านแจ้ นี่อียังเอาผ้ากลับไปตัดให้เลย ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่...”
“จะฝากอะไรไปถึงอีไหมละ อั๊วจะกลับปากน้ำโพวันนี้แหละ”
“ฝากบอกว่า แจ้รอเสื้ออยู่แล้วกัน แล้วลื้อจะไปดูอีประกวดนางสาวสี่แควหรือเปล่าล่ะ...ถ้าไป ก็ถ่ายรูปอีมาด้วยนะ ถ่ายมาเยอะ ๆ”
“ออกค่าฟิล์ม ค่าล้าง ค่าอัดให้อั๊วไหมล่ะ ถ้าออกให้ อั๊วจะถ่ายให้หมดม้วนเลย”
หมุ่ยนี้ทำหน้าคิดหนัก...ก่อนจะบอกว่า “หารสองได้ไหมล่ะ...”
“ก็ได้...ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย” เพราะตัวเขาเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะเสนอตัวให้เจ๊ง้อ จ้างตัวเองไปถ่ายรูปอยู่แล้ว...
“ได้แล้วของลื้อ” อาเฮียเจ้าของร้านถือซองใส่รูปของหมุ่ยนี้ออกมาจากห้องด้านหลัง...หมุ่ยนี้ยื่นมือไปรับแล้วดึงรูปออกมาดู ในซองนั้นมีทั้งรูปของตน และรูปของจันตา...
“ใครเหรอ แจ้” มงคลที่เหลือบตาไปมอง ร้องถาม
“ว่าที่พี่สะใภ้ลื้อไง”
“จริงรึ...”
“แจ้ล้อเล่น...”
“อ้อนึกออกละ เห็นเฮียซาเคยบอกว่า คนนี้เฮียรองอีเหล่ๆ อยู่ แต่ว่าอีเป็นแฟนกับปลัดอำเภอนี่นา”
“ยังไม่ได้เป็น แค่มอง ๆ กันอยู่ เท่านั้น อียังไม่มีแฟน”
“ยังไม่มีแฟน งั้นอั๊วก็จีบได้ซิ”
“ถ้าเป็นลื้อ แจ้ขวางเต็มที่เลย...”
“ทำไมละแจ้ อั๊วมันไม่ดีตรงไหน”
“ลื้อมีแฟนอยู่ที่ปากน้ำโพแล้ว แจ้รู้หรอกน่า”
“ยังไม่มี...”
“ไม่มี ก็ไม่ให้จีบ...ถ้าเป็นอาซาก็ว่าไปอย่าง”
“ฮั่นแน่ จะกันท่าไว้ให้เฮียซ่าใช่ไหม”
“อาจันตาอีเป็นคนน่ารัก อาซาก็คนน่ารัก แจ้เลยอยากให้เขาทั้งสองคนรักกัน”
“รักกันได้ที่ไหนละแจ้...”
“ทำไมล่ะ...”
“ก็เฮียซาของอั๊ว เขามีคู่หมายของเขาแล้ว...”
“เหรอ ทำไมอั๊วไม่เห็นรู้เรื่อง คู่หมายของอีเป็นคนที่ไหน ลูกเต้าเหล่าใครรึ”
“เป็นลูกสาวคนเล็กของกำนันตำบลฆะมัง...มีชื่อว่าเพียงเพ็ญ...อีสวยกว่า จันตานี่อีกนะ”
“อาซาไม่เห็นบอกอั๊วเลย”
“แจ้...หาว่าอั๊วโกหกรึไง”
“เปล่า อั๊วไม่ได้หา” หมุ่ยนี้กลืนอีกประโยคลงคอไว้ ‘แต่อั๊วรู้สึกได้ว่าอาซานั้นน่ะ ชอบจันตาอยู่นี่นา’
**********************
จากฆะมังมาตลาดชุมแสง นอกจากใช้เรือล่องมาตามลำน้ำน่าน ก็ยังมีทางเกวียนอีกทาง...หลังเลิกงานเกี่ยวข้าว ก้านเบิกเงินมาจากเจ้าของนา แล้วก้านก็ยืมจักรยานของพวกหมู่ ปั่นมายังตลาดชุมแสง แม้ว่าทางจะเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง แต่ด้วยเดินทางจนชำนาญ เรื่องมืดค่ำจึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา...
พอถึงตลาดชุมแสง เขาก็รีบปั่นจักรยานไปหยุดที่ร้านขายยาแผนโบราณ บอกเล่าอาการของแม่ ซึ่งมีทั้งไอจนหอบและกินข้าวไม่ได้ ผอมแห้งแรงน้อย นอนไม่หลับเพราะกลางคืนจะไออยู่ตลอดเวลา
ระหว่างที่เจ้าของร้านหันไปจัดยาให้...ก้านหันไปที่หน้าร้าน พบชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับตน เดินเข้ามาในร้านแล้วหยุดอยู่ข้าง ๆ ตน...แต่พอมองหน้าเขาชัด ๆ ก้านคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ น่าจะอายุน้อยกว่าตน...
“อาแปะ...จัดยาแก้ไอ ยาบำรุงร่างกายให้อั๊วหน่อย...”
“ใครเป็นอะไรล่ะอาซา” อาแปะเจ้าของร้านหันเงยหน้ามาถาม...
“เตี่ย...ไอโขลก ๆ ทั้งคืน ไอจนนอนไม่ได้ ม้ารำคาญเลยให้มาดูยาไปให้แกกินซะหน่อย”
“เป็นมานานหรือยัง”
“ช่วงหลัง ๆ มานี้ ไอตลอดเลย สองสามเดือนแล้วนะ”
“บอกอีให้เบาๆ สูบยามั่งนะ มันไม่ดีกับปอดกับระบบทางเดินหายใจ”
“ห้ามแล้ว ฟังที่ไหน แกบอกว่า ใคร ๆ ก็สูบกันทั้งนั้น”
“อ้าว ของลื้อได้แล้ว...” อาแปะบอกกับก้าน แล้วก็บอกกับกมลต่อ “อาซาเจ้านี้ก็อาการคล้าย ๆ กับเตี่ยลื้อ แต่ว่าคนที่ไอคือแม่ของเขา ไอจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผอมแห้งแรงน้อย ตลกดีนะ อยู่กันคนละที่ แต่อาการป่วยดันเหมือนกันได้”
ก้านมองยาตรงหน้าแล้วถามราคา พอรู้ราคา หน้าของเขาถอดสี...ก่อนจะบอกว่า
“คือ ผมมีเงินมาไม่พอ มีมาแค่ 20 บาท ถ้าจะขอเอายาออกบ้าง ให้เหลือ 20 บาทได้ไหม”
“ได้ซี่...”
“ไม่ต้องหรอกแปะ คิดเขาแค่ 20 นั่นแหละ อีก 4 บาท เดี๋ยวเอาที่อั๊ว”
ก้านไม่คิดว่าจะเจอคนดีมีน้ำใจถึงเพียงนี้...แม้จะรู้สึกตื้นตัน แต่เขาก็รู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก “มันเอ่อ ไม่ดีมั้งน้องชาย ให้อาแปะเอายาออกเถอะ”
“อย่าเอาออกเลยพี่ชาย รับน้ำใจจากผมไปเถอะ เตี่ยผมก็ป่วยเหมือนกัน นอนฟังเตี่ยไอทั้งคืน ก็สงสารเตี่ย...พี่ชายก็คงเหมือนกัน คิดซะว่า ผมซื้อยาให้แม่พี่ชายแล้วกันนะ...รับไว้เถอะ”
“รับไว้เถอะพ่อหนุ่ม เดี๋ยวอั๊วลดให้ สองบาทแล้วกัน ช่วยกันคนละครึ่งกับอาซามัน ลื้อจะได้สบายใจ” อาแปะแสดงน้ำใจบ้าง....ก้านยกมือไหว้กมล แต่เขารีบจับมือของก้านไว้...
“ไม่ต้อง ๆ ไม่เป็นไร อั๊วยินดี แล้วนี่ พี่ชายมาจากไหน” เพราะเสื้อผ้าและกลิ่นตัว ทำให้กมลแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนในย่านนี้แน่ ๆ
“มาจากฆะมัง”
‘ฆะมัง’ กมลรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา แล้วเขาก็บอกให้ก้านรีบกลับบ้านไปซะก่อนจะมืดค่ำ...
*********************