Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
29 April 2024, 13:43:34

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,614 Posts in 12,444 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Profile of นักประพันธ์  |  Show Posts  |  Topics

Show Posts

Messages | * Topics | Attachments

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - นักประพันธ์

Pages: [1]
1
กรงกรรม ตอนที่ 64-66 จบ และตอนพิเศษ












2
กรงกรรม  บทประพันธ์ของ จุฬามณี


นวนิยาย เรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการ โดยใช้ฉากเป็นสถานที่จริง หากชื่อตัวละครหรือเหตุการณ์ไปเกี่ยวข้องกับบุคคลใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย


ตอนที่ 1 : ปฐมบท ของ ปฐมบท

               ๑

          พ.ศ. ๒๕๑๐ ณ ตลาดอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
 
          หลังสิ้นเสียงหวูดรถไฟ อึดใจใหญ่ๆ รถสามล้อถีบที่มีชายหนุ่มกับหญิงสาวเป็นผู้โดยสารก็มาหยุดที่หน้าร้านค้าส่ง ชายหนุ่มวัย ๒๓ ปีอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารเกณฑ์สีเทาอุ้มเป้สัมภาระรีบกระโดดลงจากรถ เขามองเข้าไปในร้านสองคูหาซึ่งเป็นบ้านของตนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล หญิงสาวที่นั่งอยู่เคียงกันก้าวตามลงมา เธอมองเข้าไปในร้าน ก็พบว่าบรรดาลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อสินค้าต่างก็หันมามองที่เขาและตัวเธอ แทบจะเป็นตาเดียวกัน แน่นอนว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถเห็นสายตาของหญิงสาวที่อยู่ใน ชุดกางเกงเอวสูงสีเขียว เสื้อตัดจากผ้าชีฟองพื้นสีเหลืองดอกสีดำจับจีบรอบคอสอดชายเสื้ออยู่ในกางเกง เพราะเธอคาดแว่นกันแดดปิดบังสายตาไว้...

          “นี่เหรอบ้านของพี่” ปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงสดเอ่ยถาม

          “ใช่...บ้านพี่”

          “ร้านใหญ่โตดีนะ ลูกค้าเยอะเสียด้วย” ริมฝีปากหนาอูมได้รูป คลี่เพียงแย้ม ไหล่ระหงไหวเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าแต่งแต้มสีสันในกรอบผมหยิกยาวดูเก๋ไก๋ตามสมัยนิยม

          หลังจากที่ชายหนุ่มจ่ายค่ารถสามล้อ เขาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะเดินนำหญิงสาวเข้าไปในร้าน

          “เฮียใช้ เอ่อ” บุญปลูกลูกจ้างสาววัย ๑๖ ปีร้องทักด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย

          “ปลูก ม้าอยู่ไหน” เพื่อแก้ ‘เขิน’ กับ สายตาสอดรู้สอดเห็นของ คนถามและลูกค้าที่เขาพอคุ้นหน้าค่าตาอยู่บ้าง เขาจึงต้องชิงถามทั้งที่รู้ว่าช่วงเวลานี้แม่ของตนจะต้องนั่งอยู่ตรงไหน...

          ไม่ทันรอเอาคำตอบ...เขาก็หันมาพยักหน้ากับหญิงสาวที่เดินตามมาด้วย ให้เดิน ตามมา...

          ชายหญิงทั้งคู่เดินเข้าร้านไปแล้ว ส่วนกระเป๋าผ้าใบใหญ่ ยังคงวางไว้ที่หน้าร้าน เช่นเดียวกับกลิ่นน้ำหอม ที่ยังคงฟุ้งตลบจนบุญปลูกต้องทำจมูกฟุตฟิต ครุ่นคิดว่ามันเหม็นหรือหอมกันแน่
         
          “ม้า...หวัดดี” เขาก็วางกระเป๋าเป้ลงที่พื้น แล้วยกมือขึ้นไหว้...

          “ตี๋ใหญ่...แกพาใครมาด้วย”

          “เรณู เรณูสวัสดีแม่ของพี่เสียซิ”

          “สวัสดีค่ะ...ม้า”

          แค่ ได้กลิ่นหอมฟุ้ง เห็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ นางย้อยก็พอเดาได้ว่า   หญิงสาวที่เดินตามลูกชายมานั้นเป็นใคร? ระหว่างลูกชายของตนหญิงสาวนั้นมีฐานะอะไร สัญชาตญาณของความเป็นแม่ และอุปนิสัยที่ได้ชื่อว่าเป็นคน ‘ปากไว’ นางย้อยจึงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ว่า 

            “ใคร ใครเป็นม้าของเธอ ไม่ต้องมานับญาติกับฉันหรอกนะยะ”

          พอได้ยินวาจาของหญิงวัย ๔๐ กว่าๆ หญิงสาวที่ยืนด้านหลังชายหนุ่มก็เบะปาก...เชิดหน้า ที่แต่งแต้มสีสันสะดุดตาขึ้น...

เมื่อเห็น กิริยา ท้าทายอำนาจของตนอย่างโจ่งแจ้ง นางย้อยที่นั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชีก็ผุดลุกขึ้น ถลึงตา แล้วก็แผดเสียงดังอย่างไม่คิดอับอายใครทั้งสิ้น...   

            “ตี๋ใหญ่...แกพาใครมาด้วย...พากันมาทางไหน เอามันออกไปทางนั้นเลยนะ” 

          สิ้นประกาศิตจากแม่ของชายหนุ่ม หญิงสาวนามว่า ‘เรณู’ ก็ใช้สองมือจับหมับที่ต้นแขนของชายหนุ่ม บอกให้รู้ว่า เธอจะยึดเขาเป็นเกาะป้องกันตัว...

          ตี๋ใหญ่ของนางย้อย หรือพลทหารปฐม อัศวรุ่งเรืองกิจ รู้ทันทีว่า ‘ศึก’ กำลัง จะเกิด...เพราะแม่ของเขานั้น ไม่มีวันยอมรับเรณูมาเป็นศรีสะใภ้อย่างแน่นอน...และเขาก็รู้ว่าเรณูจะไม่ยอม ถอยแม้แต่ก้าวเดียวเช่นกัน...

          เรณูบอกกับเขาว่า ‘ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ มันก็จะไม่ได้ลูกเสืออย่างที่ควรจะได้แน่’

          เรณูไม่กลัวคำขู่ของเขาเลยสักนิด เขาบอกกับเรณูเสมอว่า แม่ของเขานั้น ‘ร้าย’ ถึงเพียงไหน...

          แต่เรณูหาได้หวั่นเกรง...หญิงสาวบอกกับเขาว่า ‘พร้อมรบ’ เพื่อความรัก เพื่อลูกในท้องที่กำลังจะลืมตาดูโลก ต่อให้ต้องบุกน้ำ ลุยไฟ เดินฝ่าดงหนาม เธอก็ไม่หวั่น

   “ไม่กลับ หนูไม่กลับ หนูจะอยู่ที่นี่...กับผัวของหนู”
   
   “หน้าด้าน”

   “พี่ใช้ บอกแม่พี่ไปซิ ว่า หนูท้อง...หนูท้องกับพี่เขาแล้ว จะกลับไปได้อย่างไร”

   “อะไรนะ...แกท้อง!”

   “ม้า ผมทำเรณูท้อง เรณูท้องได้ ๒ เดือนแล้ว”

   “ต๊าย! อีผู้หญิงใจง่าย อี...อี ดูซิ ดูแต่งเนื้อแต่งตัว...ถามจริง ๆ เถอะ แกทำงาน ทำการอะไร”

   “บอกแม่พี่ไปซิพี่ใช้” เรณูโยนกลองไปให้ปฐม...

   “เอ่อ...เรณูเขา...เอ่อ”

   “ไม่ต้องบอกก็รู้หรอกว่าสารรูปอย่างอีนี่ จะทำงานอะไรได้ แต่งเนื้อแต่งตัว แต่งหน้าทาปาก อย่างนี้ มันต้องเป็นกะหรี่แน่ ๆ”

   “กะหรี่” เรณูทวนคำนั้นเบา ๆ เบะปากเล็กน้อยเหมือนยอมรับความจริง...ความจริงที่น่าภาค ภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

   “ตี๋ใหญ่!”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกม้า”

   “ก็มันยอมรับ...แล้วนี่พามันมาจากที่ไหน.”

   “ตาคลี”

   “แน่ ๆ เลย อยู่ตาคลี ทำงานรับแขกอยู่ในบาร์แน่ ๆ”

   “รู้ เหมือนกันว่าอยู่ตาคลี ต้องทำงานรับแขกอยู่ในบาร์”

   “หยุดเถอะ” ปฐมหันมาหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างตน แต่เรณูหาได้หวั่นเกรงในน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมนั้นสักนิด

          ฝ่ายแม่ของเขาเองตอนนี้ก็หน้าแดง ดวงตาวามวับ จ้องมองหญิงสาวที่เกาะเขาอยู่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ...ดีแต่ ว่าเรณูยังคงสวมแว่นกันแดดปิดบังสายตา แม่จึงไม่เห็นแรงท้าทาย...

          “ผมขอตัวพาเรณูขึ้นห้องพักผ่อนก่อนนะม้า...ขึ้นรถไฟมาตั้งแต่เช้า เหนื่อย ร้อน อยากอาบน้ำ” เขารีบตัดบท...

          “ไม่ได้...แกจะให้มันอยู่ที่นี่ไม่ได้”

          เรณูเชิดหน้าขึ้น...

          “เขาเป็นเมียของผม เป็นแม่ของลูกผม ผมจะให้เขาไปอยู่ที่ไหนละม้า”

          “ไม่รู้...รู้แต่ว่า มันจะอยู่ร่วมชายคากับม้าไม่ได้”

          ปฐมยืนอึ้ง...สีหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจ ส่วนเรณูขยับตัวเดินไปหยิบจับสินค้าบนชั้น แล้วแสร้งอ่านฉลาก รอการตัดสินใจของปฐม...โดยใจนั้นหาได้หวาดหวั่นสักนิด...เพราะเธอมั่นใจว่าได้เตรียมการตั้งรับกับแม่ผัวคนนี้มาแล้วเป็นอย่างดี

          บุญปลูกที่จด ๆ จ้อง ๆ อยู่ รีบฉวยโอกาสทำลายความตึงเครียด...โดยการร้องบอกว่า “เถ้าแก่เนี้ย ป้ามอนแกจะกลับแล้ว ออกมาคิดเงินให้แกด้วย”

          เมื่อไม่สามารถไล่หญิงสาวที่ติดตามลูกชายมา ให้พ้นทางชีวิตไปได้ นางย้อยก็บอกกับลูกชายว่า...

          “ถ้าไม่รู้จะให้มันไปอยู่ที่ไหน ก็ให้มันไปอยู่ที่บ้านในตรอกโน่น”

          “แต่ว่าบ้านหลังนั้น มันเป็นบ้านร้าง”

          “ร้าง ก็ปัดกวาดเช็ดถู อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ จะไปอยู่ที่ไหนก็ไป...ไป พากันไปจากร้านนี้ได้แล้ว เกะกะขวางทางทำมาหากิน”

          สิ้นเสียงนางแม่ผัว...ลูกสะใภ้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หัวโล้น...แล้วเดินนำปฐม ออกไปที่หน้าร้าน...เขาคว้ากระเป๋าแล้วถามหากุญแจรั้ว กุญแจบ้าน... 
          นางย้อยเปิดลิ้นชัก หยิบกุญแจส่งไปให้แล้วถามว่า “แล้วนี่จะกลับเข้าค่ายเมื่อไหร่”

          “อีกห้าวันครับ”

          “เอามันกลับไปเข้าซ่องเข้าบาร์ที่มันเคยอยู่ด้วยนะ อย่าทิ้งไว้ให้เป็นเสนียดสายตาของม้า”

          “แต่”

          “แกอย่าลืมว่าแกมีคู่หมั้นคู่หมาย...ตอนนี้ ทางนั้น ยังไม่รู้เรื่องบัดสีนี้ เราต้องรีบแก้ปัญหากันเสียก่อน”

          “แต่เรณูท้องนะม้า”

          “ท้องได้ ก็แท้งได้...แล้วคนอย่างอีนี่ ม้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่เคยรีดเด็กออกจากท้อง”

          ปฐมถอนหายใจอย่างแรง...ส่ายหน้าเบา ๆ ...ครั้นพอจะขยับตัวก้าวขา...แม่ของเขาก็เอ่ยขึ้นว่า

          “เอามันไปไว้ที่บ้านนั้น ให้มันเก็บกวาดบ้าน แล้วแกก็กลับมาหาม้าด้วย เราต้องมีเรื่องคุยกันอีกยาว”

         ปฐมทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ  ก่อนจะหันหลัง  เดินไปหาเมียที่ยืนชะเง้อชะแง้ มองร้านรวงสองฟากถนนที่ขนานไปกับแม่น้ำน่าน ด้วยทีท่าสนใจเสียเต็มประดา

*************

          บ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูงโล่งในตรอก ห่างจากตลาดพอสมควร มีอาณาบริเวณพอให้ปลูก ต้นไม้ ดอกไม้ให้ความร่มรื่น...แม่ได้บ้านหลังนี้พร้อมที่ดินมาจากการรับ จำนอง  พอเจ้าของบ้านไม่สามารถส่งดอกเบี้ย ดอกเบี้ยก็ทบต้น สุดท้ายแม่จึงต้องยึดบ้านหลังนี้ไว้ หลังได้กรรมสิทธิ์ แม่ให้เจ้าของเดิมย้ายบ้านออกทันที ท่ามกลางเสียงแช่งชักหักกระดูก กล่าวหาว่าแม่หน้าเลือด ใจดำอำมหิต แต่แม่ก็หาได้สนใจ เสียงที่แว่วมาให้ได้ยิน...แม่เปรยว่า ‘กู ไม่ได้โกงใคร ก่อนที่จะเอาเงินไป ลูกหนี้ของกูทุกคน รู้อยู่แล้วว่าสัญญาเงินกู้นั้นมีข้อความว่าอย่างไร...เมื่อทุกคนเต็มใจเซ็นชื่อ เต็มใจแปะโป้ง ก็ต้องยอมรับผลกรรมที่จะตามมา’

          เบื้องต้นแม่ปล่อยให้ข้าราชการที่มาจากต่างถิ่นเช่าอาศัย พอข้าราชการคนนั้นย้ายไป บ้านหลังนี้จึงปล่อยร้าง หาคนเช่าไม่ได้...แม่ตั้งใจไว้ว่า หลังจากที่เขาปลดทหารในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะยกให้เป็นเรือนหอของเขา ซึ่งเป็นลูกชายคนโต กับ ‘พิไล’ ลูกสาวคนเล็กเถ้าแก่เจ้าของโรงสีคนตำบล     ทับกฤชที่เกิดจากเมียคนไทย เหมือนกับแม่ของเขาที่เป็นคนไทย ได้สามีเป็นลูกชายคนจีนโพ้นทะเล แต่เมื่อรูปการเป็นอย่างนี้เสียแล้ว...แผนแต่งงานกับลูกเศรษฐีมีเงินจึงต้องล่มไป...

          พอเห็นตัวบ้าน...ความหลังก็ผุดขึ้นมา...

          ‘พิไล’ ผู้หญิงไทยเชื้อสายจีนที่เขารู้สึกพอใจตั้งแต่ผู้ใหญ่แนะนำให้รู้จักกัน พิไลเป็นผู้หญิงตัวเล็ก มารยาทเรียบร้อย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันสบายตา ความรู้ของพิไลก็มีถึงชั้น มศ.๕  หญิงสาวถนัดค้าขาย เก่งเรื่องบัญชี เป็นหูเป็นตาเป็นมือเป็นเท้าให้กับเถ้าแก่ฮง เจ้าของโรงสีใหญ่ผู้พ่อ...และที่สำคัญฐานะทางบ้านของเจ้าหล่อนเหนือสาวอื่น ใดในตลาดทับกฤช...

          แต่ทำไม ทำไมเขาจึงได้หมดรัก หมดความพึงใจในตัวพิไล และปล่อยให้เรณูเข้ามาแทนที่จนเต็มหัวใจ

          เพราะถ้าเปรียบพิไลเป็นเพชร เรณูก็เป็นถ่าน...แต่เขาก็รักและสงสารเรณู ผู้หญิงมากตำหนิในสายตาของคนรอบ ๆ ตัว จนทิ้งขว้างไม่ลง

          “บ้านน่าอยู่จัง...แบบนี้คือบ้านในฝันของหนูเลยพี่” พอเห็นตัวบ้าน เรณูก็ยืนอยู่ข้างเขาก็ยิ้มฝัน...

          ตอนนี้หญิงสาวปลดแว่นกันแดดมาเหน็บไว้ที่คอเสื้อแล้ว...เขาจึงได้เห็นลูก นัยน์ตา เต้นระยิบระยับชวนให้สงสาร...

          เรณูบอกกับเขาว่า เธอเกิดในครอบครัวยากจนข้นแค้น มีพี่น้องนับทั้งตัวเธอด้วย มีจำนวนสิบคน...ความรู้ก็มีเพียงชั้นประถม ๔ บ้านของเธออยู่ตำบลเกรียงไกร อำเภอเมือง ระหว่างโดยสารรถไฟมาจากสถานีบ้านตาคลี มาที่สถานีชุมแสง ถึงบึงบอระเพ็ด เรณูยังชี้ไปยังทิศทางที่บ้านของตัวเองตั้งอยู่ให้เขามองตามปลายนิ้วไป นอกจากทำนาแล้ว ที่บ้านของเรณูก็ยังมีอาชีพทำประมง เพราะอยู่ติดกับบึงน้ำจืดขนาดใหญ่

          สงครามเวียดนาม ประเทศไทยเป็นมหามิตรกับประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว...กองบิน ๔ ตาคลีเป็นหนึ่งในฐานทัพที่กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการ เมื่อมีทหารผมสีทอง มีเงิน มีทอง คนไทยจึงต่างชักชวนกันมา‘ขุดทอง’ แม่ ของเธออยากร่ำรวยเหมือนคนอื่นบ้าง จึงบีบบังคับให้เธอนั่งรถไฟมาตาคลีกับคนในหมู่บ้าน  โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของเธอเลยสักนิด...

          พอ มาอยู่ตาคลี ครั้นจะมัวสนิมสร้อยเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสา   เธอก็ถูกสาวใหญ่ที่อยู่มาก่อนข่มเหง...เพื่อเอาตัวให้รอดปลอดภัยและอยู่ อย่างมีความสุข เธอจึงต้องสร้างเกราะคุ้มครองตัวเองให้แกร่งขึ้น  จนกลาย เป็นความกร้าน...อย่างที่คนทั่วไปมองเห็น เขาพบเธอครั้งแรก เขาไม่ได้รู้สึกหลงใหลอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน...

          แต่ พอได้รู้จักกัน ได้มีโอกาสพูดคุย ดื่มกิน และร่วมหลับนอนบ่อยครั้งเข้า เขากลับหลงใหลในจริตมารยาหญิง จนเพื่อน ๆ ในกองร้อย เย้าว่า ดูเหมือนเขานั้นหลงเรณู จนโงหัวไม่ขึ้น ประหนึ่งว่า ‘ถูกของ!’

          “บ้านหลังนี้ แม่ตั้งใจไว้ว่าจะยกให้เป็นเรือนหอของพี่กับ..”

          “อีพิไล” น้ำเสียงของเรณูกระด้างหูทันที

          “ทำไมต้องเรียกเค้าอีด้วย...เค้าไม่ได้ทำอะไรให้หนูซักหน่อย”

         อันที่จริง เรณูอายุมากกว่าปฐมถึงสามปี แต่ด้วยเป็นผู้หญิงที่สูงเพียงร้อยหกสิบต้นๆ และยังแต่งหน้าแต่งตัวด้วยแพรพรรณสีสันสดใส ประกอบกับอาชีพของตน ทำให้เรณูเอ่ยสรรพนามแทนตนว่า ‘หนู’ เรียกปฐมลูกพ่อจีนแม่ไทยว่า ‘พี่’ ได้อย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

          “ไม่รู้ ไม่อยากได้ยินพี่ใช้เอ่ยถึงมัน...หนูเกลียดมัน”

          “เกลียด ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเนี่ยนะ”

        ใจจริงเรณูอยากจะบอกว่า ‘ทำไมจะไม่เคยเห็นละ’ แต่ หญิงสาว ก็กลืนประโยคนั้นลงคอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า

          “ตอนนี้ พี่เป็นของหนู เรือนหอนี้ หนูเข้ามาครอบครองแล้ว ต่อไป พี่ห้ามเอาชื่อมันมาพูดในบ้านนี้อีกเด็ดขาด นะจ๊ะ”

          “ถ้าอย่างนั้น ก็เข้าไปทำความสะอาดบ้าน”

        เปิด ประตูบ้านแล้ว เรณูก็คว้าไม้กวาด ผ้าขี้ริ้วปัดกวาดเช็ดถูอย่างคล่องแคล่ว ไม่อิดออดอ้างว่าตนกำลังท้องไส้ เรณูจะบ่นก็เพียงว่า บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากแม่น้ำน่านพอสมควร...แต่ว่าเรณูก็บอกว่า เรื่องหาบน้ำจากแม่น้ำขึ้นมาใส่ตุ่มแกว่งสารส้มไว้ใช้สอยและดื่มกิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ

         หลังเห็นบ้านสะอาดเอี่ยม...เขาก็บอกกับเรณูว่า “เดี๋ยวพี่จะกลับไปที่ร้าน จะไปขนเครื่องนอนมา”

          “เครื่องครัวด้วยนะ สำรวจแล้ว ในครัวมีเตากับถ่านเท่านั้น น้ำมันก๊าดก็ไม่มี มีตะเกียงแค่สองลูก”

          “หิวอะไรไหม”

          “อยากกินขนมครก ซื้อมาด้วยนะ ถ้าไม่มีก็เอากุยช่ายทอด รีบไปรีบกลับล่ะ เอ๊ะ หรือจะไปด้วยดี จะได้ช่วยถือของกลับมา”

          “ไม่ ต้องหรอก...พี่มีเรื่องต้องคุยกับม้า แล้วอีกอย่างถ้าหนูไปด้วยกัน เดี๋ยวม้าอารมณ์เสียพาลไม่ได้ของอะไรติดมือกลับมาสักอย่าง เย็นนี้ถ้ายังไม่พร้อมหุงหาข้าวปลากิน เดี๋ยวพี่จะพาไปกินที่ตลาด...ที่ชุมแสงนี่ของกินเยอะแยะ”
 
***********

   หลังจากที่ลูกชายพา ‘อีเรณู’ ออกไป...นางย้อยที่นั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชี ก็ครุ่นคิดหาวิธี ‘กำจัด’  มารความสุขไปให้พ้นทาง...นางคิดวิธีชั่วช้าไว้หลายทางทีเดียว...แต่จะลงมือเลยยังไม่ได้...ทุกอย่างมันต้องรอเวลา

    “ม้า”

   “นั่ง”

   หลัง ลูกชายที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้า เสื้อคอกลมลายพรางทรุดตัวลง นั่ง...นางย้อยที่ยังมีหน้าตาบึ้งตึงก็หยิบปากกาทำบัญชีต่อ...

   “ม้า...ผม ขอขึ้นไปเอาพวกเครื่องนอนกับของใช้ในครัวไปไว้ที่บ้านหลังนั้นนะ” เมื่อเห็นว่าแม่แสร้งยุ่งทั้งที่มีเรื่องจะคุย เขาจึงต้องขัดจังหวะ...
         
   “นังนั่นท้องได้กี่เดือนแล้วนะ” มือเขียนไป ตาอยู่กับสมุด แต่ปากก็ถาม...ถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจ...
         
   “ประจำเดือดขาดมาสองเดือนแล้วม้า” เขาบอกย้ำอีกครั้ง...

             “แน่ใจรึว่าท้องกับแก” ประโยคนี้นางย้อยเงยหน้าขึ้นสบตาลูกชาย
         
   “แน่ใจ” เสียงของเขาไม่ดังนัก

             “ถ้าเด็กออกมาหัวแดง ตาสีน้ำข้าวเป็นลูกฝรั่งล่ะ แกจะทำอย่างไร ม้ากับเตี่ย และน้อง ๆ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แกคิดบ้างหรือเปล่า”
         
   “ลูกผมจริง ๆ ม้า...ตั้งแต่ยุ่งกับผม เขาก็ไม่ได้...เอ่อ”
         
   “ไม่ได้ให้ใครเช่า ไม่ได้รับแขกอีกเลย...แล้วนี่ มันไม่ได้เอาโรคภัยไข้เจ็บมาให้แกด้วยรึ”
         
   “ปกติดีม้า”
         
   “ม้าว่า ถ้าจะให้ดี แค่เดือนสองเดือน ทำแท้งเสียดีกว่า อย่าลืมนะ ว่าเรายังหมั้นอยู่กับพิไล”
         
   ปฐมถอนหายใจออกมา...สายตาเบนไปจับที่บันได...เพื่อให้แม่  หมดหวัง เขาจึงต้องบอกความจริงไปว่า

   “ก่อนจะกลับมาบ้าน ผมจดหมายไปบอกพิไลว่าผมคงแต่งงานกับเค้าไม่ได้แล้ว”
         
   “บอกไปแล้ว!... แก บ้ารึเปล่า!”
         
   “ผมรู้ว่าผมผิด ผมไม่อยากให้เค้ารอ...ทองหมั้นก็ยกให้เขาไปเลย เพราะเราเป็นฝ่ายผิด”
         
   พอได้ยินดังนั้น เลือดร้อนฉีดขึ้นหน้านางย้อย อารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นมาจนสุดจะกลั้นไว้

   “ไอ้ควาย...มึงนี่มัน...โอ๊ย กูอยากตาย...ทำไมถึงได้โง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนี้นะ...ไม่ กูจะไม่ยอมเสียทองหมั้นหีบนั้นไปอย่างเด็ดขาด”

   ลองได้ขึ้นเสียง ขึ้นมึง ขึ้นกูและด่าทอแบบนี้ ลูกชายรู้ว่าแม่โกรธ จริง ๆ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้...
         
   เขาเบือนหน้าหนีสายตาของแม่...ซึ่งจ้องเขาอยู่ และดูท่ากำลังคิดแก้ปัญหา...
         
   “เอาอย่างนี้...ไปตามอาซามาจากโรงสี ให้มันมาเฝ้าร้าน...แล้วแกไปช่วยงานเตี่ยแทนมันก่อน”

   นางย้อยมีลูกชายกับนายหลักเซ้ง แซ่แบ้ หรือ ‘เจ๊กเซ้ง’ ถึง สี่ คน...
         
   คนโต ชื่อจริง ปฐม มีชื่อเล่นเป็นภาษาจีนว่า ‘ใช้’ แปลว่า ‘โชคลาภ’
         
   คนที่สองซึ่งกำลังบวชพระทดแทนคุณมารดาบิดาอยู่นั้นชื่อ ประสงค์ มีชื่อเล่นว่า ‘ตง’ แปลว่า ‘กลาง’
         
   คนที่สาม ชื่อ กมล มีชื่อเล่นว่า ‘ซา’ ที่แปลว่า ‘สาม’
         
   คนที่สี่เรียนหนังสืออยู่ที่ปากน้ำโพ ชื่อ มงคล มีชื่อเล่นว่า ‘สี่’
         
   ลูกชายทั้งสี่คนนี่แหละ ที่เปลี่ยนสถานะของนางย้อย คน หนองนมวัว ลูกสาวชาวนา ให้เป็น ‘เถ้าแก่เนี้ย’ ในปัจจุบัน เพราะหลังจากที่นางย้อยคลอดปฐม ‘นางลิ้ม’ อาม่าหรือย่าของเจ๊กเซ้ง ก็มองหลานสะใภ้คนไทยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป...

          จากที่เคยดูแคลน รังแครังคัด ก็กลับมีเมตตา ยกย่อง จัดหาหยูกยามาบำรุงร่างกาย

          หลังคลอดลูกคนที่สอง จากที่ต้องอยู่บ้านหลังโรงสีที่ตลาดทับกฤช ช่วยเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ นางลิ้ม ก็ให้ ‘นายหลักไห้ แซ่แบ้’ และ ‘นางซกเพ้ง แซ่จึง’ ซึ่งเป็นพ่อแม่ของเจ๊กเซ้ง รับนางย้อยเข้ามาช่วยค้าขายอยู่ที่ร้านโชห่วยในตลาดปากน้ำโพ...

          ที่นั่น แม้จะเหนื่อยยากลำบากกาย ลำบากใจ ยิ่งกว่าตอนเลี้ยงหมู อยู่ทับกฤช แต่ที่นั่นก็ทำให้นางย้อยเรียนรู้วิธีการค้าขายอย่างมืออาชีพ...

          กระทั่งนางย้อยคลอดลูกคนที่สี่...หลังจากนางลิ้มถึงแก่กรรมไปแล้ว  นายหลักไห้ ก็ให้ทุนรอนบุตรชายคนเล็ก
พาครอบครัวขยับขยายมาเปิดร้าน โชห่วยอยู่ที่ตลาดชุมแสง...

          ที่นี่นางเป็นเจ้าของเต็มตัว นางจึงทุ่มเทแรงกาย เฟ้นสติปัญญาที่มี ทำทุกวิถีทางที่จะทำให้การค้าเจริญรุ่งเรือง ทรัพย์สินเพิ่มพูน...โดยนาง ตั้งใจไว้ว่าในบรรดาลูกสะใภ้ของนายหลักไห้ และนางซกเพ้งนั้น นางจะต้องขึ้นชื่อว่า เป็นคนเก่งที่สุด แม้ว่านางจะเป็นคนไทยแท้ก็ตามที...

          “ตามมันมาทำไม ผมเฝ้าแทนให้ก็ได้”

          “ม้าไม่ไว้ใจแก” นางย้อยบอกลูกชายตามตรง...

          “แล้วผมเคยยักยอกเงินม้าหรือเปล่า”

          “ตะก่อนอาจจะไม่เคย แต่ตอนนี้แกมีเมียเป็นกะหรี่ไปแล้ว...แกอาจจะเห็นเมียกะหรี่ดีกว่าพ่อแม่พี่ น้องก็ได้” นางย้อยจงใจ ‘กด’ เรณู ให้ ต่ำต้อย...กดดันให้ลูกชายทิ้งผู้หญิงไร้ค่าเสีย...เพราะถ้าไม่ได้แต่งกับ พิไลตามที่ได้ตั้งใจไว้ สะใภ้คนแรกของนางจะต้องดีกว่า ‘อีเรณู’ ปากแดงอย่างกับกินเลือดนกสด นั่น ...

          “ม้า”

          “ไป ไปตามไอ้ซามา เอาจักรยานไป” นางย้อยขึ้นเสียง

          “ให้บุญปลูกมันไปตามซิ...ผมจะขนเสื่อสาดหมอนมุ้งไปให้เรณูมัน”

          “อีปลูกมันยุ่ง วันนี้ไอ้ป้อมมันลา เมียมันคลอดลูก...แกนั่นแหละไป” ป้อมนั้นเป็นพี่ชายของบุญปลูก

          หลังลูกชายลุกขึ้นคว้าจักรยานที่จอดอยู่หน้าร้านไปโรงสีแล้ว   นางย้อยก็ปิดเก๊ะ ลั่นกุญแจ เดินไปหลังบ้าน ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า...โดยใจนั้นก็ครุ่นคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไปด้วย...

 **********************

           พอเห็นพี่ชายคนโตซึ่งเป็นทหารเกณฑ์อยู่ที่กองบิน ๔ ตาคลี  ถีบรถจักรยานเข้ามาในโรงสีข้าว...กมลที่นั่ง อยู่หลังโต๊ะบัญชีก็ละมือจากบัญชีตรงหน้า ยิ้มให้แล้วเอ่ยทักแข่งกับเสียง เครื่องจักรที่กำลังทำงาน โดยแต่ละจุดนั้นก็มีคนงานลูกหลานคนจีน คนไทย ยืนประจำการทำหน้าที่ของตน

   “ได้ข่าวว่าพาสาวกลับมาด้วย” ...

   “ใครบอก” หัวคิ้วของปฐมขมวดเข้าหากัน

   “เฮีย ก็รู้ว่าตลาดชุมแสงมันแคบจะตาย...แค่หย่อนขาลงรถไฟมา คนในตลาดก็รู้กันแล้วว่าใครมากับใคร...พอรถสามล้อเคลื่อนจากสถานีรถไฟ คนก็รู้กันทั้งตลาดแล้วว่า ใครจะไปหาใคร แล้วก็มาชุมแสงด้วยธุระอะไร” พูดหยอกพี่ชายคนโตพลางยิ้มขำ...แต่สีหน้าพี่ชายยังคงบึ้งตึง...กมลเห็นดัง นั้นจึงปรับเสียงให้เป็นปกติ

   “ม้า ว่าอย่างไรบ้าง”

   “เรื่องยาว...แกกลับไปเฝ้าร้านให้ม้าหน่อย ม้าจะไปไหนก็ไม่รู้”

   “แล้ว ทำไมม้าไม่ให้เฮียเฝ้าละ...ผมอยู่ในนี้ ตัวมีแต่เหงื่อ มีแต่ฝุ่นเกาะ...เหนอะหนะจะแย่แล้ว เข้าใกล้ใครได้ที่ไหน”
         
   “ก็รีบกลับไปอาบน้ำซิ...ไป ๆ รีบไป...ม้าอารมณ์ไม่ค่อยดี...ขืนชักช้าจะยิ่งไปกันใหญ่”
 
   พอ ลูกชายคนที่สามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ลงมานั่งเฝ้าร้านให้แล้ว นางย้อยก็รีบเดินออกจากร้าน โดยไม่ยอมตอบคำถามของลูกชายว่า กำลังจะไปไหน และจะกลับมาเมื่อไหร่...นางย้อยบอกกับลูกชายเพียงว่า

          “ดูแลร้านให้ดี อย่าให้ตั่วเฮียแกเฝ้าเก๊ะเด็ดขาด ตอนนี้ม้าไม่ไว้ใจมันหรอก”

          “ตั่วเฮียไม่เคยมีนิสัยยักยอกเงินทองนะม้า”

          “มันกล้าเอาเมียกะหรี่เข้าบ้าน ทำให้พ่อแม่ ทำให้น้อง ๆ ขายขี้หน้า มันก็ไม่ใช่ตั่วเฮียคนเดิมของแกแล้ว...ม้าไปละ”

          เดินมาถึงวัด นางย้อยก็พบว่า พระลูกชายนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาข้างรั้ว...แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น คนโลภมาก อยากได้ใคร่ดี อยากมีอยากเป็น โดยไม่นึกถึงจิตใจของคนอื่น แต่เรื่องเข้าพระเข้าเจ้า นางย้อยปฏิบัติได้อย่างไม่ขัดไม่เขิน...เมื่อพระลูกชายนั่งอยู่บนเก้าอี้... นางย้อยก็ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นไม้ยกสูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งศอกอย่างไม่ กลัวว่ากางเกงสีกรมท่า ที่ตนสวมอยู่จะเปรอะเปื้อน

          “มีเรื่องใหญ่แล้วพระ” นางย้อยเข้าเรื่องสำคัญทันที

          “เรื่องอะไรรึโยม” หลังจากบวชได้ครบพรรษา พระลูกชายก็ขออยู่ต่ออีกสักพัก ทั้งที่งานในโรงสีและที่ร้านค้าขาดคนช่วยงาน เพราะปฐม ติดทหาร แต่นางย้อยก็ไม่ได้รบเร้าให้พระลาสิกขามาช่วยกันทำมาหากินอย่างที่เจ๊กเซ้ง ผู้ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาต้องการ...นางเป็นคนไทย นางเชื่อว่า บุญกุศลจากการเกาะชายผ้าเหลืองของลูกชายนั้นเป็นบุญใหญ่...จะทำให้บาปกรรม ที่เผลอไผลทำลงไปเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ไม่ส่งผลยามเมื่อหลับตาลาละโลก...

          นางปรารถนาความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และสวรรค์ เช่นคนไทย   ทั่ว ๆ ไป...

          “ก็...ตั่วเฮียของพระนะซิ...พาเมียมาจากตาคลี...โยมเห็นสภาพแล้วพูดได้คำ เดียวว่า ของขึ้น” แล้วนางย้อยก็เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้าโดยไม่มีคำหยาบโลน แล้วก็สรุปลงที่ว่า “โยม...เห็นว่า ทางออกของปัญหานี้ก็พอมี เพราะจะว่าไปแล้ว พิไล เขาก็อายุน้อยกว่าพระ”

          พอได้ยินดังนั้น พระประสงค์ก็นิ่วหน้า...ท่านพอเดาใจโยมแม่ออก ที่ร้อนใจทิ้งร้านมาหาท่านที่วัด ทั้งที่เห็นหน้ากันตอนบิณฑบาตรอยู่ทุกเช้า โยมแม่ต้องการอะไร...ท่านถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับฟังความด้วยใจเต้นแรงขึ้น

          “นี่ เดี๋ยวโยมจะนั่งเรือหางยาวไปทับกฤชต่อ...โยมใจร้อน โยมรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว โยมก็เลยจะมาปรึกษาพระก่อน ว่าถ้าเปลี่ยนเจ้าบ่าว
จากตั่วเฮีย มาเป็นพระ พระจะยินดีไหม”

          ‘ควรจะยินดีไหม’ คำถามนี้วิ่งพล่านอยู่ในอารมณ์ของภิกษุหนุ่ม...และคำตอบที่ได้คือ ไม่ยินดี ไม่ปรารถนา...

          เพราะท่านมีหญิงสาวที่ท่านหมายตาแล้ว...แม้สาวเจ้าจะจนยาก แต่ก็ขยันหมั่นเพียร มีใจศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ตื่นแต่เช้ามา   ใส่บาตรให้ได้เห็นหน้าเกือบทุกวัน...พระประสงค์ตั้งใจไว้ว่า หลังคัดเลือกทหาร หากจับได้ใบดำ ท่านก็จะลาสิกขา...แล้วขอให้แม่ไปสู่ขอผู้หญิงคนที่ท่านพอตาพอใจมาสร้าง ชีวิตใหม่ด้วยกัน แม้ฐานะของเจ้าหล่อนจะสู้ พิไลว่าที่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ แม่ก็คงไม่ว่าอะไร เพราะพื้นของแม่นั้นก็ลูกคนไทยเคยทำนามาเหมือนกัน

          จะปฏิเสธอย่างไรดี... พิไลอายุมากกว่ากมล แล้วแม่เคยบอกไว้ว่า ลูกทุกคนของแม่จะต้องบวชพระ คัดเลือกทหาร และจะต้องแต่งงานโดยไม่ข้ามพี่ข้ามน้อง...

          “อาตมาคิดว่า โยมแม่อย่าเพิ่ง ให้อาตมา ตอบคำถามนี้เลยนะ มันเอ่อ เอ่อ มันตอบยาก”

          พอได้ยินดังนั้น นางย้อยนิ่งอึ้ง...ครุ่นคิดถึงเรื่อง ‘อาบัติ’ แต่ ด้วยเป็นคนตัดสินใจทำอะไรแล้วจะต้องทำอย่างรวดเร็วทำให้ได้ และ ทำจนสำเร็จ...นางย้อยจึง พูดเป็นนัยทิ้งท้ายไว้ว่า

“ถ้าอย่างนั้น โยมแม่ก็ขอตัวไปทับกฤชก่อน...ส่วนเรื่องอนาคต ท่านสึกแล้วก็ค่อยว่ากัน แต่ว่าท่านต้องระลึกไว้ด้วยว่า คนที่เห็นกรวดเป็นเพชร วันหน้ามันจะต้องเสียใจ เสียดายซะเอง...โยมขอตัวก่อนนะ”

******************



3
6 เทคนิควิ่งพิชิต 10 กิโลเมตรแรกสำหรับนักวิ่งมือใหม่ผ่านประสบการณ์ตรง


Writer : Sam Ponsan : 14 ธันวาคม 2561



นักวิ่งทุกคนมีเป้าหมายแรกที่อยากจะฝ่าไปให้ได้ทั้งนั้น และกำแพงแรกที่นักวิ่งหน้าใหม่อยากคือการทำลายกำแพง 10 กิโลเมตรแรกของตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะลุยระยะอื่นต่อไป และเทคนิคในการพิชิต 10 กิโลเมตรแรกให้ได้นั้นมีเรื่องใดบ้างที่เราควรจะต้องรู้ก่อน หรือเอาไว้สำหรับซ้อมเพื่อพาตัวเองไปให้ถึง 10 กิโลเมตรแรกให้ได้

นี่คือเคล็ดลับการวิ่งที่อยากจะบอก ถ้าพร้อมแล้ว ใส่รองเท้าวิ่ง แล้วพิชิต 10 กิโลเมตรแรกไปกับเรากันเถอะ เราเชื่อว่าทุกคนสามารถที่จะพิชิต 10 กิโลเมตรแรกได้แน่นอน ขอแค่ลองทำตามเทคนิคเหล่านี้ซึ่งทีมงาน MangoZero ทดลองมาแล้ว และมันได้ผล!

ฝึกเรื่องการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ



หากเราอยากจะพิชิต 10 กิโลเมตรให้ได้ อย่างแรกที่สุดเลยคือฝึกตื่นตอนเช้าให้ได้ก่อนจะไปฝึกวิ่ง เพราะพื้นฐานแรกที่สำคัญที่สุดของนักกีฬา หรือคนที่ชอบออกกำลังกายคือการพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยควรนอนเต็มอิ่ม 6 – 8 ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายมีแรง แล้วฝึกตื่นในตอนเช้าทุกวันจนร่างกายจดจำได้ว่า เวลานี้ควรจะต้องตื่น

การทดลองของเราเองด้วยการตื่นตอนเวลาระหว่าง 06.00 – 06.15 น. ทุกวันประมาณ 1 สัปดาห์ร่างกายจะเริ่มจำได้แล้วว่าเวลานี้คือเวลาที่จะต้องตื่น สำหรับบางคนอาจจะใช้เวลามากกว่านี้ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราได้ทำอะไรทุกวันอย่างสม่ำเสมอโดยเริ่มจากตื่นนอนนี่แหละ ตื่นให้เช้า แล้วเราค่อยออกไปวิ่งกันเพื่อความสดใสของร่างกายตลอดทั้งวัน

อย่าวิ่งทันที เดินก่อนแล้วค่อยวิ่ง



เราเป็นคนหนึ่งที่ผ่านมาราธอนระยะ 42.195 กิโลเมตรมาได้แล้ว ซึ่งวิ่ง 10 กิโลเมตรแรกนี่โคตรหมู แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เราเคยวิ่งแทบตายกว่าจะได้  2 กิโลเมตรแรกในชีวิต ดังนั้นคนที่เพิ่งเริ่มวิ่งไม่นาน อย่าเพิ่งฝืนวิ่งตั้งแต่วันแรกเพราะนอกจากจะไม่ได้ส่งผลดีแล้ว คุณจะวิ่งได้ไม่ไกลอย่างมากสุดไม่ถึง 1 กิโลฯ คุณก็จะท้อ แล้วล้มเลิกความตั้งใจไปดื้อ ๆ

วิธีการฝึกของเราก็คือเดิน…ใช่เดินก่อนแล้วค่อยออกวิ่ง การเดินก็เพื่อให้ร่างกายของเราคุ้นเคย และคุ้มชินกับจังหวะของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เลือดจะเริ่มสูบฉีด หัวใจเริ่มทำงานปั้มเลือดให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เดินไปเรื่อยๆ กำหนดระยะสัก 1 กิโลเมตรไปก่อน จนเมื่อร่างกายคุ้นชินกับการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จึงค่อยเริ่มวิ่งสลับกับการหยุดเดินไปเรื่อยๆ ซึ่งเราควรตั้งเป้าว่าวันนี้จะเดินเท่าไหร่ วิ่งเท่าไหร่ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป

คุมจังหวะของหัวใจและการหายใจ



ระหว่างการวิ่งสิ่งที่เราควรเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายตัวเองคือการหายใจ และจังหวะการเต้นของหัวใจ ยิ่งหัวใจเต้นแรงมากเท่าไหร่ นั่นแปลว่าหัวใจก็ทำงานหนัก เมื่อทำงานหนักเราก็จะเหนื่อยไว บางคนคิดว่าการที่หัวใจเต้นเร็วนั้นแสดงว่าต้องวิ่งเร็วใช่ไหม ไม่เสมอไป เพราะจะวิ่งช้าหรือวิ่งเร็ว โอกาสที่หัวใจจะเต้นเร็วก็มี ดังนั้นถ้าอยากให้หัวใจเต้นช้าเราต้องควบคุมจังหวะการวิ่ง และจังหวะการหายใจไปด้วยกัน

ลองนึกภาพตามว่าเราวิ่งช้ามากประมาณเพรซ 9 แต่หายใจอย่างเร็ว หัวใจก็ทำงานหนักอยู่ดี ดังนั้นการควบคุมการหายใจจึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ส่วนสูตรการหายใจของนักวิ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนใช้วิธีหายใจเข้าสั้นๆ 3 ครั้ง แล้วปล่อยออกยาวๆ ครั้งหนึ่ง ขณะที่บางคนหายใจเข้าสั้นๆ 2 ครั้งและหายใจออกสั้นๆ 2 ครั้ง สลับกันไป บางคนหายใจเข้ายาวๆ แล้วปล่อยออกยาวๆ

โดยสรุปคือการหายใจต้องสังเกตเอาเองว่าร่างกายเราวิ่งแล้วหายใจแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะหายใจแบบไหนก็ควรจะวิ่งไปในลักษณะยืดอก เพื่อให้ปอดขยาย หายใจได้เต็มปปอด เมื่อคุมการหายใจได้ การเต้นของหัวใจเราก็จะคุมได้ไปตามจังหวะเช่นกัน และยิ่งวิ่งไกลขึ้น แล้วเราคุมลมหายใจได้เราจะคุมความเหนื่อยได้น้อยลง โอกาสพิชิต 10 กิโลเมตรแรกก็จะมา

หาจังหวะการวิ่งที่เราสบายที่สุด



ช่วงแรกของการวิ่งเราจะรู้สึกว่าทุกย่างก้าวทำไมมันช่างไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย วิ่งแล้วอยู่สึกทำไมขาหนักจัง ทำไมวิ่งแล้วไม่เป็นธรรมชาติเลย ต้องวิ่งแบบไหนดีถึงจะเป็นธรรมชาติ เคยอ่านเจอมาว่าเอาปลายเท้าลงดีไหม เอ๊ะ! เอากลางเท้าลงดีไหม หรือ…เอาส้นเท้าลงไปเลย

อยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งไปซีเรียสกับท่าทางการวิ่งขนาดนั้น  หากจะหาท่าวิ่งที่เป็นธรรมชาติสำหรับเราที่สุด มีวิธีเดียวคือ…ออกไปวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ อย่าไปกังวลก้มมองเท้าว่าวิ่งถูกหรือยัง แต่เอาจิตใจไปอยู่กับการวิ่งของตัวเองดีกว่าว่าจังหวะการก้าวเท้าแบบไหนเป็นธรรมชาติ

นั่นแหละคือจังหวะการวิ่งที่เราสบายที่สุด หากถามว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไร ร่างกายจะบอกคุณเอง ถ้าวิ่งไปสักพักหนึ่งแล้วถ้ารู้สึกว่าร่างกายเราเริ่มเหนื่อยน้อยลง มือและขาวิ่งไปตามจังหวะ ความเร็วคงที่ ลมหายไปคุมได้ นั่นแหละคุณเจอแล้ว

ตั้งเป้าหมาย แล้วเพิ่มระยะให้ได้ตามเป้า



ไม่มีใครวิ่งได้ 10 กิโลเมตรแรกได้ตั้งแต่วันแรกหรือสัปดาห์แรกของการวิ่งแน่นอน ทุกอย่างต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้นย้อนกลับไปข้อที่ 2 ที่เราบอกว่าเดินก่อนแล้วค่อยวิ่ง ช่วงแรกเราค่อยๆ ฝึกเดินและวิ่งไปตามระยะที่เราพอไหว

จาก 1 กิโลฯ เป็น 2 กิโลฯ และเพิ่มไปเรื่อยๆ เมื่อร่างกายเราเริ่มชินกับการซ้อม อย่าเพิ่งรีบร้อนเพิ่มระยะทั้งที่ร่างกายยังไม่พร้อม แต่ให้ค่อยๆ ซ้อมแล้ววิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงระยะที่เราตั้งใจจะไปให้ถึงนั่นคือ 10 กิโลฯ

อย่าหยุดวิ่ง



อุปสรรคเดียวที่จะทำให้เราไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้ก็คือ ‘ตัวเราเอง’ ทุกครั้งที่เราวิ่ง สิ่งที่เราจะต้องต่อสู้อยู่ตลอดระยะเวลาที่กำลังวิ่งอยู่ก็คือการยอมแพ้แล้วหยุดไปเลย ซึ่งนี่คืออุปสรรคใหญ่ที่ทำให้เราไปไม่ถึงสักที ดังนั้นอย่าหยุดซ้อม ซ้อมให้มีวินัย อย่าหยุดวิ่ง แล้ว 10 กิโลเมตรจะมาถึง ตามด้วยระยะอื่นๆ ในอนาคตที่จะตามมา



4
5 วิธีรักษาอาการนอนกรน สำหรับคนที่กรนหนักมากจนคนข้างๆ ไล่ไปนอนห้องอื่น


Writer : Sam Ponsan : 11 มีนาคม 2562



อาการนอนกรนนั้นเป็นอาการผิดปกติของร่างกายที่ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง และเป็นปัญหาใหญ่ของชีวิตคู่ ซึ่งการนอนกรนนั้นไม่ใช่อาการที่จะปล่อยผ่านให้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ควรจะทำการรักษาให้หายขาดไปเลย เพราะการนอนกรนไม่เพียงแต่ทำให้คนข้างๆ รำคาญถึงขั้นไล่เราไปนอนห้อนอื่นอย่างเดียว แต่ยังเป็นอันตรายต่อคนที่กรนในระยะยาวด้วย เพราะการกรนทำให้เราอ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่พอหลับไม่สนิท ไปจนถึงเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ

แต่ก่อนจะไปถึงวิธีการรักษา เราจะพาไปรู้จักกับการนอนกรนก่อน ซึ่งแยกออกมาได้ 2 รูปแบบก่อน โดยการกรนในลักษณะต่างๆ มีดังนี้

กรนธรรมดา: อาการกรนที่เกิดขึ้นได้โดยทั่วไปคนที่เป็นจะไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่ทำให้คนข้างๆ รำคาญ

ภาวะก้ำกึ่งระหว่างกรนธรรมดาและกรนอันตราย หรือ กรนอันตราย ซึ่งทั้งสองอาการนี้ถือว่ามีความน่ากลัวมากเนื่องจากผู้ป่วยมีโอกาสสูงมากที่จะเกิด โรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด  หรือเกิดอาการหยุดหายใจระหว่างหลับโดยการจะรู้ว่าเราเป็นคนนอนกรนในลักษณะไหน วิธีที่ชัดเจนที่สุดคือการไปการตรวจการนอนหลับ  หรือใช้การส่องกล้องเข้าไปดูหลอดลม แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่รู้ตัวว่าตัวเองกรนจากเดิมที่ไม่เคยกรนมาก่อน หรือเพิ่งเริ่มต้นกรนได้ไม่นาน แล้วอยากจะลองรักษาด้วยตัวเองก่อนโดยไม่ผ่าตัด เรามีวิธีรักษาอาการกรนเบื้องต้นมาแนะนำ อยากรักษาตัวเองด้วยวิธีไหนเลือกเลย

ลดน้ำหนักให้อยู่ในจุดมาตรฐาน



สำหรับคนที่มีอาการกรนทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยกรนมาก่อนเลย หรืออาจจะกรนแต่น้อยมากๆ นั้นมีโอกาสสูงมากที่ต้นเหตุของการกรนจะมาจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าน้ำหนักของเราเพิ่มขึ้นจริงๆ จากดัชนีมวลกายรวมซึ่งสังเกตได้ชัดว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ แนะนำให้ลดน้ำหนัก โดยความอ้วนนั้นจะมีผลอย่างมากต่อระบบทางเดินหายใจ

เนื่องจากคนที่น้ำหนักเกินจะมีมีไขมันมาพอกรอบคอ หรือทางเดินหายใจส่วนบน เป็นเหตุให้ทางเดินหายใจส่วนบนแคบลงจนการหายใจทำได้ยาก ซึ่งวิธีแก้เบื้องต้นคือลดน้ำหนัก แล้วลดไขมันบริเวณดังกล่าวจะหายไปและอาการนอนกรนจะลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งถ้าลดลงน้ำหนักลงได้ 10% ของน้ำหนักที่เกินเกณฑ์ไป การนอนกรน รวมถึงอาการหยุดหายใจระหว่างนอนหลับจะลดลง 30%

มีวิธีคำนวณนำหนักสูงสุดของผู้ป่วยเพื่อดูว่าน้ำหนักเกินเกณฑ์หรือยังคือ [23 x (ส่วนสูงเป็นเมตร) x (ส่วนสูงเป็นเมตร)] = จะได้เท่ากับน้ำหนักมาตรฐานที่เราไม่ควรเกินไปกว่านี้

สมมติผู้เขียนสูง 175 เซ็นติเมตร เราก็ต้องคำนวณตามสูง  [ 23 x 1.75 x 1.75 ] = 70.43 กิโลกรัม นั่นคือน้ำหนักสูงสุดของเรา และไม่ควรเกินมากกว่านี้ถ้าไม่อยากนอนกรน

ออกกำลังกายเป็นประจำเฉลี่ย 4 ครั้งต่อสัปดาห์



คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอจะไม่ค่อยประสบปัญหาการนอนกรนเนื่องจากร่างกายมีความแข็งแรง รวมถึงระบบหายใจก็ดแข็งแรงกัน โดยการออกกำลังกายที่แนะนำให้คนที่นอนกรนทำคืือกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการหายใจ และออกแรงอย่างต่ออย่างน้อย 30 นาทีเพื่อที่จะได้บริหารกล้ามเนื้อส่วนคอหอยทำให้ทางเดินหายใจที่หย่อนหรืออุดตันลดลง

กีฬาที่แนะนำและสามารถทำได้เลยก็อย่างเช่น ฟุตบอล, วิ่ง, ว่ายน้ำ, เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน, แบดมินตัน และกีฬาอื่นๆ ที่ทำแล้วหายใจได้เร็วและถี่ อัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ย 120 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป (ต้องเต้นอย่างต่อเนื่อง) หากทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาการนอนกรนก็จะหายไปพร้อมกับได้ร่างกายที่ฟิตและเฟิร์มกลับมาได้ โดยความถี่ที่ควรทำเป็นประจำคือ 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์

ปรับท่านอน แก้การกรนได้ชั่วคราว



การนอนกรนมีสาเหตุหลักมาจากระบบทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบ เนื่องจากช่วงที่เรานอนหลับสนิทนั้น กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในช่องปากจะผ่อนคลายแล้วค่อยๆ หย่อนลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจ ซึ่งคนทั่วไปจะไม่มีปัญหาเนื่องจากไม่มีปัจจัยไปทำให้การหายใจระหว่างนอนติดขัด แต่คนที่มีภาวะนอนกรน การหายใจขณะนอนหลับจะไม่สามารถได้อย่างสะดวก แต่การปรับท่านอนถือเป็นวิธีที่ช่วยได้อย่างมาก โดยวิธีการปรับท่านอนให้ถูกต้องคือ

นอนบนหมอนที่ทำให้หัวสูงขึ้นเล็กน้อยและทำมุม 30 องศาจากแนวพื้นราบ เพื่อให้ช่องทางเดินหายใจมีช่องว่างในการหายใจให้อาการไหลผ่านอย่างสะดวก นอนตะแคง แล้วหนุนหมอนให้สูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากการนอนหงายทำให้ช่องทางเดินหายใจมีพื้นที่ให้อากาศเข้าไปได้อย่างสะดวก แต่การปรับท่าทางการนอนเป็นวิธีการแก้ที่ปลายเหตุมากๆ เพราะอาการนอนกรนไม่ได้หายไปอย่างถาวร เพียงแต่หายไปชั่วคราว วิธีปรับท่าการนอนเหมาะสำหรับคนที่เริ่มรักษาอาการนอนกรน แล้วใช้วิธีการปรับท่านอนเป็นตัวช่วยเสริมควบคู่ไปด้วยกันเท่านั้น

ใช้ยาพ่นจมูก ขยายทางเดินหายใจ



อีกหนึ่งวิธีการป้องกันแบบเร่งด่วนและชั่วคราวก็คือการใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกวันละครั้ง โดยการพ่นยาจะทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น ทำให้อาการกรนลดน้อยลง

ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกนั้นคือตัวลักษณะเดียวที่ใช้กับผู้ป่วยกลุ่มอาการภูมิแพ้ หรือป่วยโรคโพรงจมูกอักเสบ แต่อย่างไรก็ตามหากจะหายขาดจากการนอนกรน ผู้ป่วยต้องทำวิธีการอื่นควบคู่ตามไปด้วย และเมื่อหยุดกรนแล้วก็ควรที่จะหยุดยาพ่น

ใส่เครื่อง CPAP ระหว่างนอน เพื่อหยุดการกรน



การป้องกันการนอนกรนก็มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ช่วยลดหรือป้องกันการนอนกรนที่วางขายโดยทั่วไป ได้มาตรฐาน ป้องกันการนอนกรนและการหยุดหายใจขณะนอนหลับคือ ‘เครื่องเป่าลมในทางเดินหายใจส่วนบน’ (continuous positive airway pressure) อุปกรณ์นี้มีชื่อย่อว่า CPAP

วิธีการใช้งานของเครื่องนี้คือเวลานอนผู้ป่วยจะต้องสวมหน้ากากที่ต่อเข้ากับเครื่องเป่าลมแล้วสามารถนอนหลับไปได้เลย (แต่ในช่วงแรกที่ไม่ชินจะหลับยากสักนิดนึงสำหรับบางคน)

จากนั้นลมที่พัดอยู่ในหน้ากากจะเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนบน เพื่อที่จะทำหน้าที่ขยายทางเดินหายใจกว้างขึ้น ทำให้การหายใจไม่ติดขัดระหว่างนอนจึงทำให้ผู้ป่วยไม่มีอาการนอนกรน หรือหยุดหายใจระหว่างนอนกลับ

ปัจจุบันเครื่อง CPAP มีขนาดเล็กลง พกพาง่าย ราคาก็ถูกลงเริ่มที่ 19,000 บาทก็สามารถซื้อไว้ติดบ้านได้แล้ว ผู้ป่วยที่ใช้อุปกรณ์นี้มักเป็นผู้ป่วยที่น้ำหนักเกินกว่าจะแก้ไขเรื่องน้ำหนักในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงผผู้ป่วยที่เคยมีภาวะหยุดหายใจระหว่างนอนหลับมาก่อน



5
แจกไฟล์เสียงอ่าน ฤทธิ์มีดสั้น  by zeech

คราวนี้เอาใจแฟนๆ โกวเล้งกันหน่อย  ผลงานชิ้นเอกของท่านโกวเล้ง  ฤทธิ์มีดสั้น
ใครชื่นชอบลิ้คิมฮวง หรือยังไม่เคยอ่านเพราะขี้เกียจอ่าน ก็นี่เลยเอามาให้แล้ว
เป็นไฟล์เสียงอ่าน  คุณรัศมี มณีนิล เป็นผู้อ่าน แต่ด้วยน้ำเสียงและสำนวนในการอ่านจัดอยู่ในระดับมืออาชีพ
จึงทำให้ฟังแล้วไม่น่าเบื่อ  เหมาะสำหรับใส่ USB Drive แล้วฟังในรถแก้เบื่อการจราจรในบ้านเราได้อย่างดี

ที่มาของไฟล์
www.thaipbsonline.net

ตอนที่ 1-25





http://www.mediafire.com/file/2md6u66i212re8u/ฤทธิ์มีดสั้น+ตอนที่+1-25.rar



ตอนที่ 26-50





http://www.mediafire.com/file/015wtex7cciqkmn/ฤทธิ์มีดสั้น+ตอนที่+26-50.rar



ตอนที่ 51-75





http://www.mediafire.com/file/4rnem4hp67ahtdl/ฤทธิ์มีดสั้นตอนที่+51-75.rar


6
รวมผลงานทั้งหมดของท่าน กิมย้ง 15 เรื่อง  by zeech


รวมผลงานอันเกริกไกรทั้งหมด 15 เรื่อง ของกิมย้ง

ผมเป็นคนที่ชื่นชอบนิยายจีนกำลังภายในมาตั้งแต่วัยเด็ก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นผลงานของท่านกิมย้งด้วยแล้ว
ผมจะชื่นชอบเป็นพิเศษ  จึงได้คิดรวมเอาผลงานทั้งหมดของท่านมาลงไว้ในห้องนั่งเล่นนี้ เผื่อว่าจะยามว่างจากกระทู้อื่นๆ
จะได้มาหยิบอ่านกัน

Link ของ E-book ที่นำมาลงผมจะขอซ่อนไว้ เพราะต้องการทราบว่า เพื่อนสมาชิกในบอร์ดนี้
มีความสนใจต่อนวนิยายจีนกำลังภายในเป็นจำนวนเท่าใด  แต่หากว่าสามารถให้ความเห็น วิจารณ์ นิยายของกิมย้ง
ด้วยผมก็คิดว่าน่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนทีน่าจะสนุกนะครับ


เอาล่ะก่อนจะไปอ่านผลงานของท่าน  มาทราบประวัติของท่านกิมย้งคร่าวๆกันก่อน





กิมย้ง (Jin Yong) หรือ ดร.หลุยส์ ฉา หรือ จาเหลียงหยง เป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดัง
เจ้าของผลงาน มังกรหยกไตรภาค ,  8 เทพอสูรมังกรฟ้า, อุ้ยเสี่ยวป้อ และอีกมากมาย เป็นบุคคลที่ได้รับฉายาว่า
“เจ้ายุทธจักรกำลังภายใน” ผลงานของท่านหลายเรื่องอาจกล่าวได้ว่าเป็นงานเขียนที่อมตะ และถูกนำมาทำเป็นภาพยนต์
มากกว่านักเขียนท่านอืนๆ จนเคยมีคนเปรียบเปรยเอาไว้ว่า 100 ปี จะมี 1กิมย้ง คือใน100 ปีจะมีคนแบบกิมย้ง
เกิดขึ้นซักที


กิมย้ง เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1924 ที่อำเภอไฮ้เล้ง เขตไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง  แห่งภาคตะวันออกของจีน
เป็นบุตรคนที่ 2  บ้านของท่านมีฐานะค่อนข้างดี มีใจใฝ่อ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ ยังไม่ถึง 10 ชวบ ท่านอ่านทั้งหนังสือนิยายจีน
นิยายแปลต่างประเทศ มากมาย รวมทั้ง สุดยอดวรรณกรรมจีนทั้ง 4 อันได้แก่  ซ้องกั๋ง  สามก๊ก  ไซอิ๋ว และ ความรักในหอแดง
ซึ่งเป็นฐานสำคัญที่จุดประกายการเป็นนักเขียนนิยายของท่าน


การศึกษา

ค.ศ. 1929 ที่โรงเรียนเจียเซียง ไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง

ค.ศ. 1944 เข้าเรียนในภาควิชาภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยการเมืองแห่งรัฐบาลกลาง

ค.ศ. 1946 ได้ย้ายมาเรียนที่ภาควิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยตงอู๋แห่งเซี่ยงไฮ้ เอกกฎหมายระหว่างประเทศ

ค.ศ. 2005 ได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ ศึกษาปริญญาเอกในภาควิชาการศึกษาตะวันออก
เอกประวัติศาสตร์จีน ที่ เซนต์ จอห์น คอลเลจ มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์


ผลงานทั้งหมดของกิมย้งมีด้วยกัน 15 เรื่อง ได้แก่ [ต้องตอบก่อน จึงจะเห็นลิงค์]

1.จอมใจจอมยุทธ หรือ ตำนานอักษรกระบี่ -Book and Sword: Gratitude and Revenge (พ.ศ. 2498)




เป็นตำนานที่เล่าขานกันว่า พระจักรพรรดิ์เคี่ยนหลงฮ่องเต้ (เฉียนหลงฮ่องเต้) แห่งราชวงศ์ชิง มีสายเลือดจีน (ชาวฮั่น)
แสดงให้เห็นความขัดแย้งระหว่างอำนาจกับเชื้อชาตินิยม นิยายเรื่องนี้ทำให้กิมย้ง ติดอันดับในยุทธจักรนิยายกำลังภายในทันที
เป็นพื้นฐานความสำเร็จในเรื่องต่อ ๆ ไป


http://www.mediafire.com/file/37zls14523sj7vb/จอมใจจอมยุทธ์.zip




2.เพ็กฮวยเกี่ยม หรือ กระบี่เลือดเขียว - Sword Stained with Royal Blood (พ.ศ. 2499)




เป็นเรื่องราวของอดีตแมทัพผู้ขับไล่ทหารชิง ถูกใส่ร้ายจนโดนประหารชีวิต แล้วทิ้งลูกชายคนเดียวไว้แก่เสนาธิการทหารทั้งสี่เลี้ยง
ต่อมาเสนาธิการทหารได้หนีการตามล่า และฝากฝังอ้วงเซ็งจี่ไว้กับปรจารย์บนเขาหัวซาน เด็กคนนั้นโตขึ้นมาได้ฝึกวิชาท่องไปทั่วยุทธภพ
เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับพ่อจนได้ไปพบกระบี่งูทองของ เทพบุตรงูทอง โดยบังเอิญ ทำให้ฝีมือนั้นเก่งกาจขึ้นมาก


http://www.mediafire.com/file/d9lcddrs93dyq4c/กระบี่เลือดเขียว+เพ็กฮ้วยเกี่ยม.rar
 



3.มังกรหยก ภาค 1 - The Legend of the Condor Heroes (พ.ศ. 2500)




เป็นยุทธจักรนิยายสำคัญยิ่งเรื่องหนึ่ง ของ กิมย้ง เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วทุกมุมโลกที่มีคนจีน มีคนกล่าวถึงมากที่สุด
นับตั้งแต่เรื่องนี้เป็นต้นไปนิยายของกิมย้งได้รับการยกย่องว่าเป็นงานชั้นครู เรื่องนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของกิมย้ง

กิมย้งนำเสนอความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธ์ เป็นแก่นเรื่องหลัก ส่วนแก่นเรื่องรอง คือ ความรักชาติ (จีน) การแก้แค้น (ของก๊วยเจ๋ง)
ตัวละครทุกตัวค่อนข้างเป็นแบบฉบับ ในแนวจินตนิยม เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ต้วละครทุกตัวแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของผู้อ่านมากที่สุด
นับแต่ ภูตบูรพา อึ้งเอี๊ยะซือ, พิษประจิม อ้าวเอี้ยงฮง, ยาจกอุดร อั้งชิดกง, ราชันทักษิณ อิดเต็งไต้ซือ,  เฒ่าทารก จิวแป๊ะทง ฯลฯ


http://www.mediafire.com/file/qc1500wt7cqyfc4/มังกรหยก+ภาค+1.rar
 



4.จิ้งจอกภูเขาหิมะ - Flying Fox of Snowy Mountain (พ.ศ. 2502)




เป็นนิยายกำลังภายในของกิมย้งจัดเป็นเรื่องสั้นที่เขียนได้ดีที่สุดและโดดเด่นที่สุดของยุทธจักรนิยาย โดยวิธีการดำเนินแบบเล่าเรื่อง
มาตรแม้นว่าเป็นเรื่องราวเดียวกันแต่เมื่อกล่าวจากปากแต่ละคนกลับผิดแผกแตกต่าง  ตลอดทั้งเนื้อเรื่องกล่าวถึงปริศนาลี้ลับมากมาย
ใช้วิธีการผูกเรื่องคล้ายกับการสืบสวนคดีแบบปากต่อปากจากนั้นนำเรื่องราวทั้งหมดมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันจนได้ปรากฏข้อเท็จจริง
ในด้านของเนื้อหาแม้ไม่นับว่าเลิศพบจบแผ่นดินดุจดั่งสามไตรภาคมังกรหยก แปดเทพอสูรมังกรฟ้า และกระบี่เย้ยยุทธจักร
แต่นับว่าสามารถสะท้อนนิสัยใจคอพื้นเพของมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งโดยผ่านการกล่าววาจาซึ่งสะท้อนลักษณะนิสัย
และความคิดของมนุษย์


http://www.mediafire.com/file/jjxvgmd3co139j0/จิ้งจอกภูเขาหิมะ.rar
 



5.มังกรหยก ภาค 2 - The Return of the Condor Heroes (พ.ศ. 2502)




เป็นเนื้อเรื่องต่อจาก มังกรหยกภาค 1 (ก๊วยเจ๋ง กับ อึ้งย้ง เป็นตัวเอก) เรื่องนี้ฝีมือของกิมย้งพัฒนาขึ้นถึงชั้นครูที่หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก
ตัวละครพัฒนาจากความสลักเสลาเกินจริงไปสู่ความสมจริงสมจังอย่างยิ่ง กลวิธีการแต่งมีการวางโครงเรื่องซับซ้อนกว่าภาคแรก
มีโครงเรื่องย่อยซ้อน และแทรกอยู่มาก เข้ามาช่วยเสริมโครงเรื่องใหญ่ได้อย่างลงตัว และ ใช้วิธีการเล่าเรื่องย้อนไปย้อนมาได้อย่างสนุกสนาน
น่าสนใจ ทำให้สามารถตามเรื่องได้ง่ายไม่สับสน ตัวละครแม้จะมีมาก แต่ก็มีความเด่นไม่แพ้กัน ซึ่งมีทั้งที่ปรากฏตัวมาแล้วจากในภาคแรก
หรือ ปูพื้นเอาไว้ก็มี บทสรุปมาในภาคนี้เช่นเรื่อง ของ ความสัมพันธ์ ระหว่าง จิวแป๊ะทง เอ็งโกว อิดเต็งไต้ซือ และ หลวงจีนชื้ออิม (คิ้วโชยยิ่ม)
บางตัวละครอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ยังถูกนำมากล่าวถึง เช่น เรื่องราวของเฮ้งเต็งเอี้ยง และ ลิ้มเฉียวเอ็ง ส่วนตัวละครที่มีเปิดตัวในภาคนี้
ต่างก็มีความเด่นไม่แพ้กัน โครงเรื่องย่อยเหล่านี้ประสานสัมพันธ์กับโครงเรื่องใหญ่อย่างเหมาะสม ใช้ศิลปะการเล่าย้อนได้อย่างสนุกสนานน่าสนใจ
กิมย้งเองเคยกล่าวเอาไว้ว่า ท่านมีความรู้สึกผูกผันกับตัวละครในเรื่องนี้มาก เหตุที่แต่งให้เซียวเหล่งนึ่งได้กลับมาพบกับเอี้ยก้วยอีกครั้ง
ก็เนื่องเพราะเหตุที่ว่าท่านมีความรู้สึกสงสารตัวละครสองตัวนี้นั่นเอง


http://www.mediafire.com/file/yvuyxcwc7qufe6b/อินทรีย์เจ้ายุทธจักร+%5Bมังกรหยก+2%5D.rar
 




6.จิ้งจอกอหังการ - The Young Flying Fox (พ.ศ. 2503)




เป็นภาคต่อของ จิ้งจอกภูเขาหิมะ เขียนทีหลังแต่จับเนื้อเรื่องช่วงก่อนหน้า ความยาว 2 เล่มจบ จิ้งจอกภูเขาหิมะ เป็นช่วงที่พระเอก "โอ้วฮุย" อายุ 27 ปี
และย้อนไปช่วงที่โอ้วฮุยเพิ่งเกิดใหม่ๆ  ส่วนจิ้งจอกอหังการ จับช่วงที่โอ้วฮุยยังเด็กๆ 7-8 ขวบ และมาอีกทีช่วงวัยรุ่น 17-18 ได้ พูดง่ายๆ คือเล่าการเติบโต
ของโอ้วฮุยนั่นเอง

 
http://www.mediafire.com/file/cq3h1if354fe932/จิ้งจอกอหังการ.rar




7.เทพธิดาม้าขาว - Swordswoman Riding West on White Horse (พ.ศ. 2504)




ในอดีตนานมาแล้ว เกิดความปั่นป่วนขึ้นในยุทธภพ เพราะแผนที่ปราสาทฮาปูมี ซึ่งซ่อนสมบัติมูลค่ามหาศาลได้ปรากฏขึ้น ข่าวคราวของแผนที่ได้แพร่สะพัด
ภายในยุทธภพจึงเกิดการหลั่งโลหิตขึ้น  ในที่สุดแผนที่นี้ ก็ได้ตกมาอยู่ในมือของ หลีซา ฉายา ม้าขาว และภรรยา นาม ซาเนี้ยจื้อ ฉายา กระบี่เล็กทองเงิน
ซึ่งถูกไล่ล่าจนมาถึงทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ที่แห่งนี้เองที่ทั้งคู่ ได้ทอดร่างกลายเป็นศพ เหลือรอดเพียงบุตรสาวของพวกเขา นาม หลีบุ๋นซิ่ว
หลีบุ๋นซิ่วอาศัยพาหนะของมารดา ซึ่งก็คือม้าสีขาว หลบหนีไปถึงที่ตั้งของชนเผ่าชาวซาฮัค อาศัยอยู่กับชายชราแซ่โก้ย พวกชาวยุทธ์ที่ไล่ล่า ก็มาปล้นสะดมเผ่าซาฮัค
จึงทำให้เผ่านี้เกลียดชังชาวฮั่น  หลีบุ๋นซิ่วได้หลงรักซูปูบุตรชายของซูรูคนักรบอันดับหนึ่งของซาฮัค แต่ไม่อาจสมหวังด้วยกันได้ ซูปูจึงแต่งงานกับอามาน
ส่วนหลีบุ๋นซิ่วก็โดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง แผนที่สมบัติที่ล้ำค่า และ ความรักที่ไม่อาจสมหวัง หลีบุ๋นซิ่วจะสามารถผ่านไปได้หรือไม่ต้องติดตามเอาเอง


http://www.mediafire.com/file/xwd1s1algaphkad/เทพธิดาม้าขาว.rar




8.ดาบนกเป็ดน้ำ หรือ อวงเอียตอ -  Blade-dance of the Two Lovers (พ.ศ. 2504)




เรื่องดาบนกเป็ดน้ำเกิดขึ้น ในสมัยราชวงศ์ชิง สำนักคุ้มกันภัย ดาบนกเป็ดน้ำสองด้ามที่เป็นคู่กัน มีค่าล้ำ ไปยัง นครต้องห้าม
ระหว่างการเดินทางมีกลุ่มโจรเข้ามาแย่งชิง เนื่องจากมีข่าวล่ำลือว่า ดาบคู่นี้มีความลับวิชาไร้เทียมทานซ่อนอยู่
เรื่องนี้กิมย้งเขียนในแนวล้อเลียน ขบขัน ล้อเลียนความไร้สาระของผู้คน ที่ค้นหา แย่งชิงความลับยิ่งใหญ่
ที่จะส่งให้ผู้นั้นเลิศเลอไร้เทียมทาน ความลับนั้นคืออะไร เหตุใดพฤติกรรมเหล่านั้นจึงไร้สาระถึงเพียงนี้ ต้องติดตาม


http://www.mediafire.com/file/wgd6er7fs8rd2mz/ดาบอวงเอียตอ+%5Bดาบนกเป็ดน้ำ%5D.rar




9.มังกรหยก ภาค 3 (ดาบมังกรหยก) Heaven Sword and Dragon Sabre (พ.ศ. 2504)




ระยะเวลาถัดจากมังกรหยก ภาค 2 สามถึงสี่ชั่วอายุคน เกี่ยวกับการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในยุทธภพของสำนักง้อไบ๊ และสำนักบู๊ตึ้ง ตัวเอก เตียบ่อกี้
 (บุตรชายเพียงคนเดียวของ จอมยุทธ์ที่ห้า แห่งสำนักบู๊ตึ้ง เตียชุ่ยซัว และ บุตรีของจ้าวอินทรีคิ้วขาว แห่งพรรคมาร ฮึงซู่ซู่) ซึ่งเป็นลูกหลานในบู๊ตึ้ง
ต้องผจญภัยมากมาย และสุดท้ายได้เป็นประมุขนิกายเม้งก่า (บางสำนวนใช้ พรรคจรัสหรือพรรครุ่งเรือง) ซึ่งมีบทบาทในการกอบกู้ประเทศจากมองโกล
โดยนางเอกในภาคนี้ชื่อหมิ่นหมิ่น (เตี๋ยเมี่ยง) เป็นลูกสาวของอ๋องมองโกล


http://www.mediafire.com/file/pnhvhuzncvmk2nt/ดาบมังกรหยก+%5Bมังกรหยก+3%5D.rar





10.กระบี่ใจพิสุทธิ์ - A Deadly Secret (พ.ศ. 2506)




 เป็นนิยายขนาดกลางของกิมย้ง เรื่องนี้แสดงถึงความเลวร้ายสารพัดอย่างของมนุษย์ อาจารย์ แกล้งบอกเคล็ดวิชาผิดๆให้ศิษย์
บิดาฆ่าลูกสาวเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ตลอดจนความเลวร้ายอีกนานัปการ

จอมยุทธในเรื่องนี้เมื่อมีความตายมาเยือนก็หวาดกลัวคิดเอาตัวรอด บางคนกล้าทำความชั่วเพียงเพื่อให้ตัวมีชีวิตรอด
การกลัวตายเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ทุกคน กิมย้ง ชี้ให้เห็นว่า คนยิ่งสูงใหญ่เท่าใด ก็ยิ่งรักตัวกลัวตายและพลัดพรากจากสิ่งที่รักมากขึ้นเท่านั้น


http://www.mediafire.com/file/yizfxnyzf2lqgti/กระบี่ใจพิสุทธิ์.rar




11.แปดเทพอสูรมังกรฟ้า - Semi-Gods and Semi-Devils (พ.ศ. 2506-2509)




เป็นผลงานลำดับที่ 11 ของกิมย้ง นับตั้งแต่ชื่อเรื่อง และที่มาของแรงบันดาลใจ แสดงความใฝ่ใจในพุทธศาสนาของเขา
ชื่อภาษาจีน "เทียนหลงปาปู้" หมายถึง เทพและอมนุษย์ 8 จำพวก ในตำนานของพุทธศาสนานิกายมหายาน
กิมย้งเขียนเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าในปี พ.ศ. 2506-2510 และปรับปรุงพิมพ์เป็นเล่มในปี พ.ศ. 2521

ฉบับภาษาไทย จำลอง พิศนาคะ แปลสำนวนแรกในปี พ.ศ. 2522 ใช้ชื่อว่า "มังกรหยกภาคพิเศษ" แต่เนื้อหาและเหตุการณ์ตามท้องเรื่อง
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมังกรหยกทั้ง 3 ภาคเลย ฉากหลังเป็นประวัติศาสตร์ช่วงก่อนมังกรหยกภาคแรกประมาณ 100 ปี
เป็นเรื่องราวในช่วงระหว่างการปกครองของราชวงศ์ซ่งที่กำลังเป็นศัตรูกับมองโกล เฉียวฟงประมุขหนุ่มแห่งพรรคยาจก 
สุดยอดจอมยุทธ์ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมผู้เป็นที่ศรัทธา ของเหล่าชาวยุทธ์ ถูกเหล่าคนชั่วนำเรื่องชาติกำเนิดของตนมาเปิดเผย
และยังถูกดดันให้สละตำแหน่งประมุขเฉียวฟงจึงออกจากพรรคยาจก พยายามสืบหาประวัติที่แท้จริงของเขา
ระหว่างเดินทางได้รู้จักกับต้วนอี้ องค์ชายแห่งเมืองต้าหลี่ และหลวงจีนซีจุ๊  ทั้งสามได้สาบานเป็นพี่น้องกัน
ตลอดเวลาเฉียวฟงถูกกลั่นแกล้งจนท้อแท้และพลั้งมือสังหารอาจู  หญิงที่เขารักตายไปอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้เขาต้องโศกเศร้าเสียใจ
และยังต้องระงับศึกระหว่างเมืองเหลียวบ้านเกิด และเมืองซ่ง แผ่นดินที่เขาเติบโตมา ท้ายที่สุดกลับต้องตัดสินใจ
ทำอะไรบางอย่างเพื่อยุติสงคราม

แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ถูกแฟนๆของกิมย้งจัดอันดับให้เป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาผลงานทั้งหมดของกิมย้ง  จะจริงหรือไม่คงต้องลองด้วยตัวท่านเอง


http://www.mediafire.com/file/ymosv9x6h2qe4sb/8+เทพอสูรมังกรฟ้า.rar
 




12.มังกรทลายฟ้า - Ode to Gallantry (พ.ศ. 2509-2510)




มีบางคนกล่าวไว้ว่า “มังกรทลายฟ้า” ภายใต้การรจนาตัวอักษรของ “กิมย้ง” เปรียบได้เพียงเรื่องคั่นเวลาระหว่างการพักผ่อน
หลังจากผลงานอันยิ่งใหญ่ “8 เทพอสูรมังกรฟ้า” ที่ได้รับการกล่าวขานเป็นหนึ่งในสามสุดยอดของกิมย้ง อันประกอบด้วยอีกสองเรื่อง
คือ “มังกรหยก” และ “กระบี่เย้ยยุทธจักร” เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มยากไร้ไม่รู้หนังสือ ที่บังเอิญชีวิตผกผันไปพัวพันอยู่กับวังวน
ความวุ่นวายในบู๊ลิ้ม จนนำพาตัวเองเข้าสู่แวดวงยุทธจักร และพบกับเรื่องราวปาฏิหาริย์นับไม่ถ้วน จนในที่สุดสำเร็จเป็นยอดยุทธ

ซึ่งคงต้องพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองเช่นกันว่า มังกรทลายฟ้านี้ เป็นเพียงผลงานคั่นเวลาจริงหรือไม่  แต่สำหรับผมแล้วขอตอบอย่างหนักแน่นว่า ท่านไม่ควรพลาด


http://www.mediafire.com/file/grrqtyan62b5t1l/มังกรทลายฟ้า.rar




13.กระบี่เย้ยยุทธจักร - The Smiling, Proud Wanderer (พ.ศ. 2510-2512)




กระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นเรื่องราวการแย่งชิงความเป็นหนึ่งในยุทธจักร ระหว่าง ธรรมะ และ อธรรม ท่ามกลางความขัดแย้งและการแย่งชิงอันรุนแรง
เหล้งฮู้ชง จอมยุทธฝ่ายธรรมะ ศิษย์เอกของสำนักหัวซาน เป็นคนเปิดเผย ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ คบหาคนด้วยใจ ไม่สนว่าจะเป็นคนฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรม
จนถูกขับออกจากสำนัก แต่ยังไม่พ้นเข้าไปพัวพันเหตุความขัดแย้งต่างๆ ทั้งการชิงความเป็นใหญ่ภายในของฝ่ายธรรมะ และการชิงความเป็นใหญ่
ภายในของฝ่ายอธรรม จนสับสนวุ่นวายว่าใครกันแน่ที่เป็นมาร ใครกันที่เป็นฝ่ายอธรรม และใครที่เป็นฝ่ายธรรมะ เพียงต้องการที่จะเป็นที่หนึ่ง ไม่เลือกวิธีการ
งักปุ๊กคุ้ง เจ้าสำนักหัวซาน ผู้ได้ฉายาว่ากระบี่ผู้ดี ถึงกับทรยศครอบครัว และศิษย์ของตัวเอง จ้อแหน้เซี้ยง เจ้าสำนักซงซาน กำจัดทุกคนที่ไม่คล้อยตามตนเอง
ก็เพียงต้องการได้ชื่อว่า เป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ

นวนิยายเรื่องนี้ เป็นนวนิยายที่ล้วนแฝงไว้ด้วย แนวคิดปรัชญาการดำรงชีวิต อีกทั้งยังมีการเสียดสีสังคมอยู่ตลอด แต่ก็หาได้ขาดอรรถรส
ของนวนิยายกำลังภายในไปแต่อย่างใด
ในขณะที่เรื่องดำเนินไป จะเกิดคำถามขึ้นตลอดเวลา ถึงเรื่องของความถูกผิดในพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัว ตัวละครฝ่ายธรรมะ
หรือตัวละครฝ่ายอธรรม ต่างมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง โดยมีตัวละคร เหล้งฮู้ชง เป็นตัวดำเนินเรื่อง และเป็นตัวเปรียบเทียบ
ว่าความสุขของชีวิตที่แท้จริงนั้น อยู่ที่ไหนกันแน่

นี่คือ หนึ่งในสามสุดยอดผลงานของกิมย้ง ที่ท่านไม่สมควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


http://www.mediafire.com/file/bkybxqka4scgsyg/กระบี่เย้ยยุทธจักร.rar




14.กระบี่นางพญา - Sword of the Yue Maiden (พ.ศ. 2513)




กระบี่นางพญา เป็น นิยายขนาดสั้นเรื่องสุดท้ายของ กิมย้ง เขียนทีหลังอุ้ยเสี่ยวป้อ แต่เมื่อกิมย้งเขียนเรื่องนี้จบ   อุ้ยเสี่ยวป้อยังไม่จบ
เป็นเรื่องราวใน ยุคชุนชิว ประมาณก่อนพุทธศักราช 228 - พ.ศ. 67 อันเป็นยุคที่นักปราชญ์บัณฑิตแต่ละสาขาได้ถือกำเนิดและมีชีวิตอยู่
ได้แก่ ขงจื๊อ เล่าจื๊อ เม่งจื๊อ ม่อจื๊อ ซุนวู

เรื่องนี้ดำเนินบนความขัดแย้ง ระหว่าง แคว้นอ้วก (รัฐเยว่) และ แคว้นโง้ว (รัฐอู๋) ในภาคใต้ของ ประเทศจีน  แคว้นโง้วส่งมือดาบมาท้าทายแคว้นอ้วก   
ฮ่วมลี่ (ฟ่านหลี) กุนซือแคว้นอ้วกค้นพบ อาแช  มือกระบี่สาวโดยบังเอิญ อาแชนั้นเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาที่มีอาชีพเลี้ยงแพะ ทุกวันได้แต่ฝึกกระบี่กับลิง
เนื่องจากไม่มีทุนทรัพย์ที่จะหาซื้อกระบี่จริงมาใช้ เมื่ออาแชต่อสู้กับลิงไปเรื่อยๆ จนมีฝีมืกระบี่ที่แก่กล้า  อาแชได้สอนเพลงกระบี่แก่นักรบ แคว้นอ้วก (เย่ว์)   
ในที่สุด แคว้นอ้วก เอาชนะ แคว้นโง้ว (อู๋) ได้ง่ายดาย

ตอนที่แสดงความเป็นสุดยอดฝีมือของอาแชได้เป็นอย่างดี คือ ตอนที่อาแชบุกฝ่ากองทัพแคว้นเวียดเข้าไปหมายสังหารไซซี
เนื่องจากถูกไซซีแย่งชายอันเป็นที่รักไป แต่เมื่ออาแชบุกฝ่าไปถึงตัวไซซีได้ อาแชกลับถูกอานุภาพความงามของนางหยุดยั้งสภาวกระบี่ลง
ทำให้ไม่สามารถสังหารไซซีได้ตามใจปรารถนาแต่แรก และด้วยความแรงของกระบี่นั้นของอาแชได้ฝากรอยแผลไว้ที่หัวใจของไซซี
ทำให้ไซซีต้องกุมหัวใจตลอดเวลา เกิดเป็นภาพ ไซซีกุมหัวใจ อันงดงามที่สุดบนพื้นพิภพ

จุดที่แสดงความเป็นสุดยอดฝีมือของอาแชได้ดีที่สุดคือการที่อาแชบุกฝ่าเข้าไปในกองทัพแคว้นเวียดด้วยไม้ไผ่เพียงกิ่งเดียว
และที่สำคัญนางได้กลับออกมาด้วยอาการไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ยากที่จะหายอดฝีมือในเรื่องใดของกิมย้งเทียบเคียง
ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้อาแชได้ฉายา หนึ่งเดียวสยบกองทัพ และชื่อเพลงกระบี่ของนางก็มีชื่อว่า เพลงกระบี่แคว้นเวียด


http://www.mediafire.com/file/oxf6j2nmpfbb7lt/กระบี่นางพญา.rar




15.อุ้ยเสี่ยวป้อ - Deer and the Cauldron (พ.ศ. 2512-2515)




เป็นนิยายเรื่องสุดท้ายของ กิมย้ง  และถือเป็นสุดยอดพัฒนาการทางการประพันธ์ แสดงให้เห็นถึงฝีมือกิมย้งว่า " ไม่มีใครเป็นคู่แข่งได้ "
ความเป็นยอดของเรื่องนี้อยู่ที่เป็นนิยายกำลังภายในที่ไม่ใช่นิยายกำลังภายใน นิยายกำลังภายในโดยทั่วไปมีขนบในการแต่งที่เห็นได้ง่าย
อยู่สองประการคือ ตัวเอกต้องเป็นจอมยุทธหรืออย่างน้อยต้องมีวิทยายุทธ และตัวเอกต้องเป็นคนดีในแง่ของคุณธรรม

แต่อุ้ยเสี่ยวป้อในเรื่องนี้มีลักษณะตรงข้ามกับขนบดังกล่าวทุกประการ ลักษณะดังกล่าวไม่เคยปรากฏในนิยายกำลังภายในเรื่องใดมาก่อน
และคงไม่มีเรื่องอื่นอีกต่อไป

เรื่องนี้กิมย้งหันกลับไปใช้ประวัติศาสตร์จีนสมัยจักรพรรดิคังซี แห่ง ราชวงศ์ชิง มีส่วนสะท้อนการเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่
หลังปฏิวัติวัฒนธรรมอยู่ไม่น้อย แต่ความเด่นอยู่ที่สะท้อนธรรมชาติวิสัยมนุษย์ในสังคมปัจจุบันที่ต้องลดมาตรฐานศีลธรรมลง
เพื่อความอยู่รอด เป็นนิยายที่มุ่งสะท้อนความจริงมากกว่าจะชี้นำผู้อ่านอย่างที่กิมย้งเคยสอดแทรกไว้ในแทบทุกเรื่อง
นับเป็นการแหวกวงล้อมครั้งยิ่งใหญ่ของนักประพันธ์เอกผู้นี้


http://www.mediafire.com/file/u0s8avyec1qn184/อุ้ยเสี่ยวป้อ.rar


(จาก www.xonly8.com)

7
ครบรอบ 107 ปี ป. อินทรปาลิต




วันที่ 12 พฤษภาคม ครบรอบวันคล้ายวันเกิด 107 ปี ปรีชา อินทรปาลิต สุดยอดนักเขียน แนวหัสนิยาย ความบันเทิง
เจ้าของนามปากกา ป. อินทรปาลิต โดยมีผลงานที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คือ พล นิกร กิมหงวน ซึ่งถูกจัดเป็น
สุดยอดหนังสือที่ดีที่คนไทยควรอ่าน และถูกตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482-2511 และมีมากกว่า 10,000 ตอน


[ติดตามชมได้ครับ... พล นิกร กิมหงวน จำนวน 413 เล่ม]







http://www.mediafire.com/file/5hjkz9d587dhvpd/พล+นิกร+กิมหงวน+413+เล่ม.rar


8
หนังสืออิเลคโทรนิคงานพระบรมศพ จำนวน 50 หน้า

หนังสืออิเลคโทรนิคงานพระบรมศพ จำนวน 50 หน้า

(เลื่อนเปิดอ่านเหมือนหนังสือได้เลยครับ)

http://www.m-culture.go.th/th/ebook/Glossary_about_HM_King_Bhumibol_Adulyadej's_Funeral/mobile/index.html#p=1

สำหรับแท็บเล็ตใช้นิ้วมือปัดจากขวาไปด้านซ้าย ก็จะเปิดทีละหน้า เหมือนกับเราเปิดหนังสืออ่าน




9
เพลงความฝันอันสูงสุด  โดย สันติ ลุนเผ่



<a href="http://www.youtube.com/v/m7bONrQS2xI?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/m7bONrQS2xI?version</a>


http://youtu.be/m7bONrQS2xI



10
เรามีเรา - แหวน ฐิติมา cover by jinglebellclassic


<a href="http://www.youtube.com/v/ZOlWdoDS44s?hl=th_TH&amp;amp;version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/ZOlWdoDS44s?hl=th_TH&amp;amp;version</a>

http://www.youtube.com/watch?v=ZOlWdoDS44s


11
เพลง มนต์รักลูกทุ่ง- ไพรวัลย์ ลูกเพชร

<a href="http://www.youtube.com/v/shnV0cwfnpc?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/shnV0cwfnpc?version</a>

http://www.youtube.com/watch?v=shnV0cwfnpc

----------------------------

เพลง มนต์รักลูกทุ่ง    ไพรวัลย์  ลูกเพชร
จากภาพยนต์เรื่อง "มนต์รักลูกทุ่ง"


<a href="http://www.youtube.com/v/IE2pig1B0wA?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/IE2pig1B0wA?version</a>

http://www.youtube.com/watch?v=IE2pig1B0wA


Pages: [1]
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.108 seconds with 18 queries.