Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
06 May 2024, 03:20:14

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,643 Posts in 12,461 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Profile of p_san@  |  Show Posts  |  Topics

Show Posts

Messages | * Topics | Attachments

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - p_san@

Pages: 1 [2] 3 4 ... 10
16
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 13

(ตอนที่ 1)

          แสงอาทิตย์ในยามสาย เปล่งประกายรัศมีและความร้อน แต่ในป่าทึบดงดิบเช่นนี้ มันกลับทำให้มีความรู้สึกอบอุ่น ต้นไม้ใหญ่ดูหนาทึบ ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น จนดูเขียวครึ้มไปทุกหนแห่ง ตัดกับสีแดงส้มตามหน้าผาหินปูน ที่เหมือนใครแกล้งนำสีไปแต่งแต้มดูวิจิตรตระการตา ตลอดจนทุกสันเขาที่ปรากฏให้เห็น หน้าผาและภูเขาแต่ละลูก ดูสูงทะมึนจนเสียดฟ้า ซึ่งบางครั้งต้องแหงนมองจนคอตั้งบ่า พืชพรรณนานาชนิดมีมากมายเหลือคณานับ บางช่วงบางตอนก็ดาษดื่นไปด้วยต้นไม้ที่มีผลให้เก็บกิน ทั้ง มะเดื่อ มะไฟ ระกำ ลูกหวายที่ห้อยอยู่เป็นพวงก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป มันเป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้จากป่าภายนอก ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของความหายนะ ราวกับหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยเปรอะเปื้อนมลทินใดๆ

          สายน้ำที่คดเคี้ยว ยังคงไหลเอื่อยไปตามช่องเขา บางช่วงบางตอนก็เชี่ยวกราด ดังอึกทึกไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ แก่งหินน้อยใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำ ดูเกลี้ยงเกลาเพราะถูกกัดเซาะมาเป็นเวลานาน ตามริมตลิ่งที่กระแสน้ำไหลเอื่อยเพราะตื้นเขิน มองเห็นกรวดทรายมากมายหลากหลายสี รวมทั้งหมู่ปลาเล็กปลาน้อยที่แหวกว่ายอยู่เป็นกลุ่มๆ เพราะพวกมันพากันหลบภัยจากปลานักล่า ทั้งปลากระสูบ ปลาเวียน ที่จับกลุ่มรอจังหวะฉวยโอกาสอยู่ในแอ่งน้ำที่ลึกกว่า นอกจากพวกมันจะต้องคอยระวังภัยจากปลานักล่าด้วยกันแล้ว นักล่าที่อยู่บนบกก็มีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนกกระยาง ที่เดินเลาะเลียบตามชายตลิ่ง นกกาน้ำที่ยืนตัวดำทะมึนกางปีกผึ่งแดดนิ่งอยู่บนคอน สูงขึ้นไปบนกิ่งไผ่ที่โน้มลงมา นกกระเต็นที่มีปากขนาดใหญ่สีแดงส้ม ดูผิดรูปเมื่อตัดกับลำตัวสีน้ำเงินเข้มของมัน สายตาที่คมกริบจับจ้องอยู่ที่ฝูงปลาเบื้องล้าง เมื่อได้จังหวะ ก็ทิ้งตัวลงมาราวกับหอกที่ถูกพุ่งลงน้ำ เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ก็โผล่พรวดบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไผ่ พร้อมกับรางวัลความสำเร็จในปากของมัน มันเป็น วัฏจักร ห่วงโซ่ อาหาร ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป

          ชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกตัวขึ้น เพราะเสียงกรอบแกรบของกรวดหินริมน้ำดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เมื่อค่อยๆเปิดเปลือกตา ก็พบเข้ากับกวางสองแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่พากันลงมากินน้ำ ห่างจากเขาออกไปไม่เกินสองวา เจ้ากวางแม่ลูกอ่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่ก็หันมามองด้วยความสงสัย แต่ไม่กี่อึดใจก็ก้มลงกินน้ำตามปกติ แลดูแล้วเหมือนสัตว์เชื่องๆตามสวนสัตว์ที่ไม่ตื่นคน ก่อนที่มันจะผละกระโจนเข้าละเมาะไป มันและลูกน้อยของมันยังหันกลับมามองชายหนุ่มด้วยความฉงน พวกมันคงคิดว่า สัตว์ป่า หรือตัวชนิดอะไรหนอ มานอนเล่นอยู่ริมน้ำกลางดงทึบแห่งนี้

          ชายหนุ่มค่อยๆยันกายขึ้น ก่อนที่จะสะบัดหน้าไปมาไล่ความมึนงง เมื่อหันไปสำรวจรอบๆบริเวณ กองไฟที่เคยก่อไว้เมื่อคืนที่ผ่านมา ตอนนี้เหลือแต่ขี้เถ้าขาวโพลน ส่วนปลายของท่อนฟืนที่เผาไหม้ไม่หมด ยังคงมีควันไฟคลุกรุ่นอยู่เบาบาง ถัดออกไปใกล้ปากโพรงที่เคยเข้าไปหลบพวกค้างคาวผี ยังมีหอกไม้ปลายแหลมวางพาดอยู่ห่างๆกัน สอง สามเล่ม เป้หลังที่ซุกไว้ภายในโพรงหินนั้นยังอยู่ตำแหน่งเดิม ส่วนบริเวณพื้นกรวดนั้น มองเห็นคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง ซึ่งคงจะเป็นเลือดของพวกค้างคาวผีพวกนั่น ส่วนตำแหน่งที่ตัวเองนอนพังพาบอยู่นั้น มีเพียงผ้าขาวม้าที่ถูกปูรองต่างฟูก มีท่อนไม้อีกท่อนต่างหมอน

          “พลับพลึง” ชายหนุ่มอุทานขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะลุกพรวดพราดขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา หล่อนคนนั้น บัดนี้ได้อันตรธานหายไปไหนเสียแล้ว ตักที่เคยหนุนนอนในตอนนี้มันกลับกลายเป็นเพียงท่อนไม้ขนาดเขื่อง หรือมันเกินจากภาพหลอนของตัวเขาเอง ซึ่งอาจจะทำให้สติสัมปชัญญะขาดหายไป หรืออาจจะเป็นเพราะพิษของบาดแผลที่มือของเขาหรือไม่ ที่แผงฤทธิ์ทำให้ส่งผลต่อจิตรประสาท จนเกิดเป็นอาการหลอนต่างๆ แต่เมื่อพิจารณาบริเวณพื้นที่โดยรอบ ร่องรอยคราบเลือด และเศษซากของพวกค้างคาวนรก ก็ยังคงปรากฎ มันชี้ชัดว่ามันไม่ใช่ภาพหลอนหรือความฝันแต่อย่างใด

          และแล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุดตากับอะไรชนิดหนึ่ง ที่วางเด่นอยู่บนก้องหินราบเรียบก้อนหนึ่ง ในทิศทางของกวางแม่ลูกอ่อนคู่นั้น ห่างออกไปร่วมสองวา ลักษณะของมันเป็นห่อใบตองสี่เหลียมขนาดเขื่อง ใบตองยังดูเขียวสดเหมือนเพิ่งถูกตัดมาใหม่ๆ ด้วยความมึนงง เมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อวันก่อน เขาแน่ใจว่าเจ้าห่อใบตองชนิดนี้ เขาไม่ได้เป็นคนทำหรือได้พบมาก่อน

          “ห่ออะไรกันนี่ มันมาจากไหนกัน” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆตรงไปที่ห่อใบตองปริศนาห่อนั้น เมื่อค่อยๆเปิดออก ก็พบเขากับความมหัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะภายใต้ห่อใบตองปรากฏ หัวมันเทียนขนาดข้อมือสี่หัว แต่ละหัวยาวประมาณสองคืบ มันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เศษดินหรือแม้แต่เศษรากฝอย ไม่ปราฏกให้เห็นแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันถูกขัดล้างทำความสะอาดมาเป็นอย่างดีที่สุด

          “คงไม่ใช่ใครที่ไหน”

          “คุณเองสินะครับ....คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มรำพันกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะคว้าดอกช้างกระที่วางซุกอยู่ในห่อใบตองนั้นขึ้นมาพิจารณา

          “ขอบคุณนะครับ ที่คอยช่วยเหลือผมมาโดยตลอด”ชายหนุ่มกลั่นถ้อยคำออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วค่อยๆบรรจงเก็บดอกช้างกระดอกนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ซึ่งตำแหน่งนี้เอง มันตรงกับหัวใจของเขาพอดี

          ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบสุมไฟใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเชื้อไฟกองเดิมที่ยังพอคลุกลุ่นมีเชื้ออยู่บ้าง กองไฟกองใหม่ ก็ถูกก่อขึ้นมาอย่างง่ายดาย หลังจากนำหัวมันเทียนที่ได้มานั้น หมกขี้เถ้าทิ้งไว้ทั้งสี่หัว  จากนั้นก็ผละไปที่เป้และกองเสื้อผ้าที่ตากผึ่งบนลานหิน อาหารจำพวกเนื้อแห้งหมดไปเมื่อก่อนค่ำวันก่อน ตอนนี้เหลือเพียงอาหารกระป๋องอยู่เพียงชิ้นเดียว และเขาคิดว่าจะเปิดกินเมื่อถึงคราวจำเป็นมาถึงขีดสุด ในใจก็ยังคิดไม่ออกว่า ถ้าหมดจากของสิ่งนี้แล้ว อาหารมื้อต่อๆไปจะทำเช่นไร ลำพังถ้าเป็นพรานกะเหรี่ยงแบบเพื่อนร่วมทาง ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะพวกเขาเหล่านั้น ต่างล้วนแล้วแต่เป็นลูกไพรด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับเขาที่เป็นคนเมือง เห็นท่าคงจะลำบากในสถานการณ์เช่นนี้ แต่แล้วราวกับสวรรค์ประทานพรหรือนรกยังไม่พร้อมที่จะต้อนรับเขา เพราะเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา กลับพบเข้ากับห่อเสบียงและอาหารปริศนา เปรียบเสมือนสายใยแห้งชีวิต ที่พอจะหล่อเลี้ยงให้อยู่ต่อไปได้ ซึ่งมันได้สร้างกำลังใจให้เขาได้ต่อสู้กับโชคชะตาขึ้นมาอีกครั้ง

          มันเทียนหมกสุกจนส่งกลิ่นหอมฟุ้ง พร้อมกับสัมภาระที่ถูกบรรจุลงเป้อย่างลวกๆ อาหารเช้ามื้อแรกแสนจะธรรมดา แต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร รสหวานที่ได้สัมผัสปลุกความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้อย่างประหลาด ราวกับว่าได้กินหรือเสพอาหารทิพย์ของเทวดานางฟ้า เพียงแค่หัวมันแค่หัวเดียวที่กินเข้าไป กลับรู้สึกอิ่มจนแน่นท้องไปหมด ใช่สิ อาหารของเทวดา นางฟ้า โดยเฉพาะนางฟ้าจำแลง ที่มีนามว่า พลับพลึง

          หลังจากอาหาร และน้ำดื่มที่ชายหนุ่มกวักขึ้นดื่มกลั้วคอ จนรู้สึกอิ่มแปล้ ส่วนมันหมกที่สุกอีกสามหัว ชายหนุ่มใช้ใบตองห่อเก็บเป็นเสบียงเหน็บไว้ข้างเป้สะพาย จากนั้นก็มาสำรวจเนื้อตัวและร่างกายของตัวเองอีกครั้ง นอกจากรอยถลอกตามเนื้อตัวไม่ได้มีบาดแผลฉกรรจ์ ที่หนักสุดก็คงเป็นแผลบนฝ่ามือเท่านั้น ซึ่งเกิดจากคมเขี้ยวของอสูรกายมีปีก แต่บัดนี้เนื้อบริเวณนั้นดูดีขึ้นมากกว่าก่อน รอยแผลที่เป็นรูโบ๋จากเขี้ยว มาตอนนี้เริ่มปิดชิดกัน อาการอักเสบปวดระบมที่เคยสัมผัส เปลี่ยนมาเป็นเสียวแปลบเมื่อถูกบีบหรือกดลงบนแผลนั้นแรงๆ โดยรวมแล้วเป็นไปในแนวทางที่ดี ที่เหลือก็รักษาตามอาการเพียงแค่ใส่ยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่

          “ท่านจงตรองดูเถิด สิ่งใดที่นำพาท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งนั้น จักนำทางท่านย้อนกลับไปเอง” ชายหนุ่มนึกย้อนถึงถ้อยคำของหญิงสาว

          “เราก็คงต้องเดินทวนน้ำไปสินะ”

          “ไม่รู้ว่ามาไกลขนาดไหนกัน แต่ก็ต้องลองเสี่ยงดู”ชายหนุ่มรำพึงขึ้นมาเบาๆ

          เมื่อนึกย้อนไปถึงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็ไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า จากจุดแรก ที่เขาพลัดตกลงมาจากเหวนรก ตอนที่หนีช้างป่าครั้งนั้น ถึงจะรอดตายมาได้ ก็ต้องมาหลงงมอยู่ในขุมนรกใต้ดินอีกนาน ซึ่งก็กะเวลาไม่ถูกว่าติดอยู่ภายในนั้นนานแค่ไหน แถมต้องมาเผชิญกับค้างคาวผีสิงอีก แต่ดูเหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาว่า ได้พบกับสุสานช้าง ซึ่งเป็นปลายทางที่พบกับแสงสว่างของทางออก แล้วต่อจากนั้นภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ดับวูบไป ก่อนที่จะมารู้สึกตัวอีกครั้งก็มาโผล่เอาที่ดินแดนลี้ลับแห่งนี้

          ลมพัดมาตามทิวเขาอีกวูบเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้ชายหนุ่มได้เริ่มออกเดินทาง ปล่อยให้สายน้ำได้ไหลไปตามทิศทางของมัน ซึ่งก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกันว่า มันจะสิ้นสุด ณ ที่ใดของดงดิบแห่งนั้น เบื้องหน้าที่เป็นทิศทางที่เขาจะต้องบุกบั่นไปนั้น ก็ไม่สามารถบอกได้อีกว่า มันจะจบในรูปแบบใด แต่ที่แน่ๆบนเส้นทางแห่งนี้คงไม่ได้สะดวกง่ายดายเหมือนถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้ามถ้าจะเปรียบ ก็คงจะเหมือนประตูนรก ที่เปิดอ้าต้อนรับ หากเกิดผิดพลาดขึ้นมา ยมทูต ที่คอยท่าเขาอยู่ก่อนแล้ว ก็คงกล่าวคำว่า ยินดีต้อนรับ

          ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามชายน้ำ โดยยึดเดินตามริมฝั่งที่ทอดยาวคดเคี้ยว ตลอดเส้นทาง ทั้งสองฟากฝั่งนั้นดาษดื่นไปด้วยไม้พรรณต่างๆที่ดูแปลกตา ไม้ใหญ่หลายต้นดูสูงทะมึน กลืนไปกับทิวเขาสูงชันที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลัง ต้นไม้บางต้นก็โดดเด่นผิดแปลกไปกับหมู่ไม้อื่นๆ เพราะลำต้นใหญ่โตมหึมาชนิดที่ว่า แหงนมองคอตั้งบ่า เห็นแต่พุ่มใบสูงลิบ บางต้นก็ทรวดทรงเหมือนไม้บอนไซในกระถาง งดงามวิจิตรตระการตา ผิดไปก็คือขนาดที่ใหญ่โต เมื่อเทียบกับตัวเขา ก็เปรียบเสมือนมดปลวกตัวเล็กๆ

          พื้นที่ทางเดินริมน้ำ กลาดเกลื่อนไปด้วยกรวดหินหลายหลายสีสันดูเกลี้ยงเกลา ทำให้ชายหนุ่มเดินทางผ่านไปได้อย่างสะดวก เพราะโปรงโล่งไม่มีสิ่งใดกั้นขวาง นานๆครั้งที่ต้องผ่านแก่งหินสูงใหญ่ และกอไม้หรือท่อนซุงล้มขวาง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพียงแค่เดินอ้อมเบี่ยงหรือเดินลอดมุดผ่านไป ก็สามารถผ่านไปได้ หลายครั้งก็หยุดพัก แวะเก็บกินผลไม้ป่า ที่มีให้เก็บกินได้อย่างมากมาย ผลไม้ป่าบางต้นมีร่องรอยของสัตว์กัดกินทิ้งรอยให้เป็นอยู่เกลื่อนไปหมด โดยเฉพาะผลไม้ป่าที่มีรสชาติหวาน กล้วยป่าก็มีอยู่มากมาย แต่ก็จนปัญญาที่จะเก็บกิน เพราะแต่ละต้นที่ออกเครือขนาดของมันใหญ่เกินคนโอบ สูงน้องๆต้นตาล

          ตามแก่งหินและวังน้ำ ปลาหลากหลายสายพันธุ์ก็มีให้เห็นอยู่ชุกชุม ทั้ง ปลากระแห ปลาตะเพียน ปลาตะพาก ปลาพลวง ที่พากันแหวกว่ายรวมฝูงกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ภายใต้ร่มของมะเดื่อป่าและต้นไทรใหญ่ ที่ยื่นเอนโน้มลงไปในแม่น้ำ พอผลที่สุกร่วงตกลงไป พวกมันก็พากันไล่ฮุบยื้อแย่งกันจนน้ำแต กกระเซ็น ดูสับสนอลหม่าน ชายหนุ่มได้แต่ทำท่าเงื้อง่าหอกค้างไว้เช่นนั้น เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะไล่ทิ่มแทง อันเนื่องมาจากระดับน้ำบริเวณนั้นลึกเกินหยั่งถึง  นอกจากสัตว์น้ำที่มีอยู่มากมายแล้ว สัตว์ป่าน้อยใหญ่ก็มีให้เห็นเสียจนชินตา กระรอกดงหลายสิบตัว พากันไต่ยั้วเยี้ยไปตามเถาวัลย์และพุ่มไม้ พวก ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ที่ห้อยโหนโยนตัวอยู่ตามยอดไม้และคาคบก็มีให้เห็นเสียจนชินตา ตามพื้นทรายหรือริมตลิ่ง ลอยเท้าพวกเก้ง กวาง และหมูป่า มีให้เห็นอยู่เป็นเทือก บางที่ก็เห็นพวกมันหลายตัวลงมากินน้ำและหากินดินโป่ง ส่วนบริเวณไหนที่เป็นทุ่งโล่งก็จะเห็น วัวแดง และ กระทิง หากินกันอยู่เป็นฝูงๆ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นราวกับได้อยู่ในสวนสัตว์เปิด หรือ ซาฟารีขนาดใหญ่ บางครั้งเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบซุ่มหลีกทางพวกมัน โดยเฉพาะหมูป่า ที่ลงกินน้ำและพากันนอนเล่นกลิ้งเกลือกโคลนอยู่ริมตลิ่ง บางฝูงมีนับเป็นร้อยๆตัว ทั้งไอ้โทนจ่าฝูงที่ตัวใหญ่พอๆกับถังน้ำมันสองร้อยลิตร เขี้ยวของมันยาวโค้งออกมาเป็นคืบๆ ที่นอนแช่ปลักโคลนอย่างสบายอารมณ์ โดยมันก็ไม่ได้ระแคะระคาย ต่อการมาเยือนของมนุษย์ เหตุเพราะมันไม่กระสากลิ่นของเขาเพราะบังเอิญอยู่ในทิศทางใต้ลม แต่ก็ต้องคอยเฝ้าระวังไอ้พว กลูกเล็กเด็กแดงที่พากันวิ่งไล่กันไปเป็นพรวนดูลายตาไปหมด เพราะลวดลายลักษณะเหมือนแตงไทยของมัน บางทีก็ทำถ้าจะวิ่งมาทางเขา เล่นเอาใจหายใจคว่ำแทบจะต้องแอบชนิดกลั้นหายใจ

        กว่าพวกหมูป่าฝูงนั้นจะพากันเข้าไปหากินในดงทึบ ร่วมชั่วโมงที่ชายหนุ่มซุกกายซ่อนเร้นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าที่จะกระดิกตัวไปไหน จนแทบจะเป็นตะคริว เมื่อดูแล้วปลอดภัยถึงได้เริ่มเดินทางต่อ ในตลอดชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นป่าดงพงไพรที่ไหน หรือสถานที่ใด จะอุดมสมบูรณ์ทั้งด้านป่าไม้ และสัตว์ป่าเท่ากับดงดำแห่งนี้ ธรรมชาติที่สมบรูณ์ปราศจากการถูกรบกวนของโลกภายนอก เหมือนกับได้อยู่กันคนละโลก บรรยากาศที่บริสุทธิ์ปราศจากสารเคมี เมื่อสูดหายใจเข้าเต็มปอดทำให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย เมื่อผ่านไปตามดงไม้พรรณพฤกษา ที่พากันออกดอกสะพรั่งหลากหลายสีสันด้วยแล้ว ยิ่งได้กลิ่นหอมหวนชวนให้ชื่นฉ่ำใจ ครั้งหนึ่งชายหนุ่มหยุดยืนนิ่งแล้วยิ้มขึ้นมาน้อยๆ เมื่อพบกับกอช้างกระกอใหญ่ที่ขึ้นเกาะอยู่ตรงคาคบไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

          “คุณพลับพลึง คุณอยู่ที่ไหนหนอ ในเวลานี้”

          “ผมหวังว่า เราจะได้พบกันอีกนะครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาในใจ ขณะที่ยืนมองกอช้างกระกอนั้นอยู่เงียบๆ


*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร สิงห์และคณะจะพบกันหรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป*****



17
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 12

ตอนที่ 1

          ฌ สถานที่ตั้งของหน้าผาหินขนาดใหญ่มหึมา ราวกับกำแพงขนาดยักษ์ที่กั้นขวาง ในยามราตรีเช่นนี้ มันดูคล้ายกับยักษ์ที่นั่งปักหลักแข็งทื่อทะมึนในเงามืด ยิ่งเมื่อมีสายลมพัดผ่านมาตามช่องเขาและแง่หิน ทำให้เกิดเสียง หวีดหวิว ดังครวญคราง ยิ่งเพิ่มความหน้าสะพรึงกลัวยิ่งไปอีก แต่ภายใต้รอยแยกที่เหมือนรอยขวานยักษ์ที่ถูกจามไว้ กลับดูเงียบขนัดราวกับหูดับ แทบไม่ได้ยินเสียงสรรพสำเนียงอะไรเลย ถึงแม้บางจังหวะจะมีลมพายุโหมกระหน่ำสักเพียงใด ก็ไม่อาจจะมีเสียงใด ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้าไปภายในได้

          ภายใต้ความมืดมิด เหมือนถนนหรือเส้นทางไปสู้ขุมนรก ใครจะรู้ว่า ภายในนั้น กลับมีหุบเหวกว้างขนาดใหญ่กันขวาง ราวกับหลุมอุกกาบาต ที่ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ปากหุบเหวที่ราบเรียบไม่มีสิ่งกีดขวาง เหมือนจงใจให้คล้ายกับ กับดัก ที่แม้มีสิ่งมีชีวิตใด ได้ผ่านเส้นขอบเหวนี้ไปแล้ว ก็ไม่สามารถรอดพ้นประตูสู่นรกได้ ราวกับมดตัวน้อยที่ตกหลุมดักของแมลงช้างที่พลาดตกลงไปแล้ว ก็ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น เพราะใครจะรู้ว่า เพียงแง่หิน แง่เล็กๆที่ยืดโผล่มาจากผิวดินไม่เกินศอก ตำแหน่งนี้เอง ที่ปรากฏเส้นเถาวัลย์ขนาดเขื่อง ซึ่งด้านหนึ่งของมัน ถูกม้วนพันไว้อย่างแน่นหนา และอีกด้านทอดลึกลงไปสู้หุบเหว สิ่งที่ปรากฏนี้หาได้เกิดจากธรรมชาติสร้างสรรค์ไม่ ตรงกันข้ามมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์  มนุษย์ที่เพียรพยายามตามหามิตรร่วมทาง

“สิงห์โว้ย”


“วู้ ไอ้สิงห์”พรานเฒ่าที่มีนามว่า โส่ยป้องปากตะโกนโวกๆ หลังไต่มาตามเส้นเถาวัลย์เป็นคนสุดท้าย


“มันรอดแล้วพวกเรา นี้ไง รอยตีนมันเดินให้เปรอะไปหมด”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางส่องไฟฉายสำรวจไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น แต่ไม่ทันที่ทุกคนจะสำรวจรอยเท้าของชายหนุ่ม พรานพรที่เดินสำรวจอยู่ที่แนวกองหินก็ร้องเอะอะมาอีกคน


“เฮ้ย พวกเรามาดูทางนี้เร็ว”เสียงเรียกอย่างเอ็ดตะโร ของพรานพร ทำให้กลุ่มคนทั้งหกพากันวิ่งกรูเขาไปสมทบ บริเวณกองหินที่ขึ้นสลับซับซ้อน

“รอยไอ้สิงห์มันเข้าไปในซอกหินนี่”

“รอดแล้ว รอดแล้ว ไอ้สิงห์มันไม่ตาย”พรานพรร้องบอก พร้อมๆกับเหล่ากะเหรี่ยงพากันกอดคอกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปีติยินดียิ่ง

“เบาๆโว้ยพวกเรา ไหนลองเรียกมันดูสิ”

“ดีไม่ดี มันออกจะหลบอยู่ข้างในนั้นล่ะ”พรานแปะร้องปราม ขณะส่องไฟฉายเข้าไปในซอกหินนั้น

“เออ เข้าที”

“พี่สิงห์”

“พี่สิงห์ วู้...”

“พวกเรามารับพี่ขึ้นไปแล้ว ออกมาเถอะ”เสียงเคิ้งป้องปากตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไร้วี่แววการตอบสนองใดๆจากบุคคลที่ตัวเองหวังว่าจะอยู่ด้านใน

“ตามมันเข้าไปเลยดีกว่า”

“มันชักแปลกๆ”พรานเบร้องบอก อย่างครุ่นคิด

“ก็ดีเหมือนกัน รอเรียกจนคอแตกแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร”

“ข้าร้อนใจเต็มทนแล้ว”พรานโส่ยร้องบอก

“ไปๆ ไปกันดีกว่า เผื่อมีอะไรเกิดกับมันขึ้น จะได้ช่วยไว้ได้ทัน”เหน่อร้องบอกอย่างร้อนใจ

“เดี๋ยวข้านำเข้าไปก่อน พวกเอ็งค่อยๆตามกันมาล่ะ”

“ช่องมันแคบนิดเดียว ทิ้งระยะกันไว้ด้วย เกิดอะไรขึ้นมา จะได้หนีออกมาได้ทัน”พรานเบร้องบอกคณะ พูดจบก็มุดผ่านเข้าไปตามช่องหินนั้น

ภายใต้เส้นทางที่แคบ และสลับซับซ่อน ทั้งหมดต่างค่อยๆคืบคลานไปอย่างช้าๆ เพราะสภาพอันคับแคบของซองหิน หรือไม่ก็ถ้ำแห่งนั้น บางตอนก็เดินได้อย่างสบาย และบางช่วง ก็ต้องค่อยๆมุดและคลาน และบางช่วงก็เป็นทางแยก ทำให้ผู้นำทางเกิดความลังเลใจ แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถเคลื่อนขบวนได้ต่อ เพราะร่องรอยของชายผู้สาบสูญมีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ ทั้งรอยเท้าตามพื้น รอยถลอกตามผนังหิน ซึ่งอาจจะเกิดจากการครูดถูของเป้หลัง หรือแม้แต่กระป๋องเปล่า ของอาหารกระป๋อง ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้พรานนำทาง และทุกคนที่ออกติดตามดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง

“ดูนั่น”

“มันรอดแน่ล่ะแบบนี้”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางก้มลงไปหยิบอาหารกระป๋อง ที่ภายในว่างเปล่า

“เหมือนมันมาพักอยู่แถวนี้”

“นี้ไง มีบ่อน้ำอยู่อีกแอ่ง สงสัยมันขุดไว้แน่ รอยยังใหม่ๆอยู่เลย”พรานพรโพล่งมาอีกคน หลังจากแยกเดินออกไปสำรวจอีกทาง

“แล้วมันไปไหนของมันว่ะนี่”

“แทนที่จะอยู่ระแถวนี้”เหน๋อร้องบอกด้วยความสงสัย

“คงจะมีเหตุจำเป็นหรอกน่า”

“ข้ารู้นิสัยมันดี เป็นข้า ข้าก็ไม่รอหรอก”พรานแปะเสวนาด้วยอีกคน

“มึ งนี้ก็วุ่นวายจริงๆ”

“ไปไกลๆเลยไป๊”พรานชราร้องเอ็ดตะโร พลางไล่เตะเจ้าพะเปรียวที่ตอนนี้เดินเกะกะคณะไปหมด

“ช่างมันปะไร”

“มีหมามาด้วยนะดีแล้ว มันจมูกดึกว่าคน”พรานเบร้องปราม

“ว่าไปก็น่าสงสารไอ้พะบอง”

“ไม่น่ามาตายเลย ดูไอ้พะเปรียวสิ มันคงเสียใจที่เพื่อนมันตาย”เจ้าพุ่มร้องบอก ก่อนจะนั่งลงแล้วเอามือลูบหัวเจ้าพะเปรียงอย่างเอ็นดู

“อย่าเสียเวลาเลยพวกเรา”

“ไปต่อดีกว่า”พรานนำทางร้องบอกคณะ ก่อนจะมุดหายเข้าไปในซอกหิน

ทุกระยะที่ทุกคนก้าวผ่าน ต่างเห็นร่องรอยที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ให้เห็นเป็นระยะ ทั้งโดยเจตนา เช่น รอยขูดขีดเป็นลูกศร ตามผนังถ้ำ ส่วนที่ไม่เจตนาแต่บังเอิญทำให้ง่ายต่อการแกะรอย มีตั้งแต่ เศษน้ำตาเทียนที่หยดเป็นจุดๆ รอยเท้าที่เดินย่ำไว้ และรอยไถลลื้นตามโขดหินชัน ซึ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มได้ไต่ไปตามเส้นทางนั้น

“เฮ้ย เลือดอะไรเปรอะไปหมดวะนี่”

“ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์โว้ย”พรานเบร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นรอยเลือดหยดเป็นทาง

“มันชักไม่ดีแล้วว่ะ”

“ดูนี่สิ ตามผนังก็มีเลือดเปรอะไปหมด”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน

“แต่ข้าว่าไม่ใช่เลือดคนนะ”

“กลิ่นมันแปลกๆ”พรานแปะร้องบอก หลังจากใช้ปลายนิ้วแตะรอยเลือดขึ้นดม

“อือหือ...เหม็นเขียวชะมัด”

“คาวยังกะกบ”เคิ้งพูดจบก็เช็ดปลายนิ้วที่ตัวเองแตะเลือดกับผนังถ้ำ

“เฮ้ยมาดูอะไรทางนี้”

“ตัวอะไรของมันวะ”พรานเฒ่าร้องเสียงสั่น พลางฉายไฟไปที่ซากของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง

          ท่ามกลางสายตาทุกคน เศษซากสัตว์ปริศนาที่ดูยับเยินจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ราวกับเศษผ้าขี้ริ้วขะมุกขะมอม ที่ขาดวิ่น เศษขนที่หลุดออกมาเป็นกระจุก หลุดออกมาเป็นก้อนๆผสมเลือดดูเกรอะกรัง เศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ดูแหลกยับ จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นชิ้นส่วนไหนของร่างกาย แม้แต่เจ้าพะเปรียวเมื่อก้มลงไปดมพิสูจน์ซาก ยังถอยหนีหางจุกตูดเพราะกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย

“บ่าง หรือ ค้างคาว”

“แต่หน้าตามันดูแปลกๆ”พรานเบวิเคราะห์ พลางใช้ปลายมีดเหน็บเขี่ยพลิกซากตัวประหลาดกลับไปกลับมา

“ข้าว่าบ่าง”

“มันเหมือนจะมีหนังตรงนี้ ดูนี่เหมือนปีก”พรานแปะร้องบอกอีกคน

“ค้างคาวแม่ไก่หรือเปล่า”

“บ่างมันไม่อยู่ในถ้ำนา”พุ่มแย่ง

“ไม่เห็นจะเหมือนสักนิด ข้าว่าไม่ใช่”

“ไอ้ตัวนี้มันเขื่องกว่าเยอะ”พรานเฒ่าวิเคราะห์

“จะตัวอะไรก็แล้วแต่”

“ที่สำคัญ มันมาตายอยู่แถวนี้ได้อย่างไงกัน”พรานพรร้องบอกอย่างสงสัย

“ถ้าไม่มาทางเดียวกันกับเรา ก็คงข้างหน้าเรานี้ล่ะ”

“แต่คิดๆไป ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”พรานเบร้องตอบอย่างพินิจ

“ใช่ๆ ข้าก็ว่าแบบเอ็งไอ้เบ”

“แก่จนปูนนี้แล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบ

“ไปกันต่อดีกว่า จะตัวอะไรก็ช่างมัน”

“เสียเวลามามากพอแล้ว”พรานเบร้องทัก ทำให้คณะทั้งหมดพากันเก็บข้าวของแล้วเดินทางต่อ

โดยการนำทางของพรานเบ ซึ่งเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นทุกขณะ อาจเป็นเพราะสิ่งผิดปกติที่ตัวเองได้พบเห็น ซากตัวประหลาด ที่ตัวเอง หรือ แม้แต่คนอื่นๆก็ไม่อาจจะสามารถตอบได้ว่ามันคือ สัตว์ชนิดใด และคราบเลือดที่เกาะเกรอะกรังไปหมด ทำให้เกิดความร้อนใจเพิ่มขึ้นไปอีก

บนเส้นทางที่สลับซับซ้อน และวกวน แต่ก็ไม่ทำให้คณะลดฝีเท้าลงไปได้ อันเนื่องมาจากสภาพของพื้นที่ ที่อำนวยต่อการค้นหา ทั้งเส้นทางที่เริ่มกว้างขวางมากขึ้น ถึงแม้จะมีโขดหิน ที่ทุกคนจะต้องไต่ข้ามผ่านไป แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญอะไรเลย เพราะจิตใจของแต่ละคนจดจ่ออยู่ที่บุคคลผู้สาบสูญ จนทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อย และยิ่งได้เห็นเค้าโครงและร่องรอยของชายหนุ่ม ยิ่งเพิ่มกำลังใจให้ฮึกเหิมมากขึ้น

ในคณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้นเอง อยู่ๆหัวขบวนที่มีพรานเบเป็นคนนำทาง ก็เกิดหยุดชะงักเอาเสียดื้อๆ ทำให้คนที่เดินตามกันมาไม่ทันระวังตัว ต่างเดินชนกันจนล้ม ทำให้เกิดเสียงเอะอะเอ็ดตะโรกันวุ่นวาย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหัวขบวน นอกจากลำไฟฉาย ที่ฉายลำแสงฉาบไปบนกองวัตถุชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง

ท่ามกลางแสงไฟ ของไฟฉายหลายดวง ที่ส่องกวาดไปมารอบทิศทาง ภายใต้เงามืดนั้นเอง ที่ปรากฏกองกระดูกของสัตว์ขนาดใหญ่กองขาวโพลนไปหมด ซึ่งทุกคนที่เห็นต่างตอบได้ว่า สิ่งนั้นคือกระดูกของช้าง แต่มันเป็นมากมายมหาศาล จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ที่เห็นเป็นกองทับถมอยู่นั้น จะมีซากช้างสักกี่ตัว

“เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่”

“ข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบเสียงสั่น ขณะที่จ้องมองกองกระดูกตรงหน้าตาไม่กระพริบ

“ป่าช้าช้างชัดๆ”

“มีแต่ช้างตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลย”พรานพรร้องบอก พลางส่องไฟสำรวจกองกระดูกช้าง

“ม..มะ..มันมี ยะ..อยู่จริงหรือนี่”

“คิด..วะ..ว่ามีแต่ในนิทาน นี่ของจริงใช่ไหมพี่แปะ”เจ้าเคิ้งกระซิบบอกพรานแปะเสียงสั่น

“นะ..นี่ ล..ล่ะของ จ..จริง”

“ขอ..ของแท้..นะ..แน่นอน”พรานแปะกระซิบตอบเจ้าเคิ้งเสียงไม่ต่างกัน

“มีแต่ช้างงาทั้งนั้น”

“ดูอันนี้สิ ยาวท่วมหัวเข่าเลย”พรานเบร้องบอก พลางเดินไปลูบคลำงาช้างกิ่งหนึ่ง ที่ล้มพาดอยู่ที่กองกระดูก

“ถ้าขนไปหมดนี่ได้”

“มีหวังพวกเรารวยกันเละ”พรานพรร้องบอก พลางเดินสำรวจสุสานช้าง

“จริงพี่พร”

“มีแต่งางามๆทั้งนั้น แค่อันนี้อันเดียว คงได้หลายตังค์”เจ้าพุ่มบอกมาอีกคน ก่อนจะยกงากิ่งหนึ่งขึ้นมาอุ้มเล่น

“เอ็งอย่าคิดอะไรแบบนั้น”

“ถ้ำนี้มันต้องคำสาบ มันมีอาถรรพ์”พรานเบร้องเตือนสติเพื่อนร่วมคณะ ก่อนที่จะสาวเท้าออกไปยืนขวางทุกคน ที่ต่างพากันเดินสำรวจงาช้าง แล้วพูดเสียงเฉียบขาดขึ้นมาว่า

“พวกเอ็งทุกคนลืมไอ้สิงห์ไปแล้วหรือ”

“เรามาตามหามัน ไม่ได้มาเอางาช้างไปขาย”

“เจ้าป่าเจ้าเขาอาจจะลองใจพวกเราก็ได้”พรานเบร้องบอก

“จริงอย่างที่น้าเบแกพูด”

“อย่ามัวเสียเวลากับมันเลย ไอ้งง งาอะไรนี่ ตามหาไอ้สิงห์แล้วเอาชีวิตรอดกลับบ้านเราดีกว่า”เหน๋อร้องเตือนสติคณะอีกคน ทำให้อีกหลายๆคนที่พากันสนใจงาช้าง ต่างหยุดชะงักแล้วถอยเข้ามารวม
กลุ่มกันอีกครั้ง

“ไปต่อดีกว่า”

“พวกเอ็งฟังดีๆ ได้ยินอะไรอย่างที่ข้าได้ยินมั๊ย”พรานเบร้องบอก

“โน่นทางโน้น ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงน้ำไหล”

“บางทีอาจจะเป็นทางออกก็ได้”พรานนำทางร้องบอกด้วยความมั่นใจ ก่อนจะสาวเท้าไปยังตำแหน่งของเสียงที่ได้ยิน ทำให้คณะทั้งหมดเคลื่อนขบวนอีกครั้ง

บนเส้นทาง ที่ขนาบด้วยผนังหินทั้งสองด้าน หลังจากเดินหลบเหลี่ยมมุมของผนังถ้ำนั้น ก็ปรากฏเส้นทางคล้ายถนนเส้นใหญ่ ซึ่งกว้างพอที่ช้างตัวใหญ่ๆจะเดินเบียดเข้ามาได้ เส้นทางนั้นเริ่มลาดต่ำลงไปทุกขณะ สภาพอากาศและพื้นผิวที่เดินย่ำผ่าน ก็เริ่มมีความชื้นเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆกับเสียงอึกทึกของแผ่นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เส้นบางช่วงก็มีก้อนหินใหญ่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน หรือบางตอนก็มีหินงอกหินย้อยกันขนาบเป็นกำแพง ราวกับลูกกรง ซึ่งพรานนำทางให้ความสนใจตำแหน่งนี้เป็นพิเศษ เพราะรอยเท้าของชายหนุ่มได้หยุดหายลงเพียงเท่านี้

“มันชักแปลกๆ”

“อยู่ๆรอยไอ้สิงห์ก็หายไปเฉยๆ”พรานเบร้องบอกคณะแข่งกับเสียน้ำตกที่ดังกระหึ่ม

“เอ็งดูดีหรือยังไอ้เบ”

“ทางโน่น ลองดูสิว่ามีรอยมันบ้างหรือเปล่า”พรานพรร้องบอกมาอีกคน ก่อนจะส่องไฟฉายสำรวจไปทั่วบริเวณ ก่อนจะพูดต่อมาอีกว่า

“ทางนี้ก็ไม่มีเลย”

“พื้นมันแฉะขนาดนี้ ถ้ามันผ่านมาก็คงเห็น”พรานพรร้องตอบ พลางฉายไฟสำรวจพื้นที่อีกครั้ง

“ข้างล่างมันน่าจะเป็นเหว”

“ไอ้สิงห์คงไม่เดินตกลงไปหรอกนา”พรานชราร้องบอก พลางส่องไฟฉายต่ำลงไปจากขอบหน้าผาหิน ที่เป็นตำแหน่งสุดท้ายที่พบรอยเท้าของชายผู้สาบสูญ

“เอาไงดีไอ้เบ”

“ถ้ามันชักไม่ได้การณ์ซะแล้ว”พรานเฒ่าร้องบอกพรานนำทาง

“เป็นไปได้มั๊ย”

“ถ้าไอ้สิงห์มันจะพลัดตะลงไป”พรานนำทางตอบแบบใช้ความคิด

“น้ำมันแรงขนาดนี้ ตกลงไปจะไปเหลืออะไร”

“มันอาจจะเดินเลาะไปตามทางนี้ก็ได้ ใครมันจะบ้าโดดเหวลงไปซ้ำสอง”พรานแปะร้องทัก พลางส่องไฟสำรวจเส้นทางที่ตัวเองสงสัย แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะร่องรอยที่ตัวเองคิดไว้ กลับไม่ปรากฏให้
เป็นแม้แต่นิดเดียว

“ออกไปตั้งหลักก่อนดีกว่า”

“เดินออกไปอีกนิดเดียว ก็เห็นทางออกแล้ว น้ำมันฉ่ำพื้นขนาดนี้ บางทีอาจจะลบรอยตีนไอ้สิงห์มันหมดก็ได้”พรานพรร้องบอกคณะ หลังจากเดินออกไปสำรวจเส้นทางก่อน

“เอาไงดีไอ้เบ”

“ข้าก็ว่าที่ไอ้พรมันว่ามาก็มีเหตุผล”

“ดีไม่ดี อาจจะเจอไอ้สิงห์ข้างหน้านี้ก็ได้ อยู่ตรงนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา”พรานโส่ยร้องบอกมาอีกคน

“ก็เข้าทีดีนาน้าเบ”

“นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว ข้าว่าออกไปตั้งหลักข้างนอกก่อนดีกว่า ฟ้าสว่างคงเห็นอะไรได้ถนัดกว่านี้”พรานแปะร้องเสริม  หลังจากทั้งหมดปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ก็สรุปออกมาได้ว่า ทั้งหมดควรออกไปตั้งหลักกันด้านนอกดีที่สุด เพราะสภาพแวดล้อมภายในถ้ำนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการค้นหา รวมไปจนถึง ร่องรอยของชายผู้สูญหายก็ไม่ปรากฏให้พบเห็นอีกเลย นับตั้งแต่ขอบหน้าผาของน้ำตกนั้นที่พบเป็นจุดสุดท้าย และอีกปัจจัยที่สำคัญหนึ่งคือ สภาพของแต่ละคนต่างสะบักสะบอมอ่อนเพลียไปตามๆกัน อีกทั้งข้าวปลาอาหารที่ไม่ได้ตกถึงท้องเกือบ 24 ชั่วโมง แต่ด้วยความอึดและความทรหดของแต่ละคน ทำให้ยังคงเก็บอาการได้เป็นอย่างดี

          ทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากได้รับสัญญาณจากพรานนำทาง ต่างคนต่างมานะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะสอดส่องสายตาหาร่องรอยของชายผู้สูญหายทุกฝีก้าว สิ่งใด หรือ มีวัตถุชนิดใดที่ทำให้ระแคะระคายต่อการสำรวจ ก็ต้องหยุดตรวจสอบและพิจารณา ทั้งรอยหินพลิก หรือรอยน้ำที่ขุ่นข้นเป็นแอ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากชายหนุ่มที่เหยียบย่ำไว้ แต่หลังจากช่วยกันพิจารณาจนแน่ใจว่าไม่ใช่ เพราะเท่าที่สังเกตน่าจะเป็นรอยของช้างที่เดินย่ำไว้เป็นรอยเก่ามากแล้ว ทั้งหมดก็เคลื่อนขบวนต่อ...

*****การเดินทางของคณะผู้ติดตามต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร และเหล่าสหายทั้งหมดจะได้พบกันหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป*****



18
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 11

ตอนที่ 1

        สายลมในยามบ่าย พัดผ่านมาตามช่องเขาดังครวญคราง ผสมกับเสียงแกว่งไกวของใบไม้และพุ่มไม้ไล่มาเป็นละลอกคลื่นตามกระแสลม ฟังดูอื้ออึงไปทุกทิศทางต้นไม้ใหญ่หลายต้นโอนเอนไปมาตามแรงลมเอื่อยๆ บางครั้งก็มีเสียงหักลั่นของกิ่งก้านที่แห้งพุพัง ตกลงพื้นเบื้องล่างดังโครมคราม ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยไม้พรรณนานาชนิด ทั้งกล้วยป่า หวายหนาม และกระวาน ที่ขึ้นรกจนหนาทึบ เถาวัลย์ใหญ่หลายต้นพันเกาะเกี่ยวกันระโยงรยางค์แทบไม่มีช่องว่างให้ลอดผ่านไปได้ ราวกับตารางหรือตาข่ายผืนใหญ่ ที่ถูกยักษ์ถักทอขึ้นมาปกคลุมทั้งผืนป่า

        ห่างออกไปไม่ไกลนักจากชายป่าที่หนาทึบไปด้วยไม้ใหญ่ที่ขึ้นเบียดเสียดเสียงอึกทึกของแม่น้ำกว้างใหญ่ ที่มีสายน้ำไหลเชี่ยวกราด ส่งเสียงคำรามดูครึกโครมไปทั่วบริเวณ สายน้ำใสจนมองเห็นกรวดหินและหมู่ปลาน้อยใหญ่ ที่พากันแหวกว่ายทานกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและคดเคี้ยว บางช่วงกระแสน้ำนั้นก็ดูไหลเอื่อยราวกับจะหมดกำลัง เพราะบางตอนของลำธารสายนั้นดูกว้างขวางและตื้นเขิน แต่บางช่วงก็เชี่ยวกราดน่ากลัว เพราะเป็นโตรกแก่งหินแคบๆเหมือนคอขวด ทำให้กระแสน้ำที่ไหลมาอย่างมากมายมหาศาล อัดรวมกันที่ช่องหินแคบแห่งนั้น

        ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มอ่อน ตอนนี้กำลังจะลับเหลี่ยมเขาไปทุกขณะ เสียงนกกานานาชนิด ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามยอดไม้ใหญ่ ไก่ป่าหลายฝูงขับขัน สลับกันไปมาตามหุบเขาและชายดงทึบ เหมือนพวกมันจะร้องเตือนว่า เวลานี้ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงลงไปทุกที เฉกเช่นเดียวกับฝูงชะนีป่า ที่ห้อยโหนโยนตัวอยู่บนยอดไม้ใหญ่สูงลิบ ต่างพากันกู่ร้องโหวกเหวก ก่อนจะค่อยๆแทรกกายหายไปในพุ่มยอดรกเหนือยอดไม้ใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันหายไปไหน  นอกจากจะคิดเดาไปเองว่า พวกมันคงจะเตรียมหาที่หลับนอนตามคาคบไม้บริเวณใดสักแห่งบนยอดไม้สูงเหล่านั้น

        สายลมในยามเย็นพัดผ่านมาตามช่องเขาอีกครั้ง ทำให้ยอดไม้และกิ่งใบ พากันสะบัดโบกแกว่งไกว พลิกไปมาจนดูเป็นมันวาว เพราะด้านใดด้านหนึ่งของมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ในยามเย็น พร้อมๆกับเสียงร่วงกราว ดังซู่ซ่า ของใบไม้แห้งที่หลุดปลิวออกจากขั้ว ก่อนที่พวกมันจะพากันลอยม้วนตลบไปมาในอากาศ ตามทิศทางของแรงลมนั้น ใบไม้แห้งบางใบลอยหายเข้าไปในดงทึบ บางใบก็ตกลงไปกองทับถบอยู่กับพื้นเบื้องล่าง ซึ่งตอนนี้ดูหนาเตอะไปหมดบ่งบอกถึงกาลเวลาที่เนิ่นนานของกองใบไม้แห้งเหล่านั้น และใบไม้แห้งบางใบก็พลัดปลิดปลิวตกลงมาบนผืนแผ่นน้ำ ทำให้ดูเหมือนเรือลำจิ๋ว ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางแม่น้ำหรือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก่อนที่มันจะค่อยๆลอยลิ่วไปอย่างรวดเร็ว เพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด

        เย็นย่ำลงไปทุกขณะ เพราะดวงอาทิตย์หายลับเข้าไปจากเหลี่ยมเขานานแล้ว เหลือไว้แต่บรรยากาศโพล้เพล้ ใกล้สนธยาลงไปทุกที ยิ่งเป็นบริเวณป่าไม้ที่รกทึบเช่นนี้ ยิ่งทำให้บรรยากาศมืดมัวมากกว่าปรกติ เสียงไก่ป่าที่เคยขันบอกเวลาก่อนใกล้ค่ำ มาบัดนี้พวกมันพากันเงียบเสียงกันหมดแล้ว เป็นสัญญาณว่าช่วงเวลาของสรรพสิ่งที่เริงร่าในยามฟ้าสาง ได้หมดสิ้นลงแล้ว แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นในการออกหากิน ของสัตว์ป่าน้อยใหญ่บางจำพวก  เสียง เป๊บๆ ของเก้งร้องโขกดังก้องจากหุบไหนสักแห่ง ติดตามด้วยเสียง ฮุกฮู...ของนักฮูกดังวังเวงในชายป่า ซึ่งตอนนี้เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงกรีดปีกของแมลงนานาชนิด ถัดออกไปที่สายน้ำ นอกจากเสียงอึกทึกของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวแล้ว บางจังหวะก็มีเสียงฮุบของปลาใหญ่ดังตูมสนั่น ติดตามมาด้วยเสียงน้ำแ ตกกระจายโครมคราม จากฝูงนาคหลายสิบตัว ที่พากันออกหากิน ตามริมตลิ่งชายน้ำ  แต่แล้วพวกมันก็ต้อง ชะงัก เมื่อมองเห็นวัตถุประหลาด พาดขวางเส้นทางหากินของพวกมัน ทำให้พวกมันเกิดอาการ พะว้าพะวง กับวัตถุประหลาดนั้น  บางตัวก็ผลุบเข้าผลุบออก เก้ๆกังๆ ราวกับว่าจะไปต่อหรือจะถอยหลังดี แต่ก็มีบางตัว ที่ใจกล้า ทำจมูกยื่นเข้าไปใกล้เพื่อพิสูจน์กลิ่น แต่แล้วก็ต้องถอยหนีจนน้ำบาน เพราะกลิ่นที่สัมผัสได้นั้นไม่คุ้นเคย บางตัวก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เพราะต่างแลเห็นวัตถุนั้นขยับไหวไปมาช้าๆ จึงทำให้นาคทั้งฝูงพากันส่งเสียงเอะอะกันระงมไปหมด ซึ่งพวกมันเองก็คงไม่รู้ว่า  สิ่งที่มันเห็น หรือ วัตถุประหลาดนั้น คือ มนุษย์

        ราวกับปาฏิหาริย์ หรือ ไม่ก็นรกเมิน ทำให้ชายหนุ่มยังมีลมหายใจอยู่ได้ ร่างที่นอนแน่นิ่งหมดสติมาเป็นเวลานาน จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ร่างนั่นนอนแช่น้ำอยู่ริมตลิ่งนานแค่ไหน สัมผัสแรกที่ชายหนุ่ม ผู้หลุดพ้นจากมือพญายมไม่ใช่ความร้อนแรงดังอยู่ในนรกอย่างที่คิดไว้ แต่มันกลับเป็น ความเย็นยะเยือกราวกับถูกแช่แข็ง ติดตามมาด้วยอาการปวดระบมไปทั้งตัว นอกจากนิ้วมือทั้งสองข้าง ที่ขยับไปมาด้วยอาการสั่นเทา ดวงตาที่ฝ้าฟาง ก็ค่อยๆขยับกรอกไปมาภายใต้เปลือกตา ซึ่งความรู้สึกในตอนนี้มันหนักจนไม่สามารถจะเปิดมันขึ้นมาได้ มีเพียงแสงสว่างเลือนรางเท่านั้น ที่พอจะลอดผ่านเปลือกตาได้เพียงน้อยนิด

        กาลเวลาเริ่มผ่านเลยไป นกกานานาชนิด เงียบเสียงลง พร้อมๆกับแสงสว่างที่ลับหายไปจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก ราตรีกาลหมุนเวียนกลับเข้ามาอีกครั้ง หริ่งหรีด เรไร กรีดปีก ผสานเสียงระงมป่า  พร้อมๆกับสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ที่พากันออกหากินอย่างเริงร่า ปล่อยให้เหล่าสรรพสัตว์ที่เคยออกหากินในรุ่งอรุณได้หลับใหล ร่างที่นอนแน่นิ่งมาเป็นเวลานาน บัดนี้ สติสัมปชัญญะ เริ่มกลับเข้าคืนมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็น ขณะเปลือกตาค่อยๆเปิดออก นั้นก็คือ ร่างของใครคนหนึ่ง ถึงแม้มันจะดูเลือนรางจนเกือบจะมองไม่เห็นเค้าโครง แต่ชายหนุ่มพอจะจดจำภาพที่เห็นนั้นได้

“พ..พะ..พลับพลึง!”

“นั่น คุณจริงๆหรือนี่?”ชายหนุ่มร้องบอกออกมาด้วยเสียงอันแหบพล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววที่เจ้าของร่างนั้นจะโต้ตอบใดๆ หรือแม้แต่จะขยับไหว

“พลับพลึง”

“นั่น ใช่คุณหรือเปล่า”พูดจบก็พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหายไปเสียหมด

“นี่เรายังไม่ตายหรือนี่...”

“แล้วที่นี่ มันที่ไหนกัน!” ชายหนุ่มนึกทบทวน ขณะสายตาของเขายังจับจ้องไปที่ร่างของหญิงสาว

“คุณได้ยินผมหรือเปล่าครับ”พูดจบก็ประคองร่างอันสะบักสะบอมไปที่ตำแหน่งที่เห็นร่างปริศนานั้น แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นเพียง ขอนไม้ผุพังเท่านั้น

“หนาวเหลือเกิน ขืนปล่อยไว้แบบนี้เราคงหนาวตายแน่”ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองในใจ เพราะบรรยากาศตอนนี้เย็นยะเยือกลงไปทุกขณะ

      “ไฟ! ใช่แล้ว เราต้องก่อไฟ”ชายหนุ่มเดนตาย นึกขึ้นได้ก็รีบใช้มือลูบตบไปตามตัว เพื่อหา ไฟแช็ค หรือไม่ก็ไม้ขีดไฟ ที่อาจจะพกติดตัวมาด้วย แต่แล้วก็ต้องถอดใจ เพราะเสื้อผ้าที่เปียกปอนและดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งของทั้งสองชิ้นที่เขาปรารถนาอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

        ความท้อแท้ ความปวดร้าวระบมของร่างกาย ความเหน็บหนาวเยือกเย็นของอากาศ และความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ราวกับโลกทั้งใบมีเขาแต่เพียงลำพัง ชายหนุ่มนั่งพิงขอนไม้นั่น พร้อมกับทอดสายตาไปตามสายน้ำอย่างปราศจากความหมาย กำลังวังชาที่เหมือนว่าจะกลับคืนมาเมื่อครั้งแรก มาบัดนี้กลับลดน้อยลงเพราะกำลังใจที่ถดถอย เนื้อตัวที่พอจะขยับได้ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะชาไปทั้งร่าง เพราะอากาศที่เย็นจัด มนุษย์เดนตายกำลังนึกปลงต่อชีวิตของตัวเองอยู่ ครั้นแล้วพลันสายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่ต้นไม้ล้มริมน้ำชีวิตที่เคยท้อแท้ในยามนั่นกลับดูเหมือนว่าจะมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นในทันที เมื่อเขามองเห็นสิ่งของที่อยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าจะมองเห็นอยู่เลือนรางก็ตาม เขาก็จำสิ่งของสำคัญชิ้นนั้นได้ นั้นก็คือ เป้หลังของเขานั้นเอง

        เหมือนชะตายังไม่ถึงฆาต หรือไม่ นรกก็ยังมีความปราณีอยู่บ้าง ชายหนุ่มรีบประคองร่างของตัวเองไปที่เป้หลังของเขา อย่างทุลักทุเล เขานึกขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาไปพลาง เพราะถ้าไม่มีต้นไม้ที่ล้มขวางต้นนี้ไว้ เป้หลังของเขาก็คงจะหลุดหายไปตามกระแสน้ำ และคงไม่มีโอกาสได้พบอีก เพราะสายสะพายข้างหนึ่งของเป้หลัง เกี่ยวเข้ากับกิ่งก้านของมันพอดี ราวกับมีใครมาช่วยคล้องไว้ให้ ชายหนุ่มตาเป็นประกายก่อนจะคว้าสิ่งนั้นมากอดแนบกาย ราวกับสิ่งของชิ้นนั้นสำคัญยิ่งกับชีวิต โอกาสรอดมาถึงแล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเปิดสำรวจสิ่งของภายในทันที

        เริ่มจาก ด้านใน เสื้อผ้าคงไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกอณูของมันมีแต่น้ำ ห่อผ้าที่บรรจุกล่องลูกปืนอยู่หลายกล่องก็เปียกปอนไปหมด ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มเพิ่งจะนึกออกว่าปืนคู่กายของเขาได้หลุดหายไปเสียแล้ว นอกจากลูกปืนที่ไม่มีความหมาย ในเป้ใบนั้นยังมีแบตเตอรี่ของไฟฉาย ซึ่งก็ดูไร้ประโยชน์ เพราะตัวไฟฉายก็ไร้วี่แววเช่นกัน ถัดมาสำรวจช่องเก็บของด้านนอกเป้ของเขา ก็ใจชื่นกลับมาบ้าง เพราะนองจากอาหารกระป๋องที่เหลือกระป๋องสุดท้าย ในนั้นยังมีซองกันน้ำอย่างดี ภายในซองนั้นมีทั้งยาสามัญต่างๆ ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด รวมถึงชุดทำแผล ก็ยังอยู่ในสภาพดีทั้งสิ้น

        ถัดมาดูอีกช่องก็ปรากฏว่าภายในนั้น มีถุงเก็บเนื้อแห้งอีกพวง แต่ดูเหมือนว่าเนื้อแห้งพวงนั้นจะไม่แห้งเสียแล้ว เพราะถุงพลาสติกที่ถูกผูกปากถุงไว้อย่างหลวมๆ นอกจากถุงเนื้อเค็มแล้ว ยังมีถุงที่ภายในมีเทียนไขอีกสี่ห้าเล่ม แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมของมัน เพราะแต่ละเล่มหักเป็นท่อนๆ คงจะเป็นเพราะแรงกระแทกที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มได้เผชิญมา และช่องเก็บของช่องสุดท้าย นอกจากผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกน้ำ ยังมีมีดพับเล่มเล็กของสวิสเซอร์แลนด์ที่อยู่ในสภาพเดิมของมัน และสิ่งของชิ้นสุดท้าย ที่ทำให้ชายหนุ่มดีใจจนเนื้อเต้นก็คือ ไม้ขีดไฟที่อยู่ในถุงพลาสติกที่เขาเองเป็นคนม้วนผูกปากถุงไว้อย่างดี ภายในกรักนั้น เมื่อลองเขย่าดูก็มีเสียงตอบกลับมา ราวกับเสียงจากสวรรค์ที่กระซิบบอกเขาว่า โอกาสรอดมาถึงแล้ว

        ความมืดเริ่มโรยตัว แต่ปราศจากแสงดาวแสงเดือน ซึ่งตัวชายหนุ่มเองก็ไม่ระแคะระคายต่อความผิดปรกตินี่  อากาศเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่เวลานี้มากกว่า ที่ทำให้ชายหนุ่มทนทุกข์ทรมาน บวกกับบรรยากาศโดยรอบที่ดูน่าตระหนก ต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ที่ขึ้นอยู่รายล้อม พอตกกลางคืนก็เห็นเป็นเงาทึบทะมึนดูหน้ากลัวรอบด้าน ราวกับว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดคอยจับจ่อมมองดูมนุษย์ผู้แปลกหน้า แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ก็คือสายน้ำที่กว่างใหญ่ ถึงแม้จะมองเห็นเป็นเพียงเงาสะท้อนบ้างประปราย แต่เสียงอึกทึกของมันยังคงอยู่

        ภายใต้แสงเทียนที่สาดส่องอยู่เรืองๆ ชายหนุ่มพยายามเพ่งสายตาหาเชื้อฟืนแห้งรอบกาย ไม่ว่าจะเศษหญ้า เศษไม้ ที่พอจะหยิบจับได้บ้าง ขอเพียงให้แห้งเข้าไว้ เขาก็ไม่เกี่ยงงอนว่ามันจะเล็กแค่ไหน เมื่อรวบรวมมาได้ตามที่ต้องการ ก็นำมากองสุมกันใต้เพิงหินใหญ่ริมน้ำนั้น ซึ่งเขาเลือกเป็นที่หลบพักชั่วคราว เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ดีและใกล้ที่สุดในเวลานั้น กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างง่ายดาย ด้วยการต่อไฟด้วยเทียนที่เขาถือ ไม่ช้าไม่นาน กองไฟขนาดย่อม ก็ลุกโชนส่องแสงและไออุ่น ความร้อนของมันทำให้ชายหนุ่มบรรเทาความหนาวเหน็บได้อย่างมาก พร้อมๆกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

        สิ่งต่อไปที่เขาทำคือ สำรวจบาดแผลที่ฝ่ามือของเขา เลือดที่เคยไหลนองในครั้งก่อน ถึงตอนนี้ปรากฏแต่เพียงรอยเขี้ยวเป็นรู และ รอยช้ำจนบวมเป้ง ซึ่งเป็นผลงานของค้างคาวผีในถ้ำนรกนั้น ถึงตอนนี้ ยาสามัญที่นำติดมาด้วยจึงได้ทำหน้าที่ของมัน ไม่ว่าจะเป็น ยาล้างแผล ยาฆ่าเชื้อ และผ้าพันแผล ก็ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ  หลังจากจัดการบาดแผลเสร็จสิ้น ก็มาต่อด้วยอาหาร จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเป็นเนื้อเค็ม เพราะถ้าปล่อยไว้นานอาจจะเสียของได้โดยใช่เหตุ  เพราะมันถูกเปลี่ยนสภาพจากการถูกแช่น้ำมาเป็นเวลานาน โดยไม่มีพิธีรีตองชายหนุ่มโยนพวงเนื้อเค็มลงกองไฟทั้งพวง กลิ่นของเนื้อเค็มย่างส่งกลิ่นหอม จนทำให้ท้องของเขาร้องครวญคราง เพียงไม่นานหลังจากใช้เศษไม้พลิกเขี่ยไปมา เนื้อเค็มย่างก็สุกได้ที่ ถึงแม้จะอยากกินเสียให้หมดพวงเพราะความหิว แต่เขาก็ต้องตัดใจแบ่งเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เพราะไม่รู้อนาคตในวันข้างหน้าว่า จะได้เจออาหารมื้อต่อไปเมื่อไหร่และอีกนานแค่ไหน เต็มที่ อาหารกระป๋อง คงจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่มีอยู่

        หลังอาหารมื้อค่ำ พร้อมกับยาแก้ปวดอีกชุดใหญ่ กำลังวังชาของชายหนุ่ม จึงกลับเขามาเกือบจะเป็นปรกตินอกจากอาการปวดของมือ และ อาการปวดตามตัว ที่คอยจะขัดจังหวะชีวิตเป็นบางครั้งบางคราว ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว พอมีแสงไฟเป็นเพื่อน ก็พอที่จะคลายความเหงาและความหน้าสะพรึงกลัวลงได้บ้าง ขึ้นชื่อว่า พระเพลิง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งใด ก็มีความศักดิ์สิทธิอยู่ในตัวเสมอ เสื้อผ้าอาพรที่เคยเปียกปอน พอโดนความร้อนนานขึ้นก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นความชื้น ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขารีบจัดแจงผึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นบนก้อนหินใหญ่แทนราวตากผ้าอย่างดี สิ่งของชิ้นไหน ที่พอนำไปผิงกับไฟได้ ก็นำมาวางเรียงรายอยู่หน้ากองไฟ ถึงตัวเขาเองในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพที่กึ่งเปลือยเช่นกัน เพราะถ้าขืนยังสวมใส่เสื้อผ้าเปียกๆไปตลอดคืน คงเป็นไข้หรือไม่ก็ปอดบวมตายสถานเดียว

          ราตรีกาลเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า สรรพสำเนียงในยามวิกาล ทั้งที่แบบเคยชิน และแบบไม่คุ้นหูก็มีมากมายหลากหลายชนิด ทั้ง เก้ง กวาง บ่าง นกฮูก นกเค้าแมว บางครั้งก็ฟังดูน่ากลัว ผสานเสียงกับ แมลงนานาชนิด ที่พากันกรีดปีกบรรเลงไพร แต่แล้ววงดนตรีกลางไพร ก็ต้องเงียบเสียง เมื่อมีเสียง โฮก ของเสือโคร่ง ที่อยู่ลึกเข้าไปในดงทึบเบื้องหน้า เข้ามาขัดจังหวะวงบรรเลง จนทำให้มนุษย์ผู้แปลกหน้าถึงกับขนลุกซู่ เพราะไม่เคยพบมาก่อน บ่อยครั้งเขาก็ทนไม่ไหว เนื่องจากเสียงที่ได้ยินนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ ถึงตอนนี้ฟืนแห้ง ไม้ล้ม ที่พอจะหยิบคว้าได้เท่าไหร่ ก็ถูกกองสุมมากขึ้นเท่านั้น โชคดี ที่เขาเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะเพิงหินที่ใช้หลบพักถูกรายล้อมด้วยก้อนหินขนาดใหญ่กลายเป็นกำแพงอย่างดี ดูไปแล้วเหมือนถ้ำย่อมๆ ถ้าพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นเกิดนึกอยากลองชิมเนื้อมนุษย์ขึ้นมา ก็มีเพียงช่องด้านหน้าที่ติดลำน้ำใหญ่นี้เท่านั้น ถึงจะเข้ามาถึงตัวเขาได้ หรือถ้าข้ามลำน้ำนั้นมาได้ ก็ต้องผ่านกองไฟกองใหญ่อีกกอง แต่เหตุการณ์ที่ดูว่าจะเลวร้าย ตอนนี้กลับกลายไปในทิศทางที่ดี เพราะไม่นาน เจ้าของเสียงปริศนาที่ไม่ปรากฏกาย ก็เร้นหายเข้าไปในดงทึบ ราวกับว่ามันคงออกมาสำรวจอาณาเขต และบังเอิญพบกับสิ่งแปลกปลอม ที่มันเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเช่นกัน

        เหตุการณ์กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ไฟกองใหญ่ยังไม่พร่องลง  ตรงกันข้ามชายหนุ่มเดนตาย ยังก่อไฟเพิ่มขึ้นอีกกอง จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณที่เขาอยู่ ดูสว่างรอบทิศทาง พอที่จะมองบริเวณรอบด้านได้อย่างถนัด เผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็ยังพอที่จะมีเวลา มองหาทางหนีทีไล่ได้ถูก อย่างน้อยๆก็มองเห็นซอกหินที่อยู่ด้านหลัง ที่พอจะแทรกกายเข้าไปหลบภัยได้บ้าง ในเมื่อสถานการณ์อาจดูว่าเป็นปรกติ แต่กระนั้นก็ยังไม่ประมาท ชายหนุ่มจึงจัดเตรียมสถานที่ให้ดูปลอดภัยและรัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งกิ่งไม้แห้ง ที่ลากเอามากองปิดปากทางเข้า และก้อนหินขนาดเขื่องที่งัดเอามาขวางและจัดเรียงเป็นกำแพงสำหรับช่องทางที่เป็นจุดเสี่ยง รวมทั้งหอกไม้ปลายแหลม อีกสามเล่ม ที่ชายหนุ่มมานะนั่งเหลาด้วยมีดพับเล่มเล็กที่มีอยู่ ถึงจะดูไม่มีพิษสง แต่อย่างน้อยๆก็ดีกว่าไม่มีอาวุธอะไรเลย

        ลมดึกพัดโชย โยกไม้ใหญ่ในดงทึบให้ไหวเอนอย่างเชื่องช้า ครั้นต้องแสงไฟจากกองฟืน ทำให้เกิดเป็นเงาทะมึน โยงไหวไปตามแรงลม ราวกับปีศาจร้ายในเงามืด ที่เคลื่อนไหวไปมาช้าๆ เพื่อรอจังหวะที่จะเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อย ยิ่งดึกสงัดลงเท่าไหร่ ความเงียบและความวังเวงก็มีมากขึ้นเท่านั้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ชายหนุ่มนอนซุกกายอยู่ใต้ซอกหิน ความอ่อนล้า และความเจ็บปวด เป็นตัวกระตุ้นให้ร่ายกายหมดกำลัง บวกกับยาแก้ปวดที่เริ่มออกฤทธิ์ กลับทำให้ชายหนุ่มทนฝืนสังขารของตัวเองไม่ไหว ทั้งๆที่ตัวเองพยายามข่มใจสักเพียงใด แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กับสังขาร ที่เหมือนจะร้องบอกเขาว่าไม่ไหวแล้ว.....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ชายหนุ่มที่รอดจากขุมนรกออกมาได้ จะพบเจอกับสิ่งลี้ลับอะไรอีก โปรดติดตามตอนต่อไป*****



19
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 10

ตอนที่ 1


          กาลเวลาล่วงเลยไป เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ ที่บุคคลหนึ่งในคณะทั้งแปด ได้พลัดตกลงไปในโตรกผาลึกภายในถ้ำปริศนาแห่งนั้น ซึ่งบัดนี้มันได้กลายมาเป็นกับดักมรณะโดยไม่รู้ตัว และไม่อาจรู้ถึงชะตากรรมของบุคคลนั้น ว่าจะเป็นหรือตาย ท่ามกลางความมืดมิด ชนิดที่ไร้แม้แต่แสงเดือนแสงตะวัน ก็ไม่อาจแผ่รัศมีเข้าไปถึงก้นเหวบริเวณนั้นได้เลย และมันคงเป็นเช่นนี้มานานแล้ว ชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่า ภายใต้ความมืดมิด ที่กลืนกินสรรพสิ่งรอบด้าน จะปรากฏแสงสว่าง ที่ค่อยๆผุดเด่นขึ้นมา แสงสว่างที่ว่า ไม่ใช่แสงเทียนหรือแสงไฟที่ไหน แต่มันเป็นแสงในโสตประสาทส่วนลึกของเขานั่นเอง

          ชายหนุ่มหมดสติไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ก่อนที่จะรู้สึกตัว เหมือนหูของเขา จะแว่วเสียงอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่สามารถจำแนกเสียงเหล่านั้นได้ เพราะความรู้สึกในตอนนี้ เหมือนมีอะไรมาบดทับร่างกายของเขาจนปวดระบมไปหมดทั้งตัว เมื่อค่อยๆขยับเปลือกตา ที่หนักอึ้งเหมือนกับถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มเหล็ก ขึ้นทีละน้อยๆ ก็พบกับคำตอบของเสียงที่แว่วมา เพราะแสงเรืองๆของแสงไฟในกองฟืนที่กำลังปะทุไหม้อยู่ในกองนั่นเอง แต่ก็มองอะไรรอบๆกายไม่ถนัดนัก เพราะอาการพร่ามัวของดวงตาทั้งสองข้าง แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักกับที่ เพราะเหลือบไปเห็นร่างรางๆ ร่างหนึ่ง เมื่อค่อยๆพิจารณาร่างนั้นอย่างพินิจ ชายหนุ่มถึงกับตาสว่างขึ้นมาทันที

“พลับพลึง!”

“คุณนั่นเอง...”ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนที่จะค่อยๆยันกายขึ้นมานั่งด้วยความยากลำบาก

“ใช่แล้ว”

“เราเอง”หญิงสาวในชุดสไบคาดเฉียงเอ่ยขึ้น พร้อมรอยยิ้ม

“ที่นี่ที่ไหนครับ”

“ผมสับสนไปหมดแล้ว?”ชายหนุ่มพูด พลางสะบัดศีรษะไปมาอย่างมึนงง

“ท่านจงพิจารณา สิ่งรอบกายของท่านดูเถิด”

“แล้วท่านจะได้คำตอบ”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึงกล่าว เมื่อได้คำอธิบาย ชายหนุ่มจึงหันไปสำรวจรอบๆบริเวณ ก็พบกับต้นตะเคียนใหญ่ต้นเดิม

“ปะ..ปะ..ประหลาด”

“เท่าที่ผมจำได้ ผมหนีช้างป่าเข้าไปในถ้ำไม่ใช่หรือ จู่ๆจะมาโผล่ที่นี้ได้อย่างไร”ชายหนุ่มละล่ำละลัก แต่ไม่ทันที่เขาจะกล่าวอะไรต่อ สุภาพสตรีหน้าหวานก็เอ่ยขัดขึ้นมาว่า

“แล้วต่อจากนั้น เป็นเยี่ยงไร?”

“...”ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพื่อใช้ความคิดลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“ผมจำได้แค่เพียงว่า ในถ้ำที่ผมเข้ามา มันมืดเสียจนผมมองไม่เห็นทางแล้ว...”

“...?”หญิงสาวไม่พูดใดๆ แต่แสดงสีหน้าเหมือนอยากได้คำตอบ

“ต่อจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้เลยครับ”

“มารู้สึกตัวอีกที ผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”ชายหนุ่มหันมาตอบหญิงสาว

“...”หญิงสาวไม่เอ่ยถ้อยคำใด แต่เปลี่ยนสีหน้าดูเข้มขรึมลง แล้วค่อยลุกขึ้นมายืนเด่น ก่อนที่จะค่อยๆก้าวเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม

“ท่านสิงห์”หล่อนเอ่ยนามของเขา

“ครับ”สิงห์ต่อสั้นๆ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองเรียวหน้างามของหล่อน

“ท่านรู้หรือไม่ว่า สถานที่ ที่ท่านได้ล่วงล้ำเข้าไปนั้นคือที่ใด?”

“ผม..ผมไม่รู้ครับ”คำตอบที่ได้ ทำเอาคนถามถึงกับส่ายหน้าไปมา ประหนึ่งผิดหวัง หรือไม่ก็ระอา

“ท่านจงตรองดูเถิด”
“สถานที่แห่งหนใด คือจุดหมายปลายทางของพวกท่าน”หล่อนกระชั้นคำถามให้แคบลงไปอีก เท่านั้นเอง ความคิดอะไรบางอย่างของชายหนุ่มก็พลันแล่นวูบขึ้นมาในทันที

“ป่าดำ!”

“คะ..คะ..คุณพลับพลึง หมายถึง ป่าดำ ใช่หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มละล่ำละลักถาม

“ข้อนั้นเราตอบท่านมิได้ดอก”

“เราตอบได้แต่เพียงว่า...”หญิงสาวหยุดประโยคสนทนาไว้แค่นั้น ก่อนที่จะค่อยๆหันหน้าออกไปทางป่าทึบ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า

“สถานที่ ที่ท่านได้พลัดหลงเข้าไปนั้น คือหุบเหว ที่เปรียบเสมือนด่านปราการแรก ที่จะนำทางคณะของพวกท่าน ไปสู่จุดหมาย!”หล่อนกล่าวจบ ก็ค่อยๆหันกลับมาสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง

“...เหว อย่างนั้นรึ!”

“ใช่สิ ตอนที่เราวิ่งเข้ามาในถ้ำ”

“เหมือนว่า....เหมือนว่าเราล้มคะมำ แล้วกลิ้งลงมานี่หว่า”ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดที่อยู่ในใจของชายหนุ่ม

“นี่แสดงว่าเราตกเหวลงมาอย่างนั้นหรือ”พอนึกถึงเหว ความรู้สึกใจหายวูบก็พลันเกิดขึ้น

“หรือว่า เราตายไปแล้ว!”

“ยังดอก...”

“...!”ชายหนุ่มหยุดชะงักในความคิดไว้เช่นนั้น เพราะเสียงหวานใส ที่แทรกเข้ามา

“ดวงจิตของท่านยังมิได้ดับสูญ!”หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบ

“น..นะ นี่คุณ อ่านความคิดผมได้ด้วยหรือ!”

“ตื่น!”

“ตื่นเสียทีสิโว้ย!”ชายหนุ่มโพล่งออกมา พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า

“ท่านสิงห์ ท่านจงตั้งสติของท่านไว้ อย่าได้ร้อนใจอันใดเลย”

“สิ่งที่ท่านกำลังได้เผชิญอยู่นี้ ให้ท่านถือเสียว่า มันคือบ่วงกรรมของท่าน”หญิงสาวตอบ

“บ่วงกรรม?”

“ผมคงทำบาปทำกรรมเอาไว้มาก ถึงต้องชดใช้กรรมในเหวนรกนั่น”

“อาจเป็นเช่นนั้น”

“มันเป็นบททดสอบแรกของท่าน ที่ชะตาชีวิตของท่านจะต้องเผชิญ”หล่อนเอ่ย

“ชะตาของผม?”

“นี่ผมจะต้องหลงอยู่ในก้นเหว ที่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะลึกแค่ไหนอย่างนั้นหรือครับ”ชายหนุ่มร้องถาม

“จงใช้สติ และใช้ปัญญาของท่านเถิด”

“ตราบใด ที่ท่านยังมีปัญญา จงใช้ปัญญาของท่าน แก้ไขปัญหา เมื่อนั้นท่านจะพบกับหนทางสว่าง”

“ดังปมเชือกที่ท่านมัดมันขึ้นมา หามีผู้ใดไม่ ที่สามารถแก้ปมเชือกนั้น ได้ดีไปกว่าตัวของท่านเอง”หญิงสาวตอบ ก่อนที่จะค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนก้อนหินราบเรียบก้อนหนึ่ง ตาประสานตากันอีกครั้ง มีเพียงกองไฟกองน้อยเท่านั้น ที่กั้นขวางระหว่างหล่อนและชายหนุ่ม แววตาคู่นั้น ได้สบตาครั้งใดก็ครั้งนั้น ไม่มีครั้งไหนเลยที่ชายหนุ่มจะไม่รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ มันแรงเสียกว่าเจอไอ้งายาวเชือกนั้นเสียอีก หล่อนทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น นอกจากดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจะหยุดโลกทั้งใบให้หยุดนิ่ง กลิ่นกาย ของหล่อนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธร้ายที่คอยทิ่มแทงความรู้สึกของชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องบอกถึงเรือนร่างของหล่อน ที่มีสภาพกึ่งเปลือยอยู่ตรงหน้า มีเพียงผ้าสไบผืนบาง ที่เปรียบเสมือนอาภรณ์ที่ใช้ปกป้องสองปทุมถันของหล่อนเท่านั้น ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะมันไม่สามารถปกปิดส่วนนั้นของหล่อนเอาไว้ได้เลย ชายหนุ่มหลงอยู่ในภวังค์ เช่นนั้นนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ไฟในกองฟืนปะทุไหม้ดัง เปรี๊ยะ ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบหลบสายตาของเขาไปทางอื่น

“อันที่จริงผมคิดว่า ถ้าผมตายไปก็ดีเหมือนกัน”

“ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางหลบสายตาลงไปมองไฟในกอง อย่างปราศจากความหมาย

“ท่านสิงห์”

“เหตุไฉน ท่านถึงคิดเยี่ยงนี้”หญิงสาวที่มีเรือนร่างขาวนวนราวกับปุยนุ่น เอ่ยขึ้น

“ผมก็ตอบคุณไม่ถูกเหมือนกันครับ”

“อาจเป็นเพราะผมมีความรู้สึกว่า โลกใบนี้มันเริ่มจะน่าเบื่อลงไปทุกทีกระมัง”ชายหนุ่มตอบ

“มันมิง่ายไปฤา ที่ท่านคิดเยี่ยงนั้น”

“ท่านจะมาด่วนจากไป โดยไม่คิดที่จะชดใช้กรรมมิได้ดอก”

“กรรม คำก็กรรม สองคำก็กรรม”

“นี่ผมคงสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มากมาย เลยสินะครับ ถึงชดใช้เท่าไหร่ก็คงไม่จบไม่สิ้น”ชายหนุ่มร้องบอก พลางยกไหล่ผายมืออกมาทั้งสองข้าง

“ก็เพราะมันเป็นวิบากกรรมของท่านที่จะต้องเผชิญ”

“แหนะ!”

“ไม่ทันขาดคำ กรรม อีกล่ะ”ชายหนุ่มร้องขัด จนคนเสวนาด้วย ถึงกับทำตาค้อนใส่

“ท่านสิงห์”หล่อนเอ่ย

“ต่อให้ท่านพยายามเยี่ยงไร ช้าเร็วท่านก็ต้องเผชิญ แต่จะเป็นเยี่ยงไรหรือในรูปแบบใดนั้น เราเองก็มิอาจตอบท่านใด”หล่อนเอ่ย พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาม้วนปลายเส้นผมที่ยาวสลวยเป็นเงาไปมา

“เอาเถอะครับ ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหน ผมก็พร้อมแล้ว”

“ขอแค่มีคุณอยู่เป็นเพื่อนผมแบบนี้ไปตลอดก็พอครับ ขืนอยู่คนเดียวคงเหงาตาย”ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างจริงใจ ขอให้มีหล่อนเป็นเพื่อนเช่นนี้ ต่อให้ต้องไปชดใช้กรรมที่นรกขุมไหนเขาก็ไม่กลัวอีกแล้ว

“เออ...”

“คุณพลับพลึงครับ”ชายหนุ่มเอ่ยนามของหล่อน แต่ก็ทำท่าลังเล เหมือนจะถามอะไรบ้างอย่างกับหล่อน แต่ก็ดูกล้าๆกลัวๆที่จะถาม

“ท่านมีเรื่องอันใด”

“ท่านก็จนบอกเรามาเถิด เรายินดีตอบท่านทุกเรื่อง ตามที่เราจะสามารถตอบท่านได้”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงเอ่ยถาม

“ครับ”

“ข้อนั้นผมพอทราบดี เอาเป็นว่า ข้อไหนที่คุณพอจะตอบผมได้ก็ขอให้คุณช่วยตอบผมมานะครับ”ชายหนุ่มบอก หญิงสาวยิ้มหวาน แทนคำตอบ
“พวกผมที่เหลือ ยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่าครับ”

“มีใครได้รับอันตรายจากช้างป่าโขลงนั้นหรือเปล่า?”ชายหนุ่มร้องถาม พลางทำสีหน้าขรึม

“นอกจากท่าน ที่ดวงจิตยังมิได้ดับสูญ”

“ยังมีดวงจิตจากบุคคลทั้งเจ็ด ที่ยังคงอยู่”หญิงสาวตอบ พลางส่งยิ้มหวาน

“จะ..จะ..จริงหรือครับ”

“ผมดีใจจริงๆ ที่ทุกคนยังปลอดภัย”ชายหนุ่มละล่ำละลักอยากยินดี แต่ก็ต้องชะงักไป เพราะหล่อนเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“มีดวงจิตดวงหนึ่ง ที่ดับสลาย”

“คุณพลับพลึงหมายความว่าอย่างไรครับ”

“ดวงจิตดวงหนึ่งดับสลายไป?”ชายหนุ่มร้องถาม

“ท่านจงตรองดู”

“ท่านรอดพ้นจากคชสารมาเยี่ยงไร ก่อนที่ท่านจะพลัดหลงเข้ามาในถ้ำแห้งนั้น”หญิงสาวเอ่ย เหมือนให้ชายหนุ่มใช้ความคิดไตร่ตรองเหตุการณ์ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“ไอ้พะบอง”

“ผมจำได้แต่เพียงว่า เหตุการณ์ตอนนั้นมันชุลมุนเสียจนทำอะไรไม่ถูก”

“เหมือนจะคลับคล้ายคลับคาว่า ตอนที่ผมกำลังถูกไอ้ช้างป่าพยายามใช้งวงกระชากขาข้างหนึ่งออกไปจากซุ้มเถาวัลย์ จู่ๆ ไอ้พะบองก็กระโจนเข้ามา”ชายหนุ่มตอบ พลางใช้ความคิดลำดับเหตุการณ์

“ผมไม่รู้ว่าผมหลุดออกมาจากงวงนั้นได้อย่างไร”

“แต่พอหลุดจากงวงของมันได้ ผมก็รีบคลานเข้าไปในดงเถาวัลย์ทันที”

“ไม่น่าเชื่อว่ามันจะใจกล้าขนาดนั้น”

“โธ่..”ชายหนุ่มพูดจบ ก็ถอนหายใจดังเฮือก

“สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม”

“สหายสี่เท้าของท่าน ก็คงเป็นเยี่ยงนั้น ทุกสรรพสิ่งย่อมมีวันแตกดับด้วยกันทั้งนั้น”หล่อนกล่าว

“.....”ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“มันคงเป็นลางร้ายกระมังครับ”

“ใครจะคิด ว่าการที่ผมมาเที่ยวป่าเพื่อความบันเทิงแบบนี้ จะกลายมาเป็นหายนะ”สิงห์เอ่ย พลางนั่งทบทวนความผิดพลาด ที่ตัวเองและคณะได้ก่อขึ้น เริ่มตั้งแต่ที่พวกเขาทำสะเพร่าจนทำให้เกิดไฟป่า เพียงแค่แลกกับรังผึ้งรังเดียว ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะสาเหตุนี้เอง ที่คณะของเขาต้องมาพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ถูกของหล่อนที่ว่า ทั้งหมดนี้มันคือวิบากกรรมของเขา ที่จะต้องเผชิญ

“เพราะความอยากรู้อยากเห็นของผมแท้ๆ ที่ทำให้คนอื่นต้องพลอยมาเดือดร้อน”

“ผ่าสิ!...ผมไม่น่าหาเรื่องมาเลย”ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง

“มันเป็นลิขิตของท่าน”

“รวมถึงคณะของพวกท่าน ก็ถูกลิขิตไว้ร่วมกัน”หล่อนเอ่ย

“ลิขิตอย่างนั้นเหรอครับ”

“คนมีเป็นหมื่นเป็นแสน ทำไมสวรรค์ถึงเลือกผม?”ชายหนุ่มร้องถาม พลางหัวเราะหึๆอยู่ในลำคอ ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง

“ข้อนั้นเรามิอาจที่จะตอบท่านได้ดอก”

“ถ้าท่านคิดว่า สวรรค์เป็นผู้ที่เลือกและกำหนดชะตา ชีวิตของท่าน ตามที่ท่านได้กล่าวมา”

“ท่านเองก็ควรจะภาคภูมิใจมิใช่ฤา?”หล่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ในเหวนรกนั่นนะรึ!”

“แหม่..สวรรค์ เข้าใจเลือกสถานที่ให้ผมเสียจริงๆ น่าจะหาสถานที่ ที่มันน่ารื่นรมย์กว่านี้เสียหน่อยก็ไม่ได้”

“แต่ก็ยังดี”ชายหนุ่มกล่าวเปรยกับตัวเอง

“เยี่ยงไรฤา?”หญิงสาวเลิกคิ้วถาม

“อย่างน้อยๆท่านเทวดาบนสวรรค์ ก็ยังมีจิตใจเมตตา ส่งนางฟ้าแสนสวยลงมาเป็นเพื่อนผม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ส่งไปเที่ยวนรกขุมไหน ผมก็ยอม”ชายหนุ่มกล่าวจบ ก็หันหน้าขึ้นไปสบตาหล่อนคนนั้น หล่อนที่เปรียบเสมือนนางฟ้าของเขานั้นเอง ถูกเกี้ยวต่อหน้าต่อตาแบบไม่ได้ทันตั้งตัวเข้าอย่างจัง มีหรือที่หญิงสาวจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา ถึงหล่อนจะพยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้เช่นไร แต่ด้วยธรรมชาติของสตรีเพศในตัวหล่อนทำให้หล่อนถึงกับหน้าแดง

“วาจาของท่าน เปรียบเสมือนคมมีด”

“ท่านคงกล่าวถ้อยคำเยี่ยงนี้ กับสตรีทุกนาง”หล่อนกล่าว แต่ยังแสดงอาการขวยเขินอยู่ให้เห็น

“ก็ไม่บ่อยนักหรอกครับ”

“เพราะนานๆครั้ง ผมจะเจอผู้หญิงสวยๆสักครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆแบบคุณ ผมไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”ชายหนุ่มพูดจบก็สบตาหญิงสาวอีกครั้ง จนหล่อนต้องหลบตาหนี ใช่แล้วในโลกของความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ความฝันเช่นนี้ จะมีหรือไม่ในโลกนี้ ที่จะมีหญิงสาว ที่สวยเพียบพร้อมเช่นเธอ และคงไม่มีบุรุษเพศใดในโลกนี้ ที่จะไม่คิดตกหลุมรักหล่อน จะมีก็แต่ คนตาบอดเท่านั้น ที่มองไม่เห็นความสวยงามของหล่อน

          ในห้วงภวังค์ ราวกับถูกสาป หรือไม่ก็ต้องมนต์สะกด อะไรบางอย่าง ความรู้สึกกลัวในครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในหุบลึกของเหวปริศนา มาบันนี้ความรู้สึกนั้นกลับหายไปหมดสิ้น เหมือนกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ซึ่งถ้าตื่นขึ้นมา ภาพแห่งนิมิต เหล่านั้นคงหายไป แต่ชายหนุ่มจะรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่เขาได้เผชิญมานั้น มันไม่ใช่ความฝันอย่างที่เขาเข้าใจ และเมื่อตื่นขึ้นจากฝันร้าย เขาเองจะพบกับคำตอบที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะหล่อนคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้น กี่ครั้งแล้วที่เขาได้พบหล่อน จะเป็นไปได้หรือ ที่เขาจะฝันเห็นภาพหล่อนแบบนี้มาหลายคืนติดต่อกัน นับตั้งแต่คืนแรกที่ย่างกายเข้ามาในไพรกว้างแห่งนี้ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขานึกหนักใจหรือหวาดกลัว ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข เมื่อได้พบหล่อนอีกครั้ง ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม

“ท่านสิงห์”

“ท่านมิมีความอันใด ที่จะซักถามเรา อีกฤา”หญิงสาวกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ แต่ก็กังวานพอที่จะให้ชายหนุ่ม หลุดออกมาจากห้วงภวังค์

“ออ...เอ่อ..”

“ผมอยากรู้ว่า ที่หุบเหวที่ผมตกลงไปนั้น มีเส้นทางออกหรือไม่ครับ”ชายหนุ่มร้องถาม หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย

“อ่า...”

“คุณพอจะบอกเส้นทางนั้นกับผมได้หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มร้องถามอย่างคนมีความหวัง แต่ก็ต้องทำหน้าเศร้าเพราะหล่อนเอ่ยทำลายความหวังของเขาว่า

“ข้อนั้นเรามิสามารถ ตอบท่านได้”

“มันเป็นลิขิต ของท่าน ที่จะต้องพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น”หญิงสาวตอบ แต่แอบซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากเล็กน้อย

“โธ่...คุณพลับพลึงครับ”

“แบบนี้ผมไม่แห้งตายอยู่ในรูนั้นรึ?”ชายหนุ่มพูดจบก็ยกมือเกาท้ายถอยตัวเองแกรกๆ

“สติและปัญญาของท่านเท่านั้น ที่ท่านจะต้องนำมันออกมาใช้”

“เมื่อนั้นท่านจะพบกับแสงสว่าง ดังแสงเทียนที่ส่องชี้นำในความมืด”หญิงสาวกล่าว พร้อมรอยยิ้ม

“ปัญญาทึบสิไม่ว่า”

“คุณคงจะให้ผมนั่งสมาธิแล้ว เอาน้ำลายแตะขมับตัวเอง แบบ อิคิวซัง สินะ!”ชายหนุ่มพูดพลางยกมือคุมขมับ

“...?”

“ข้อนั้นเรามีทราบ ว่าท่านจะใช้วิธีเยี่ยงไร”หญิงสาวกล่าว

“ถ้าผมหาทางออกไม่ได้จริงๆ คุณจะช่วยผมหรือเปล่าครับ”

“อย่างน้อยๆ บอกใบ้ให้ผมได้รู้หนทาง ให้มากกว่านี้ก็ยังดี”

“...”หล่อนไม่ตอบ

“นิดหนึ่งนา...”ชายหนุ่มกระเซ้า

“...”เงียบ พลางทำหน้าดุใส่ จนคนถามถึงกับสะดุ้ง

“ปุดโถ่...!”

“บอกนิดบอกหน่อยก็ไม่ได้ แบบนี้ไอ้สิงห์ได้แห้งตายแหงๆ”พูดจบก็ทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หลา อย่างหมดเรี่ยวแรง

“เอ๊า! เป็นไงเป็นกันวะ”

“อย่างน้อยๆ ตายไปก็ไม่เหงา”พูดจบก็พลิกตัวตะแคงหันหน้ามาทางหล่อน

“อาจเป็นเยี่ยงนั้น”

“ฤา อาจมิได้เป็นเยี่ยงนั้น!”หล่อนตอบ พลางเขยิบกายถอย เมื่อเห็นชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะมือข้างหนึ่งของหล่อนถูกชายหนุ่มคว้าเอาไว้แน่น และโดยไม่ทันที่หล่อนจะตั้งตัว ตักอันนุ่มนิ่ม ก็ถูกชายหนุ่มขึ้นไปหนุนหัวนอนหน้าตาเฉย โดยกุมมือของหล่อนเอาไว้แน่นแนบอก

“..!”

“ทะ ท่าน..จะทำอันใดฤา”หญิงสาวร้องบอกเสียงสั่น

“...”

“ขอให้ผม ได้นอนอยู่อย่างนี้ต่อไปเถอะครับ คุณพลับพลึง”

“หรือถ้าผมทำให้คุณโกรธเคือง ผมยอมให้คุณพลับพลึงหักคอผมตอนนี้เลยก็ได้”ชายหนุ่มกล่าวในขณะที่หลับตา พริ้มอยู่เช่นนั้น

“อนาคตข้างหน้าผมก็ไม่รู้ ว่าจะอยู่หรือจะตาย”

“ผมรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้อยู่ใกล้ชิดคุณแบบนี้ครับ คุณพลับพลึง”พูดจบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆลืมตาขึ้นสบตาหล่อนอีกครั้ง ดวงตาคู่งามของหล่อนสบตาตอบ จนชายหนุ่มถึงกับ รู้สึกวาบหวิวเข้าไปในหัวใจจนบอกไม่ถูก หัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่ากลองเพลด้วยอาการตื่นเต้น ไอ้งายาวที่ว่าแน่ หัวใจของชายหนุ่ม ยังไม่สั่นเท่าได้สบตาคู่นั้นของหล่อนเลย

“ผมขอโทษ หากการกระทำเช่นนี้ ทำให้คุณไม่สบายใจ”

“แต่ได้โปรดเถิดครับ อย่างน้อยๆ ขอให้ผมได้มีความสุขอยู่เช่นนี้ ก่อนที่ผมจะ..ต.!”ชายหนุ่มผู้ตกลงในห้วงแห่งความฝัน พูดได้แค่นั้น ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะมีมือเรียวงามข้างหนึ่ง เอื้อมขึ้นมาแตะริมฝีปากของเขา ไม่ให้พูดต่อ พลางส่ายศีรษะไปมาช้าๆ

“สิ่งที่ท่าน ปรารถนาที่จะเอ่ยมานั้น มันมิได้เกิดขึ้นง่ายๆ ดังที่ท่านคิดดอก”

“ตราบใด ที่ท่านยังชดใช้หนี้กรรมที่ท่านก่อไว้มิหมด”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ผมคงทำบาปไว้มากมาย มากเสียจนตามชดใช้ไม่หมดกระมัง”

“แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ไม่ว่านรกขุมไหน ผมก็ไม่กลัวทั้งนั้น ผมพร้อมที่จะเผชิญแล้วครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ พลางกุมมือของหล่อนไว้เช่นนั้น

“เมื่อผมตื่นจากฝันนี้...ซึ่งอันที่จริงผมเองก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาสักเท่าไหร่”

“ผมจะพยายามใช้สติปัญญา อย่างเต็มที่ ตามที่คุณพลับพลึงแนะนำ”

“หรือถ้ามันจนปัญญาของผมแล้วจริงๆละก็...”

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับ ผมรับมันได้ทุกอย่าง” ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

“เรายินดียิ่งนัก ที่ท่านคิดเยี่ยงนี้”

“มิมีอุปสรรค์ อันใดที่จะสามารถขวางกั้น ท่านได้ ถ้าท่านมีแรงปรารถนา อันแรงกล้าเยี่ยงนี้”

“ไม่ใช่แรงปรารถนาที่ไหนหรอกครับ เป็นเพราะคุณพลับพลึงมากกว่า ที่ทำให้ผมมีแรงฮึดสู้ต่อไป”ชายหนุ่มพูดจบ ก็เลื่อนมือที่กุมไว้ ขยับขึ้นมาไว้แนบชิดแก้มของเขา

          ผิวกายที่ขาวดังปุยนุ่น ครั้นเมื่อกระทบแสงไฟสีเหลืองอัมพัน ที่ส่องแสงสว่างฉาบไปตามเรือนร่างของหล่อน ทำให้ผิวของหล่อนดูเนียนตาไร้ตำหนิ ละคนกับกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ป่า ซึ่งคนได้กลิ่นอย่างกระชั้นชิดแบบนี้ ยังไม่สามารถแยกแยะได้ออกว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใด จะว่าเป็นกลิ่นของดอกช้างกระ ที่เสียบติดทัดหูของหล่อนก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเขาก็พอที่จะจำแนกได้ออก แต่กลิ่นที่หอมรัญจวนใจแบบนี้สิ มันทำให้เขาต้องประหลาดใจเป็นที่สุด ราวกับว่ามันจะถูกสกัดมาจากดอกไม้ป่าสารพัดชนิด แล้วนำมาประพรมไปตลอดทุกอณูผิวของหล่อน ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้ชายหนุ่มเผลอขยับมือของหล่อนที่กุมไว้ขึ้นมาดมอย่างลืมตัว จนผู้ที่เป็นเจ้าของมืองามนั้นมีอาการอึกอักไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด

“...!”

“ทะ..ท่าน”หล่อนละล่ำละลัก

“ท่านสิงห์...”
“...”

“ท่านสิงห์ ถึงเพลาแล้ว ที่เราต้องลาจากท่านไป”หญิงสาวกล่าว ทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับใจหายวาบ หมดเวลาแล้วหรือ ที่เขาและหล่อนจะต้องจากไปอีกครั้ง

“ได้โปรดเถิดครับคุณพลับพลึง”

“ได้โปรดให้ผมได้อยู่แบบนี้ต่อไปเถิดครับ อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ผมได้หลับไป โดยที่มีคุณอยู่เคียงข้างผมเช่นนี้เถิดถือว่าผมข้อร้องคุณ”พูดพลางส่งสายตาวิงวอน พลางกุมมือของหล่อนไว้แน่นขึ้นอีก

“ไม่แน่ ในวันข้างหน้า ผมอาจจะไม่ได้ผมคุณอีกก็ได้”

“นะครับ คุณพลับพลึง”

“ท่านลืมไปเสียแล้วฤา?”

“ทุกราตรีกาล หากท่านระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีก”ไม่พูดเปล่า หล่อนที่มีนามว่าพลับพลึง กลับค่อยๆเอื้อมมือมาลูบบนเส้นผมของชายหนุ่มช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยมาว่า

“ราตรีสวัสดิ จงมีแด่ท่าน”

“ขอให้ท่านจงใช้สติ และปัญญา ให้ถึงที่สุด  เมื่อนั้นแสงเทียนในใจท่าน จะส่องนำทาง ให้ท่านได้พบกับหนทางสว่าง”หล่อนเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่ม่านตาของชายหนุ่มจะค่อยๆปิดลง ท่ามกลางกลิ่นอาย ที่หอมคลุ้งไปทั่ว นี้หรือความทุกข์ทรมานที่เขาจะได้รับ นี้หรือขุมนรกที่เขาจะได้เผชิญเมื่อลืมตาขึ้น ต่อให้เป็นนรกขุมไหนก็ตาม เขาก็ไม่คิดหวั่น ตราบใด ที่มีหล่อนเคียงข้างอยู่เช่นนี้ อุปสรรค์หรือขวากหนามจะมากั้นขวางเส้นทางขนาดไหน มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากขนนกที่ไร้ประโยชน์ ที่จะมาขวางกั้น แรงแห่งศรัทธาของชายหนุ่ม  แรงศรัทธาที่หล่อนเป็นคนจุดประกาย  ให้เขาได้มีความหวัง ชายหนุ่มบอกกับตนเองเช่นนั้น ก่อนที่เคลิ้มหลับไป...


*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เมื่อชายหนุ่มตื่นขึ้นจากความฝัน โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

.....

ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งนะครับ ^ ^
เมื่อเสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปกับคณะ ในกิจกรรม "เดินป่ากับนักเขียน" จริงๆกิจกรรมนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วครับ แต่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้เข้าร่วมด้วย เหตุผลที่ไปเพราะ มีนักเขียน ที่ผมติดตามผลงานมานาน ได้ร่วมเดินทางไปด้วยครับ
จุดแรกที่แวะคือ อ่างเก็บน้ำ เขื่อนสียัด ซึ่งอดีตภายใต้ผืนน้ำแห่งนี้ เคยเป็นป่าผืนใหญ่มาก่อน บรรยากาศน่ามาตั้งแค้มป์ตกปลามากครับ


พวกเราทั้งหมดประมาณ 50 กว่าคน ไปพักแรมกันที่ อช.หลุมจังหวัด ครับ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาอ่างฤาไน
ในรูปเอาคุณนาย(พลับพลึงของผม ฮาๆ) ไปคุม เอ๊ย! พาๆปเที่ยวด้วย เผื่อไอ้ตัวเล็กที่อยู่ในท้องจะชอบ (อ้างไป) สรุปได้นอนนอกบ้าน คุณนายนอนในบ้าน(เต๊นท์) ผมนอนนอกบ้าน(เปล) ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมายังไงไม่รุ ฮาๆ


ท่านนี้ล่ะครับ นักเขียนในดวงใจผม หลายๆคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า วัธนา บุญยัง หลายคนอาจจะร้องอ๋อ
อ.วัธนา บุญยัง เป็นคนกันเองมากครับ เรียบง่าย เฮฮา คุยสนุกครับ โดยเฉพาะตอนที่ อ.วัธนา เล่าถึงอดีตของป่าเขาอ่างฤาไน (เก็บข้อมูลเอามาโม้ในนิยามผม อิอิ)


อีกท่านคือ...?  มีน้าท่านใดพอที่จะตอบในใจได้หรือเปล่าครับ
หลายคนอาจไม่รู้จักอีกเช่นเคย แต่ถ้าผมบอกว่า บุหลัน รันตี  อ๋อเลยใช่มั๊ยครับ ผมขอเรียกว่า พี่ บุหลัน ดีกว่า เพราะอายุอานายังหนุ่มยังแน่นมากเลยครับ ผิดคาดเลย ที่ผมคิดว่า ตัวจริงน่าจะอายุมากแล้ว แต่ขอบอกว่า เรื่องเที่ยวป่าแกสุดยอดจริงๆครับ และที่สำคัญ บ้านก็ติดๆกับผม คือ พี่เขาอยู่ จ.ราชบุรี ผม กาญจน์ (แอบตีสนิท)
ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสคุยกันสองต่อสอง(เอ๊ะยังไง) ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีพี่ท่านผูกเปลนอนข้างๆผมพอดี ผมเลยมีโอกาสได้คุยกับพี่ท่าน ขอคำปรึกษาต่างๆนานา ถึงเทคนิคและขั้นตอนในงานเขียน ได้ความรู้มากมายครับ น้าๆทุกท่านในที่นี้ก็สามารถเป็นนักเขียนที่ดีได้ครับ ขอให้มีความมานะและพยายาม สิ่งที่คิดว่ายากมันอาจจะไม่ยากอย่างที่ท่านคิดก็ได้




20
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 9

ตอนที่ 1

          ราตรีกาลเคลื่อนคลายออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสิ่งต่างๆที่ถูกซ่อนงำไว้หลังม่านความมืดมิด ราวกับคลื่นทะเลในยามน้ำลง ที่เผยให้เห็นพื้นทรายอย่างไรอย่างนั้น อากาศในยามเช้าที่ยังดูมืดครึ้ม เพราะในราวป่ายังหนาแน่นไปด้วยสายหมอกที่หนาทึบ แลดูเป็นละอองฝอยเหมือนฝุ่นแป้ง ที่แผ่ปกคลุมกระจายฟุ้ง ต้นไม้ต้นหญ้าทั่วทั้งบริเวณในตอนนี้ ดูชื้นแฉะไปหมด เพราะอิทธิพลของอายหมอกที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำค้าง นอกจากพืชพรรณที่เปียกปอนนั้นแล้ว บริเวณพื้นดินและหมู่หินก็พลอยเปียกแฉะไปด้วย

          เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง ก็เหมือนกับสัญญาณชีวิตที่เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง นกกานานาชนิด ส่งเสียงเพรียกขับขานอย่างเริงร่าในราวไพร เช่นเดียวกับหมู่แมลงก็พากันกรีดปีกอย่างไม่น้อยหน้า สูงขึ้นไปเหนืออายหมอกและยอดไม้ นกเงือกฝูงใหญ่บินผ่านไปหลายฝูง ถึงแม้จะมองไม่เห็นตัวเพราะถูกบดบังจากสายหมอก แต่เสียงของปีกอันใหญ่ของมัน ที่กระพือผ่านอากาศดัง หวือๆ ฟังได้ชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันบินไปทางไหน แต่ถ้าเดาไม่ผิด ในไพรกว้างแห่งนี้คงจะมีลูกไม้สุกที่ใดสักแห่งให้พวกมันได้จิกกิน

          อากาศสดชื่น แจ่มใสบริสุทธิ์ คละเคล้ากับอายหมอกจางๆ ถึงแม้ว่า ราตรีกาลได้ผ่านล่วงเลยไปนานแล้ว แต่ความหนาวเย็น ดูเหมือนกับจะยังไม่เคลื่อนตัวไปไหน อากาศเย็นยะเยือกจนพูดหรือหายใจออกมาเป็นควันขาว ราวกับคนที่สูบบุหรี่เป่าควันพุ้ย ถึงแม้จะหนาวเย็นขนาดไหน จนไม่อยากจะลุกขึ้นออกมาจากโปรงผ้าห่ม แต่ชายหนุ่มก็สู้ทนนอนแบบนั้นต่อไปไม่ไหว เพราะพื้นที่แข็งกระด้างที่ตัวเองนอนมาตลอดทั้งคืน ทำให้ปวดระบมตามร่างกายไปหมด ยิ่งอากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ ยิ่งเพิ่มความทรมานสังขารตัวเองจนบอกไม่ถูก สิ่งแรกที่เปิดเลิกถุงนอนออกมา ในขณะที่ตัวเองนอนหงายอยู่นั้นก็คือ เงาลางๆของยอดไม้ที่ถูกบดบังด้วยสายหมอกที่ดูขาวโพลนไปหมด เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดูเพื่อตรวจเช็คเวลา เข็มนาฬิกาตอนนี้ชี้บอกเวลาที่ หกนาฬิกา สิบแปดนาที หรือตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเช้านิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่าเขาอีกแล้ว ที่ตื่นเป็นคนสุดท้าย หรือจะบอกว่าตื่นสายกว่าเพื่อนก็คงจะถูก ส่วนพวกพรานกะเหรี่ยงคงตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

          หลังจากพยายามยันกายขึ้นอย่างเกียจคร้าน เพราะอากาศเย็นๆแบบนี้พาลทำให้รู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากจะลุกขึ้นจากที่นอน แต่เมื่อเห็นทุกคน ก็ล้วนแต่ทำงานเห็นกันอยู่งกๆ จะทนคู้ นอนอยู่เฉยๆก็ใช่ที่ สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาบิดกายไปมา จนกระดูกกระเดี้ยว ลั่นกราวไปทั้งตัว ก่อนที่จะทำท่าสยิวกอดกายตัวเองเพราะความหนาว

“เป็นไง นอนสบายดีมั๊ยเมื่อคืน” เสียงที่ร้องทายทักไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพรานโส่ย ซึ่งตอนนี้กำลังมะรุมมะตุ้ม อยู่กับถุงใส่ข้าวสารของแก

“ก็อุ่นดีลุง ดีกว่านอนเปลแยะ”

“เสียอยู่อย่างเดียว พื้นแข็งไปหน่อย ระบมหลังไปหมด”สิงห์ร้องตอบพรานชรา ที่กำลังใช้มือตวงข้าวสารใส่หม้อสนาม

“อ้าว..นั่นอะไรขาวๆติดอยู่บนหัวเอ็งแหนะ?”พรานโส่ย พูดพลางบุ้ยปากบอก หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เพราะหลังจากบอกแล้ว แกก็ก้มหน้าก้มตาจดจ่อที่หม้อข้าวของแกตามปกติ เมื่อสิงห์เอามือลูบศีรษะตัวเองถึงรู้ว่า อะไรชนิดนั้น ที่พรานเฒ่าว่ามาก็คือ ดอกของกล้วยไม้ป่า ที่เรียกว่า ช้างกระ นั้นเอง

“เธฮอีกแล้วสินะ พลับพลึง”ชายหนุ่มกล่าวบอกกับตัวเองภายในใจเช่นนั้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา ก่อนที่ ดอกช้างกระดอกเล็กๆดอกนั้นในมือ จะถูกหย่อนลงไปในกระเป๋าเสื้อเช่นเคย

“คนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะลุง”สิงห์ร้องถามพรานชรา พลางเก็บพับถุงนอนของตัวเอง

“ไอ้แปะ กับไอ้พร เห็นออกไปด้อมไก่ป่าตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”

“ไอ้เคิ้ง กับไอ้พุ่ม ออกไปหาฟืนใกล้ๆแถวๆนี้ล่ะ”ชายชราตอบ พลางเดินหิ้วหม้อสนามติดมือไปด้วยสี่ใบ

“แล้วไอ้เหน๋อไปไหนล่ะ น้าเบด้วย”สิงห์ร้องถามขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากพับเก็บถุงนอนของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินไปบริเวณ เป้สนามของตัวเองที่ถูกแขวนไว้กับต้นไม้

“มันตื่นก่อนเอ็งพักหนึ่ง ข้าไล่ให้ไปช่วยไอ้สองตัวนั่นแบกฟืน”

“ส่วนไอ้เบเห็นถือมีดถือเขียง เข้าไปในดง คงจะออกไปหาผักหาหญ้ามั๊ง”พรานโส่ยตอบ พูดจบก็ค่อยๆรินน้ำในกระบอกใส่หม้อสนามทั้งสี่ใบช้าๆ ก่อนจะร้องบอกสิงห์ขึ้นมาอีกว่า

“เอ็งตื่นมาก็ดีแล้ว ช่วยก่อไฟให้ข้าหน่อย”

“ไม่รู้ไฟในกองมันมอดหมดรึยัง”พรานโส่ยบอก

“ได้ลุง ไม่ต้องดูให้เสียเวลาหรอก”

“มีแต่ขี้เถ้า ก่อใหม่ไวกว่า”สิงห์ร้องตอบ พลางเดินไปหาหักกิ่งไม้แห้งเตรียมทำเชื้อไฟ ถึงจะอยู่กลางป่าไม้เช่นนี้ แต่ไม้แห้งที่จะทำเชื้อก็ไม่ได้หาง่ายนัก เพราะเกือบทุกตารางนิ้วถูกประพรมไปด้วยน้ำค้างที่ชื้นแฉะ กว่าจะเลือกเก็บเชื้อฟืนได้ ก็เสียเวลาไปหลายนาที

          เชื้อฟืนไม่ทันจะถูกก่อ เสียงพูดคุยกันพึมพำ ก็แว่วมาให้ได้ยินมาจากแนวป่า ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะคำตอบเดินแบกท่อนฟืนกันมาเป็นทิวแถว เจ้าพุ่มเดินนำอยู่หัวขบวน ซึ่งที่ไหล่ซ้ายมีท่อนฟืนขนาดเท่าแขนอยู่หอบใหญ่ ที่แบกคู่กันมากับเจ้าเคิ้งที่คอยแบกประคองอยู่ด้านหลัง ส่วนท้ายขบวน ไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจาก เพื่อนเกลอของสิ่ง แต่ดูจะสบายกว่าเขาเพื่อนเพราะไม่ได้แบกอะไรมาเลย นอกจากมีดที่ถือแกว่งไปมาในมือ

“พี่สิงห์ ตื่นแล้วดีเลย”

“ผมกับไอ้เคิ้งว่าจะชวนพี่ไปนั่งอ้นสักหน่อย”พุ่มร้องทัก ก่อนที่ทิ้งฟืนแห้งที่แบกมาดังโครม

“แถวไหนล่ะ”

“เดี๋ยวก่อไฟให้พ่อเอ็งเสร็จก่อน”สิงห์ร้องบอก พลางจุดไฟ ในกองเศษกิ่งไม้เล็กๆที่กองสุมไว้ทำเชื้อ ไม่กี่อึดใจเปลวไฟก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไกลหรอกพี่ แถวๆดงไผ่ที่เห็นอยู่โน่น”

“ขุยยังใหม่ๆอยู่เลย ท่าทางจะตัวใหญ่”เจ้าเคิ้งสาธยาย

“เออดี กำลังอยากเห็น”

“ว่าพวกเอ็งเอามันขึ้นมายังไง โดยไม่ต้องขุด”สิงห์เสวนาตอบ

“เอาปืนพี่ไปด้วยนะ”

“เช้าๆแบบนี้แก๊ปผมมันชื้น กลัวยิงไม่ออก”พุ่มร้องบอก พร้อมกับใช้เท้ากระทื บฟืนแห้งให้หักเป็นท่อนๆ ก่อนที่จะวางสุมบนเชื้อไฟที่สิงห์จุดเอาไว้ จริงอย่างที่เจ้าพุ่มว่ามา ความชื้นของอากาศทำให้ประสิทธิภาพของแก๊ปที่เป็นตัวจุดชนวนของปืนแก๊ป มีความเสื่อมสภาพลง บ่อยครั้งที่เหนี่ยวไกไปแล้วปืนไม่ลั่น จึงทำให้เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย อย่าว่าแต่ปืนแก๊ปเลย ปืนที่ทันสมัย บางครั้งความชื้นก็เป็นอุปสรรคสำคัญเช่นกัน

          หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน ด้วยน้ำในกระบอกอย่างประหยัดจนดูสดชื่น ที่จริงจะเรียกว่าล้างก็ไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าเช็ดถึงจะถูก เพราะน้ำมีน้อยต้องประหยัด สิงห์จึงต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาแทน ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยมเหมือนล้างหน้าในลำห้วย แต่ก็ยังดีกว่ายังไม่ได้ล้าง ไม่เหมือนเพื่อนเกลอของเขาที่ตื่นมายังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันก็ออกไปโน่นไปนี้แล้ว บางทีขี้ตากรังอยู่เลย

          กองไฟถูกจุดโหมจนติดดีแล้ว หม้อสนามทั้งสี่ใบจึงถูกขึ้นแขวนไว้กับราวเตรียมหุง เมื่อไม่มีอะไรที่จะต้องช่วยพรานเฒ่าอีก ส่วนเรื่องกับข้าวกับปลา พรานเฒ่าจะจัดการเองไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้งต่างเตรียมตัวออกไปล่าตัวอ้น ที่ตัวเองเจอขุยหรือรูที่อยู่ของมันไว้ รวมทั้งสิงห์ก็เตรียมตัวออกไปกับเด็กทั้งสองเช่นกัน ตอนนี้เองที่ปืนลูกกรด หรือ .22 ของตัวเองที่แบกมา ก็ได้ใช้งานเสียที แต่ก่อนจะเตรียมนำไปใช้งาน ก็ต้องเช็ดน้ำค้างที่เกาะฉ่ำตามตัวปืนออกให้หมด ไม่ใช่ว่าจะเป็นแต่ของเขาเพียงกระบอกเดียว ปืนผาหน้าไม้ของแต่ละคนก็เปียกปอนไปด้วยน้ำค้างเช่นกัน

“ขอข้าไปด้วย”เหน๋อร้องบอก เมื่อเห็นสิงห์และเด็กทั้งสองเตรียมตัวออกไปล่าตัวอ้น เหมือนเป็นเรื่องสนุกจึงร้องขอติดตามไปด้วย แต่ก็ต้องทำหน้าเศร้าเพราะเพื่อนเกลอสุดที่รักร้องห้าม

“เอ็งอยู่ช่วยลุงโส่ยทำกับข้าวดีกว่า”

“ไปให้เกะกะเปล่าๆ”สิงห์ร้องขัด แต่เมื่อเห็นเพื่อนเกลอทำหน้างอ จึงพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า

“ฝีมือข้า ทำกับข้าวสู้เอ็งไม่ได้วะ”

“เอ็งอยู่ทำกับข้าวรอดีกว่า”เจอลูกยอเข้าไปแบบนี้ คนที่กำลังตีหน้าเศร้าอยู่ ก็ทำหน้าระรื่นขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่วายค้อนให้ทีหนึ่ง ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเตรียมรื้อหาเสบียงในกระสอบถุงปุ๋ย

        โดยการนำของเจ้าพุ่ม ที่พาเดินลัดเลาะมาตามชายเขา ซึ่งตลอดทั้งสองข้างทางอุดมไปด้วยกอไผ่ขนาดใหญ่ที่ขึ้นเบียดกันหนาแน่น หลังจากหยุดก้มๆเงยๆอยู่อึดใจ เหมือนจะหยุดใช้ความคิดอะไรบางอย่าง กะเหรี่ยงหนุ่มก็พาออกเดินนำไปต่อ การเดินทางไม่ยากลำบากเท่าใดนัก เพราะป่ามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นแซมบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ของป่าที่ขึ้นอยู่บนเนินเขา โดยเฉพาะต้นไผ่จะมีมากกว่าต้นไม้ชนิดอื่นๆ

          ไผ่ เป็นไม้ที่ให้คุณประโยชน์มากมาย เกือบจะทุกส่วนของมันสามารถทำประโยชน์ได้หลากหลาย นับตั้งแต่ใบ และกาบที่ห่ออยู่บริเวณลำต้น ชาวบ้าน บ้านป่าหลายพื้นที่ นิยมกาบไผ่และใบไผ่ขนาดใหญ่ นำมาใช้ห่อสิ่งของต่างๆ ทั้งของกินและของใช้ ลำต้นหรือกระบอก ก็สามารถนำมาสร้างบ้านต่อแพ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่นงานจักสาร ต่ำลงมาก็เป็นโคนที่มีรากรกรุงรัง คนไหนที่มีฝีมือในงานด้าน แกะสลัก ก็นำส่วนนั้นของไผ่มาแกะเป็นรูปหน้าคนบ้าง สารพัดสัตว์บ้างตามที่ตัวเองจะจินตนาการได้ ซึ่งก็เห็นมีวางขายอยู่เช่นกัน รวมไปจนถึงหน่อไม้อ่อนๆ ก็นำมาประกอบอาหารกินได้สารพัดอย่าง วิธีที่ง่ายที่สุดก็แค่โยนเข้ากองไฟเผา ใช้เวลาไม่นานก็ได้กลิ่นหอมเหมือนข้าวโพดปิ้ง หรือจะต้มทั้งเปลือกก็ไม่ผิดกติกา จะจิ้มกินกับน้ำพริก หรือจะนำไปผัดก็อร่อยทั้งนั้น ถ้าได้มาเยอะเกินจำนวนที่จะกิน ก็เอาไปใส่ไหดอง ทำหน่อไม้เปรี้ยวเก็บไว้กินได้อีกเป็นปี

        ไผ่ มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์แตกต่างกันออกไป และหลากหลายขนาด เช่น ไผ่ป่า ไผ่สีสุก ไผ่นวล ไผ่ตก ไผ่ดำ และไผ่ขนาดเล็กอย่าง ไผ่รวก นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ส่วนหนึ่งแล้ว สัตว์ป่าบางชนิดก็อาศัยไผ่ เป็นแหล่งอาหารเช่นกัน นับตั้งแต่ ไก่ป่า ไก่ฟ้า และนกกระทา ก็ชอบหาจิกกินขุยไผ่ หรือดอกไผ่ ที่ร่วงหล่นตามพื้นเป็นอาหาร ไปจนถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ อย่างเช่น หมูป่า หมี วัวแดง กระทิง ไปจนถึงสัตว์ขนาดใหญ่อย่าง ช้าง หน่อไม้ก็เป็นอาหารอันโอชะของพวกมัน

          นอกจากหน่อไม้ที่แทงพ้นผิวดินขึ้นมาจะเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์แล้ว ลึกลงไปในพื้นดินใต้ก่อไผ่ ส่วนที่เป็นหน่อและรากอ่อนๆนั้น ก็ยังเป็นแหล่งอาหารของหมู่แมลงและสัตว์จำพวก ตัวตุ่น และตัวอ้น ที่ชอบขุดรูทำรังอยู่ใกล้ก่อไผ่ ในระดับพื้นที่ ที่ต่ำกว่า ตุ่น จะชอบขุดรูเป็นขุยกระจัดกระจาย โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นที่ราบ ป่าโปร่ง หรือชายไร่ติดแนวป่า ตุ่น จะชอบเป็นพิเศษ ซึ่งตลอดชีวิตของมันแทบไม่มีโอกาสออกมาหากินบนผิวดินเลย จะมีก็บางเหตุการณ์และบางโอกาสที่จะขยับขยาย หรือเปลี่ยนแหล่งอาศัยและที่อยู่ใหม่เท่านั้น เพราะเหตุที่จะต้องอยู่แต่ในความมืดมิดใต้พื้นดิน วิวัฒนาการทำให้ดวงตาของมันแทบไม่มีความหมาย สังเกตได้จากขนาดของดวงตาที่เล็กหยี่จนมองไม่เห็นนั้นเอง แต่ธรรมชาติก็แต่งแต้มให้ส่วนอื่นที่ใช้แทนดวงตาของมันได้ก็คือ ประสาทสัมผัสทางกลิ่น และการรับรู้ความสั่นสะเทือน ที่ได้รับจากหนวดของมัน

        นอกจากตัวตุ่น ที่อาศัยอยู่ใต้ดินแล้ว อ้น ก็เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่ง ที่ชอบทำรังและหากินใต้ดินเช่นกัน จะมีบางครั้งและบางโอกาสเท่านั้นที่พวกมัน จะโผล่ออกมาหากินบนผิวดิน แตกต่างไปจากตุ่น ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน ความแตกต่างระหว่าง อ้น และ ตุ่น  สามรถมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ขนาดตัวของมัน ตุ่น จะมีขนาดที่เล็กกว่าอ้นมากหลายเท่าตัว ถ้าจะวัดรูปร่างหน้าตา ตุ่น จะดูขี้ริ้วกว่าอ้น หรือจะว่าหน้าตาน่าเกลียดกว่าอ้นก็ว่าได้ นอกจากขนาดและรูปร่างที่ต่างกันมากแล้ว ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้งสองชนิด ก็มีความแตกต่างเช่นกัน อ้น ชอบขุดรูทำรังตามที่สูง เช่น เนินเขา หรือตำแหน่งที่เป็นเชิงเขาชัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีก่อไผ่ขึ้นปกคลุม อ้น จะชอบขุดรูทำรังอยู่ใกล้กอไผ่ เพราะรากและหน่อไผ่เป็นแหล่งอาหารของมัน  ส่วนรังของ อ้น และ ตุ่น จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกัน ก็ตรงที่ขนาด ตุ่น ทำขุยดินเล็กกว่า อ้น เพราะ ตุ่น มีขนาดตัวเล็กกว่า ขุยดินที่กองเป็นพูนสูงขึ้นมาบนผิวดิน ระหว่างอ้น และ ตุ่น จะแตกต่างกันมาก

          หลังจากทั้งหมดเดินไต่ไปตามเนินไม่นาน ตำแหน่งหรือเป้าหมายของพรานกะเหรี่ยงที่หมายตาไว้ ก็เห็นอยู่ไม่ไกลนัก ห่างออกไปสิบกว่าว่า บริเวณเนินชันนั้นเอง ที่มีก่อไผ่ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมครึ้ม ใต้ก่อไผ่ที่มีผิวดินเป็นพื้นลาดเอียง ตำแหน่งนี้เอง ที่เป็น ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ดิน หลังจากเพ่งสายตาอยู่นานก็พอจะมองเห็น เพราะครั้งแรกที่เห็นอยู่ไกลๆ คิดว่าจอมปลวก ที่ขึ้นแทรกข้างกอไผ่ แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ก็พอจะแยกแยะอะไรออก เพราะสิ่งที่เห็นไม่ใช่จอมปลวกอย่างที่เข้าใจ แต่มันเป็นกองดินขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นพูนดินร่วนซุยสูงขึ้นมา คล้ายๆเหมือนใครตักดินมากองไว้กองใหญ่ ซึ่งมันแตกต่างไปจากผิวดินหรือพื้นดินรอบข้าง เพราะลักษณะพูนดินมีความชื้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่ามันเพิ่งจะผุดขึ้นมาใหม่ๆไม่นานมานี้เอง

“เบาๆนะพี่สิงห์ อย่าทำเสียงดัง”

“ตรงโคนไผ่โน่น นั่งไงรูอ้น พี่เห็นมั๊ย?”เจ้าพุ่มพูดเสียงกระซิบ พลางชี้มือไปที่ขุยอ้นที่เห็นเป็นพูนดินแดงเถือก

“เออๆ เห็นแล้ว”

“แล้วทำยังไงต่อ ใช้มีดขุดรึ?”สิงห์กระซิบถาม

“ครึ่งวันจะได้กินหรือเปล่าพี่ จอบก็ไม่มี”

“ขืนใช้มีดอย่างที่ว่า วันนี้ก็คงไม่ได้กิน”เจ้าเคิ้งกระซิบตอบ พลางใช้มือปิดปากหัวเราะ กึกกัก อยู่ในลำคอ

“ไอ้ห่ า ก็พี่ไม่รู้นี้หว่า”

“เอา! ทำยังไงก็รีบทำ เดี๋ยวสายกันพอดี”สิงห์กระซิบ พลางทำหน้าขึงขัง เจ้าเคิ้งรีบขยับหนี เพราะหน้าแข้งของสิงห์ทำท่าจะง้างออก

“ไอ้เคิ้ง เอ็งรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”

“เดี๋ยวข้าไปหาตัดไม้ก่อน”พุ่มกระซิบบอกเพื่อนเกลอ พลางชักมีดเหน็บออกจากฝักข้างเอว เดินตรงดิ่งไปที่ลำไผ่ลำหนึ่งที่ขึ้นอยู่ไม้ห่างนั้น เจ้าพุ่มเลือกลำไผ่ขนาดเล็ก ใหญ่ไม่เกินนิ้วหัวแม่มือได้ลำหนึ่ง เพราะความคมของมีด เงื้อมือฟันฉับเดียว ลำไผ่ขนาดเล็กลำนั้นก็ขาดทันที

        เมื่อได้ลำไผ่ที่ต้องการแล้ว เจ้าพุ่มก็ตัดส่วนปลายที่ไม่ต้องการออก รวมความยาวแล้ว ยาวไม่เกินช่วงแขน ส่วนด้านโคนที่ถูกตัดเฉียงอยู่แล้วไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม แต่ส่วนปลายเจ้าพุ่มบรรจงใช้มีด ขวั้น เป็นวง รอบๆปลายไม้นั้นสามถึงสี่วง

“เอาไปแหย่รูมันรึ?”สิงห์กระซิบถามด้วยความสงสัย

“ครับพี่”

“ไม้นี้ ผมทำไว้ล่อมันให้ออกมาจากรู”เจ้าพุ่มตอบเสียงกระซิบ พลางยิ้มจนเห็นฟัน

“แล้วเอ็งขวั้นตรงปลายไว้ทำไม”

“ยังกะเอาไว้พันเชือกเบ็ด”สิงห์พูด พลางดึงไม้ไผ่ที่พุ่มทำไว้ขึ้นมาดูตรงส่วนปลาย

“ไม่ใช่หรอกพี่”

“ตรงนี้แหละสำคัญ เดี๋ยวพี่คอยดูผมกับไอ้เคิ้งให้ดีๆล่ะกัน”พุ่มพูดจบ ก็ดึงไม้ที่สิงห์ถือคืนกลับมา จากนั้นก็พยักหน้าให้เจ้าเคิ้งตามไปด้วย แต่ก่อนที่เจ้าเคิ้งจะเดินตามพุ่มไปก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า

“พี่สิงห์ ผมขอยืมปืนพี่หน่อย”

“พี่ตามพวกผมมาดูใกล้ๆก็ได้นะ”เคิ้งร้องบอกเสียงกระซิบ

“เอาซิ”

“แล้วพี่ต้องทำยังไงบ้าง”สิงห์ตอบ พลางส่งปืนคู่กายให้กะเหรี่ยงหนุ่ม

“ไม่ต้องทำอะไรพี่ ดูอย่างเดียว ผมสองคนจะจัดการเอง”

“ที่สำคัญ อย่าทำเสียงดังก็แล้วกัน”เจ้าเคิ้งหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม

          บริเวณที่เป็นขุยดิน แลเห็นเป็นพูนสูง กะเหรี่ยงหนุ่มที่มีนามว่าพุ่ม ค่อยๆใช้ไม้ไผ่ที่จัดเตรียมมา กดแทงไปตามเนินดินและขุยดินนั้น ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆทั้งสิ้น หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของแต่ละคน เพียงไม่นานหลังจากออกแรงกดผิวดินนั้นอยู่ชั่วครู่ ไม้ไผ่ด้านที่มีส่วนปลายแหลมเฉียงนั้น ก็มีอาการเหมือนจะผลุบจมมิดลงไป ราวกับว่าใต้พื้นผิวดินนั้น จะเป็นโพรงหรือรูอะไรสักอย่างที่มีลักษณะกรวง ใช่แล้วมันเป็นโพรงหรือรูอ้นที่ขุดไว้นั้นเอง

          เมื่อรู้ตำแหน่งของรูหรือโพรงใต้ดินนั้นแล้ว เจ้าพุ่มก็ค่อยๆใช้ไม้อันเดิม คุ้ยเปิดปากโพรงนั้นให้กว้างขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งขนาดของมันกว้างเท่ากับโพรงดินภายใน จากนั้นก็เบี่ยงตัวเองไปยืนอยู่ด้านข้างของปากโพรงนั้น จากนั้นก็บุ้ยปากเรียกเจ้าเคิ้งให้มานั่งเล็งปืนอยู่ด้านข้างปากโพรงนั้นอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อได้ตำแหน่งที่มั่นเหมาะดีแล้ว ช่วงเวลาที่สิงห์เฝ้ารอคอยก็มาถึง เมื่อเจ้าพุ่มค่อยๆใช้ไม้ไผ่อันเดิม ปักลงไปข้างปากโพรงนั้น จนส่วนปลายที่มีความแหลมคมอยู่แล้วจมมิดลงไป จากนั้นก็ค่อยๆใช้ปลายเล็บหัวแม่มือ ขูดไปตามร่องของปลายไม้ไผ่ ที่ตัวเองใช้มีดขวั้นไว้ ในลักษณะขึ้นลงช้าๆ เป็นจังหวะ ดัง แกรกๆ ฟังไปแล้วมันก็ไม่ต่างไปจาก หนู หรือ สัตว์จำพวกฟันแทะ ที่มาแทะไม้อันนั้นนั่นเอง เจ้าพุ่งบรรจงขุดเป็นจังหวะเช่นนั้น ช้าบ้าง เร็วบ้าง สลับกันไป ถ้าสิงห์ไม่เห็นในสิ่งที่เจ้าพุ่มทำอยู่นี้ ลำพังแค่ได้ยินแต่เสียง ก็คิดว่ามี หนู หรือตัวอะไรมาแทะไม้เล่นอยู่แถวนี้ ไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกคนก็ได้ยินเสียง กรุบกรับ ในโพรงนั้นแว่วมาให้ได้ยิน จากนั้นเจ้าเคิ้งก็ทำปากบุ้ยใบ้ให้สิงห์มองไปที่ปากโพรงนั้น....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร แล้วตัวอ้นที่สองกะเหรี่ยง พาสิงห์ไปล่า จะได้หรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงในบทต่อไป*****

.....

ตัวอ้น


ตัวตุ่น


ดูกันถนัดๆนะครับ ว่าน้าๆ พอจะแยกแยะออกหรือเปล่า


รูปนานมาแล้ว ระหว่างทางไปห้วยแห้ง น้าเบ กำลังแหย่รูอ้นครับ แต่ไม่ได้ตัว เพราะรูมันร้างไปแล้ว




21
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 8

ตอนที่ 1

          ณ บริเวณลานโล่งนั้นเอง ที่บุคคลทั้งแปดได้ใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว ถึงแม้ตอนนี้ท่องฟ้าจะมืดสนิทลงไปแล้วก็ตาม แต่ทุกคนยังต้องช่วยกันทำงานแข่งกับเวลา เมื่อไร้แสงอาทิตย์ให้แสงสว่างและความอบอุ่น ความหนาวยะเยือกและความมืดมิดจึงครอบงำ ป่าเบื้องล่างที่ว่าเย็นยะเยือกแล้ว แต่สำหรับบนเขาแห่งนี้มันรุนแรงเป็นหลายเท่าทวีคูณ โชคยังดีที่กลางบริเวณแค้มป์พักยังมีกองไฟกองใหญ่ ที่พอจะส่งอายอุ่นและแสงสว่างให้ทั้งคณะได้ผ่อนคลาย นอกจากมนุษย์ทั้งแปดจะได้ประโยชน์จากกองไฟนั้นแล้ว หมาสองตัวที่ติดตามมาด้วยก็พลอยได้รับส่วนบุญเช่นกัน เพราะหลังจากไฟถูกก่อขึ้น พวกมันทั้งสองต่างมานอนขดอยู่ข้างๆก่องไฟนั้น

          เมื่อมีแสงสว่างจากกองฟืนมาแทนที่แสงตะวันที่ลับหายไปแล้ว ไฟฉายที่ต้องใช้อย่างประหยัดจึงถูกเก็บไว้ เหลือเพียงไม่กี่ดวงที่ยังคงได้ใช้งานอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มของพ่อครัวหัวป่าสองสามคน ที่ต่างช่วยกันหุงข้าวหุงปลากันอย่างแข็งขัน เจ้าเคิ้งรับอาสาหุงข้าว โดยอีกมือข้างหนึ่งคอยประคองกระบอกน้ำขนาดใหญ่ ที่พรานพรพาดอิงไว้กับไม้ใหญ่อย่างมั่นคง มือข้างที่เหลือคอยจับหม้อสนามไม่ให้ล้มคว่ำขณะเทน้ำ โดยมีกระบอกไฟฉายขนาดเล็กคาบไว้อยู่ในปาก ดูแล้วทุลักทุเลเอาการณ์ แต่เจ้าเคิ้งก็ทำเสร็จได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เพียงไม่นานหม้อสนามทั้งสามใบ ก็ถูกแขวนบนราวเตรียมหุง เท่านี้ก็หมดปัญหาเรื่องข้าว ที่เหลือตอนนี้ก็คือกับข้าว

          พรานโส่ยหลังจากรื้อเสบียงแห้งออกมากองไว้บนถุงปุ๋ย บนนั้นมีทั้งเนื้อเก้งย่างรมควันหลายก้อน ปลาย่างแห้งจนกรอบมีเหลืออยู่อีกสองไม้ และพริกแห้งเครื่องแกงต่างๆ แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ หัวปลีกล้วยป่าสามสี่หัว และหยวกกล้วยอีกสามท่อน แต่ละท่อนยาวเป็นศอก รวมถึงหน่อไม้อีกสี่หน่อ ที่ไม่รู้ว่าพรานโส่ยไปเก็บเอามาตอนไหน

“แถวนี้มีกล้วยป่าด้วยรึ ลุงโส่ย”

“ไหนพี่พรว่าบนนี้ไม่มีกล้วยป่าไงล่ะ”สิงห์ร้องถามพรานเฒ่า

“ก็ถูกของมันแล้ว”

“ไม่มีหรอกแถวนี้”พรานชราตอบ พูดจบก็โยนหัวปลีสองหัวให้เจ้าพุ่มนั่งซอย

“อ้าวแล้วลุงเอามาจากไหนล่ะ”สิงห์ยังไม่หายสงสัย

“ก็ข้างล่างนั้นไง เอ็งลืมไปแล้วรึ”

“ดงกล้วยที่พ่อเอ็งลุยไว้เป็นแปลงนั่นแหละ”คำตอบของพรานโส่ย ทำให้สิงห์ถึงกับบางอ๋อ ซึ่งตัวเขาเองก็ลืมเสียอย่างสนิท ดงกล้วยป่าที่ช้างทั้งโขลงลุยไว้เรี่ยราดไป
หมด นอกจากต้นของมันจะล้มระเนระนาดแล้ว ปลีและผล หรือเครือของมันก็กระจัดกระจายเกลื่อน ซึ่งพรานโส่ย คงเห็นและเก็บเอามาในตอนนั้น รวมถึงหน่อไม้ ที่พรานชราคงจะเก็บมาตามทางเช่นกัน

“เอ็งมานี่ก็ดีแล้ว ข้าว่าจะให้เอ็งช่วยโขลกเครื่องแกงหน่อย”พรานเฒ่าพูดจบก็ส่งครกไม้ไผ่ให้สิงห์

“ยังเหลืออีกรึเครื่องแกง ตะไคร้กับมะกรูดก็ไม่มี”

“มีแต่พริกแห้งกะเกลือ แล้วก็ข่าอีกไม่กี่แว่น”สิงห์ร้องถามพรานชรา

“แล้วพริกกะเกลือมันไม่ใช่เครื่องแกงรึ”

“มีเหลืออยู่แค่นี้ก็ดีถมถืด”พรานชราพูดจบ ก็ส่งถุงพริกแห้งให้สิงห์

“อือ..ผมก็ลืมไป ฮาๆ”

“ว่าแต่จะทำอะไรกินล่ะ”สิงห์ร้องถาม

“มีเนื้อเก้งย่างแบบนี้ ข้าว่าจะแกงใส่หัวปลีเอาไว้ซดน้ำน่าจะเข้าท่า”

“ปลาย่างก็ยังเหลือ เอามากินกับน้ำพริกสักไม้ก็พอ”

“ผักหญ้าสักอย่างสองอย่าง คงพอกินกัน”พรานเฒ่าพูดจบก็โยนหยวกกล้วยและหน่อไม้ที่แกเก็บมาใส่ไปในกองไฟ โดยไม่ระวัง หน่อไม้หน่อหนึ่งกระเด็นไปฟาดเข้ากับขาไม้ค้ำราวหม้อสนามที่พาดอิงอยู่ จนน้ำในหม้อสนามกระฉอกใส่กองไฟดังฉ่า เกือบจะล้มคว่ำทั้งราว โชยดีที่พรานแปะนั่งอยู่ใกล้ๆกระโจนคว้าไว้ได้ทัน เล่นเอากะเหรี่ยงที่เห็นเหตุการณ์ร้องเสียงหลง

“ปัดโถ่! เดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดีตาโส่ย”

“ข้าวปลาไม่ค่อยจะกะไรเลยนะแก”

“ลองเป็นเหล้าหน่อยล่ะ แตะไม่ได้”ประโยคหลังของพรานแปะ ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ

“เออ เอ็งพูดถึงก็ดีเลย มา เอามาให้ข้าซดสักจอกสองจอกสิ”

“หนาวฉิ บหาย”พรานโส่ยร้องบอก พรานแปะเองก็เหมือนจะรู้ใจอยู่ก่อนแล้ว รีบรินเหล้าป่าใส่จอกไม้ไผ่ให้แกหนึ่งจอก แต่แทนที่พรานเฒ่าจะยกขึ้นดื่มอย่างที่แกว่า แต่แกกลับทำปากขมุบขมิบแล้วค่อยๆเทเหล้าป่าจอกนั้นลงพื้น

“ให้เจ้าป่าเจ้าเขา เขาก่อน”

“เอ้า! ทีนี้ถึงคิวเจ้าพ่อ”พรานโส่ยพูดจบ ก็ส่งจอกเหล้าให้พรานแปะรินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พรานเฒ่าไม่ได้เททิ้งอย่างครั้งก่อน แต่แกกลับยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เจ้าพ่อที่แกว่าก็คือตัวแกเองนั้นเอง

          เมื่อเหล้าป่าดีกรีแรงเข้าไปอุ่นอยู่ในท้องจนร้อนวูบวาบคนละจอกสองจอก ความสนุกคึกครื้นจึงก่อตัวขึ้นกลางดงทึบ หลังจากตรากตรำอย่างหนักในการเดินทางมาอย่างยาวนาน ช่วงเวลาของการพักผ่อนหย่อนคลาย จึงเป็นช่วงเวลาที่ทุกคน ดูว่าน่าจะมีความสุขที่สุด ถึงแม้จะสบายสู้นอนอยู่ที่บ้านไม่ได้ แต่ทุกคนก็เลือกที่จะมาลำบาก เพราะมีจุดประสงค์และความชอบเหมือนๆกัน คือรักในการผจญภัย ต่อให้ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย ทุกคนก็ยอม
กลิ่นเครื่องแกงในหม้อ ซึ่งกำลังเดือดส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ช่วยเรียกน้ำย้อยในกระเพาะ ที่มีเหล้าป่าไปกระตุ้นความหิว และดูเหมือนว่ามันจะไปเร่งความหิวขึ้นไปอีก เนื้อเก้งย่างที่เตรียมมาถูกเทลงหม้อน้ำแกงเดือด เกือบจะพร้อมๆกับหัวปลีซอย เพราะเนื้อเก้งที่ย่างมาเกือบสุกหมดทั้งก้อน คงมีแต่ส่วนภายในของก้อนเนื้อที่หนา ที่ยังไม่สุกดี ดังนั้นเพียงเวลาไม่นาน แกงเนื้อเก้งใส่หัวปลีก็สุกส่งกลิ่นหอม

        นอกจากหม้อต้มแกง ที่ถูกยกมาวางพักไว้บนเตาสามเส้าแล้ว หน่อไม้และหยวกกล้วยป่า ที่ถูกเผาไฟจนดำปี๋ พรานแปะใช้ไม้เขี่ยออกมาจากกองไฟ หลังจากใช้ไม้เคาะและขูดขี้เถ้าออก จากนั้นจึงค่อยๆบรรจงลอกเปลือกที่ไหม้ไฟจนดำของหน่อไม้ออก เหลือแต่เนื้อสีเหลืองส่งควันคลุ้ง ก่อนที่จะฉีกเป็นริ้วๆ ส่วนหยวกกล้วยขนาดเท่าท่อนแขนตอนยังสดอยู่ พอถูกเผาไฟแล้วปลอกส่วนที่ไหม้ออก ก็เหลือส่วนที่กินได้ใหญ่กว่าถ่านไฟฉายนิดเดียว เท่านี้ก็ได้ผักแนมน้ำพริกถ้วยใหญ่

“มาไอ้สิงห์ มากินข้าวกินปลาเสียก่อน”พรานโส่ยร้องบอก หลังจากยกห่อข้าวและกับข้าวห่อเล็กๆไปเซ่นเจ้าที่ แต่เมื่อหันหลังให้ทีไร เจ้าที่สี่ขาทั้งสองตัวก็ช่วยกันจัดการเรียบทุกที

“อีกเดี๋ยวลุง กินกันก่อนเลย”

“ขอผูกเปลให้เสร็จก่อน”สิงห์ร้องบอก ขณะผูกเชือกเปลเข้ากับต้นเสี้ยว

“ผูกสูงขนาดนั้น เดี๋ยวเอ็งก็นอนหนาวตายกันพอดี”

“แค่นี้ก็พอ”พรานเบร้องบอก หลังจากเดินผ่านมาทางสายเปลด้านหนึ่งของเขา จากนั้นก็ขยับปรับสายเปลของชายหนุ่มให้ต่ำลงไปอีก สิงห์เองก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็นเปลของพรานกะเหรี่ยงคนอื่นๆ เปลทุกหลังก็ร่วนแล้วถูกผูกในตำแหน่งที่ต่ำมาก ถ้าขึ้นไปนอนคงสูงกว่าพื้นไม่เกินคืบ

“ก่อนนอนก็ก่อไฟตรงปลายตีนกองเล็กๆ อีกสักกอง”

“บนนี้มันหนาวกว่าข้างล่างมาก”

“หรือดึกๆถ้าเอ็งทนหนาวไม่ไหว ก็ลงไปนอนข้างตาโส่ย ข้าเองก็เหมือนกัน”พรานเบพูดจบหลังจากกระตุกสายเปลของสิงห์ เพื่อทดสอบความแน่นหนา ความจริงไม่ต้องให้พรานเบบอก สิงห์เองก็รู้ เพราะบรรยากาศตอนนี้ เย็นยะเยือกมากขึ้นทุกขณะ และจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากมีลมพัดผ่านมา ส่วนจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน ตัวเขาเองก็เดาไม่ออก เพราะยังไม่เคยขึ้นมานอนบนนี้

          อาหารเย็นที่ล่วงเลยเวลามาเกือบสองทุ่ม ท่ามกลางป่าดิบดงเถื่อน ในยามราตรีที่หนาวสะท้าน แต่ก็ดูอบอุ่นเป็นกันเองของเหล่าสมาชิกที่ร่วมท่องไพร ที่นั่งรายล้อมเป็นวงบนผืนผ้าใบผืนใหญ่ ซึ่งถูกปูแผ่บนลานดินกว้าง ข้างกองไฟ ที่ตอนนี้ลุกโชนส่งไออุ่นและแสงสว่างโพลงไปทั่วบริเวณ ทำให้ช่วยปัดเป่าความหนาวเย็นให้ลดลงไปได้บ้าง แสงสีเหลืองนวลตา ส่องประกายจับไปตามลำต้น และยอดใบของต้นไม้ ทั้งเล็กใหญ่ แลให้เห็นเป็นเงาวูบวาบทุกครั้งเมื่อเปลวไฟในกองฟืนโอนเอนไปมาตามแรงลม

          สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาหลายระลอก ทำให้ยอดไม้ที่อยู่สูงขึ้นไป ไหวดังซู่ซ่า บิดกลับไปมาเป็นดูมันขลับ เมื่อสะท้อนกับแสงไฟในกองฟืน อากาศหนาวเย็นดูเหมือนว่าจะเลวร้ายขึ้นทุกขณะ มาถึงตอนนี้เหล้าป่าที่แบกมาด้วยเป็นแกลลอนจึงถูกรินแจกจ่ายเหล่าสมาชิกคนละจอกสองจอก ช่วยให้เจริญอาหารกันทั่วหน้า จึงทำให้อาหารมื้อเย็นธรรมดาๆ เป็นไปด้วยความเอร็ดอร่อย

“คืนนี้คงจะหนาวน่าดู”

“ขนาดยังไม่ดึกยังหนาวจนปวดกระดูก”พรานชราร้องบอกหลังจากยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม

“แล้วคืนนี้จะมีใครออกไปส่องอะไรกันหรือเปล่า”สิงห์ถาม

“ข้ากับไอ้แปะคุยกันแล้ว คืนนี้จะลองไปส่องดูแถวๆนี้”

“ไม่รู้จะได้เรื่องได้ราวอะไรหรือเปล่า”พรานพรพูดจบ ก็ตักข้าวเข้าปาก

“เอ็งสองคนล่ะ ไปกับเขาด้วยหรือเปล่า”สิงห์หันไปถามสองกะเหรี่ยงหนุ่มที่นั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย

“ไปสิพี่”

“ว่าจะเดินส่องอะไรเล่นแถวๆนี้อยู่เหมือนกัน”

“พี่สิงห์ไปกับพวกผมไหมล่ะ”ประโยคสุดท้ายเจ้าพุ่มหันมาร้องถาม

“เอาสิ ดีกว่าอยู่เฉยๆ”ชายหนุ่มรับคำเชิญ

“อย่าออกกันไปไกลนักล่ะ”

“ระวังไปเจอพ่อพวกเอ็งเข้าให้”พรานโส่ยร้องทัก

“ข้าก็ว่าอย่างตาโส่ย”

“พวกเอ็งอย่าทำเป็นเล่นไป ทางที่ดี ข้าว่าพวกเอ็งนอนเอาแรงไว้ดีกว่า”

“พรุ่งนี้คงต้องเดินกันหนัก”พรานเบร้องเตือนมาอีกคน เมื่อเห็นว่ามีคนไม่เห็นด้วยถึงสองคน กิจกรรมส่องสัตว์ของเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้งจึงต้องยกเลิกไป ทำให้กลุ่มของพรานพรที่จะออกไปส่องไฟพลอยต้องยุติไปด้วย เพราะเหตุผลเดียวคือเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าช้างโขลงที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าไปหากินอยู่แถวไหน ดวงไม่ดีไปเดินส่องไฟทะเร่อทะร่าอยู่กลางโขลงแล้วจะยุ่ง

        เมื่อกิจกรรมในยามค่ำถูกตัดไป หลังจากอาหารเย็นหมด เหล่าพรานกะเหรี่ยงทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน คนไหนผูกเปลไว้ก็ขึ้นไปนอนเล่นบ้าง นั่งสูบบุหรี่บ้าง กระจัดกระจายกันออกไป ตามมุมต่างๆที่ตัวเองผูกไว้ แต่ก็ไม่ห่างกันมากนักพอที่จะพูดคุยโต้ตอบกันได้ถนัด ส่วนคนไหนไม่ได้ผูกเปลนอนหรือยังไม่ได้เข้านอน ก็นั่งเล่นพูดคุยกันบนผ้าใบข้างกองไฟ รวมถึงพรานเบก็ลงไปนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้วย

“เดินลงเนินนี้ไปอีกเกือบวัน”

“พวกเอ็งจะได้เห็นชายดงดำ”พรานเบพูดพลางสูบบุหรี่ยาเส้นไปพลาง

“ใกล้แล้วสินะ จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง”

“คิดแล้วก็ชักจะตื่นเต้น”สิงห์ตอบ

“แล้วเอ็งกะจะไปนอนแถวชายดงดำนั้นสักกี่คืน”พรานเบหันมาร้องถามชายหนุ่ม ที่ตอนนี้นั่งกางมือผิงไฟอยู่ข้างๆ แต่ยังไม่ทันที่สิงห์จะร้องตอบ พรานโส่ยก็พูดขัดขึ้นมา

“คืนสองคืนยังพอไหว”

“มากกว่านี้ ข้าวสารที่เอามา ข้าว่าคงไม่พอกินกัน”

“เอ็งอย่าลืมเอาข้ากลับด้วยล่ะ”พรานชราร้องบอก พูดจบก็ล้วงหมวกไหมพรมออกมาสวมแก้หนาว

“คงไม่เกินสองคืนหรอกลุง”

“ขืนอยู่นานกว่านั้น กลับไปที่ทำงานสงสัยเจ้านายไล่ผมออกพอดี”ชายหนุ่มจากในเมืองร้องบอก

“ก็ให้มันไล่เอ็งออกเลยสิ”

“ดีเสียอีก เอ็งจะได้มาอยู่ป่ากับข้า ฮ่าๆ”พรานชราพูดจบก็ยกเหล้าป่าขึ้นจิบ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ นอกจากไอความอุ่นของกองไฟ ที่ช่วยปัดเป่าความ
หนาวเย็นให้ทุเลาลงได้แล้ว เหล้าป่าดีกรีแรงในยามนี้ก็ช่วยได้เช่นกัน

“ว่าแต่..เราต้องเดินกันเป็นวันเลยรึน้าเบ กว่าจะถึงชายดงดำที่น้าว่า”

“แล้วเส้นทางล่ะ เป็นป่ารกมากหรือเปล่า”ชายหนุ่มร้องถามพรานนำทาง ที่นั่งผิงไฟอยู่ใกล้ๆ

“ขึ้นอยู่กับพวกเรา ถ้าออกสายก็ถึงช้า”

“พ้นจากดงนี้ไป มันก็รกพอสมควร ยิ่งแถวๆชายดงนั้นแล้วไม่ต้องพูดถึง”พรานเบตอบ พูดจบก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบ

“ผมก็คงจะแล้วแต่น้าเบล่ะกัน ว่าจะออกเดินกันกี่โมง”

“ทุกคนในนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าน้าเบแล้ว”สิงห์บอก

“จริงของไอ้สิงห์มัน ขึ้นอยู่กับเอ็งคนเดียว”

“จะไปกันสักกี่โมงกี่ยามล่ะ ข้าจะได้ตื่นมาหุงข้าวหุงปลาได้ถูก”พรานชราร้องถาม พูดจบก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ข้ากะว่าสักแปดโมงน่าจะทันถึง”

“แกคิดว่าจะเตรียมตัวทันหรือเปล่าล่ะ ข้าวปลาก็ทำเตรียมเผื่อไว้ต้อนเที่ยงด้วย จะได้ไม่เสียเวลาหุงหาอีก”พรานเบร้องตอบ

“ฮีโถ่! ถมถืด ทำไมจะไม่ทัน”พรานชราร้องตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะยกเหล้าป่าในจอกที่เหลืออีกครึ่งลงไปอุ่นอยู่ในท้อง
แสงไฟในกองฟืน ที่เคยลุกโหมสว่างจ้าเมื่อตอนหัวค่ำ เริ่มมอดเปลวลงเมื่อดึกสงัด เหล่าพรานกะเหรี่ยงทั้งหลาย หลังจากนั่งคุยกันมาได้ค่อนคืน ก็พากันหลับใหล เพราะอากาศที่เย็นยะเยือกจนหนาว บวกกับความเหนื่อยล้าตลอดมาทั้งวันทำให้หลับกันอย่างง่ายดาย มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวเท่านั้น ที่ยังคงนอนหนุนแขนตัวเองอยู่บนเปลสนามตาแป๋ว สายตาที่จับไปยังบริเวณชายป่าไปไกลอย่างปราศจากความหมาย

          แสงไฟที่ริบหรี่ทำให้มองอะไรออกไปได้ไม่ไกลนัก ซึ่งหลังฉากที่เห็นเป็นลำต้นของต้นไม้ยืนเรียงรายซ่อนตัดกันไปมา ครั้นเมื่อมีลมพัดผ่าน จึงทำให้เงานั้นไหวโยกวูบวาบ ราวกับเงาของปีศาจที่สิงสถิตภายในต้นไม้เหล่านั้น ที่คอยผลุบโผล่ออกมาเหมือนจะหลอกหลอน เมื่อใกล้หมดแสง ความมืดทะมึนก็เริ่มกลืนกินไปทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับสรรพสำเนียงของพงไพรเมื่อตอนหัวค่ำที่พากันกู่ร้องไปมา ก็ค่อยๆเงียบเสียงลง นานๆครั้งจะได้ยินเสียงของสัตว์ป่าบางชนิดกู่ร้องขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง....

.....

พรานพรนั่งเฝ้าหม้อแกง


เป้สนามของพรานพร


ที่เห็นสีเขียวๆ อย่าเข้าใจผิดนะครับ เพราะมันไม่ใช่หน่อไม้?  แต่มันเป็นต้นอะไรชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนต้นกระวานหรือข่า นี่แหละครับ ผมก็จำชื่อไม่ได้ แต่ดอกสวยมากครับ


นี้ไงครับดอกของมัน มีหลายสี ผมตั้งชื่อมันมา ดอกดินแดง ครับ(ตั้งเอาเอง ชื่อจริงอาจจะไม่ใช่อย่างที่ผมบอกนะครับ) ดอกมันแทงออกมาจากดินครับ เลยเรียกว่า ดอกดินสีแดง ครับ ง่ายๆ


นี้ก็เหมือนกันครับ แต่เป็นสีเหลือง เลยตั้งชื่อว่า ดอกดินเหลือง


สำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็น ดอกกระวาน ครับ ต้น(ไส้ใน) หัวอ่อน กินได้ครับหอมฉุนที่สำคัญเป็นสมุนไพร


.....

ติดหิน: โชคยังดีที่กลางบริเวณแค้มป์พักยังมีกองไฟกองใหญ่ ที่พอจะส่งอายอุ่นและแสงสว่างให้ทั้งคณะได้ผ่อนคลาย
น้าครับผมว่าคำนี้ อายอุ่นต้องเขียนแบบนี้ ไออุ่น
ลองออกความเห็นนะครับ ผิดถูกอย่างไรขออภัยนะ ขอรับ
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร:
ตอบน้าติดหิน  เรื่องคำว่า กลิ่นอาย และ กลิ่นไอ สำหรับตัวผมเองก็งงเหมือนกันครับ   ว่าจะใช้คำไหนดีถึงจะถูก ถ้าติดตามมา จะเห็นผมใช้ทั้ง อาย และ ไอ แต่ถ้าสังเกตความหมายดีๆ ก็จะเข้าใจครับ แต่ความคิดส่วนตัวแล้ว ในนิยายของผมน่าจะใช้คำว่า กลิ่นอาย ดีกว่า ผมคิดว่า อาย ที่ผมใช้นี้มันมีความอ่อนนุ่มในตัว แต่คำว่า ไอ มันมีความแข็งครับ อย่างเช่น ไอแดด แสดงถึงความร้อนจัดแดดร้อนเปรี๊ยง  กับ อายแดด ร้อนแต่ร้อนไม่มากอาการรับรู้ด้วยประสาท  (ผมเองก็ชักงงตัวเอง ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ส่งสัยนะครับ เคยมีคนตั้งกระทู้ในพันทิปเหมือนกัน)

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/03/K7582596/K7582596.html
.....



22
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 7

ตอนที่ 1

          ราตรีกาลที่อยู่ครอบงำมาเมื่อไม่นานมานี้ บัดนี้คงถึงเวลาที่จะต้องลาลับจากไป หมู่นกกานานาชนิด ที่พากันหลับใหลในรวงรัง พอท้องฟ้าเริ่มสาง พวกมันก็พากันเริงร่าท่องเที่ยวออกหากินไปในไพรกว้าง ตรงกันข้ามกับสัตว์ป่าที่ออกหากินในยามราตรี พอฟ้าสางพวกมันก็หาที่บังไพรเตรียมหลับนอนเอาแรง เพื่อรอเวลาออกหากินในราตรีต่อไป คงไม่แตกต่างจากมนุษย์ที่ก็ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพไปวันๆเหมือนกัน ทำงานทั้งเช้า เย็น กลางคืน หนุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันไป เป็นกะ คนไหนทำงานกะเช้า กลางคืนก็นอนหลับเอาแรง คนไหนทำงานตอนกลางคืน ตอนเช้าก็นอนเอาแรง ดูไปแล้วมนุษย์กับสัตว์ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก จะแตกต่างกันตรงที่สัตว์มันออกหากินด้วยตัวของมันเองเป็นอิสระ ไม่ได้เป็นขี้ข้าใครเหมือนมนุษย์อย่างเรา

          ละอองหมอกในยามเช้า แตกเป็นฝอยละเอียดราวกับฝุ่นแป้ง แลดูขาวโพลนไปทั้งผืนป่า ยิ่งบางช่วงที่อยู่ห่างออกไปเท่าไหร่ ยิ่งมองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากเงาตะคุ่มๆดูเลือนลางเท่านั้น อากาศที่ชื้นไปด้วยละอองหมอกเช่นนี้ จึงทำให้บริเวณยอดใบของต้นไม้ ดูชื้นแฉะไปด้วยหยดน้ำค้าง ที่เกิดจากการรวมตัวของละอองหมอก แต่ก็น่าประหลาดใจ เพียงแค่หยดน้ำ หยดเล็กๆที่เกิดจากน้ำค้างเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นสายน้ำในลำห้วยได้อย่างน่าพิศวง คงจะจริงอย่างที่เขาว่า ป่าคือน้ำ น้ำคือป่า ทั้งสองอย่างนี้ต้องอยู่เคียงคู่กันเสมอ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าไม่มีป่า น้ำก็ไม่มี หรือถ้าไม่มีน้ำ ป่าก็จะไม่มีเช่นกัน สองสิ่งนี้จึงแยกจากกันเสียมิได้

          สูงขึ้นไปบนยอดของต้นตะแบกใหญ่ หยดน้ำค้างที่เกาะติดตามก้านใบ หลังจากถูกหล่อรวมกันเป็นหยดน้ำหยดใหญ่ ก็ทิ้งตัวตกลงมาเบื้องล่างที่ต่ำกว่า เพราะต้านทานแรงดึงดูดของพื้นโลกต่อไปไว้ไม่ไหว แต่แทนที่หยดน้ำนั้นจะตกลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งและยอดหญ้า หรือตามสุมทุมพุ่มไม้ อย่างที่หยดน้ำค้างหยดอื่นๆได้ตกลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว โดยบังเอิญมันกลับตกลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม ที่ตอนนี้ยังนอนขดอยู่บนห้าง หยดน้ำค้างหยดแล้วหยดเล่าที่ตกลงกระทบใบหน้าของเขา ซึ่งขณะนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น แต่พอโดนไปหลายๆหยดเข้าก็ทนไม่ไหว

          ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ท่ามกลางสายหมอก และน้ำค้างที่เกาะจนชื้นแฉะไปทั่วบริเวณ แม้กระทั่งถุงนอนที่เขาใช้ห่อหุ้มร่างกาย ก็ยังชื้นราวกับถูกละอองฝน โชคยังดีที่เขายังมีเสื้อแจ็คเก็ตสวมใส่อยู่อีกชั้น มันจึงช่วยให้เขาอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังอดแปลกใจกับพรานเบไม่ได้ ที่แกมีเพียงผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียวก็สามารถอยู่ได้ทั้งคืน ถ้าเป็นเขาคงหนีไม่พ้นปอดบวม หรือไม่ก็เป็นไข้หนาวจับสั่นอยู่บนห้างแน่ๆ

          ขณะที่พรานหนุ่มยกแขนขึ้นเพื่อจะปาดเช็ดหยดน้ำค้างบนใบหน้าของเขานั้นเอง มีอะไรบางอย่างตกลงมาบนถุงนอนของเขา สิ่งนั้น เขาเห็นมันเพียงแวบเดียวก็รู้ว่ามันคือ ดอกช้างกระ กล้วยไม้ป่าที่ตัวเขาเองคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี จะด้วยว่ามันตกมาจากยอดไม้หรือไม่ ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ ก็มองไม่เห็นต้นช้างกระสักต้น เพราะบริเวณที่มาขัดห้างไว้ ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย นอกจากต้นตะแบกใหญ่ที่ตัวเองนั่งหัวโด่อยู่นี่ ซึ่งมันก็ไม่มีกล้วยไม้ป่าเช่นกัน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า บริเวณหน้าผาหินนั้น อาจจะมี แต่เมื่อพยายามสอดส่องสายตาไปแล้ว มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ นอกจากเฟิร์นข้าหลวงและต้นมะยมผา ที่ขึ้นแซมห่างๆกัน ซึ่งก็ไม่มีวี่แววของต้นช้างกระสักต้น เห็นแต่กอกล้วยไม้ป่าจำพวกหวายไม่กี่ก่อ

          ชายหนุ่มยกดอกกล้วยไม้ดอกเล็กๆดอกนั้น ขึ้นมาพิจารณา แต่เมื่อพลิกไปมาอยู่ในมือได้ไม่นาน ความรู้สึกตื่นเต้นระคนพิศวง ก็บังเกิดขึ้นกับเขาอย่างฉับพลัน ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้ ถ้าจำมันไม่ผิด ดอกช้างกระดอกเล็กดอกนี้นี่เอง ที่หล่อนคนนั้นได้ส่งให้เขาเป็นที่ระลึกก่อนจากกัน  ของเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่มันก็เป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆของเขาเอง ที่เกิดขึ้นจากจินตนาการ ซึ่งมันสมจริงเหมือนกับว่าเขาได้ไปอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น หรือมันจะเป็นไปได้หรือไม่ อาจจะเป็นการถอดจิตถอดวิญญาณของเขา โดยที่ร่างกายของเขายังอยู่ที่นี่ เหมือนกับละครในทีวี มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตอนนี้และเวลานี้ มันคือชีวิตจริง

“ตื่นแล้วรึสิงห์”เสียงร้องเรียกมาจากเบื้องล่าง ทำให้สิงห์หยุดชะงักในความคิด ฟุ้งซ่าน ไปชั่วขณะ

“ครับ”สิงห์ร้องตอบออกมาสั้นๆ ก่อนจะบรรจงหยอดดอกช้างกระดอกนั้นลงไปในกระเป๋าเสื้อของเขา

“แล้วน้าเบ ตื่นนานแล้วเหรอครับ”ชายหนุ่มร้องถาม พูดจบก็นั่งบิดกายไปมาอย่างเมื่อยขบ

“สักพักแล้วล่ะ”พรานนำทางร้องตอบ พูดจบก็ลากซากเก้งมาผูกขาเข้ากับเถาวัลย์

“เอ็งตื่นก็ดีแล้ว จะได้รีบกลับไปที่แค้มป์กัน”พรานชำนาญไพรร้องตอบ

          สิงห์หลังจากใช้น้ำในกระติกล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยดีแล้ว ก็จัดแจงเก็บสิ่งของและสัมภาระต่างๆ หลังจากมะรุมมะตุ้มอยู่กับกองสัมภาระบนห้างอยู่ไม่นาน ก็ใช้เถาวัลย์เส้นเดิม ที่พรานเบใช้ชักรอกเมื่อวาน นำมาผูกสัมภาระ แล้วค่อยๆหย่อนสิ่งของเหล่านั้นลงมา โดยมีพรานเบคอยรอรับสัมภาระอยู่เบื้องล่าง เพียงไม่กี่ครั้งสัมภาระต่างๆก็ถูกลำเลียงลงมาจากห้างจนหมด จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆไต่ลงมาตามเถาวัลย์และลำต้นของตะแบกใหญ่ พร้อมๆกับปืนคู่กายของเขา ที่ถูกสะพายหลังติดตัวมาด้วย กว่าจะลงมาถึงพื้นดินเบื้องล่างได้ ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร เพราะต้องคอยระวังความลื่นของเถาวัลย์ที่เหยียบ ซึ่งตอนนี้แฉะไปด้วยน้ำค้าง

“ตัวใหญ่ดีเหมือนกันนิน้าเบ”สิงห์ร้องบอก หลังจากลงไปดูซากเก้ง

“เก้งหม้อ ก็ตัวขนาดนี้ล่ะ ไม่เหมือนเก้งแดงตัวมันจะเล็กกว่า”พรานเบอธิบาย

“สงสัยได้แบกกันไหล่ลู่”สิงห์ร้องตอบ

“เอ็งไม่ต้องแบกหรอก ข้าแบกเอง เอ็งเอาปืนของข้าไปแบกอีกกระบอกก็แล้วกัน”พรานเบพูดจบก็ยกซากเก้งที่ถูกมัดข้าทั้งสองข้าง ขึ้นแบกบนบ่า สาเหตุที่ต้องมัดขาทั้งสองข้างของมัน เป็นเพราะความสะดวกในการแบก ถ้าไม่มัดให้เรียบร้อยขาเก้งทั้งสี่ขา ก็จะชี้โด่เด่ เวลาต้องเดินไปตามสุมทุมพุ่มไม้ จะทำให้เกะกะเสียเปล่าๆ

“ไม่มีปัญหาน้าเบ สบายมาก เราออกเดินทางกันเลยดีกว่า พวกเราทางโน่นคงจะดีใจกันยกใหญ่”สิงห์พูดจบก็ยกเป้สนามขึ้นสะพาย พร้อมๆกับปืนลูกซองยาวของพรานเบอีกกระบอกที่ไหล่ขวา ส่วนปืนคู่กายของเขาถูกสะพายไว้ทางไหล่ซ้าย

          การเดินทางในครั้งนี้ เป็นไปอย่างสะดวก เพราะด้วยปริมาณของสัมภาระที่แบกกลับมาไม่ทุลักทุเลเหมือนครั้งก่อน แต่ก็มีขลุกขลักบ้างเล็กน้อยเป็นบางช่วงไม่ถึงกับยากลำบากมากนัก โดยเฉพาะสิงห์ ถึงจะต้องแบกปืนลูกซองของพรานเบเพิ่มอีกกระบอก ซึ่งน้ำหนักก็ไม่ได้เบาอย่างที่คิด แต่อย่างน้อย มันก็ยังเบากว่าลูกห้างที่แบกมาเมื่อวานหลายเท่าตัว

          ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่พ้นสันเขา ซึ่งทอดขวางเป็นทางยาวดูสูงทึบทะมึน ทำให้บริเวณนั้นยังถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอก และด้วยอิทธิพลนี้เอง จึงทำให้สภาพป่ารอบๆด้านดูชื้นแฉะไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ก็มีข้อด้อยในเรื่องของการมองเห็นเส้นทาง ขนาดสิงห์ที่เดินตามอยู่ไม่ห่างพรานเบนัก ยังต้องคอยร้องเรียกเป็นระยะ เพราะมีอยู่บ่อยครั้ง ที่เดินไม่ทันพรานนำทาง ระยะห่างกันแค่ไม่ถึงห้าเมตร ก็มองไม่เห็นหลังพรานนำทางแล้ว โอกาสที่คนเดินตามมีสิทธิที่จะเดินหลงจึงมีสูง แต่ก็น่าแปลกใจที่พรานเบยังสามารถเดินนำฝ่าสายหมอกที่หนาทึบไปได้ โดยไม่หลงเส้นทางเลยแม้แต่น้อย

“ได้เสบียงมาตุนไว้แบบนี้ วันนี้คงได้ขึ้นเขาสก สินะน้าเบ” สิงห์ร้องถามพรานเบที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า

“ข้าก็คิดแบบเอ็ง วันนี้สายๆคงได้เดินทางกันต่อ”พรานเบตอบ

“ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้ามเขาสกไปอีกไม่เกินสองวัน คงถึงชายป่าดำ” พรานเบหยุดเดินแล้วหันมาบอกสิงห์

“ทีนี่ล่ะ เอ็งจะได้เห็นสักที ว่าป่าดำ ที่ข้าว่า มันใหญ่โตและกว้างใหญ่ขนาดไหน”พรานเบพูดจบก็นำซากเก้งที่แบกมาวางบนพื้น จากนั้นก็นั่งมวนยาเส้นที่ขอนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“พักดูดยาสักมวนก่อนวะ ไม่ต้องรีบร้อนข้ามเนินนี้ไปก็ถึงแค้มป์แล้ว”พรานเบพูดจบก็คาบบุหรี่ยาเส้นที่มวนเสร็จใหม่ๆ จากนั้นก็จุดไม้ขีดไฟไปจ่อที่ปลายอีกด้านหนึ่ง

          สิงห์เอกก็ไม่ปฏิเสธ เพราะบ่าทั้งสองข้างก็ชักจะเริ่มระบมแล้ว หลังจากปลดเครื่องหลังและปืนทั้งสองกระบอกออกมาวางพิงไว้เรียบร้อยดีแล้ว เขาก็งัดกระติดน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย จากนั้นก็ส่งให้พรานนำทาง โดยไม่ได้คิดรังเกียจอะไรเลย พรานเบก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจของสิงห์เช่นกัน รีบรับกระติกน้ำนั้นขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่

“ได้เนื้อได้หนังมาแบบนี้ ก็หมดห่วงเรื่องเสบียง”

“ดีไม่ดี ข้าอาจจะพาขึ้นเขาสกวันนี้เลย”พรานเบร้องบอก

“บนเขาสกมันไม่มีอะไรให้เรากินเลยหรือ?”พรานมือสมัครเล่นร้องถาม

“มี แต่คงจะหายากหน่อย ไม่เหมือนตามหุบหรือตามห้วย”

“กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เคยจับกินกันได้ ถ้าขึ้นไปบนเขาสกแล้วก็อย่าได้คิด เพราะบนนั้นไม่มีน้ำเลย”พรานเบพูดจบก็สูบบุหรี่ยาเส้นจนควันโขมง

“แล้วเราจะเอาน้ำที่ไหนกินใช้ล่ะ น้าเบ”สิงห์ถามด้วยความกังวล รู้ดีแก่ใจว่า การหาแหล่งน้ำบนเขามันหายากแค่ไหน

“ถ้ากลัวว่าจะไม่มีจริงๆ คงต้องแบกน้ำขึ้นไปใช้ก่อน”พรานนำทางร้องตอบ

“เอาอะไรแบกไปล่ะ แกลอน เราก็มีอยู่ใบเดียว แถมเหล้าป่าของลุงโส่ยก็ยังเหลือเกือบครึ่ง”สิงห์ถาม

“จะไปยากอะไร ไม้ไผ่ออกเยอะแยะเต็มป่า เอ็งลืมไปแล้วรึ”พรานเบพูดจบก็โยนบุหรี่ยาเส้นลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ปลายบุหรี่นั้นจนดับ ก่อนจะลุกขึ้นไปแบกซากเก้งขึ้นมาไว้บนบ่าเช่นเดิม โดยที่สิงห์เองก็ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า การเดินทางได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว

          บนเส้นทางที่ลาดต่ำลงไปทุกขณะ ซึ่งทอดยาวลงไปสู่ลำห้วยเบื้องล่าง ที่ตอนนี้ถูกบดบังด้วยป่าที่ขึ้นรกทึบ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นสายน้ำเบื้องหน้า  แต่ก็พอเดาได้ว่ามันอยู่ไม่ไกล เพราะแว่วกระแสเสียงของสายน้ำนั้น ชายทั้งสองพากันเดินไต่มาตามไหล่เขาชันอย่าทุลักทุเล เพราะความลื่นของดินที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำค้าง จึงต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ถึงจะระวังตัวแค่ไหน สองพรานต่างวัยก็ยังพลาด แต่ละคนลื่นก้นกระแทกพื้นคนละทีสองที กว่าพรานเบจะพาลงมาที่ริมห้วยนั้นได้ก็เล่นเอาก้นระบม

          ตัดมาที่แค้มป์ อากาศช่วงเช้ามืดเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหนาวทรมานคนแก่แค่ไหน พรานโส่ยตื่นขึ้นมาเติมฟืนสุมไฟ ตั้งแต่ไก่ป่าขันได้มีกี่ครั้ง  จนบริเวณแค้มป์สว่างโพรงไปหมด เปลวไฟลุกโชน ช่วยส่งไอความอุ่นให้กับชายชรา ที่ตอนนี้นั่งยองๆเอามือมาผิงข้างกองไฟ โดยยังมีโปงผ้าห่มคลุมตัวอยู่ นอกจากพรานชราจะได้รับไออุ่นของกองไฟแล้ว เจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบอง ก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย หลังจากต้องนอนขดบนกองขี้เถ้ามานาน

“หนาวฉิ บหาย”พรานแปะบนงึมงำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลุกขึ้นมานั่งหัวเด่บนเปล

“ตื่นนานแล้วรึ ตาโส่ย”พรานแปะร้องถาม พูดจบก็ลุกขึ้นมานั่งผิงไฟข้างๆชายชรา

“ตั้งแต่ไก่ขันแล้ว”พรานชราร้องตอบ จากนั้นก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ไก่ป่าขันเรียกแต่เช้ามืดเลย ไม่รู้ว่ามันอยู่แถวไหน”พรานแปะพูดพลางมองไปยังทิศทางของเสียง

“อยู่ในหุบโน่นล่ะมั่ง?”พรานชราตอบ พลางชี้มือไปที่ชายป่า ที่ตอนนี้ยังมองอะไรไม่เห็น นอกจากเงาของต้นไม้สลัวๆ

“ถ้าเอ็งอยากรู้ เอ็งก็ออกไปด้อมดูสิ”พรานโส่ยแนะนำ
เสียงไก่ป่าขันแว่วมาอีกครั้ง ทำให้พรานแปะทนนั่งจับเจ่าต่อไปไม่ไหว จึงคว้าปืนลูกซองคู่กายที่พาดอิงไว้กับต้นไม้ ซึ่งตอนนี้น้ำค้างเกาะชุ่มไปหมด หลังจากใช้ผ้าขาวม้าถูเช็ดจนเรียบร้อย พรานแปะก็หักลำกล้องเพื่อเปลี่ยนลูกปืน จากลูกเบอร์ที่ภายในบรรจุลูกกระสุนเก้าเม็ด เป็นลูกปลายที่มีลูกกระสุนบรรจุอยู่ภายในไม่ต่ำกว่าหกสิบเม็ด เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์และเหยื่อที่ตนเองจะล่า ระยะเวลาไม่ถึงนาที เสียงหักลำกล้องกลับดัง กริ๊ก! ก็แว่วมาให้ได้ยิน กะเหรี่ยงหนุ่มหันมาคุยกับพรานชราอยู่สองสามประโยค ย่ามและปืนคู่กายก็ถูกสะพายไหล่เดินหายเข้าไปในดงทึบ

“ตื่นโว้ย!”พรานชราร้องเรียกเจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ที่นอนขดอยู่ในโปงผ้าห่ม แต่มันก็ไม่ได้ผลเพราะสองกะเหรี่ยงยังนอนไม่อยากจะตื่น

“บ๊ะ!ไอ้นิ”

“ผัวะ!!” พรานชรายัดลูกแปใส่ก้นสองกะเหรี่ยงอย่างบรรจงที่สุด และวิธีนี้มันได้ผล

“จะรีบไปไหนพ่อ! วู้!”เจ้าเคิ้งลูกชายบ่นอุบอิบ

“คนแก่ทำไมชอบตื่นแต่เช้าก็ไม่รุ? ดูๆฟ้ายังมืดอยู่เลย หนาวก็หนาว”เจ้าพุ่มได้ทีขอบ่นบ้าง

“ไอ้ฉิ บหายพวกนี้ นอนกันอยู่ได้ จะรอให้แดดมันแยงตูดพวกเอ็งก่อนใช่มั๊ยวะ”พรานเฒ่าตวาดจบ แกก็ทำท่าจะเดินไปยัดลูกแปอีกชุด แต่ใครจะโง่ให้โดนลูกแปฟรีๆอีกเล่า กว่าพรานเฒ่าจะง้างเท้าไปถึง สองหนุ่มก็พรวดพราดจากโปงผ้าห่มจนวงบาน พร้อมๆกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ นอกจากสองกะเหรี่ยงที่พากันตื่นเพราะเสียงเอ็ดตะโรของพรานเฒ่าแล้ว พรานพรที่นอนอยู่บนเปลที่ผูกไว้ใกล้ๆกัน ก็พลอยต้องตื่นขึ้นมาด้วย เพราะทนนอนฟังพรานชราบ่นต่อไปไม่ไหว

“ยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่นเว้ย ตาโส่ย”พรานพรร้องบอก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งผิงไฟข้างๆพรานเฒ่า

“ข้าล่ะเป็นห่วงไอ้สิงห์มันจริงๆ เมื่อคืนคงนอนหนาวเป็นลูกนก”พรานเฒ่าพูดพลาง ใช้ไม้เขี่ยกองไฟเล่นโดยปราศจากความหมาย

“แกไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มีไอ้เบอยู่ด้วยทั้งคน ถุงนอนมันก็เอาไป ดีไม่ดีนอนอุ่นกว่าเราอีก”พรานพรร้องตอบ พูดจบก็หยิบซองยาเส้นจากกระเป๋าเสื้อออกมาม้วน

“ไอ้เหน๋อมันไปไหนล่ะ”พรานพรร้องถามพรานเฒ่า

“จะไปไหนได้ ก็นอนขดในเปลอยู่นั่น ไอ้ห่ านี้ก็อีกตัว ไม่เรียกไม่ลุก”พรานชราโพล่งออกมา พูดจบแกก็เดินไปเตะบริเวณส่วนที่น่าจะเป็นก้นของคนขี้เซาดัง ป๊าบ!

          ท้องฟ้าเมื่อครั้งไม่นานมานี้ซึ่งขมุกขมัวมองอะไรไม่ค่อยจะเห็น บัดนี้เริ่มจะมองเห็นบริเวณรอบที่พักได้สะดวกขึ้น เหล่าพรานป่าหลังจากตื่นนอนกันทุกคน ก็แบ่งงานกันทำ พรานพรกับเหน๋อช่วยกันเตรียมหุงข้าว ส่วนพรานโส่ยและกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสอง ช่วยกันทำปลาและกบที่หาได้มาเมื่อคืนที่ริมห้วย ซึ่งประมาณไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา แต่ขนาดมันกลับใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสองเลือกเอาเฉพาะขนาดตัวโตๆทั้งนั้น ถึงจะได้มาไม่มาก แต่มันก็พอเพียงแล้วสำหรับอาหารมื้อนี้

          ข้าวในหม้อสนามถูกขึ้นมาแขวนไว้บนราวเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้คงไม่ต้องทำอะไรนอนจากปล่อยให้เปลวไฟและความร้อนในกองฟืน ทำหน้าที่ของมันเอง เสร็จงานตรงนี้ แต่ก็ยังไม่หมดงานตรงนั้น พรานพรออกไปเดินเก็บยอดผักกูด ที่ขึ้นงามอยู่ดาษดื่นเผื่อเอาไว้ประกอบอาหารกิน เพียงไม่กี่นาทีก็ได้ยอดผักกูดงามๆมาสองกำใหญ่ แถมยังมียอดผักหนามอีกหลายสิบยอด แต่ละยอดอวบน่ากิน ส่วนเหน๋อก็ไม่ได้กินแรงคนอื่นๆ หลังจากรู้พิษสงของพรานชราแล้ว ก็ไปรื้อค้นกระปุกน้ำพริกแห้ง ที่พรานโส่ยเก็บเอาไว้ในถุงปุ๋ย เตรียมเอามาละลายน้ำมะขามเปียก ส่วนปลาบางส่วนที่ชำแหละแล้วก็นำมาขึ้นย่างกับไฟอ่อนๆ ยกเว้นกบทูดตัวโตๆอีกสองตัวที่ถูกพรานเฒ่าเผาแบบลวกๆเพื่อดับคาว เห็นสภาพแล้วพาลให้ไม่น่ากิน เพราะหลังจากโดนความร้อนไม่นานหนังของมันก็ดูตึงเห็นผ่านๆคิดว่าขึ้นอืด

“วันนี้จะทำอะไรกินดีตาโส่ย”พรานพรร้องถาม

“ข้าว่าจะแกงส้มปลาเวียนเสียหน่อย”

“เอ็งเก็บผักกูดมาก็ดีแล้ว ข้าจะได้เอามาแกงส้มเลย”พรานชราพูดจบก็นำไม้เสียบปลาเวียนขึ้นย่าง

“ปั่ง!”

“ไอ้แปะล่อไก่ป่าเข้าแล้วมั๊ยล่ะ”พรานชราหันไปบอกพรานพร

“แกก็ทำเป็นรู้ดีไปได้ ตาโส่ย”พรานพรตอบ พูดจบก็ยกหม้อสนามที่มีน้ำอยู่เต็มขึ้นตั้งบนเตา

“ก็ข้านี่ล่ะ เป็นคนบอกให้มันไปด้อมเมื่อเช้ามืด ตั้งแต่เอ็งยังไม่ตื่นแล้วไอ้พร”

          จริงอย่างพรานโส่ยว่า เพียงไม่นานหลังจากเสียงปืนลั่นขึ้น พรานแปะก็เดินหิ้วไก่ป่ามาสองตัว แต่ละตัวดูอ้วนพีกว่าที่ได้มา อาจเป็นเพราะบริเวณแหล่งหากินของมันอุดมสมบรูณ์กว่าป่าด้านล่างก็ได้ จึงทำให้ไก่ป่าที่ได้มาดูตัวโต

“เจอเป็นฝูงเลย แต่ได้มาแค่สอง”พรานแปะเดินยิ้มหลามาแต่ไกล

“เออดี จะได้เอามาย่างเกลือกิน”พรานพรร้องตอบ

“เอ๊า! เอ็งสองคนเอาไปช่วยกันทำ”พรานแปะพูดจบก็ส่งไก่ป่าทั้งสองตัวให้เคิ้งและพุ่ม ไก่ป่าโดนยิงมาใหม่ๆตัวยังอุ่นแบบนี้ ใช้เวลาไม่นานก็ถูกทอนขนออกมาอย่างง่ายดาย ขึ้นชื่อว่าสัตว์ปีกก็เหมือนกันหมดถ้าตายใหม่ๆจะถอนขนง่าย แต่ถ้าตายนานๆจนแข็งทื่อแล้วล่ะก็ ถอนขนทีหนังก็หลุดตามมาด้วย ใครจะว่าก็ว่าเถอะ ส่วนที่อร่อยที่สุดก็คือหนังนี้แหละ แต่ยังไม่ทันที่สองกะเหรี่ยงจะทำไก่ป่าเสร็จ หมาสองตัวที่ถูกผูกไว้ก็เห่าดังลั่น ทำให้ทุกคนหันไปมอง

          ร่างของชายทั้งสองที่หายไปทั้งคืน เดินฝ่าดงไม้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยมีร่างที่สูงใหญ่กว่าเดินนำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือพรานเบ แต่จุดเด่นหรือจุดสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวพรานนำทาง แต่เป็นอะไรชนิดหนึ่งบนบ่าของเขานั้นเอง ที่มีขนสีน้ำตาลแดงตัวเขื่อง

“บ๊ะ เก้งหม้อ ตัวเบ้อเร่อ เลยเว้ย” พรานพรร้องลั่นอย่าดีใจ ไม่เพียงแต่พรานพรเท่านั้นที่ดีใจ เจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พรานเบแบกมาคืออะไร ต่างพากันวิ่งกรูกันเข้าไปดู

“เอาๆ มาช่วยพี่ถือของหน่อย”สิงห์ร้องบอกสองกะเหรี่ยงที่พากันวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังพรานเบ จนลืมคนที่เดินตามหลังมาอีกคน

“อ้าวแล้วนั่นใครล่อไก่ป่ามาอีกสองตัวล่ะ ใช่เสียงปืนตะกี้หรือเปล่า”พรานเบร้องถาม พูดจบก็ยกเก้งที่ตัวเองแบกมาจนไหล่ลู่ลงพื้น

“ข้าเองพี่เบ แหม มาคราวนี้โชคดีจริงๆ”พรานแปะร้องตอบ พูดจบก็ร้องเรียกพรานพรมาช่วยกันหิ้วขาเก้งคนละสองข้าง เพื่อเตรียมชำแหละที่ริมห้วยด้านล่าง

“ได้ทั้งไก่ป่า ได้ทั้งเก้ง จะทำอะไรกินดีมื้อนี้ ปลาเวียนกับกบสงสัยจะเป็นหมัน”เหน๋อร้องทัก

“ทำเก้งก่อนดีกว่าข้าว่า ไก่ป่าก็ย่างเกลือกินสักไม้ กบกับปลาเวียนก็ย่างเก็บเอาไว้กินมื้ออื่นก็ได้ ”พรานเบร้องตอบ

“แกงซงแกงส้ม ไม่ต้องทงไม่ต้องทำมันแล้วพ่อ น้ำพริกก็มีอยู่แล้วผักกูดก็มี หมกกินกับน้ำพริกก็ได้”เคิ้งร้องเสริม

          เก้งหม้อตัวเขื่องถูกชำแหละอย่างรวดเร็ว เกือบจะทุกส่วนของมันถูกนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เหลือเพียงบางอย่างที่ต้องทิ้งไปเพราะทำอะไรกินไม่ได้ เนื้อสันในและขาทั้งสี่ข้าง ถูกแยกส่วนออกมาย่างลมควัน เพื่อจัดเก็บไว้เป็นเสบียง เครื่องในและกระดูกซี่โครง ถูกพรานเบสับเตรียมไว้ทำต้มเนื้อและผัดเผ็ด โดยเจ้าตัวบอกว่าจะโชว์ฝีมือให้สิงห์กิน ส่วนหนังก็ไม่ได้ทิ้งคว้าง พรานโส่ยใช้มีดขูดขนออกอย่างบรรจง จากนั้นก็ทาเกลือแล้วย่างรมควันเสียอย่างดี โดยให้เหตุผลว่าเอาไว้ย่างกินหรือไม่ก็ต้มแกงเอาไว้กินมื้ออื่น นอกนั้นก็จะเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ๆและเครื่องในบางอย่างที่ไม่สามารถจัดเก็บไว้ได้ สิงห์และเหน๋อสองเกลอ ต่างช่วยกันรวบรวมแล้วย่างให้พอสุก โดยแยกกองไฟมาใหม่อีกกอง เพื่อเตรียมไว้ให้เจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบองแทะกิน

          เช่นเดียวกับไก่ป่าก็ถูกขึ้นย่างบนร้านย่างเนื้อที่ถูกทำขึ้นมาอย่างลวกๆ แต่ก็แข็งแรงทนทาน พรานเบหลังจากเตรียมเครื่องครัวเสร็จก็ร้องสั่งให้สองกะเหรี่ยงดง ไปหาขุดต้นและหัวกระวานอ่อนๆเพื่อเอาไว้ใส่ผัดเผ็ดเนื้อเก้ง ส่วนตัวแกเองนั่งโขลกพริกแกง เสียงครกทีทำจากกระบอกไม้ไผ่ดัง โป๊กๆ ก้องไปทั้งบริเวณ กลิ่นของเครื่องแกงหอมฉุยน่ากิน....

เจ้าพุ่มยิ้มตลอดเวลา


เจ้าเคิ้ง


ล่องไพร...


ที่เห็นขาวๆไม่ใช่ ปีกบนไก่นะครับ แต่มันคือ ขากบทูด/ธูป ทอดกระเทียมพริกไทย ส่วนตัวของกบเอาไปผัดเผ็ด ทอดกินแต่ขา


.....
ปรีชา เตชะวณิช:  โอ้โห้ คราวนี้ยิ่งเก้งหมอเลย ผัดเผ็ด ใส่ผักหนาม และยอดหวายอ่อนๆ อื้ม.....แกลมเหล้าป่าสัก โบกสองโบก ไม่ไปไหนแล้ว
.....
SHATTER:  มาแล้ว..............

เหมือนเดิมคำผิดคำสุดท้ายคับ
ตัดมาที่แค้มป์ อากาศช่วงเช้ามืดเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหนาวทรมานคนแก่แค่ไหน พรานโส่ยตื่นขึ้นมาเติมฟืนสุมไฟ ตั้งแต่ไก่ป่าขัด (ขัน)
ส่วนตัวแกเองนั่งโขลกพริกแกง เสียงโคก (ครก)

น้าตอนแรกสองพลานเอากระบอกไม้ไปคนละ2กระบอก กระบอก1ใส่น้ำกินอีกระบอกปล่าวไว้ฉี่ แต่ตอนขากลับ กินน้ำกระติกซะแล้ว อิอิ
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: ขอบคุณครับน้าๆ ที่ค่อยติดตามอ่าน ขอบคุณทุกกำลังใจครับ

ขอบคุณน้าSHATTER  มากๆนะครับ ที่ช่วยบอกคำผิด ผมแก้ใหม่แล้วนะครับ แหม่คำง่ายๆ เขียนก็เคยเขียนแล้ว ยังพิมพ์ผิดอีก มันน่าตีมือนัก

ส่วนเรื่องกระบอกน้ำ ผมดีใจนะครับ ที่น้าจำได้ว่ากระบอกน้ำมีกี่กระบอก นั้นหมายถึงว่าน้าตามอ่านนิยายของผมจริง ตามทุกรายละเอียด และเป็นสิ่งที่ผมอย่างได้มากที่สุดครับ คือ มีคนทักว่าตรงนี้ไม่ใช่นะ ตรงนั้นต้องเป็นแบบนี้ และขอยอมรับว่าผมลืม (เขียนจนลืม)

อาทิตย์นี้งานผมน่าจะเบาๆลงแล้ว คงจะพอมีเวลาเขียนพอสมควรครับ ว่าแล้วนั่งเขียนต่อดีกว่า(งานการไม่ทำ สงสัยจะโดนซองขาวสักวัน



23
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 6


ตอนที่ 6.1

          ไอแดดร้อนระอุ เต้นพลิ้วไหวไปมาบนด่านทางดินลูกรังรางๆ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยเถาหนามของหวายป่า และพุ่มเล็บเหยี่ยว ที่พันเกาะเกี่ยวกันเป็นกำแพงหนาทึบ ซึ่งครั้งหนึ่งเส้นทางนี้เคยเป็นทางด่านของช้างป่ามาก่อน แต่ก็คงเป็นรอยที่พวกมันยกโขลงกันมาหากินในป่าแถบนี้เมื่อหลายเดือนมาแล้ว นอกจากเถาหวายบางยอดที่ถูกดึงยอดมากินจนแหลกยับ ใกล้ๆกัน กอไผ่บางกอ ก็ถูกพวกมันดึงยอดจนหักลู่ไปเป็นทาง

          โดยการนำทางของพรานเบ ที่พาคณะทั้งหมดเดินไต่ไปตามสันเขาที่สูงชัน บางครั้งก็สูงเสียจนปวดขา บางตอนก็เดินลงเขาชัน จนต้องคอยจิกปลายเท้าจนเกร็งไปหมด บ่อยครั้งที่บางคนก็ลื่นไถลจนก้นจ้ำเบ้า เพราะความลื่นของพื้นดินลูกรังที่มีแต่หินดานก้อนเล็กๆ จนมาถึงก้นห้วยอย่างทุลักทุเล แต่ละคนก็เหงื่อโทรมกายไปตามๆกัน นอกจากจะเหนื่อยจากการเดินทางอันแสนจะวิบากแล้ว ทุกคนยังต้องคอยปัดแมลงนานาชนิด ที่มาคอยตอมกินเหงื่อจนน่ารำคาญ โดยเฉพาะพวกผึ้ง ทั้งผึ้งหวี่ ตัวเล็กๆ ไปจนถึง ผึ้งหลวงและผึ้งโพรง โดยเฉพาะผึ้งโพรง ซึ่งต้องคอยระวังพวกมั นเป็นพิเศษ เพราะเผลอเป็นไม่ได้ พวกมั นจะไต่เข้าไปในเสื้อผ้า เผลอไปปัดเข้าก็ต่อยเอา

“ร้อนจริงๆเว้ยวันนี้”พรานโส่ยร้องบ่น พูดจบก็ทิ้งถุงปุ๋ยที่ภายในมีสำภาระลงพื้นดังโครม

“พักกันสักหน่อยดีกว่าพวกเรา ไม่ไหวหาน้ำลูบเนื้อลูบตัวหน่อย รำคาญพวกผึ้งจริงๆ”สิงห์พูดจบก็ถอดเครื่องหลังที่สะพายออก รวมถึงปืนยาว .22 ก็ถูกปลดมาวางอิงไว้กับโคนต้นยอ

“พี่สิงห์ มียาหม่องติดมาบ้างหรือเปล่า”พุ่มร้องถามหายาหม่องจากสิงห์ เพราะเจ้าตัวโดนผึ้งต่อยไปหลายที

“มี อยู่ในกระเป๋ายานั้นล่ะ”สิงห์ร้องตอบมาจากริมห้วย ซึ่งตอนนี้ เหล่าพรานทั้งหลายต่างลงไปใช้น้ำล้างหน้าล้างตากันจนชื่นใจ โดยเฉพาะเจ้าเคิ้งถึงกับลงไปนั่งแช่น้ำในลำห้วยทั้งชุด

“ค่อยยังชั่วหน่อย เย็นสบายดีแท้”เจ้าเคิ้งร้องบอก ขณะนั่งแช่น้ำกลางลำห้วยอย่างสบายอารมณ์

“ตอนที่เราเดินกันบนเขา เห็นรอยช้างป่าเปรอะไปหมด หวังว่าคงไม่ไปเจอกันข้างหน้านะ”สิงห์พูดพลางยกน้ำในกระติกขึ้นดื่ม

“ข้าก็ตอบไม่ได้ว่าจะเจอมันหรือเปล่า แต่รอยมันนานหลายเดือนแล้ว ป่านนี้คงไปหากินไหนต่อไหน”พรานเบพูดจบก็สูบบุรี่ใบจากจนควันโขมง

“อย่าเจอกันเลยดีที่สุด ต่างคนต่างอยู่เถอะ เจ้าพระคู้ณ..”พรานชราร้องบอก พูดจบก็พนมมือไหว้ท่วมหัว

“แล้วแต่ดวงแล้วกันของแบบนี้”พรานพรพูดเสริมขึ้นมาอีกคน

“ว่าแต่ แถวนี้มันก็น่ามาตั้งแค้มป์นอนกันนะ น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ดี”พรานมือใหม่พูดขึ้นมาลอยๆ จริงอย่างที่สิงห์ว่ามา บริเวณนี้ดูผ่านๆแล้ว ก็น่ามาตั้งแค้มป์พักนอนยิ่งนัก เพราะมีทั้งชัยภูมิ ที่เหมาะแก่การตั้งแค้มป์ เพราะดูราบเรียบไม่รกมากนัก รวมถึงลำห้วย ที่อยู่ไม่ห่างกัน นอกจากสายน้ำที่จะนำมาใช้สอยแล้ว ตลอดสองฝั่งลำห้วยยังเต็มไปด้วย ผักกูด และบอนป่า ที่พอจะนำมาประกอบอาหารได้ รวมถึงกล้วยป่าอีกหลายกอ ก็พอจะใช้สอยได้เช่นกัน แต่ก็ต้องเลือกๆหน่อย เพราะแต่ละกอมีร่องรอยช้างป่า กระชากยอดใบและลำต้น จนดูราบไปเป็นแถบๆ

“ข้าว่าเราไปหาที่นอนที่แก่งผักกูดกันดีกว่า อีกไม่ไกลก็น่าจะถึง”พรานชราร้องบอก พูดจบก็งัดหมากในย่ามมาเคี้ยวหยับๆ

“พี่ก็ว่าแบบตาโส่ย ไปหาที่นอนแถวแก่งผักกูดดีกว่าตรงนี้ตั้งแยะ”พรานแปะเสริมมาอีกคน หลังจากผลโหวตออกมาจากเหล่าพรานกะเหรี่ยง สิงห์ก็ยากนักที่จะปฏิเสธ เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เวลาก็ชี้ไปที่ 15.48 น. คิดดูแล้วอย่างน้อยๆ ก็มีเวลาเดินอีกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อทุกคนมีความเห็นตรงกัน ขบวนท่องไพรก็ออกเดินทางอีกครั้ง

        พรานเบออกเดินนำทางอีกครั้ง หลังจากพาเดินไปตามสันเขาที่ร้อนระอุ ราวกับอยู่ในเตาอบ หรือไม่ก็ขุมนรกขุมไหนสักแห่ง แต่เมื่อคนนำทาง พาเดินมาอยู่ที่ก้นหุบเบื้องล่าง สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศก็ดูผิดไปถนัดตา จากที่บนยอดเขาออกจะแห้งแล้ง เพราะไม่มีแหล่งน้ำและความชุ่มชื้นถึงจะเพิ่งผ่านฤดูฝนมาแล้วก็ตาม ต้นไม้ต้นไร่ก็ดูเหี่ยวเฉา แลดูไม่มีชีวิตชีวา แต่พอทั้งคณะลงมาเดินอยู่ก้นหุบ สภาพแวดล้อมก็กลับกลายมาเป็นป่าทึบอีกครั้ง รวมทั้งอากาศที่ร้อนขนาดเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบองยังร้อง หงิ๋งๆ ก็กลับมาเย็นฉ่ำ ทำให้มีเรี่ยวแรงเดินอีกเป็นกอง เพราะบริเวณป่าเบื้องล่างมีความชุ่มฉ่ำมากกว่า

        ลำห้วยสายนั้น ไหลคดเคี้ยวไปตามตีนเขา บางครั้งก็ไหลแยกออกเป็นสองสาย บางตอนก็ไหลตกลงมาจากที่สูง กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ลดหลั่นกันมาเป็นชั้นๆดูสวยงามไปอีกแบบ และบางช่วงก็เป็นแอ่งลึก เหมือนมีใครเอารถขุดดิน มาขุดเอาไว้ เพราะเท่าที่ดูด้วยสายตา น่าจะลึกไม่ต่ำกว่าสองวา ภายในแอ่งน้ำที่ใสราวกับกระจกนั้น หมู่ปลาน้อยใหญ่ ว่ายวนกันเป็นกลุ่มๆ มองเห็นถนัด

        เลยจากแอ่งน้ำที่กว้างใหญ่กว่าที่ผ่านๆมา เหนือขึ้นไปก็เป็นลำห้วยที่แลดูตื้นเขิน แต่กว้างขวางร่วมสี่วา ซึ่งมีภูเขาขนาบทั้งซ้ายขวา ระดับน้ำที่ลึกที่สุดสูงไม่เกินตาตุ่ม แต่ก็น่าแปลกใจที่ระดับน้ำเพียงเท่านี้ ก็ยังมีปลานานาชนิดอาศัยอยู่ชุกชุม ครั้นเมื่อทั้งคณะเดินลุยผ่าน พวกมันก็พากันตื่นตกใจว่ายกระเจิดกระเจิง ไปคนละทิศคนละทาง ตัวไหนมีขนาดเล็กก็พอจะแทรกตัวไปตามกระแสน้ำที่ตื้นนั้นไปได้ ตัวไหนใหญ่หน่อยก็พยายามกระเสือกกระสนแถกตัวไปอย่างทุลักทุเล จนได้ยินเสียงลำตัวของมันกระแทกกับกรวดหินใต้น้ำดัง แพรดๆ อย่างถนัดหู

“บ๊ะ ปลาเวียนมันแยะดีโว้ย” พรานโส่ยร้องลั่น เมื่อเห็นฝูงปลาเวียนตัวเขื่อง พากันวายแถกตัวสวนน้ำไปหลายฝูง

“ปลาก้างก็มี”เคิ้งร้องมาอีกคน

“ฟันเก็บไว้ย่างเกลือกินเสียหน่อยดีกว่า”พุ่มเสนอความคิด พูดจบก็ใช้สันมีดเหน็บเคาะไปที่หัวปลาเวียนที่ว่ายไปซุกซอกหิน

“นั่นๆ ว่ายไปทางโน่นแล้ว”พรานแปะพูดจบก็ วิ่งไล่ฟันปลาเวียนจนน้ำบาน เห็นแล้วน่าสนุก

          นอกจากเหล่าปลานานาชนิด ที่พากันวายหนีกระเจิดกระเจิง ไม่เป็นขบวนแล้ว ทั้งสองฝั่งลำห้วยนั้น ยังอุดมไปด้วยไม้ล้มลุก จำพวก กล้วยป่า บอนป่า กระวาน ผักกูด และผักหนาม โดยเฉพาะต้นผักกูด มีมากเป็นพิเศษ ซึ่งแต่ละยอดอวบใหญ่น่ากินกว่าที่เคยเก็บมาจากป่าด้านล่าง นอกจากไม้ล้มลุกที่ขึ้นกันหนาแน่นแล้ว ยังมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อย่าง ต้นยางนา ต้นยวน และต้นผึ้ง ที่ขึ้นเบียดกันจนไม้เล็กไม่น้อยใต้โคนต้นของมัน ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เลย เพราะไม่มีโอกาสได้รับแสงอาทิตย์มาหล่อเลี้ยงยอดใบ  บางต้นก็แคะแกร็น บางต้นก็ยืนต้นแห้งตายก็มีให้เห็นอยู่มากมาย

          หลังจากทุกคนพากันไล่ฟันปลาเวียนและปลาก้าง จนได้ปลามาพอกิน พรานเบก็ร้องบอกให้เดินทางกันต่อ โดยเจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ได้ปลาเวียนและปลาก้างถือติดไปด้วยคนละพวง ปลาที่ได้มาตัวเขื่องๆทั้งนั้น เพราะเลือกที่จะฟันมากินโดยเฉพาะ ส่วนปลาเล็กปลาน้อยที่มีอยู่มากมาย ทางคณะตระเวนไพร ไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย เพราะกลัวเสียเวลาไปเปล่าๆ ในเมื่อ ปลาย่างรมควัน และกบย่าง ที่พรานโส่ยทำไว้ ก็มีอีกหลายไม้ที่ยังไม่ได้ทำอะไรกิน

“เฮ้ย ไอ้เคิ้ง เอ็งถือพวงปลาดูบ้างสิว่ะ ดูซิ หลุดมาจากพวงเกือบหมดแล้ว”พุ่มที่เดินตามหลังร้องบอกเจ้าเคิ้งที่เดินแกว่งพวงปลา จนปลาเวียน หลุดจากพวงตกกระจัดกระจายเกลื่อน โดนเจ้าตัวไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย จะว่าด้วยน้ำหนักตัวของปลา หรืออาจจะเป็นส่วนหัวที่ถูกร้อยเหงือกเข้ากับเถาวัลย์ขนาดใหญ่ จึงทำให้ส่วนหัวที่แต่เดิมถูกตีจนแบะอยู่แล้ว ฉีดขาดหลุดจากพวงได้อย่างง่ายดาย

“อ้าว เฮ้ย! เหลือแต่หัว ฮ่าๆ”เจ้าเคิ้งหัวเราะชอบใจ หลังจากยกพวงปลาเวียนขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่ตัว นอกนั้นตัวขาด หัวหลุด ไปหมดแล้ว

“เอาใส่ย่ามข้าไว้ก่อน”พรานโส่ยที่เดินอยู่ใกล้ๆ รับปลาเวียนที่พุ่มเดินเก็บ มาใส่ย่ามใบเก่าของแก นอกจากปลาเวียนและปลาก้างที่อยู่ในย่ามของแกแล้ว ข้างในนั้นยังมี หัวปลี ของกล้วยป่า ที่แกตัดไว้ อีก สองสามหัว แต่ละหัวใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ

“รอยหมูป่าลงมาลุยไว้เป็นแปลงเลย”พรานเบพูดจบก็บุ้ยปากไปยังตำแหน่งกอกล้วยป่า ที่ตอนนี้บริเวณผิวดินโคนต้นแหลกยับไปเป็นแถบๆ

“รอยยังใหม่ๆเสียด้วยซิ”พรานพรพูดเสริมมาอีกคน หลังจากก้มลงไปพิจารณา

“สงสัยจะหมูฝูง รอยตีนไม่ค่อยใหญ่ ดูสิ ย่ำไว้ให้เปรอะไปหมด”พรานแปะพูดพลางชี้มือไล่ดูไปตามรอยตีนหมูป่า ที่เหยียบย่ำไว้ใหม่ๆ

        นอกจากรอยหมูฝูงที่ลงมาหากินบริเวณที่คณะเดินผ่านมาแล้ว ตามริมห้วยทั้งสองฝั่งที่เป็นแอ่งโคลน ยังมีร่องรอยของพวกมันบางตัว ลงไปนอนแช่ปลักก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ รวมถึงตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างปลักโคลนนั้น ก็มีรอยพวกมันเอาสีข้างมาถูเล่น แต่ละรอยสูงเกือบถึงขาอ่อน นอกจากหมูป่า ยังมีรอยถูของช้างป่าก็มีให้เห็น แต่ก็นานมาแล้วหลายเดือน  ซึ่งดูจากเศษโคลนแห้งกรังที่ติดบนลำต้นของต้นไม้ บอกได้ว่าเป็นช้างโทนขนาดใหญ่ เพราะรอยโคลนที่มันฝากไว้ สูงเลยหัว เห็นแล้วพาให้เสียวสันหลัง เพราะไม่รู้ว่าจะไปจ๊ะเอ๋ กับเจ้าของรอยนี้เมื่อไหร่ ขนาดยืนชูแขนวัดแล้วก็ยังไม่พ้น รวมถึงรอยตีนของมันก็ใหญ่ไม่ใช่เล่น หลังจากพิจารณาร่องรอยต่างๆเรียบร้อยแล้ว พรานเบก็พาทั้งคณะเดินทางต่อ

      อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะอยู่ในป่าทึบ ถ้าไม่ก้มดูนาฬิกา ก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ เกือบจะ ห้าโมงเย็นแล้ว แต่ด้วยความทึบของป่า จึงดูว่าค่ำเร็วไปหน่อย พรานเบจึงให้คณะรีบเร่งในการเดินเข้าไปอีก จากที่เดินชมนกชมไม้ตั้งแต่ตอนต้นๆ ตอนนี้เปลี่ยนมาเดินจ้ำกันอย่างไม่คิดสนใจอะไรรอบตัวเลย ขนาดไก่ฟ้า ที่เจ้าพะเปรียวเห่าไล่ไปเกาะเด่นอยู่บนกอไผ่เห็นถนัดๆ พรานเบก็ไม่คิดที่จะยิงเก็บเอาไว้เป็นเสบียง เพียงแค่ยืนมองๆ แต่ไม่ถึงอึดใจก็พาเดินนำทางไปต่อ

        เส้นทางของด่านสัตว์ ตัดผ่านแนวป่าดูสับสนไปหมด บางช่วงก็เป็นแยกสลับไปมา แต่พรานชำนาญไพร อย่างพรานเบ ก็พาเดินตัดไปได้อย่างไม่ลังเล เพราะไม่ต้องคอยตัดกิ่งไม้และเถาหนามที่ขวางทาง คณะเดินทางจึงใช้เวลาไม่มากนักบนด่านทางเดินเส้นนี้ หลังจากพากันเดินลุยดงกระวานที่ขึ้นรกไปหมด ทุกคนก็มาโผล่บริเวณ ลานราบเรียบตอนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากลำห้วยไม่มากนัก และแน่นอนมันเป็นลำห้วยสายเดียวกับที่คณะช่วยกันหาฟันปลาในระหว่างทาง

        นอกจากบริเวณที่พักที่ดูโล่งเตียนเป็นพิเศษแล้ว บริเวณกลางลานดินนั้น มีร่องรอยของกองไฟกองใหญ่ อีกมุมใกล้ๆกันก็มีเตาไฟ ที่มีหินก้อนใหญ่วางทิ้งไว้สามก้อน หรือที่เรียกกันว่า เตาสามเส้า ซึ่งตรงกลางเตานั้นมีกองขี้เถ้าอยู่กองใหญ่ ส่วนบริเวณที่มีต้นไม้เล็กๆขึ้นอยู่ประปลายรอบๆบริเวณ  แคร่ไม้สำหรับวางของก็ยังมีอยู่

“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ข้าก็มาตั้งแค้มป์ที่นี้กับไอ้พรมัน”พรานเบพูดจบก็หยิบใบไม้แห้งที่หล่นทับถมอยู่บนแคร่ออก จากนั้นก็ใช้มือขยับลูกแคร่ หรือร้านวางของ เพื่อตรวจความแข็งแรง เมื่อเห็นตรงไหนดูไม่เรียบร้อยก็แก้เถาวัลย์ที่ผูกลูกแคร่ออก แล้วผูกใหม่ให้แน่นหนา

“มานอนตรงนี้ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องเตรียมอะไรมากแบบเมื่อวาน”พรานพรร้องเสริมมาอีกคน พูดจบก็ถอดเป้ที่แบกมาออก

“เอ็งสองตัวไปช่วยกันหาฟืนเตรียมก่อไฟดีกว่า จะได้รีบหุงข้าวหุงปลา มืดค่ำจะลำบาก”พรานเฒ่าร้องบอก เจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้ง ที่ตอนนี้กำลังช่วยกันใช้กิ่งไม้ปัดกวาดบริเวณที่พัก

          ส่วนคนอื่นๆหลังจากจัดการกับเครื่องหลังที่สะพายออกมาวางแล้ว ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่างไม่ดูดาย เหน๋อกับพรานแปะ ช่วยกันรื้อหม้อสนามและข้าวสารเตรียมหุงข้าว พรานโส่ยกับสิงห์ช่วยกันก่อไฟขึ้นกองใหญ่ ตรงตำแหน่งเดิมที่พรานเบเคยก่อไว้ รวมถึงกองไฟในเตาอีกกอง เพียงไม่กี่อึดใจ กองไฟกองใหญ่ก็ถูกก่อขึ้น จนบริเวณที่พักสว่างโพรงไปหมด

“แล้ววันนี้จะทำอะไรกินกันดีล่ะ”สิงห์ร้องถาม

“ข้าว่าจะแกงปลาแห้งใส่หัวปลีกินสักหม้อ”พ่อครัววัยชราร้องตอบ ขณะกำลังรื้อค้นเสบียงในกระสอบปุ๋ยใบเก่าของแก

“แค่นึกเห็นภาพก็หิวแล้ว”สิงห์พูดพลางหยิบท่อนฟืนที่ติดไฟนำมาใส่เตาสามเส้า

“อ้าว น้าเบไปหาเก็บผักกูดมาตั้งแต่ตอนไหน เผลอแป๊บเดียวเอง”สิงห์ร้องบอก ขณะเห็นพรานเบและพรานพรเดินถือยอดผักกูดมาคนละกำใหญ่

“แถวๆริมห้วยใกล้ๆนี้ล่ะ ผักกูดเยอะแยะ ไม่ต้องเดินหาไกล”พรานเบพูดจบก็วางยอดผักกูดสดๆลงบนผ้าใบที่ถูกปูแผ่ไว้แล้ว

“ชื่อสถานที่มันก็บอกในตัวแล้วเพื่อน”เหน๋อพูดเป็นปริศนา

“เอ็งพูดอะไรว่ะ สะทงสถานที่อะไร ไม่เข้าใจ”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็รับหม้อสนามมาแขวนบนราว

“ปัดโธ่...ก็ที่เอ็งจะมานอนอยู่นี้ เขาเรียกว่า แก่งผักกูด ชื่อมันก็บอกแล้วว่าแก่งผักกูด ผักกูดมันต้องเยอะอยู่แล้ว ฮ่าๆ”เหน๋อพูดจบก็หัวเราะชอบใจ

“เออว่ะ จริงของเอ็ง ผักกูดมันเยอะจริงๆ”สิงห์ร้องตอบ

          นอกจากแก่งผักกูดที่คณะทั้งหมดมาพักอาศัยบริเวณนี้แล้ว สถานที่ส่วนใหญ่ มักจะมีชื่อเรียกตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ อย่างเช่น แก่งผักกูด ก็เพราะบริเวณนี้มีต้นผักกูดขึ้นเป็นจำนวนมาก จะว่าที่อื่นไม่มีก็ไม่ถูกนัก แต่เยอะและดกสู้บริเวณนี้ไม่ได้ รวมถึงลำห้วยที่น่าจะกว้างขวางกว่าที่อื่นและมีแก่งหินอยู่มากมาย ชื่อ แก่งผักกูด น่าจะเหมาะที่สุด ส่วนบริเวณที่พักเมื่อคืนก่อนมีชื่อเรียกว่า ช่องผาแคบ ก็เพราะถ้าใครจะผ่านไปอีกฟากก็ต้องเดินผ่านช่องหน้าผา ลักษณะเหมือนกำแพงที่กั้นขวางไว้ เหลือเพียงช่องกว้างไม่เกินวา ดูแล้วเหมือนประตูที่มีหน้าผาขนาบทั้งสองข้าง ถ้าไม่ผ่านทางนี้ไป ก็ต้องเดินปีนเขาเป็นลูกๆ คิดแล้วก็น่าชื่นชมกะเหรี่ยงดงพวกนี้ ที่เขาใจตั้งชื่อสถานที่นั้นๆ และคงไม่ต้องให้อธิบาย สถานที่อื่นๆที่ยังไม่ได้บอกมา เช่น ห้วยปลากั้ง แค่ชื่อก็ไม่ต้องอธิบายให้ยืดเยื้อแล้ว

“ผักกูดนี้เดี๋ยวเอาไว้หลามใส่กบย่างสักกำ ที่เหลือกินกับน้ำพริกก็น่าจะพอ”พรานแปะเสนอเมนูยั่วน้ำลาย

“เออ...ก็เข้าท่าดี”พรานพรเห็นด้วย

“เอ๊า! เอ็งสองคนได้ยินแล้วใช่มั๊ย ไป ไม่ต้องให้บอก”พรานโส่ยร้องบอกเจ้าเคิ้งและพุ่มที่ต้อนนี้เดินล้วงหอยล้วงปูอยู่ริมห้วย

“ไม่ต้องทะลึ่งไปไหนไกลล่ะ จะได้รีบทำ เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน”

“ได้เลยพ่อ ฉันจะไปไหนไกล ก็ขึ้นเป็นดงอยู่นี่”เจ้าเคิ้งพูดจบก็เดิน ดุ่มๆไปที่โคนก่อไผ่ เพียงไม่กี่นาที ก็แบกไม้ไผ่ลำใหญ่มาคนละลำ

          เวลาผ่านไปไม่นานน้ำในหม้อที่เตรียมทำแกงหัวปลีก็เดือดพล่าน พริกแกงที่ถูกตำขึ้นมาหยาบๆถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเอาไว้ใส่แกงหัวปลี และอีกส่วนเอาไว้ทำหลามผักกูด กับข้าวทั้งสองอย่างถูกทำเกือบจะพร้อมๆกันโดยพ่อครัวเพียงคนเดียว หลังจากเติมเครื่องแกงลงไปในน้ำที่กำลังเดือดจนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พรานโส่ยก็เติมกะปิมอญลงไปอีก จนน้ำในหม้อข้นคลัก จากนั้นก็ร้องเร่งเอาหัวปลีที่พรานแปะนั่งซอยอยู่ นำมาเติมจนหม้อแทบล้น ต้องรออีกพักใหญ่กว่าหัวปลีสดจะสุกยุบลงเหลือแค่ครึ่งหม้อ หลังจากปรุงรสจนได้ที่ พรานเฒ่าก็ฉีกบิ ปลาแห้งที่แกรมควันไว้ไปอีกสองไม้ เพียงไม่นานแกงหัวปลีใส่ปลาแห้งรมควันก็สุกส่งกลิ่นหอมฉุย

          ถัดจากหม้อแกงหัวปลีใกล้ๆ กระบอกไม้ไผ่ขนาดเกือบเท่าขาอ่อน ที่มีน้ำแกงเดือดคลัก พรานโส่ยก็เทยอดผักกูดที่ถูกเด็ดเป็นท่อนๆลงไปจนเต็ม จากนั้นรออีกไม่นาน จนผักกูดในกระบอกยุบตัว ก็ฉีกกบย่างที่เหลือไว้จนหมด นอกจากแกงหัวปลีและหลามผักกูดแล้ว บนราวแขวนหม้อสนาม ที่ตอนนี้ข้าวที่อยู่ภายในจวนสุกได้ที่ ยังมีห่อใบตองขนาดใหญ่ ซึ่งภายในมีผักกูดอีกกำใหญ่ถูกคลุกเคล้าเกลือบางๆหมกอยู่อีกห่อ กับข้าวลูกป่าก็เป็นอันเสร็จแต่ก็ยังไม่จบ เพราะเหลืออีกอย่างที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือน้ำพริก เพราะมีสำรองไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเช้านี้ เพียงแค่เติมน้ำมะขามเปียกหรือลูกมะกอกป่าสุก เท่านี้ก็ได้น้ำพริกเผาป่าถ้วยใหญ่แล้ว

“นั่นน้าเบเตรียมไปไหนล่ะ”สิงห์ร้องถามพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังงัดลูกปืนลูกซองออกมาเปลี่ยน

“ข้าว่าจะไปนั่งห้างเสียหน่อย”พรานเบหันมาตอบ พูดจบก็หยิบลูกปืนจากเป้ขึ้นมาเลือก

“แถวนี้มีลูกไม้ให้นั่งรึ?”สิงห์ถามต่อ แต่ไม่ทันที่คนถูกถามจะตอบ พรานพรก็ตอบแทนว่า

“มี ครั้งที่แล้วพี่ก็มากันสองคน สงสัยจะไปนั่งลูกมะขามป้อม งวดก่อนมามันยังไม่สุกดี”พรานพรพูดจบก็หยิบท่อนฟืนที่ติดไปมาจี้ที่ปลายบุหรี่ยาเส้นของแก

“น่าสนใจ แล้วจะไปกันตอนไหนล่ะน้าเบ”สิงห์พูดพลางช่วยพรานเฒ่ายกหม้อข้าวออกจากราวแขวน

“กะว่ากินข้าวเสร็จก็ไปแล้ว คงถึงห้างที่ข้าขัดไว้คงใกล้มืดพอดี แล้วนี่ก็โมงแล้วล่ะ”ประโยคสุดท้ายพรานเบบุ้ยปากมาที่นาฬิกาของสิงห์

“โอย..นี่ก็เกือบจะ6โมงเย็นแล้ว”

“แล้วน้าเบจะไปกับใครล่ะ พี่พรรึ”สิงห์ร้องถาม

“ข้าว่าจะหาส่องอีเห็นสักหน่อย ไปนั่งห้างกับไอ้เบทีไรไม่ได้ตัวทุกที”พรานพรพูดจบก็อัดยาเส้นแดงวาบ

“ดีเลย เอางี้ ครั้งนี้ขอผมไปเป็นเพื่อนน้าเบเอง”สิงห์พูดจบก็หันไปยิ้มให้พรานนำทาง

“เอ็งจะไปทรมานทำไมว่ะ อยู่หาปูหาปลากับข้าดีกว่า”พรานเฒ่าร้องบอก

“ลองดูลุงโส่ย ไม่ได้นั่งห้างกับน้าเบมานานแล้ว คืนนี้ของทรมานสักคืนจะเป็นไร มาๆจะมืดจะค่ำแล้วกินข้าวกินปลากันดีกว่า ไอ้เคิ้งอย่าลืมเอาข้าวกับเหล้าไปเซ่นเจ้าที่เขาล่ะ คืนนี้พี่จะล่อกระทิงมาให้เอ็งย่างกิน ฮ่าๆ”สิงห์โม้จบ ก็หัวเราะ

“ฮี่โธ่..จะเอามาจากไหนกระทงกระทิง ยิงกระจงมาให้ข้ากินให้ได้ก่อนเถอะไอ้สิงห์ ฮ่าๆ”สิ้นเสียงพรานชราทั้งคณะก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางวงข้าว ที่ถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาเหล่าพราน ซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัวของเขา ถึงแม้ฐานะการเป็นอยู่จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงก็คือ ความรักและความจริงใจต่อกัน รวมถึงการมีน้ำใจซึ่งกันและกัน อีกส่วนที่ขาดเสียไม่ได้คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ที่มีให้กันมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตีค่าเป็นราคาค่างวดใดๆได้เลย ยากนักที่จะหาสิ่งเหล่านี้ได้ในโลกภายนอก....













24
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 5

ตอนที่ 5.1

          เสียงออดแอด ของต้นไม้ที่โยกไปมาช้าๆตามแรงลมเอื่อยๆ ราวกับมีใครมาสีซออยู่ในป่า บรรยากาศเช้านี้ยัง ขมุกขมัว เพราะมีหมอกปกคลุมอยู่หนาทึบแต่ก็พอมองเห็นอะไรรอบๆตัวได้รางๆ เสียงงึมงำของเขียดและอึ่งป่าในลำห้วยเงียบเสียงไปหมดแล้ว มีเพียงเสียงของสายน้ำที่ไหลรินในลำห้วยและแมลงบางชนิดที่ยังกรีดปีกแว่วเสียงมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วมาจากหุบไหนสักแห่งไกลออกไป เหล่านกกาหลังจากพวกมันพักหลับนอนในรวงรังเมื่อคืนที่ผ่านมา ก็พากันออกหากินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตต่อไปในเช้าวันใหม่

          ควันไฟลอยต่ำๆ มาจากกองไฟ ซึ่งตอนนี้ขาวโพลนไปด้วยขี้เถ้ากองใหญ่ มีเพียงส่วนท้ายๆของท่อนฟืน ที่ถูกเผาไหม้ไม่หมด ที่พื้นดินและยอดหญ้าก็ชื้นแฉะไปด้วยน้ำค้าง บางส่วนที่อยู่สูงขึ้นไปตามเรือนยอดของไม้ใหญ่ก็รวมตัวกลายเป็นหยดน้ำ ตกลงพื้นซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้แห้งดังเปาะแปะ

          เสียงกิ่งไม้หักดัง เปรี๊ยะ ผสมกับเสียงพูดคุยกันเบาๆแว่วมาเป็นระยะๆ ทำให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้นอนขดตัวอยู่ในเปล งัวเงียผงกหัวขึ้นมาจากโปงถุงนอน พอหันไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเพื่อนร่วมเดินทาง ที่ตำแหน่งกองไฟอันเคยเป็นที่นอนของสมาชิกท่องไพร ก็ถูกเก็บเรียบร้อย บ่งบอกว่าทั้งคณะตื่นกันหมดแล้ว ยกเว้นเขาเพียงคนเดียวที่ยังนอนอยู่ หลังจากนั่งบิดตัวไปมาสองสามครั้ง จนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกราว เขาก็มุดตัวออกจากเปลสนาม

“ตื่นแล้วหรือสิงห์” พรานชราร้องทักมาจากริมห้วย

“สงสัยจะนอนฝันดี”เพื่อนเกลอของสิงห์ร้องทักมาอีกคน

“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ สงสัยจะผิดที่”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็หยิบผ้าขนหนูที่แขวนไว้กับสายเปล เตรียมไปล้างหน้าที่ริมห้วย

“ไอ้สองตัวนั่นไปไหนล่ะ ลุงโส่ย” สิงห์ถามหากะเหรี่ยงหนุ่มสองคน

“ข้าให้มันไปหาเก็บผักเก็บหญ้ามาเตรียมทำอะไรกิน ออกไปได้สักพักก่อนเอ็งจะตื่นนี่เอง”พรานชราร้องตอบ พูดจบก็หยิบปลาเวียนขึ้นมาขอดเกล็ด

“แล้วพี่แปะล่ะ ไม่ได้อยู่ช่วยทำปลากับลุงรึ”สิงห์พุดจบก็เดินไปดูพรานเฒ่าและเหน๋อ นั่งทำปลา

“มันช่วยข้าทำกบกับตะพาบเสร็จ ก็ออกไปหายิงนกยิงหนูแถวๆนี้ล่ะ”พรานชราพูดจบก็โยนพวกปลาเวียนให้เหน๋ออีกพวง

“เหลืออีกเยอะหรือเปล่าลุง จะได้ช่วยๆกัน”สิงห์ร้องถาม

“ปลาเวียนเหลือนิดเดียวก็หมดแล้ว ที่เหลือก็พวกปลาเล็กปลาน้อย”ลุงโส่ยพูดจบก็เปิดปากถุงพลาสติกให้สิงห์ดู ภายในนั้นมีปลาเล็กปลาน้อยเกือบครึ่งถุง

          ไอหมอกจางๆลอยปกคลุมบริเวณผืนป่า ผสมกับอากาศที่เย็นสดชื่น คละเคล้ากับกลิ่นดอกไม้ป่านานาชนิด มันช่างแตกต่างจากที่ชายหนุ่มเคยสัมผัสมา ผิดจากเช้าของเมื่อวานหลายเท่าตัว ชายหนุ่มยืนสูดอากาศเข้าปอดลึก บริเวณริมชายห้วย เหนือขึ้นไปจากกลุ่มของกะเหรี่ยงทั้งสอง ที่นั่งทำปลากันอยู่ ตรงแอ่งเล็กๆที่อยู่ระหว่างก้อนหินใหญ่ ซึ่งพื้นเบื้องล่างเป็นพื้นทรายและก้อนกรวดเล็กๆดูสะอาดตา ที่ตำแหน่งนั้นเอง สายน้ำจากลำห้วยไหลรินเอื่อยๆ ไหลผ่านตามซอกหิน ดูแล้วเหมือนน้ำตกขนาดเล็ก น้ำใสไหลวนอยู่ในแอ่งนั่น

          หลังจากพับแขนเสื้อแจ็คเก็ต เตรียมจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้านั้นเอง เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะระหว่างที่เขากำลังก้มตัวนั้น มีอะไรบางอย่างตกจากกระเป๋าเสื้อของเขา สิ่งนั้นทำท่าจะไหลไปตามกระแสน้ำ แต่ก็ไม่ไวไปกว่าสิงห์ ที่จะรีบคว้ามันขึ้นมาพิจารณาได้ ในมือของเขามีดอกกล้วยไม้ป่าสีขาวผสมม่วง ดอกเล็กๆ ถ้าเขาดูไม่ผิด มันเป็นดอกของช้างกระ กล้วยไม้ป่าชนิดหนึ่งนั้นเอง จะว่ามันตกลงมาโดยบังเอิญ ก็รีบแหงนหน้าดูขึ้นไปรอบๆ เผื่อจะมีต้นช้างกระอยู่บนนั้น ก็ไม่มีสักต้นแถมต้นไม้ใหญ่ๆที่มันพอจะเกาะอาศัยได้ก็ไม่มีเลย ถึงมีก็อยู่ไกลออกไปมาก จะว่าลมพัดมาตก ยอดไม้ก็ไม่มีไหวเลยเพราะไม่มีลมแรงขนาดนั้น หรือเราไปเก็บมาตอนไหน นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จะว่าเก็บมาตอนที่ไปหาปลาเมื่อคืน เสื้อแจ็คเก็ต ตัวนี้เราก็ไม่ได้ใส่ไป พอนึกถึงตอนที่ไปหาปลาได้ สิงห์ก็ขนลุกโดยไม่รู้ตัว หรือว่า หล่อนคนนั้น พลับพลึง แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ก็เราฝันไปนี่ สิงห์ยืนพิจารณาดอกกล้วยไม้ที่อยู่ในมืออยู่อึดใจ ทีแรกเขาทำท่าจะโยนมันทิ้งอย่างไม่แยแสอะไรนัก แต่ก็เหมือนเขาจะคิดอะไรได้ ก็เก็บดอกกล้วยไม้ป่าปริศนาดอกนั้นใส่ไว้ที่กระเป๋าเสื้อของเขาเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะจงใจหรือไม่ก็ตาม โดยตำแหน่งนั้นมันตรงกับหัวใจของเขาพอดี

“สิงห์เอ็งจะเอาน้ำร้อนเอาไว้ชงกาแฟหรือเปล่า ข้าจะได้ต้มทิ้งไว้ให้” เหน๋อร้องถาม

“เออ..เอา ขอบใจโว้ย”สิงห์ร้องตอบขณะมีฟองสบู่อยู่เต็มหน้า

“เออเดี๋ยวข้าเดินไปตักน้ำก่อน ตรงนี้เอามาต้มไม่ได้แล้ว ทั้งคาวปลาทั้งน้ำสบู่”ประโยคหลังทำเอาสิงห์สะดุ้ง เพราะมีส่วนทำให้เพื่อนเกลอต้องลำบากเดินไกลขึ้นไปอีก

“ลุงโส่ยทำปลาเสร็จหรือยัง จะได้ช่วยๆกัน”สิงห์ร้องถามพรานชราที่นั่งง่วนอยู่กับกองปลา

“จวนแล้ว เอ็งช่วยข้าก่อไฟเตรียมหุงข้าวหุงปลาดีกว่า”พรานชราร้องตอบ

“ได้เลยลุงโส่ย สบายมาก”สิงห์ร้องตอบ

          ที่บริเวณรานเดินแคบๆนั้น กองไฟถูกก่อขึ้นมาอีกครั้ง ไอความร้อนจากเปลวไฟช่วยไล่ความหนาวเย็นจากอากาศรอบๆที่พัก ให้ดูอบอุ่นขึ้น หม้อสนามสามใบ ที่ภายในนั้นมีข้าวสารแช่น้ำรออยู่ก่อนแล้ว ถูกนำขึ้นแขวนกับราวไม้เหนือกองไฟ ส่วนหม้อสนามอีกใบที่มีน้ำอยู่เกือบเต็มปริ ถูกวางไว้บนพื้นดินข้างกองไฟที่ถูกพรากไว้เหลือแต่ถ่านแดงแจ๋ พรานโส่ยหลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งทำปลาอยู่ริมห้วยจนเสร็จ ก็ร้องเรียกเจ้าเหน๋อให้ตำพริกแกงเตรียมทำแกงตะพาบ ส่วนตัวแกเองเดินเคี้ยวหมากหยับๆ สาละวนอยู่กับการเสียบซีกไม้ไผ่เตรียมขึ้นย่างปลาเวียน

          เสียง โป๊กๆ ของครกที่ทำมาจากกระบอกไม้ไผ่ ดังก้องเป็นจังหวะ พริกแห้ง หอมแดงและกระเทียม ถูกตำผสมอย่างหยาบๆ สิงห์เองก็รู้งานช่วงที่เพื่อนเกลอตำเครื่องแกงอยู่ ก็ช่วยซอยตะไคร้ และข่า ใส่เติมลงไปด้วย ส่วนพรานโส่ย หลังจากบรรจงเสียบปลาเวียนเรียบร้อยดีแล้ว แกก็เอาขึ้นย่างกับไฟอ่อนๆ

“กบพวกนี้จะทำอะไรกินดีล่ะสิงห์”พรานเฒ่าร้องถาม พูดเสร็จแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น

“ตัวเล็กๆย่างไว้ก่อนก็ได้ลุง ส่วนตัวใหญ่ๆผมจะทำยำกบให้กิน”สิงห์พูดจบก็เดินไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่สองกะเหรี่ยงหนุ่มตัดไว้ให้เป็นท่อนๆ

“น้ำเดือดแล้ว จะเอากาแฟสักหน่อยมั๊ย”เหน๋อถาม พูดจบก็เดินไปเด็ดใบไม้สองสามใบที่อยู่ใกล้ๆมาพับสองสามชั้น แล้วใช้จับหูของหม้อสนามแถนถุงมืออย่างดี

“เออก็ดี ขอสักแก้ว”สิงห์ตอบ พูดจบก็เดินไปเลือกกบธูป ตัวโตๆ ที่พรานโส่ยชำแหละไว้เรียบร้อยแล้ว เลือกเอามาทำยำสามตัว อีกสองตัวให้พรานโส่ย ย่างเก็บไว้กินมื้ออื่น หลังจากน้ำในกระบอกไม้ไผ่เริ่มเดือดได้ทีโดยมีต้นตะไคร้ใส่ลงไปแก้คาว สิงห์ก็ค่อยๆใส่กบธูปลงไป เพียงแค่กบตัวแรกก็ยังยัดลงกระบอกไม้ไผ่เกือบไม่ได้ เพราะความใหญ่โตของมัน หลังจากพยายามอยู่ไม่นาน กบทั้งสามตัวก็ลงไปนอนเบียดในกระบอกไม้ไผ่จนล้น โดยมีส่วนของตีนกบชี้โด่เด่ แค่ช่วงเวลาไม่กี่นาที กบต้มก็สุกจนเนื้อและหนังปริขาวน่ากิน จากนั้นสิงห์ก็ค่อยๆใช้ไม้คีบกระบอกไม้ไผ่ที่ยังร้อนระอุ ไปพักไว้ในหม้อรอให้เย็นลง

“ไอ้สองตัวนั่นกลับมาแล้ว ขนอะไรมาเยอะแยะ”พรานโส่ยร้องพลางทำตาหรี่เพ่งไปทางชายห้วย

“วันนี้สงสัยขี้เขียว กินแต่ผักแต่หญ้า”เหน๋อพูดจบก็ไล่หมาสองตัวคือ เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่วิ่งมาเลียแข้งเลียขาจนเจ้าตัวรำคาญ

“ไหนว่าไปหายอดหวายอย่างเดียว ทำไมเนื้อตัวเอ็งสองตัวมอมแมมไปหมด”สิงห์ร้องถาม สองหนุ่ม ที่ตอนนี้เนื้อตัวเปื้อนดินเต็มไปหมด

“ก็ว่าจะไปหายอดหวายกับผักอย่างที่บอกนั้นล่ะ พอดีผมกับไอ้เคิ้ง ไปเจอเถามันเทียน เลยช่วยกันขุดเอาหัวมา เผื่อได้มาเผากินกัน”พุ่มพูดจบก็เทหัวมันเทียนที่อยู่ในย่ามลงพื้นให้ดู หัวมันยาวประมาณคืบสีเหลืองๆกระดำกระด่าง บางหัวดูแล้วเหมือนกิ่งไม้ผุๆมากกว่าจะเป็นหัวมัน บางหัวก็ดูอวบ แต่ใหญ่สุดก็ไม่เกินหัวแม่เท้า

“ไหนล่ะผักได้อะไรมาบ้าง”พรานชราร้องถาม

“ตามที่พ่อต้องการล่ะ ยอดหวายดำ ผักกูด หยวก ออ..มียอดผักหนามกับยอดมะกอกป่ามาอีกอย่างละกำ”ผู้เป็นลูกเสวนาตอบ

“ได้ยอดมะกอกมาด้วยรึ! ดีเลยจะได้เอามาใส่ยำกบ”สิงห์พูดจบก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ที่จริงควรจะเรียกว่ากระบอกหรือจอกมากกว่าแก้ว เพราะมันทำจากกระบอกไม้ไผ่

“ไป เอ็งสองคนไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถอะ จะได้มาช่วยๆกันทำกับข้าวกับปลา”พรานชราร้องบอก

“จะแกงตะพาบเลยหรือเปล่าตาโส่ย ฉันจะได้จักการให้”เหน๋อร้องถามพรานเฒ่าที่ตอนนี้กำลังนั่งคีบกบเตรียมย่าง

“เดี๋ยวข้าทำเองดีกว่า เมื่อคืนบอกกับไอ้สิงห์ไว้แล้ว ว่าข้าจะแกงตะพาบให้กิน เอ็งมาช่วยข้าดูปลาดูกบตรงนี้ดีกว่า”พรานเฒ่าบัญชาการ

“ไอ้หัวมันเทียนนี้ทำอะไรกินดี ลุงโส่ย”สิงห์หันไปถามพรานเฒ่า ที่ตอนนี้เตรียมเครื่องครัวต่างๆ

“ถ้าจะกินดีๆหน่อยก็ล้างแล้วต้มก็ได้ ใส่แกงก็ดี หรือถ้าเอ็งขี้เกียจเหมือนข้า เอ็งก็โยนหมกๆไว้ในขี้เถ้า พักเดียวก็ได้กิน”พรานโส่ยพูดจบก็โยนหัวมันเทียนลงไปหมกในขี้เถ้าสามสี่หัว

          สิงห์เองก็เกือบลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับเครื่องเซ่นไหว้ ที่เจ้าแม่ตะเคียน หรือแม่พลับพลึง สั่งนักสั่งหนาว่าอย่าลืม และที่สำคัญตัวเขาเองนั่นแหละที่จะต้องนำเครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้ นำไปขอขมาเพียงลำพัง แต่จะปลีกตัวไปเองโดยที่คนอื่นไม่สงสัยได้หรือเปล่านี่สิ

“ลุงโส่ย ถ้าลุงแกงตะพาบเสร็จแล้วลุงจะเอาไปถวายเจ้าแม่ตะเคียนอย่างที่ลุงพูดไว้เมื่อคืนหรือเปล่า”สิงห์ถามพรานชราหยั่งเสียงดูก่อน

“เออ! ถ้าเอ็งไม่ทักข้า ข้าคงลืมไปแล้ว”พรานชราทำตาโต แล้วพูดต่อมาอีกว่า

“ก็คงต้องเอาไปถวายเจ้าแม่เขาล่ะ สัญญากับเขาไว้แล้ว ก็ต้องไป”พรานเฒ่าพูดพลางนั่งสับไส้ในหวายเป็นเส้นๆ

“ลุงจะไปกับใครล่ะ คนเดียวรึ”สิงห์พูดพรางนั่งซอยหยวกกล้วย

“เอ็งนั้นล่ะไอ้สิงห์ ไปกับข้า”พรานโส่ยหันมาตอบเงียบๆ

“ลุงสัญญากับเขาเองนิ ผมไม่ได้สัญญากับลุงด้วย ลุงไปคนเดียวดีแล้ว ฮาๆ”สิงห์พูดจบก็หัวเราะ

“ไอ้ห่ า เอ็งก็ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิว่ะ”พรานโส่ยทำตากลอกไปมาอย่างหวาดๆ แล้วกระซิบกับสิงห์ต่อ

“แถวๆนั้นมันวังเวงพิลึก ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกไอ้สิงห์”พรานเฒ่าทำหน้าตาน่าสงสาร

“เอาแบบนี้ไหมลุง เดี๋ยวผมจัดการให้เอง พอดีผมจะไปธุระ”สิงห์ได้ที

“จะดีหรือว่ะ เอ็งไม่กลัวรึ”พรานเฒ่ากระซิบถาม

“ไม่กลัวหรอกลุง มีปืนไปเป็นเพื่อน”สิงห์พูดจบก็บุ้ยปากไปที่ปืนยาว.22 ที่พาดอิงกับต้นไม้ข้างๆหัวนอน

“เอาไอ้พุ่มกับไอ้เคิ้งไปเป็นเพื่อนก็ยังดี”พรานเฒ่าเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอกลุง ไอ้สองตัวนั้นเพิ่งจะกลับมาเหนื่อยๆ ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ดูนกดูไม้ไปเรื่อย ไม่ออกนอกเส้นทางไปไหนหรอก รับรองไม่มีหลง”สิงห์รับประกัน

“งั้นก็แล้วแต่เอ็งละกันไอ้สิงห์”พรานชราพูดจบก็เทเนื้อตะพาบสับลงไปผัดกับพริกแกงดังฉ่า

          หลังจากแผนที่ตัวเองวางไว้สำเร็จ คือได้ปลีกตัวออกไปคนเดียวแล้ว แต่เขาเองก็ยังหนักใจว่า ของหวานจะเอาอะไรไปขอขมาเจ้าแม่ตะเคียนดี ลำพังของคาว อย่างน้อยๆก็ต้องมีสองอย่าง คือ แกงตะพาบของลุงโส่ย และยำกบ ของเขาที่กำลังเตรียมทำอยู่ แล้วของหวานล่ะจะทำอะไรดี ครั้งแรกเขานึกจะชงโอวัลตินไปถวายแทน แต่นึกไปนึกมามันก็ยังไงๆอยู่ ครั้นจะเอาแต่ของคาวไปถวาย ก็กลัวว่าจะเสียคำสัญญาที่ให้ไว้คือ เขาจะต้องเอาอาหารคาวหวานไปถวาย ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกองมันเทียน ที่สองกะเหรี่ยงดงขุดมาให้เผากิน จึงทำให้เขาพอจะนึกอะไรออกขึ้นมาได้

“เคิ้งกับพุ่ม อย่าเพิ่งรีบขึ้นมา เอ๊า! รับ”สิงห์พูดจบก็โยนหัวมันเทียนส่งไปให้ สองกะเหรี่ยงที่ตอนนี้กำลังล้างเนื้อล้างตัวอยู่ริมห้วย

“ฝากล้างให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่จะทำมันเชื่อมให้กิน ถ้าจะให้ดีปลอกเปลือกออกด้วยก็เรี่ยมเลย”สิงห์พูดเสริมมาอีก

“บ๊ะ! อยู่ในป่าแบบนี้ยังมีมันเชื่อมให้กินอีกเว้ย”เหน๋อร้องบอก พูดจบก็นั่งย่างปลาและกบต่อ

“แหม่...ดีนะไม่ติดกะทิกล่องมาด้วย สงสัยคงครบสูตรกว่านี้ ฮาๆ”สิงห์พูดตอบพลางหัวเราะ เป็นการหัวเราะอย่างโล่งอกที่สุด



25
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร



บทที่ 4

ตอนที่ 1

          แสงแดดในยามบ่าย ส่องลอดผ่านช่องใบไม้ที่หนาทึบ เกิดเป็นลำแสงขนาดต่างๆ ตามความกว้างของช่องใบไม้เหล่านั้น ครั้นเมื่อลมพัดยอดไม้ไหวเอน จึงก่อให้เกิดแสงที่ส่องลงมาบนพื้น เต้นไหวระยิบระยับดูสวยงาม ราวกับใครเอาลูกบอลติดกระจกตามบาร์มาผูกไว้กลางป่า แต่เมื่อมีเมฆลอยมาบดบังดวงอาทิตย์ แสงระยิบระยับที่ดูสวยงามนั้น ก็กลับหายไป จากความสวยงามน่าชื่นชม กลับมาเป็นความทึบทะมึนดูน่ากลัวราวกับอยู่ในก้นเหวของนรก บรรยากาศที่อบอ้าวราวกับอยู่ในตู้อบ ผสมกับกลิ่นของใบไม้เน่าที่ทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้หายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกนัก ทุกคนจึงโทรมไปด้วยเหงื่อ เพราะอากาศที่ร้อนบวกกับเดินกันมาเกือบจะสองชั่วโมงแล้วโดยไม่ได้หยุดพัก จนพรานเบพาเดินตัดมาถึงเนินเตี้ยๆ ลูกหนึ่งซึ่งดูโปรงกว่าที่อื่นๆ เพราะไม่มีต้นไม้เล็กขึ้นอยู่เลย คงมีแต่เถาวัลย์ขนาดใหญ่ ทอดผ่านไปมา ห้อยโยงเหมือนกับงูยักษ์จากนรก พรานเบซึ่งเป็นคนนำทางมาถึง ก็สั่งคณะเดินทางให้หยุดพักทันที

“บ๊ะ ทำไมมันร้อนฉิ บหายแบบนี้ว่ะ” พรานชราบ่น พลางเอาผ้าขาวม้าปาดเหงื่อเม็ดโตบนใบหน้าที่เหี่ยวย่น

“หวังว่าฝนคงจะไม่ตกนะ น้าเบ” สิงห์ร้องถามพรานนำทาง

“ไม่ตกหรอก อยู่ก้นหุบมันก็แบบนี้ล่ะ”พรานเบพูดพลางส่ายหัว

“อบๆอ้าวๆแบบนี้สิดี ไอ้สิงห์ เห็ดโคนชอบ”เหน๋อเพื่อนเกลอร้องทักมาอีกคน

“เจอก็ดีสิ แต่เสียอย่างเดียว ยุงเยอะไปหน่อยว่ะ” สิงห์เสวนาตอบ

          นอกจากยุงที่มีอยู่ชุกชุมในหุบนี้แล้ว พวกแมลงดูดเลือดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเหลือบ และทาก ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จึงทำให้คณะเดินทางเกือบจะทุกคนเกิดความรำคาญ โดยเฉพาะยุงที่บินตอมหัวหูอยู่ให้หึ่ง ที่บินตอมก็ตอมไป ที่กัดกินเลือดตามเนื้อตามตัวก็โดนกันทั่วหน้า บางคนก็หักกิ่งไม้มาปัด บ้างก็อัดยาเส้นจนควันโขมงจึงได้ผลประโยชน์สองต่อ คือได้ทั้งดูดยาและได้ควันไล่ยุง

“จะสามโมงครึ่งแล้ว หวังว่าเราคงจะเดินทะลุดงนี้ไปได้นะ น้าเบ” สิงห์พูดจบหลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู

“อีกไม่ไกลหรอกไอ้สิงห์ ข้าว่าอีกไม่เกินชั่วโมงก็น่าจะถึง หรืออย่างช้าก็ไม่น่าจะเกินห้าโมงเย็น ถ้าไอ้เบมันไม่พาหลงเสียก่อน ฮาๆ” พรานเฒ่าพูดจบก็นั่งมวนยาเส้นขึ้นสูบ

“แก ก็พูดไปตาโส่ย เดี๋ยวไอ้เบมันก็แกล้งพาเดินเล่นในหุบนี้ ไม่ต้องไปไหนกันพอดี”พรานพรโพล่งออกมา

“แค่นี้ยุงก็จะหามฉันตายห่ าแล้ว รีบๆไปกันเถอะ ยุงกัดฉันลายไปทั้งตัวเลย”เคิ้งบ่นพลางใช้ใบไม้ปัดตามเนื้อตามตัวไม่หยุด

“ปัดโถ่...ผมก็เพิ่งนึกออก ว่าผมเอาสเปรย์กันยุงมาด้วย ฮาๆ” สิงห์พูดพรางหัวเราะเสียงดัง หลังจากควาน หาสเปรย์ฉีดกันยุงจากเป้ ที่ตอนนี้ถูกปลดลงจากบ่า

“มันน่านัก ไอ้ห่ าปล่อยให้ข้าถูกยุงกัดอยู่ได้ ยิ่งผอมๆอยู่”พรานชราทำตาโตใส่ พร้อมกับคว้ากิ่งไม้แห้งผุๆคว้าใส่สิงห์ ซึ่งตอนนี้กำลังใช้สเปรย์ฉีดไปตามร่างกายของตัวเอง แต่มันเป็นการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจให้โดน เพราะมันห่างจากหัวของสิงห์ร่วมสองวา

“เอ๊า! รับ ลุงโส่ย ผมมีอยู่อีกขวด แบ่งๆกันใช้”สิงห์พูดพรางโยนสเปรย์กันยุงให้พรานชราอีกขวด

“มันกันทากได้หรือเปล่า พี่สิงห์ ไอ้สะปงสะเปนี่”พุ่มถามหลังจากรับสเปรย์จากพรานโส่ย

“อาจจะได้นะพี่ว่า แต่คงต้องฉีดกันบ่อยๆ อีกอย่างพี่มีติดมาแค่สามขวดเอง”พรานมือใหม่หันไปตอบ

“ยาเส้นไงไอ้พุ่ม เอ็งลืมไปแล้วหรือไง ทำยังกับคนไม่เคยเที่ยวป่า” เคิ้งหันมาพูดอีกคน

“ข้ารู้แล้วว่ายาเส้นมันก็กันทากได้ ข้าแค่อยากรู้ว่าสะเปของพี่สิงห์มันจะใช้แทนยาเส้นละลายน้ำที่เราใช้ๆกันหรือเปล่า ไอ้เคิ้ง”พุ่มสวนมาทันควัน

“เถียงกันจบหรือยังเอ็งสองตัว! ข้าจะได้ให้เถียงกันให้จบก่อน ไอ้ห่ ายิ่งร้อนๆอยู่ เดี๋ยวพ่อเตะเรียงตัวเลย”พรานเบพูดพรางทำท่าจะเตะ แต่ไอ้กะเหรี่ยงสองตัวก็ไว้ยังกับลิง พรานเบเลยได้แค่เตะลมฟรี เพราะเป้าหมายที่แกจะเตะโดดหลบไปเสียก่อน เลยทำให้คนที่เห็นพากันหัวเราะชอบใจ เพราะนานๆทีจะเห็นพรานเบไล่เตะเด็กสองคน

“ไปๆเดินทางกันต่อ เดี๋ยวจะมืดจะค่ำเสียก่อน”พรานเบพูดจบ หลังจากใช้เท้าขยี้ก้นยาเส้นที่แกโยนลงพื้นจนดับสนิท

          ขบวนเดินทางท่องไพรจึงเริ่มอีกครั้งเมื่อตอนเกือบจะสี่โมงเย็น หลังจากเดินลัดมาตามตีนเนินนั้น เส้นทางเดินสามารถเดินได้อย่างสะดวกเพราะไม่มีไม้เล็กขึ้นเลย คงเป็นเพราะต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนหนาทึบ จนไม้เล็กไม่สามารถเจริญเติบโตขึ้นได้ จะมีเยอะเป็นพิเศษก็พืชจำพวกเถาวัลย์ ที่พอจะอาศัยพันต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น เพื่ออาศัยแสงแดดบนยอดไม้ใหญ่เหล่านั้น และพวกกล้วยป่า ที่ขึ้นให้เห็นอยู่ห่างๆ ลำต้นไม่ใหญ่โตเหมือนที่พบเจอด้านนอกดงทึบ ผิดกับในดงนี้ลำต้นดูผอมสูงผิดขนาดเห็นได้ชัด เหมือนคนขาดสารอาหาร ต้นไม้บางต้นก็ยืนต้นตายก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ราวกับว่าคณะเดินทางทั้งหมด ได้เดินเขามาในสุสานที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต ทุกสิ่งที่เห็นอยู่รอบตัว ราวกับเป็นวิญญาณที่คอยจ้องมองสิ่งแปลกปลอมที่บังอาจบุกรุกเข้ามา นอกจากไม้จำพวกเถาวัลย์และกล้วยป่าแล้ว หวายที่มีหนามแหลมคมก็มีขึ้นเยอะเป็นจำนวนมาก ลำต้นของมันทอดยาวเกาะเกี่ยวกันไปมา หลายครั้งที่คณะเดินทางต้องเดินฝ่าเถาหนามหวายเหล่านั้น โดยมีพรานเบซึ่งเป็นคนเดินนำอยู่หน้าขบวน คอยใช้มีดฟันเปิดช่องทางให้พอจะเดินตัดผ่านไปได้ แต่ก็ไม่วายโดนหนามของมันเกี่ยวเนื้อเกี่ยวตัวได้เลือดกันทุกคน ส่วนที่สบายที่สุดคงจะเป็นหมาสองตัว ที่ไม่ต้องเดินลุยดงหวายด้วย เพราะพวกมันพากันเดินตันสันเขาไปกันเอง ตัดจากดงหวายออกมาแล้ว สภาพป่าที่คณะเดินทางฟันฝ่าออกมา มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด จากป่าที่ดูทึบและอบอ้าวหายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกนัก ก็เริ่มโปร่งมากขึ้น ไม้ใหญ่และเถาวัลย์หลายต้นที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนแน่นทึบ ก็ขึ้นห่างต้นกันเรื่อยๆ ส่วนทางที่เคยเดินกันอย่างสะดวกตอนที่อยู่ในดงทึบ มาบัดนี้ก็ชักจะไม่สะดวกแล้ว เพราะป่าเริ่มจะรกขึ้นทุกที อันเนื่องมาจากป่าโปร่งขึ้น ไม้เล็กไม้น้อยจึงขึ้นกันเป็นดง ทั้งสาบเสือหนามเล็บเหยี่ยว เถาวัลย์ และที่มีมากเป็นพิเศษคงจะเป็นต้นกระวาน แต่ละต้นสูงท่วมหัว เสียงสรรพสำเนียงของป่าก็มีให้ได้ยินอยู่ตลอดการเดินทาง ผิดกับที่อยู่ในดงทึบที่เงียบจนหูดับ นกป่านานาชนิดส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ผสมกับเสียงแมลงหลากหลายพันธุ์ ที่พากันกรีดปีกบรรเลงไพร เคล้ากับสายลมเย็นๆที่พัดผ่านยอดไม้ให้ไหวเอน ราวกับเกลียวคลื่นในท้องทะเล กระรอกแดงตัวหนึ่งส่งเสียงร้องลั่นมาจากยอดไม้สูง ที่ใดที่หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากขบวนของคณะเดินทาง  พร้อมๆกับเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง พากันเห่า พวกมันพากันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดไม้ บางครั้งก็ทำท่าจะปีนให้ได้ แต่ก็ทำได้แค่เพียงกระโดดเอาขาหน้าตะกุยต้นไม้เท่านั้น

“ไป๊ๆเอ็งสองตัวก็เหลือเกิน เสือ กจะมาขยันอะไรเอาตอนนี้ ทีวันก่อนข้าเรียกแทบเป็นแทบตาย ไม่เสือ กจะตามมา”พรานเบตวาดหมาสองตัว หลังจากโดนเจ้านายเทศนาไปหลายชุด ก็พากันเดินคอตก แต่ก็ไม่วายหันมามอง ถ้าอ่านความคิดของมันได้ มันคงจะบอกว่า ทีข้าหาของกินให้เอ็งก็เสือ กไม่เอา

“แหนะๆ มีค้อนด้วย ฮาๆ”สิงห์หัวเราะชอบใจ ที่เห็นเจ้าพะเปรียวหันมามองหน้าพรานเบ ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไป

“เดี๋ยวถ้าไม่มีอะไรกิน ก็กินมันทั้งสองตัวนั้นแหละไอ้เบ ฮาๆ” พรานชราร้องบอกมาจากทางท้ายขบวน

“แกกินคนเดียวแล้วกันตาโส่ย ข้าไม่เอาด้วยหรอก ให้ข้ากินหมา ข้ายอมอดตายดีกว่า” พรานแปะตอบมาจากทางด้านหัวขบวน

“พวกเราคงไม่ซวยขนาดต้องกินหมานะ” สิงห์พูดพลางหัวเราะ

“ถ้าไม่มีอะไรกิน ก็กินตาโส่ยก็ดีเหมือนกันข้าว่า” พรานพรแซวมาอีกคน

“โอ้ย..จะกินได้เหรอ ฉันว่าหนังคงเหนียวยิ่งกว่ายางรถยนต์ ขนาดไก่แก่ๆยังเคี้ยวไม่ค่อยจะเข้า จะให้กินตาโส่ยคงนั่งเคี้ยวกันจนฟันหลุด ก๊าก ฮาๆ”คำพูดของพุ่มเล่นเอาทั้งคณะขำกันตัวงอ โดยเฉพาะคนพูดลงไปนอนชักดิ้นชักงอหัวเราะชอบใจอยู่กับพื้น

“หน็อยๆ ทำเป็นปากดีไปไอ้พุ่ม เอ็งไม่แก่แบบข้า เอ็งไม่รู้หรอก”พูดจบแกก็บ้วนน้ำมากลงพื้น

“อย่าไปว่ามันเลยลุงโส่ย ไอ้พุ่มมันไม่รู้อะไรเลย ถึงจะแก่แต่ก็แก่ประสบการณ์”สิงห์หันมาพูดกับพรานชรา ที่ตอนนี้เดินงุ่มง่ามอยู่ท้ายขบวน แต่ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะคุยอะไรกันต่อ เจ้าพุ่มก็ร้องเสียงหลง

“โอ้ย...แตนต่อย อือหือรังเบ้อเริ้มเลย”พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งจนป่าแทบราบ เพราะตอนที่ตัวเองลงไปนอนขำตาพรานเฒ่า เผอิญเป้ที่สะพายมาไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งสาบเสือที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ามีแตนไปทำรังอยู่ ไม่เพียงแต่เจ้าพุ่มคนเดียวที่วิ่งป่าราบ คนที่อยู่ใกล้ๆก็พาลวิ่งตามกันไปด้วย ทั้งเจ้าเคิ้ง เหน๋อ และพรานพร ต่างก็วิ่งหนีกันคนละทิศคนละทาง มีแต่ตาพรานเฒ่าคนเดียวที่ยืนหัวเราะชอบใจ

“สมน้ำหน้ามึงไอ้พุ่ม เวรกรรมมันมีจริงเว้ย ฮาๆ”พรานชราหัวเราะชอบอกชอบใจพลางใช้ผ้าขาวม้าเช็ดน้ำหมาก

“น้าเบก็เดินมาก่อนไม่ยักกะโดน อูยย...”พุ่มทำเสียงครางน่าสงสาร

“เดี๋ยวมึ งเจอกู”เจ้าพุ่มพูดจบก็ชักมีดที่เหน็บเอวออกมา จากนั้นก็เดินดุมๆไปที่กอกล้วยป่า ก้มๆเงยๆอยู่สักพัก ก็เดินถือใบตองแห้งมาสองก้าน จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก บรรจงจุดไฟเข้าที่ใบตองแห้งอย่างใจเย็น

“ต่อยกู มึ งเจอพระเพลิง”พูดจบก็เดินโบกก้านใบตองแห้ง ที่ตอนนี้มีไฟลุกฮืออยู่ ไปยังตำแหน่งของรังแตนขนาดเขื่อง เพียงแค่กระสาไอไฟที่ร้อนระอุ ฝูงแตนที่ตอนนี้เกาะเป็นกระจุกอยู่ที่รังขนาดเท่ากำปั้นนับสิบๆตัว ก็แตกฮือบินไปคนละทิศคนละทาง บางตัวก็ร่วงหล่นอยู่ที่พื้น ตัวไหนโชคไม่ดีหนีไม่ทันก็โดนไฟเผาจนตัวหงิกงอ หลังจากจัดการกับรังแตนจนหายแค้น เจ้าพุ่มก็ไม่ทิ้งรังแตนที่มีตัวอ่อนให้เสียเปล่า

“ถึงว่าทำไมมันดุจัง ตัวอ่อนเพียบเลย”พูดจบก็ดึงตัวอ่อนในรังโยนเข้าปากกินหน้าตาเฉย

“โดนตรงไหนบ้างวะไอ้พุ่ม” สิงห์เดินมาดูอาการ พร้อมกับควักยาหม่องส่งให้เจ้าพุ่ม ซึ่งตอนนี้บริเวณริมฝีปากและขอบตาเริ่มจะบวมให้เห็นแล้ว

          เหตุการณ์ชุลมุนผ่านไป โดยสรุปว่าคนที่โดนแตนเจ้ากรรมต่อยมีอยู่คนเดียวคือเจ้าพุ่ม ซึ่งโดนคนเดียวถึงสามที่ คือบริเวณริมฝีปาก โหนกแก้มขวา และขอบตาซ้าย  ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดอะไรออกมามาก ที่ร้องเสียงหลงคงเป็นเพราะความตกใจเสียมากกว่า ขนาดผึ้งหลวงตัวน้องๆต่อ เจ้าพุ่มยังเฉยๆ นับประสาอะไรกับแตนตัวเล็กๆนิดเดียว เรื่องนี้สิงห์เองก็เห็นมากับตามาแล้ว เมื่อครั้งที่ติดตามพรานกะเหรี่ยงไปดูวิธีการตอกทอยเก็บน้ำผึ้ง และเป็นครั้งแรกที่สิงห์ได้เห็นวิธีการและขั้นตอนต่างๆ และเพิ่งจะรู้เองว่า น้ำผึ้งป่าที่ชาวบ้านนำออกมาขายขวดละไม่กี่ร้อยบาท มันไม่ได้แพงอย่างที่คิดเลย เพราะกว่าจะตอกทอยเพื่อจะปีนขึ้นไปตีผึ้ง ไหนจะเสี่ยงกับชีวิตของตัวเอง ถ้าพลาดตกลงมา ไม่ตายก็เหลว เพราะต้นไม้ที่ผึ้งหลวงชอบทำรังแต่ละต้นมันไม่ได้เตี้ยๆ ลำพังตัวคนเดียวก็หมดเวรหมดกรรมไป แต่ถ้ามีลูกเมียด้วยแล้วก็ไม่ต้องพูดคงจะลำบากน่าดู

          เมื่อทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว พรานเบก็พาเดินตัดดงกระวานออกมา พื้นดินบริเวณนี้เริ่มมีความชื้นแฉะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นที่ราบต่ำ กล้วยป่า บอนป่า และผักกูด ก็มีให้เห็นหนาตามากขึ้น กล้วยป่าบางกอมีร่องรอยถูกช้างป่ากระชากจนแหลกลาญ นอกจากช้างป่าที่ทิ้งร่องรอยและขี้ของมันไว้ให้ดูต่างหน้าแล้ว รอยขุดคุ้ยของหมูป่าก็มีให้เห็นมากขึ้น ทั้งเก่าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน และแบบยังใหม่ๆเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง บางช่วงก็เป็นปลักโคลน ก็มีร่องรอยของหมูป่าลงไปนอนแช่ ทุกคนในคณะเดินกันอย่างทุลักทุเลเพราะพื้นดินเริ่มเป็นโคลนเฉอะแฉะ แต่เส้นทางที่เดินก็ไม่รกมากนัก อาจเป็นเพราะพื้นดินบริเวณนี้ชุ่มน้ำมากเกินไปจนพื้นไม่สามารถเจริญเติบโตได้ มีเพียงไม้ป่าบางชนิดเท่านั้นที่สามารถขึ้นได้ในที่แฉะๆแบบนี้ โดยเฉพาะบอนป่า มีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ปะปนกันไปหลากหลายสี กูดแต่ละต้นก็มียอดใหญ่อวบน่ากิน จนสิงห์คันไม้คันมืออยากจะเก็บ แต่ครั้นจะเก็บก็กลัวว่ากว่าจะถึงที่พักก็จะเหี่ยวเฉาเสียเปล่าๆ เสียงหวีดหวิว ของนกกางเขนดงดังจากพุ่มไม้เบื้องหน้า มันคงตกใจการมาของคณะเดินทาง ที่เผอิญเดินผ่านรังของมัน เคิ้งที่เดินอยู่ใกล้สุดชี้มือให้สิงห์ดูรังของนกกางเขนดง ที่มันทำรังซุกไว้ ภายในรังมีไข่อยู่สองฟอง และคงอีกไม่นานป่าบริเวณนี้คงจะได้สมาชิกเพิ่มขึ้นอีกสองชีวิต

“ใกล้ถึงแล้วนิ เพิ่งจะสี่โมงสี่สิบห้าเอง”สิงห์พูดหลังยกนาฬิกาขึ้นมาดู

“ไม่เกินชั่วโมงก็ถึง ข้าว่าจะพาขึ้นไปนอนกันแถวๆที่ข้ามาครั้งที่แล้ว”พรานเบตอบ พูดจบแกก็เอาปืนที่สะพายมาออกไปวางพิงไว้กับต้นไม้ จากนั้นก็เดินไปวักน้ำล้างหน้าล้างตา

“ปีนี้น้ำเยอะกว่าทุกปี คืนนี้น่าจะส่องปลากันเพลิน” พรานพรพูดจบก็วักน้ำในลำห้วยสายเล็กๆขึ้นดื่ม

“น้ำเยอะๆสิดีไอ้พร ข้าว่าจะทำลอบดักปลาสักหน่อย ดีไม่ดีอาจจะได้ตะพาบน้ำสักตัว”พรานชราเสนอความคิด

“มันจะมีเหรอตะพาบน้ำ ป่านนี้ไม่สูญพันธุ์ไปหมดแล้วรึ”สิงห์พูดจบก็ยกน้ำในกระติกขึ้นดื่ม

“ทำไมจะไม่มีพี่สิงห์ ผมกับไอ้เคิ้งได้ประจำ จะตัวเล็กตัวใหญ่แล้วแต่ดวง ครั้งที่แล้วยังล้วงได้ตัวเกือบกิโล”พุ่มซึ่งบัดนี้ตาข้างซ้ายปิดเกือบสนิทพูดออกมา พูดไปพลางก็เอามือจับปากที่บวมเจ่อไปพลาง

“มันชุมขนาดนั้นเลยหรือ แบบนี้พวกกบทูด คงจะมีนะ”สิงห์พูดตาเป็นประกาย

“ขนาดตะพาบยังมี เอ็งไม่ต้องกลัวที่จะไม่มีกบทูด เอาง่ายๆคืนนี้เอ็งได้สนุกแน่ไอ้สิงห์”พรานแปะพูดเสริมมาอีกคน พูดจบแกก็ล้วงห่อยาเส้นจากกระเป๋าเสื้อมาม้วน

“คืนนี้เราไม่ต้องเดินส่องสัตว์อะไรให้เหนื่อยก็ได้ ลำพังไก่ป่าสองตัวนี้ก็เหลือเฟือ”เหน๋อเพื่อนเกลอพูดพลาง บุ้ยปากไปที่ย่ามที่ตัวเองสะพายมา

“หาส่องกบส่องปลาก็พอแล้ว น่าจะชุม ปลาหามาเยอะๆหน่อยก็ดี ข้าจะเอามาทำปลาแห้งรมควัน จะได้เก็บไว้กินได้หลายๆวันหน่อย”พรานแก่ประสบการณ์เสนอเมนูแรก

“ชักเริ่มจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ ถ้ามันชุมขนาดนั้น คงเดินส่องกันเพลินไปเลย”สิงห์ออกอาการคันไม้คันมือ

“เออ..ว่าแต่น้ำมันลึกหรือเปล่าแถวที่เราไปพัก”สิงห์หันไปถามพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังยืนสูบยาเส้นอยู่

“มันก็มีเป็นช่วงๆ แต่ลึกอย่างมากก็ไม่เกินเอว ลึกๆสิดีปลาเวียนตัวใหญ่ๆชอบอยู่ ตื้นๆมีแต่ตัวเล็กๆ”พรานเบพูดพลางทำไม้ทำมือประกอบคำอธิบาย

“ลึกๆแบบนั้นจะลงไปจับมันยังไง ไม่เปรียวแย่ ถ้าเอาแหมาด้วยก็ว่าไปอย่าง”สิงห์พูดขณะยืนกอดอก โดยอีกมือลูบปลายคางอย่างใช้ความคิด

“เดี่ยวพี่ก็จะได้เห็น ผมกับไอ้พุ่มจะจับมาให้พี่ย่างเกลือเอง”เคิ้งพูดขณะเคี้ยวหมากอยู่หยับๆ
คงไม่จำเป็นที่สิงห์จะต้องไปพิสูจน์ให้เห็นชัดกับตาตัวเอง เพราะรู้ๆฝีมือของเด็กกะเหรี่ยงสองคนนี้อยู่แล้ว อ้นขุดรูลึกขนาดไหน ก็ยังสามารถเอาตัวมากินได้ โดยไม่ต้องเสียแรงขุดแม้แต่นิดเดียว นับประสาอะไรกับปลาเวียนที่ว่ายให้เห็นตัวขนาดนั้น ถึงน้ำจะลึกถึงเอวก็ตามที ซึ่งอีกไม่นานสิงห์ก็คงได้ประจักกับสายตาตัวเองอีกไม่กี่อึดใจนี้  หลังจากพักเหนื่อยกันพอสมควร พรานเบก็พาออกเดินอีกครั้งหนึ่ง โดยพาเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยสายนั้น ในลักษณะทวนกระแสน้ำ ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นแนวของสันเขาที่ตั้งเป็นกำแพงสูงมหึมาที่ทอดยาวขนานกับตีนเขาฝั่งที่คณะทั้งหมดเดินอยู่ กำแพงหินขนาดใหญ่ หรืออีกนัยหนึ่งคือหน้าฝาหินที่เกือบจะตั้งฉาก ราวกับถูกขวานยักษ์จามไว้ ซึ่งบางช่วงถูกปกคลุมไปด้วยพืชจำพวกมอส์รและเฟิร์นข้าหลวง ที่ขึ้นประดับไว้อย่างสวยงาม บางช่วงก็มีสายน้ำเล็กๆไหลผ่านมาตามรอยแตกร้าวของหน้าผานั้นทำให้ดูสวยงามขึ้นไปอีก บางแห่งก็อยู่สูงขึ้นไปมาก จนสายน้ำที่ไหลรินออกมาแตกเป็นละอองฝอยเล็กๆ ยิ่งมีลมที่พัดมาตามช่องเขานั้นแล้วยิ่งทำให้อากาศบริเวณนี้เย็นสดชื่นขึ้นไปอีก สิงห์สูดอากาศที่มีละอองน้ำผสมอยู่จางๆเข้าปอดลึก เขาทอดสายตาสูงขึ้นไปตามหน้าผาที่สูงชัน ซึ่งตอนนี้มีแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆจับสะท้อนอยู่อย่างสวยงาม ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสะท้อนรับกับแสงของอาทิตย์อย่างมีความสุขราวกับว่าพละกำลังที่อ่อนล้าจะฟื้นกลับคืนมา...


การเดินทางของคณะ จะไปพบกับสิ่งใดเบื้องหน้า โปรดติดตามหาความบันเทิง ในตอนต่อไปเร็วๆนี้



26
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร


บทที่ 3

ตอนที่ 3.1

          เสียงฝีเท้าทั้งแปดคู่ เดินย่ำมาตามด่านทางเกวียนเก่าๆ โดยมีคนทั้งแปดคนเดินเรียงแถวอยู่ห่างกันไม่มากนัก ซึ่งมีพรานเบเป็นคนนำทาง ต่อจากพรานเบคือพรานพร พรานแปะ เหน๋อ และสองหนุ่มกะเหรี่ยงดง พุ่มกับเคิ้ง เดินคุยกันอยู่สองคน ส่วนสิงห์และพรานโส่ย เดินอยู่หลังขบวน ครั้งหนึ่งสิงห์หันกลับไปดูกระท่อมหลังใหญ่ ที่ตอนนี้มองเห็นเพียงยอดหลังคาอยู่ไกลๆ โดยปราศจากความหมาย หลังจากทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามตีนเขา ซึ่งทั้งสองฝั่งด่านทางนั้นเต็มไปด้วยต้นสาบเสือและต้นไผ่ เสียงแกรกกราก ของใบไม้แห้งดังแว่วมาจากตีนเนิน ด้านข้างจนทำให้เคิ้งและพุ่ม หยุดยืนฟังเสียงนั้น แต่พอยืนจดๆจ้องๆอยู่อึดใจก็เดินต่อ เพราะต้นเสียงไม่ใช่ตัวอะไรที่ไหน มันคือเจ้าพะเปรียวกับพะบอง หมาคู่ชีพของพรานเบนั้นเอง พวกมันคงอยากจะติดตามไปกับขบวนด้วย

“มีหมาไปด้วยก็ดีเหมือนกันนะลุงโส่ย” สิงห์หันมาบอกพรานเฒ่าที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาเดินโดยมีถุงปุ๋ยใส่ของและเสบียงต่างๆผูกโงลั่งไว้ที่หัวของแก

“ดีตรงที่ช่วยหากับข้าวกับเป็นยามให้เรา ไม่ดีก็ตรงที่มันจะทำให้สัตว์มันตื่นเพราะมันเห่ามั่วไปหมด” พูดจบแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น

“ผมว่ามันคงอยากจะไปกับเราลุงโส่ย ไม่เห็นน้าเบแกเรียกให้มันตามมาเลย”  สิงห์ถาม

“ไอ้หมาพวกนี้มันรู้ ไม่ต้องเรียกมันก็ตาม ขืนอยู่ที่บ้านมันก็ไม่มีอะไรกิน เพราะไม่มีใครอยู่ให้ข้าวพวกมัน พวกมันรู้ ถ้ามันตามมากับพวกเรามันไม่อดข้าวแน่ๆ”  พรานชราตอบ

          การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกพอสมควร เพราะด่านทางเก่านั่นไม่รกมากนัก นานๆทีก็เห็นรอยกิ่งไม้ที่โดนฟันทิ้งขาดไว้เรื่อยทาง อาจเป็นพรานเบหรือใครคนใดคนหนึ่งที่เดินอยู่ในขบวนฟันทิ้งไว้ เพราะกิ่งไม้และต้นไม้เหล่านั่นยื่นขวางทาง หลังจากเดินเลาะตีนเขามาสักพัก พรานเบก็พาเดินลัดต่ำลงเรื่อยๆ สภาพรอบๆตัวบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไป จากดงสาบเสือและต้นไม้จำพวกไผ่และกอรวก  เริ่มมีพืชคลุมดินชนิดพวกชะพลู บอนป่า  และกล้วยป่าที่ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่เป็นดง ไม่ต้องสงสัยเพราะอะไรเลย เมื่อเดินไปอีกไม่กี่อึดใจ เบื้องหน้าก็เป็นลำห้วยสายใหญ่ไหลตัดผ่านเส้นทางนั้นอยู่ ซึ่งตอนนี้กลุ่มพรานกะเหรี่ยงที่เดินนำอยู่ พากันนั่งพักอยู่ที่โคนต้นยางใหญ่ริมลำห้วยสายนั้น

“เดี๋ยวเราจะเดินตัดออกซ้ายมือนะสิงห์”  พรานเบร้องบอก เมื่อเห็นสิงห์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า

“อืม...ถ้าผมจำไม่ผิดถ้าเราตัดออกขวาจะไปทางห้วยแห้งใช้หรือเปล่าน้าเบ” สิงห์ยืนนึกอะไรออกได้สักพัก แล้วตอบพรานเบ

“ใช่..สิงห์ ความจำเอ็งดีเหมือนกัน”  พรานเบพูดจับก็ควักห่อยาสูบจากกระเป๋าเสื้อ ออกมาม้วน

“กี่โมงแล้วสิงห์”  พรานพรหันมาถาม หลังจากลงไปวักน้ำในห้วยมาดื่ม

“สิบโมงสิบห้านาทีพอดีเลยพี่พร”  สิงห์ร้องตอบหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“ประมาณสามถึงสี่โมงเย็นข้าว่าน่าจะถึงช่องผาแคบ” พรานเบตอบ หลังจากสูบบุหรี่ยาเส้นไปครึ่งมวน

“จะถึงกี่โมงก็แล้วแต่น้าเบ เราไม่ได้รีบร้อนอะไร เห็นตรงไหนน่าพักก็ค่อยว่ากัน” สิงห์หันไปพูดกับพรานเบก่อนยกขวดน้ำพลาสติก ที่ใส่ตรงกระเป๋าข้างขากางเกงขึ้นดื่ม

“ใช่..เราไม่ได้รีบร้อนอะไร ระหว่างทางไปช่องผาแคบ เราก็หากับข้าวไว้กินเย็นนี้ไปในตัวด้วยก็ดี” เหน๋อร้องบอก ขณะที่พูด ยังยืนเคี้ยวหมากอยู่ หยับๆ

“จริงด้วยพี่สิงห์ กระรอก ไก่ป่า กระทาดง ก็พอมีตัว มีหมามาด้วยแบบนี้กระรอกไม่น่าพลาด” เคิ้งพูดพรางชี้มือไปทาง เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่ตอนนี้ยืนเลียน้ำอยู่ริมห้วย

“กระรอกพอได้อยู่ แต่ไอ้ไก่ป่า กับนกกระทาดง คงจะยาก ไอ้สองตัวนี้มันเห่าไล่หมด” พรานแปะพูดพรางหัวเราะ

“ก็แล้วแต่ว่าจะเจออะไร ถ้าไม่ได้อะไรก็หา งมปลา งมปูในห้วยก็ได้ จะไปยากอะไร” พรานโส่ยร้องตอบมาอีกคน

“ผมว่าเราอย่าไปคิดอะไรเรื่องของกินเลย อยู่ในป่าขนาดนี้ ไม่มีอะไรให้กินก็ให้มันรู้ไป” สิงห์พูดพรางยกเป้ ขึ้นสะพายหลัง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้ง

          พรานเบพาเดินข้ามลำห้วยนั้นไป โดยเดินข้ามบริเวณที่มีน้ำตื้นที่สุดประมาณครึ่งหน้าแข้ง หลังจากข้ามห้วยมาแล้วก็พาเดิน ลัดเลาะไปตามด่านเก่าๆ ที่น่าจะเป็นทางเดินของชาวบ้านที่ออกมาหาของป่าอยู่บ่อยๆ จนเกิดเป็นทางด่านเล็กๆ ซึ่งบางครั้งก็ถูกปกคลุมไปด้วยพันธ์ไม้เล็ก และพืชคลุมดินชนิดต่างๆ พรานเบพาเดินไปตามทางสายนั้น บางครั้งก็เดินลัดเลาะไปตามชายลำห้วย บางครั้งก็ต้องเดินข้ามลำห้วยตื้นๆ อยู่บ่อยครั้ง โดยมีเจ้าพะเปรียวกับเจ้าพะบอง วิ่งนำหน้าอยู่ห่างๆ บางครั้งพวกมันก็พากันวิ่งวกกลับลงมาหาขบวน บางครั้งก็วิ่งขึ้นหน้าขบวน เป็นแบบนี้สลับกันไปตามสัญชาติญาณของหมาพราน  พอเจอโพรงไม้หรือซุ้มไม้ก็พากันก้มลงดมตามโคนไม้และพื้นดินบริเวณนั้น หลังจากที่พวกมันวิ่งวนไปวนมา จากที่ที่มันสงสัย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็วิ่งจากไป

          เสียงแสกสาก จากเป้หลังและย่ามหลัง ที่ถูระไปกับต้นไม้เล็กๆและต้นกระวานที่ขึ้นหนาแน่นทั้งสองข้างทางด่าน ซึ่งตอนนี้เริ่มเรือนรางลงทุกที ต้นไม้ใหญ่เริ่มขึ้นหนาทึบปะปนไปกับต้นไม้เล็กๆที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนดูรกไปหมด บางต้นก็ยืนต้นแห้งตาย คงเป็นเพราะไม่สามารถยื้อแย่งแสงแดงแข่งกับต้นไม้อื่นๆที่สูงใหญ่กว่าได้ มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ต้องคัดสรรสิ่งที่แข็งแรงที่สุด เพื่อจะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป ส่วนที่อ่อนแอก็ต้องหมดสภาพผุพังไปตามกาลเวลา นอกจากไม้เล็กที่ยืนต้นแห้งตาย ไม้ใหญ่หลายชนิดก็เช่นกัน บางต้นก็หักรากถอนโคนล้มขวางทางของคณะ จนบางครั้งต้องเดินมุดลอดผ่านไป บางต้นก็ล้มพาดเป็นสะพานข้ามห้วยเสียอย่างดี ครั้งหนึ่งพรานเบที่เดินข้ามสะพานไม้นั้นเป็นคนแรกเหยียบพลาดเอาตำแหน่งที่ผุที่สุดของต้นไม้ล้มนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนขาข้างหนึ่งผลุบวูบ เกือบจะตกลงไป เล่นเอาพวกที่ตามมาข้างหลังร้องเสียงหลงด้วยความหวาดเสียว แต่พอพรานเบตั้งหลักได้ก็ พยุงตัวเองขึ้นมาได้ตามเดิม และเดินนำไปตามปกติ ส่วนที่เดินตามมาก็คอยระมัดระวังและหลบลีก บริเวณไม้ที่ดูพุนั้น

“มาเที่ยวช่วงหมดฝนใหม่ๆมันก็ดีไปอย่างนะลุงโส่ย” สิงห์หันไปพูดกับพรานชราที่เดินคู่กันมา

“เออ ข้าก็ว่าแบบเอ็งนั้นแหละ ไอ้สิงห์ ป่าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย ไม่เหมือนมาตอนหน้าแล้ง มองไปทางไหนดูเหี่ยวๆเฉาๆไปหมด” พรานเฒ่าเสวนาตอบ

“เหี่ยวๆแบบพ่อหรือเปล่า” เคิ้งร้องบอกพรางหัวเราะ พรานเฒ่าได้ยินเข้าก็ร้องด่าฟังไม่เป็นศัพท์

“ถึงข้าจะแก่และก็เหี่ยว แต่ข้าไม่มีวันเฉาโว้ย” พูดจบแกก็ก้มลงหยิบ ลูกมะเดื่อป่า หมายจะปาใส่กบาลลูกชายตัวแสบของแก แต่เจ้าเคิ้งก็รู้ทันมันหลบวูบ ลูกมะเดื่อป่าเฉียดหัวมันไปนิดเดียว คนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆพากันหัวเราะชอบใจ

“นอกจากจะยิงปืนไม่แม่น ยังปาไม่แม่นอีก สงสัยต้องไปฝึกฝีมือมาใหม่นะลุงโส่ย” คราวนี้พุ่มแซวพรานชราบ้าง

“เอ็งอีกตัวไอ้พุ่ม หน๋อย...มาว่าข้าเดี๋ยวเถอะมึง” พูดจบแกก็ก้มลงหยิบลูกมะเดื่ออีก แต่คราวนี้แกไม่หยิบแค่ลูกเดียว แต่หยิมขึ้นมากำในมือถึงสามลูก พอถนัดดีแล้วแกก็ทำท่าเร่งเป๋าหมายไปที่กบาลเจ้าพุ่ม ส่วนเจ้าพุ่มทำท่าลิงแยกเขี้ยวยิงฟันใส่พรานเฒ่า แต่มันไม่รู้เลยว่าพรานเฒ่าเปลี่ยนแผนใหม่ พอพรานเฒ่าปามันก็ทำหลบวูบ แต่ครั้งนี้ไม่พลาด เพราะหนึ่งในสามของลูกมะเดื่อโดนกบาลเจ้าพุ่มเต็มรัก ส่วนอีกลูกโดนตัวถนัดๆ

“ฮาๆ เป็นไงไอ้พุ่ม ลูกโดดกูอาจจะพลาด แต่ลูกปรายกูไม่พลาด” พรานเฒ่าหัวเราะชอบใจ

“โถ่...ลุงขี้โกงผมนิ เล่นปาทีเดียวสองสามลูกใครจะไปหลบทัน” พุ่มพูดพรางยืนเกาหัว

          การเดินทางเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ไม่มีใครคิดจริงจังกับอาการของพรานชรา เพราะมันเป็นการล้อเล่นกันธรรมดา โดยพรานชราเองก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไรใคร บรรยากาศรอบตัวดูสดชื่นแต่ก็ดูทึบๆเพราะป่าช่วงนี้อุดมไปด้วยไม้ใหญ่หลากหลายชนิด จนยอดใบด้านบนบดบังแสงแดด  นอกจากไม้ใหญ่แล้ว ด้านล่างก็เต็มไปด้วยกล้วยป่า และต้นหวายที่ทอดยอดยาวเกาะเกี่ยวกันจนดูรกรุงรังไปหมด บางครั้งพรานเบก็ต้องใช้มีดฟันเบิกเป็นช่องทางให้ทุกคนมุดรอดไปได้ แต่ก็มีหลายคนโดนหนามอันแหลมคมของมันเกี่ยวเนื้อตัวจนได้เลือดไปเหมือนกัน หลังจากทุกคนเดินลอดซุ้มหวายออกมาแล้ว พรานเบก็พามาถึงหุบตอนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกที่ขึ้นเบียดกัน และหุบนั้นเองครั้งหนึ่งมันเคยเป็นลำห้วยหรืออาจจะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ แต่ด้วยลักษณะที่เทลาดของมัน จึงทำให้ไม่มีน้ำขังอยู่เลย หินก้อนเล็กๆตามพื้น ไปจนถึงขนาดใหญ่ท่วมหัวแต่ละก้อนดูเกลี้ยงเกลา บางก้อนก็ดูมันวาว บางก้อนก็มีพืชจำพวกเฟิร์นและตะไคร่เกาะติดเขียวไปหมด บ่งบอกถึงว่า ครั้งหนึ่งหุบแห่งนี้เมื่อถึงฤดูฝน มันคงเป็นน้ำตกขนาดใหญ่หรือไม่ก็เป็นธารน้ำที่ไหลเชี่ยวในยามฝนหลาก แต่มาบัดนี้ไม่มีแม้แต่แอ่งน้ำที่ขังให้เห็นอยู่เลย มีเพียงเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่กองทับถมอยู่เกลื่อนกลาด รวมไปจนถึงท่อนซุงขนาดใหญ่หลายคนโอบ ที่ครั้งหนึ่งสายน้ำที่ไหลเชี่ยวได้พัดพาพวกมันมาจากที่ได้ที่หนึ่ง บางท่อนก็เกยข้างโขดหิน บางต้นก็นอนพาดขวางทางที่มองดูเป็นลักษณะของแก่งหินขนาดใหญ่ แลดูน่าหวาดเสียวเพราะกลัวมันจะหลุดร่วงลงมาทับคณะเดินทาง เพราะมีบ่อยครั้งที่ทั้งหมด ต้องเดินลอดซุงไม้เหล่านั้นไป แต่ด้วยการนำทางของพรานมือดี อย่างพรานเบแล้ว ไม่ว่าหนทางนั้นจะดูแล้วลำบากสาหัสขนาดไหนก็ตามที่สิงห์คิดว่ายากที่จะฝ่าไปได้ พรานเบก็สามารถพาตัดผ่านไปได้ทุกครั้ง แต่แล้วการเดินทางก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อพรานเบส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่

“ตัวอะไรหรือ” สิงห์กระซิบถามพรานพร ที่ต้อนนี้อยู่ไม่ห่างจากพรานเบมากนัก

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยจะเป็นค่าง” พรานพรกระซิบตอบ ขณะที่เงยหน้าไปดูยอดไม้ที่ดูหนาทึบตาไม่กระพริบ สิงห์เองก็พยายามสอดส่องสายตาไปตามยอดไม้เหล่านั้นเช่นกัน แต่พยายามอยู่นานก็ไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆเลย นอกจากยอดไม้ไหวอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่อาจจะเห็นสาเหตุหรือที่มาของสิ่งที่ทำให้ยอดไม้เหล่านั้นไหวได้ แต่ชั่วอึดใจไม่นานพรานเบก็ส่งสัญญาณให้ทั้งหมดเดินทางต่อ ก่อนจะให้ทุกคนเดินทางต่อพรานเบได้ส่งภาษากะเหรี่ยงกับพรานพร ที่สิงห์เองก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้น

“น้าเบว่าไงพี่พร” สิงห์กระซิบถามพรานพร ที่กำลังจะลุกขึ้นเดิน

“นกเงือก” พรานพรตอบออกมา ด้วยอาการปรกติ

“น้าเบ ก็ตาดี ผมยังมองไม่เห็นตัวมันเลย เสียงร้องสักนิดก็ไม่มี ได้ยินแต่เสียงยอดไม้ไหวๆ น้าเบแกรู้ได้ไงว่าเป็น นกเงือก”

“สอยลงมาย่างกินสักตัวดีมั๊ยพี่สิงห์” เสียงเคิ้งกระซิบขนาดที่เดินย่องมาหาจากทางด้านหลัง

“อย่าไปยิงมันเลยนกเงือก มันยิ่งจะหาดูยากอยู่” สิงห์หันมาปรามกะเหรี่ยงหนุ่ม ในขณะที่เจ้าตัวทำถ้าคันไม้คันมือ

“เรายังไม่ถึงจุดบอด หรือจุดที่เราอดยากปากแห้ง ขนาดจะต้องไปยิงนกเงือกเอามากิน เคิ้งเพราะฉะนั้นพี่ของบอกเราเลยนะ ว่าถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ อย่ายิงมันมากินเด็ดขาด ปล่อยให้มันเป็นดอกไม้ประดับป่าที่นี้ต่อไป ป่าไหนไม่มีนกเงือกป่านั้นก็ไม่ใช่ป่า”

          จริงอย่างที่สิงห์พูดมา นกเงือกเป็นสิ่งบอกวัดความสมบรูณ์ของป่าที่มันอยู่ได้ เพราะนกเงือกเป็นนกที่ชอบอยู่ตามป่าลึก ที่อุดมไปด้วยอาหาร และต้นไม้ใหญ่ เพราะมันเป็นนกที่ต้องอาศัยต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นเจาะโพรงทำรัง เพื่อขยายพันธุ์ และมันยังเป็นนกที่ขึ้นชื่อได้ว่า ผัวเดียวเมียเดียว คือตลอดชีวิตของมัน จะมีคู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่บางครั้งก็ออกหากินรวมฝูง ไม่เหมือนนกหรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่มักผลัดเปลี่ยนคู่ผสมพันธุ์ และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้นกเงือกในประเทศไทยลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย อาจจะเป็นความที่ไม่เข้าใจ หรืออาจจะเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของพรานพื้นเมืองและกลุ่มนักล่าชาวกรุงบางพวก ที่ไปยิงพวกมัน ถ้ายิงมากินด้วยฝีมือพรานป่าก็พอให้อภัยได้เพราะด้วยความจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่พวกที่ยิงมันด้วยความคะนองมือแล้วไม่ได้สนใจผลงานที่ตัวเองสร้างไว้มันไม่น่าให้อภัยเลย  พอถึงฤดูผสมพันธุ์ พวกมันก็จะช่วยกันเจาะโพรงไม้สูงใหญ่ที่ดูว่าปลอดภัย หลังจากคาบเศษไม้มารองพื้นโพรงแล้ว ตัวเมียจะเข้าไปวางไข่ ส่วนตัวผู้จะคาบเศษดินและโคลนมาปิดปากโพรงนั้นไว้ เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายอื่นที่จะเข้าไปรบกวนหรือทำร้าย เหลือช่องเล็กๆไว้สำหรับให้ตัวผู้นำอาหารมาป้อนให้กิน ตัวเมียเองที่อยู่ในโพรงก็จะใช้เศษมูลและขนของมันที่พลัดออกมายาปิดโพรงด้านใน เหลือเพียงช่องเล็กๆไว้สำหรับยื่นปากออกมาตัวผู้ก็จะคอยส่งน้ำส่งอาหารให้นกตัวเมียขณะที่นอนฝักไข่อยู่ จนลูกนกโตพอที่จะสามารถบินได้ แม่นกที่ถึงตอนนี้แล้วก็จะมีขนใหม่พร้อมกับลูกของมัน ก็จะจิกปากโพรงออกไป เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้มันถึงจุดจบโดยที่พวกมันไม่ได้ก่อ เมื่อพรานป่าและพรานกรุงไปยิงตัวผู้ที่คอยส่งเสบียงตาย และเมื่อไม่มีตัวผู้ค่อยป้อนอาหารและน้ำให้ในขณะที่นกตัวเมียกกไข่อยู่ในโพรง ที่พวกมันเองปิดขังตัวเองไว้ ครั้นจะจิกปากโพรงออกไปหากินเองก็ทำไม่ได้ เพราะตัวเองก็ผลัดขนออกหมดแล้วจะบินก็บินไม่ได้ มันเองก็จะอดอาหารหิวตาย ผลสุดท้ายก็แห้งตายคาโพรงกับลูกของมัน

“ไปเคิ้ง พี่ว่าเราอย่าไปสนใจอะไรมันเลย ปล่อยมันไปเถอะ เรายังต้องเดินอีกไกล” สิงห์พุดตัดบทหลังจากเดินผละออกจากที่เดิม  แต่ไม่ทันที่สิงห์จะเดิน เจ้าพะเปรียวก็ทำเรื่อง เมื่อมันเห่าตัวอะไรบางอย่าง เสียงดันลั่นอยู่เบื้องหน้า และเสียงเห่าของมันนี้เองที่ทำให้ ยอดไม้ที่ไหวๆอยู่เหนือหัว ก็มีอาการแตกฮือ เสียงดังก้องไปทั้งหุบ พร้อมทั้งเสียง แก๊ก ก๊าก ของนกเงือกฝูงใหญ่ที่ดูผ่านๆไม่ต่ำกว่าสิบตัว เสียงปีกขนาดใหญ่กระพือ ตัดกับอากาศดัง หวืดๆ เป็นจังหวะ ผสมกับเสียงร้องของมันด้วยความตกใจ เศษกิ่งไม้แห้งและใบไม้ร่วงหล่นลงมาจากเรือนยอดที่มันเกาะอยู่  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในภาวะปรกติ มีเพียงเสียงปีกขนาดใหญ่ของนกเงือกที่ตัดกับอากาศดังอยู่ห่างๆ นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงมันร้องออกมา แก๊ก แก๊ก  ที่แว่วเข้ามาอยู่ไกลๆ

“ไอ้ห่ า ข้าตกใจหมดเลย” พรานชราบ่นอยู่อุบอิบ

“ไอ้พะเปรียวเจอตัวอะไรให้เข้าแล้วพี่สิงห์” พุ่มร้องบอกอยู่ด้านหลังขณะที่กำลังโหนต้นไม้เพื่อฉุดตัวเองขึ้นจากทางชันตอนหนึ่ง

“คงไม่เห่า จิ้งจก ตุ๊กแก ที่ไหนอีกนะ” สิงห์พูดพลางหัวเราะ ขณะที่หักกิ่งไม้เล็กๆที่ยื่นขวางทางออก

“ถ้าเป็นอย่างที่เอ็งพูด ข้าจะกระทื บให้จมแผ่นดินเลย ข้อหาที่ทำให้กูตกใจ เสือกเห่า ป่าแตกหมดทีนี้” พรานชราร้องตอบมาอย่างหัวเสีย

“อย่าไปทำมันเลย มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราว่าก็ได้” สิงห์พูดพรางหัวเราะ

“นั่นไง พี่แปะถืออะไรมาดำๆ” สิงห์พูดหลังจากเห็นพรานแปะเดินย้อนกลับมา

“โถ...คิดว่าตัวอะไร เต่า นี่เอง” เคิ้งร้องบอกหลังจากยกเถาวัลย์ที่มัดร้อยเต่าชูขึ้นดู

“ตัวนิดเดียวเอง จะไปพอกินอะไร ปล่อยมันไปเถอะเคิ้ง” สิงห์พูดหลังจากรับพวงเต่าที่เคิ้งส่งให้

“ผมก็คิดแบบพี่สิงห์ ปล่อยมันไปก็ดีเหมือนกัน เอาไปกินก็ได้เนื้อนิดเดียว” พูดจบเจ้าเคิ้งก็แก้เถาวัลย์ที่ผูกกระดองเต่าตัวขนาดฝ่ามือกางๆ เสร็จแล้วนำมันไปปล่อยไว้ใต้โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง


**************เรื่องราวจะเป็นยังไง สิงห์และพรานพื้นเมืองของเขา จะพาไปถึงจุดหมายหรือไม่ โปรติดตามตอนต่อไป************

ผิดพลาดประการใด กระผม หนุ่ม ธุดงค์ไพร ต้องขอ อภัย มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


27
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 2 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 2 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร


บทที่ 2

ตอนที่ 2.1

    เสียงน้ำค้างจากหลังคาหยดลงบนกองใบพลวงพุๆดังเปาะแปะ อากาศยามเช้าเย็นยะเยือกและปะปนไปกับสายหมอกจางๆ เสียงนกป่านานาชนิด พากันส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าว จากยอดต้นไทรบนเขา ซึ่งตอนนี้ถูกบดบังด้วยหมอกที่หนาทึบ ไกลออกไป เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ว แว่วมาให้ได้ยินอีกหลายฝูง ด้านหลังครัวเสียงฟืนไหม้ไฟดัง เปรี๊ยะ กับเสียงดัง ออดแอด ของพื้นฟาก ที่ถูกปูขึ้นแบบหลวมๆ  เช้านี้อากาศสดใสจนสิงห์ ไม่อยากจะลุกจากเปล เขานอนบิดแขนไปมาสองสามครั้งแล้ว หันไปดูเสียงที่ดังจากในครัวก็เห็นที่มาของเสียง คือพรานเบ ซึ่งตอนนี้กำลังตั้งหม้อหุงข้าวบนเตาฟืนที่มีควันคุกรุ่นอยู่จางๆ เมื่อมองถัดออกไปคือเจ้าเคิ้งที่กำลังลำเลียงถ้วยจานไปล้างอยู่ที่ริมห้วยด้านล่างกับลุงโส่ย

“ตื่นแล้วหรือสิงห์ เป็นยังไงหนาวหรือเปล่า เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม” พรานเบร้องทักเมื่อเห็นสิงห์กำลังลุกขึ้นจากเปล

“นอนหลับเป็นตายเลยน้าเบ อากาศเย็นสบายดีจัง ดีนะที่ผมเอาถุงนอนมาด้วย ถ้าลืมเอามาสงสัยได้ไปนอนขดข้างกองไฟแบบไอ้พะเปรียว”เขาพูดพรางเก็บพับเปลไปด้วย

“ไอ้พุ่มมันไปไหนหรือน้าเบ ไม่เห็นมันเลยสงสัยไปหายิงไก่ ปืนแก๊ปที่แขวนไว้ที่หัวเสาก็ไม่อยู่” สิงห์ร้องถามถึงพุ่ม

“เออ...มันไปยิงไก่ป่านั้นล่ะ ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปิดแล้ว ช่วงนี้ไก่ป่ามันชุม แต่มันเปรียวไปหน่อย ไม่ต้องไปไกลก็พอได้ตัว เห็นมันว่าจะไปนั่งเฝ้าแถวๆต้นไทรโน่น”พรานเบชี้ให้สิงห์ดูตำแหน่งที่เจ้าพุ่มไปซุ่มยิงไก่ป่า

“ปัดโถ...แล้วทำไมไม่ปลุกผม ลูกไทรสุกแบบนี้นกเขาเปล้าไม่ลงเป็นฝูงหรือน้าเบ ไอ้เราก็อุตสาห์แบกลูกกรดมาจนไหล่แถบหลุด น่าเสียดาย อย่างน้อยๆก็เอาปืนผมไปก็ยังดี”สิงห์ยืนบ่นอยู่ที่ระเบียงกระท่อม ตาก็จ้องไปที่ตำแหน่งที่พรานเบชี้ให้ดู ซึ่งตอนนี้มีเสียงนกป่านาๆชนิดร้องแก๊กก๊าก เต็มไปหมด

“มันเห็นเอ็งหลับอยู่ ก็ไม่อยากปลุกเอ็งล่ะสิงห์ คนกำลังหลับสบายๆ ใครเขาอยากจะปลุก ส่วนปืนมันคงไม่กล้าเอาไปโดยไม่เอ่ยปากขอ ไอ้พุ่มมันเกรงใจเอ็ง”พูดจบพรานเบก็เดินไปคนข้าว ที่กำลังเดือดอยู่ แล้วพูดเสริมมาอีกว่า

“แค่มันเห็นเอ็งมาเที่ยว มันก็ดีใจแล้ว ไม่ใช่แต่ไอ้พุ่มคนเดียวที่ดีใจ พวกข้าทุกคนก็ดีใจที่เอ็งกลับมาเที่ยวหาอีก”พรานเบพูดจบก็ยกหม้อข้าวที่มีไม้ไผ่ขัดกับฝาหม้อ แล้วยกลงรินน้ำข้าวลงในหม้ออีกใบที่แลดูบุบๆบี้ๆ จนควันคลุกลุ่นส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั้งกระท่อม

“แหม...น้าเบพูดซะผมเขินเลย เรามันก็เหมือนญาติพี่น้องกันหมดล่ะ ผมก็ดีใจที่เราได้พบกันอีก ถึงเราจะรู้จักกันมาไม่กี่ปี แต่ทุกคนก็เหมือนครอบครัวของผม “พูดจบสิงห์ก็เดินไปหยิบถุงสบู่กับขันน้ำ เพื่อเตรียมไปล้างหน้าล้างตาที่ริมห้วยหลังกระท่อม โดยที่ไหล่ซ้ายมีผ้าขนหนูผืนเล็กอีกผืนพาดอยู่

“อากาศดีจริงๆเลยลุงโส่ย ผมชักไม่อยากกลับไปทำงานแล้ว”สิงห์ร้องทักพรานเฒ่าที่กำลังเดินสวนทางมากับเคิ้ง

“จะไปยากอะไร เอ็งก็มาอยู่นี่เสียเลย ดีเสียอีกข้าจะได้มีเพื่อนกินเหล้า ฮาๆ” ลุงโส่ยหัวเราะชอบใจจนเห็นฟันดำปี๋

“หาเมียกะเหรี่ยงสวยๆสักคนสองคนก็ดีนะ พี่สิงห์จะได้ไม่เหงา ในหมู่บ้านสาวๆสวยๆเยอะแยะไป เดี๋ยวผมติดต่อให้” เคิ้งสอดมาอีกคน

“เออเอ็งรีบเอาจานไปเก็บเถอะ ก่อนที่เอ็งจะโดนข้าเตะ” สิงห์ทำท่ายกขาจะเตะ จนเคิ้งโดดหลบ แต่สิ่งที่ทำไม่ได้ตั้งใจหรือจงใจอะไร แค่เป็นการหยอกล้อกันเล่นธรรมดา

    ที่ลำห้วยน้ำใส จนมองเห็นฝูงปลาเล็กปลาน้อย ที่มารุมกินเศษอาหาร ที่เคิ้งและลุงโส่ยเอาจานชามมาล้างเมื่อสักพัก สิงห์มองสำรวจไปทั่ว ที่แห่งนี้เขาเคยมาเมื่อนานมาแล้ว ทุกสิ่งที่เคยเห็นมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก ระดับน้ำในลำห้วยยังคงอยู่ในระดับปกติ เหมือนครั้งที่แล้ว ผิดจากต้นไม้พวกบอนป่าฝั่งตรงข้ามซึ่ง เมื่อก่อนมีอยู่ไม่กี่กอ แต่ตอนนี้มันแตกใบแตกหน่อจนแน่นไปหมด หลายยอดมีรอยกัดแทะจากแมลง หลายยอดก็ถูกกัดกินไปทั้งยอดจนกุด สิงห์เลือกที่เหมาะๆสำหรับล้างหน้าล้างตา ได้ตรงโขดหินใหญ่เรียบก้อนหนึ่ง เหนือบริเวณที่ สองพ่อลูกลงมาล้างจาน ประมาณสองวา เขาเอาผ้าขนหนูไปแขวนไว้กับกิ่งไม้แห้งท่อนหนึ่ง ซึ่งต้นของมันล้มตายอยู่ใกล้ๆห้วยนั้น น้ำใสไหลเย็นยะเยือกกระทบกับผิวหน้าของเขาจนชา แต่ไม่นานมันก็รู้สึกสดชื่น
กลับมาที่กระท่อม ข้าวในหม้อกำลังถูกดงด้วยไฟอ่อนๆจนระอุ ส่วนด้านล่างตรงลานที่ก่อไฟเมื่อคืน มีกาน้ำที่กำลังเดือดบนกองไฟกองเล็กๆ สิงห์เขาไปรื้อหาของในเป้อยู่สักพัก ก็หยิบซองใส่กาแฟออกมาสี่ห้าซอง เสร็จแล้วตัวเองฉีกกาแฟใส่แก้วที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นก็เดินไปเทน้ำร้อนจากกาที่กำลังเดือดได้ที่  กาแฟร้อนถูกชงจนหอมไปทั่ว เขานั่งห้อยขาบนระเบียงบ้านจิบกาแฟไปพลาง

“น้าเบ ลุงโส่ยกาแฟผมเอามาหลายซอง เอาไปแบ่งกันกินนะ เคิ้งถ้าจะกินก็หยิบไปเลย ไม่ต้องมาเกรงใจ” สิงห์พูดพร้อมชี้มือให้เคิ้งดูตำแหน่งที่วางซองกาแฟ

“ครับพี่ เดี๋ยวผมชงให้พ่อกับน้าเบก่อน ผมยังไม่ค่อยอยากเท่าไหร่”เคิ้งพูด แล้วเดินไปหยิบแก้วที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ ที่เหน็บไว้ข้าวฝาในครัว

“ปั้ง..”

“นั้นไง ไอ้พุ่มล่ออะไรเข้าแล้ว สงสัยจะไก่ป่า” ลุงโส่ยพูดพร้อมหันไปมองที่มาของเสียง

“โอ้โห..ลุงโส่ย ฟังรู้ด้วยหรือว่าได้ตัวหรือไม่ได้ตัว” สิงห์ร้องแซว

“เอ็งเชื่อข้าซิ โดนนะโดนแน่ และคิดว่าได้ตัวด้วย แต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร” แกพูดแล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟจากลูกชาย

“มันฟังยังไงลุง ถึงรู้ว่าคนที่ยิง ยิงโดนหรือไม่โดนสัตว์” สิงห์ออกอาการสงสัย

“ง่ายๆ  ถ้าเป็นปืนแก๊ปนะ  เวลายิงมันจะดัง  แบบหลวมๆ  ถ้าไม่ถูกอะไรเลย  แต่ถ้าถูกมันจะดังออกหนักๆ  ส่วนปืนลูกซอง  ก็แบบเดียวกับปืนแก๊ป  แต่มันจะดังแน่นกว่า  ส่วนปืนลูกกรด มันจะดัง เปรี๊ยะ..” พูดจบแกก็ยกกาแฟขึ้นซด

“ลุงโส่ยเก่งไม่เบา มาคราวนี้ผมได้ความรู้เยอะเลย อ้าวนั้น นกเขาเปล้าบินมาเกาะบนยอดต้นนุ่นนี้นา” สิงห์ชี้ให้ดู

“พี่สิงห์ เอาลูกกรดสอยเลยพี่ ระยะนี้ไม่น่าพลาด”เคิ้งร้องบอก แต่สิงห์ก็ไม่ทันลุงโส่ย เพราะแกไปหยิบปืนของสิงห์ตั้งแต่มือไหร่ไม่มีใครรู้ พอปลดเซฟปืนได้ ก็พาดเล็งกับเสากระท่อมทันที ก่อนแกเหนี่ยวไก ยังพูดขึ้นอีกว่า

“เอ็งเตรียมวิ่งไปเก็บได้เลยไอ้เคิ้ง เดี๋ยวข้าจะสอยมาให้ไอ้สิงห์ย่างเกลือ”พูดจบแกก็เหนี่ยวไกทันที หลังจากเล็งอยู่นาน

“เปรี๊ยะ..”
สิ้นเสียงปืน ที่ดังออกไป แต่เป้าที่แกเล็งไม่มีอาการสั่นไหวแต่อย่างใด แต่มันกลับทำท่าพองขนจนฟู ก่อนจะขี้แล้วบินหนีไป  เล่นเอาสิงห์หัวเราะก๊าก

“ไหนลุง นกเขาเปล้าย่างเกลือของผม หมดกันดีมันไม่ขี้ใส่หน้าลุง ฮาๆ”สิงห์หัวเราะชอบใจ

“ดีแต่โม้พ่อ เสียชื่อหมด ฮาๆ”เคิ้งเสริมมาอีกแรง

“มันน่าเจ็บใจนัก ไอ้นกเวร หนอยเล่นกูเสียหน้า สงสัยตั้งศูนย์ ไม่ค่อยดี” แกพรานศูนย์ปืน

“สงสัยจะจริงลุงโส่ย ผมลืมตั้งศูนย์ปืนไว้ ไหนเอามาให้ผมตั้งใหม่สิ” สิงห์แกล้งพูดแก้เขิน ให้พรานเฒ่า
เขากำลังปรับแต่งศูนย์ปืน ให้ได้ระยะที่ต้องการ ยังไม่ทันยกเล็ง นกเขาเปล้าบินมาจากทางไหน ไม่มีใครรู้ มันบินมาเกาะที่ปลายกิ่งนุ่นต้นเดิม แต่อยู่ถัดออกไปอีกประมาณวากว่าๆ  โดยไม่ต้องมีใครบอก เขารีบกระชากลูกเลื่อนเพื่อเอาปลอกลูกปืนเก่าออก แล้วดันลูกใหม่เข้าไปในรังเพลิงแทน ก่อนจะยกขึ้นเล็ง โดยพาดปืนคู่ใจที่เสากระท่อม ในท่านั่งห้อยขา เขาเล็งอยู่อึดใจ ก่อนที่จะลั่นไกออกไป

“เปรี้ยง..”
เสียงปืนลูกกรดดังพร้อมๆกับ  นกเขาเปล้าที่เกาะบนปลายกิ่งนุ่นนั้น ห่อปีกหมุนควงตกลงมาทันที ติดตามด้วยกะเหรี่ยงดง คือเจ้าเคิ้งวิ่งไปที่โคนต้นนุ่นที่เต็มไปด้วยต้นสาบเสือ ไม่นานนักหลังจากเดินมุดซุ้มสาบเสืออยู่หลายรอบ เคิ้งก็เดินยิ้มแป้นออกมา พร้อมชูผลงานที่สิงห์ยิงได้ให้ดู

“มันต้องแบบพี่สิงห์สิพ่อ ถึงจะได้เอามาย่างเกลือ เห็นไหมกลางอกพอดีเลย”เคิ้งยังไม่วายแซวลุงโส่ย

“ถ้าศูนย์ปืนมันตั้งมาแล้ว อย่างตะกี้ ข้าก็ไม่พลาดหรอกเว้ย ไอ้เคิ้ง” พรานเฒ่ายังไม่เลิกบ่น แต่ก็คว้านกเขาเปล้าจากมือลูกชาย ไปนั่งถอนขนอยู่ข้างๆกองไฟหน้าลานกระท่อม ยังไม่ทันจะถอนเสร็จ ก็ได้ยินเสียงปืน ดัง ปัง ที่ตำแหน่งเดิมคือต้นไทรบนเขา ซึ่งตอนนี้พอจะมองเห็นเพราะหมอกเริ่มจางลงไปมากแล้ว เสียงปืนที่ดังกึกก้อง ไปทั้งหุบ ทำให้นกหลากหลายชนิดที่มากินลูกไทร พากันแตกฮือไปคนละทิศคนละทาง พอเงียบไปสักไม่กี่นาที ฝูงนกที่บินไปก็พากันบินวนเวียนแถวๆต้นไทรต้นนั้นอีก อึดใจต่อมา ก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีก และเช่นเดียวกับครั้งแรก พอเสียงปืนดังฝูงนกก็บินแตกฮือ เป็นเช่นนี้ถึงสี่ครั้ง ที่เสียงปืนดังขึ้น

“สงสัยไอ้พุ่มคงยิงนกแล้ว” พรานเบพูดออกมา หลังจากเงียบอยู่นาน

“น่าจะจริงอย่าน้าเบว่า นัดแรกคงจะยิงตัวอะไรสักอย่าง แต่สามนัดหลังนี้ สงสัยจะยิงนก” สิงห์เห็นด้วยกับพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ในครัวดังกรุกกรัก

“แล้วน้าเบกำลังทำอะไร” เขาสงสัยเมื่อเห็นพรานคู่ใจกำลังจัดแจงตั้งกระทะลงบนเตาไฟ

“ข้าว่าจะคั่วพริกนี้สักหน่อย จะทำน้ำพริกแห้งเอาไว้กินในป่า”พูดจบก็เอาพริกแห้งหน้าตาเหมือนพริกขี้นก แต่มีรสชาติเผ็ดกว่ามาก ใส่ลงไปในกระทะที่ตั้งไฟอ่อนๆได้ที่ เท่านั้นยังไม่พอ พรานเบก็ดึงหัวหอมแดง และหัวกระเทียม ที่แขวนอยู่ในครัวออกมาอย่างละเจ็ดแปดหัว เสร็จแล้วแกก็โยนมันลงไปใต้เตาถ่าน ที่ด้านบนมีกระทะที่กำลังคั่วพริก จนควันโขมง เล่นเอาจามกันไปทั้งกระท่อม พรานเบร้องบอกเคิ้งให้ไปตัดใบตองป่า ที่มีอยู่เป็นดงตรงริมห้วย ไม่ถึงอึดใจเคิ้งก็ถือใบตอง แล้วส่งให้พรานเบด้านหลังครัว เสียงพริกแห้งในกระทะ แตกดัง โพละ พ่ะ เพราะมันพองจนแตก พรานเบตักกะปิมอญ ที่แกมีไว้กระปุกใหญ่ ตักมาได้พอประมาณ ก็บรรจงห่อด้วยใบตองป่า สองสามชั้น มองแล้วคล้ายๆห่อขนมกล้วย เสร็จแล้วก็เอาไม้ไผ่ ที่แกทำไว้ปิ้งปลา มาเสียบคีบไว้  จากนั้นแกก็ร้องบอกให้เคิ้งเอาไปปิ้งไฟที่ลานหน้ากระท่อม ที่ตอนนี้ลุงโส่ยกำลังลนขนอ่อนของนกเขาเปล้าอยู่



28
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร


บทที่ 1.

ตอนที่ 1
                    ปลายเดือน ตุลาคม ลมหนาวพัดผ่านมาวูบแรก หลังจากพื้นดินและผืนป่าชุ่มฝนมานานหลายเดือน ป่าเวลานี้ดูเขียวครึ้มไปทั้งผืนป่า และภูเขาที่สูงทะมึนดูน่ากลัว ลึกลับ สลับกันไปมาสูงๆต่ำๆ ตามแบบภูมิประเทศของป่าตะวันตก ไม้ใหญ่หลายต้นยืนเบียดเสียด ยื้อแย่งเพื่อชูช่อยอดใบรับแสงอาทิตย์ ส่วนเบื้องล่างไม้เล็กไม้น้อยต่างก็พยายามแทรกใบยอดหาช่องที่แสงอาทิตย์ ลอดผ่านจากยอดไม้สูงอันน้อยนิด เพื่อการเจริญเติบโตเป็นไม้ใหญ่ต่อไป  พืชที่ได้เปรียบที่สุดคงจะเป็นพืชจำพวกเถาวัลย์ ที่มันสามารถพันตัวเองให้ไปตามลำต้นของไม้ใหญ่ได้

    ริมลำห้วยสายหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างหุบเขาสองลูก มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี สองริมห้วยนั้นเต็มไปด้วยไม้ล้มลุก ไม่ว่าจะเป็น กล้วยป่า กูด ชะพลู และบอนป่าซึ่งขึ้นอยู่เป็นดง บางต้นสูงแค่เอว และบางต้นก็ใหญ่โตขนาดคนเข้าไปยืนหลบแดดหลบฝนได้อย่างสบาย ถัดออกไปก็มีต้นยางนาที่ลำต้นสูงตรง ซึ่งลำต้นของมันดูขาวนวลสวยงามกว่าไม้อื่นๆ เสียงน้ำไหลกระทบแก่งหินดังจุ๋งจิ๋ง สลับกับเสียงปลาขึ้นฮุบบนผิวน้ำที่อุดมไปด้วยฝูงปลานานาชนิดทั้งปลาเวียน ปลากั้ง ปลาสร้อย นอกจากปลาก็ยังมีสัตว์น้ำอื่นๆ  พวก ปูหิน หรือปูห้วย กุ้งนาง และหอยขม

    สิงห์ ชายหนุ่มผมยาวร่างเล็ก สูงประมาณ 170 เซนติเมตร เดินลุยลำห้วยมาตามลำพัง บนหลังของเขามีเป้ใบใหญ่สีเขียวขี้ม้าใบเก่าคร่ำคร่า  ที่ไหล่ข้างซ้ายสะพายปืนยาวขนาด .22 ยี่ห้อ ซีแซด ที่เอวมีมีดเหน็บยาวประมาณ 1 ฟุต เขาเดินลัดเลาะ ไปตามลำห้วยสายนั้นมากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว จนมาถึงด่านทางเกวียนเก่าๆ ที่สองข้างทางมีต้นสาบเสือขึ้นอยู่เป็นดง เขายังคงเดินเรื่อยไปจนมาถึงเนินช่วงหนึ่ง ซึ่งทางสายนี้ตัดผ่านเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่มีบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน หลังจากเดินอีกกว่าชั่วโมง ก็มาถึงกระท่อมหลังแรกที่สร้างอยู่ริมลำห้วย ซึ่งมันก็เป็นสายเดียวกันกับที่เขาเพิ่งจะเดินผ่านมา
   
    กระท่อมยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร ตัวบ้านทำจากไม้ไผ่สับแผ่ ที่เรียกว่า ฟาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นและฝาบ้าน ก็ทำมาจากฟากไม้ไผ่ คงมีแต่เสาบ้านที่ทำมาจากไม้แดงอย่างดี ส่วนหลังคาทำจากใบพลวง และกระท่อมหลังอื่นๆที่ปลูกเรียงรายห่างๆกันออกไป อีกไม่กี่หลังก็คงจะเป็นแบบเดียวกันหมด

“สวัสดีครับลุงโส่ย” สิงห์ยกมือไหว้พร้อมกล่าวคำทักทายกะเหรี่ยงโพวัยหกสิบกว่าๆยื่นหน้าโผล่มาจากหน้าต่าง

“นั่นไอ้สิงห์หรอกเหรอะ มาๆ เป็นยังไงมายังไง คิดว่าปีนี้จะไม่มาหาเสียแล้ว” พูดจบแกก็ลงมาไล่เตะหมาผอมๆสองสามตัวที่พากันเห่าสิงห์จนซี่โครงบาน

“ไม่มาได้ยังไงลุง แหม...ช่วงนี้ผมงานเยอะไปหน่อย เวลาเลยไม่ลงตัว แล้วลุงสบายดีหรือเปล่าครับ” เขาพูดจบก็ยกน้ำจากขันมาดื่มอย่างกระหาย

“เออๆ ก็สบายดีตามประสาชาวป่าชาวดง แล้วเอ็งมายังไงล่ะ มาคนเดียวรึ?” ลุงโส่ย ถามด้วยความสงสัย

“ผมเอารถมาครับลุง แต่ผมจอดไว้ที่ปากทางเข้าโน่น บ้านแม่ไอ้เหน๋อนั้นแหละ เดี๋ยวไอ้เหน๋อมันก็ตามมาพรุ่งนี้เช้า ที่แรกผมก็จะออกมาพร้อมมัน แต่ผมใจร้อนกลัวพวกลุงจะไม่อยู่บ้านกัน เลยรีบเดินมาก่อน คืนนี้กะว่าจะเข้าไปนอนบ้านน้าเบ พรุ่งนี้เช้าไอ้เหน๋อมันจะตามพี่พรมาอีกคน ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า พูดถึงน้าเบ หวังว่าคงจะไม่ได้ไปไหนนะลุง” สิงห์บอกด้วยความกังวล เพราะกลัวจะพลาดกับพรานที่เขาไม่ได้นัดหมาย ไว้ก่อน

“ไอ้เบมันก็อยู่บ้านนั่นล่ะ เมื่อวานมันก็มาหาข้า ยังนั่งคุยถึงเอ็งอยู่เลยไอ้สิงห์ ดีเหมือนกันโว้ย พูดถึงเอ็งก็มา ตายอยากจริงๆ” พูดจบแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น ดังปรี๊ด

“เยี่ยมเลยลุง คิดว่าจะพลาดกันเสียแล้ว งั้นถ้าลุงไม่ได้ไปไหนเดี๋ยวเย็นนี้เราไปนอน ที่บ้านน้าเบกันดีกว่า ผมมีเรื่องคุยกับพวกเราเยอะเลยลุง พอดีผมพกยาแก้เหงามาด้วย 3 กลม” พูดจบสิงห์ก็งัดเหล้าแดงออกมาโชว์ ลุงโส่ยเห็นเข้าถึงกับเปรี้ยวปากขึ้นมาทันที

“บ๊ะ! ดีจริงโว้ย อยู่แต่ในดงไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ไม่ได้กินเหล้าแดงแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว ข้าล่อแต่เหล้าป่า เอ็งนี่มันรู้ใจข้าจริงๆวะ  ไอ้สิงห์” เหล้าแดงที่แกว่าคือแสงโสมที่สิงห์พกมาอวด ไม่พูดเปล่าแกก็เอื้อมมือจะมาหยิบเหล้าในเป้ไปกินเสียให้ได้ จนสิงห์ต้องบอกใจเย็นๆ

“แหม...ใจเย็นๆลุง เอาไว้ให้พร้อมหน้าพร้อมตา เราค่อยมาฉลองกันดีหรือเปล่า แต่เห็นแก่ลุงนะ เอาแบนนี้ไปล้างคอก่อนก็แล้วกัน เสียดายไม่มีกับแกล้มดีๆ” พูดจบเขาก็ควักเหล้าในเป้ที่มีเหลืออยู่เกือบครึ่งแบน ที่สิงห์เองก็เดินจิบมาเรื่อย ในตอนที่เขาเดินทางมา ส่งให้แกเป็นกำลังใจ

“ปุดโถ...แล้วไม่บอกว่ามี 3 กลมกะอีกครึ่งแบน เดี๋ยวข้าไปหาอะไรมาแกล้มเหล้าก่อน” แกลุกขึ้นเดินไปในครัว สักพักก็ได้ยินเสียงกลุกๆกลักๆ แว่วมา อึดใจลุงโส่ยก็ถือจานสังกะสีมาสองใบ ในจานมี เขียดทอด กับแกงอีเห็น ซึ่งมีอยู่เกือบครึ่งจาน โดยเฉพาะเขียดทอดมีเกือบเต็มจาน

“ไอ้พุ่มมันไปได้อีเห็นมาจากท้ายไร่ตรงตีนเขาโน่น ส่วนเขียดไอ้เคิ้งมันไปส่องมาเมื่อคืนก่อนตรงทุ่งนาติดๆกับห้วยนั้น” ลุงโส่ย ชี้มือบอก ที่มาของอาหารจานเด็ด ทั้งสองจาน

“เออ...ลุงแล้วไอ้เคิ้ง กับไอ้พุ่ม มันไปไหนเสียหล่ะ ตั้งแต่มายังไม่เห็นมันสองคนเลย” สิงห์ถามถึง เคิ้ง ลูกชายลุงโส่ย ส่วนพุ่มเป็นเพื่อนของเจ้าเคิ้งอีกคน

“ไอ้เคิ้งมันเอาควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ฝั่งที่มีต้นยางเด่นๆอยู่โน่น ส่วนไอ้พุ่มข้าเห็นสะพายปืนแก๊ปไปตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นมันห่อข้าวไปด้วยสงสัยจะกลับมาเย็นๆ ไอ้นี่มันว่างเป็นไม่ได้ ชอบไปหายิงอะไรมาอยู่เรื่อย กับข้าวกับปลาไม่มีขาด” พูดจบแกก็บรรจงยกจอกเหล้าที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ อย่างถนอมเหมือนกลัวว่ามันจะหก พอจ่อปากได้ก็ยกลงคออึกเดียวหมด

“เบาๆลุง เดี๋ยวก็ได้เมาตกบ้าน ไม่ได้ไปเที่ยวป่าหล่ะยุ่งเลย” สิงห์พูดหยอกชายชราอย่างขำๆ เพราะรู้ดีว่าต่อให้หมดเป็นขวดแกก็คงยังเฉย หรือไม่ก็เมาพับอยู่ตรงนี้
ชายหนุ่มกับกะเหรี่ยงดงเพื่อนแท้ต่างวัย นั่งพูดคุยเรื่องราวต่างๆมากมายด้วยความคิดถึง ที่มีให้กันมานาน ลุงโส่ยเองก็รู้ดีว่าสิงห์มาหาเพราะเรื่องอะไร มีอยู่เรื่องเดียวถ้าสิงห์มาก็หนีไม่พ้นเข้าป่า สิงห์ได้รู้จักกับลุงโส่ย โดยการแนะนำจาก เหน๋อ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก เหน๋อเองก็เป็นคนบ้านป่าบ้านดงมาตั้งแต่เด็กๆแถมยังพูดภาษากะเหรี่ยงได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวป่าแถบนี้ก็ช่วงสมัยที่สิงห์และเหน๋อยังเรียนอยู่ เหน๋อน่าจะเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสออกไปเรียนในตัวเมือง คงเป็นเพราะทางบ้านพอจะมีเงินส่งให้เรียน เพราะทำร้านขายของเล็กๆในหมู่บ้าน พูดง่ายๆว่าเหน๋อเกิดมาก็อยู่ใกล้ป่า โตมากับป่า ส่วนสิงห์ชอบการผจญภัยมาเป็นทุนอยู่แล้ว ตอนสิงห์ยังเด็กๆก็ชอบหายิงนกตกปลา ไปตามเรื่อง สองคนนี้เลยเป็นเพื่อนรักกันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะชอบอะไรที่คล้ายๆกัน ถึงแม้จะห่างๆกันมาพอสมควรในระยะหลังๆเมื่อต่างคนต่างเรียนจบหางานหาการทำ และจากการงานของแต่ละคน ที่แตกต่างกันออกไป แต่ครั้งเมื่อมีโอกาส และเวลา สิงห์ก็ไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่มีความหมาย ถ้าว่างเป็นต้องนัดกันเที่ยวป่าเข้าดงทุกที จะนอนกลางดินกินกลางป่า บางครั้งน้ำท่าไม่ได้อาบสามวันก็มี ลำบากลำบนแค่ไหน  ไม่ได้ทำให้สิงห์เบื่อเรื่องการเที่ยวป่าผืนนี้ไปได้เลย  ไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วง ฝน ร้อน หนาว ป่าในแต่ละฤดูกาล จะแตกต่างกันออกไป มาเที่ยวครั้งใด ต้องมีอะไรให้สิงห์ต้องตื่นเต้นทุกครั้ง

    สำหรับพรานเบ เป็นอีกคนหนึ่งที่สิงห์นับถือพรานคนนี้มาก คงเป็นเพราะมีความจริงใจต่อกัน ไม่เคยหลอกลวง หรือทำให้ผิดหวังเลย สิงห์เองก็นับถือเป็นญาติผู้ใหญ่อีกคนอย่างจริงใจ พรานเบเป็นคนชอบความอิสรเสรี เป็นคนไม่ดิ้นรน แกทำไร่ทำนาไปตามเรื่อง หมดจากฤดูทำไร่ทำนา ก็เข้าป่าหาของป่ามาขายบ้าง ลูกเมียก็ไม่มี จนแกอายุปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว อาจจะเป็นเพราะแกชอบความอิสระ  และความสันโดษ  ขนาดกระท่อมของแกยังทำเสียลึก เข้าไปในดง มีธุระอะไรกับแกก็ต้องเดินไปหาจนหน้ามืด ดีไม่ดีเข้าป่าเข้าดงไม่เจอแกอีกก็เสียเที่ยว เดินเหนื่อยฟรี ส่วนเรื่องการเป็นพรานหมดปัญหาไปเลยเรื่องฝีมือ เพราะขึ้นชื่อว่า พรานป่า ไม่ว่าจะการดำรงชีวิตในป่า การหุงหาอาหาร และที่สำคัญแกยิงปืนแม่นมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สิงห์ได้มีโอกาส ไปเที่ยวป่ากับพรานเบ ปืนสักนัดแกก็ไม่ได้ยิง แต่แกเดินกลับมาพร้อมอ้นตัวอ้วน หรือแม้แต่นกกระทาดงเป็นพวง

    ส่วนพรานพร เป็นอีกคนหนึ่งที่สิงห์นับถือ และเป็นอีกคนหนึ่งที่สำคัญ เพราะพรานพรเป็นคนพูดเก่งไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย และภาษากะเหรี่ยง บางครั้งสิงห์เองก็ต้องพึ่งพาอาศัยพรานพร ช่วยแปลความหมายต่างๆเวลาจะสื่อสารกับกะเหรี่ยงคนอื่น พูดง่ายๆแกพูดภาษาไทยได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลุงโส่ย พรานเบ ก็พอพูดภาษาไทยได้บ้างถึงจะไม่ชัดต้องถามตอบกันหลายครั้ง แต่ก็ส่งภาษากันรู้เรื่อง พรานพรอายุก็น่าจะรุ่นน้องพรานเบไม่มาก

    เคิ้งและพุ่ม เด็กกะเหรี่ยงขนานแท้ แต่พอจะพูดภาษาไทยได้บ้าง เคิ้งเป็นเด็กขยัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือมากนักแต่ก็เป็นเด็กดี เด็กอายุเพิ่งจะสิบสี่ แต่เรื่องการงาน ถึงจะหนักหนาขนาดไหนไม่เคยท้อ ส่วนพุ่มโตขึ้นมาหน่อยน่าจะประมาณสิบห้าถึงสิบหก เป็นกะเหรี่ยงโพ เดินทางข้ามป่าข้ามเขามาจากพม่า เพราะทนอยู่ทางโน้นไม่ได้ อยู่ไปคงได้เกณฑ์เป็นทหารกะเหรี่ยงกู้ชาติ เลยติดสอยห้อยตามพ่อแม่มาอยู่ป่าตะวันตกแถบนี้ เด็กทั้งสองคนนี้ สิงห์ก็รักเหมือนเป็นน้องแท้ๆ ครั้งแรกที่รู้จัก ตอนไปเที่ยวป่าเมื่อหลายปีก่อน โดยเหน๋อให้มาเป็นลูกหาบแบกของให้กับพวกของสิงห์ ซึ่งครั้งแรก สิงห์ก็ไม่นึกจะไว้ใจนัก ยังคิดว่าจะแบกกันไหวหรือ แต่ที่ไหนได้ เด็กสองคนแบกของกันเดินตัวปลิว ขนาดสิงห์มีแค่เป้บนหลังหนึ่งใบยังเดินไม่ทัน แถมรองเท้าดีๆก็ยังสู้เท้าเปล่าของเด็กกะเหรี่ยงไม่ได้เลย
แสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปแล้ว ท้องฟ้าที่เคยสว่างมองเห็นต้นไม้ใหญ่ต่างๆ นานาพันธุ์ กลับขมุกขมัว ดูมืดมิดน่ากลัวเข้าไปอีก หมู่นกกาพากันบินกลับรัง ส่งเสียงเซ็งแซ่ บ่นยอดไม้ใหญ่ ห่างออกไป เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ว  อยู่ที่ใดสักแห่งในหุบเขา ขับขันกันสลับไปมาอยู่หลายฝูง คงจะเตรียมขึ้นขอนนอนประจำของมัน  อากาศตอนนี้เริ่มเย็นยะเยือกมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่มืดเลย สิงห์ดูนาฬิกาเวลาตอนนี้แค่ห้าโมงยี่สิบห้านาที หลังจากพูดคุยและกินข้าวกินปลาเมื่อตอนที่มาถึง

“แกงอีเห็น ของลุงนี่ยังเด็ดเหมือนเดิมนะ” สิงห์เอ่ยปากชมแกงอีเห็นที่กินไปเมื่อตอนบายสี่โมงเย็น

“เออ...เหล้าแดงของเอ็งก็รสดีไม่น้อย” แกพูดจบก็หยิบผ้าข้าวม้าที่สะพายไหล่มาเช็ดปาก เหมือนแกยังเปรี้ยวปากอยู่

“โน่นไง ไอ้เคิ้งเดินจูงควายกลับมาแล้ว ถ้ามันเห็นเอ็งมาคงจะดีใจ” พรานเฒ่ารู้ดีว่าถ้าสิงห์มาก็ไม่พลาดที่จะต้องเข้าป่า และรู้ว่าไอ้เคิ้งมันคงชอบเข้าป่า มากกว่าจูงควายไปเลี้ยงเป็นไหนๆ

“อ้าว...พี่สิงห์ มาตอนไหนนี่ มาถึงนานหรือยัง” เคิ้งออกอาการดีใจเมื่อได้เห็นสิงห์ หลังจากจูงควายไปไว้ในคอก ก็รีบขึ้นไปหาสิงห์บนกระท่อมทันที

“พี่มาถึงตั้งแต่บ่ายๆแล้ว นั่งล่อเหล้ากับเขียดทอดของเอ็งจนจะหมดจานแล้ว” สิงห์พูดทักทายเคิ้ง อย่างสนิทสนม

“มีอีกเยอะพี่สิงห์ เมื่อวันก่อนผมไปส่องมาได้เป็นถังเลย เขียดเยอะจัดปีนี้ จับกันเพลินเลยพี่ เดี๋ยวผมทอดให้กินอีกจาน” พูดจบ เคิ้งรีบรับอาสาทอดเขียดให้สิงห์อย่างเต็มใจ สักพักกลิ่นควันไฟก็ลอยมาจากในครัว

“ทอดแล้วใส่กระเทียมด้วยนะเคิ้ง รับรองเอร็ดกว่าเดิมอีก” สิงห์แนะนำให้ใส่กระเทียมลงไปด้วยขณะที่เคิ้งกำลังทอดเพื่อดับกลิ่นคาวของเขียด ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขียดทอดจานใหญ่ก็พร้อมเสริฟ

“แหม...ถ้าได้พริกไทยป่นล่ะเรี่ยม” ลุงโส่ยเสริมมาอีกหน่อย

“โถ...พ่อจะไปเอาจากไหนพริกไทยป่น แค่มีน้ำปลาก็ดีนักหนาแล้ว หรือจะลองพริกป่นดี” เคิ้งหมายถึงพริกกะเหรี่ยง เอาไปคั่ว แล้วก็ตำให้ป่น เอามาโรยแทนพริกไทยป่น สิงห์ได้ยินแบบนั้นเข้าก็ร้องลั่น

“พอเลยๆ เดี๋ยวได้น้ำหูน้ำตาไหล ไปไอ้เคิ้งไปหาถุงมาใส่เขียดทอด เดี๋ยวไปกินต่อที่บ้านน้าเบ เออเตรียมเสื้อผ้ากับของใช้ของเอ็งไปด้วย พรุ่งนี้ไปเที่ยวป่ากันโว้ย เดี๋ยวมืดค่ำแล้วจะลำบาก”

    ลุงโส่ยและลูกชายของแกคือเคิ้งจัดเตรียมของใช้จำเป็นต่างๆจนเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นปืนแก๊ปกระบอกเก่าคนละกระบอก กระเป๋าใส่เสื้อผ้าที่ดูไม่เหมือนกระเป๋าเท่าไหร่นัก เพราะเอาถุงปุ๋ยมาเย็บทำกันเอง ข้างในก็มีเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ไฟฉาย กับถุงข้าวสารอีกเกือบห้ากิโล แถมแกยังหิ้ว เหล้าป่ามาอีกสองแกลลอน ทั้งสามคนกำลังจะลงจากกระท่อม เคิ้งก็ร้องทักมา

“ไอ้พุ่มกลับมาพอดี นั่นได้ไก่ป่ามาด้วย” เคิ้งชี้ให้สิงห์ดู พุ่มที่เดินมุดลอดออกมาจากซุ้มกอไผ่หลังบ้าน

“ดีเลย มาถึงก็ดีแล้วไอ้พุ่ม ไปเตรียมของพรุ่งนี้ไปเข้าป่ากันดีกว่าได้มาหลายตัวด้วยเก่งนี่เรา” สิงห์ตะโกนบอกพุ่ม ที่กำลังเดินเข้ามาหา

“มันเปรียวครับเลยได้มาแค่สามตัว ไปได้มาแถวๆหุบตาสานโน่น มีอยู่หลายฝูง ถ้ามีลูกซองคงได้เยอะกว่านี้ แล้วพี่มาถึงนานยัง” พุ่มเล่าที่มาของไก่ป่าสามตัว กับคำถามแบบเดียวกับ เคิ้ง

“เออๆอย่ามัวถามเลยวะ ไอ้พุ่มเอ็งเอาไก่ไปให้พ่อกับแม่เอ็งเถอะ แล้วก็บอกเขาด้วยว่าไปเที่ยวป่ากับพี่ ถ้าว่างเอ็งก็ไป แต่ถ้าติดงานที่ไหนก็ไม่เป็นไรนะ พี่กำลังจะไปบ้านน้าเบ “สิงห์พูดพร้อมส่งไก่ป่าคืนกลับไปให้พุ่ม

“ว่างสิครับ วันๆผมก็ไม่ได้ทำอะไร ข้าวโพดก็ปลูกไปตั้งแต่ฝนลงหลายเดือนแล้ว นี่ผมก็หายิงนกยิงหนูไปวันๆ งั้นพี่รอผมก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบเตรียมของก่อน” พูดจบพุ่มก็วิ่งกลับบ้านทันที แต่โยนไก่ป่าที่ยิงได้ให้เคิ้งรับไว้อีกหนึ่งตัว

    ดวงอาทิตย์ลับยอดเขาไปแล้ว เหลือเพียงแต่แสงสีส้มจับอยู่บนก้อนเมฆจางๆ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ผีตากผ้าอ้อม  ควันไฟโพยพุ่งจากกระท่อมสามสี่หลัง  คงเป็นเวลาหุงหาอาหารตามประสาชาวป่า ที่ใต้ถุนกระท่อมหลังหนึ่งไก่บ้านสามตัวพากันบินขึ้นเกาะราวนอน คงมีแต่ไอ้โต้งจ่าฝูงยังคงโกงคอขันอยู่บนเสาคอกควาย ที่มีเจ้าของบ้านนอนเคี้ยวเอื้องอยู่ ถัดออกไปจากคอกควายก็จะเป็นลำห้วยซึ่งมีน้ำใสไหลเย็น บนผิวน้ำนั้นเริ่มมีละอองหมอกขึ้นจับอยู่จางๆ สิงห์ ชายหนุ่มจากในเมืองยังคงยืนทอดอารมณ์อยู่กับธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวเขา บางครั้งก็สูดเอาอากาศเย็นสดชื่นเขาปอดลึกๆ เวลานี้สิงห์คิดว่าไม่เสียเที่ยวและโอกาสที่ได้มาผจญภัยอีกครั้ง ถึงตัวเขาเองก็ไม่มีทางรู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกสักกี่ครั้งในชีวิต หรือจะมีป่าให้เขาได้เที่ยวอีกหรือเปล่า

“วู้...พี่สิงห์ ไปกันได้แล้ว ไอ้พุ่มมันพร้อมแล้ว” เสียงเคิ้งป้องปากตะโกนเรียกสิงห์ที่มายืนอยู่ที่ปลายคันนาริมห้วย

“เอาๆ...ไม่ต้องรีบไอ้สิงห์ เดี๋ยวก็ได้ตกคันนา นั่นไงกูว่าแล้ว ฮาๆ” ลุงโส่ย ร้องบอกสิงห์ ที่เห็นสิงห์วิ่งมา แต่ก็ไม่ทันขาดคำของแก สิงห์ก็วิ่งเหยียบพลาดเอาขอบคันนาจนขาตกลงไปแช่โคลนอยู่ข้างหนึ่ง เล่นเอาพวกกะเหรี่ยงดงหัวเราะงอหายไปตามๆกัน



29
[AKB48] Nagao Mariya 永尾まりや



Nagao Mariya AKB48 Preview of 1st PB "Utsukushii Saibo" 2016.03.10




























--------
2

Nagao Mariya AKB48 Gravure Young Magazine 2016 No 02






















----------
3

Nagao Mariya AKB48 Gravure on ENTAME 2016 04












-------
4

Nagao Mariya 永尾まりや AKB48, FLASH Magazine 2016.05.31 Gravure












----------
5

Nagao Mariya 永尾まりや AKB48, EX-Taishu Magazine November 2015 Gravure






















--------
6

Nagao Mariya 永尾まりや AKB48, Weekly SPA! 2016.08.02 Gravure










---------
7

Nagao Mariya 永尾まりや AKB48, Big Comic Spirits No.28 2016 Gravure
















---------
8

Nagao Mariya 永尾まりや AKB48, FLASH 2016.10.25 No.1396












------
9

Nagao Mariya 永尾まりや AKB48, Saizo 2016.10 Gravure












-------
10

Nagao Mariya 永尾まりや AKB48, FRIDAY 2016.12.16



















30
Seira Miyazawa 宮沢セイラ



















Pages: 1 [2] 3 4 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.902 seconds with 16 queries.