Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
28 April 2024, 20:19:46

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,608 Posts in 12,441 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  กรงกรรม บทประพันธ์ของ จุฬามณี
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: 1 2 [3] Go Down Print
Author Topic: กรงกรรม บทประพันธ์ของ จุฬามณี  (Read 3039 times)
นักประพันธ์
นักประพันธ์
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 5,067


View Profile
« Reply #30 on: 02 March 2020, 15:39:22 »

ตอนที่ 31 : แค่อยากได้ความเมตตาบ้างก็เท่านั้น


            ๓๑


เรณูสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึก แล้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะบอกว่า

“ถ้าเป็นคนอื่นถามฉัน ฉันก็จะบอกว่าไม่ได้ทำ แต่พอดีเป็นเจ๊ถาม...แล้วดันถามเป็นคนแรกเสียด้วย ฉันก็จะตอบว่า ฉันทำ จริง ๆ”

หลังจากเรณูกล้าหาญยอมรับผิด เรื่องทำเสน่ห์ใส่ปฐมและนางย้อย หมุ่ยนี้ก็ยิ้มน้อย ๆ
สายตานั้นยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาพร้อมกับพูดว่า “ก็แค่นั้นเอง”

“เจ๊” น้ำเสียงของเรณูผะแผ่ว

“เธอต้องมีเหตุผลของเธอ เธอถึงได้ทำอย่างนั้น ถ้าอยากอธิบาย แจ้ก็ยินดีรับฟัง”

“ทำไมเจ๊ ถึงยินดีรับฟัง คำโกหกหลอกลวงของคนเลวอย่างฉัน”

“ก็เธอบอกเองว่า ถ้าเป็นคนอื่นถาม เธอก็จะไม่ยอมรับ พอดีเป็นแจ้ถาม เธอถึงยอมรับ ก็แสดงว่าเธอรักแจ้ ไว้ใจแจ้ และซื่อสัตย์กับมิตรภาพของเรา...เรณู แจ้อายุจะสี่สิบแล้วนะ แจ้เห็นคน รู้จักคนมาเยอะแยะมากมาย คนบางคนน่ะ คุยกันแค่ประโยคเดียวก็รู้แล้วว่า เป็นคนอย่างไร คบได้ไหม คนบางคนต้องคบหากันไปนาน ๆ แล้วถึงจะรู้ว่าเป็นคนอย่างไร สำหรับเราสองคน แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่แจ้ว่า แจ้ดูคนไม่ผิดหรอก คนอย่างเธอ ไม่มีทาง คิดทำร้ายใครก่อนอย่างแน่นอน เรื่องระหว่างเธอกับอาใช้ ตอนอยู่ตาคลี แจ้ไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วย แต่ที่ชุมแสง ระหว่างอาซิ่มกับเธอ แจ้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร...มันจึงไม่แปลกถ้าเธอจะทำอย่างนี้”

“ถ้าจะให้แก้ตัว ฉันก็จะบอกว่า ที่ตาคลีกับเฮียใช้ ฉันทำลงไปเพราะฉันรักเขา ฉันอยากเอาชนะเขา เอาชนะเพื่อน ๆ ที่ดูถูกเหยียดหยามว่า คนอย่างฉัน ทำอาชีพอย่างนั้น จะไม่มีวันที่คนอย่างเฮียใช้สนใจ แล้วอีกอย่างฉันก็อยากมีชีวิตเหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไป คือได้อยู่กับคนที่ฉันรัก สร้างอนาคตสร้างชีวิต มีลูกมีเต้าด้วยกัน ส่วนกับแม่ย้อย ฉันทำไปเพราะต้องการอยู่กับคนที่ฉันรักเท่านั้น ฉันไม่มีเจตนาหลอกลวงเอาทรัพย์สินอะไรของแกเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ ร้านนี้...หรือเงินลงทุนทำมาหากิน ฉันเพียงแค่อยากให้แกเมตตาฉันบ้าง แต่ฉันคิดไม่ถึงว่า ฤทธิ์ของคุณไสยมันจะทำให้แก่เปลี่ยนมาดีกับฉันถึงเพียงนี้”

“มันอาจจะไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของคุณไสยอย่างเดียวก็ได้นะเรณู...”

เรณูนิ่งฟัง....

“แต่แจ้ว่า มันก็เป็นเพราะคุณงามความดีของเธอด้วย...”

“ฉันมีความดีอะไรหรือแจ้...”

“ตอนที่ไปปากน้ำโพด้วยกัน ฉันรู้สึกว่า ยามที่เธอ ปรนนิบัติดูแลแม่ผัวเธอนั้น เธอไม่ได้ทำอย่างเสแสร้งแกล้งทำ แต่เธอทำให้ด้วยความเต็มใจ”

หมุ่ยนี้เห็นตั้งแต่ตอนนั่งรอรถไฟอยู่ที่สถานีชุมแสง ตอนนั้นมีที่ว่างแค่ที่เดียว เรณูที่ช่วยถือกระเป๋าให้รีบไปจับจอง พอนางย้อยปวดห้องน้ำ เรณูก็ไปเป็นเพื่อน ตอนลงจากสถานีรถไฟมาขึ้นเรือข้ามฟากมาตลาดปากน้ำโพ ตอนขึ้นจากตีนท่ามาบนตลิ่ง ระหว่างทางลาดชันเรณูก็ประคองนางย้อย

ตอนเดินเที่ยวงานกาชาด นางย้อยบอกว่า เห็นทีจะเดินดูนั่นดูนี่ไม่ไหวเพราะต้องเบียดเสียดกับคนจำนวนมหาศาล ขอนั่งรอ โดยปล่อยให้ คนหนุ่มคนสาวไปด้วยกัน เรณูก็ขออยู่เป็นเพื่อนไม่ทิ้งขว้างไปไหน

ช่วงที่ดูประกวดนางงาม นางย้อยบอกว่าตนเองนั้นมีปัญหาเรื่องปวดเบาบ่อย ๆ แม้ห้องน้ำจะอยู่ไกลจากเวที เรณูก็ลุกออกไปกับนางย้อยไปทุกครั้ง...คืนนั้นตอนที่ไปส่งนางย้อยที่บ้านของพี่ชายเจ๊กเซ้ง เรณูต้องไปนอนกับวรรณา ส่วนหมุ่ยนี้ จันตา และปลัดจินกร นั้นนอนโรงแรม เรณูก็ถามนางย้อยว่า จะให้อยู่นวดขาให้ก่อนไหม ดีแต่ว่านางย้อยปฏิเสธ เพราะเห็นว่าดึกแล้วอยากให้เรณูพาวรรณาที่เหนื่อยมาทั้งวันกลับไปพักผ่อน

“ก็เขาเป็นแม่ผัวฉัน...แม่ผัวก็เหมือนแม่ของตัว รักลูกเขา ก็ต้องรักแม่รักพ่อเขาด้วย อีกอย่างฉันก็นึกอยากตอบแทนเรื่องที่แกให้ทอง ให้ร้านฉัน แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คุณไสยก็ตามที”

“นั่นไง ถึงแม้เธอจะรู้ว่า ที่เธอได้อะไรต่อมิอะไรมาเพราะฤทธิ์ของคุณไสย แต่เธอก็ยังคิดตอบแทน นั่นคือเจตนาเธอไม่ได้เลวทรามแต่อย่างใด”

“แต่ฉันก็กลายเป็นคนที่คนทั้งชุมแสงมองด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย ดูถูกเหยียดหยาม ไปซะแล้ว”

“ไม่ทั้งชุมแสงหรอก...คนที่รักเธอ เข้าใจเธอ พร้อมจะให้อภัยให้เธออย่างแจ้ อย่างจันตามีมากกว่า อย่าไปสนใจอะไรมันเลย”

“แต่ถึงอย่างไรฉันก็ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ฉันก่อไว้อยู่ดี...คนจะต้องถามเหมือนที่เจ๊ถามแล้วฉันก็ต้องโกหกว่า เปล่าๆ ตลอดไป...”

“ช่วงนี้ก็อดทนเอาหน่อย เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบ เพราะชีวิตคนเราน่ะมันมีเรื่องเกิดขึ้นใหม่เรียกความสนใจทุกวันอยู่แล้ว”

“พิไลมันคงไม่ยอมเงียบด้วยหรอก...ไหนจะเตี่ย ไหนจะอาตง อาซาอีก...”

เรณูมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด...

“ตรงนั้นเธอก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้อาแปะ อาตง อาซาเห็นว่าเธอ ต้องการแค่ความยุติธรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการมากกว่านั้น และที่สำคัญ อย่าคิดทำผิดซ้ำสองอีก แล้วก็ทำดีตอบแทนเขาอย่างที่คิดไว้นั่นแหละ...มันยังจะพอลดโทษทัณฑ์ได้บ้าง”

“จ้ะเจ๊ ฉันจะพยายามทำดีกับแกให้มาก ๆ”

“แล้วเธอจะเอาของออกเมื่อไหร่”

“ก็คงอีกสักพัก รอให้เฮียใช้ปลดทหารมาก่อน รอให้มีลูกมีเต้าด้วยกันก่อน ถึงตอนนั้น สถานการณ์คงดีขึ้น...แล้วหมอที่ทำให้ แกก็บอกกับฉันว่า ถ้าฉันมีความดีเป็นของคู่ตัว ของจะยังอยู่หรือว่าหลุดแล้ว ความดีนั้นก็ยังจะเป็นเครื่องผูกมัดใจคนเอาไว้ได้....”

***************

เย็นวันนั้นกมลยังไม่ได้กลับฆะมัง เขากับเจ๊กเซ้งผู้พ่อจึงพยายามพูดคุยและสังเกตดูพฤติกรรมของแม่...ว่าคนที่ถูก ‘คุณไสย’ นั้น ความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด...ที่ว่ากันว่ารักว่าหลง จนหัวปักหัวปำนั้นจะเป็นจริงหรือเปล่า

“นี่อีพิไลมันจะไปดูแม่มันกี่วันละเนี่ย แล้วมันนึกอย่างไรถึงเอาอีปลูกไปด้วย...”

“ก็ คงอยากเอาไปเป็นเพื่อนมั้งม้า...”

พิไลบอกกับเจ๊กเซ้ง และประสงค์ว่าจะไปท่าน้ำอ้อย กับคนงานเก่าของเถ้าแก่ฮงที่ชื่อเชิด แต่พิไลก็ไม่ได้ไว้ใจนายเชิดจนกล้าพอจะไปไหนมาไหนด้วยกันเพียงสองคน พิไลจึงต้องขอให้บุญปลูกไปด้วย แต่เจ๊กเซ้ง ประสงค์ กมล ต่างปรึกษากันแล้วว่า งานนี้ ไม่ควรจะบอกไปตามความเป็นจริง กมลจึงต้องหาทางออกว่านางพิกุลเกิดเจ็บป่วยกะทันหันให้คนมาส่งข่าว พิไลจึงต้องกลับไปดูแล...

“เอาไปทำไม...เมื่อตอนวันลอยกระทงมันก็ไปคนเดียวได้”

“คงอยากพาบุญปลูกไปเปิดหูเปิดตาด้วยมั้งม้า ตอนหลังๆ เขาสนิทสนมกัน”

“เหลวไหลใหญ่แล้ว นี่ถ้าไปหลายวันก็เท่ากับว่า มันก็ได้ค่าแรงโดยไม่ต้องทำงาน”

“น่า ม้า ให้รางวัลมันบ้าง ปี ๆ มันไม่เคยไปไหนกับเขาเลย อ้อ ม้ายังไม่ได้เล่าเลยว่า ไปปากน้ำโพคราวนี้เป็นอย่างไรบ้าง...”

“ก็เหมือน ๆ เดิม จะมีอะไร”

“ว่าไปผมก็อยากไปเปิดหูเปิดตาเหมือนกันนะ หลายเดือนแล้วมั้งไม่ได้นั่งรถไฟไปไหนเลย...”

“ว่าง ๆ แกก็พาเมียไปเที่ยวซิ ไปนอนบ้านอาแปะก็ได้” พอแม่เอ่ยถึงเมีย กมลจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที...

“ม้า ม้าช่วยอะไรอาซ้อเรณูไปบ้าง”

“ก็ออกค่าเซ้งร้านให้ แล้วก็ให้อียืมทองใส่ไปอีกสองบาท มีพระเลี่ยมทองติดไปองค์ ตอนนั่งรถไฟ มา อีถอดคืนให้มาแล้ว แต่ม้าไม่เอาคืนหรอก ให้มันไปเลย...”

“ก็เท่ากับม้าให้ทองเขาสองรอบเลยซิ”

“ก็ให้มันบ้าง อย่างไรมันก็เป็นเมียตั่วเฮียของลื้อ...แต่ถ้ามันโดนจี้โดนปล้นอีก ก็คงจะไม่ให้มันแล้ว ถือว่าคอของมันไม่มีวาสนาจะได้ใส่ทอง”

“แล้วเงินค่าซื้อของเข้าร้านล่ะ ม้าได้ช่วยเขาหรือเปล่า”

“มันบอกว่า มันยังพอมีอยู่”

“เขาเอาเงินมาจากไหนรึม้า” กมลแสร้งถามจี้ ‘ปม’

“ก็ เงินเก็บของมันสมัยที่มันทำงานอยู่ที่ตาคลีนั่นแหละ มันบอกว่า ถ้า ขาดเหลืออะไร มันจะมาหยิบยืม แต่ว่า อีนี่มันคงไม่มาหยิบยืมหรอก คนอย่างมัน หยิ่งพอตัวเหมือนกัน มันว่ามันจะทำขนมขายเหมือนเดิม มันจะทำข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู มันขายได้ทั้งวัน มีคนเคยบอกม้าว่า วันหนึ่งอีนี่มันจะรวยเพราะขนม เห็นท่าจะจริง มีร้านแล้วก็นึกว่าจะเลิกทำ แต่ก็ดี ขายแค่หน้าร้าน ไม่ได้หาบไม่ได้คอนตากหน้าอย่างตะก่อน แล้วน้องสาวมันก็ดูขยันขันแข็งเชื่อฟังมันดีหรอก คงเอาตัวรอดกันได้...”

เสียงที่พูดถึงแม้จะเป็นปกติของแม่ แต่กมลก็รู้สึกว่า น้ำเสียงนั้น ‘เข้าข้าง’ ไม่มีอาการรังแครังคัดอย่างที่เคยได้ยิน...จะว่าดีก็ดี เพราะบ้านสงบ แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“แล้วนี่แกจะกลับ ฆะมังวันไหน มาสามคืนแล้วนี่นะ...พรุ่งนี้ก็กลับได้แล้วมั้ง”

“ม้าไม่คิดถึงผมหรือไง”

“คิดถึง แต่แกมีเมียแล้ว อยู่ห่าง ๆ กัน แกไม่คิดถึงเมียแกรึไง”

“ก็คิดถึง...” กมลบอกไม่เต็มเสียง

“งั้นก็รีบกลับไป ช่วยงานเขาให้เต็มที่ ม้ามีอะไรก็จะส่งข่าวไปอย่างครั้งนี้แหละ...”

“แต่ม้าควรจะไว้ใจอาซ้อพิไลเขาได้แล้วนะ ม้ารู้ไหมว่า อาซ้อเขาน้อยใจที่ม้าตามผมกลับมาเฝ้าร้านเหมือนกันนะ”

“ก็อยากไว้ใจมันหรอก...แต่คนมันทำให้เสียความรู้สึกไปแล้ว มันอดระแวงไม่ได้...”

“เสียความรู้สึกอะไรกับเขาล่ะม้า”

“ก็เรื่องสินสอดทองหมั้น เรื่องตั้งแต่สมัยแต่งงานแหละ แล้วก็เรื่องใช้เงินมือเติบ อยากกินนั่นอยากกินนี่ แล้วก็ชอบซื้อชอบจ่ายเงิน โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี คนพร้อมจะจ่าย มันต้องจ้องจะหา จ้องจะเอาไปไว้จ่าย” ว่าแล้วนางย้อยก็ถอนหายใจออกมา...กมลลอบมองหน้าเตี่ยที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบ ๆ แล้วก็บอกกับแม่ว่า

“งั้นพรุ่งนี้ บ่าย ๆ ผมกลับฆะมังแล้วกันนะม้า อยู่ช่วยม้าขายของอีกพักหนึ่งก่อนนะ”

ใจจริง เขาไม่ได้ห่วงขายของ แต่เขาอยากเห็นตอนที่แม่ของเขารู้เรื่องเรณูทำเสน่ห์เล่ห์กลใส่ปฐม ใส่ตนเอง จากปากของบรรดา ‘ผู้หวังดี’ ที่มีอยู่รอบบ้าน แม่ของเขาจะว่าอย่างไรต่างหาก

...และกมลก็อยากจะรู้ว่า งานนี้ อาซ้อเรณูจะรับมือเสียงสะท้อนกลับอย่างไร...และที่สำคัญ เขาไม่นึกอยากกลับไปที่ฆะมัง จากมาสามวันสามคืน มันไม่มีความรู้สึกคิดถึงเพียงเพ็ญเลยสักนิด...นึกแล้วกมลก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะยังนึกไม่ออกว่า เมื่อไหร่ที่เมียของเขาจะพร้อมให้เขาขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน แล้วถ้าไม่มีวันนั้น เขาจะอยู่ที่นั่นในฐานะอะไร?

*************

‘หมอบาง’ ที่ติ๋มแนะนำให้นายเชิดไปพบนั้นเป็นผู้หญิงวัยกลางคน นางเป็น ‘ร่างทรงเจ้าแม่สร้อยสุพรรณ’ เวลาที่ แขกมาให้เจ้าแม่ให้ความช่วยเหลือ แขกจะแทนตัวเองว่า ‘ลูกช้าง’

วันแรกที่นายเชิดเดินทางมาถึงตำหนักของเจ้าแม่สร้อยสุพรรณ นายเชิดก็เห็นสายธารศรัทธาในตัวเจ้าแม่ที่มีอย่างล้นหลาม ใครมาถึงก่อนจึงจะมีสิทธิ์ให้เจ้าแม่ที่อยู่ในห้องให้ความช่วยเหลือก่อน นายเชิดไปถึงท่าน้ำอ้อย ในเวลาเกือบเที่ยงวัน กว่าจะได้เข้าพบเจ้าแม่ก็บ่ายสามโมง

ระหว่างนั้นนายเชิดก็กระซิบถามคนที่มารออยู่ก่อนว่าเจ้าแม่ฯ สามารถช่วยเรื่องล้างคุณไสยแก้เสน่ห์ยาแฝดได้หรือไม่...และก็ได้รับคำตอบว่า ‘เป็นเรื่องขี้ผง’ ใจของนายเชิดจึงชื้นขึ้นมาเป็นกอง เพราะงานนี้พิไลบอกกับเขาว่า ถ้าสามารถสืบเสาะหมอดี ๆ มาแก้ไขคุณไสยที่เรณูทำได้ นายเชิดจะได้รางวัลพิเศษเป็นเงินอีก 200 บาท นอกจากเงินค่าจ้าง ที่ออกจากบ้านมาเที่ยวสืบเสาะในแต่ละคราว

นอกจากนั้น พิไลก็ยังบอกให้นายเชิดช่วย ๆ ดูเครื่องลายคราม เครื่องกังไส งานเบญจรงค์ เครื่องทองเหลืองงานโบราณตามบ้านคนรู้จักให้ด้วย ถ้าได้ของเก่าราคาไม่แพงนัก พิไลก็จะเริ่มเก็บสะสมไว้ประดับบารมีเช่นเดียวกับที่บ้านแม่ใหญ่...

หลังพบกับ ‘เจ้าแม่’ โดยจ่ายค่าครู ไปสิบสลึง นายเชิดก็เล่าเรื่องของพิไลให้เจ้าแม่ฯ ฟังคร่าว ๆ เจ้าแม่ฯ บอกกับนายเชิดว่า ถ้าจะให้ดีต้องเอาตัวคนถูกทำคุณไสยมาพบที่ตำหนัก นายเชิดบอกไปว่า คนถูกทำคุณไสยคงจะไม่ยอมมาง่าย ๆ เจ้าแม่ฯ จึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้ญาตินำเสื้อผ้าของคนถูกคุณไสย และเส้นผม หรือเศษเล็บมา ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลนั้น เจ้าแม่ฯ ไม่รับประกันเหมือนกับที่เอาคนถูกคุณไสยมาด้วยตนเอง

นายเชิดนั่งรถไฟกลับชุมแสงในคืนวันอาทิตย์แล้วดิ่งไปหาพิไลที่บ้านในตรอก บอกเล่าให้พิไลรับรู้ พิไลปรึกษากับประสงค์ แล้วก็ขอมาท่าน้ำอ้อยในเช้าวันจันทร์ โดยขอเอาบุญปลูกมาเป็นเพื่อนด้วย...ประสงค์เห็นว่ามีบุญปลูกมาด้วย จึงไม่ได้ขัดขวาง เพราะเขาเองก็อยากให้เรื่องนี้จบลงเสียโดยไว ไม่เช่นนั้นพิไลก็คงทุรนทุรายจนเสียงานเสียการ

นายเชิดพาพิไลและบุญปลูกนั่งรถไฟมาที่สถานีเนินมะกอก ต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาท่าน้ำอ้อย กว่าจะถึงก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย แน่นอนว่า คนที่รอพบเจ้าแม่ฯ นั้นมีอย่างเนืองแน่น จนกระทั่งหมดเวลาที่เจ้าแม่ฯ ลงประทับทรง

คืนนั้นพิไลจึงต้องนอนค้างที่บ้านหมอบางหนึ่งคืน โดยต้องเสียค่าอาหารเย็น ค่าที่หลับที่นอนคนละสองบาท และที่พิไลรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก คือ คนที่มาพบเจ้าแม่นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บรักษาด้วยวิธีการอาบน้ำมนต์พ่นน้ำมัน และมีเรื่องเดือดร้อนแปลก ๆ จนพิไลไม่อยากจะเชื่อว่า เจ้าแม่ฯ สามารถช่วยคนทุกข์ยากเหล่านั้นได้หมดทุกคน

***********

ระหว่างที่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน เรณูก็รู้สึกว่าวรรณานั้นเงียบขรึมไปอย่างเห็นได้ชัด...

“แกมีอะไรในใจรึเปล่า”

วรรณาละช้อนข้าวแล้วมองหน้าเรณู...เม้มปากแล้วตัดสินใจพูดว่า “ฉันได้ยินเรื่องที่พี่คุยกับเจ๊หมุ่ยนี้นะ”

เรณูฟังแล้วก็ตักข้าวเข้าปาก...เคี้ยวพลางครุ่นคิด วรรณาเห็นอาการพี่สาวเป็นดังนั้น จึงตักข้าวเข้าปากบ้าง อาการที่เคี้ยวนั้น ไม่ได้ดูเอร็ดอร่อยแต่อย่างใด...เรณูกลืนข้าวกลืนน้ำแล้วถามว่า

“ได้ยินแล้วแก รู้สึกอย่างไร”

“ถ้าเอาตามตรง ฉันก็รู้สึก...เอ่อ...” วรรณารู้สึกว่ามันพูดออกไปได้ยาก เห็นดังนั้นเรณูจึงบอกว่า

“อาย แกอาย ที่เป็นน้องสาวพี่ มาอยู่กับพี่ อายที่มีพี่ชั่ว ๆ จนไม่อยากกินข้าวด้วย”

“ฉันอายคนอื่นก็จริง แต่ฉันไม่ได้รังเกียจพี่ หรือโกรธพี่หรอกนะ...ฉันห่วงพี่ต่างหาก...ฉันคิดว่าพี่พิไลกับคนบ้านนั้น เขาคงไม่อยู่เฉย ๆ กันหรอก ป่านนี้ก็คงหาทางแก้ลำกันวุ่นแล้วแหละ...พี่ต้องระวังตัวให้ดีนะ”

“อืม” เรณูมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้ว่าหมุ่ยนี้ จันตา จะให้อภัย เห็นใจ และเข้าข้าง แต่เรณูก็ยากจะเดาใจคนจำนวนมาก

เรณูถอนหายใจออกมาอย่างแรง แล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะบอกกับวรรณาอย่างคนเด็ดเดี่ยวว่า

“อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด...เพราะที่ผ่านมา ชีวิตมันก็ไม่ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่หรอก”

แล้วเรณูก็หวนไปคิดถึงชีวิตจนยากในวัยเด็กที่ต้องอด ๆ อยาก ๆ คิดถึง ชีวิตตอนที่ไปยุ่งกับพี่เขยจนตั้งท้องแล้วพี่สายทองก็มาด่าทอตบตีจนเนื้อตัวเขียวช้ำ คิดถึงสายตาคนแถว ๆ นั้นที่มองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ว่าเป็น หญิงชั่วเพราะแย่งผัวพี่สาว คิดถึงชีวิตยามที่ต้องเดินทางกลับมาบ้านแล้วคนอื่น ๆ มองด้วยสายตาเหยียดหยามเพราะปล่อยให้ชีวิตตกต่ำจนกระทั่ง มีคำว่า ‘กะหรี่’ เป็นชื่อเล่นชื่อรอง

...ตอนนั้นก็ยังผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้เลย...ถึงจะสบตาคนได้ไม่เต็มตา ก็เชิดหน้าขึ้นแล้วปลอบใจตนเองว่า ‘ขอใครเขากินซะเมื่อไหร่’ เอาก็ได้...

“ไหนพี่เคยบอกว่าพี่มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไง อย่างไรก็อย่าปล่อยให้ชีวิตตกต่ำไปกว่าเดิม และพี่ก็ต้องไม่ลืมว่าตอนนี้ มีฉันอีกคนที่เอาชีวิตมาฝากไว้กับพี่ และพี่ ก็ยังมีไอ้ป็อกอีกคน”

“พี่ไม่ลืมหรอก” ว่าแล้วเรณูก็สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วละช้อน...แล้วลุกขึ้นยืน สีหน้าครุ่นคิด...

“พี่อิ่มแล้วเหรอ เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ”

“อิ่มแล้ว พี่จะไปโรงสีหน่อย แกอยู่ที่นี่คนเดียวได้นะ”

“ค่ำมืดแล้ว พี่จะไปทำอะไร”

“ไปทำขนมตะโก้ พรุ่งนี้ พี่จะหาบของไปขายที่หน้าตลาดสดเหมือนเดิม”

“ไหนว่าจะไม่หาบของขายแล้วไง”

“ยังเลิกไม่ได้หรอก...ถ้าพี่ตั้งรับเสียงนินทาอยู่ที่นี่ ก็เท่ากับพี่ทำผิดจริง ๆ พี่จะลุยไปในตลาดนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนตอแหลแล้ว ก็ต้องเสียงแข็งปฏิเสธข้อกล่าวหามันไปให้ถึงที่สุด...”

“มันจะดีหรือพี่”

“ดีหรือไม่ดี ก็ต้องลองดูกันสักตั้ง...”

“งั้นฉันไปด้วยนะ ถ้าให้ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว คืนนี้ ยังอยู่ไม่ได้แน่ ๆ”

ระหว่างทางที่เดินไปโรงสีแม้ร้านรวงสองฟากข้างถนนในซอยส่วนใหญ่จะปิดหมดแล้ว แต่ก็มีที่เปิดอยู่บ้าง บางร้านพอเห็นเรณูกับน้องสาวเดินถือไฟฉายก็ร้องทัก...

“จะไปไหนกันเล่า”

“ไปโรงสีจ๊ะ”

“ไปทำอะไรอีก มืดค่ำแล้ว”

“ไปทำขนมขาย อุปกรณ์ของใช้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขนมาเลยจ้า...พรุ่งนี้ถ้าจะกินตะโก ก็ไปที่หน้าตลาดนะจ๊ะ ทำไม่เยอะหรอก แค่สองสามถาด...”

หลังจากที่ตอบคำถามลักษณะนั้นสองสามเจ้า พอเดินพ้นจากตลาดมาแล้ว เรณูก็บอกกับวรรณาว่า

“คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ไม่หนีหน้าคน อย่างน้อยเราก็ยังเห็นว่า มีใครบ้าง ที่เขาไม่ถือสา ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนั้น”

“ก็อาจจะเป็นอย่างที่เจ๊หมุ่ยนี้ว่านั่นแหละ...ชีวิตคนเรามันมีเรื่องใหม่ ๆ มาเรียกความสนใจคนอยู่ตลอดอยู่แล้ว มัวไปจมปลักกับเรื่องในอดีต เป็นทุกข์เป็นร้อนไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”

********

เช้าวันรุ่งขึ้นคะเนว่าแม่ค้ามาจนเต็มพื้นที่แล้ว เรณูก็หาบขนมออกมาจากร้านท่ามกลางสายตาแปลกใจของคนส่วนใหญ่ พอมาถึงที่ที่ตนเคยวางหาบ เรณูก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำเหมือนไม่รู้ ไม่ได้ยินเสียงนินทาเมื่อก่อนหน้า

“ขนมตะโก้ของอีเรณูมาแล้วจ้า....วันนี้ ทำแค่สี่ถาดเท่านั้น มาช้าหมดอดกินกันนะจ๊ะ”

“อ้าว นึกว่าจะไม่ออกมาขายซะแล้ว”

“ทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่ออกมาล่ะ” ช่วง ๆ หลัง ก่อนจะไปปากน้ำโพ เรณูก็ขาย ๆ หยุด ๆ เพราะต้องซ่อมแซมร้าน จัดร้านรอท่าวรรณา...แล้วเรณูก็ประกาศไปแล้วว่า จะเปลี่ยนไปขายข้าวเกรียบปากหม้อกับสาคูไส้หมูที่หน้า ‘ร้านเรณูบูติค’ แทน...

“ก็แหม ก็วาสนาไปจนถึงได้สะใภ้คนโปรดเถ้าแก่ใหญ่ แล้วใยแม่ยังจะต้องมาหาบมาคอนมานั่งตากหน้าอยู่ตรงนี้อีกเล่า”

“ก็คิดถึงพวก พี่ป้าน้าอาที่นี่ไง...ก็คนเคยเห็นกัน พอไม่เห็นกัน ก็คิดถึง”

“คิดถึงจริง ๆ รึ”

“จริงซิจ๊ะ เป็นไงป้า วันนี้ขายดีไหม”

“ตอนแรกก็เงียบๆ พอแม่มา ก็เหมือนจะขายดีขึ้นมาเลย”

“เห็นไหมล่ะ ว่าฉันน่ะ ตัวเรียกแขก...ตะโก้จ้าตะโก้...ห่อละสลึงเดียวเท่านั้น”

บรรยากาศเช่นทุก ๆ เช้าที่เรณูหาบของมาขายกลับมา...จนกระทั่งตะวันขึ้นสูง เรณูที่ขายของหมดตั้งนานแล้วก็เดินดูนั่นดูนี่ พลางพูดคุยกับคนนั้นคนนี้ ซึ่งก็หนีไม่พ้น เรื่องกระซิบกระซาบถามเรื่องที่พิไลโพนทะนานั้นจริงแท้ประการใด เรณูก็ตอบไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจว่า

“ก็แหม คนมันขี้อิจฉาริษยา พอเห็นว่าฉันจะได้ดีเกินหน้า มันก็กุข่าวใส่ร้ายป้ายสี ดีแต่ที่ฉัน ไม่ได้ทำอย่างนั้น ใยฉันจะต้องอับอายหนีหน้าใครใช่ไหม”

“นั่นซินะ ถ้าแม่ทำ แม่ก็คงไม่กล้ามาเดินตลาดหรอก...”

“เพราะฉันไม่ได้ทำ ฉันถึงต้องมานี่ไง ใครๆ ก็จะได้ไม่ต้องมีเรื่องคาใจกัน...”

“แล้วนี่ แม่จะจัดการกับมันอย่างไร ตบให้คว่ำเลยดีไหม...”

“ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน...แต่ว่าใครจะไปประกันฉันออกจากคุกล่ะจ๊ะ”

***********

พอถูกถามเรื่องที่เรณูทำของใส่ทั้งปฐมและตนเอง นางย้อยก็ทำหน้าเหน็ดเหนื่อยใจ ก่อนจะบอกว่า “เหลวไหลน่า มันจะทำ ทำไม”

พอถูกถามย้อนกลับ คนที่อยากรู้ ก็ได้แต่มองหน้ากัน...เพราะอึดอัดใจที่จะพูดไปตรง ๆ ด้วยเชื่อไปแล้วว่า คนที่ ‘ถูกของ’ ย่อมเข้าข้าง ‘คนทำของใส่’ อย่างแน่นอน...แต่ถึงกระนั้นหนึ่งในนั้นก็ยังกล้าที่จะจาระไน...

“ก็ตะก่อน แม่ย้อยเกลียดมันอย่างกับอะไรดี แต่ตอนนี้ มันอย่างกับคนละคน”

“ก็นั่นมันตะก่อน”

“ก็ตะก่อนแม่ย้อยยังเป็นแม่ย้อยไง...”

“ใช่ ๆ ตะก่อน เป็นตัวของตัวเองแม่ก็เลยเกลียดมัน...พอถูกของแล้วรักใคร่เมตตามัน ความคิดมันถึงได้เปลี่ยน”

“แล้วนี่ไม่มีงานมีการจะทำกันหรือไง” นางย้อยตัดบท

“มี แต่ ฉันเป็นห่วงแม่ย้อย กลัวจะหมดตัวเพราะการนี้”

“ขอบใจ แต่ฉันสบายดี ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก”

“อย่างไรก็ไปอาบน้ำมนต์บ้างนะแม่ย้อย เขาว่ากันว่า คนถูกของน่ะดวงมันจะซวย”

หัวคิ้วของนางย้อยขมวดเข้าหากัน...กมลที่ยืนฟังความอยู่ใกล้ ๆ จึงรีบบอกว่า

“โน่น อาซ้อเรณูเดินมาโน่นแล้ว มีอะไรก็ถามกับอี ได้เลย ซิ่ม’

“ไม่ถามหรอก เกลียดขี้หน้ามัน ไปพวกเรา...เตือนด้วยความหวังดีหรอก ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจนะ” ว่าแล้วทั้งคณะก็พากันผละไป...นางย้อยถอนหายใจออกมา...แล้วก็ถามกมลว่า

“อีเรณูมันจะทำของใส่ม้าทำไม แล้วผู้หญิงกับผู้หญิงมันทำของใส่กันได้ด้วยรึ?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันม้า”

เรณูเดินหาบกระจาดมาถึง ก็ยิ้มหวานให้ป้อม จนถึงกมล และนางย้อย ที่นั่งหน้าเครียดอยู่...

“ไหนเธอบอกว่าจะเลิกหาบของขายไง แล้วทำไมยังหาบอยู่อีก” นางย้อยถามเรื่องที่ทำให้ใจขุ่นทันที

“ใจจริงหนูก็จะเลิกละจ๊ะ แต่พอมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ถ้าเลิกไป หายไปเลย คนก็จะหาว่าหนีหน้าไง สู้ออกมาประจันหน้ากัน แล้วตอบคำถามที่พวกนั้นซุบซิบกันซะเลยดีกว่า...ดูท่าแล้วมันก็ได้ผลด้วย”

กมลที่ได้ยิน รู้สึกว่าเป็นอีกครั้งที่เรณูฉลาดแก้ไขสถานการณ์...

“เข้าใจคิด...” นางย้อยเปรยออกมาเบา ๆ

“แล้วม้ากินข้าวหรือยัง เช้านี้ทำอะไรกินหรือจ๊ะ”

“ยังไม่ได้ทำ ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรกิน เช้ามาก็มาถามกันให้วุ่นวายไปหมด”

“แล้วม้าตอบไปว่าอย่างไร”

“ก็ตอบไปว่า ไม่รู้นะซิ จะให้ตอบไปว่าอะไรล่ะ”

เป็นคำตอบปัด ๆ ที่เรณูรู้สึกหายใจคล่องขึ้น...

“แล้วนี่ซาจะกลับฆะมังวันไหน”

“วันนี้ละซ้อ ตอนบ่าย ๆ ก็กลับละ”

“แล้วนี่ สายจนป่านนี้ พิไลไปไหน ไม่เห็นมาขายของ”

“ไปทับกฤช แม่เขาป่วย เลยไปเฝ้า เอาบุญปลูกไปด้วย” กมลบอกแค่นั้น เรณูก็รู้แล้วว่า พิไลคงไม่ได้ไปทับกฤชหรอก แต่จะไปไหนก็ ‘เรื่องของมัน’ เพราะมันต้องดิ้นรนรักษาผลประโยชน์ของมันเหมือนกัน...

“ม้าวันนี้ฉันทำตะโก้นะ เก็บไว้ให้ แปดห่อ” เรณูหันไปใส่ใจนางย้อยที่ยังมีสีหน้าบึ้งตึง...

พอได้ยินดังนั้น สีหน้านางย้อยก็ดีขึ้น เรณูจึงบอกว่า “เดี๋ยวหนูเอาไปจัดใส่จานให้นะ...อ้อ แล้วตะกี้ม้าบอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรกิน เดี๋ยวหนูทำให้เอาไหม ม้าอยากกินอะไร ซาอยากกินอะไรบอกมา เดี๋ยวพี่ทำให้”

“แล้วเธอไม่เปิดร้านหรือไง” นางย้อยยังคง ‘ห่วง’ ผลประโยชน์ เพราะ ถือว่า ร้านเปิดแล้ว ลงทุนไปแล้ว ก็ต้องเปิดร้านค้าขาย เอากำไร เอาทุนคืนมาก่อน...

“เปิดจ้ะ วรรณามันจัดการแล้ว แล้ววันนี้ หนูก็ได้กำไรจากขนมแล้วก็ถือว่าทำงานแล้วเหมือนกัน”

“แล้วนี่เธอจะเริ่มขายข้าวเกรียบปากหม้อเมื่อไหร่”

“ก็ว่าจะเป็นพรุ่งนี้จ้ะ...อ้อ ซา วันนี้ก่อนจะกลับฆะมังก็แวะไปให้วรรณามันวัดตัวไว้ก่อนนะ”

“วัดทำไมซ้อ”

“ก็อยากตัดเสื้อ ตัดกางเกง ให้เธอสักชุด...”

“ตัดทำไม ผมไม่ค่อยได้ไปไหนหรอก ยิ่งไปอยู่ที่โน่น ยิ่งแล้วใหญ่”

“ก็ตัดเอาฤกษ์เอาชัยให้วรรณามัน ส่วนค่าผ้าค่าตัด เธอไม่ต้องจ่ายนะ พี่ขอออกให้เธอเอง ขอตอบแทนเธอบ้างนะ อย่าปฏิเสธพี่เลย ถ้าไม่ได้เธอ พี่ก็คงเหมือนคนหัวเดียวกะเทียมลีบ”

***************************


Logged
นักประพันธ์
นักประพันธ์
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 5,067


View Profile
« Reply #31 on: 15 March 2020, 22:35:46 »

ตอนที่ 32 : ก้าน เพียงเพ็ญ และบังอร


               ๓๒


ด้วยเสื่อกก หมอน มุ้ง ผ้าห่มเป็นของที่คนหมู่มากใช้กัน จึงมีกลิ่นเหงื่อ กลิ่นยา กลิ่นเหม็นอับหมักหมม ไหนจะเสียงพูดคุย เสียงไอ เสียงลุกเดินไปส้วม กลิ่นควันยาสูบ เสียงตำหมาก พิไลจึงนอนไม่หลับ แต่ครั้นจะลุกออกจากมุ้งไปสูดอากาศข้างนอก ยุงก็ชุมเหลือเกิน

คิดแล้วพิไลก็รู้สึกแค้น 'อีคน' ที่ทำให้ชีวิตของตนนั้นต้องมายุ่งยากลำบากลำบน

พอฟ้าสาง พิไลก็รีบลุกจากที่นอน ให้บุญปลูกเก็บที่หลับที่นอน แล้วพากันเดินไปล้างหน้าที่แม่น้ำ

นายเชิดที่นอนคลุมโปงอยู่บนร้านใต้ถุนเรือนทรงไทย เห็นพิไลเดินมาทางริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเดินตามมา

"นอนหลับดีไหม คุณหนู"

"นอนไม่หลับหรอก น้า  แปลกที่ แล้วที่นี่ก็วุ่นวายกันเหลือเกิน น้าไปขอแซงคิวให้หน่อยได้ไหม จ่ายเพิ่มสักหน่อยฉันก็ยอม เดี๋ยวเราต้องไปรอรถไฟกลับชุมแสงอีกนะ ช้าไปจะไม่ทันรถ"

"เดี๋ยวผมจะลองไปพูดให้ แล้วนี่หิวข้าวไหม ไปตลาดกันไหม"

"ก็ดีเหมือนกัน"


กลับมาจากตลาด นายเชิดก็นำพิไลเข้าไปนั่งรออยู่หน้าห้อง จนสายโด่งประตูห้องก็เปิดออก คนมาเปิดประตูเรียกให้คิวแรกเข้าไปด้านใน พอพากันคลานเข้าไปแล้ว พิไลก็ได้เห็นว่า ร่างทรงของเจ้าแม่ที่มีผมหยิกหยองยาวเคลียบ่านั้น สวมเสื้อลูกไม้สีแดวสด นั่งหันเข้าโต๊ะหมู่ที่มีรูปปั้นเทวดา พระยม พระพรหม ท้าวกุเวร เศียรพ่อแก่ กุมารกุมารี แวดล้อมองค์เทพนารีซึ่งองค์ใหญ่เด่นสง่าเหนือรูปอื่นใด คนเปิดประตูเป็นชายสวมชุดดำไว้หนวดไว้เคราบอกให้ 'ลูกช้าง' ก้มกราบ 'เจ้าแม่' คนละสามรอบ

หลังเงยหน้าขึ้น ร่างทรงเจ้าแม่ก็ถามด้วยเสียงโทนต่ำโดยไม่ได้หันมาดู 'ลูกช้าง' สักนิด

"ได้ของที่สั่งให้เอามาไหม"

"ได้มาครับ" นายเชิดเป็นฝ่ายตอบ

"งั้นเอาเสื้อผ้าของคนถูกของวางบนพาน แล้วเส้นผมกับเล็บล่ะ เอามาด้วยรึเปล่า"

"ได้มาแต่ผม เล็บไม่ได้ ห่อใส่กระดาษมา"

"เอาวางไว้ด้วยกัน"

พอเสื้อผ้าและเส้นผมของนางย้อยที่ไปเก็บจากที่นอนและหวีอยู่บนพานแล้ว เจ้าแม่ก็ให้บริวารส่งพานทองเหลืองไปให้ ร่างทรงเจ้าแม่บริกรรมคาถาสวดภาวนาอยู่อึดใจใหญ่ ๆ  เจ้าแม่ก็หันมาสบตากับพิไล ซึ่งไม่กล้ามองเจ้าแม่เต็มตาตานัก เพราะกลัวเจ้าแม่ที่แต่งหน้าจนเข้มจัดนั้นหยั่งรู้ใจตน

"นังคนนี้ใช่ไหมที่เป็นลูกสะใภ้คนถูกของ"

"ใช่จ้ะ"

"ลักษณะมึงดี ผัวมึงดี มึงจะได้บุตรดี ต่อไปมึงจะรวยมาก รวยแล้วก็อย่าลืมกูละ"

"ไม่ลืมหรอกจ้ะ ขอให้เจ้าแม่ช่วยได้เท่านั้น" พอถูกชมพิไลก็เสียงอ่อนเสียงหวาน

"กูช่วยได้อยู่แล้ว แต่มึงต้องช่วยกูด้วย"

"จะให้ฉันช่วยอย่างไรบ้าง"

"ถ้ามึงไม่เอาคนถูกของมา มึงก็ต้องมาหากูอีกหลาย ๆ รอบ มึงจะมาได้ไหมล่ะ"

"มาได้"

"ถ้าอย่างนั้นมึงก็จ่ายค่าครูมา"  ว่าแล้วเจ้าแม่ก็หยิบพานทองเหลืองที่ผ้าของนางย้อยมาตรงหน้า พิไลสงสัยว่าค่าครูนั้นเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยถาม บริวารของเจ้าแม่ก็บอกว่า

"ค่าครูร้อยนึง"

"ทำไมมันแพงจังเลย คนอื่น ๆ ฉันเห็นเสียกันแค่สิบสลึง บางคนก็บาทสองบาท" พิไลถามอย่างไม่เกรงใจ

"ก็คนอื่นเขาเจ็บไข้ได้ป่วยมา ก็มีแค่ค่าครูกับค่ายา ส่วนของมึง งานมันใหญ่ เจ้าแม่ต้องรบรากับคนทำของใส่ให้แม่ผัวมึงอีกไม่น้อย ดีไม่ดี ถ้าของเขาแรง ร่างทรงเจ้าแม่จะแย่เอาได้"

พิไลเหลือบมองนายเชิดที่ยิ้มแหย ๆ ให้

"ว่าไง จะจ่ายหรือไม่จ่าย ไม่จ่ายก็กลับไป คนอื่น ๆ รออยู่อีกเพียบ"

"ถ้าจ่ายไปแล้วไม่เห็นผลล่ะ" จำนวนเงินที่มากโขทำให้ศรัทธาในองค์เจ้าแม่เริ่มคลอนแคลน

"คราวแรกนี่ไม่เห็นผลหรอก เจ้าแม่ท่านก็บอกไปแล้ว ว่ามึงต้องมาอีกหลายรอบ มึงไม่ได้ยินหรือไง"

"กี่รอบล่ะ และแต่ละรอบก็จ่ายครั้งละร้อยบาทใช่ไหม"

"ไม่รู้ แล้วแต่สถานการณ์ อาจจะมากบ้างน้อยบ้างก็สุดแต่ว่างานมันยากหรือมันง่าย"

"เอาไงดีล่ะ น้าเชิด" พิไลหันไปถามผู้มีอาวุโสกว่า

"ผมว่าจ่ายไปเถอะครับ คุณหนู ถ้าไม่ดีจริง คนทางตาคลีคงไม่แนะนำมาหรอก แล้วคุณหนูก็เห็นแล้วนี่ว่าถ้าเจ้าแม่ไม่แน่จริง คนไม่รอเข้าพบเจ้าแม่กันขนาดนี้หรอก"

พิไลสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึก ก่อนจะบอกอย่างตัดใจว่า "ก็ได้"  แล้วพิไลก็เปิดกระเป๋าหยิบแบงก์ ๒๐ บาท ออกมาจากกระเป๋า ๕ ใบ วางลงบนเสื้อผ้าและห่อกระดาษใส่เส้นผมของนางย้อย...ด้วยใจที่รู้สึกว่า 'โคตรเสียดาย' แต่ถ้าไม่จ่าย ไม่ลงทุน เห็นทีจะเสียหนักกว่านี้

พอเจ้าแม่ยกถาดแล้วหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะหมู่ พิไลที่ยังไม่คลายความเสียดายเงินก็พึมพำอยู่ในใจว่า
'อีเรณูนะอีเรณู เป็นเพราะมึงคนเดียวกูถึงต้องเดือดร้อน เสียเวลา เสียเงินเสียทอง อีเวร!'

**********

พอฟังเรื่องที่ติ๋มตัดทอนเฉพาะที่ว่าพิไลคู่สะใภ้ของเรณูให้นายเชิดมาสืบเสาะหาหมอเสน่ห์เก่ง ๆ เพื่อถอนเสน่ห์ให้นางย้อยแล้วบังเอิญมาเจอติ๋มเสียก่อน แล้วติ๋มก็แนะนำให้นายเชิดไปหา 'หมอบาง' ที่ท่าน้ำอ้อย ประนอมก็หัวเราะเสียงดัง

"มึงนี่มันเลวได้ใจกูจริง ๆ"

"แสดงว่า บุญของอีณูมันยังมีอยู่บ้างหรอก ถ้าน้าเชิดมาเจอคนอื่นก่อน ป่านนี้ก็คงไปถึงหมอก้อนแล้ว"

"แล้วมึงคิดรึว่าหมอก้อนจะเอาออกให้"

"ถ้าเงินมันมากกว่าที่เราจ่ายให้ไป แกก็ต้องเอาทางนั้น แล้วเราก็ไม่ได้คิดไว้กันนี่ ว่าอีพิไลมันจะหัวเร็วขนาดนี้ ฉันละยอมรับในเชาวน์ปัญญามันจริง ๆ"

"แล้วนี่ อีพิไลมันจะถูกอีบางหลอกกินเงินกี่รอบล่ะเนี่ย"

"ฉันเดาว่า กว่ามันจะหูตาสว่างก็คงอีกนานละ อีบางนั่นมันก็ฉลาดเป็นกรด แหม มีวิชาความรู้แค่หมอยากลางบ้านที่พ่อมันสอนไว้ พอได้ผัวแนะลู่ทางทำมาหากินบนความทุกข์ยากของคนโง่เข้าหน่อย มันก็กลายเป็นเจ้าแม่ขึ้นมาทันทีเลย คนอย่างอีพิไล มันต้องเจอกับคนอย่างอีบางกับไอ้หนวด มันถึงจะสาสมกัน"

"แล้วนี่มึงจะไปบอกอีเรณูมันไหมล่ะ ถ้ามันรู้ว่ามึงช่วยมันไว้ มันคงจะกราบขอบคุณมึงงาม ๆ เป็นแน่"

"ก็อยากไปอยู่นะ แต่ไปแล้วกลัวอีย้อยมันจะลมขึ้นเพราะเห็นพวกกะหรี่อย่างพวกเราน่ะสิ"

"อีบ้า มึงลืมไปแล้วรึไง ว่าตอนนี้มันหลงอีณูอยู่ ถ้าอีณูมันบอกว่านกเป็นไม้ อีย้อยมันก็ไม้แหละ แล้วกะหรี่อย่างพวกเราก็จะกลายเป็นเทพีในสายตามันทันที"

"ใช่ ๆ  ว่าไปก็น่าไปดู คนเราพอรักกันซะแล้ว ไอ้ที่ว่าทำอะไรก็ดีงามไปหมดมันเป็นอย่างไร คงจะน่าขันพิลึกเนอะ" ว่าแล้วมุมปากของติ๋มก็กระตุกเพราะสาแก่ใจ

"งั้นไปกัน"

"อย่าเพิ่งไปเลย ฉันยังไม่อยากเห็นหน้าอีย้อยในตอนนี้"

"มึงเกลียดมันขนาดนั้นเลยรึ"

"ไม่ได้เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้ามันหรอก แต่ถ้าต้องเห็น ก็อยากเห็นตอนที่มันจมอยู่ในห้วงความทุกข์ยาก ลำบากทั้งใจและกาย เหมือนที่พวกฉัน เหมือนที่คนอื่นเคยต้องลำบากเพราะมันก็เท่านั้นเอง!"

**********

เพราะเรณูอ้างถึงความหลังครั้งเก่า ทำให้กมลยากจะขัดศรัทธา ก่อนจะนั่งเรือกลับฆะมัง เขาจึงต้องเดินมายังร้านเรณูบูติกที่มีวรรณาเป็นช่างประจำร้าน  พอถึงหน้าร้าน เขาก็พบว่าจันตานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวชิดผนังด้านขวาของร้าน พอสบตากันเขาก็ยิ้มน้อย ๆ ให้  เช่นเดียวกับจันตาที่ยิ้มแล้วหลบสายตาของเขา

"อาซ้อกับวรรณาไปไหนซะล่ะ"

"วรรณากินข้าวอยู่ในครัว พี่เรณูไปโรงสี เห็นว่าจะไปปอกมะพร้าวมาทำขนมขายพรุ่งนี้" เป็นครั้งแรกที่จันตาพูดยืดยาวกับกมล

"แล้วจันตามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้" ถามแล้วเขาก็เห็นว่าในมือของจันตานั้นมีหนังสือแฟชั่นผู้หญิง

"อาม่านอนหลับ เจ๊หมุ่ยนี้ให้มานั่งเล่นที่นี่น่ะ"

"นั่งเล่น" เขาถามซ้ำ

"ก็มาดูวรรณาเขาทำงานน่ะ เผื่อจะชอบงานแบบนี้บ้าง"

"แล้วชอบไหมล่ะ"

"รู้สึกว่ามันยุ่งยากเหมือนกัน"

"มีคนมาประเดิมให้เขาแล้วรึ"

"มีแล้ว หลายคนแล้ว พี่เรณูเขาเก่ง เขาคุยอวดฝีมือวรรณาไปทั่ว วันนี้มีคนมาวัดตัวเลือกผ้าตัดเสื้อห้าหกคนแล้วมั้ง"

"แต่วรรณาเขาก็ฝีมือดีจริง ๆ  ดูจากชุดที่จันตากับหมุ่ยนี้ใส่วันนั้นสิ" พอพูดไปแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า รูปถ่ายวันแต่งงานที่ไม่ใช่รูปในพิธีนั้น เขาจะคัดออกแล้วก็เก็บไว้ที่นี่ ใส่ในกล่องรวมกันไว้กับรูปอื่น ๆ ที่ได้ไป

ก่อนจะกลับมาคราวนี้ เขาเปิดกล่องดู เห็นรูปเรณู หมุ่ยนี้ และจันตาที่มงคลอัดไว้ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกสะกดสายตาไว้อย่างนั้น จนจำได้ว่าชุดทันสมัยที่จันตา สวมวันนั้น มันทำให้รูปร่างของจันตาดูแปลกไปอย่างไร พอรู้ตัวว่าจะเผลอเผยความรู้สึกออกไป เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

"จันตา สบายดีนะ"

"สบายดีจ้ะ เฮียล่ะ สบายดีรึเปล่า"

"ก็...สบายดี  แล้วนี่...จันตาจะแต่งงานกับคุณปลัดเมื่อไหร่ล่ะ"

"ยังไม่มีกำหนดเลย" จันตาตอบเบา ๆ

"ถ้าแต่งเมื่อไหร่ก็ส่งข่าวแต่เนิ่น ๆ นะ จะได้มาใช้แรง"

"จ้ะ" จันตาตอบไปสั้น ๆ  พอดีกับที่วรรณาเดินออกมาจากหลังร้าน กมลจึงบอกจุดประสงค์ที่มาที่นี่ให้วรรณาที่รู้อยู่แล้วเร่งวัดตัวให้เขา เพราะเขาจะต้องรีบไปลงเรือโดยสารกลับฆะมัง

ช่วงที่หมุนตัวให้วรรณาวัดส่วนสัดอยู่นั้น เขารู้สึกว่าสายตาของจันตาที่ลอบมองเขาอยู่นั้น เป็นไปอย่างพินิจพิจารณาในสรีระของเขา แม้จะไม่กล้าหันไปสบตาคู่สวยที่ตรึงหัวใจเขาได้ทุกคราวที่เห็นกัน แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ตัวเขาเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวที่เขายอมรับกับตัวเองอย่างไม่ต้องอายใครว่ารู้สึกคิดถึงมากกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเมียเขาเสียอีก

**********
       
แม้จะเคลิ้ม ๆ ไปกับเสียงกล่อมของผู้เป็นอา แต่เพียงเพ็ญก็ยังไม่ล้มเลิกเรื่องที่จะพบหน้าก้านเสียก่อนให้ได้ 

วันรุ่งขึ้นรอจังหวะนางแรมเผลอ เพียงเพ็ญก็เดินตัดสวนกลับไปที่บ้านของก้านอีกครั้ง แต่ไปคราวนี้ เพียงเพ็ญต้องเห็นภาพบาดตาตำใจ เพราะก้านที่กำลังนำผ้าห่ม ปลอกหมอน มุ้ง ขึ้นราวตากแดดนั้นอยู่กับบังอร

เห็นแวบแรก เพียงเพ็ญก็มั่นใจในคำพูดของนางศรีที่ว่า ก้านกับบังอรนั้นมีอะไรกันไปถึงไหน ๆ แล้ว
พอก้านหันมาเห็นเพียงเพ็ญ ก็มีสีหน้าเจื่อนลง แล้วอุทานเบา ๆ

"เพ็ญ"

เพียงเพ็ญที่อารมณ์หึงหวงระคนน้อยใจ มองก้านด้วยน้ำตาคลอลูกนัยน์ตา และก่อนที่น้ำตาจะไหลให้ได้อาย เพียงเพ็ญก็หันหน้าเดินกลับไปตามทางที่เดินมา ก้านกรากตามไปโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของบังอร  พอเดินมาทันกัน ก้านก็ฉุดแขนของเพียงเพ็ญไว้ เพียงเพ็ญหันมาได้ก็ทุบตีที่หน้าอก ตบหน้าของก้านเป็นพัลวัน ก้านไม่ได้หลบเลี่ยงฝ่ามือที่โหมกระหน่ำใส่ร่างกายและใบหน้าของตนแต่อย่างใด พอเห็นเพียงเพ็ญได้ระบายจนหนำใจแล้ว ก้านก็รวบร่างของเพียงเพ็ญมากอดไว้แล้วบอกว่า

"เพ็ญจ๋า...เพ็ญ...ฟังพี่ก่อน"

"ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ไหนพี่ว่าจะรอฉัน จะไม่รังเกียจหากว่าฉันจะกลายเป็นแม่หม้ายผัวทิ้ง แล้วทำไม...พี่ถึงได้ทำอย่างนี้ ทำไม!"

"พี่...พี่"

"พี่รู้ไหมว่าฉันเจ็บแค่ไหนที่รู้ว่าพี่กับอีบังอรไปถึงไหน ๆ กันแล้ว"

"แล้วทีเอ็งทำพี่เจ็บล่ะ"

"ฉันรู้ว่าฉันทำพี่เจ็บก่อน แต่ฉันก็รักษาเนื้อตัว ไม่ให้อาซาเขามาข้องเกี่ยวรอพี่ได้ เพราะฉันคิดว่า อีกไม่เท่าไหร่หรอก ฉันกับเขาก็จะต้องเลิกกัน แล้วทีนี้ ใครก็มาขัดขวางความรักของเราไม่ได้ แต่พี่...พี่ทำอย่างนี้ไปซะแล้ว แผนที่ฉันวางไว้มันจะเป็นอย่างไรล่ะทีนี้"

"เอ็งยังไม่ได้ยุ่งกับอาซาจริง ๆ รึ เพ็ญ"

"ก็ฉันท้องอยู่กับพี่...ฉันจะยอมนอนกับเขาให้มีราคีคาวซ้ำซ้อนทำไมล่ะ ฉันก็คนนะ ฉันคิดเป็นหรอกว่าคนที่ต้องเป็นแม่คนน่ะ ควรทำตัวอย่างไร แต่พี่กลับไม่รักษาสัญญา ห่างกันไม่กี่วัน พี่ก็เป็นอื่นไปซะแล้ว"

ระบายจนหมดสิ้นแล้ว น้ำตาของเพียงเพ็ญก็นองไหลอาบแก้ม ก้านเห็นดังนั้นจึงกอดรัดเพื่อปลอบขวัญจนแน่นขึ้น ยากจะแก้ตัว เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าที่เผลอไปยุ่งเกี่ยวกับบังอรนั้น ตนเองมีจุดมุ่งหมายอะไร

"พี่ก้าน" เสียงบังอรทำให้ก้านคลายอ้อมแขน เพียงเพ็ญผละจากอกของก้านแล้วเชิดหน้าขึ้น

"พี่เพ็ญ เจอหน้ากันก็ดีแล้ว ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่กับพี่ก้านมีอะไรกันนะ แต่ที่ฉันรู้ ตอนนี้พี่แต่งงานไปแล้ว และพี่ก้านก็เป็นผัวของฉันแล้วด้วย เพราะฉะนั้น พี่เลิกยุ่งกับพี่ก้านแล้วรีบกลับบ้านไปซะเถอะ"

"บังอร" ก้านหันมาขึ้นเสียงใส่เพราะไม่คิดว่าอารมณ์หึงหวงของบังอรจะมากถึงเพียงนี้

"อย่าให้ฉันต้องเอาเรื่อง...ที่พี่คบชู้สู่ชายไปโพนทะนาให้คนทั้งฆะมังรู้เลยนะ กลับบ้านพี่ไปซะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก่อน"

เพียงเพ็ญมองหน้าบังอรแล้วกัดฟันกรอดก่อนจะบอกว่า

"มึงอย่าคืดนะว่าจะแย่งของรักของกูไปได้"

"รึพี่จะเอาเขาคืน กล้าไหมล่ะ ถ้ากล้าก็ต้องสู้กันสักตั้ง"

"บังอร" ก้านถลึงตาให้

"ไป...พี่ก้าน...กลับบ้าน งานแต่งของเรายังต้องมีเรื่องคุยกันอีกยาว" ว่าแล้วบังอรก็ดึงแขนของก้านให้เดินตามตนเองไป เพียงเพ็ญมองอาการละล้าละลังของก้าน ก็ได้แต่กำมือแน่นแล้วก็กัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ

พอก้านนั้นแข็งขืนแล้วสะบัดแขนออก...บังอรจำต้องปล่อยมือที่จับและจูงแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

“บังอร...เอ็งทำไมถึงได้เป็นคนอย่างนี้ มันไม่น่ารักเลยรู้ไหม” ก้านว่าให้

“คนที่จะเสียผัวไป มีใครเขาทำตัวได้น่ารักกันได้ล่ะ...”

“แต่พี่เพ็ญเขามาก่อน”

“มาก่อนแล้วไง พี่อย่าลืมว่ามันแต่งงานกับผู้ชายอื่นไปแล้ว มันทำพี่เจ็บ ทำให้พี่ต้องอับอายคนทั้งฆะมัง พี่จะยังไปรักใคร่ไยดีมันทำไม ถามหน่อยเถอะ ที่มันแรด ๆ หลบผัวมันมาหาพี่นี่ มันมีจุดหมายอะไร”

ก้านยืนนิ่ง...

“มันต้องการอะไร บอกฉันมาซิ ถึงมันจะเคยมีอะไรกับพี่ แต่ตอนนี้มันก็ไม่ควรกลับมาหาพี่อีก เพราะมันมีผัวไปแล้ว ถ้ามันเลิกกับผัวแล้วกลับมาหาพี่ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แต่นี่พี่กำลังจะกลายเป็นชายชู้... ฉันรักฉันห่วงพี่นะ ฉันถึงต้องตามมาช่วยเหลือพี่ แล้วฉันก็เป็นเมียพี่แล้วเหมือนกัน ทำไมฉันถึงไม่มีสิทธิ์หึงหวงคนที่จะมายุ่งกับผัวฉัน”

“แต่พี่เพ็ญ เขาก็เป็นเมียพี่”

“ก็แค่อดีต...”

“เขาก็ตั้งท้องลูกของพี่อยู่ด้วย”

“อะไรนะ!”

“เอ็งฟังไม่ผิดหรอก ตอนนี้เขาท้องกับพี่ เขาถึงต้องหวนกลับมาหาพี่”

“แล้วผัวที่เพิ่งแต่งไปนั่นล่ะ มันจะทำอย่างไรกับไอ้ลูกเจ๊กนั่น”

“เดี๋ยวเขาก็เลิกกัน”

“มันมาบอกพี่ว่า เดี๋ยวมันจะเลิกกับผัว แล้วจะกลับมาหาพี่งั้นรึ...มันไปนอนกับผู้ชายอื่นแล้วพี่ยังจะรับได้อีกรึ”

“เขายังไม่มีอะไรกัน”

“ยังไม่มีอะไร ยังไม่ได้นอนด้วยกันใช่ไหม...จ้างฉันไม่เชื่อหรอก คนอยู่ห้องเดียวกัน มันจะอดใจได้อย่างไร ถ้ามันอดใจได้ มันก็มีแต่ควายเท่านั้นแหละ"

“อย่าเอาความคิดของเรา ไปตัดสินคนอื่น” ก้านว่าให้

“ไม่รู้ อย่างไรฉันก็จะต้องแต่งกับพี่...ตามที่คุยกันแล้วให้ได้...ถ้ามันจะกลับมาหาพี่ มันก็ต้องเป็นเมียน้อย แต่คนอย่างมัน คงไม่ยอมกินน้ำใต้ศอกใครหรอก แต่ฉันก็ไม่ยอมเสียตัวให้ใครเปล่าๆ ปรี้ ๆ เหมือนกัน...อ้อ ฉันจะบอกอะไรให้นะ...เรื่องเงินสินสอดทองหมั้นที่ฉันบอกพี่ว่าแม่จะให้มากันอาย อัฐยายซื้อขนมยายน่ะ มันไม่ใช่ของแม่ของพ่อฉันหรอกนะ...พี่อยากรู้ไหมว่าเป็นของใคร”

“ของใคร!”

“ของกำนันศร”

คำๆ นั้นเหมือนหินก้อนใหญ่หล่นทับก้านอีกครั้ง...

“หมายความว่าอย่างไร บอกมา” ก้านคว้าแขนของบังอรเขย่าถามด้วยเสียงขึงขัง แต่บังอรที่ความหึงหวงครอบงำจิตใจของตนเสียแล้วหาได้เกรงกลัว...เพราะถ้าก้านจะทิ้งขว้างตนกลับไปหาเพียงเพ็ญ ชีวิตของก้านกับอีเพ็ญก็จะต้องไม่มีความสุขตลอดไป! เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับอีบังอร

“เร็วบอกมา เอ็งไปคุยอะไรกันมา เขาถึงได้ให้เงินมา” ก้านกัดฟันกรอด

“ฉันไม่ได้ไปคุยอะไรกับทางนั้นหรอก แต่ทางนั้นเขาวิ่งเข้ามาหาฉันเอง เขาคงรู้อยู่หรอกว่า แม่ลูกสาวตัวดีของเขาคิดจะทำอะไร เขาก็เลยต้องปิดทางนี้ไว้ ให้พี่มีเมียให้เป็นเรื่องเป็นราวไปซะ โดยยอมเสียเศษเงิน เพื่อรักษาเงินก้อนใหญ่ รักษาหน้าตาไว้ ก็เท่านั้นแหละ...พี่เป็นคนฉลาด พี่คงเข้าใจที่ฉันพูดนะ...”

เมื่อรู้ว่าถูกหยามศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ ก้านก็กัดฟันกรอด...ก่อนจะผละเดินกลับบ้านไปโดยไม่ได้เห็นหรอกว่าสีหน้าของบังอรนั้นเป็นเช่นไร...

***********

‘ตอนนี้ ใคร ๆ ก็รู้กันว่าอีบังอรมันเดินขึ้นเดินลงบ้านนั้น อยู่ปรนนิบัติดูแลป้ากุ่นจนค่ำมืดดึกดื่น เพราะมันอยากได้ไอ้ก้านทำผัว...แล้วคนเข้าตาจน คนที่กำลังจะจมน้ำตาย กำลังหาเงินรักษาแม่ตัวเป็นเกลียว มันไม่โง่ปล่อยขอนไม้ให้ลอยน้ำผ่านไปหรอก รู้ไหมว่า มันมีอะไรกับอีบังอรไปแล้ว’

‘พี่เพ็ญ เจอหน้ากันก็ดีแล้ว ฉันไม่รู้หรอกว่า พี่กับพี่ก้าน มีอะไรกันนะ แต่ที่ฉันรู้ ตอนนี้ พี่แต่งงานไปแล้ว และพี่ก้านก็เป็นผัวของฉันแล้วด้วย เพราะฉะนั้น พี่เลิกยุ่งกับพี่ก้าน แล้วรีบกลับบ้านไปซะเถอะ’

‘ถ้าว่ากันตามจริงแล้วอีบังอร ถึงมันจะแรด แต่มันก็ไม่ได้แย่งผัวใคร ไอ้ก้านมันเป็นโสด ต่างคนต่างเป็นโสด ก็มีสิทธิ์ที่จะแต่งงานกัน…มาที่เรื่องของหนูกับพ่อซา...ก็อย่างที่พ่อเขาบอกนั่นแหละ มันยังไม่สายที่จะเปลี่ยนใจ เพราะจะยอมเป็นเมียเขาหรือไม่ยอม อย่างไร พวกเราทั้งหมดก็ได้ขึ้นชื่อว่า ย้อมแมวขายเขาไปแล้ว ถ้าเขามารู้ทีหลัง อย่างที่หนูอยากให้เขารู้ อาบอกเลยว่า แม่ย้อยปากอย่างกับตะไกร ถ้าแม่ไม่ตามมาด่าถึงที่นี่ หรือไม่เอาพวกเราไปประจานที่ตลาดให้ได้อับอาย จนไปเหยียบที่ชุมแสงอีกไม่ได้ ไม่ต้องมาเรียกอา ว่าอา และที่สำคัญ...เป็นลูกผู้หญิง ใคร ๆ ก็อยากได้ตำแหน่งเมียหลวง เมียแต่งกันทั้งนั้นแหละ...ถ้าวกกลับไปหามัน ก็เท่ากับว่า ต้องกลับไปกินน้ำใต้ศอกอีบังอร...’

‘อย่าให้ฉันต้องเอาเรื่อง ที่พี่คบชู้สู่ชายไปโพนทะนาให้คนทั้งฆะมังรู้เลยนะ กลับบ้านพี่ไปซะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก่อน’

‘ตอนนี้ หนูเป็นเมียพ่อซา...เชื่ออา พ่อซาเขากลับมา ก็ให้เขาขึ้นมานอนบนเตียงซะ ปรนนิบัติเอาใจเขาไว้ ลูกในท้องจะได้มีปู่กับย่าเป็นเถ้าแก่ใหญ่ในตลาดชุมแสง...'

‘รึพี่จะเอาเขาคืน กล้าไหมละ ถ้ากล้า ก็ต้องสู้กันสักตั้ง’

เสียงสองเสียง ยังก้องอยู่ในหูของเพียงเพ็ญ จนทำให้หญิงสาวเกิดความเครียด...ใจหนึ่งก็คล้อยตามความคิดของอาศรี แต่อีกใจ เพียงเพ็ญก็ยังกังวลเรื่องที่จะแปดเปื้อนราคีคาวให้ซ้ำซ้อน เพราะถ้าวันหนึ่ง ความแตกขึ้นมา เพียงเพ็ญไม่มั่นใจว่า ไอ้เจ็ดแปดเดือนที่พ่อว่านั้นจะสามารถเหนี่ยวรั้งกมลไว้ได้หรือเปล่า... ถ้ากมลไม่ใช่คนหัวอ่อนอย่างที่พ่อคาดคิด ก็เท่ากับว่า เธอต้องเสียทั้งก้าน และเสียผัวที่นอนซ้ำรอยก้านไปอีกคน

ทีนี้เอง...มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ นางวันทองสองใจ เพราะถ้าจะหวนกลับไปหาก้านอีก มันก็ยากจะอวดอ้างคุณความดีของตน...ทำไมเรื่องมันถึงได้พลิกมาเป็นอย่างนี้...

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้เพียงเพ็ญ ที่ขังตัวเองอยู่ในห้องนับตั้งแต่วันอาทิตย์หันไปมอง...

“หนูเปิดประตูให้ป้าหน่อย...”

“มีอะไรรึป้า”

“ทำไมไม่ออกมากินข้าวกินปลา มีอะไรหรือเปล่า เป็นอะไรหรือเปล่า”

“หนูไม่หิว”

“ไม่หิวได้ไง หนูไม่กินข้าวกินปลามาสองวันแล้วนะ ไม่ห่วงตัวเองก็ ห่วงลูกในท้องบ้าง”

“หนูไม่หิว” เพียงเพ็ญบอกเสียงห้วน แต่นางแรมก็ยังไม่เลิก

“ไม่หิวก็มาเปิดประตูให้ป้าหน่อย ขอป้าเข้าไปดูหน่อยซิ ว่าตัวร้อนเป็นไข้ไม่สบายหรือเปล่า”

เพื่อตัดรำคาญ เพียงเพ็ญจึงลุกไปปลดกลอนแล้วเดินกลับไปยืนนิ่งที่หน้าต่าง...มองผ่านลูกกรงออกไปข้างนอก นางแรมเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ยังเซ้าซี้ว่า

“ออกไปกินข้าวซะหน่อยนะ ป้าทำต้มยำปลาช่อนใส่หัวปลีที่หนูชอบไว้หม้อเบ่อเริ่มเลย แล้วก็ยังมีกล้วยบวชชีอีกหม้อ เมื่อวานจุกมันตัดกล้วยสุกคาต้นมาให้”

เพียงเพ็ญหันกลับมามองนางแรม แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา...นางแรมจึงตกใจเป็นอย่างมาก...

“เป็นอะไร มีอะไรรึ”

“พี่ก้าน พี่ก้าน เขา เขาเป็นอื่นไปแล้วป้า เขากำลังจะแต่งงานกับอีบังอร”

“ก็หนูเองก็มีผัวแล้วเหมือนกัน จะไปสนใจอะไรมันอีกล่ะ”

“แต่ลูกในท้องหนูมันลูกเขานี่ป้า...แล้วหนูกับอาซาของอาศรี ก็ยังไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันเลย ป้าก็รู้”

“ก็เขากลับมา ก็ยอมนอนกับเขาเสียซิ ยุ่ง ๆ กันไปซะ มันจะได้หมดเรื่องไป” นางแรมคิดง่าย ๆ

“แต่ถ้าเขามารู้ทีหลัง ว่าหนูท้องก่อนแต่งกับเขาล่ะป้า เรื่องมันจะไม่ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่รึ...แล้วถ้าเขาจะเลิกกับหนู จะกลับบ้านเขา เราก็จะไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรเขาได้ เพราะเราผิดอยู่เต็มประตู แล้วทีนี้เอง หนูก็จะกลายเป็นผู้หญิงมีผัวสองคน”

“โถ...แม่คุณ ทำไมถึงได้คิดมากถึงเพียงนี้...คนอื่น ๆ เขามีผัวสี่คน ห้าคน ก็ยังไม่เห็นเป็นไรกัน แค่ผัวสองคนนี่ก็ยังนับว่าน้อยอยู่นะ”

“ป้าไม่เคยมีผัว ไม่เคยมีความรัก ป้าไม่รู้หรอก แล้วที่สำคัญหนูท้องแล้ว หนูเป็นแม่คนแล้ว หนูจะคิดน้อย ๆ ไม่ได้แล้วป้า...”

“นี่ตกลงที่แม่ศรีเขามาเกลี้ยกล่อมวันนั้นมันจะไม่ได้ผลใช่ไหม”

“หนูรู้สึกอาย...อย่าให้หนูต้องทำผิดซ้ำซ้อนเลยนะ นี่หนูยังคิดว่า ถ้าอาซาเขากลับมา หนูจะสารภาพบาปกับเขา”

“ฮ้า...”

“ถ้าเราคุยกับเขาดี ๆ ถ้าเขารับได้ ให้อภัยได้ รอให้หนูคลอดลูกก่อนได้ มันก็ดีไปไม่ใช่รึป้า แต่ถ้าเราไปหลอกให้เขามานอนด้วย เพราะหวังให้เขารับเป็นพ่อของลูกในท้อง แล้ว ถ้าวันหนึ่งความแตก เขาจะไม่ยิ่งโกรธเกลียดเรารึป้า...หนูคิดอย่างนี้นะ”

“มองมุมนี้มันก็จริง...แต่ถ้าเขารู้แล้ว เขากลับชุมแสงไปเลยล่ะ...”
“ก็ต้องปล่อยเขาไป”

“แม่ย้อยได้กลับมาฉีกอกทางนี้แน่ ๆ”

“เขาคงไม่บอกแม่เขาหรอก หนูจะขอไม่ให้เขาบอกแม่เขา ก็บอกไปว่า เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”

“หนูก็จะกลายเป็นแม่หม้ายผัวทิ้ง มีลูกติดอยู่คนนะ แล้วพ่อของลูกมันก็กำลังจะแต่งงานซะแล้ว...”

“แต่งได้ก็เลิกได้ไม่ใช่รึป้า...”

“โอ้ยยย คิดอะไรอย่างนั้น”

“อ้าว ก็ใครกันเป็นคนทำเรื่องที่ควรจะจบง่าย ๆ ให้วุ่นวายบานปลายแบบนี้ล่ะ ถ้ายอมให้หนูเป็นเมีย พี่ก้านซะตั้งแต่ทีแรก เรื่องมันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก”

“แล้วถ้าอีบังอรมันไม่ยอมเลิกล่ะ...หนูจะทำอย่างไง”

“ไม่มีผัวก็คงไม่ตายหรอกป้า สมบัติหนูมี ลูกหนูมี พ่อแม่หนูมี หนูมีป้า มีลูกเพิ่มมาอีกคนทำไมเราจะเลี้ยงกันไม่ได้...” พอเห็นทางออกของปัญหาที่คาใจ

แล้ว เพียงเพ็ญก็รู้สึกโล่งอก...เหลือแค่รอให้กมลกลับมาแล้วก็เรียบเรียงคำพูด บอกกับเขาไปตามตรงเท่านั้น ถ้าเขาจะกลับบ้าน ก็คงต้องปล่อยไป...

*******************************


Logged
Pages: 1 2 [3] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.152 seconds with 22 queries.