Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
28 March 2024, 21:06:40

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,463 Posts in 12,372 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  ประสบการณ์เฉียด  |  ชีวิตเฉียดล้มละลาย วรรณฤดี กลิ่นขจร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ชีวิตเฉียดล้มละลาย วรรณฤดี กลิ่นขจร  (Read 1680 times)
LAMBERG
มายิ้มในใจกันไว้เรื่อยๆ สนุกดีๆ
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 1,474


View Profile
« on: 24 January 2013, 20:02:48 »

ชีวิตเฉียดล้มละลาย วรรณฤดี กลิ่นขจร


"ชีวิตดิฉันที่ผ่านมาไม่ใช่ธรรมดา ถ้าเป็นคนอื่นเขาผูกคอตายไปแล้ว.."

เสียงแหบ ห้าว เป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงที่ชื่อ *วรรณฤดี กลิ่นขจร* กล่าวอย่างสบายอารมณ์ เพราะในยามที่บอกว่า จะผูกคอตาย..นั้น เป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว

ความจริงเธอคนนี้ไม่ใช่ *วรรณฤดี กลิ่นขจร* อีกต่อไป แต่เป็น *วรรษิกา ชัยนพภัทรกุล*

ชื่อใหม่ แต่คนเดิม!! ถึงกระนั้นก็ยังเป็นผู้หญิงที่สร้างตำนานเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่รู้จบ

วันนี้..ชีวิตใหม่ของวรรณฤดี หรือวรรษิกา ยังคงเป็นเจ้าของร้านอาหารลือชื่อ "ช่อชะมวง" ตั้งอยู่ถนนทางไปน้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายก และมีกิจการเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นรีสอร์ต "ชะมวง คอตเทจ"

ยังไม่หมดเท่านั้นในอนาคตอันใกล้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอาง อื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมา

ช่วง 10 กว่าปีที่หายหน้าหายตาไปจากวงการ โดยเฉพาะวงการมวย ที่เธอเคยสร้างตำนานเป็นคนแจกทอง หลายคนอาจมองว่าชีวิตเธอจบไปแล้ว..

ความจริงเป็นเช่นไรนั้น "คุณด้วง" อยากเล่าให้ฟังเอง

*ที่ผ่านมามีเสียงลือว่ากิจการขาดทุน เจ๊งหมด?*

(หัวเราะเสียงห้าว..) ที่ผ่านมากว่า 10 ปี ยอมรับว่าลำบากเลือดตากระเด็น โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจฟองสบู่แตก แต่ไม่ใช่เราคนเดียว คนอื่นเขาก็ล้มเหมือนกัน เพียงแต่ว่าของเรามันล้มไม่ดัง และล้มแบบไม่มีใครรู้ เพราะเรายิ้มตลอด จนมีคนพูด "คุณด้วงเก่ง สามารถยืนอยู่ได้จนเดี๋ยวนี้" จริงๆ นะ เราล้มนี่ไม่มีใครรู้หรอก แม้แต่ลูกหรือคนใกล้ตัว

อย่างอื่นน่ะล้ม แต่ร้าน "ช่อชะมวง" ประคับประคองมาได้จนถึงทุกวันนี้

ที่ไม่ล้มเพราะทำคนเดียว ไม่มีหุ้นส่วน ร้านแรกอยู่ที่ลาดพร้าว ชื่อ "ช่อชะมวง" คนรู้จักดี ช่วงนั้นพวกโปรโมเตอร์มวย "แชแม้-นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์" "โกฮง-พงษ์ ถวาวิวัฒน์บุตร" มากินที่ร้าน ได้รู้จักกัน โยงไปให้รู้จักกับ "เขาทราย" แชมป์โลกชาวไทยนั่นแหละ ก็เลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการมวยตั้งแต่นั้นมา

*แล้วร้านที่นครนายก*

ชื่อชะมวงเหมือนกัน พอดีซื้อที่ดินไว้นานแล้ว เลยมาทำร้านที่นี่ด้วย ตอนที่เขาทรายดังก็ใช้เป็นที่เก็บตัวฝึกซ้อมก่อนขึ้นชก แต่ก่อนมีเวทีซ้อมอยู่ด้านหลังด้วย แต่เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว เพราะทำเป็นรีสอร์ต

*สร้างตำนานโปรโมเตอร์มวยหญิงคนแรกของเมืองไทย*

จะว่าใช่ก็ได้ เรื่องมีอยู่ว่าเขาทรายจะจัดชกชิงแชมป์โลกครั้งที่ 13 แต่ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าจัด เพราะใช้เงินถึง 6 ล้าน คนไม่มีเงิน และอีกอย่างมันเป็น "ลัคกี้นัมเบอร์" ด้วย ไม่มีใครกล้า ก็มาคุยกันที่ร้าน เราเห็นว่าเงินแค่นี้เราจัดให้ได้ และอีกอย่างมันเป็นชื่อเสียงของประเทศไทย ก็รับเป็นคนจัดให้ เพราะถ้าไม่จัดในประเทศไทย ต้องไปจัดชกที่ต่างประเทศ แพ้แน่ กำลังใจไม่มี คนเชียร์ไม่มี

แล้วบังเอิญว่าพอข่าวออกไป "วัฒนา อัศวเหม" รู้เข้ามองว่าเราเป็นผู้หญิงไม่เล่นการเมืองด้วย แต่สามารถจัดมวยได้ คงไม่ธรรมดา เลยเข้ามาช่วย บอกแชแม้ว่าเอาเงินที่ดิฉัน 3 ล้าน ส่วนอีก 3 ล้านให้ไปเอาที่คุณวัฒนา แต่ให้เป็นชื่อดิฉันเป็นคนจัด..เรื่องเป็นอย่างนี้

แล้วพอเขาทรายขึ้นเวทีชกชนะน็อคยก 6 ยิ่งสะเทือนวงการเลย มีคนวิ่งมาชูมือตะโกนบอก "คุณด้วงทำสำเร็จแล้ว คุณด้วงทำสำเร็จแล้ว..."


*เลยสร้างตำนานแจกทองแถมให้ด้วย*

(หัวเราะเสียงดัง) ใช่ เป็นตำนาน เพราะเป็นคนแรกที่แจกทองในวงการมวย ก็มีคนมาถามว่าทำไมสนับสนุนเขาทราย เราบอกว่าเขาเป็นคนทำชื่อเสียงให้ประเทศ ไม่เคยได้อะไรเลย-เลยให้ทอง กลายเป็นตำนานแจกทองให้นักมวย

อย่างเขาทรายถือว่าเขาเป็นคนมีค่าของประเทศ เป็นหัวใจทองของประเทศ เพราะฉะนั้นเขาควรจะได้ทองเป็นของที่ระลึก

*แล้วเรื่องที่มีเสียงว่าเป็นทองปลอม*

ไม่ทราบ ตลกที่สุดนะคนเรา (หัวเราะ)

มนุษย์เรามีหลายประเภท บอกอย่างชัดเจนว่าทองปลอมนั้นเป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของดิฉันแน่ เขาทรายเขารู้ดี คือตอนนั้นมีคนบอกเขาว่าจะให้ทอง 150 บาท แต่เขาทรายไม่รับ ถ้าเป็นทองของคนอื่นเขาทรายไม่รับ ต้องทองของคนนี้คนเดียว

เพราะ..เขาทรายเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าไม่มีครั้งที่ 13 ก็จะไม่มีครั้งที่ 19 ซึ่งเป็นการชกครั้งสุดท้ายก่อนเขาแขวนนวม และคงไม่มีเขาทรายในวันนี้ ไปดูที่ร้านหมูกระทะของเขาได้ทุกวันนี้มีรูปภาพแขวนในร้าน รูปดิฉันกับเขาเท่านั้นบนเวที

*แจกเขาทรายคนเดียว?*

ครั้งแรกแจกเขาทราย แล้วก็แจกทุกคน สมรักษ์ คำสิงห์ ก็แจก เหรียญทองอันแรกของสมรักษ์ที่เขาได้น่ะได้จากที่นี่ ตรงนี้เป็นประวัติศาสตร์เลย ดิฉันเป็นคนให้

ทีนี้พอคนรู้ว่าแจกทองแล้วดังก็อยากดังมั่ง พยายามแจกเหมือนกัน แต่พอแจกแล้วมั่ว กลายเป็นทองปลอม แต่ของเรารับรองทองจริง เขาทรายเก็บไว้หมดทุกเส้นที่ให้ไป จนบัดนี้เขาก็ยังเก็บทองนี้ไว้ เพราะเขาถือว่าเป็นของที่ระลึกจากผู้มีพระคุณ

*ครั้งแรกให้ทองไปเท่าไหร่?*

สิบบาท สลักชื่อด้วย ให้แต่ละครั้งก็ 10 บาทๆๆ ครั้งสุดท้ายให้เป็นหยกน้ำเต้าล้อมเพชรอย่างดีมาก มีคนหาว่าเราเว่อร์ เขาไปถามราคา แต่เขาทรายบอกว่า อย่าว่าแต่มาตีราคา 5 แสนเลย ให้เงินเขาหนึ่งล้านบาทเขาก็ไม่ขาย

*ทุกวันนี้ยังติดต่อกับเขาทรายอยู่หรือเปล่า?*

ยังติดต่อกันเรื่อย เวลามีกิจกรรมอะไรเขาก็ยังมาช่วย ครั้งล่าสุดจัดงานเทศกาลกินปลาของจังหวัดนครนายกเขาก็มาช่วย สมรักษ์ คำสิงห์ ก็มา พวกนี้เขาบอกเราเลยว่า "เขาเป็นคน มีหัวใจ ถ้าเจ๊เกิดมรสุมอะไรที่ช่วยได้จะเอาร่างกายและหัวใจไปช่วย จะให้ทำอะไรจะทำให้ทุกอย่าง" นี่คำพูดของเขาทรายนะ

*ร้านช่อชะมวงที่ผ่านมาก็เกือบเจ๊ง?*

ที่ผ่านมาสิบกว่าปีช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีกิจการก็แย่ลง แต่ดิฉันก็ไม่เลิก ประคับประคองมาเรื่อย แต่ไม่ลงทุนเพิ่ม

ที่มันจะล้มเพราะว่าช่วงที่กำลังเป็นคนดัง ดิฉันเป็นคนไม่คิดอะไรมาก คิดง่ายๆ ตอนนั้นมีเงินเยอะก็เอาร้านช่อชะมวงไปค้ำประกันให้กับบุคคลคนหนึ่ง เขาจะลงทุนทำธุรกิจ แล้วต่อมาเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทีนี้เราเลยต้องรับใช้หนี้คนเดียวเลย 100 กว่าล้าน

ตอนนั้นบอกได้เลยว่าเกือบหมดแรง..ชีวิตหมดเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร กว่าจะทำใจสู้มรสุมมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ต้องกลายเป็นคนเก็บตัว เซ็งสังคม เบื่อ ไม่อยากคบใคร อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเป็นคนดังพอมีเรื่องอะไรนิดก็จะเป็นข่าว จริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่านี่คือชีวิต

*เคยคิดฆ่าตัวตาย?*

เคย แต่ก็ไม่ จะเก็บตัวไม่ออกงานสังคมมากกว่า จนหลายคนคิดว่าเราหายไปจากวงการ แต่กิจการร้านช่อชะมวงยังดำเนินอยู่ ดิฉันก็อยู่ที่ร้านทำร้านของเราไปเรื่อย บางทีมีลูกค้าที่ทำธุรกิจแล้วล้มจนหมดตัวมีหนี้เป็น 10 ล้านมานั่งเล่าให้ฟัง เราก็หัวเราะบอกว่าเรามีหนี้เป็นร้อยล้านยังอยู่ได้เลย

ตั้งแต่ธุรกิจล้ม ทำให้ดิฉันมีความคิดอีกแบบเกี่ยวกับธนาคาร เครดิตลูกค้า จริงๆ เรื่องนี้อยากให้เขียนเป็นอุทาหรณ์ให้นายแบงก์ทุกคนได้รู้ ไม่ว่าสถาบันการเงิน ผู้นำประเทศ ควรฟังไว้

..คนที่ธุรกิจล้มทุกวันนี้ถูกขึ้นบัญชีดำหมด การขึ้นบัญชีดำทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย ปัญหาต่างๆ จึงเกิดขึ้น แต่ถ้านายแบงก์ สถาบันการเงิน หรือผู้นำประเทศให้โอกาสเขาบ้าง ให้เขาหายใจมีทางออกทำธุรกิจต่อไปได้ เขาก็สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้ เพราะคนเหล่านี้เป็นคนมีความสามารถเรื่องธุรกิจ แต่นี่ล้มแล้วตั้งตัวไม่ติด ยังโดนยึดทรัพย์ไปหมด เขาเลยฆ่าตัวตายก็มี ที่ไม่เป็นผู้เป็นคนก็มี

แล้วขณะเดียวกัน แบงก์หรือสถาบันการเงินก็ดี เอาโครงการของคนเหล่านี้ไปขายให้คนใหม่ โดยนักธุรกิจใหม่ที่ขึ้นมา นายสีนายสาตามีตามาทำธุรกิจไม่เป็น ถามว่าพวกนี้ทำรอดหรือ? แต่สถาบันการเงินให้เงินช่วยเหลือ สุดท้ายก็เจ๊งเหมือนเดิม เพราะคนพวกนี้ไม่มีความสามารถ ทำธุรกิจไม่เป็น พวกที่ล้มแล้วอยู่ในประเทศพวกนี้มีความรู้ความสามารถ เป็นคนทำจริง ไม่ใช่พวกที่แอบหนีไปต่างประเทศ พวกนั้นไม่ใช่ของจริง พวกที่ยังอยู่แต่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดนี่แหละของจริง ควรให้โอกาสเขา

*ถือว่าผ่านมรสุมแล้วตอนนี้*

กว่าจะผ่านมาได้ก็เครียดพอสมควร เพราะเราคนทำมาหากินจริงๆ ไม่ใช่หลอกลวงเอาเงินเขามาเฉยๆ จนถึงวันนี้ดิฉันยังโกรธกับแบงก์น่าดู

เคยไปเจรจากับเขาในฐานะผู้ค้ำประกัน ไม่ใช่ผู้ก่อหนี้ บอกว่าขอใช้หนี้ที่เราไม่ได้ก่อระดับหนึ่ง ดอกเบี้ย เงินต้น รวมแล้วน่าจะเท่านี้ ก็ขอใช้หนี้เป็นเงินเท่านี้ แบงก์ไม่ยอม เราก็บอกว่าถ้าไม่ยอมแล้วจะยึดที่ดินเราไปขายทอดตลาด ขอบอกก่อนว่าไม่มีปัญญาซื้อคืนหรอก และถ้าจะเอาอย่างนั้นก็อย่าลืมว่า คุณจะไล่ดิฉันออกจากที่ดินของดิฉันเองไม่ใช่การไล่คนใช้ออกจากบ้านนะ แต่คุณกำลังจะไล่คุณวรรณฤดีออกจากบ้านตัวเอง ไม่ใช่ของง่าย ถ้าเราสู้เราเสียแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของหนี้เท่านั้น สุดท้ายประธานแบงก์เลยยอมอนุมัติ เรื่องก็จบ เราก็สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราได้

*ประมาณปีไหนที่ตั้งตัวใหม่ได้*

สัก 4-5 ปีที่แล้ว ประมาณ พ.ศ.2543-2544 ทำร้านอาหารช่อชะมวงเหมือนเดิม และทำรีสอร์ตเพิ่มขึ้นมาอีก ชื่อ "ชะมวง คอตเทจ" ไม่ทำจัดสรรแล้วเพราะเศรษฐกิจอย่างนี้คงลำบาก และกลัวสถาบันการเงินด้วย

ธุรกิจตอนนี้ทำด้วยหัวใจ ไม่วูบวาบ ลดลงมาทำแค่ร้านอาหารและรีสอร์ต ถ้าเป็นเมื่อก่อนโอ๊ย...ไม่ได้ เขารวยระเบิดเถิดเทิง เราก็ต้องรวยด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เราเคยเจ็บไม่อยากเจ็บอีก

แต่บอกไว้เลยว่า ไม่ช้าอีก 4-5 ปี สถาบันการเงินต้องเจอมรสุมอีก เพราะคนใหม่ที่เขาให้เงินไปทำธุรกิจนั้นทำไม่เป็น

และดิฉันก็เป็นคนไม่ใช้บัตรเครดิต...

*ไม่ใช้? ไม่ทำ?*

คือบัตรเครดิตมันน้อยเกินค่าเงินที่ดิฉันจะใช้แล้ว

*ตอนนี้ยังมีหนี้อยู่เท่าไหร่?*

หมดไปแล้ว 7 เหลืออีกประมาณ 3 คือสมมุติเป็นหนี้ 10 ล้าน ก็เหลือประมาณ 3 ล้าน แต่ถ้าเป็นหนี้ 100 ล้าน ก็เหลือประมาณ 30 ล้าน ยังเป็นหนี้อยู่ แต่มันก็สบายใจขึ้น

*รีสอร์ตกิจการเป็นอย่างไร?*

กำลังไปได้ดี เสาร์-อาทิตย์เต็มหมด รีสอร์ตจะอยู่ด้านหลังร้านอาหาร ตอนนี้จะขยายทำกิจการสมุนไพรเพิ่มมาอีกอย่าง

*ทำอะไร?*

ยาสีฟันสมุนไพรชื่อ "ช่อชะมวง" เป็นของดีมีคุณภาพของโบราณ เป็นสมุนไพรจริงๆ เราลองใช้แล้วได้ผลดี กล้ารับรอง ก็อยากให้คนอื่นได้ใช้ของดีด้วย ตอนนี้พยายามจะปรับปรุงให้แพ็กเกจดูทันสมัย น่าใช้ อาจจะทำเป็นหลอดหรือเป็นครีมแทนที่จะเป็นผง ยังค้นคว้าอยู่

ตอนนี้ก็ใช้วิธีโฆษณาแบบปากต่อปาก ใครมาพักที่รีสอร์ตจะได้รับแจก เอามาแจกลูกค้า เขาใช้แล้วติดใจจะมาถามหาขอซื้อ ซึ่งมีเยอะมากทีเดียว คนหนึ่งซื้ออย่างน้อย 3 ขวด ราคาขายสามขวด 100 บาท แต่ส่วนมากส่งขายเป็นโหล

*แล้วไปรู้สูตรการทำได้อย่างไร?*

มีผู้ใหญ่ที่รู้จักเขาทำอยู่ คนเฒ่าคนแก่โบราณ ก็ไปช่วยเขาขาย

*จะมีอย่างอื่นด้วยไหมตอนนี้สมุนไพรกำลังฮิต*

ตอนนี้มียาสีฟันตัวเดียว แต่ต่อไปจะมีผลิตภัณฑ์ของผู้หญิงพวกครีมทาหน้า ยาบำรุง แต่จริงๆ เรามีตัวยาอื่นๆ เช่น ยาริดสีดวง ใช้ชื่อว่า "ยาริดสีดวงพรรณราย" ขณะนี้เป็นตัวขายอยู่และอยู่ในเครือเดียวกัน และมียาเบาหวานสมุนไพร

*ทำไมทุกอย่างถึงใช้ชื่อ "ช่อชะมวง" มีความเป็นมา?*

ดิฉันเป็นคนจันทบุรี ต้นชะมวงเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจันทบุรี และเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง เพราะต้นใหญ่มาก ปลูกเองไม่ค่อยขึ้น มันจะขึ้นในที่ที่มันชอบ แล้วแต่อารมณ์ของมัน ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ที่นี่ปลูกไว้ประมาณ 300 ต้น จะนำมาทำอาหาร "หมูต้มใบชะมวง" อร่อยมาก เป็นอาหารของภาคตะวันออก ก็เลยใช้ชื่อ "ช่อชะมวง" เป็นสัญลักษณ์ เพราะมันมีความมั่นคง ยิ่งตัดช่อมันยิ่งแตก

*ทุกวันนี้มีความสุข?*

มีความสุข เป็นความสุขระดับหนึ่งของสังคมในปัจจุบัน ที่ผ่านมาตั้งแต่รู้ว่าเป็นหนี้ก็ทำใจแล้ว พร้อมที่จะหมดตัว แต่เรารู้ว่าเราไม่ใช่นักเล่น ไม่สำมะเลเทเมา ไม่เคยทำอะไรที่มันเป็นอบายมุข ทำแต่งาน ดิฉันถือว่าคนทำมาหากินไม่มีวันหมด จึงตั้งใจที่จะต่อสู้ใหม่ และเริ่มคิดว่าเราต้องมีกำลังใจ ต้องเข้มแข็ง

กำลังใจที่ดีที่สุด คืออาบน้ำอาบท่าแล้วนั่งสมาธิ สวดมนต์

กำลังใจที่ว่าไม่ต้องไปดิ้นรนหากับใครที่ไหน อย่าไปหา กำลังใจที่ดี่ที่สุดคืออยู่ที่ตัวเรา

และจำไว้ว่า เวลาสวดมนต์อย่าสวดในใจ ต้องสวดให้พระท่านได้ยิน

ทุกวันนี้ดิฉันปฏิบัติจนเคยชิน สวดมนต์ นั่งสมาธิ กินมื้อเดียว เพราะกินมื้อเดียวก็มีชีวิตได้เท่ากัน

และเมื่อตั้งใจทำอะไร ต้องเอาชนะใจตัวเอง คนเราถ้าเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ก็เอาชนะอย่างอื่นในโลกนี้ไม่ได้

แต่ถ้าชนะใจตัวเองได้ ครึ่งหนึ่งของการดำเนินชีวิต เราชนะ..

ที่มา : board.palungjit.com/f6/ชีวิตเฉียดล้มละลาย-วรรณฤดี-กลิ่นขจร-31313.html
ก๊อปปี้ลิงค์ไปแป่ะที่ช่อง URL ข้างบนนะครับ


Logged
มาคืน "สยามเมืองเคยยิ้ม" กลับสู่ "สยามเมืองยิ้มยุคก้าวหน้า" ด้วย ยิ้มสยาม กันนะครับ ... Welcome To Smile Siam by Siamese Smile

Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.084 seconds with 20 queries.