Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 07:11:41

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 1-5
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 1-5  (Read 36 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« on: 29 October 2025, 18:50:12 »

นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 1-5


https://vajirayana.org/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E
https://vajirayana.org/ข้างหลังภาพ

ข้างหลังภาพ





คำวิจารณ์....“ข้างหลังภาพ”

ข้าพเจ้าจะเป็นบุคคลคนแรกก็ได้ ที่ได้รับเกียรติยศอ่านบทประพันธ์เรื่อง “ข้างหลังภาพ” ของ “ศรีบูรพา” ในขณะที่ขัดเกลาเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว กล่าวคือ ข้าพเจ้าได้อ่านบทประพันธ์เรื่องนี้โดยละเอียดในตอนที่หนึ่ง ซึ่งผู้ประพันธ์ได้นำมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในการรวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งใหม่แต่ยังเป็นต้นร่าง ได้อ่านอย่างพินิจพิจารณาเป็นที่สุด และอย่างที่ได้พยายามเก็บแนวการประพันธ์เรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบที่สุด

ข้าพเจ้าขอน้อมรับคำเชิญของท่านบรรณาธิการที่ขอให้เขียนวิจารณ์เรื่อง “ข้างหลังภาพ” นี้ด้วยความยินดี ยินดีที่จะได้มีโอกาสบรรยายถึงความรู้สึกนึกคิดของข้าพเจ้าโดยตรงในบทประพันธ์ที่ข้าพเจ้า และอีกหลายร้อยคนได้ให้ความสนใจมาแล้วอย่างยิ่งในตอนที่หนึ่ง ที่ได้นำลงพิมพ์ไว้เพียงนั้นในหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” รายวัน ระหว่างเดือนธันวาคมกับมกราคม ปีที่แล้ว.

งานวิจารณ์เป็นงานใหม่ของข้าพเจ้า แต่เมื่องานใหม่ชิ้นนี้เป็นงานใหม่ที่ชอบใจแล้ว ข้าพเจ้าก็พอใจที่จะรับทำด้วยความเต็มใจ และเริ่มเขียนหน้าวรรณคดีวิจารณ์นี้ขึ้นด้วยการหยิบยกบทประพันธ์ที่ข้าพเจ้าชอบใจอยู่เป็นอย่างมากแล้วเหมือนกันเช่นนี้ขึ้นพิจารณา สอบความหมายความเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมด สืบต้นสายปลายเหตุของเรื่องให้ประจักษ์แจ้งชัดในวงของผู้พึงอ่านบทประพันธ์ชนิดโนเวลเช่นนี้โดยทั่วถึง ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบทความนี้ในหน้าที่ของ “คริติค” ​เพราะคริติคนั้นอยู่ในขีดผู้ชี้ผิดชี้ชอบ ซึ่งถ้าจะแปลตามรูปศัพท์กรีกเดิมแล้ว ก็ได้แก่ผู้พิพากษ์โดยตรง ผู้พิพากษ์ย่อมไม่ใช่ผู้วิจารณ์ ในฐานะที่เป็นแต่เพียงผู้เยาว์ ข้าพเจ้าไม่บังอาจที่จะก้าวสูงขึ้นไปจนถึงขั้นผู้ชี้ผิดชี้ชอบเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้าไม่อาจหาญพอที่จะเลือกเอา “ข้างหลังภาพ” ขึ้นมาเพ่งเล็งในฐานะของผู้พิพากษ์ได้ เพราะฐานะของผู้พิพากษ์ย่อมเป็นฐานะที่ถึงได้ยาก เป็นฐานะที่อยู่เหนืออาร์ติสต์ทั้งปวง ผู้พิพากษ์หรือคริติคนี้จึงรวมเข้ากับอาร์ติสต์ได้ยากที่สุด เพราะอาร์ติสต์ย่อมมีวิถีทางไปตามแนวของตัวโดยเฉพาะ ไม่ผยองความสามารถอาจหาญของตนขึ้นไปเทียบเท่ากับคริติค ท่านอาจารย์ ม.จ. วรรณ ไวทยากรฯ ได้ตรัสไว้ว่า “ผู้พิพากษาชี้ผิดชอบในอรรถคดีฉันใด ผู้พิพากษ์ก็ชี้ผิดชี้ชอบในวรรณคดีฉันนั้น.”

ได้กล่าวแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขอเชิดชู “ข้างหลังภาพ” ขึ้นพิจารณาในกรอบแต่เพียงเป็นผู้วิจารณ์ผู้หนึ่ง เป็นการเชิดชูที่ผู้ใฝ่ใจในความสวยสดงดงามของศิลปะทั้งหลายจะพึงให้ได้แก่ผู้สร้างศิลปะนั้น ๆ ข้าพเจ้ามอง “ศรีบูรพา” ในเหลี่ยมนี้ ไม่นอกเหนือออกไปจากเขตที่หลักการวิจารณ์จะพึ่งอนุญาตให้ไม่เพ่งไปในทางที่ “ศรีบูรพา” จะเป็นผู้สนิทชิดชอบกับข้าพเจ้าเป็นส่วนตัวแล้วเขียนวิจารณ์กันไปโดยฉันทาคติ ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่า จะขอพิจารณา “ข้างหลังภาพ” ด้วยความยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง โดยถือไปตามแนวที่ “ข้างหลังภาพ” เป็นวรรณกรรมชิ้นหนึ่งที่นักประพันธ์ผู้หนึ่งได้ใช้ความสวยงามที่บังเกิดจากความฝันของเขา ผูกประพันธ์ร้อยกรองขึ้นไว้ด้วยความรอบคอบระมัดระวังอย่างวิจิตรพิสดาร เป็นออริจินัลเวอร์คที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของเขาแท้จริง ข้าพเจ้าจะพิจารณา “ข้างหลังภาพ” ไปตามแนวนี้ และโดยความยุติธรรมอย่างนี้.

​ในขณะที่จะลงมือวิจารณ์เรื่อง “ข้างหลังภาพ” ข้าพเจ้าได้อ่านเอาเรื่องจากบทประพันธ์เรื่องนี้อีก ๒-๓ ตลบ โดยเลือกอ่านจากตอนที่ข้าพเจ้าผูกใจจดจ่ออยู่อย่างมากที่สุดในคราวที่อ่านตอนแรก และจดจำเหตุผลเรื่องราวทั้งหมดไว้ในสมองหนึ่งคืนเต็มก่อนจะลงมือเขียน แล้วจึงได้เขียนบทวิจารณ์บทนี้ขึ้นด้วยความสดชื่นเบิกบานใจอย่างแปลก ด้วยความที่รู้สึกโปร่งสมองในขณะที่ใช้ความตรองในการวิจารณ์เรื่องนี้ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินและผ่องแผ้วในอารมณ์อย่างประหลาดมหัศจรรย์ที่สุด.

ข้าพเจ้าจำได้ดีว่า ได้เคยมีความรู้สึกดีในเมื่อได้อ่านบทประพันธ์จบลงดังนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง คือในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเรื่อง “ละครแห่งชีวิต” โดยฝีปากหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง. ชีวิตที่ผ่านความระทดสลดเศร้า ของวิสูตร และมาเรีย เกรย์ ในเรื่องนั้น ไม่ลืมเลือนไปจากความทรงจำของข้าพเจ้าได้จนบัดนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความงามประการที่สำคัญอันเป็นอาภรณ์ประดับ “ละครแห่งชีวิต” นั้นไม่ได้อยู่แต่ที่วิญญาณของวิสูตรหรือมาเรีย เกรย์เท่านั้น หากอยู่ที่เซตติงของเรื่องเป็นส่วนมาก หม่อมเจ้าอากาศดำเกิงได้ทรงสร้างเซตติงขึ้นได้สวยงามอย่างน่าชมเชยที่สุด เป็นฉากที่สดชื่นอ่อนหวานทั้งภายในและภายนอกประเทศสยาม ชีวิตในตอนที่สำคัญที่สุดของตัวเอกไม่ได้อยู่ภายในสยาม แต่ไปอยู่นอกสยาม ความสำคัญของเรื่อง “ละครแห่งชีวิต” นั้นอยู่ที่การบรรยายถึงชีวิตภายนอกประเทศสยามได้อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า “ละครแห่งชีวิต” มีราคาขึ้นด้วยเซตติงอย่างมากมายในยุคนั้น และนี่ก็เป็นความจริง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของผู้อ่าน “ละครแห่งชีวิต” ใน พ.ศ. ๒๔๗๒ ตื่นใจในเซตติงของบทประพันธ์มากกว่าที่จะเข้าใจในชีวิตอันเป็นไอเดียลลิสต์​ของวิสูตร โดยถ่องแท้ เช่นเดียวกับที่คนเมืองนอกเคยตื่นใจเรื่องทุกเรื่องที่เป็นบทประพันธ์ของ รัดยาร์ดคิปปลิง ก็โดยที่คิปปลิงตั้งเซตติ้งของเรื่องเกือบทุกเรื่องขึ้นในอินเดีย คนมักแสวงสิ่งใหม่ ต้องการที่จะได้พบแต่สิ่งแวดล้อมแปลก ๆ ใหม่ ๆ หรือสถานที่งดงามที่ตนหาโอกาสพบเห็นได้ยาก ดังนั้นเซตติงที่แปลกและใหม่จึงเป็นอาภรณ์สำคัญประการหนึ่งของบทประพันธ์ที่งดงามดังนี้.

“ข้างหลังภาพ” เปิดฉากตอนที่หนึ่งทั้งตอนขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ในท่ามกลางความสดชื่นรื่นรมย์ของไมตรีจิตมิตรภาพที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ในท่ามกลางกลิ่นไอที่หอมฟุ้งจรุงใจประสมกับสีสันวรรณะที่งดงามของดอกไม้ญี่ปุ่นนานาชนิด ผู้อ่านทุกคนจะสังเกตได้ว่า “ศรีบูรพา” ได้ร้อยกรองข้อความตลอดเรื่องในตอนนี้ขึ้นอย่างประณีตบรรจงเป็นที่สุด ได้พรรณนาถึงสภาพธรรมชาติที่อ่อนหวานนุ่มนวลไว้อย่างวิจิตรพิสดาร เช่นเล่าถึง ความสวยงามในเวลาค่ำคืนที่กามากูระ-เมืองชายทะเล สถานที่มีลมเย็นโกรกอยู่เรื่อย ๆ มีลูกคลื่นฟอกหาดสาดหินโดยไม่ขาดระยะ และมีดวงดาวที่พราวดาษอยู่เต็มฟ้า หรือที่ มิตาเกะ-เมืองที่งามไปด้วยธรรมชาติแวดล้อม มีลำธารที่กว้างใหญ่ “ซึ่งมีน้ำใสสะอาดจนสามารถจะแลเห็นก้อนหินตะปุ่มตะป่าอยู่ภายใต้พื้นน้ำ” หรือที่เล่าตลอดไปถึง ชีวิตการสมาคมในประเทศญี่ปุ่น และความเป็นอยู่โดยทั่วไปของประชาชนพลเมืองญี่ปุ่นอย่างละเอียดนั้นแล้ว เช่นนี้-ข้าพเจ้าขอยืนยัน ยืนยันโดยความยินดีด้วย “ศรีบูรพา” ทีเดียว ว่าผู้ประพันธ์ได้สร้างเซตติงขึ้นเป็นอาภรณ์ประดับบทประพันธ์เรื่องนี้ด้วยความตระการเพียบพร้อมจริง ๆ.

พูดถึงการสร้างเนื้อเรื่องแล้ว ความเรียงในการบรรยายไม่ลักลั่น เริ่มแต่เมื่อพระยาอธิการบดีพาหม่อมราชวงศ์กีรติผู้ภรรยาไปฮันนีมูน ​เมื่อต้นเรื่องตลอดไปจนจบนั้น นับว่าผู้ประพันธ์ได้วางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดียิ่ง โวหารในการผูกประพันธ์กลมกลืน การเรียงระดับเรื่องราวต่อเนื่องกันดี ได้นำพาให้ผู้อ่านอยู่ในระดับแอทโมสเฟียร์ที่ดีงามจนจบเรื่อง

ว่าโดยลักษณะตัวละครในเรื่อง “ศรีบูรพา” ได้ทำความงวยงงสงสัยให้แก่ผู้อ่านอย่างมากมาย ในการสร้างหม่อมราชวงศ์กีรติขึ้นในเรื่องนี้ คาแรคเตอร์ของหญิงสาวผู้นี้ได้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นอย่างสูง เป็นสตรีที่เป็นไอเดียลลิสต์อย่างแท้จริง ความรอบคอบเยือกเย็นสุภาพเรียบร้อย อ่อนหวานในวงการสมาคม ซื่อสัตย์กตัญญูและคุณงามความดีอีกหลายอย่างหลายประการ ยกเป็นคุณสมบัติของสตรีผู้นี้ทั้งสิ้น. หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นสุภาพสตรีที่ “ศรีบูรพา” ได้ใช้ความคิดฝันของเขาไปในทางที่เป็นมงคลอันเจริญ ยิ่งเสียกว่า “เพลิน” ของ “ศรีบูรพา” ในเรื่อง “สงครามชีวิต” ยิ่งเสียกว่าสตรีใด ๆ ทุกผู้ทุกคน ในการที่ได้ระทมทุกข์บำรุงสุขอยู่ชั่วกาลเวลาเช่นนี้ ยากที่จะหาใครเทียบกับหม่อมราชวงศ์กีรติ.

ในความที่เป็นผู้อยู่ในความคุ้มครอง ป้องปัก ภายใต้จารีตประเพณีอย่างกวดขันของท่านพ่อ หญิงที่สาวที่สุดและสวยที่สุดทั้ง ๆ ที่มีอายุแท้จริงย่างเข้า ๓๕ ปีผู้นี้ จำต้องแต่งงานไปกับพระยาคนหนึ่งซึ่งอยู่ในพุ่มชรา แต่งไปด้วยความพิศวงสงสัยอย่างที่อยากจะรู้จักกับความรักอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นที่สุด แต่แล้วก็ไม่ได้พบได้เห็นจนแล้วจนรอด ตราบกระทั่งมีผู้ชายอีกคนหนึ่งผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ.

นพพร เป็นชายหนุ่มที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตพิสดารไม่น้อยไปกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติ เป็นแบบอย่างของชายหนุ่มในวัย ๒๒ ปีที่น่ารักน่าเอ็นดู มีความรู้สึกนึกคิดที่ดีงามในการครองตัว มีจรรยา​มารยาทที่เรียบร้อยน่าชื่นชม มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสมบัติของลูกผู้ชาย เช่นนั้น เป็นคุณสมบัติของ “นพพร” บุคคลที่ได้กำเนิดขึ้นจากปลายปากกา “ศรีบูรพา”.

เพราะเหตุที่เป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยริคเคียว และเพราะเหตุที่บิดาเป็นมิตรกับเจ้าคุณอธิการบดีมาก่อน นพพรต้องรับหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับขับสู้จัดหาที่ทางให้เจ้าคุณเฒ่าและหญิงสาวตลอดเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่นนี้ และด้วยความที่เป็นคนดีอยู่แล้วประการหนึ่ง ประกอบกับความที่เคยมักคุ้นกับท่านเจ้าคุณอธิการบดีผู้มีใจดีประดุจพระประการหนึ่ง นพพรจึงได้พลอยสนิทสนมกลมเกลียวไปกับคุณหญิงอธิการบดีสาว หม่อมราชวงศ์กีรติ ผู้มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามเสมือนแม่พระนั้นไปด้วย.

ความเรียงของเรื่องได้ดำเนินไปอย่างเรียบ ๆ สุขุม และสมเหตุสมผล ทุก ๆ ระยะเวลาที่ไมตรีจิตมิตรภาพของนพพร และหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้เจริญงอกงามขึ้นไปทีละเล็กละน้อย จากการที่มีจิตใจคารวะในกันจนถึงขั้นของความเป็นมิตรไมตรี “ศรีบูรพา” ได้เดินเรื่องไปอย่างเรียบร้อยไม่เร่งรัด และไม่แอบเสอร์ด.

การที่มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งขึ้นไปเป็นลำดับนี้ ย่อมนำพาให้ความรู้สึกนึกฝันของชายหนุ่มอายุ ๒๒ ปี อย่างนพพร คาดไกลไหวหวั่นไปได้บ้าง และไม่เป็นปัญหาในเรื่องที่นพพรจะรู้สึกนึกรักในหม่อมราชวงศ์กีรติ ในมรรยาทอันแช่มช้อยน่ารักซึ่งเป็นความดีพิเศษของเธอ เช่นเดียวกับชายหนุ่มในวัยนี้ทุกคนจะพึงมีจิตใจไหวหวั่นไปในคุณงามความดีของสตรีที่ชอบชิดสนิทสนมของเขา จนบังเกิดความรักขึ้นได้ในท้ายที่สุด.

ข้อความทุกบททุกตอนที่สำแดงถึงความเฉลียวฉลาดของหม่อม​ราชวงศ์กีรติก็ดี ความสุภาพเรียบร้อยและความมีใจสูงของนพพรก็ดี ผู้ประพันธ์ได้วาดไว้ด้วยเหตุผลอันละเอียดอ่อนไม่รู่วาม ค่อยเป็นค่อยไป จนถึงขั้นของความเป็นมิตรสนิทสนมกันในบั้นปลาย นพพรกับหม่อมราชวงศ์กีรติได้ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กันเกือบตลอดเรื่อง.

ในฐานที่เป็นผู้อาภัพอับรักมาตลอดในวัย ๓๕ ปี และในฐานที่ไม่เคยประสบพบรักที่อ่อนหวานสดชื่นเลยตลอดเวลา ๒๒ ปี ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทั้งคู่หม่อมราชวงศ์กีรติกับนพพรอดที่จะมีน้ำใจดีต่อกัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจนั้นไม่ได้ ดังนั้นขณะที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองบนเนินเขามิตาเกะ ที่อุดมไปด้วยธารน้ำใสไหลระรื่น ที่เต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำสวยงามภายใต้พื้นน้ำ ที่สะพรั่งไปด้วยพรรณไม้กลิ่นหอมและสีสวย และเป็นที่ ๆ ห่างไกลจากผู้คนนั้น ความรักของนพพรก็ระเบิดขึ้น.

หม่อมราชวงศ์กีรติไม่ได้สะดุ้งตกใจในความเปลี่ยนแปลงอย่างชนิดน่ากลัวของนพพรเช่นนั้นเลย สุภาพสตรีที่สูงด้วยอุดมคติผู้นี้ได้ปรามไว้ด้วยกิริยาสงบ. ด้วยเหตุผลหว่านล้อมถึงศีลธรรมประเพณี และก็ด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผลเหล่านี้ที่ระงับเหตุผลในเรื่อง “ความรัก” ของนพพรให้สงบระงับลงได้ ผู้ประพันธ์ได้ปลูกเหตุผลให้ตัวละครทั้งสองในตอนนี้ได้แยบคายเป็นที่น่าชมเชย ทุกข้อความที่อภิปรายขัดแย้ง ทั้งนพพรและหม่อมราชวงศ์กีรติต่างเต็มไปด้วยเหตุผล สมบูรณ์ด้วยการบรรยายอีโมชั่นของวิญญาณนพพร กับหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างซาบซึ้งจับใจ.

เหตุการณ์บนเนินเขามิตาเกะ คือหัวใจของเรื่อง “ข้างหลังภาพ” นี้ โดยที่นอกจากจะเป็นเรื่องราวตอนสำคัญที่สุดแล้ว. ยังเป็นชนวนที่ให้ชื่อเรื่องประโลมใจเรื่องนี้ว่า “ข้างหลังภาพ” อีก ตามอนุสนธิ​สืบเนื่องมาจากบทนำตอนแรกที่นพพรพิจารณาดูรูปภูเขามิตาเกะ แล้วจึงหวนรำลึกนึกไปถึงเรื่องราวบนเนินเขามิตาเกะเรื่องของภาพคนสองคนในรูปวาดด้วยสีน้ำรูปนั้น ซึ่งคนหนึ่งในจำนวนสองคนนั้น นพพรสามารถแลเห็นได้ “แม้จนกระทั่งขนตาอันยาวงอน และจนกระทั่งรูปสามเหลี่ยมสีแดงสดใส 3 รูป ที่ได้วางไว้บนริมฝีปากจนทำให้ความบางของริมฝีปากนั้นมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด.”

ที่มิตาเกะ ทำให้กีรติเข้าใจนพพรอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว แต่นพพรเพียงแต่เข้าใจกีรติดีขึ้นกว่าเดิม หาได้เข้าใจทะลุปรุโปร่งไปเช่นนั้นไม่ ความกลัดกลุ้มรุมใจที่ทำให้นพพรเวียนระไวไปสู่หม่อมราชวงศ์กีรติเพื่อขอเข้าใจความแน่ชัดขึ้นอีกนั้น ผู้ประพันธ์ได้วางอีโมชั่นไว้อย่างหรู เชื่อแน่ว่าผู้อ่านทุกคนจะต้องชมเชย “ศรีบูรพา” ในการบรรยายอีโมชั่นของนพพรและหม่อมราชวงศ์กีรติจนตลอดเรื่อง.

หม่อมราชวงศ์กีรติต้องจากนพพรมาสยาม เป็นการลาจากกันอย่างรำลึกนึกถึงกันเป็นที่สุด เป็นการลาจากกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งยังไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งแจ่มแจ้ง กีรติบอกนพพรแต่เพียงว่า “ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” แม้จนนาทีสุดท้ายที่เรือจะออก นพพรได้ถามหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยคำถาม ที่ได้เฝ้าถามอยู่หลายหนแล้ว แต่ไม่ได้รับทราบคำตอบ “คุณหญิงรักผมไหม?” หม่อมราชวงศ์กีรติตอบเขาแต่เพียงว่า “รีบลงไปเถอะนพพร รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด.”

“ศรีบูรพา” จบข้อความตอนหนึ่งเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ลงเพียงนี้ ลงเพียงที่หม่อมราชวงศ์กีรติกลับสยามกับพระยาอธิการบดีผู้สามี ลงเพียงที่นพพรไม่ได้ยินคำรักจากหม่อมราชวงศ์กีรติเลยจนคำเดียว เป็นการจบที่ทิ้งแง่ไว้อย่างแยบคาย ชนิดที่จะหาช่องทางตำหนิติเตียนได้ยากอย่างที่สุด.

​ตลอดเรื่องที่อ่านมา “ศรีบูรพา” เขียนขึ้นอย่างระมัดระวัง อย่างที่ไม่จำเพาะแต่ผู้วิจารณ์เช่นข้าพเจ้า แม้จนผู้พิพากษ์เรื่องโนเวลที่ช่ำชอง ก็ยังยากที่จะหยิบยกแง่บกพร่องขึ้นตำหนิได้โดยปราศจากอติมาน. ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะว่าผู้ประพันธ์ในการที่สร้างหม่อมราชวงศ์กีรติขึ้นด้วยความสมบูรณ์ในอุดมคติเป็นอย่างสูง ซึ่งยากที่จะเป็นไปได้ในปุถุชนคนธรรมดา เพราะเหตุการณ์รอบชีวิตหม่อมราชวงศ์กีรติที่เป็นมานั้นได้อนุโลมไว้แล้วในข้อนี้ นักประพันธ์ย่อมมีโอกาสที่จะใช้ความนึกฝันอย่างไกลยิ่ง และย่อมมีเสรีในความนึกฝันอย่างไม่มีขอบเขตอันเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน ข้าพเจ้าไม่บังควรที่จะปรักปรำเอาว่า ความฝันของ “ศรีบูรพา” จะเป็นเครื่องทำให้เรื่องแอบเสอร์ด.

ตอนที่หนึ่งทั้งตอนของ “ข้างหลังภาพ” งดงามมาจนตลอดเรื่องเช่นนี้แล้ว ขอให้เราคาดฝันกันเถิดว่า การดำเนินเรื่องในตอนที่สองก็คงจะงดงามอย่างตอนที่หนึ่งเหมือนกัน เราจะได้พบชีวิตของหม่อมราชวงศ์กีรติกับนพพรในสยามอีกครั้งหนึ่ง ผู้ประพันธ์คงจะดำเนินเรื่องอย่างหรูและระมัดระวังอย่างจริงจังตามเคย สไตล์ในการประพันธ์ตอนที่สองคงจะไม่บกพร่องหรือลดหย่อนอ่อนไปจากตอนที่หนึ่งอย่างไร. ข้าพเจ้าหวังเช่นนั้น และเชื่อเหลือเกินว่า “ศรีบูรพา” จะไม่ทำให้ข้าพเจ้าเสียความมุ่งหวังอันนั้น.

สมจิตต์ ศิกษมัต

๕ ธันวาคม ๒๔๘๑

(คำวิจารณ์เรื่อง “ข้างหลังภาพ” จากบุคคลคนแรกที่ได้อ่าน ตีพิมพ์ในหนังสือ “มหาวิทยาลัย” ของจุฬา ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๑๖ ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๘๑)

..


บทนำ

จนกระทั่ง ๓ วันล่วงไปแล้ว นับแต่ข้าพเจ้าได้นำภาพนั้นมาแขวนไว้ในห้องทำงาน ปรีดิ์จึงได้สังเกตเห็น. หล่อนไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก นอกจากจะมาหยุดยืนพินิจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันมาทางข้าพเจ้า ถามว่า “นี่ภาพที่ไหนคะ - มิตาเกะ?”

ข้าพเจ้าสะดุ้งนิดหน่อย แต่ปรีดิ์ไม่ทันสังเกต.

“เป็นที่ซึ่งมีภูมิประเทศงดงามแห่งหนึ่งนอกนครโตเกียว. ชาวนครโตเกียวมักเดินทางไปใช้เวลาในวันอาทิตย์ที่นั่น.”

“อ้อ, เธอซื้อมาจากโตเกียวหรือคะ?”

ข้าพเจ้าก้มหน้า มองดูหนังสือในมือซึ่งกำลังอ่านอยู่ก่อนที่ปรีดิ์จะเข้ามาในห้อง

“เปล่า, เพื่อนของฉันคนหนึ่งเขาเขียนให้.”

ข้าพเจ้าไม่สู้จะพอใจในซุ่มเสียงที่ได้เปล่งออกไปในตอนนี้ เพราะฟังดูคล้ายเสียงของตัวละครที่พูดด้วยความระมัดระวังอยู่บนเวที.

“ฉันก็นึกอย่างนั้นแหละ ถ้าเธอถึงต้องซื้อมาก็แปลกอยู่หน่อย ​เพราะดูเป็นภาพธรรมดาอย่างที่สุด และทั้งฉันก็บังเอิญมองไม่เห็นความงามอะไรในฝีมือที่วาดภาพนี้นัก. แต่ว่านัยน์ตาของฉันอาจอยู่ต่ำกว่าความงามของภาพนี้ก็ได้.”

“การดูภาพที่วาดด้วยสีน้ำเช่นนี้ถ้าดูใกล้นัก อาจไม่เห็นความงามได้ แต่ถ้าดูไกลออกไปอีกหน่อยเธออาจจะมีความเห็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้.”

ปรีดิ์ไม่ติดใจที่จะทำตามดังที่ข้าพเจ้าแนะ และทั้งไม่ติดใจที่จะถามเอาความต่อไป ข้าพเจ้าก็มีความพอใจแล้ว.

ภาพนั้นประดับไว้ในกรอบซึ่งมีขอบสีดำสนิท แขวนไว้ที่ผนังด้านตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน. เมื่อนั่งลงทำงาน ภาพนั้นอยู่ข้างหลังข้าพเจ้า. เดิมทีข้าพเจ้าคิดจะนำมาประดับไว้ตรงหน้า คือว่าอาจจะแลเห็นได้ทุกขณะที่ชำเลืองไป. แต่ภายหลังข้าพเจ้าจึงได้เปลี่ยนความคิดใหม่ ด้วยเชื่อแน่ว่า ถ้าจะทำตามความคิดเดิมแล้วภาพนั้นจะรบกวนประสาทของข้าพเจ้ามาก.

อันที่จริง ที่ปรีดิ์พูดก็มีส่วนถูกอยู่ไม่น้อย. ภาพนั้นเป็นภาพอย่างธรรมดาสามัญ ไม่มีสิ่งที่น่าสะดุดตาสะดุดใจอะไร และเมื่อเทียบกับภาพบางภาพที่ข้าพเจ้าประดับไว้ในห้องรับแขก และในห้องนอน ซึ่งบางอันมีค่าตั้ง ๔๐-๕๐ เยนแล้ว ก็อาจจะเห็นว่าต่างกันไกล. ภาพนั้นวาดด้วยสีน้ำ แสดงถึงภาพลำธารที่ไหลผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาทึบตามลาดเขา. อีกด้านหนึ่งของลำธาร เป็นทางเดินเล็ก ๆ ผ่านไปบนชะง่อนหิน บางตอนก็สูงบางตอนก็ต่ำตะปุ่มตะป่ำไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อย มีพรรณไม้เลื้อยและดอกไม้ป่าสีต่าง ๆ บนต้นเล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหินผานั้น. ไกลออกไปบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง อยู่ต่ำลงไปจนเกือบติดลำธาร แสดงภาพของคนสองคนนั่งอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่วาดให้เห็นในระยะไกล และไม่แสดงให้เห็นชัดว่า​เป็นบุรุษคนหนึ่งกับสตรีคนหนึ่ง หรือว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน แต่ว่าเป็นบุรุษคนหนึ่งนั้นแน่. บนภาพมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า “ริมลำธาร” ผู้เขียนคงตั้งใจจะให้เป็นชื่อของภาพนั้น. ตอนล่างของมุมหนึ่ง เขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ ว่า “มิตาเกะ” และลงวันเดือนปีไว้ข้างใต้ แสดงว่าเป็นเวลา ๖ ปีมาแล้ว.

ภาพนั้นก็เป็นภาพธรรมดาสามัญ และไม่มีสิ่งที่น่าสะดุดตาสะดุดใจอะไร ฝีมือที่วาดก็ปานกลาง จะว่างามก็งามพอใช้ ไม่ถึงกับจะเรียกคำอุทานจากผู้ชมได้. ผู้ที่รักความงามของธรรมชาติน่าจะสนใจและให้คำชมเชยบ้าง แต่ปรีดิ์ไม่มีนิสัยเช่นนั้น ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะว่าเป็นนิสัยที่ตรงข้ามกับของข้าพเจ้า.

อย่างไรก็ตาม การที่ปรีดิ์และรวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วยจะไม่สนใจในภาพนั้นเลย ก็เป็นการสมควรแล้ว เพราะว่าตามที่ปรีดิ์พูด “ภาพนั้นดูเป็นภาพธรรมดาอย่างที่สุด.” แต่สำหรับข้าพเจ้า - และข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น ที่จะมีความเห็นตรงกันข้ามกับคนเหล่านั้น ข้าพเจ้าผู้รู้ดีว่า ข้างหลังภาพนั้นมีชีวิต และเป็นชีวิตที่ตรึงตราอยู่บนดวงใจของข้าพเจ้า. สำหรับคนอื่น ข้างหลังภาพนั้น ก็คือกระดาษแข็งแผ่นหนึ่ง และต่อไปก็คือผนัง ฉะนั้นเขาจะมองเห็นภาพนั้นเป็นอย่างอื่น นอกจากที่เป็นแต่เพียงภาพธรรมดาสามัญภาพหนึ่งอย่างไรได้.

มองดูภาพนั้น เมื่ออยู่แต่ลำพัง ข้าพเจ้าแลเห็นน้ำในลำธารไหลเอื่อย ๆ และไหลแรงบางตอน เมื่อผ่านจากที่สูงไปสู่ที่ลาดต่ำ. เห็นจนกระทั่งแสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูออทัมน์. คนสองคนที่นั่งอยู่บนชะง่อนหินซึ่งผู้เขียนได้ใช้สีป้าย ๆ ไว้เหมือนอย่างไม่เอาใจใส่เลยนั้น ข้าพเจ้าสามารถแลเห็นได้ แม้จนกระทั่งขนตาอันยาวงอนของคน ๆ หนึ่งในภาพนั้น และจนกระทั่งรูปสามเหลี่ยมสีแดงสดใส ๓ รูป ที่ได้วาดไว้บน​ริมฝีปากบาง จนทำให้ความบางของริมฝีปากนั้นมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ข้าพเจ้าย่อมทราบดีว่า ผู้เขียนได้เขียนภาพนั้นด้วยชีวิต มิใช่โดยไม่เอาใจใส่เลย. ข้าพเจ้าแลเห็นความเคลื่อนไหวทุกสิ่งทุกอย่าง ในภาพอันสงบและดูเป็นธรรมดาที่สุดนั้น ทุกฉากทุกตอนตั้งแต่บทต้น จนกระทั่งบทสุดท้ายซึ่งได้ปิดฉากลงอย่างแสนเศร้า เมื่อเร็ว ๆ นี่เอง---

..




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #1 on: 29 October 2025, 18:51:31 »




​เมื่อเจ้าคุณอธิการบดีพาหม่อมราชวงศ์กีรติ ภรรยาของท่าน ไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นนั้น ข้าพเจ้ากำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยริคเคียว และในเวลานั้น ข้าพเจ้าเพิ่งมีอายุได้ ๒๒ ปี.

ในเมืองไทย ข้าพเจ้าเคยรู้จักกับท่านเจ้าคุณโดยฐานที่ท่านเจ้าคุณกับบิดาของข้าพเจ้าเป็นมิตรกัน และท่านมักแสดงความปรานีต่อข้าพเจ้าในเวลาที่พบปะ. ข้าพเจ้ารู้จักคุณหญิงอธิการบดี เท่ากับที่รู้จักท่านเจ้าคุณ. ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้ออกไปเล่าเรียนที่ญี่ปุ่นได้ประมาณหนึ่งปี ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวด้วยความสลดใจว่า คุณหญิงอธิการบดีได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่ได้ทราบข่าวของคุณหญิงอีกเลย. จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไปอีก ๒ ปี และจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพเจ้าจึงได้รับข่าวจากท่านอีกครั้งหนึ่ง.

เจ้าคุณอธิการบดีได้เขียนมาถึงข้าพเจ้าว่า ท่านจะออกมาประเทศญี่ปุ่นพร้อมด้วยภรรยาใหม่ของท่าน - หม่อมราชวงศ์กีรติ - ขอให้ข้าพเจ้าช่วยจัดแจงบ้านพักไว้ให้และรวมทั้งความสะดวกอื่น ๆ ตามที่​ผู้ซึ่งออกมาอยู่ต่างประเทศจะต้องการ, ท่านตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่โตเกียวสัก ๒ เดือน.

ที่ว่าท่านพาภรรยาไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นคำซึ่งข้าพเจ้าเรียกเอาเอง แต่ในจดหมายที่เขียนมานั้น ท่านบอกว่า ต้องการจะเปลี่ยนภูมิประเทศและต้องการเดินทางไกล เพื่อพักผ่อนหย่อนใจสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง. ความประสงค์ข้อใหญ่ในการออกมาประเทศญี่ปุ่นนั้น ก็เพื่อจะให้เป็นที่เบิกบานสำราญใจแก่ภรรยาคนใหม่ของท่าน. กล่าวถึงหม่อมราชวงศ์กีรติ, ท่านได้เขียนมาว่า “ฉันทั้งรักและสงสารเธอ. เป็นผู้ที่ยังไม่สู้จะคุ้นกับโลกภายนอก ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว. ฉันปรารถนาจะให้กีรติคุ้นเคยกับโลกภายนอก ไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น และฉันปรารถนาจะให้เธอเป็นสุขเบิกบาน ปรารถนาจะให้เธอรู้สึกว่าการแต่งงานกับผู้มีอายุเช่นฉันนั้น อย่างน้อยที่ไม่ไร้ความหมายเสียทีเดียว. ฉันเชื่อว่า พ่อนพพรจะพอใจกีรติ เช่นเดียวกับที่เธอได้มีความพอใจคุณหญิงเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของฉัน ผู้หาบุญไม่แล้ว. แต่ว่ากีรติเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบอยู่สักหน่อยสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน แต่เป็นคนใจคอโอบอ้อมอารี ไม่ต้องสงสัย. ลักษณะนิสัยอย่างพ่อนพพร คาดได้ว่ากีรติจะพอใจมาก. ฉันได้บอกความข้อนี้ให้กีรติทราบแล้วด้วย.”

ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักหม่อมราชวงศ์กีรติมาแต่ก่อน และข้อความสั้น ๆ ที่เจ้าคุณอธิการบดีเขียนถึงท่านผู้นี้มาในจดหมาย ก็ไม่ช่วยให้ข้าพเจ้ารู้จักท่านดีขึ้น. ข้าพเจ้าเดาเอาว่า ท่านผู้นี้จะมีอายุราว ๔๐ หรืออาจจะเยาว์กว่านั้นสักนิดหน่อย คงจะเป็นคนถือตัว หรืออย่างน้อยก็ไว้ตัวตามเลือดของเผ่าพันธุ์ที่เป็นเจ้า และไม่ชอบเด็กที่มีนิสัยเอะอะตึงตังหลุกหลิกนั้นแน่ เพราะว่านั่นไม่ใช่ลักษณะนิสัยของข้าพเจ้า, คงจะเป็น​คนขรึม ๆ ไม่ค่อยโปรดความสนุกรื่นรมย์ตามทำนองของคนโดยมาก คงมีนิสัยเคร่งครัดในระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องติดต่อกับท่านด้วยความระมัดระวัง.

เจ้าคุณอธิการบดีเขียนมาในจดหมายว่า ท่านไม่มีประสงค์จะพักอยู่ที่โฮเต็ล ไม่ว่าจะเป็นโฮเต็ลที่หรูเพียงใด เช่นอิมพีเรียลโฮเต็ลเป็นต้นนั้น. ท่านเบื่อที่จะต้องไปใช้เวลาว่างปะปนกับคนแปลกหน้าทั้งหลาย เบื่อการแต่งตัวซึ่งจะต้องแต่งอย่างเป็นระเบียบในเวลาออกมานอกห้องหรือในเวลารับประทานอาหาร. ท่านต้องการจะเช่าบ้านพักสักหลังหนึ่ง ซึ่งท่านอาจจะใช้ชีวิตของท่านอย่างอิสระเสรีเต็มที่ และท่านไม่สนใจว่าในการอยู่โดยทำนองนี้จะสิ้นเปลืองเงินไปสักเท่าใด.

ในข้อหลังนี้ข้าพเจ้าทราบดี เพราะว่าท่านเจ้าคุณได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีย่อม ๆ คนหนึ่งในเมืองไทย และทั้งเป็นคนใจคอกว้างขวางโอบอ้อมอารี. ข้าพเจ้าได้จัดการว่าเช่าบ้านหลังหนึ่งที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง เป็นตำบลที่อยู่นอกเมืองออกไป และอยู่ไม่ไกลจากทางรถไฟ การเดินทางเข้าไปในเมืองจะได้รับความสะดวกสบายทุกประการ. บ้านที่ว่าเช่าไว้นั้น เป็นบ้านที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่ว่าเป็นบ้านที่สวยงามน่าเอ็นดูหลังหนึ่งในตำบลนั้น เป็นบ้านที่ปลูกขึ้นเมื่อดูตามรูปทรงภายนอก ประกอบด้วยศิลปะของชาวตะวันตก แต่การก่อสร้างภายใน มีการสร้างห้องหับและการจัดและตบแต่งบ้านด้วยเครื่องเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เป็นไปตามแบบอย่างชาวญี่ปุ่น. บ้านนั้นตั้งอยู่บนเนินเตี้ย ๆ มีกำแพงซึ่งก่อด้วยหินก้อนใหญ่ ๆ สูงราว ๒ ฟุตครึ่ง เหนือก้อนหินมีดินพูนสูงขึ้นไปราว ๓ ฟุตและปลูกหญ้าเขียวชอุ่ม เหนือกำแพงดินยังปลูกต้นไม้กอน้อย ๆ เรียงรายไปบนกำแพง มีระยะห่างกันพอสมควร. ภายในบริเวณบ้านมีสวน ซึ่งดูทึบไปด้วยสีเขียวของใบไม้ใหญ่น้อย ​ประกอบกับมีต้นไม้ใหญ่สองต้นปลูกอยู่ที่หน้าบ้าน แผ่กิ่งก้านและใบอันหนาทึบปกคลุมอยู่แทบทั่วบริเวณ ทำให้บ้านหลังนั้นแลดูสดชื่นระรื่นตายิ่งขึ้น. ข้าพเจ้าเองมีความพอใจในบ้านหลังนี้มาก และแม้เจ้าของขอเรียกค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ เยน ข้าพเจ้าก็เห็นว่าไม่แพง สำหรับบ้านที่มีเครื่องแต่งบ้านพร้อมอย่างเป็นที่พอใจ และทั้งต้องคอยดูแลมิให้รกร้างทรุดโทรม..

ข้าพเจ้าได้ว่าจ้างสาวใช้รูปร่างหน้าตาน่าเอ็นดูไว้คนหนึ่ง สำหรับดูแลบ้านช่องให้เป็นไปตามทำนองความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น. การที่เลือกหาสาวใช้หน้าตาน่าเอ็นดูนั้นข้าพเจ้าไม่ได้หมายว่า จะให้เป็นที่พอใจแก่ท่านเจ้าคุณในทางอื่น นอกไปจากหน้าที่โดยตรงของหล่อน. ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ถ้าเราสามารถที่จะเลือกได้ในระหว่างคนใช้ที่มีหน้าตาเหมือนยักษิณี กับที่มีหน้าตาหมดจดงดงามแล้ว เราก็ควรจะเลือกเอาคนหลัง เพราะว่าการที่อยู่ต่อหน้าความหมดจดงดงามไม่ว่าจะเป็นในบุคคลหรือในวัตถุก็ดี ย่อมจะช่วยให้อารมณ์ของเราแช่มชื่นขึ้นตามส่วน. ข้าพเจ้าทราบดีว่าเจ้าคุณอธิการบดีอยู่ในฐานะที่จะเลือกได้. ข้าพเจ้าต้องจ้างสาวใช้คนนี้ด้วยอัตราที่แพงกว่าปรกติธรรมดา แต่ส่วนที่แพงขึ้นนั้นมิใช่เป็นส่วนที่จะต้องเพิ่มให้แก่ความน่าเอ็นดูของหล่อน แต่ว่าข้าพเจ้าจำเป็นต้องเลือกหาผู้หญิงญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้บ้างพอควร เพราะมิฉะนั้นแล้ว ท่านทั้งสอง - เจ้าคุณอธิการบดีกับภรรยาของท่าน - ก็จะได้รับความขลุกขลักมาก

วันแรกที่ข้าพเจ้าได้พบเจ้าคุณอธิการบดี พร้อมด้วยคณะของท่านที่สถานีโตเกียวนั้น ได้เป็นครั้งแรกด้วย ที่ข้าพเจ้าได้รับความฉงนสนเท่ห์ใจอย่างมากเนื่องในการที่ได้รู้จักกับภรรยาของท่าน. สุภาพสตรีสองคนที่มากับท่านเจ้าคุณนั้น เมื่อชำเลืองเห็นในขณะแรก ข้าพเจ้า​คาดว่าคนที่มีอายุประมาณ ๓๘ ปี แต่งตัวเรียบ ๆ และดูติดจะครึ ๆ ตื่น ๆ นิดหน่อยนั้น คงจะเป็นหม่อมราชวงศ์กีรติ ทั้งนี้สันนิษฐานตามจดหมายที่เจ้าคุณมีมาถึงข้าพเจ้า. ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นตรงกันข้าม แลดูเป็นสาว และเต็มไปด้วยความเปล่งปลั่ง แต่งกายงดงามมีสง่า แม้เพียงชั่วการชำเลืองเห็นครั้งแรก ความงามสง่าของหล่อนก็ปรากฏโดยเด่นชัดในสายตาของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าเดาไม่ออกว่าหล่อนเป็นใคร. ธิดาคนโตของท่านเจ้าคุณซึ่งได้แต่งงานไปเมื่อหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าก็เคยได้พบในกรุงเทพฯ.

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสจะนึกเดาอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งนาที เพราะว่าภายหลังที่ข้าพเจ้าตรงเข้าไปทักทายกับท่านเจ้าคุณได้สองสามคำ ท่านก็หันไปทางสุภาพสตรีคนสาว ซึ่งในขณะนั้นยืนอยู่ข้างเคียงท่าน และพูดว่า “นี่ภรรยาของฉัน คุณหญิงกีรติ.” คำแนะนำ​ของท่านทำเอาข้าพเจ้าแทบสะดุ้ง เพราะความคาดผิดอย่างเขลา. ข้าพเจ้าเกือบเสียกิริยาที่จะเพ่งดูดวงหน้าของเธอ เพื่อขจัดความสงสัยว่ามีอะไรในดวงหน้านั้นบ้างเล่า ที่ทำให้ใคร ๆ อาจที่จะคาดหมายได้ว่าเธอคือหม่อมราชวงศ์กีรติ ภรรยาคนใหม่ของเจ้าคุณอธิการบดี.

เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน และงามชดช้อย เมื่อรับไหว้ของข้าพเจ้า. ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ในขณะนั้นถอยไปยืนอย่างมีคารวะอยู่เบื้องหลังท่านเจ้าคุณสักสองก้าว. เมื่อเหลือบไปเห็นหล่อนอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็พลันนึกได้ถึงข้อความตอนหนึ่งในจดหมายของท่านเจ้าคุณซึ่งได้เขียนบอกมาว่า ท่านจะนำแม่ครัวของท่านมาจากกรุงเทพฯ ด้วย. ข้าพเจ้าลืมความข้อนี้เสียสนิท. ในที่สุดข้าพเจ้าไม่มีอะไรสับสนอยู่ในหัวแล้วว่าใครเป็นใครก็จริง แต่ข้าพเจ้าก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ว่าข้าพเจ้าคาดอายุอานามและรูปโฉมของหม่อมราชวงศ์กีรติผิดไปถนัด.

​ในวันนั้น ข้าพเจ้าแต่งเครื่องแบบของนักเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งแรกในตัวข้าพเจ้าที่หม่อมราชวงศ์กีรติมีความสนใจ, เธอชมเชยว่าเป็นเครื่องแบบที่เรียบร้อยน่าเอ็นดู และที่เธอชอบมากคือสีของมัน – สีน้ำเงิน, เธอก็บังเอิญแต่งสีเดียวกัน - สีน้ำเงิน และมีดวงดอกขาวประดับอยู่ทั่วผืนผ้า - ทั้งกระโปรงและเสื้อ, เป็นสีที่ไม่ฉูดฉาด แต่ถึงเช่นนั้นก็มีความภาคภูมิและมีสง่าอย่างบอกไม่ถูก.

เมื่อข้าพเจ้าสั่งรถยนต์ให้แล่นช้าตอนจะเลี้ยวเข้าประตูบ้าน เจ้าคุณอธิการบดีชะโงกตัว เอื้อมมือมาตบไหล่ข้าพเจ้าเบา ๆ และชมเชยว่า ข้าพเจ้าจัดหาบ้านให้เป็นที่พอใจมาก. เป็นความจริงว่าตามทางที่รถยนต์ผ่านมาในละแวกนั้น จะหาบ้านใดที่สวยงามน่าอยู่เหมือนบ้านของเราไม่มี. คนใช้สาวในเครื่องกิโมโนงามหมดจดเรียบร้อย ยืนคอยอยู่​ที่ริมบันไดหน้าบ้าน และน้อมกายลงคำนับตั้งแต่รถผ่านประตูเข้ามา. หล่อนคำนับอีกสองสามครั้งด้วยความคารวะอย่างสูงตามประเพณีของคนญี่ปุ่น เมื่อท่านทั้งสองลงมาจากรถ. เจ้าคุณได้ปราศรัยกับหล่อนด้วยถ้อยคำสองสามประโยค และหล่อนตอบเป็นภาษาอังกฤษได้เรียบร้อยพอใช้ ซึ่งทำให้ท่านต้องแสดงความพอใจอีก. ในที่สุด เมื่อท่านได้ตรวจดูห้องหับและเครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว ท่านก็กล่าวคำชมเชย และขอบใจข้าพเจ้าอย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง. ข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า ข้าพเจ้ามีความอิ่มใจมากที่ได้จัดการให้ความพอใจแก่ท่าน ได้โดยไม่มีขาดตกบกพร่อง เพราะว่าด้วยความสามารถเช่นนั้น ได้ทำให้เจ้าคุณกล่าวสรรเสริญข้าพเจ้าแก่คนอื่น ๆ ในภายหลังว่า ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดรอบคอบเหนือเด็กหนุ่ม ๆ โดยทั่วไป.

น้ำร้อนได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับอาบ และทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง. ท่านทั้งสองได้รับความพอใจตั้งแต่แรกย่างเหยียบ​เข้าไปในบ้าน และไม่มีความผิดหวังอะไรมาขัดจังหวะ, ตอนค่ำข้าพเจ้าพาท่านไปรับประทานอาหารจีนที่ภัตตาคารกาโจเอ้ง ซึ่งเป็นภัตตาคารที่หรูหรามีชื่อเสียงเยี่ยมในนครโตเกียว. ทั้งสถานที่และอาหารที่รับประทานกันในค่ำวันนั้น ทำให้ท่านเจ้าคุณต้องพูดออกมาบ่อย ๆ ว่าชวนให้คิดถึงห้อยเทียนเหลาในกรุงเทพฯ. เมื่อกลับมาบ้าน ที่นอนของท่านทั้งสองได้จัดเตรียมไว้อย่างมีระเบียบเรียบร้อยพร้อมแล้ว. ข้าพเจ้ากลับมาบ้านของข้าพเจ้าในคืนวันนั้นด้วยความอิ่มใจในความสำเร็จ ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ออกจะรู้สึกว่าเป็นไปดีอย่างเกินคาด.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #2 on: 29 October 2025, 18:52:20 »




​เหตุการณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ในวันแรก ที่บันดาลให้คน ๆ หนึ่งเข้ามาแนบอยู่ในชีวิตของเรานั้น ย่อมประทับอยู่ในความทรงจำของเราอย่างไม่มีวันลืม. เครื่องแต่งกายชุดสีน้ำเงิน มีดวงดอกขาวเล็ก ๆ หมวกสีขาว และรองเท้าสีขาว เป็นเครื่องแต่งกายของสุภาพสตรีชุดแรกที่เข้ามาฝังอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า เป็นชุดที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า มีสง่าและภาคภูมิอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนร่างอวบ แต่ว่าไม่ใช่คนใหญ่โต. สมบูรณ์และเปล่งปลั่ง ผิวอ่อน ดวงหน้านั้นเมื่อได้สังเกตเห็นโดยใกล้ชิดและบ่อยครั้ง ก็ยิ่งประจักษ์ในความสวยงามเด่นชัดทวีขึ้น. ดวงตาดำใหญ่ภายใต้ขนคิ้วยาว มีน้ำสุกใสหล่ออยู่ในดวงตานั้น. แก้มปลั่ง คางเล็กเชิดนิดหน่อยจนมีรอยบุ๋มอันน่าพิศวาสเหนือลูกคางนั้น. ริมฝีปากเรียวยาวและเต็ม ประทับด้วยรูปสามเหลี่ยมสีแดงสองรูปเบื้องบนและอีกรูปหนึ่งที่เบื้องล่าง ทำให้ริมฝีปากคู่นั้นมีความงามเหนือสิ่งใด ๆ หมด. ข้าพเจ้าต้องยอมสารภาพว่า ไม่เคยเห็นริมฝีปากงามคู่ใดที่จะได้เคยตั้งอยู่บนคางเล็ก ๆ นั้น และยังตบแต่งได้งามถึงปานนั้นด้วย.

​ข้าพเจ้าทราบดีว่า เจ้าคุณอธิการบดีเป็นคนดีมาก และข้าพเจ้าเองก็มีความเคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ว่า ด้วยเหตุอะไรในโลกนี้หนอ ที่สนับสนุนให้ความสวยงามถึงปานนี้ได้วิวาห์กับวัยชรา ๕๐ ปี. ข้าพเจ้ามีความฉงนใจอย่างเด็กหนุ่ม ซึ่งอยากจะรู้อยากจะเข้าใจความเป็นไปต่าง ๆ ความฉงนใจของข้าพเจ้าไม่ได้เป็นไปอย่างจริงจังนัก และไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกส่วนตัวในผู้หนึ่งผู้ใดเลย. ข้าพเจ้าสังเกตว่า หม่อมราชวงศ์กีรติก็ดูมีความพออกพอใจ และมีความเบิกบานในชีวิตแต่งงานใหม่ ๆ ของเธอดีอยู่. นี่เป็นข้อที่เพิ่มความฉงนสนเท่ห์ใจของข้าพเจ้ายิ่งขึ้น. ข้าพเจ้าแน่ใจว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิใช่หญิงม่ายอยู่ก่อน เพราะความเปล่งปลั่งนั้นแลดูสดใสและใหม่เอี่ยมทุกประการ.

​หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนสงบเงียบ สมตามคำที่ท่านเจ้าคุณได้บอกล่วงหน้า. ในระหว่างทางจากสถานีโตเกียวมาบ้านซึ่งรถวิ่งกินเวลาราว ๒๐ นาที เธอได้ปราศรัยกับข้าพเจ้าสองสามประโยค. เมื่อมาถึงบ้านข้าพเจ้าทราบได้ว่า เธอมีความชื่นชมในบ้านที่ข้าพเจ้าจัดเตรียมไว้รับรองนั้น ยิ่งกว่าที่ท่านเจ้าคุณเองจะรู้สึกได้เสียอีก. เธอตื่นเต้น ไม่ต้องสงสัย แต่เธอสามารถบังคับความตื่นเต้นไว้ได้. เธอเดินตรวจห้องและชมเครื่องตบแต่งต่าง ๆ ด้วยกิริยาการแช่มช้า ปราศจากอาการลุกลนตื่นเต้น. ในบางครั้งเธออุทานคำชมเชยด้วยเสียงซึ่งแสดงความยินดีอย่างลึกซึ้ง เธอไม่ได้พูดมากและบ่อยนัก แต่ข้าพเจ้าอ่านความชื่นชมยินดีของเธอได้จากดวงตา. ข้าพเจ้ารู้สึกในบัดนั้นว่า เธอไม่เหมือนกับสตรีโดยมากที่ข้าพเจ้าได้เคยพบมา.

ในระหว่างรับประทานอาหาร หม่อมราชวงศ์กีรติได้ไต่ถามข้าพเจ้าถึงเรื่องการศึกษา และความเป็นอยู่พอสมควร. ข้าพเจ้าแปลกใจที่เธอไม่ได้ซักถามถึงความสนุก และสิ่งที่น่าตื่นเต้นของนครโตเกียว ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่แรกมาถึงมักจะซักถาม. แต่เธอฟังท่านเจ้าคุณและข้าพเจ้าสนทนากันถึงเรื่องต่าง ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอดูเป็นผู้ใหญ่ จนข้าพเจ้ามีความยำเกรง แต่ความสาวและความสวยพริ้งของเธอ ก็ยังเป็นเครื่องฉงนสนเท่ห์ใจของข้าพเจ้าอยู่.

ในขณะที่เจ้าคุณอธิการบดีกับภรรยาของท่านมาถึงนครโตเกียวนั้น บังเอิญเป็นฤดูร้อน และมหาวิทยาลัยก็กำลังปิดเทอมใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็มีเวลาฟรีเต็มที่ เป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าจะสละเวลาให้แก่ท่านเจ้าคุณได้ตามแต่ท่านจะต้องการ. ท่านเจ้าคุณเองในชั้นแรกก็ไม่สู้พอใจ ที่ได้มาพบความร้อนอย่างเดือนเมษายนในกรุงเทพฯ ที่โตเกียว. อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการตัดสินใจของท่านเอง มิใช่โดยคำแนะนำของ​ข้าพเจ้า. แต่เมื่อได้ทราบว่า การมาถึงโตเกียวในฤดูร้อนนั้นได้แลกกับโอกาสดีอย่างหนึ่ง คือการหยุดเทอมของข้าพเจ้า ซึ่งอาจเป็นประโยชน์มากแก่ท่านในทางอื่น ท่านก็มีความพอใจ.

ในสัปดาห์แรก ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับท่านทั้งสองแทบตลอดทั้งวัน มี ๒-๓ ครั้งเท่านั้นที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันหรืออาหารเย็นร่วมกับท่านทั้งสอง. ในตอนแรก ๆ ที่มาถึง ท่านเจ้าคุณต้องไปพบปะมิตรบางคนของท่าน ทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทย มีท่านอัครราชทูตเป็นต้น และนอกจากนั้นท่านอยากจะดูความเป็นไปของบ้านเมืองและสถานที่ต่าง ๆ ตามธรรมดาของคนที่แรกมาถึงต่างประเทศ. ข้าพเจ้าต้องประจำทำหน้าที่เป็นผู้นำทางของท่าน เพราะว่าถ้าปราศจากผู้นำทางที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้แล้ว การไปไหนมาไหนของท่านจะได้รับความลำบากมาก. ในระหว่างสัปดาห์แรกนั้น ท่านได้ไปในงานเลี้ยงต้อนรับท่านหลายครั้ง ทั้งโดยเพื่อนญี่ปุ่นและเพื่อนไทย. ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ๆ มีคนไปชุมนุมไม่น้อย. ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปในงานนั้นด้วยทุกครั้ง.

ฉะนั้น เพียงชั่วสัปดาห์เดียว คนไทยในญี่ปุ่นก็ได้มีโอกาสพบปะท่านทั้งสองแทบทั่วกัน. ข้าพเจ้าได้ทราบว่า มีผู้ยินดีมากที่ได้รู้จักกับเจ้าคุณอธิการบดี แต่ข้าพเจ้ายังได้ทราบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้รับความยินดีจากคนทั้งหลายมากกว่าที่สามีของเธอได้รับหลายเท่า ทั้งที่เธอเองเกือบจะไม่รู้จักใครที่นั่นมาแต่ก่อนเลย. หม่อมราชวงศ์กีรติได้บอกข้าพเจ้าในภายหลังว่า ในกรุงเทพฯ เธอรู้จักคุ้นเคยกับใครบ้าง แทบจะนับได้ถ้วนโดยมิต้องนึกนาน.

การณ์เป็นดังนี้ มิใช่ว่าเจ้าคุณดีไม่ทัดเทียมภรรยาของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่า ท่านเจ้าคุณเป็นคนดีมาก แต่หม่อมราชวงศ์กีรติ​มีเสน่ห์เหลือเกิน. นี่แหละที่ทำให้ความยินดีที่ท่านทั้งสองได้รับจากคนทั้งหลายแตกต่างกัน. พวกผู้ชายมีความเบิกบานใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นสุภาพสตรีไทยที่ทรงโฉมประโลมตาอย่างหม่อมราชวงศ์กีรติ จากประเทศสยามมาเยือนนครโตเกียว ทำให้เขาทั้งหลายมีความภาคภูมิใจ ในเมื่อได้ประสบว่า ชนชาวญี่ปุ่นได้มองดูสตรีไทยของเราด้วยสายตาแสดงความนิยมชมชื่น ในความสวยงามที่อาจลึกซึ้งเกินกว่าความคาดหมายของเขา. พวกสุภาพสตรีไทยที่นั่นก็มีความตื่นเต้นสนใจในรูปโฉมของหม่อมราชวงศ์กีรติไม่น้อย แต่เป็นธรรมดาที่จะไม่พูดจาเกรียวกราวกันมากไป. ท่านสุภาพสตรีเหล่านั้น และรวมทั้งผู้ชายบางคนด้วย ได้พากันมาซักถามข้าพเจ้าถึงประวัติและความเป็นไปของหม่อมราชวงศ์กีรติ ก่อนที่จะแต่งงานกับเจ้าคุณอธิการบดี. ในเวลานั้นข้าพเจ้าก็ยังตอบอะไรไม่ได้ คนเหล่านั้นมีความประหลาดใจตรงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ด้วยเหตุผลกลใดหนอ ที่เธอได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการแต่งงานกับเจ้าคุณสามีของเธอ. เป็นที่คาดหมายกันว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมีอายุไม่เกิน ๒๘ ปี และการที่หญิงงามทรงเสน่ห์มีอายุเท่านั้น แต่งงานกับท่านสุภาพบุรุษที่มีอายุตั้ง ๕๐ ปี แม้ว่าจะเป็นคนใจดีและภาคภูมิตามทำนองของคนแก่ก็ตาม คนทั้งหลายก็ไม่อาจจะปลดเปลื้องความประหลาดใจออกเสียได้.

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเองย่อมจะมีความภาคภูมิใจมากเป็นพิเศษ ในฐานที่ได้รับเกียรติยศเป็นเสมือนองครักษ์ของหม่อมราชวงศ์กีรติ. ตามความรู้สึกของข้าพเจ้า ดูเหมือนว่าหม่อมราชวงศ์กีรติเองก็น่าจะได้ทราบว่า คนทั้งหลายมีความพอใจเธออย่างไร. เธอแสดงกิริยาสงบเสงี่ยมอ่อนโยนอยู่เนืองนิตย์ก็จริง แต่ใคร ๆ ก็อาจที่จะแลเห็นความหรรษาของเธอดารดาษอยู่บนผิวหน้าสีชมพูอ่อนนั้นได้.

​โดยที่ได้ใช้เวลาอยู่กับท่านทั้งสองแทบตลอดทั้งวัน และแทบทุกวัน ความรู้สึกสนิทสนมระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็ได้มีทวีอย่างค่อนข้างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าเป็นคนติดคนง่าย และหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น ใคร ๆ ก็จะต้องลงความเห็นว่าเป็นคนที่น่าติดเหลือเกิน. ในเมื่อได้มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกัน เธอมักจะแสดงความปรานีต่อข้าพเจ้าเนือง ๆ เป็นต้นว่าในเวลารับประทานอาหารก็มักจะคอยช่วยเหลือดูแลให้ความสะดวกแก่ข้าพเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นเด็ก ๆ. ครั้งหนึ่งเธอพบรอยปริที่เน็กไทของข้าพเจ้า เธอได้ขอให้ข้าพเจ้าถอดออกแล้วก็จัดแจงเย็บให้ด้วยตนเอง อีกครั้งหนึ่งเธอพบโคลนเปื้อนปลายแขนเสื้อของข้าพเจ้า เธอก็เรียกไปแปรงให้. ตามธรรมดาข้าพเจ้าไม่เคยเอาใจใส่ต่อสิ่งเหล่านี้ และไม่เคยสนใจในความพะเน้าพะนอช่วยเหลือในสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้. อย่างไรก็ตาม การที่ออกมาอยู่ต่างประเทศเสียตั้ง ๓ ปี ไม่มีญาติพี่น้องคอยพะเน้าพะนอเอาใจ ต้องหมกมุ่นกับการเล่าเรียน ต้องอยู่​กินอย่างประหยัดและมีชีวิตอย่างแห้งแล้ง นานแสนนาน ได้มาพบความปรานีเช่นนี้ และได้พบในยามเปล่าเปลี่ยวใจ ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในความปรานีนั้นมาก. ความซาบซึ้งนั้นเป็นไปอย่างข้าพเจ้าเองก็นึกประหลาด ข้าพเจ้าค้นหาเหตุผลไม่พบว่า ในระหว่างเวลาที่หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งเย็บเน็กไทอยู่ และข้าพเจ้านั่งรออยู่ใกล้ ๆ อย่างเงียบ ๆ คอยตอบคำถามของเธอบางครั้ง เหตุใดข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่ามีความสุขเสียเหลือเกิน.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #3 on: 29 October 2025, 18:53:18 »




เมื่อสองสัปดาห์ผ่านไป เมื่อความสนิทสนมได้มีขึ้นในระหว่างเราทั้งสอง ข้าพเจ้ามองเห็นหม่อมราชวงศ์กีรติเป็นอีกคนหนึ่ง. เธอมิใช่คนเงียบขรึมนัก. กับข้าพเจ้าในตอนหลัง ๆ ดูเธอเป็นคนพูดเก่งไม่น้อย เป็นคนต้องการความเริงรมย์ตามทำนองของเธอ. เธอพูดได้ทั้งในเรื่องจริงจังและเรื่องที่ไร้แก่นสาร. ในเวลาที่เธอพูดเรื่องจริงจัง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอเป็นคนมีความคิดความอ่านสูงกว่าข้าพเจ้ามาก. ข้าพเจ้าประหลาดใจว่า ทำไมเจ้าคุณอธิการบดีจึงคิดเห็นไปว่าภรรยาของท่านยังรู้จักโลกและชีวิตน้อยนัก.

ในเวลาที่เธอได้รับความเบิกบานใจในการสนทนากับข้าพเจ้าสองต่อสอง เธอเคยเปล่งหัวเราะเต็มที่ เสียงหัวเราะของเธอเต็มไปด้วยชีวิตและความบริสุทธิ์ของเด็ก มีกังวานแจ่มใสและซึ้ง กังวานเช่นนี้ย่อมจะระรัวอยู่ในหัวใจของผู้ฟังไปนาน. ในเวลาเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นเพื่อนที่สนิทสนมของข้าพเจ้าอย่างที่สุด. ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดีต่อเธออย่างที่สุด.

​อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งสองสัปดาห์ล่วงไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถตอบปัญหาในเรื่องราวของหม่อมราชวงศ์กีรติแก่ผู้ที่มาคอยถามข้าพเจ้าได้. ชีวิตก่อนแต่งงานของเธอเป็นอย่างไร และอะไรคือต้นเหตุที่ชักนำให้เธอมาแต่งงานกับเจ้าคุณสามีของเธอนั้น ยังคงเป็นความลี้ลับสำหรับข้าพเจ้าอยู่. ไม่มีใครเลยจะคิดเห็นไปว่า เธอแต่งงานเพราะความรัก. มันไม่ใช่ของแปลกที่ความงามเช่นนี้กับวัย ๕๐ ปีย่อมจะวิวาห์กันได้ก็จริงอยู่ แต่ว่าความงามเช่นนี้กับวัย ๕๐ ปีจะรักกันได้นั้น ก็น่าจะถือว่าเป็นการผิดธรรมดาได้. เพราะว่าการวิวาห์กับความรักเป็นคนละอย่างต่างกัน. ความคิดเห็นของคนโดยมากเอนเอียงไปในทางที่ว่า อานุภาพของพระเจ้าเงินตราคงจะเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อยในการแต่งงานรายนี้ - และเช่นเดียวกับรายอื่น ๆ – หญิงสาวจำต้องเข้าสู่พิธีวิวาห์ในที่สุด ด้วยไม่สามารถต้านทานต่อความข่มขู่บังคับซึ่งอาจมีมาจากทางต่าง ๆ. แต่ว่าในการแต่งงานของหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็หามีใครที่จะกล้าลงความเห็นแน่นอนไปในทางนั้นไม่ เพราะว่าเท่าที่จะทราบได้ หม่อมราชวงศ์กีรติก็ดูมีความชื่นชมยินดีในสามีของเธอดีอยู่.

ในสายตาของข้าพเจ้า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ใช้วันคืนในโตเกียว ด้วยความเบิกบานบันเทิงเป็นที่ยิ่ง. เมื่อได้มีโอกาสออกไปนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นในที่ใด ๆ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเธอมองดูทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสนใจพินิจพิเคราะห์ และในดวงตาของเธอเล่าก็แวววาวไปด้วยความปีติ. ความสนใจในสิ่งต่าง ๆ เช่นนี้ ทำให้เธอดูเป็นคนเคร่งขรึมผิดกับวัยของเธอมาก และดังนั้นทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเธอยากที่จะมีความสนิทสนมกับเธอได้.

มีความรู้ใหม่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของเรา ในขณะที่เราออกไปเดินเล่นด้วยกันแต่ลำพังสองคนในเย็นวันหนึ่งของสัปดาห์ที่สาม.

​เย็นวันนั้นเจ้าคุณออกไปเล่นกอล์ฟ. ภรรยาของท่านไปจ่ายของที่ถนนยินซ่า เมื่อกลับมา พักผ่อนได้ครู่ใหญ่ เธอก็ชวนข้าพเจ้าออกไปเดินเล่น. ถนนสายที่เรากำลังเดินอยู่นั้นอยู่ห่างจากหลังบ้านเราไปเล็กน้อย เป็นถนนที่สงบและร่มรื่นด้วยเงาของต้นไม้สองข้างทาง บางตอนผ่านไปบนเนินสูงและเบื้องล่างมีไร่ซึ่งแลดูเขียวชอุ่มไปด้วยพรรณผักต่าง ๆ เป็นถนนที่เงียบสงบ นาน ๆ จึงจะมีรถบรรทุกของแล่นผ่านเราไปสักครั้งหนึ่ง. หม่อมราชวงศ์กีรติได้เคยออกมาเดินเล่นบ้างในบางคราวใกล้ ๆ บริเวณบ้าน และได้เคยแสดงความจำนงไว้ว่า จะเดินทางไกลไปบนถนนสายนี้สักวันหนึ่งเพื่อชมภูมิประเทศของละแวกนั้น และในวันนั้นนับเป็นครั้งแรกที่เธอได้ปฏิบัติตามความจำนงของเธอ.

เราได้ใช้เวลานานในการเดินเล่นวันนั้น และในเวลานั้นเรามีความคุ้นเคยสนิทสนมกันพอที่จะไม่ต้องปล่อยให้เวลาล่วงไปเปล่า ๆ โดยต่างคนต่างไม่พูดอะไรเหมือนอย่างที่ได้พบกันในครั้งแรก ๆ. หม่อมราชวงศ์กีรติก็ไม่เป็นคนเคร่งขรึมต่อไปแล้วเมื่อเราอยู่ด้วยกันแต่ลำพัง. เรามีเรื่องสนทนากันมาก เรื่องหนึ่งหมดไปเรื่องใหม่ก็เข้ามาแทนที่ บางเรื่องก็เป็นเรื่องยืดยาว และบางเรื่องก็จบไปด้วยคำพูดเพียงสองสามประโยค.

เด็กชายอายุราว ๑๒ – ๑๓ ขวบสองคนขี่รถจักรยานคันเล็กผ่านเราไป เขามองดูเราทั้งสองแล้วยิ้มอย่างร่าเริง หม่อมราชวงศ์กีรติได้ยิ้มให้เขานิดหน่อย.

“ฉันเบิกบานใจมากวันนี้” เธอพูด สูดลมหายใจแรง ยังมียิ้มละไมอยู่ในหน้านั้น.

“เพราะอะไรครับ?” ข้าพเจ้าสอดถาม “ผมน่ะเกรงว่าคุณหญิงจะเบื่อ เพราะไม่เห็นมีอะไรที่จะน่าชม.”

“ไม่มีอะไรที่จะน่าชม - เธอพูดอะไรอย่างนั้น” พลางเธอชี้มือไปที่​ไร่ผักกาดสีเขียวอ่อนซึ่งอยู่ต่ำจากทางเดินของเราทางขวามือ ไกลออกไปข้างหน้า “เธอไม่เห็นหรือว่าสีเขียวสดของใบผักกาดเมื่อต้องแสงแดดอ่อน ก็แลดูคล้ายกำมะหยี่นั่นน่ะ เป็นภาพที่สวยงามน่าดูเพียงไร แล้วก็บรรดาลูกมะเขือสีช็อกโกแลตที่เยาว์วัยเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่า มันเป็นเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอดอกหรือ แล้วก็ถัดออกไป ไร่ผักต้นสูง ๆ ใบเล็กเรียว ที่หมุนพลิ้วไปตามกระแสลมนั้น ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของเธอร่าเริงไปด้วยดอกหรือ.”

“คุณหญิงพูดราวกับกวี” ข้าพเจ้าหัวเราะ

“เธออย่าขับฉัน เขาว่ากวีเป็นคนคร่ำครึ. ฉันไม่ใช่กวี แต่ถ้าเธอจะหมายว่าฉันเป็นกวีเพราะเหตุอย่างเดียวที่มีความเห็นคร่ำครึฉันก็ยอม” เธอยิ้มอย่างสดชื่นเมื่อมองมาที่ข้าพเจ้า “จริงนะ. นพพร สิ่งเหล่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความเบิกบานของฉันจริง ๆ. เธอคงจะได้สังเกตเห็นสีชมพูที่แก้มยุ้ยของเด็กชายสองคนเมื่อตะกี้นี้ แล้วก็ยิ้มอย่างร่าเริงและดวงตาแจ๋วแหวว. อา, เธอจะหาอะไรที่น่าชมไปยิ่งกว่านั้นเล่า.”

“ผมเพิ่งรู้ คุณหญิงเป็นนักปราชญ์” เมื่อพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้พูดเล่นเลย.

“ฉันจะไม่บรรยายอะไรอีกละ เพราะเธอตั้งกองมายอฉันเสียแล้ว” เธอพูดพลางวางท่าสงบเสงี่ยมและเดินต่อไปเงียบ ๆ.

“ผมพูดด้วยความสัตย์จริง” ข้าพเจ้ารีบแก้.

“นั่นยิ่งทำให้ฉันไม่ยอมพูดใหญ่.”

ข้าพเจ้าอมยิ้ม. เราเดินต่อไปเงียบ ๆ ครู่หนึ่งเธอหันมาพูดว่า

“ถามจริงๆ เถอะ เธอไม่เห็นด้วยกับฉันดอกหรือว่า ในบรรดาสิ่งที่ฉันกล่าวถึงนั้นเพียบพร้อมไปด้วยความน่าชมเพียงใด.”

“ผมไม่ด้านความเห็นของคุณหญิงเลย ผมเห็นด้วยทุกประการ ​ที่ถามขึ้นก็ด้วยเป็นห่วงแทน เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงไม่ใคร่สนใจในสิ่งเหล่านี้ แต่คุณหญิงเป็นคนพิเศษ.”

“เธอให้ฉันเป็นกวี เป็นนักปราชญ์ แล้วยังให้เป็นคนพิเศษอีก. เธอดื้อจริง ๆ วันนี้ นพพร. ฉันต้องทำความตกลงใจอย่างเด็ดขาด”

“ในข้อที่จะลงความเห็นว่า ผมเป็นเด็กดื้อน่ะหรือ?”

“จ้ะ, ถูกเหมือนกัน แต่ฉันหมายว่าฉันจะไม่ยอมพรรณนาถึงเรื่องเหล่านั้นอีก.”

ท่าทีที่สงบเสงี่ยมเจือปนอาการกิริยาของเด็กเล็กน้อยนั้น ทำให้ข้าพเจ้าแลเห็นเสน่ห์ และความงามของหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างที่ไม่มีคราใดจะเปรียบปาน. ข้าพเจ้าก็ได้แต่เพลินชมและสรรเสริญอยู่แต่ในใจ.

เราเดินมาใกล้หมู่บ้าน และกำลังมาถึงทางแยกซึ่ง ณ ที่นั้นมีกาเฟสถานจำพวกปอน ๆ ตั้งอยู่. ขณะที่เราจะผ่านเลยไป ก็พอมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาหยุดอยู่ หญิงสาวสองคนก้าวลงมาจากรถ มีดวงหน้าสีชมพูเข้ม ยืนทรงตัวไม่สู้สะดวก ชายสองคนก้าวตามลงมา ไม่ได้สวมเสื้อนอก แต่ได้ถอดออกถือไว้ด้วยความร้อน นัยน์ตาปรือคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเบิกโต มีเปลวไฟลุกอยู่ในดวงตานั้น ชายสองคนเข้าประคองกอดหญิง แล้วพากันเดินเซไปข้างซ้ายครั้งหนึ่ง เซกลับมาข้างขวาครั้งหนึ่ง เข้าสู่กาเฟสถานลับตาไป.

“เด็กหนุ่ม ๆ อย่างเธอคงจะพอใจภาพเช่นนี้” เธอเริ่มพูดต่อไปเมื่อเราผ่านทางแยก.

ข้าพเจ้าทราบดีว่าเธอมิได้จงใจที่จะหมายความเช่นนั้น เธอเพียงแต่จะแสร้งพูดแดกดันเอาเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าก็ได้ตอบถ้อยคำของเธออย่างเป็นการปรกติ.

​“ตรงกันข้าม ผมรังเกียจมาก”

“ความสนุกอย่างน่าเกลียดเช่นนี้มักจะมีทั่วไปนะ นพพร ไม่ว่าในประเทศใด ๆ. ทำไมเขาจะประพฤติให้เรียบร้อยกว่านี้สักหน่อยไม่ได้หรือ. นี่ก็ยังไม่มืดค่ำ และทำไมจะต้องทำกันอย่างนั้นตั้งแต่กลางถนน จะคอยให้ลับตาคนสักหน่อยไม่ได้หรือ. หรือว่านั่นเขานิยมกันว่าเป็นของเก๋.”

“ผมไม่คิดว่าคนทั่วไปจะเห็นเป็นของเก๋ มันคงเป็นความประพฤติเฉพาะคนหนึ่ง ๆ. ผมได้ยินว่าในเมืองไทยเรา ตั้งแต่เปิดโรงเบียร์ฮอลล์กันทั่วพระนครแล้ว ความสนุกเช่นนี้ก็ดูมีกันดกดื่นมิใช่หรือ?”

“ฉันก็ได้ยินว่ามี แต่ฉันไม่เคยเห็น และเดาไม่ได้ว่าจะมีกันถึงขนาดไหน. อย่างที่ผ่านมาเมื่อตะกี้นี้ ฉันก็ออกจะไม่ได้คาดอยู่แล้ว.”

“แต่ความจริงดูเหมือนเป็นของธรรมดาสำหรับกาเฟสถานทั่วไป.”

“นพพรเป็นโคลัมบัสของฉัน เธอทำให้ฉันได้มาพบโลกใหม่.”

“คุณหญิงเสียใจหรือครับ ที่ได้ถูกชักนำให้มาพบกับของโสโครกเช่นนี้.”

“ฉันชอบศิลปะ. ฉันพอใจที่จะพินิจดูกิ้งกือ ไส้เดือน เท่ากับที่จะพินิจดูดวงดาวในท้องฟ้า. ฉันไม่เสียใจเลย. นพพร ฉันกลับขอบใจเธอด้วยซ้ำ แต่เมื่อแยกศิลปะออกไปเสียส่วนหนึ่งแล้ว การที่ได้มาเห็นภาพเช่นนี้ก็ทำให้กระเทือนใจนิดหน่อย. แต่ในทางศิลปะนั้น ความกระเทือนใจมีประโยชน์มาก.”

“คุณหญิงเป็นศิลปินด้วย และอาจจะเป็นทั้งจิตรศิลปินและวรรณศิลปิน” ข้าพเจ้าร้องด้วยความประหลาดใจ และเป็นความประหลาดใจอันแท้จริง.

​“นพพร, เธอโปรดระวังคำพูดสักหน่อย เธอต้องจดจำไว้บ้างว่า เพียงชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอได้ให้ตำแหน่งแก่ฉันถึง ๔ ตำแหน่งแล้ว.”

“ผมรู้สึกว่าผมจะฉลาดขึ้นมาก จะฉลาดอย่างผิดสังเกต ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณหญิงต่อไปสักหนึ่งปี.” ข้าพเจ้าไม่ฟังคำห้ามปรามของเธอ ด้วยแน่ใจว่าได้พูดอย่างจริงใจ.

เธอชายตามองดูข้าพเจ้า ประหนึ่งจะสำรวจลงไปให้ซึ้งว่า มีความหมายอะไรอยู่อีกบ้างในคำพูดนั้น.

“เธอดื้ออย่างน่ารัก.” พูดพลางเธอยิ้ม “แต่ว่าเธอต้องการเพียงปีเดียวเท่านั้นแหละหรือ?”

“ผมหมายว่าอย่างน้อยที่สุด” ข้าพเจ้ารีบชี้แจง. “แต่ถ้าให้ผมเลือกอย่างจุใจแล้ว-ก็-ไม่มีกำหนด.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะ. เสียงหัวเราะนั้นบกพร่องในกังวานแจ่มใสไปบ้าง.

“แต่ฉันจะอยู่ที่นี่เพียง ๘ สัปดาห์เท่านั้น และเวลานี้เรากำลังจะผ่านสัปดาห์ที่สาม.”

“เวลาล่วงไปเร็วเหลือเกิน” ข้าพเจ้าพูดเสียงอ่อย ๆ “ผมอยากเป็นหนุมานเวลานี้.”

“เพื่อเธอจะได้ไปห้ามรถพระอาทิตย์หรือ?”

“แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้นะครับ” ข้าพเจ้าพูดต่อไปอย่างจริงจัง “ผมคิดว่า ถ้าผมชวนให้เจ้าคุณยืดเวลาอยู่ที่นี่ออกไปอีกนิดหน่อย คุณหญิงคงจะไม่ขัดข้อง.”

“ฉันเป็นผู้โคจรตามพระอาทิตย์ ฉันเลือกไม่ได้ สุดแต่พระอาทิตย์” ​เธอตอบอย่างสนุก “แต่เธออย่าลืมว่า มหาวิทยาลัยของเธอจะเปิดเทอมในไม่ช้า.”

“ผมไม่ลืมเลย แต่ผมอาจที่จะมารับการอบรมความฉลาดจากคุณหญิงนอกเวลามหาวิทยาลัยได้เสมอ.”

ต่อจากนั้นหม่อมราชวงศ์กีรติได้ไต่ถามข้าพเจ้าถึงเรื่องการศึกษาเล่าเรียน และเมื่อพูดถึงเรื่องที่จริงจัง ท่าทางของเธอก็ดูเคร่งขรึม ข้าพเจ้าก็กลายเป็นเด็กเล็กไป มิใช่เพื่อนเล่นเพื่อนหัวของเธอ. เราเดินต่อไป อีกสักครู่ใหญ่ ๆ ก็มาถึงละแวกที่ชุมนุมชนตั้งทำมาค้าขายคับคั่ง และมียวดยานผ่านไปมามิหยุดหย่อน ไม่สะดวกแก่การเดินพักผ่อนหย่อนอารมณ์ เราจึงตกลงเดินทางกลับ และในไม่ช้าเราก็คืนเข้าสู่ถิ่นที่อันสงบเงียบและงดงามไปด้วยภูมิภาพธรรมชาติ.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #4 on: 29 October 2025, 18:54:15 »




​ระหว่างทางที่กลับ เป็นยามเย็นที่ไร้แสงแดด เด็กเล็กออกวิ่งเล่นกันตามบริเวณบ้าน เราผ่านบ้านที่ภูมิฐานงดงามหลังหนึ่ง สตรีรุ่นกำดัดหน้าตาหมดจดงดงามสองคนจูงเด็กน้อยเดินบ้างวิ่งบ้างด้วยความร่าเริงออกมาจากบ้าน ตามทางเล็ก ๆ ซึ่งนำมาสู่ถนนใหญ่ที่เรากำลังเดินอยู่ สตรีรุ่นสาวสองคนนั้นมาถึงชายถนนขณะที่เรากำลังจะผ่านไป.

พอคล้อยหลัง หม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดขึ้นว่า “หน้าตาอิ่มเอิบและสวยสดทั้งสองคน. นพพร, เธอเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นอย่างไร”

“ผมต้องสารภาพว่า ผมติดใจจริตกิริยาผู้หญิงญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง.”

“ยิ่งไปกว่าผู้หญิงไทยของเราเจียวหรือ?”

“ผมเชื่อว่า โดยทั่วไปผมมีความเห็นเช่นนั้น”

“เธอไม่คิดว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นมีกิริยานุ่มนวลเกินกว่าความประสงค์ของผู้ชายไปหรือ?”

“ผมไม่คิดเช่นนั้น”

“ถ้าเช่นนั้นเธอเป็นผู้ชายน้อยไปกระมัง ฉันเข้าใจว่าผู้ชายโดย​มากชอบผู้หญิงที่โลดโผน หรืออย่างน้อยให้มีความโลดโผนเจือปนอยู่บ้าง ต้องการให้มีความปราดเปรียวหรืออะไรเด่น ๆ อยู่ในจริตกิริยาของผู้หญิง เป็นเครื่องปรุงให้ชีวิตไม่จืดจาง.”

“ความเข้าใจของคุณหญิงอาจจะถูก แต่ผมเห็นว่าเครื่องปรุงชีวิตนั้นมีหลายอย่างต่างกัน ผมอาจเป็นฝ่ายข้างน้อย ที่แลเห็นความนุ่มนวลในผู้หญิงเป็นความเบิกบานในชีวิตอย่างหนึ่ง.”

“เธอห่างเหินจากผู้หญิงไทยมานาน อิทธิพลของผู้หญิงญี่ปุ่นดลใจเธอมาก” หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะ “พูดอย่างจริงจัง ฉันเห็นว่าเธอคิดถูก และเป็นความคิดที่ฉันขอสรรเสริญ ทั้งที่ฉันเองไม่มีความชำนาญแม้แต่น้อยในการวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้.”

ข้าพเจ้ากล่าวขอบใจ เมื่อเธอจบประโยคท้าย.

“ฉันอดนึกถึงดวงหน้าอิ่มเอิบของแม่สาวสองคนเมื่อกี้ไม่ได้” เธอพูดต่อเป็นเชิงรำพึง “เหมือนต้นไม้ที่ได้ปุ๋ยดี ออกดอกตูม กำลังเต่งด้วยชีวิต และความสดชื่นแห่งวัยรุ่นกำดัด. ความเปล่งปลั่งเช่นนั้น เตือนให้หวนนึกถึงตัวเองแล้วก็ใจหายนิดหน่อย.”

“ผมไม่เข้าใจ.” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความฉงนสนเท่ห์แท้จริง “ว่าเหตุใดคุณหญิงจะต้องใจหาย เมื่อแลเห็นความสดชื่นของแม่สาวสองคนนั่น. คุณหญิงเองก็มีสิ่งนี้อยู่แล้วอย่างสมบูรณ์. บางทีความเปล่งปลั่งที่มีอยู่ในตัวคุณหญิงจะมีค่าเสียยิ่งกว่าในผู้หญิงสาวสองคนนั่นอีก.”

“ใครสอนเธอให้มาพูดกับฉันเช่นนี้.”

“ความรู้สึกดลใจสอนผม.” ข้าพเจ้าตอบออกไปทันที “และผมเชื่อว่ามิใช่แต่ผมเท่านั้นที่เห็นแน่นอนดังนั้น.”

“แต่เธอยังไม่ทราบจุดแห่งความกังวลของฉัน. ความสดชื่นของฉัน-ถ้าเธอเห็นว่ามี-จะนำไปเปรียบเทียบกับความสดชื่นของแม่​สาวสองคนนั่นไม่ได้. ความสดชื่นของหล่อนนั้น ฉันบอกแล้วว่าเช่นดอกไม้ตูมที่กำลังจะแย้มบาน เป็นความสดชื่นแรกรุ่งอรุณ. ส่วนความสดชื่นของฉันนั้น ถ้าหากว่ายังคงมีอยู่ในเวลานี้ ก็นับว่าเป็นความสดชื่นในยามย่ำยอแสงแล้ว จะจางหายไปในมิช้า. บัดนี้เธอคงจะเห็นว่า ฉันมีเหตุผลพอทีเดียวที่จะพูดว่าใจหาย.”

“ผมยังมองไม่เห็น” ข้าพเจ้าสนองถ้อยคำของเธอด้วยความสนใจ “แม้ว่าจะถือหลักในการเปรียบเทียบเช่นที่คุณหญิงกล่าว ผมก็ยังไม่เห็นพ้องด้วยในข้อที่คุณหญิงกล่าวว่า ความสดชื่นของคุณหญิงนั้น เปรียบเหมือนความสดชื่นของยามตะวันกำลังจะตกดิน. ในสายตาของผม ความสดชื่นของคุณหญิงยังอยู่ในยามเช้า แม้จะไม่ยอมเรียกว่าเป็นยามรุ่งอรุณ. ยังมีเวลาอีกนานที่จะดำรงความเปล่งปลั่งไว้ได้.”

“อา, เธอเป็นผู้เลื่อมใสในตัวฉันเสียจริง ๆ.” แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติจะไม่ยอมรับรองถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากล่าว แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แสดงว่า เธอมีความเบิกบานใจมากที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ “และด้วยเหตุนั้น เธอไม่รู้ดอกว่าสายตาของเธอพร่าพราวไปเสียแล้ว. เธอรู้หรือไม่ว่าฉันมีอายุมากเกินกว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นสาวได้.”

“ผมไม่คิดว่าจะมีใครสักคนหนึ่งถือว่าผู้หญิงที่มีอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีจะไม่ใช่คนสาวเสียแล้ว และเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณหญิง.”

เธอมองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่แสดงว่ามีชัย.

“เธอคงไม่ทราบว่าฉันมีอายุถึง ๓๕ ปีแล้ว.”

ด้วยคำพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้าตะลึง และมองจ้องเธออย่างไม่สุภาพ แต่ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ.

“คุณหญิงปดผม. ผมรู้ว่าคุณหญิงพูดล้อผม.”

​“อะไรกัน? นี่เธอคิดว่าฉันมีอายุเท่าไหร่กันเล่า บอกฉันเร็วเทียวว่า เธอเดาฉันไว้อย่างไร?”

“ผมคิดว่าอย่างไรเสียอายุของคุณหญิงไม่สูงกว่า ๒๘ ปีเป็นแน่. ความจริงคุณหญิงคงจะมีอายุ ๒๖-๒๗ ปีเท่านั้น.”

“๒๖ ปี!” เธอร้อง ในดวงตาของเธอมีประกายแห่งความปีติฉายอยู่ “เธอทำให้ฉันหวนระลึกถึงความรู้สึกของฉันเมื่อ ๙ ปีล่วงมาแล้ว ฉันจดจำความรู้สึกของฉันได้แม่นยำว่า ในเวลานั้นชีวิตของฉันยังเต็มไปด้วยความหวัง ฉันไม่เคยสังหรณ์หรือหวาดสะดุ้งไปแม้แต่ขณะหนึ่งว่า ฉันจะต้องเข้าสู่พิธีวิวาห์กับท่านสุภาพบุรุษซึ่งมีอายุเข้าเขตชราภาพแล้ว. มันเป็นธรรมชาติของฉันที่ไม่ชอบความทรุดโทรมเหี่ยวแห้ง อับเฉา ในบางคราวฉันอาจกล่าวได้ว่าฉันกลัว แต่ว่านั่นมันเป็นเวลาตั้ง ๙ ปีมาแล้ว.”

“ก็เดี๋ยวนี้มีอะไรเกิดขึ้นแก่คุณหญิงเล่าครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ยิ่งขึ้น.

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” เธอทวนคำถามข้าพเจ้าช้า ๆ ทอดสายตาเหม่อมองไปข้างหน้า “ความสาวและความฝันอันสวยงามก็เข้ามาอำลาฉัน. ฉันควรจะอนุญาตหรือไม่ มันมิใช่ปัญหา. ฉันจำต้องอนุญาตอยู่เอง. นอกจากนั้นเธอก็เห็นแล้วว่า ฉันได้แต่งงานกับท่านเจ้าคุณ.”

ข้าพเจ้าเกือบจะถามออกไปแล้วว่า เธอหมายความว่าเธอไม่พอใจในการแต่งงานนี้หรือ แต่สติสัมปชัญญะยังคงมีอำนาจสูงกว่าความอยากรู้ ข้าพเจ้าสำนึกได้ว่าออกจะเป็นการไม่สุภาพ และอาจจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป ที่จะตั้งคำถามเอาแก่เธออย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น.

“แม้ว่าฉันจะไม่ชอบความเหี่ยวแห้งทรุดโทรมเพียงใด และแม้ว่า​ฉันจะรักความสวยสดงดงามเพียงใด แต่เวลา ๙ ปีมันก็ผ่านฉันไปเสียแล้ว” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป “ฉันอยากจะเป็นอย่างที่เธอเดาว่าฉันคงจะเป็น แต่คนเราจะฝืนความจริงไปไม่ได้ทั้งหมด.”

“แล้วความจริงเป็นอย่างไรเล่าครับ ?”

“ความจริงฉันก็ไม่เป็นหญิงสาวอายุ ๒๖-๒๗ ปีอย่างที่เธอเข้าใจน่ะซี” เธอยิ้มน้อย ๆ ด้วยอารมณ์เย็น “ฉันไม่ได้ปดหรือคิดจะล้อเธอเลย เมื่อฉันพูดว่าฉันมีอายุถึง ๓๕ ปีแล้ว. เธอจะเห็นว่าฉันได้ผ่านวัยที่เขาเรียกว่าครึ่งคนค่อนคนเข้ามาแล้ว ดังนั้นฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นหญิงสาวได้เลย.”

“แต่ผมไม่ควรจะเชื่อนัยน์ตาของผมยิ่งกว่าคำบอกเล่าของคุณหญิงดอกหรือ ?” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ.

“วันนี้นพพรดื้อจริง ๆ.” เธอชายตามายิ้มอย่างน่ารัก.

“โปรดอภัยให้แก่ความดื้อที่สุจริตของผม. ร้อยทั้งร้อยเขาจะปฏิเสธไม่ยอมเชื่อ ถ้าคุณหญิงบอกเขาว่าคุณหญิงมีอายุ ๓๕ ปี. ความเป็นสาวและความเปล่งปลั่งในตัวคุณหญิงนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้แจ้งชัด แม้ว่าจะปิดตาเสียข้างหนึ่ง.”

“และเว้นเสียแต่ว่า อีกข้างหนึ่งที่เหลืออยู่จะมิใช่ดวงตาที่บอด.” เธอพูดอย่างสนุก.

“ผมพูดด้วยความสัตย์จริง.”

“ดีแล้ว. นพพร เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เธอเที่ยวไปเดาอายุของใคร ๆ ผิดไป ฉันจะบอกความจริงแก่เธอข้อหนึ่งว่า ผู้หญิงที่รู้จักรักษาตัวบำรุงตัวอยู่เป็นเนืองนิตย์นั้น อาจที่จะลดอายุลงมาได้ราว ๆ ๕ ปีจากของจริงเสมอ.”

“แต่คุณหญิงคงจะได้ประทานพรจากพระอินทร์หรือมิฉะนั้นก็คง​จะได้อาบไฟศักดิ์สิทธิ์เช่นพระนางอัชฌา จึงสามารถดำรงความงามความสดชื่นไว้ได้อย่างประหลาด. ผมไม่เคยพบสตรีคนใดที่จะได้ทำให้ผมเข้าใจผิด อย่างที่ผมกำลังเข้าใจผิดในตัวคุณหญิง. บอกผมหน่อยซิว่า คุณหญิงมีวิธีการเป็นพิเศษลี้ลับอย่างไรบ้าง.”

“พอ พอที.” เธอโบกมือให้ข้าพเจ้าสงบปากคำ “ฉันจะไม่พูดกับเธอต่อไปแล้วในเรื่องนี้. รู้ไหม นพพร เธอตั้งใจจะเยินยอฉันตลอดเวลา และการที่ประพฤติเช่นนั้นจะทำให้เธอเสียเด็ก.”

เธอวางหน้าอย่างเคร่งขรึม และเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก. ถ้าในวันแรก ๆ ที่ได้พบกัน และหม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดกับข้าพเจ้าด้วยสีหน้าท่าทางเช่นนี้ ข้าพเจ้าคงจะตกใจมาก แต่เมื่อเรามีความสนิทสนมกันพอที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ว่า เธอหมายความอย่างไรในการที่พูดเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ได้แต่อมยิ้ม.

เรากลับถึงบ้านเป็นเวลาโพล้เพล้ ท่านเจ้าคุณยังไม่กลับ. ข้าพเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนหม่อมราชวงศ์กีรติต่อไป. เมื่อเธอผลัดเครื่องแต่งตัวอาบน้ำเสร็จแล้ว เธอได้ขอให้ข้าพเจ้าไปอาบน้ำเสีย ก่อนที่จะถึงเวลารับประทานอาหาร เธอไม่ยอมที่จะเห็นข้าพเจ้ามีหน้าตาขะมุกขะมอม ไม่สะอาดหมดจด ดังนั้น คำปฏิเสธของข้าพเจ้าจึงไม่เป็นผล และด้วยเหตุอะไรที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นอกชื่นใจอย่างผิดปรกติเนื่องในคำแนะนำขอร้องของเธอเพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะตอบปัญหาข้อนี้ได้

ความรู้และความเพลิดเพลินที่ได้รับจากการสนทนากับหม่อมราชวงศ์กีรติในเย็นวันนั้น ได้ติดตามมาในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าตลอดเวลาที่เดินทางกลับบ้าน. เรื่องอายุอานามของหม่อมราชวงศ์กีรติ เป็นความรู้ใหม่ที่ข้าพเจ้าได้รับโดยมิได้คาดคิดมาแต่ก่อน เป็นสิ่งที่ทำให้​ข้าพเจ้าพิศวงงงงวยอย่างที่สุด แม้ข้าพเจ้าจะเชื่อแล้วว่าคำบอกเล่าของเธอเป็นความจริง. ถ้าข้าพเจ้าได้ทราบเสียแต่แรกเริ่มว่าเธอมีอายุตั้ง ๓๕ ปี ซึ่งแปลว่าเธอแก่กว่าข้าพเจ้าถึง ๑๓ ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็คงจะรู้สึกว่าเธอเป็นผู้ใหญ่เสียเหลือเกิน และข้าพเจ้าคงจะไม่อาจประพฤติตนสนิทสนมกับเธอในทำนองที่เป็นอยู่ได้. แต่ว่าเมื่อในที่สุดเราได้มีความสนิทสนมต่อกันฐานเพื่อนเสียแล้ว เรื่องอายุของเธอก็เป็นแต่เงาของความจริงเท่านั้น. ข้าพเจ้าจึงคงรู้สึกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติเป็นเพื่อนที่มีอายุแก่กว่าข้าพเจ้าเพียง ๓-๔ ปี คำบอกเล่าในเรื่องอายุอันแท้จริงของเธอ มิได้กีดกันข้าพเจ้าให้ห่างไกลออกมาจากความสัมพันธ์อันสนิทสนมในทางใจที่ข้าพเจ้าได้มีต่อเธอแม้แต่นิดเดียว.

อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของเธอในบางตอนซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจจะเข้าใจความหมายได้ เฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่กล่าวถึงการที่เธอได้มาแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ได้ก่อให้เกิดความซึ่งแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ตามที่เธอพูดทิ้งไว้สั้น ๆ นั้นถ้าข้าพเจ้าจะตีความเอาเอง ข้าพเจ้าก็จะต้องตีความไปในทางที่ว่าเธอหาได้มีความสมัครใจในการแต่งงานไม่ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า การตีความเช่นนี้จะเป็นการถูกต้องกับความเป็นจริง ยิ่งครุ่นคิดไป ข้าพเจ้าก็กลับเห็นไปว่า ปัญหาในเรื่องการแต่งงานของหม่อมราชวงศ์กีรติยิ่งจะกลายเป็นความลี้ลับหนักขึ้นกว่าเดิมอีก.

ในที่สุด เมื่อกลับมาถึงบ้านและล้มตัวลงนอน ข้าพเจ้าได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า ด้วยเหตุอันใดข้าพเจ้าจึงเก็บเอาเรื่องราวส่วนตัวของหม่อมราชวงศ์กีรติมาครุ่นคิด ข้าพเจ้ามีหน้าที่หรือความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปขบปัญหาเหล่านั้น ในเวลานั้นข้าพเจ้าอาจที่จะนับตัวเองว่าเป็นเพื่อนที่สนิทคนหนึ่งของเธอก็จริง แต่ก็มีเหตุผลอะไรที่ข้าพเจ้าจะต้องครุ่นคิดถึง​เรื่องราวส่วนตัวของเธอ โดยทั้งที่เธอเองไม่แสดงว่าได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย หรือจะว่าได้ออกปากขอร้องให้ข้าพเจ้าขบปัญหาเกี่ยวแก่ตัวเธอในข้อหนึ่งข้อใดก็เปล่าทั้งสิ้น เมื่อได้ตั้งปัญหาขึ้นถามตัวเองดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถตอบได้ ดังนั้น จึงพยายามกำจัดปัดเป่าความครุ่นคิดอันไม่มีเหตุผลนี้ให้พ้นไป ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นการซึ่งต้องใช้ความพยายามไม่น้อย.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #5 on: 29 October 2025, 18:55:20 »




​การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับท่านเจ้าคุณและหม่อมราชวงศ์กีรติคงดำเนินไปเป็นปรกติ ในราตรีวันหนึ่ง ต่อจากนั้นมาอีก ๓-๔ วัน ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญไปในงานรื่นเริงรายหนึ่ง หม่อมราชวงศ์กีรติบอกว่าไม่ใคร่สบาย และดังนั้นไม่นึกสนุกที่จะไปร่วมในชุมนุมบุคคลมากหน้าหลายตา จึงขอตัวพักผ่อนอยู่กับบ้าน ท่านเจ้าคุณจึงขอให้ข้าพเจ้าอยู่เป็นเพื่อนภรรยาของท่าน.

ราตรีนั้นเดือนหงาย เมื่อรับประทานอาหารค่ำแล้ว เราทั้งสองต่างมีความเห็นตรงกันว่า ในยามเช่นนั้น ถ้าจะไม่ออกมารับประโยชน์จากแสงจันทร์บ้างก็จะเป็นการเขลาอย่างที่สุด. ข้าพเจ้าได้แนะขึ้นว่า เราควรจะไปกรรเชียงเรือเล่นในสวนสาธารณะ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเราไปเพียงกินเวลาเดินราว ๑๐ นาที หม่อมราชวงศ์กีรติก็เห็นชอบด้วย.

เมื่อเราไปถึง ยังเป็นเวลาหัวค่ำ มีชาวบ้านแถวนั้นมาเดินเล่นในสวนไปมาไม่ขาด บ้างก็นั่งเล่นบนม้าบนสนาม ดูคนอื่น ๆ กรรเชียงเรือในสระใหญ่. เราเดินเล่นรอบ ๆ สวนสองสามรอบ จนรู้สึกเมื่อยจึง​ได้ชวนกันลงเรือ ขณะนั้นมีคนกรรเชียงเรือเล่นอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ ราย นับว่าเป็นจำนวนพอสมควร ไม่ทำให้ภายในสระนั้นเอะอะเกรียวกราวจนเป็นที่น่ารำคาญ. ข้าพเจ้ารับหน้าที่กรรเชียงเรือ หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งไปตามสบาย. เมื่อเราจับบทสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ข้าพเจ้าก็มักจะปล่อยให้เรือลอยอยู่โดยลำพัง.

จันทร์ส่องแสงกระจ่างฟ้า จะแลดูบนพื้นน้ำหรือทอดสายตาไปรอบ ๆ บนพรรณพฤกษานานาชนิดในบริเวณสวน ก็เป็นที่เจริญตาเจริญใจไปทั้งนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติก็เพลินชม และพรรณนาถึงความสวยงามของธรรมชาติในยามเช่นนี้ให้ข้าพเจ้าฟังมิได้ขาด. ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำพรรณนาของเธอทุกประการ แต่ข้าพเจ้ามิได้เพลิดเพลินไปในทางนั้น. ในชีวิตของข้าพเจ้าได้ผ่านความงามของคืนเดือนหงายมานับตั้งร้อย ๆ ครั้งแล้ว แต่สายตาของข้าพเจ้าไม่เคยพานพบสิ่งที่มีชีวิตใด ๆ ในท่ามกลางแสงเดือนอันสว่างจ้า ที่จะงามเหมือนภาพของสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ณ บัดนี้.

เพื่อที่จะหาทางเพิ่มความสนุกเล็กน้อยในการออกมาเที่ยวเล่นในสวนคืนวันนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติสวมกิโมโนแพรสีขาว มีลวดลายสีแดงเด่นบนพื้นแพรขาวนั้น ดูงามดั่งดอกคริสแซนติมัมช่อใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้ชม ณ สวนตาการะซูกะเมื่อฤดูออทัมน์ปีที่แล้ว จันทร์แหวกเมฆออกมาเต็มดวง แสงส่องต้องดอกคริสแซนติมัมที่มีชีวิตวิญญาณ ทั่วสรรพางค์กาย เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติเงยพักตร์ขึ้นรับแสงจันทร์นั้น มีลมโชยพัดมา เส้นเกศาของเธอเต้นอยู่กลางแสงจันทร์ น้ำที่หล่ออยู่ในดวงเนตรของเธอเป็นประกาย เรียกร้องความสนใจทั้งหมดของข้าพเจ้าให้มารวมอยู่ ณ ที่นั้น.

เธอนั่งเหยียดเท้าตรงมาทางข้าพเจ้า เท้าของเธอขาวผ่อง เรียวและ​อวบ นั่งทอดกายไปข้างหลังเล็กน้อย ปล่อยอารมณ์ชมความงามของธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน

“นพพร. เธอรู้สึกสบายใจมากไหมในคืนที่งดงามเช่นนี้” เธอถามด้วยเสียงเบา ทอดตาอันมีประกายตรงมาทางข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าแทบสะดุ้ง ด้วยกำลังเพลินพิศวงพักตร์อันงามของเธออยู่.

“ผมสบายใจอย่างพรรณนาไม่ถูก เกินอำนาจของถ้อยคำและวิธีพรรณนาของผม.” ข้าพเจ้าตอบด้วยความตื่นเต้น.

“และมันทำให้เธอคิดถึงบ้านบ้างไหม ?”

“ผมจากบ้านมาอยู่ที่นี่ตั้ง ๓ ปีกว่า เคยคิดถึงบ้านบ้างในบางคราว แต่เมื่อนานเข้าความคิดถึงนั้นก็ชาไป.”

“และเธอก็ไม่คิดถึงบ้านเลย.”

“ครับ, อย่างน้อยที่สุดก็ในชั่วขณะนี้.”

“เธอผิดกับฉันตรงกันข้าม ในเวลาสงบและในเวลาที่จิตใจหมกอยู่ในความงามของธรรมชาติเช่นเวลานี้ ฉันอดคิดสิ่งที่ฉันรักที่สุดไม่ได้. ฉันคิดถึงท่านพ่อท่านแม่และน้อง ๆ ของฉัน ภายในบ้านอันเต็มไปด้วยความสงบสุข คิดถึงชีวิตเมื่อ ๑๐ ปีล่วงแล้วมา เมื่อเราอยู่กันพร้อมหน้าที่บ้านของเรา และคิดถึงชีวิตของฉันเองในเวลานั้น ชีวิตที่สมบูรณ์ไปด้วยความสุข และเต็มไปด้วยความหวัง. เธอใจแข็งมากนะนพพร ที่ไม่คิดถึงบ้านเลยในเวลาเช่นนี้.”

ข้าพเจ้าอยากจะตอบและเกือบจะได้ตอบออกไปว่าในเวลาที่อยู่ต่อหน้าเธอ ต่อหน้าเสน่ห์และความงามอันรัดรึงตรึงใจของเธอ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงสิ่งอื่นเลย และข้าพเจ้ายากที่จะคิดถึงสิ่งอื่นได้. ข้าพเจ้าไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ เช่นนี้ เพราะว่าข้าพเจ้าเองก็ยังไม่แจ้งชัดว่าเหตุใดจึงได้มีความคิดเห็นไปเช่นนั้น.

​“ผมไม่ใช่คนใจแข็งเลย. แต่ว่าผมจำเป็นต้องสนใจในการเล่าเรียนมาก. นอกจากนั้นผมขอบอกตามตรงว่า ในเวลานี้ผมเพลิดเพลินไปในการรับใช้สอยทำประโยชน์ให้แก่คุณหญิง.” อะไรไม่ทราบมาดลใจให้ข้าพเจ้าต้องระบายความจริงใจออกไปบ้าง.

“เธอนี่หัดพูดไพเราะใหญ่เสียแล้ว.”

ข้าพเจ้ามองไปทางอื่น และเธอพูดต่อไป “เธอจะต้องอยู่เล่าเรียนต่อไปอีกกี่ปี ?”

“ประมาณ ๕ ปี เพราะว่าเมื่อเสร็จจากการเล่าเรียนแล้ว ผมตั้งใจจะหางานทำที่นี่สักชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อความชำนิชำนาญ.”

“นานมาก และในที่สุดเธออาจจะกลายเป็นญี่ปุ่นไปเลย เธออาจจะแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นซึ่งเธอเลื่อมใสมาก และตั้งรกรากอยู่ที่นี่.”

“โอ, เป็นไปไม่ได้” ข้าพเจ้ารีบค้านทันที “ผมเลื่อมใสความเจริญก้าวหน้าของญี่ปุ่น และเลื่อมใสสตรีญี่ปุ่นก็จริง แต่เหตุนั้นไม่ทำให้ผมกลายเป็นคนญี่ปุ่นไปได้. ผมไม่ลืมแม้สักขณะหนึ่งว่า ผมเป็นคนไทย เป็นหน่วยหนึ่งของชาติไทยที่ยังอยู่ล้าหลังชาติอื่นเขามาก การที่ออกมาเรียนก็เพื่อแสวงหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่เมืองไทย จุดหมายปลายทางของผมจึงอยู่ที่เมืองไทย รวมทั้งการแต่งงานด้วย.”

การที่ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องการแต่งงานด้วย ก็เพราะว่าคำปรารภของหม่อมราชวงศ์กีรติทำให้ข้าพเจ้าหวนระลึกนึกไปถึงสตรีคนหนึ่งซึ่งเป็นคู่หมั้นของข้าพเจ้า. ถูกแล้ว หล่อนเป็นแต่เพียงคู่หมั้น ซึ่งท่านบิดาได้เลือกเฟ้นให้เพื่อเป็นประกันว่าข้าพเจ้าจะกลับไปแต่งงานกับสุภาพสตรีผู้นั้น หรืออย่างน้อยก็เพื่อจะให้เป็นเครื่องเตือนใจว่า ข้าพเจ้าจะไม่มาวุ่นวายกับสตรีชาติอื่นที่นี่. เพราะว่าหล่อนเป็นแต่เพียงคู่หมั้น มิใช่เป็นคู่รักคู่อาลัยของข้าพเจ้า ฉะนั้นการระลึกนึกถึงหล่อนจึงมิได้หมายความว่า ​ข้าพเจ้านึกถึงตัวหล่อน แต่หากหมายความว่าข้าพเจ้านึกถึงชีวิตแต่งงานของข้าพเจ้าในภายภาคหน้า.

“เธอมีจิตใจใฝ่สูงอย่างน่าสรรเสริญ” เธอชมข้าพเจ้าอย่างจริงจัง “มีสิ่งสำคัญสองสิ่งที่คอยความวินิจฉัยของเธอในเมืองไทย คือการอาชีพและการแต่งงาน เธอได้กะการไว้อย่างไรบ้างเล่า ?”

“ผมตั้งใจจะศึกษาพิเศษในทางธนาคาร เพราะเท่าที่ผมจะทราบได้ วิชาการธนาคารในเมืองไทยเรายังมีผู้สนใจน้อยมาก. งานอาชีพของผมก็คงจะเป็นไปในทางนั้น. ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น ผมยังไม่มีความคิดที่จะกะการอย่างไรเลย ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าที่ผมจะนำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในเวลานี้.”

ข้าพเจ้าไม่สบายใจนิดหน่อย ที่ไม่ได้ตอบหม่อมราชวงศ์กีรติออกไปให้เป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจนว่า การที่ข้าพเจ้าไม่ได้คิดกะการอะไรในเรื่องนี้ ก็เพราะเหตุว่าการนั้นได้ถูกกะไว้แล้ว. ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็จะต้องแต่งงานกับสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าเพียงแต่รู้จักว่าหล่อนเป็นใครเท่านั้น ยังมิเคยมีความรักหรือความเข้าใจในตัวหล่อนเลย. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เล่าความเรื่องนี้สู่หม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าตั้งใจจะอำพรางเธอหรือ ? ข้าพเจ้าไม่สู้จะแน่ใจนัก. อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าข้าพเจ้ามิได้ปดเธอ มิได้กล่าวเท็จแก่เธอในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอาจไม่ได้ตั้งใจอำพรางเธอเลยก็ได้ เพราะว่าข้าพเจ้ายังมิเคยถูกถามว่าข้าพเจ้ามีคู่หมั้นคอยอยู่ที่เมืองไทยหรือไม่ แต่ถ้าเธอถามขึ้นเล่า ? ข้าพเจ้าจะตอบอย่างไร หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรงผิดปรกติ.

“เธอยังหนุ่ม แต่เธอคิดอย่างผู้ใหญ่” หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวเมื่อข้าพเจ้าพูดจบแล้วสักครู่

​เวลานั้นเรือบดของเรากำลังลอยลำสงบนิ่งอยู่กลางสระน้ำ ข้าพเจ้าจับกรรเชียงพุ้ยน้ำให้เรือแล่นต่อไป. ข้าพเจ้ายังตกใจอยู่ และต้องการให้มีความเคลื่อนไหวเพื่อว่าการสนทนาของเราอาจจะได้เปลี่ยนเรื่องใหม่. เรือของเรากำลังแล่นไล่หลังเรือลำหนึ่งซึ่งมีสตรีสาวสองคนนั่งอยู่ในเรือ หล่อนร้องเพลงคลอเสียงกันไปเบา ๆ กรรเชียงเรือไปช้า ๆ และแหงนหน้าขึ้นชมจันทร์ด้วยความสำราญเริงรมย์.

“หล่อนร้องไพเราะน่าฟัง” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดขึ้นเบา ๆ “ท่าทางของหล่อนดูเคลิบเคลิ้มไปตามบทเพลงนั้น คงจะเป็นบทเพลงที่จับใจมาก. เธอจะแปลเนื้อความในเพลงนั้นให้ฉันฟังได้ไหม ?”

“หล่อนร้องเพลงปลอบใจ ไม่ใช่เพลงพิศวาส เป็นเพลงปลอบใจ ให้พอใจในฐานะของตน” ข้าพเจ้าบรรยายให้เธอฟัง เมื่อสองสาวร้องเพลงจบลง “เนื้อเพลงนั้นมีความว่า แม้นเรามิได้เกิดเป็นดอกซากูระ ก็อย่ารังเกียจที่เกิดเป็นบุปผาพรรณอื่นเลย ขอแต่ให้เป็นดอกที่งามที่สุดในพรรณของเรา. ภูเขาฟูจีมีอยู่ลูกเดียว แต่ภูเขาทั้งหลายก็หาไร้ค่าไม่. แม้นมิได้เป็นซามูไร ก็จะเป็นลูกสมุนของซามูไรเถิด. เราจะเป็นกัปตันกันหมดทุกคนไม่ได้ ด้วยว่าถ้าปราศจากลูกเรือแล้ว เราจะไปกันได้อย่างไร. แม้นเรามิอาจเป็นถนน ขอจงเป็นบาทวิถี. ในโลกนี้มีตำแหน่งและงานสำหรับเราทุกคน. งานใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่เราย่อมจะมีตำแหน่งและงานทำเป็นแน่ละ. แม้นเป็นดวงอาทิตย์ไม่ได้ จงเป็นดวงดาวเถิด. แม้นมิได้เกิดมาเป็นชาย ก็อย่าน้อยใจที่เกิดมาเป็นหญิง จะเป็นอะไรก็ตาม จงเป็นเสียอย่างหนึ่ง จะเป็นอะไรมิใช่ปัญหา สำคัญอยู่ที่ว่าจะเป็นอย่างดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม.”

“เป็นเพลงปลอบใจที่มีค่ายิ่ง.” หม่อมราชวงศ์กีรติรำพึงเมื่อข้าพเจ้าบรรยายจบลง “และเธอก็แปลได้ไพเราะมาก ฉันอยากได้ฟังอีกสัก​ครั้งหนึ่ง ดูหล่อนทั้งสองบันเทิงใจไม่น้อยเมื่อร้องเพลงบทนั้น.”

“ผมสังเกตว่าคุณหญิงมีความพอใจแทบทุกสิ่งทุกอย่างในโตเกียวนี้.” ข้าพเจ้าดำเนินเรื่องต่อไป ภายหลังที่เราผ่านเรือลำนั้นมาแล้ว “คุณหญิงจะตอบผมได้ไหมว่า คุณหญิงพอใจอะไรมากที่สุด.”

“อะไรที่เป็นความสวยงามแล้วฉันพอใจทั้งนั้น. แต่ก็นั่นแหละ ฉันมักจะมองเห็นความสวยงาม น่าพินิจน่าชมในแทบทุกสิ่งทุกอย่าง สมมุติเช่น พื้นน้ำที่มีริ้วระลอกน้อย ๆ รอบสระนี้ ก็เป็นที่น่าสนใจสำหรับฉัน ฉันรักความสวยงาม เพราะว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกที่สวยงาม สดชื่น ปราศจากมลทินนิรโทษ และความเหี่ยวแห้ง.”

“ถ้าเช่นนั้นคุณหญิงคงจะเป็นสุขมาก ถ้าได้ไปพักอยู่ตามตำบลที่มีภูมิประเทศสวยงามตามธรรมชาติ เช่นที่นิกโกเป็นต้น.”

“ถูกแล้ว ฉันคงจะเป็นสุขมาก. ฉันอยากไปนิกโก ไปชมน้ำตก ไปชมแสงเดือนส่องต้องทะเลสาบบนยอดเขา. ฉันอยากไปเที่ยวตามตำบลชายทะเลอีกด้วย ไปดูหนุ่มสาวเขาอาบน้ำทะเล และเดินเล่นระริกซิกซี้กันตามชายหาด. ฉันได้ยินเจ้าคุณปรารภว่าจะพาฉันไปเที่ยวตามสถานที่เหล่านี้ในไม่ช้า. ฉันคงเป็นสุขมากไม่ต้องสงสัย” เธอเอามือประสานกัน และวางคางไว้บนมือ ดวงตาของเธอเหลือบไปมา และมียิ้มวิ่งตามดวงตาที่เหลือบไปมานั้น.

“ฉันอยากไปยุโรปอีกด้วย” เธอรำพึงอย่างเคลิ้มฝัน “ฉันอยากพบอยากเห็นความสวยงามแปลก ๆ ใหม่ ๆ ออกไปอีก ฉันอยากท่องเที่ยวไปในอังกฤษและฝรั่งเศส ในฤดูหนาวฉันจะข้ามไปสวิตเซอร์แลนด์ แล้วฉันจะไปนอรเว ไปชมพระอาทิตย์เวลาเที่ยงคืน และฉันจะจบการท่องเที่ยวของฉันที่ประเทศอิตาลี ฉันจะใช้เวลานานที่สุดที่โรมและฟลอเรนซ์ ​เพื่อชมภาพเขียนของราฟาเอล, ลีโอนาโด และไมเคลแอนจิโล ผู้มีฝีมือใหญ่หลวงทั้งสาม.”

“คุณหญิงคงจะเป็นอาร์ติสต์ ?”

“ฉันชอบศิลปะมาก ฉันใช้เวลาฝึกฝนในทางเขียนภาพ.”

“โอ, ผมเพิ่งทราบ” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความแปลกใจและยินดีระคนกัน “มิน่าเล่า คุณหญิงจึงเห็นอะไรสวยงามไปหมด และพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่าง. คุณหญิงไม่เคยอวดผมเลย.”

“เพราะฉันหวาดกลัวตามเยินยอของเธอ นอกจากนั้นฝีมือของฉันยังไม่ดีพอที่จะอวด.”

“คุณหญิงใช้เวลาฝึกฝนมานานเท่าใด.”

“หลายปีมาแล้ว หรืออย่างน้อยตั้ง ๕-๖ ปีมาแล้ว นับตั้งแต่ฉันเริ่มมีความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ.”

“ถ้าคุณหญิงได้ออกไปอิตาลี ได้เห็นแบบอย่างที่ดีและได้รับการฝึกฝนอันมีค่า คุณหญิงอาจประสบชื่อเสียงใหญ่ยิ่งดุจท่านทั้งสามนั้น.”

“เธอเริ่มลงมือตามวิธีของเธอแล้วไหมล่ะ เธออย่าพยายามทำให้ฉันเหลิงนักซี นพพร ฉันจะได้คุยกับเธอต่อไปได้” เธอดุข้าพเจ้าด้วยสายตาและคิ้วขมวดของเธอ “ฉันฝึกฝนมาในทางนี้ก็เพราะความรักศิลปะอย่างแท้จริง. นอกจากนั้นฉันมีเหตุผลพิเศษของฉันอีกอย่างหนึ่งว่า การที่ได้มอบความสนใจผูกพันไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันช่วยบำบัดความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้มาก. มันช่วยให้หัวคิดของเราสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน. เธอเคยคำนึงบ้างหรือเปล่าว่าความเคลื่อนไหวในทางสมองนั้น ก็เช่นเดียวกับทางร่างกายย่อมเคลื่อนไหวอยู่เสมอ นอกจากในเวลาหลับ. เป็นธรรมชาติของเราที่จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องคิดอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ เราไม่หยุดอยู่เฉย ๆ เลย ถ้าเราพยายามหยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ เราก็รู้สึก​เหมือนได้รับการทรมานอย่างหนัก เธอจะทดลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ ลองปล่อยมือนิ่ง นั่งนิ่ง อย่าขยับเขยื้อนไหวกาย และอย่าคิดถึงอะไรเลย เธอจะรู้สึกเดือดร้อนมาก. ครั้นเธอเคลื่อนไหว ความเคลื่อนไหวของเธอก็จะเป็นไปในทางที่เกิดประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ หรือเป็นโทษ อย่างใดอย่างหนึ่ง. ในเรื่องความคิดก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่คิดในทางที่เกิดประโยชน์ เราก็คิดในทางที่ไร้ประโยชน์ หรือคิดในทางที่เป็นโทษไปเลย. เมื่อสมองของเราจำต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอดังนี้แล้ว ฉันก็เห็นว่า ถ้าเราหาเครื่องล่อที่เป็นคุณประโยชน์ซึ่งจะคอยดูดดึงความคิดของเราให้จดจ่ออยู่ได้เป็นเนืองนิตย์แล้ว ชีวิตก็จะไม่เป็นสิ่งที่ไร้ค่า และเราเองก็สามารถที่จะบันเทิงชีวิตของเราได้ไม่มากก็น้อยไม่ว่าเราจะมีฐานะอย่างไร. การคิดอะไรฟุ้งซ่านนั้นไม่มีทางดี มันมักจะมาลงเอยด้วยความเบื่อหน่ายในชีวิต. ผู้หญิงฐานะอย่างฉันต้องการเครื่องช่วยในทางนี้มาก ถ้าฉันไม่มีอะไรจะคิดในทางที่เป็นคุณประโยชน์ ฉันก็จะต้องคิดในทางที่ไร้ประโยชน์ หรือเป็นโทษไม่ต้องสงสัย ข้อนี้เป็นหลักธรรมดา. และฉันบอกได้ว่า เมื่อฉันมีความรักในศิลปะแล้ว ศิลปะก็ยอมรับเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันด้วย. ฉันพูดมายืดยาวนัก เธอคงเบื่อละซี.”

“ผมได้รับความเพลิดเพลินอย่างยิ่งตลอดเวลาที่ได้ฟังปาฐกถาเรื่องนี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ “ผมอยากจะ-แต่ว่า ทำไมคำเยินยอด้วยความจริงใจของผมจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวสำหรับคุณหญิงไปเล่า? หรือว่าความจริงใจของผมเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอยู่แล้ว.”

“เธอตอบคำถามของเธอเองเสียหมดแล้วนี่ จะให้ฉันตอบอะไรอีก.”

“คุณหญิงฉลาดพูดเหลือเกิน ฉลาดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนผมตามไม่ทันแม้สักอย่างเดียว.”

​“เปล่า. ฉันคิดว่า เธอมีทางของเธอเองที่จะเดินไปอยู่แล้ว เธอไม่ต้องการที่จะเดินตามใครเลย เธอควรจะภูมิใจ.” เธอหยุดครู่หนึ่ง ดึงแขนเสื้อกิโมโนของเธอให้กระชับกาย แล้วพูดต่อไปว่า “วันนี้ไม่อบอ้าวเลย มีลมพัดตลอดเวลา จนฉันรู้สึกเท้าเย็นนิดหน่อย”

ข้าพเจ้าปลดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกจากคอ แล้วจัดแจงคลุมลงไปบนเท้าขาวผ่องของเธอ.

“อุ๊ยตาย!” เธออุทานและมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามออกมา “ทำไมเอวผ้าพันคอของเธอมาคลุมเท้าฉันล่ะ ไม่เป็นของคู่ควรกันเลย.”

“คุณหญิงไม่ทราบดอกหรือว่า เท้าของคุณหญิงนั้นงามกว่าลำคอของผมเสียอีก และควรจะได้รับความทะนุถนอมยิ่งกว่า.”

หม่อมราชวงศ์กีรติทำถอนใจใหญ่ เป็นกิริยาที่จะให้ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า เธอไม่ประสงค์จะต่อต้านคำเยินยอของข้าพเจ้าต่อไปแล้ว.

ในคืนวันนั้นเราขึ้นจากเรือเป็นคนสุดท้าย. เราทั้งสองประหลาดใจมาก เมื่อมองไปรอบสระใหญ่ไม่พบเรือของผู้ใดเลย นอกจากเรือของเราลำเดียวลอยอยู่ในสระนั้น เราทั้งตกใจและขัน ที่มัวเพลิดเพลินจนไม่ทราบว่า คนอื่น ๆ เขาเลิกกันไปเสียเมื่อใด. เมื่อดูนาฬิกาที่ข้าพเจ้าเอาติดตัวไปด้วย จึงได้ทราบว่าเราได้ใช้เวลาถึง ๒ ชั่วโมงเต็มอยู่ในเรือนั้น.

“เราอยู่ได้อย่างไรกันนี่แน่ะ?” เธอถามอย่างพิศวง.

“ผมเพลินไปกับคุณหญิง.” เป็นคำตอบของข้าพเจ้า.

“ฉันคิดว่าเราได้ใช้เวลาเพียง ๑ ชั่วโมงอย่างมาก.”

“ผมคิดว่าเพียง ๕ นาทีเท่านั้น.”

คืนนั้นท่านเจ้าคุณกลับถึงบ้านไล่หลังเรามาราวครึ่งชั่วโมง. ทั้งหม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้าต่างเห็นพ้องกันว่า ไม่มีความจำเป็น​อย่างไรที่จะเสนอรายละเอียดในการที่เราได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านในค่ำวันนั้นแก่ท่านเจ้าคุณ. และการที่มีความเห็นพ้องต้องกันเช่นนั้น เราก็มิได้แสดงเหตุผลแก่กันทั้งสองฝ่าย.

ข้าพเจ้านอนหลับได้ยากเหลือเกินในราตรีนั้น. ข้าพเจ้าก็สงสัยเหมือนกันว่า ข้าพเจ้าจะหลับได้อย่างไรเมื่อในหัวของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยเรื่องราวของหม่อมราชวงศ์กีรติ ปัญหาหลายข้อได้ผุดขึ้นในความคิดคำนึงโดยมิได้ตั้งใจ. ในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ทรงเสน่ห์และความงามยิ่งไปกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ทั้งอ่อนหวานและฉลาดหลักแหลมยิ่งไปกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ได้แสดงความเอ็นดู ​ปรานี และให้ความสนิทสนมแก่ข้าพเจ้ายิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้าได้รับจากหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? คำตอบปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นไปในทางปฏิเสธ เป็นการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและแน่นอน.

แต่ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงได้ตั้งปัญหาเหล่านี้ขึ้น ทำไมจะต้องสนใจเปรียบเทียบความงาม ความฉลาด และความดีประการอื่น ๆ ของหม่อมราชวงศ์กีรติกับคนทั้งหลาย – หรือจะให้ถูกต้องยิ่งขึ้น - กับสตรีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักพบเห็นมา. เพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงตั้งปัญหาเหล่านี้? ข้าพเจ้าพยายามที่จะค้นหาเหตุ. ในที่สุดข้าพเจ้าได้พบสาเหตุหรือไม่?

การค้นคว้าของข้าพเจ้าเลือนรางไป. แทนที่สาเหตุนั้นจะได้ปรากฏขึ้นอย่างแจ้งชัดในความคิดคำนึง ข้าพเจ้ากลับไประลึกนึกถึงความรู้สึกบางประการ ที่ข้าพเจ้ามีต่อหม่อมราชวงศ์กีรติเมื่อยามจะจากมา. ในเวลาที่จะขึ้นจากเรือ เธอได้ยื่นแขนให้ข้าพเจ้าพยุง. ข้าพเจ้าจับมือของเธอกำไว้ และประคองเธอไว้เบา ๆ มิให้ซวนเซ ระหว่างที่เท้าของเธอผละจากเรือ และเหยียบลงบนบก. ในขณะที่ทำดังนั้น ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาจับหัวใจข้าพเจ้าอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ข้าพเจ้ามิเคยประสบเลยในชีวิต. ความรู้สึกนั้นประดุจเป็นมืออันแข็งแรงจับและสั่นหัวใจของข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าแทบจะรู้สึกหวั่นไหวไปทั่วสรรพางค์กาย. ความรู้สึกประหลาดนั้นได้ขับไล่ความรู้สึกปรกติของข้าพเจ้า และได้เข้าครอบครองมีอำนาจเหนือข้าพเจ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง.

“ฉันยืนได้เรียบร้อยแล้ว เธอจะปล่อยมือฉันเสียก็ได้.”

เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติพูดขึ้น ข้าพเจ้าจึงระลึกได้ว่าข้าพเจ้าก็ยังคงกุมมือของเธอไว้ ข้าพเจ้าปล่อยมือน้อยอ่อนนุ่มด้วยความตกใจ ​แต่ความรู้สึกประหลาดยังเต้นระรัวอยู่ในหัวใจข้าพเจ้า. มีอำนาจอะไรสิงอยู่ในแผ่นมือน้อยนั้นหนอ ที่ได้ฉุดลากข้าพเจ้าออกไปไกลจากตัวของข้าพเจ้าเอง อำนาจอะไรในสัมผัสนั้นที่ยังคงรัดรึงใจข้าพเจ้าอยู่ จนแม้ว่าได้จากมาแล้วหลายชั่วโมง.

เมื่อจะลากลับ เธอเดินมาส่งข้าพเจ้าถึงหน้าประตูใหญ่ ในขณะที่ข้าพเจ้ากล่าวคำลา เธอได้เอาผ้าพันคอที่ข้าพเจ้าลืมทิ้งไว้พันให้รอบคอข้าพเจ้า.

“คืนนี้ลมจัด” เธอกล่าว “เธอต้องระวังอย่าเปิดคอให้โล่งไว้ ถ้าเธอต้องป่วยเจ็บเนื่องด้วยมาเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ฉันจะเสียใจมาก.”

“พรุ่งนี้คุณหญิงต้องการตัวผมไหม?”

“ฉันจะลองนึกดูก่อน” เธอตอบอย่างสนุก

“ดีแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาเพื่อที่จะฟังคำตอบ.”

“ดีแล้ว เธอมาฟังคำตอบได้ทุกวัน.” เธอยิ้มด้วยรื่นรมย์ใจ แล้วเธอกล่าวคำลาไปนอน “โอยาซูมินาไซ เด็กดีของฉัน.”

“โอยาซูมินาไซ” ข้าพเจ้าตอบ ใจสั่นระรัวด้วยยิ้มหวาน และเสียงเบามีกังวานไพเราะของเธอ.

ภาพและความรู้สึกเหล่านี้บรรจุอยู่ในความคิดคำนึงของข้าพเจ้า แสงเดือนสาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ข้าพเจ้าเปิดแง้มไว้บานหนึ่ง แสงส่องต้องเท้าของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเท้าขาวผ่องเรียวและอวบนั้นอีก---

 


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.104 seconds with 17 queries.