| 
			| 
					
						| ppsan | 
								|  | «  on: 28  October  2025, 21:04:12  » |  | 
 
 นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 16-20
 
 ๑๖
 
 
 ดูกรคฤหบดีบุตร เหล่านี้แลเป็นโทษ ๖ อย่างในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาอันเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความประมาท ทำความเสื่อมทรัพย์อันผู้กินเหล้าจักเห็นด้วยตนเอง ๑ เหล้านั้นทำความทะเลาะกันให้เจริญ ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑ ทำความนินทาให้เกิด ๑ ให้เปิดองค์อวัยวะที่ทำความอายให้กำเริบ ๑ ทำให้ปัญญาถอยกำลัง ๑
 
 
 
 
 อีกสิบนาทีต่อมา ภรณีไม่เป็นผู้ไม่รู้จะวางตัวไว้แห่งใดอีกแล้ว แขกของบันลือที่แปลก หรือว่ามนุษย์มีความแปลกเช่นนี้ด้วยกันทุกคน ? ผู้ใดได้รับความห้อมล้อมแล้ว ยิ่งมีผู้มาช่วยห้อมล้อมให้มากขึ้นอีก ส่วนผู้ที่อยู่เดียวดายไม่มีผู้ใดเหลียวแล ภรณีได้พบจิตราแล้ว แต่มิได้เข้าใกล้กัน จิตราอยู่ในวงล้อมวงหนึ่ง หล่อนเห็นภรณีก็ส่งเสียงมาว่า “อ้อ ภร บันลือเขากลัวหน้าเธอจะหมอง เขาสั่งพี่ไว้ เธออยากขึ้นไปบนโน้นเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ แต่รออีกสักครู่ละก็ดี เวลานี้ถ้าจะกำลังแน่น แล้วพี่ก็ยังขี้เกียจขึ้นกระได ท้องหลาม” หล่อนบอกแก่ผู้ที่อยู่ในวงเดียวกับหล่อน แล้วก็หัวเราะด้วยลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นต้องพลอยหัวเราะไปด้วย
 
 ภรณีได้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ชายทั้ง ๔ คนก็นั่งลงใกล้ ๆ หล่อน ต่อจากนั้นไม่ช้า ภรณีรู้สึกว่าหมู่น้อยที่หล่อนร่วมอยู่ได้กลายเป็นหมู่ใหญ่ขึ้นทุกที และการสนทนาก็ดำเนินไปโดยไม่ขาดระยะ จนกระทั่งมาถึงขีดที่ต่างพูดไม่มีใครฟังใคร และภรณีเลือกไม่ถูกว่าจะสนใจในคำพูดของผู้พูดคนใด ในที่สุดหล่อนได้เลือกฟังคำพูดของผู้ที่คนอื่น ๆ ไม่สนใจฟัง เมื่อเห็นผู้ใดพูดออกไปเปล่า เพราะผู้อื่นกำลังนั่งอยู่ทางอื่น ภรณีก็จับตาดูเขาผู้นั้น ครั้นมีผู้อื่นหันมาช่วยฟัง และมีผู้อื่นหลงพูดไปเปล่าอีกหล่อนก็หันไปฟังเขาอีก ครั้นแล้วก็รู้สึกตัวว่ายิ่งฟังมากเท่าใดก็ยิ่งรู้เรื่องที่ฟังน้อยลงเท่านั้น
 
 ดนตรีที่ห้องลีลาศได้บรรเลงไปแล้ว ๒–๓ เพลง เสน่ห์เตือนภรณีถึงข้อที่หล่อนควรเต้นรำกับเขาในเที่ยวที่ ๓ ที่ ๔ หลังจากที่หล่อนได้เต้นกับคู่หมั้นของหล่อนแล้ว หล่อนบอกเขาอีกว่าหล่อนเต้นรำไม่เป็นและไม่เคยเต้น ผู้ที่นั่งอยู่กับหล่อนพากันแสดงความประหลาดใจและไม่เชื่อ สุภาพสตรีสาวรุ่นใหญ่ราวรุ่นจิตราหรือเหนือไปกว่านั้น จึงขยายความแห่งคำพูดของภรณี
 
 “พ่อหนุ่ม ๆ นี่น่ะ ชอบฝันว่าเมืองไทยเป็นเมืองฝรั่งร่ำไป ต้องเข้าใจว่ายังมีพ่อแม่อีกเยอะเทียวนะ ที่ไม่ยอมให้ลูกสาวของเขาเต้นรำ ลูกของเขายังสาวไม่ได้ ต่อเมื่อแต่งงานไปแล้วนั่นแหละ มันแล้วแต่สามีเขา”
 
 ห้องที่เต็มอยู่เมื่อครู่ก่อนว่างไปมาก โดยเฉพาะสตรีเกือบจะไม่มีเหลืออยู่เลย จิตราก็ได้หายไปด้วย หล่อนคงจะลืมภรณีเสียชั่วขณะ หญิงที่อยู่ในหมู่เดียวกับภรณีก็กำลังลุกขึ้นจะออกจากห้องไปเหมือนกัน ภรณีพบตัวเองเป็นหญิงคนเดียวอยู่ในหมู่ชายถึง ๗ คน
 
 หล่อนเริ่มสงสัยว่าหล่อนจะนั่งอยู่จะนั่งอยู่เช่นนี้แหละหรือ หล่อนควรแสดงความประสงค์ที่จะย้ายที่บ้างหรือยัง ทันใดนั้นเองหล่อนเห็นบันลือเข้ามาทางประตูใกล้ที่ ๆ หล่อนนั่งอยู่ หล่อนมองดูเขา แต่เขามองปราดข้ามศีรษะหล่อนไปโดยเร็ว เขาเดินไปยังคนอีกหมู่หนึ่งซึ่งอยู่ทางมุมห้องด้านโน้น เขาคงมองหาใครที่ไม่ใช่ตัวหล่อน ภรณีนึกครั้นแล้วเขาหันกลับมา และสายตาของเขาประสานกับสายตาของหล่อน คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออกทันที เขาเดินเข้ามาใกล้
 
 ชายในหมู่เดียวกับภรณีพูดขึ้นว่า “ตาลายไปแล้วรึ ? ท่าจะอดใจมานาน เห็นแล้วเลยไม่เชื่อตาตัวเอง”
 
 บันลือหัวเราะ “ล้อได้ล้อไป” เขาว่า “ไม่ถึงทีเราบ้างก็แล้วไปเถอะ” ทอดสายตามายังภรณี “ขึ้นไปข้างบนหรือยัง ?” เขาถามด้วยเสียงเบา ซึ่งแสดงว่าเขาพูดกับหล่อนโดยเฉพาะ
 
 หล่อนลุกขึ้นยืน ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยที่อยู่บนตักตกลงบนพื้น ชายทุกคนที่กำลังจะลุกขึ้นยืนก้มลงพร้อมกันเพื่อจะเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น คนหนึ่งหยิบได้ก่อนแล้วส่งให้หล่อน หล่อนรู้สึกร้อนที่หน้า แต่ยิ้มให้เขาได้พร้อมกับกล่าวขอบคุณด้วยเสียงเป็นปกติ
 
 “เราก็ไปมั่งซี”
 
 “ไปซี จะมานั่งอยู่ทำไม” เสียงพูดตามหลังภรณีมา
 
 ในระหว่างที่ขึ้นบันได บันลือกล่าวแก่คู่หมั้นของเขาว่า
 
 “ที่ห้องเต้นรำ มีเฉลียงยาวออกไปเหมือนข้างล่างเหมือนกัน ใครไม่เต้นรำก็นั่งเล่นได้สบาย”
 
 ภรณีหาคำตอบไม่ได้ หล่อนอยากจะพูดกับเขาบ้าง พูดกับเขาเหมือนดังที่หล่อนพูดกับชายอื่นมาแล้วเมื่อครู่ก่อน แต่หล่อนพูดไม่ถูก สมองของหล่อนไม่ช่วยหล่อนเสียเลย
 
 พอเขากับหล่อนมาถึงประตูห้องเต้นรำ ดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่ก็หยุดชะงักลงทันที ทำให้คู่เต้นรำหยุดชะงักไปด้วย และหันไปดูวงดนตรีด้วยความงงงวย ๑ นาที แล้วเสียงเพลงจึงดังขึ้นใหม่อีก ประมาณ ๒–๓ จังหวะเท่านั้น ก็เป็นคำอธิบายอย่างดี ดวงตาหลายสิบคู่หันไปทางบันลือกับภรณีเดินมา ใครคนหนึ่งตบมือขึ้นแล้วคนอื่น ๆ ก็ตบรับจนเป็นเสียงกราวใหญ่ไปรอบห้อง
 
 คิ้วของบันลือขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เขายิ้มก้มลงดูหน้าคู่หมั้นพลางถาม
 
 “รู้จักเพลงนี้ไหม ?”
 
 “รู้จักค่ะ” หล่อนตอบ รู้สึกว่าหน้าร้อนและขาสั้น ราวกับบันลืออ่านความรู้สึกของหล่อนได้ เขาจับแขนหล่อนไขว้กับแขนของเขา พร้อมกับพึมพำแกมหัวเราะ
 
 “ใครก็ไม่รู้ช่างเป็นคนมาจัดการสั่ง”
 
 เพลงไบรเดิล มาร์ช๑ ยุติลงเพียงครึ่งเพลง พอดีกับบันลือพาคู่หมั้นของเขาออกประตูสู่เฉลียง
 
 ที่นั่นมีแสงสว่างแต่เพียงอ่อน ๆ โดยอาศัยแสงสว่างอันแจ่มจ้าที่ส่องออกมาจากในห้อง ภรณีได้นั่งลงในไม่ช้าเพราะบันลือได้เลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งให้หล่อน ตัวเองยืนอยู่และหันไปหัวเราะตอบเสียงที่ล้อเลียนเขาอยู่รอบข้าง สตรีที่นั่งอยู่ก่อนแล้วต่างยิ้มเป็นเชิงปราศรัยแก่ภรณี และภายหลังเมื่อเจ้าหล่อนเหล่านั้นจับเรื่องสนทนากันก็หันมาทางภรณีเป็นครั้งเป็นคราว แสดงกิริยาเชิงชวนให้หล่อนร่วมการสนทนาด้วย
 
 เมื่อดนตรีตั้งต้นบรรเลงเพลงใหม่ มีผู้ถามเป็นเชิงเตือนให้บันลือเต้นรำกับ ‘คู่’ ของเขา เขาหัวเราะแทนคำตอบ เมื่อผู้ถามหันไปทางอื่นแล้ว เขาจึงพูดแก่ภรณี
 
 “ไปเต้นรำกันหรือยัง ?”
 
 หล่อนตอบด้วยเสียงคล้ายขออภัย “ดิฉันเต้นไม่เป็นจริง ๆ ค่ะ”
 
 เขายิ้มและไม่โต้แย้ง นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้าไปตามทางยาวแห่งเฉลียง
 
 “ถ้าเบื่อนั่งหรือรู้สึกเวียนหัวคน” เขาหัวเราะ “นั่งดูคนหมุนไปหมุนมาไม่มีเวลาหยุดก็น่าเวียนหัวอยู่ เฉลียงนี้ยาวติดต่อกันจนถึงด้านข้างทางโน้น ไปเดินเล่นพักตาได้สบายห้อง ถัดจากห้องนี้ไปเป็นห้องแต่งตัวผู้หญิง แล้วมีห้องในเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง พอเปิดประตูก็ถึง ข้าง ๆ ห้องนั้นมีกระได ถ้าอยากหนีลงไปข้างล่างเงียบ ๆ ก็ได้”
 
 เขานิ่ง มองไปรอบ ๆ ตัวเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นอีก
 
 “บ้านนี้เหมาะที่จะเป็นสโมสรมากกว่าจะเป็นบ้านอยู่ คุณพ่อท่านชอบบ้านที่มีเฉลียงมาก ๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนต้องให้พบเฉลียง ท่านว่าท่านติดนิสัยมาแต่เด็กเพราะเมื่อเล็ก ๆ ท่านเคยอยู่เรือนฝากระดานแฝด มีนอกชานแล่นกลางไอ้แบบมีนอกชานใหญ่ติดต่อกันรอบเรือน ตกลงบ้านนี้เลยมีเฉลียงเยอะ ที่เยอะ แต่หาห้องให้คนอยู่ไม่ได้” เขาลดเสียงเบาลงอีก กังวานอ่อนเกือบเท่าเสียงผู้หญิง “แต่บ้านของเราที่หัวเมืองไม่ใหญ่โตเร่อร่ายังงี้หรอก”
 
 หล่อนเหลือบตาขึ้นสบตาเขา อยากพูด อยากแสดงความรู้สึกให้ปรากฏ ความรู้สึกเห็นบุญเห็นคุณเห็นความกรุณาที่เขาแสดงต่อหล่อน แต่พูดไม่ออก และแสดงด้วยกิริยาอย่างอื่นก็ไม่ได้ ความปลาบปลื้มปีติและความสุขที่เปี่ยมอยู่ในใจหล่อนขณะนั้นลึกซึ้งและแรงกล้า จนถึงกับทำให้หล่อนเกิดความกลัวต่อความรู้สึกของตัวเองไม่น่าเชื่อเหลือที่จะเชื่อ ว่าชีวิตของหล่อนจะเปลี่ยนแปลงไปได้ดังที่หล่อนมองเห็นอยู่
 
 “เตรียมของสำหรับออกหัวเมืองเสร็จแล้วหรือยัง?” เขาถามอีกครู่ต่อมา
 
 หล่อนพอใจที่เขาถามให้หล่อนตอบได้ “เสร็จหมดแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้จัดลงหีบ”
 
 “เหลือเวลาพรุ่งนี้อีกวันเดียวนะ แต่ไม่เป็นไรขาดเหลือก็ให้คนขึ้นรถมาเอา ทั้งวันมาวันกลับ ๓ วันเท่านั้นเอง อ้อ มีอีกข้อหนึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ทีหลัง ของที่จะเอาไปทั้งหมดอยากให้ขนมาพักไว้ที่บ้านคุณยายให้พร้อม เพราะว่าเราจะออกจากนั่นตรงไปสถานีรถไฟที่เดียว สักสามโมงเช้า เสร็จจากเลี้ยงพระส่งพระแล้ว จะให้รถไปรับของแต่—เจ้าสาวไม่ต้องย้อนกลับไปด้วยก็ได้ไม่ใช่หรือ ?”
 
 “ได้ค่ะ” หล่อนตอบเร็ว สิ่งใดเป็นความประสงค์ของเขา หล่อนย่อมจะไม่ตอบให้เป็นอย่างอื่น
 
 “ดี” เพราะวันนั้นจะฟกมากหน่อยรถไฟออกจากกรุงเทพ ฯ ๑๕.๑๕ ถึงสถานีปลายทาง ๒๐.๒๕ เราต้องขึ้นรถยนต์ไปจากที่นั่นอีกเกือบ ๒ ชั่วโมงจึงจะถึงบ้านเรา เพราะยังงั้นพอเจ้าสาวออกจากบ้านมาแล้ว ไม่ต้องกลับไปอีกดีกว่า พอเสร็จงานจะได้พักให้สบาย ตอนเที่ยงมีการจะต้องนั่งโต๊ะอีก แต่เห็นจะไม่เหนื่อยเท่าไหร่เพราะกันเองทั้งนั้น ไม่มีใครเลยนอกจากพี่กับน้องแท้ ๆ กับเขย คุณพ่อกับคุณแม่ของเจ้าสาวก็ว่าจะไม่ยอมกินด้วย คุณยายยังไม่แน่ ท่าก็คงไม่สู้อีกน่ะแหละ ท่านไม่ชอบนั่งเก้าอี้”
 
 “ก็—” ภรณีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันมั่นคงเป็นครั้งแรกที่หล่อนนึกจะออกความเห็น “ก็มีแต่กันเองทั้งนั้นทำไมไม่นั่งรับประทานบนพื้นล่ะคะ ?”
 
 “เออ จริงนะ” เขารับอย่างชื่นชม “ก็มันของง่ายแท้ ๆ ทำไมไม่มีใครนึก ถ้าใช้แบบนี้บางทีคุณหลวงกับคุณนายจะมากินด้วยกระมัง”
 
 “ดิฉันจะถามดู” ภรณีกล่าว ปลาบปลื้มในความเห็นชอบของเขาราวกับได้ทำกิจการอันสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งสำเร็จลง
 
 เขานั่งอยู่ในท่าเดิมอีกครู่หนึ่ง คือท่าพับแขนข้างซ้ายพาดไว้กับโต๊ะ ก้มตัวลงจนศีรษะของเขาอยู่ในระดับเดียวกับศีรษะของภรณี แล้วเขาขยับตัวขึ้นตรงและพูดว่า
 
 “ขอโทษ ต้องไปดูทางข้างหลัง วันนี้พี่สาวไม่ค่อยแข็งแรงอะไร ๆ ทางหลังบ้านคงไม่เป็นเรื่อง ขอโทษนะ” เขากล่าวอีกพร้อมกับยิ้มด้วยลักษณะที่ทำให้ภรณีมีความรู้สึกดังตัวจะละลายไปกับที่
 
 หล่อนมองตามร่างของเขา ซึ่งกำลังเดินหลีกคู่เต้นรำตรงไปทางประตู เมื่อเดินอยู่คนเดียวดูเขาก็ไม่สูงใหญ่เท่าใดนัก แต่เมื่อผู้ใดเข้าใกล้เขา ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักจะเตี้ยกว่าเขาเกือบทุกคน ข้อนี้ภรณีเห็นเป็นสิ่งประหลาดน่าพิศวง ! ไม่ใช่แต่ข้อนี้ข้อเดียว ยังมีข้ออื่น ๆ อีก ซึ่งหล่อนไม่สามารถบรรยายให้ถูกถ้วนได้ รูปร่างของเขาผิวพรรณของเขาท่วงทีของเขา มารยาทของเขา น้ำเสียงของเขา และ—กิริยาที่เขาแสดงต่อหล่อนเป็นไปได้เทียวหรือที่เขาผู้นี้คือผู้ที่หล่อนจะ—จะแต่งงานด้วยในสองวันข้างหน้า ?
 
 จิตรามาจากที่ใดที่หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าภรณีและถามว่า “พระเอกไปไหนเสียล่ะ ? เห็นนั่งอยู่ตรงนี้แผลบเดียวหายไปอีกแล้ว”
 
 หล่อนนั่งลงในที่ ๆ บันลือละไปและพัดตัวเองด้วยพัดด้ามจิ้วแพรสีเดียวกับเครื่องแต่งกายของหล่อน
 
 “ออกไปทางนี้เดี๋ยวนี้เองแหละค่ะ” ภรณีตอบ มีความรู้สึกอย่างเด่นชัดว่าตนกำลังพูดถึงผู้ที่เป็นของตนโดยแท้
 
 “อยากจะชมเขาหน่อย” จิตราบอก สีหน้าแฉ่งอยู่ด้วยความสนุกร่าเริง “แต่อยากจะว่าด้วย อยากจะว่าเขาแกล้งจะทำลายขาสองข้างของฉันเสียแล้วเพลงเพราะเสียทุกเพลงนี่นั่งไม่ได้เลย พวกเจ้าของวงเขาบอกว่าบันลือเลือกเองทุกเพลง บางเพลงถึงกับส่งโน้ตไปให้ซ้อม”
 
 “แต่ตัวเองไม่เห็นเต้นรำ” ภรณีกล่าวด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าของเช่นเดียวกับคราวก่อน
 
 “ก็อย่าว่าเลย ! คู่หมั้นไม่เต้น !” จิตราหัวเราะเอื้อมมือไปบีบคางภรณี “รู้ตัวไหมคืนนี้น่ะ มีคนอิจฉาเยอะเทียว ไม่มีละผู้หญิง ๆ ที่จะหรูเท่าเธอน่ะน้อยนัก”
 
 ภรณีถอนใจเพื่อระบายความปลาบปลื้มที่ล้นอยู่ในความรู้สึก
 
 จิตรารวบพัดแล้วชวนขึ้น “ไปห้องแต่งตัวกันไหมภร ? หน้าพี่ดำมิดหมีแล้ว พี่รู้แล้วเหนียวหนับ ๆ ไอ้ลีลาศกับเมืองเรานี่มันไม่ค่อยจะลงโบสถ์กันเลย สนุกก็สนุก แต่ร้อนเหลือกำลัง พัดลมออกหึ่ง ช่วยอะไรไม่ได้”
 
 ทั้งสองหญิงลุกขึ้นพร้อมกัน การเคลื่อนไหวทำให้ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ หันมามองดู ภรณีจึงพูดเป็นเชิงอธิบาย
 
 “คุณจิตราชวนไปห้องโน้น”
 
 หล่อนได้รับการยิ้มแทนคำตอบ
 
 เมื่ออยู่ในห้องอันมีขนาดไม่ใหญ่นัก แล้วจิตราเช็ดหน้าพลางมองไปรอบตัว แล้วหันมาบอกแก่ภรณี
 
 “ผัดหน้าเสียมั่งซี ภร ถึงมันไม่ดำ มันก็หมดนวลไปแล้ว บันลือเขายิ่งเป็นห่วงอยู่ กระเป๋าของเธอล่ะ ?”
 
 “ไม่มีค่ะ—”
 
 “ไม่มีมาเลย ? จริงแหละ ต๊ายตาย นี่เป็นความบกพร่องของพี่เอง เอาของพี่ซีงั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนพัฟ เอ้า พัฟนี่เขาก็มีให้ แต่ไม่ไหว หน้าใครมั่งก็ไม่รู้ แต่แป้งเห็นจะพอใช้ได้”
 
 ภรณีไปยืนผัดหน้าตรงกระจกเงา ซึ่งมีขนาดใหญ่ดังลับแล มีกรอบและเชิงรองประดับมุกตั้งอยู่ระหว่างประตูที่ติดต่อกับห้องในเข้าไปอีก
 
 จิตราทำธุระทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการแต่งตัว พลางปรารภถึงความสนุกสนานแห่งงานในคืนนี้ เมื่อภรณีผัดหน้าเสร็จแล้ว จิตรายังไม่เสร็จจากการทำเหงื่อให้หมดไปจากหน้า และผมของหล่อนนั้นอยู่ในลักษณะที่เจ้าของจับรวบไว้เหนือหูเหนือคอเมื่อมิให้ถูกน้ำถูกแป้ง ภรณีฟังพลางใจก็นึกถึงผู้เป็นเจ้าของงานไปพลาง และคำที่จิตราพูดเป็นเชิงยกย่องความสำเร็จแห่งงานนั้น ทำให้หล่อนชื่นใจดังหนึ่งตัวหล่อนเป็นผู้ได้รับความยกย่องเอง
 
 สตรีสามนางเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นจิตรากับภรณีก็ร้องทักมาแต่ไกล ทักภรณีแต่น้อยคำเพราะไม่คุ้นเคยกันมาก่อน แล้วก็ตรงไปยืนอยู่ข้างจิตรา และในทันทีนั้น เจ้าหล่อนทั้ง ๔ ได้เปิดการสนทนาซึ่งจะเป็นเรื่องยาว ตั้งต้นด้วยคำว่า “หลวงสนอง ฯ กับเมีย—” แล้วสาธยายต่อไปถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาคู่นี้แม้กระทั่งในการเต้นรำ เพลงใดสามีชอบ ภรรยาเห็นว่าไม่ดี เพลงใดภรรยาจะเว้นเสียไม่เข้าร่วมลีลาศกับคู่อื่นมิได้ สามีมีความเห็นว่า ‘ไม่เป็นรส’ ภรณีไม่มีความสนใจที่จะฟัง อารมณ์ของหล่อนไม่อยู่ในภาวะที่จะยอมเข้าใจความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาหรือคู่หมั้น ! เมื่อโลกในความรู้สึกของหล่อนกำลังสดชื่นแจ่มใสเห็นปานนี้จะให้หล่อนเข้าใจความยุ่งยากของโลกได้อย่างไร
 
 หล่อนละจากที่ ๆ หล่อนยืน เดินช้า ๆ ไปทางประตู ใจนึกถึงคำของบันลือ เขาแนะนำหล่อนไว้ เฉลียงยาวติดต่อไปถึงมุมตึกด้านโน้น ถ้าเบื่อ–ไปเดินเล่นได้สบาย หล่อนจะไปเดินเล่นพักตาพักหู และ—และคิดถึงเขา
 
 เดินมาตามทางที่ยาวตรงมาข้างหน้า ถัดจากห้องแต่งตัวสำหรับสุภาพสตรี มีห้องที่แสงสว่างส่องออกมาภายนอกอีกห้องหนึ่ง ภรณีพยายามจะดูเข้าไปภายใน แต่เห็นได้เพียงพื้นห้องกับส่วนล่างแห่งเก้าอี้ ๒–๓ ตัวเพราะบังตาปิดอยู่ทั้ง ๒ ประตู เดาว่าห้องนี้จะเป็นอีกห้องหนึ่งที่เจ้าของงานจัดไว้ เพื่อประโยชน์แก่แขกของเขา แต่จะเป็นประโยชน์ในทางใด ภรณีรู้ตัวว่าไม่มีโอกาสที่จะทายถูก เดินต่อไปอีก มองไปในที่แจ้งบ้างพิเคราะห์ดูห้องที่ปิดอยู่บ้าง และรำพึงถึงความรโหฐานแห่งเคหะนี้ไปพลาง
 
 มาถึงที่เลี้ยว ภรณีหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ที่นั่นออกจะมีด หล่อนไม่นึกอยากเดินไปให้ถึง อีกประการหนึ่งจิตราอาจจะแต่งตัวเสร็จแล้ว ถ้าไม่เห็นภรณีก็คงจะต้องเที่ยวหา
 
 หล่อนหันหลังกลับเดินมาตามทางเก่า พอมองเห็นประตูห้องที่มีบังตาปิดไว้ ก็เห็นชายคนหนึ่งออกมาจากห้องนั้น
 
 ด้วยตาและสมอง หล่อนจำเขาได้ทันที แต่ด้วยใจหล่อนไม่เชื่อว่าเขาคือเขา หล่อนลืมเขาเสียสนิทที่เดียวในระหว่างชั่วโมงหลังแต่เขาจำหล่อนได้โดยเร็ว อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ และตรงเข้ามาหา
 
 “เจ้าประคุณเพิ่งได้เจอ” เขาพูดเป็นคำแรกหลังจากที่ได้มองดูหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง “นี่ยังไงมาเดินอยู่คนเดียวใคร—คน— ใคร ๆ—คนอื่น ๆ ไปไหนกันเสียหมด ?”
 
 “ดิฉันมาห้องแต่งตัวแล้วเลยออกมาเดินเล่น” ภรณีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณวิชิตมาจากทางไหน ?” หล่อนหัวเราะ เป็นยังไงมั่ง ดิฉันมองหาหลายหนแต่ไม่เห็นเลย” หล่อนหยุดแล้วเสริม “ยังนึกเป็นห่วง สมศรีอยู่ไหน ?”
 
 เขาพึมพำถ้อยคำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในคอ ถ้าภรณีมีความสังเกตดีกว่านั้น จะเห็นว่าเขาต้องใช้ความพยายามในอันที่จะยืนให้ตรง เขาพูดดังขึ้นพอที่หล่อนจะได้ยิน
 
 “อุตส่าห์มาเจอ ไม่ได้ฝันเลยว่าจะได้พบ สวยจริง หรูจริง ลอยฟ้าเทียวนะ นี่ยังจำผมได้รึ ?”
 
 “ถามพิกล” ภรณีว่า “คนเคยรู้จักกันทำไมถึงจะจำไม่ได้”
 
 “ขอบพระเดชพระคุณเป็นล้นพ้นเหลือที่จะพรรณนา” เขาหัวเราะแล้วค่อย ๆ บรรจงก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ภรณีเริ่มรู้สึกผิดสังเกต แต่ยังมิได้นึกถอยหนี “คุณจะฆ่าผมเสียแล้ว”
 
 หญิงสาวเริ่มขยับตัวถอยหลังอย่างระมัดระวัง แต่ฝืนหัวเราะด้วยกระแสเสียงเป็นธรรดาอย่างที่สุด “เหลวไหล” หล่อนกล่าว “สมศรีอยู่ไหนคะ ?”
 
 ไม่มีคำตอบ เขายืนนิ่งจ้องดูหล่อน ภรณีเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนเต้นผิดปกติ และก่อนที่หล่อนจะไหวทันว่าเขาจะทำสิ่งใด เขายื่นมือออกมาคว้ามือหล่อนไว้แน่น
 
 “หนเดียว หนสุดท้าย” เขาพูดเสียงค่อนข้างดังเมื่อหล่อนสะบัดมือ “ผมมีสิทธินี่นาที่จะขอได้” เขาก้มลงโดยเร็วและจูบหล่อนที่แขน
 
 “ขี้เมา !” ภรณีกล่าวเสียงสั่นด้วยความโกรธ กระชากมือของหล่อนหลุดจากมือเขาได้ด้วยความแรง “ไม่มีจรรยา ไม่มีมารยาท ไม่มีศีล ไม่มีสัตย์”
 
 หล่อนก้าวเท้าลงไปข้างหน้า เขาพยายามจะขวางแต่ขาแกว่ง ทำให้ก้าวถลำไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเขาตั้งตัวได้ หล่อนพ้นจากเอื้อมแขนเขาไปไกลแล้ว
 
 ภรณีเดินเร็วมาก ทั้งที่ขาก็สั่น ผ่านประตูห้องที่มีบังตาปิดประตูแรก หล่อนสะดุ้งโดยแรงเมื่อเห็นมีผู้ยืนยึดบังตาประตูที่สองอยู่
 
 เขาปล่อยบังตาก้าวเท้าออกมาภายนอก ความคิดของภรณีวิ่งวุ่นอยู่ในสมองจนไม่รู้ว่าจะคิดอะไรบ้าง พยายามจะพูด ทั้งที่ไม่รู้จะพูดว่ากระไร แต่ฝ่ายเขาได้พูดขึ้นก่อน
 
 “ใครนะ ผู้ชายคนนั้น ? มองไม่เห็นหน้า”
 
 “คุณวิชิตค่ะ”
 
 “อ้อ แขกตัวเก็ง ! ทำไมถึงรีบทิ้งเขามาเสียเร็วนักล่ะ ?”
 
 “ดิฉันหนีเขามา เขาเมา”
 
 “น่าเห็นใจ ฤทธิ์แชมเปญ คืนวันนี้มีน้อยคนที่จะทนได้ เห็นจะคุ้นเคยกันมาก ?”
 
 “เปล่าค่ะ คือ—เขา–เขา—แต่ดิฉัน—เป็นความจริง—ดิฉัน—ใจ—”
 
 เขายกมือขึ้นในท่าห้าม “อย่าเลย ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะรู้เรื่องหลังฉากของใคร เรื่องใจไม่สำคัญ” เขาหัวเราะ “นอกปัญหา แต่งงานกันแต่ตัวพอแล้ว ส่วนใจใครก็ใจใคร เป็นอิสระ”
 
 “จะกลับไปนั่งรึ หรือจะเดินตากลมอีก ?” เขาถามเมื่อเห็นหล่อนยังนิ่งอยู่
 
 “คุณจิตราอยู่ที่ห้องโน้น” ภรณีตอบ แล้วรู้สึกว่าเสียงของตนแปลกไปจนเกือบจำไม่ได้ ทั้งรู้สึกว่าร่างกายมีอาการเหมือนกับขาแข็งอยู่กับที่ ชาไปทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายแห่งคำพูดที่ตนได้ฟังแล้วนั้น
 
 “เชิญ” เขาเบนตัวเล็กน้อยเป็นเชิงหลีกทางให้ และเมื่อภรณีบังคับขาให้ออกเดินได้แล้ว เขาก็หันกลับเข้าไปในห้องที่เขาเพิ่งออกมา
 
 
 
 
 |  
						| 
								|  |  
								|  |  Logged | 
 |  |  | 
	| 
			| 
					
						| ppsan | 
								|  | « Reply #1 on: 28  October  2025, 21:06:01  » |  | 
 
 ๑๗
 
 
 ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ละวาจาหยาบ เว้นจากวาจาหยาบแล้ว วาจาไม่มีโทษ สบายหู น่าดูดดื่ม จับใจ เป็นที่พอใจชน—(เขาย่อม) กล่าววาจานั้น นี่ภิกษุทั้งหลายเราเรียกว่าบุคคลมธุภาณี (ผู้พูดหวาน)
 
 
 
 
 คุณนายลำดวน ค่อย ๆ นั่งลงบนเสือที่ปูอยู่บนพื้นห้อง ใช้เวลานานหน่อยกว่าจะจัดขาทั้งสองให้เข้าที่สบายได้โดยเรียบร้อย เสร็จจากนี้แล้วก็ขมวดคิ้ว ใช้สายตาเพ่งมองไปในที่ใกล้ตัวโดยรอบ ส่วนมือก็ช่วยคลำตามที่ ๆ สายตามองเห็นไม่ได้ เช่นที่ใต้กระดาษ ใต้ผ้าที่ซับซ้อนกันอยู่เป็นตั้ง ๆ ในซอกตระกร้าเครื่องเย็บ และในท้ายที่สุด คุณนายลำดวนลากเชี่ยนหมากเงินเครื่องนากเข้ามาใกล้หน้าตัก ครั้นไม่เห็นของที่ต้องการจึงยกลิ้นที่รองเครื่องขึ้นเสีย และมองดูภายในเชี่ยน
 
 หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเสื่ออีกผืนหนึ่ง ไม่ไกลจากคุณนายเท่าใดนัก ลดมือที่ถือผ้าและเข็มลงบนตัก โดยไม่ต้องถามเพียงแต่เห็นท่านมองและคลำที่นั่นที่นี่ หล่อนก็เดาถูกว่าท่านหาสิ่งใด วันหนึ่ง ประมาณ ๒–๓ ครั้ง คุณนายลำดวนต้องหาสิ่งของนี้ บางทีก็หาพบโดยง่าย บางทีก็หาอยู่นานกว่าจะพบ เมื่อ ๒ วันก่อนนี้ คุณนายถือของอยู่ในมือซ้าย แล้วท่านก็เที่ยวเดินหายืนหาของเพราะท่านไม่แน่ใจว่า เมื่อท่านลุกจากที่นั่งไปยืนดูผู้ช่วยของท่านทำงานอยู่ที่จักรเย็บผ้านั้น ท่านได้ถือของ ๆ ท่านไปด้วย ท่านเชื่อว่าท่านได้วางของไว้บนเก้าอี้ หรือที่โต๊ะรองผ้ากับเครื่องมือสำหรับการเย็บ ที่อยู่ใกล้จักร
 
 หญิงสาวกลัดเข็มไว้กับผ้า วางผ้าลงบนเสื่อ แล้วคลานเข้ามาตรงหน้าคุณนาย
 
 “หาแว่นตาหรือคะ ?” เจ้าหล่อนถาม
 
 “จ้ะ แถวนี้ไม่มี ถ้าจะวางทิ้งไว้ในห้องเล็กน่ะเอง แม่ภรณีไปดูให้ยายทีเถอะ”
 
 คุณนายลำดวนเป็นบุคคลคนเดียวที่สามารถเรียกชื่อภรณีรวมทั้งคำนำชื่อด้วยโดยไม่ตกหล่นเช่นนี้ ตลอดจนกระทั่งในเวลาที่ควรจะใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ แทนนามได้ ‘แม่ภรณี’ แทนสรรพนามทุกคำ และเมื่อท่านจะใช้คำแทนชื่อตัวของท่านเองต่อหล่อน ท่านก็ใช้คำว่า ‘ยาย’ ไม่มีขาดปาก
 
 และเมื่อท่านนับตัวของท่านเองเป็นยายของภรณีเช่นนี้แล้ว ท่านก็ทำตัวของท่านเป็นยายอย่างแท้จริง ทั้งเป็นยายที่เมตตาปรานีต่อหล่อนยิ่งนัก เอาใจใส่ทะนุถนอมทุกเวลาในการบริโภค ท่านเกรงว่าหล่อนจะลำบากด้วยรสอาหารที่แม่ครัวทำมาถูกปาก แต่อาจจะไม่ถูกปากหล่อน ในการนอนท่านกลัวหล่อนจะลำบาก เพราะคนใช้ไล่ยุงไม่หมดมุ้งหรือปูที่นอนไม่ดีพอ ในการอยู่เฉยเป็นปกติ ท่านห่วงว่าหล่อนจะเหงา ในเวลาทำงานท่านวิตกว่าหล่อนจะเมื่อยหรือจะเบื่อ
 
 ในตอนต้น ๆ ที่ภรณีมาอยู่กับคุณนายลำดวน หล่อนเรียกคุณนายลำดวนว่า ‘ท่าน’ ตามที่คนใช้ในบ้านเรียก ทั้งในเวลาที่พูดกับคนอื่นและในเวลาที่พูดกับตัวท่านเอง แต่หล่อนทำเช่นนั้นอยู่ได้เพียง ๒–๓ วันเท่านั้น หลังจากที่คุณนายลำดวนฟังได้ถนัดว่าหล่อนใช้สรรพนามบุรุษที่สองต่อท่านอย่างไร ท่านก็ท้วงและถามในทีอนุญาตแก่หล่อนว่า “ทำไมไม่เรียกยายว่ายาย”
 
 ภรณีกำลังจะคลานออกห่างจากคุณนายลำดวน เพื่อจะไปยังห้องที่ท่านบอกอยู่แล้ว เผอิญสายตาของหล่อนมองสูงขึ้นเล็กน้อย หล่อนชะงักแล้วก็ยิ้มและพูดเรียบ ๆ
 
 “แว่นตาอยู่ที่—” เสียงของหล่อนแสดงความอ่อนน้อมยิ่งขึ้น “อยู่บนหน้าผากคุณยาย”
 
 คุณนายลำดวนยกมือขึ้นคลำหน้าผากตัวเอง
 
 “ดูซี” ท่านร้อง “แหม ยายนี่เลอะเทอะใหญ่” แล้วดึงแว่นตาให้กลับลงมาอยู่บนดั้งจมูก
 
 ภรณีคลานกลับไปยังที่ของหล่อน คุณยายมองตามและดูอยู่จนกระทั่งหล่อนนั่งลงเรียบร้อยและจับงานขึ้นทำ สมองอันแจ่มใส แต่เชื่องช้าเพราะความชราแห่งสังขารค่อย ๆ เริ่มทำการคิดแต่เพียงเผิน ๆ และขาดกระท่อนกระแท่นเป็นตอน ๆ ก่อน ภายหลังจึงค่อย ๆ คิดลึกเข้า ๆ และคิดเป็นเรื่องยาวติดต่อกันโดยตลอด
 
 คุณยายคิดถึงหลานสะใภ้คนใหม่นี้โดยรอบทุก ๆ แง่ทุกๆ ด้านเท่าที่ท่านได้เห็นหล่อน เป็นหญิงสาวที่น่ารักทั้งโดยรูป โดยจริต โดยกิริยา ว่าถึงน้ำใจของหล่อน คุณยายมิใช่นักจิตวิทยาที่สามารถ แต่อาศัยความชำนาญที่ได้จากการพบปะวิสาสะกับเพื่อนร่วมโลกมานักต่อนัก คุณยายมีความเห็นว่าหลานสะใภ้ของท่านมีใจหนักไปในทางเคารพต่อผู้ใหญ่ และเป็นผู้ที่ ‘นุ่งเจียม ห่มเจียม’
 
 คุณยายไม่สงสัยเลยว่าหลานชายของท่านจะไม่รักหลานสะใภ้ยิ่งนัก แต่ท่านสงสัยว่าหลานของท่านออกจะแปลกจากชายทั้งหลายไปสักหน่อย มีเยี่ยงอย่างรึ แต่งงานใหม่ ๆ ยังไม่ข้ามวัน ละภรรยาไว้กับยาย ตัวเองไปเสียยังต่างจังหวัดแล้วอยู่เสียที่นั่นจนเกือบเดือนยังไม่กลับมา คุณยายยังจำได้เมื่อครั้งท่านแต่งงานกับคุณตาของบันลือ ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมิได้เคยเห็นหน้ากันก่อนวันงาน ถึงกระนั้น เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ฝ่ายชายก็ไม่ยอมคลาดจากฝ่ายหญิงแม้แต่สักอึดใจ หรือผู้ชายสมัยนี้–ใจเขาเด็ดกว่าใจชายสมัยก่อน ?
 
 คุณยายถอนสายตาจากขอบย่ามที่ท่านกำลังเย็บมองไปยังเชี่ยนหมาก ที่ในนั้นมีจดหมายลายมือหลานชายของท่านเก็บอยู่ ตามคำบอกเล่าของผู้ถือจดหมายมาส่งให้คุณนายลำดวน ดูเหมือนบันลือจะได้เขียนก่อนเวลาที่รถไฟออกจากสถานีไม่เท่าไรนัก ความสำคัญที่เขาเขียนมามีอยู่ว่าเขาขอฝากภรณีไว้กับท่าน ๒–๓ วัน และระหว่างที่เขายังไม่อยู่นี้ ขอให้ท่านรับลูกชายหญิงของเขามาไว้กับท่านด้วย ในท้ายที่สุดเขาขอให้ท่านแจ้งแก่นางพวงให้เป็นที่เข้าใจว่าเขาประสงค์ให้ภรณีกับเด็กทั้งสองมีความสนิทชิดเชื้อกันฉันท์มารดากับบุตร
 
 คุณนายลำดวน ได้ปฏิบัติตามคำขอร้องของหลานชายครบถ้วนทุกข้อ ท่านจัดห้องพักให้ภรณี เรียกตัวหลานหญิงคนใหญ่มาชี้แจงให้ทราบความประสงค์ของหลานชาย ในฐานะที่เจ้าหล่อนปกครองลูกชายหญิงของบันลือแทนตัวบันลืออยู่ รับเด็กทั้งสองนี้มาไว้ที่บ้านท่าน สอนให้เรียกภรณีว่าคุณอา ซึ่งภายหลังภรณีได้เปลี่ยนเสียใหม่ คือให้ตัดคำว่า ‘คุณ’ ออกเสีย แล้วคุณนายลำดวนพูดแก่นางพวงให้นางพวงยกย่องภรณีสมกับที่ภรณีเป็นภรรยาของบันลือ
 
 แล้วคุณนายลำดวนก็ตั้งหน้าคอยวันที่หลานชายจะกลับมารับภรรยาและบุตรของเขา คุณนายลำดวนคอยวันนั้นด้วยและกลัววันนั้นด้วย ท่านคอยเพราะมีความสนเท่ห์และรำคาญในข้อที่บันลือไม่รีบร้อนจะพาภรรยาไปไว้กับตัว ท่านกลัวเพราะอาลัยเหลนเล็ก ๆ ว่าจะต้องไปไกลจากท่านนานนับเป็นเดือน ๆ
 
 แลท่านคิดเสียดายหลานสะใภ้คนใหม่ ซึ่งท่านได้เริ่มรักและปรานีไว้มากแล้ว ไม่อยากให้หล่อนห่างท่านไปเสีย ๗ วัน ล่วงไปแล้วก็อีก ๗ วัน แล้วก็อีก ๗ ภรณีได้ไปวัดกับคุณยายในวันธรรมสวนะถึงสองครั้งแล้ว แล้วก็ได้ไปครั้งที่สามอีก บัดนี้เดือนใหม่ย่างเข้ามากว่าครึ่งเดือน บันลือเคยกลับเข้ากรุงเทพฯ ในเดือนหนึ่งอย่างช้าที่สุดไม่เกินวันที่ ๒๐ แต่สำหรับเดือนนี้ คุณยายมีความเห็นว่าเขาควรจะกลับเสียตั้งแต่วันที่ ๑ ที่ ๒ และเมื่อวันที่ ๑๕ ล่วงไป เขายังไม่กลับคุณยายก็สงสารหลานสะใภ้ยิ่งขึ้นทุกวัน
 
 ความจริง ภรณีมิได้มีอาการกิริยาเป็นเครื่องเตือนใจให้คุณยายระลึกถึงข้อที่หล่อนเป็นเจ้าสาว อันเจ้าบ่าวละไปเสียในวันแต่งงานแม้แต่น้อย กิริยาอาการของหล่อนดูเหมือนกับหล่อนเป็นเด็กสาวที่ย้ายจากผู้ปกครองคนเก่ามาอยู่กับผู้ปกครองคนใหม่ ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าจนถึงเวลานอนอีกในตอนกลางคืน หล่อนนั่งอยู่กับคุณยาย ช่วยทำงานที่คุณยายทำ พูดกับคุณยายเมื่อคุณยายพูดด้วย รับใช้คุณยายในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่คุณยายแสดงความต้องการ หรือมิฉะนั้นก็พูดเล่นกับเด็กชายก้องเด็กหญิงป่องหรือเล่านิทานให้เด็กฟัง เมื่อเด็กพากันมาเล่นในห้องที่คุณยายอยู่ แต่คุณนายลำดวนเป็นหญิงรุ่นเก่า เคยเป็นสาวในสมัยที่หญิงสาวทุกคนมีความเคร่งครัดในอันจะซ่อนความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเกี่ยวกับเพศตรงกันข้าม เพราะกลัวความอัปยศเป็นที่สุดแล้ว คุณนายลำดวนเชื่อเอาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า หลานสะใภ้ของท่านซ่อนความรู้สึกอันจริงใจของหล่อนไว้ตามวิสัยของหญิงที่มีอายุ
 
 แต่คนอื่น ๆ นั่นสิ ทำให้คุณนายลำดวนรำคาญนัก ลูกหลานของคุณนายลำดวนมีมาก ทั้งหลานหญิงหลานชายทั้งที่เป็นผู้มีอายุแล้ว ทั้งที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ลูกหลานเหล่านี้คราวใดเขามาเห็นภรณีอยู่กับคุณนายลำดวน เขาก็ตั้งปัญหาให้ท่านต้องตอบซ้ำ ๆ ซาก ๆ ร่ำไป คุณนายลำดวนเป็นผู้ชราแล้ว โดยปกติความจำของท่านจะแจ่มใสก็แต่ในเรื่องที่ท่านได้ผ่านมา ได้ประสบมา เมื่ออยู่ในวัยสาวในเรื่องที่ท่านได้ฟัง ได้รู้ เมื่ออายุล่วงเข้าปัจฉิมวัยนี้ ฟังแล้ว รู้แล้ว ท่านก็มักจะลืมเสียภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เฉพาะเรื่องระหว่างหลานชายกับหลานสะใภ้ด้วยเหตุที่เป็นเรื่องอันมีปัญหาชวนให้คิด ทั้งเป็นเรื่องที่ท่านถูกกวนให้พูดบ่อย ๆ คุณนายลำดวนจึงจำได้โดยละเอียดลออไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำรายละเอียดของเรื่อง ดูเหมือนจะขยายออกนอกความจริงไปบ้างแล้วด้วย เพราะเมื่อความจริงเท่าที่คุณนายลำดวนได้รู้ได้เห็นยังไม่เป็นความที่ให้ความเข้าใจแจ่มแจ้งแก่ผู้ที่ชอบตีปัญหาเรื่องของคนอื่น คุณนายลำดวนมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำให้ข้อปัญหาตกไป ก็ชักข้ออธิบายแปลก ๆ ต่าง ๆ ซึ่งบางทีก็เพี้ยนจากความจริง หรือเกินความจริงไปบ้างมากล่าวแก่ผู้ถาม ตามแต่สติปัญญาของท่านจะเกิดขึ้น ทั้งนี้คุณนายลำดวนทำไปโดยมิได้มีจิตเจตนา
 
 พิธีแต่งงานระหว่างบันลือกับภรณีตั้งต้นในเวลา ๗ นาฬิกา พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์แล้วรับอาหารบิณฑบาต พร้อมด้วยปัจจัยอันควรแก่สมณะ เสร็จจากพิธีซึ่งคุณยายเป็นผู้กะเกณฑ์ว่าต้องมีเพื่อสวัสดิมงคลแก่คู่บ่าวสาว แล้วก็มีการลงนามในทะเบียนสมรส ซึ่งฝ่ายเจ้าพนักงานนำมาคอยอยู่ หลังจากนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง บันลือแจ้งแก่คุณยายและผู้ที่มาในงานของเขาว่า เขามีธุระเกี่ยวกับการขนเครื่องจักรขึ้นรถไฟซึ่งเขาจำเป็นต้องดูแลด้วยตนเอง แล้วเขาก็ขับรถออกไปจากบ้าน ใกล้เที่ยงเขากลับมาพอดีได้เวลารับประทานอาหาร ๑๓ นาฬิกาเศษ เขาชี้แจงว่าเขาจะต้องรีบไปคุมการงานที่สถานีก่อนเวลาที่กำหนดไว้ให้เจ้าสาวออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟเพียง ๗ นาที เขาโทรศัพท์มาบอกให้เจ้าสาวงดการที่จะเดินทางไปกับเขาไว้ก่อน เพราะมีเหตุขัดข้องบางประการซึ่งเขาจะชี้แจงให้ทราบในภายหลัง
 
 เหตุขัดข้องนี้คืออะไร ไม่มีผู้ใดรู้จนแล้วจนรอด พี่สาวน้องสาวของบันลือรวมทั้งเขย ซึ่งหมายใจว่าจะได้ฟังเรื่องราวละเอียด เมื่อเขาไปพบบันลือก่อนเวลารถไฟออกนั้น ครั้นไปถึงสถานีแล้วก็หาพบตัวบันลือหรือรถยนต์ที่บันลือใช้ไม่ ภายหลังเมื่อคนขับรถนำจดหมายของบันลือมาให้แก่คุณนายลำดวน จึงเป็นที่ทราบกันว่า บันลือได้นั่งรถยนต์ไปดักคอยขึ้นรถไฟที่สถานีเหนือขึ้นไปอีก เมื่อถูกซักว่าเหตุใดบันลือจึงทำดังนั้น คนขับรถก็ไม่สามารถที่จะตอบได้
 
 แต่เหตุขัดข้องนี้ คุณนายลำดวนได้ชี้แจงไปแก่ญาติหลายคนว่า เกี่ยวด้วยพาหนะที่จะพาผู้เดินทางจากสถานีรถไฟไปสู่ที่อยู่ของเขาบ้าง เกี่ยวด้วยทางระหว่างสถานีกับที่อยู่ของบันลืออาจจะชำรุดหรือพังเพราะน้ำท่วมหรือถูกพายุฝนบ้าง เมื่อได้ชี้แจงไปเช่นนี้หลายครั้งแล้ว ตัวท่านผู้ชี้แจงเองก็พลอยเชื่อคำชี้แจงของตัวเองไปพร้อมกับผู้ฟังด้วย
 
 เสียงเครื่องยนต์กับเสียงประตูรถเปิดและปิดทำให้คุณนายลำดวนผู้ซึ่งยังมีประสาทแห่งโสตแม่นยำดี ตื่นจากการครุ่นคิดในเรื่องหลานสะใภ้กับหลานชาย ท่านเงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้า และพูดขึ้นอย่างแช่มช้าเช่นเดียวกัน
 
 “แม่ภรณีไปดูทีรึ เสียงรถใครมา ?”
 
 หญิงสาวคลานห่างออกไปเล็กน้อย ภายหลังจึงลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ครั้นแล้วก็กลับมายังคุณยาย และแจ้งว่า
 
 “คุณจิตราค่ะ”
 
 “อ้าวแม่ภรณีไปเชิญเข้าไปในห้องรับแขกที่จะได้นั่งคุยกันให้สบาย”
 
 เมื่อเห็นหลานสะใภ้คลานไปยังที่ ๆ หล่อนนั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน คุณนายลำดวนจึงว่า “ทิ้งไว้ก่อนก็ได้นี่นะ เดี๋ยวยายจะเรียกนางแหววมาเก็บให้ แม่จิตราเขาจะคอย”
 
 แต่ภรณีได้พับย่ามและรวบรวมเครื่องเย็บลงในหีบอย่างไม่เร่งรีบ คุณยายไม่อาจทายใจหล่อนได้ว่า โดยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ภรณีไม่มีความประสงค์จะพบจิตราสองต่อสอง
 
 เมื่อภรณีปิดหีบเครื่องเย็บ ก็พอดีจิตรามาถึงประตูห้องเจ้าหล่อนผู้นี้คุกเข่าลงข้าง ๆ ภรณี แล้วทำความเคารพเจ้าของบ้านโดยเรียบร้อย
 
 “จำเริญ ๆ แม่คุณ” คุณนายลำดวนกล่าว “นั่งเสียบนเสื่อซีจ๊ะ”
 
 จิตรายิ้มและไม่ตอบว่ากระไร
 
 “ขอบใจ อุตส่าห์มาเยี่ยม” สตรีผู้สูงอายุพูดอีก “มาคนเดียวหรือจ๊ะ ?”
 
 “มาคนเดียวค่ะ” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ
 
 แล้วก็นิ่งเงียบกันไป เป็นความเงียบในระหว่างเจ้าของบ้านกับแขก ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ต้องการจะปฏิบัติให้ถูกใจซึ่งกันและกัน แต่ยังมิรู้ที่จะปฏิบัติสถานใด
 
 ผ้าที่ภรณีพับไว้ถูกคลี่ออกโดยมือจิตรา พร้อมกับที่จิตราถามเบา ๆ ว่า “ทำอะไรน่ะ ภร?”
 
 ภรณีตอบว่า “เย็บย่ามค่ะ” แล้วคุณยายลำดวนก็พูดต่อคำพูดของหล่อนนั้น
 
 “ย่าม จะทำไปช่วยพระท่านขึ้นกุฏิใหม่ แม่ภรณีเย็บเร็วเร็ว ประเดี๋ยวใบ ๆ สอยก็เร็ว ฝีเข็มก็ถี้ถี่”
 
 จิตราหันมายิ้มกับผู้ที่อ่อนอายุกว่า นิ่งไปอีกครู่หนึ่งแล้วหล่อนจึงตั้งคำถามที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก ตั้งแต่ก่อนที่หล่อนจะขึ้นรถออกจากบ้าน
 
 “บันลือยังไม่มา ?”
 
 “ยังค่ะ” เป็นคำตอบเรียบ ๆ
 
 “จดหมายมีมาหรือยัง ?”
 
 “ไม่มีค่ะ”
 
 จิตราเพ่งดูตาและสีหน้าผู้พูด เห็นเฉยอยู่ไม่มีลักษณะแสดงความรู้สึกผิดปกติอย่างใด ก็สบายใจ คลายกังวล แต่พร้อมกันนั้นจิตราก็รู้สึกพิศวงและรำคาญ หญิงสาวคนนี้ไฉนจึงมีความสามารถในการสะกดความรู้สึกนึกคิดได้มากนัก หรือว่านิสัยของหล่อนมีธรรมชาติอันไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งที่คนทั้งหลายเขารู้สึกกัน และความเข้าใจของจิตราที่ทำให้หล่อนรักใคร่เอ็นดูต่อหญิงคนนี้ เพราะเชื่อว่าเป็นผู้มีสติปัญญา และความคิดนึกลึกซึ้งนั้นเป็นแต่เพียงความเข้าใจที่จิตราเข้าใจไปตามความคิดของหล่อนเอง เนื้อแท้แห่งนิสัยของภรณี หล่อนเป็นหญิงที่ไม่มีสมองสำหรับจะคิดถึงสิ่งที่ควรคิดอย่างใดเลย ?
 
 ในระหว่างสองสัปดาห์ที่แล้วมา จิตรากับสามีของหล่อนเกือบจะต้องเป็นปากเสียงกันเพราะเรื่องภรณี จิตราเห็นบันลือทำตัวของเขาเป็นที่น่าตำหนิในข้อที่ละภรณีไปเสียในวันแต่งงานโดยมิได้แสดงความจำเป็นให้ปรากฏชัดเจนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด มิหนำซ้ำเมื่อละไปแล้ว ก็เพิกเฉยไม่ส่งข่าวคราวให้เป็นเครื่องแสดงน้ำใจรักหรือคิดถึงหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตน แม้แต่โดยตัวอักษรสักสองหรือสามตัว หรือโดยคำพูดสักสองหรือสามคำ ส่วนเจริญเห็นว่าการที่บันลือทำเช่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอันไม่น่าที่ใครจะต้องเก็บไปนึกคิดแม้แต่สักน้อย วิสัยของชายที่กำลังก่อสร้างงานอันใดอันหนึ่งขึ้น ความลุ่มหลงในงานนั้นก็อาจจะมีอำนาจทำให้เขาลืมคิดถึงสิ่งอื่น แม้สำคัญและไม่สำคัญไปบ้างชั่วครั้งคราว เฉพาะคำปรารภของจิตราที่ว่า บันลือไม่แสดงน้ำใจรักหรือคิดถึงภรณีเสียเลยนั้น เจริญเห็นเป็นสิ่งที่น่าขันอย่างที่สุดแล้ว “ก็คนมันมีธุระจนกระทั่งต้องทุราศไปโดยไม่ทันบอกให้ใครรู้เรื่องรู้ราว” เจริญว่า “จะให้มันเอาเวลาที่ไหนมานั่งเขียนจดหมายรักถึงเมีย ยิ่งกว่านั้น” เจริญเสริมในตอนท้าย “ไอ้ใจของมัน ๆ ก็ยังไม่ได้รักจริง ๆ ด้วย มันจะเอารักที่ไหนมาแสดง”
 
 จิตราแย้งว่า รักหรือมีรัก บันลือก็ควรจะทำหน้าที่ของเขาให้ถูกถ้วน เจริญยิ่งเห็นขันหนักขึ้น “หน้าที่เขียนจดหมายรักนี่มันต้องไอ้ผัวอายุ ๒๐” เขาตอบ “บันลือน่ะอายุมัน ๓๐ เสียแล้ว แล้วมันเคยมีเมียถึง ๒ คน”
 
 จิตราโกรธหนัก หลอนย้อนถามเขาว่า ถ้าเช่นนั้นชายทั้งหลายยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ผู้อื่นนอกจากตัวแม้แต่ภรรยาหรือบุตรจะทุกข์สุขอย่างไรเป็นอันว่าชายไม่พักต้องคำนึงถึงกระนั้นหรือ เจริญแก้ว่าการที่ชายเมื่ออายุมากขึ้น ฝักใฝ่ในการงานมากขึ้นนั่นแหละแสดงว่าเขาคำนึงถึงสุขและทุกข์ของภรรยาและบุตรยิ่งกว่าเมื่อเขาอายุยังน้อย จิตราแย้งว่า ข้อนี้ไม่เป็นเครื่องพิสูจน์อันแน่นอน ชายย่อมกระทำการงานด้วยความบากบั่น เพราะเห็นแก่ตัวของเขาคนเดียว กล่าวคือ หวังในลาภในยศ ซึ่งเขาเป็นผู้รับโดยตรงก็ได้เหมือนกัน เจริญย้อนถามว่า อันลาภและยศที่มาถึงหัวหน้าครอบครัวนั้น บุคคลในครอบครัวเช่นภรรยาและบุตร ย่อมได้เสพผลด้วยหรือมิใช่ จิตราตอบว่า ภรรยาและบุตรได้รับผลเหล่านั้นในลักษณะเป็นผลที่กระท้อนมากระทบ เปรียบเหมือนแสงสว่างฉายมาต้องวัตถุสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดเงากระท้อนไปยังวัตถุที่สอง ส่วนจิตใจของมนุษย์จะเป็นหญิงก็ดี ชายก็ดี ย่อมมีความต้องการในผลที่มาถึงตนโดยตรงด้วยกันทั้งสิ้น เฉพาะหญิงที่แต่งงานแล้ว ความสุขและความพอใจขึ้นอยู่แก่อาการที่สามีแสดงน้ำใจให้ปรากฏว่า เขามีเจตนาจะทะนุถนอมภรรยาของเขาหรือไม่ ลาภก็ดี ยศก็ดี ซึ่งสามีได้สร้างขึ้นและเป็นผลที่กระท้อนมากระทบภรรยา เกือบจะนับได้ว่าไม่มีค่าเสียเลย เมื่อยกมาเทียบกับน้ำใจและเจตนาของสามี ซึ่งภรรยาย่อมตีราคาไว้สูงยิ่งนัก เจริญฟังแล้วนึกอยากหัวเราะ ปรารภอยู่ในใจว่า ภรรยาของตนเห็นจะไม่มีเวลาที่จะคิดอย่างผู้สูงอายุไปกว่านี้ ถึงแม้เมื่ออายุของหล่อนย่างเข้า ๖๐ แล้วเขาตอบแก่หล่อนว่า
 
 “ไอ้ความถนอมน่ะ มันต้องมีความรักเป็นเครื่องสอน แต่บันลือยังไม่ทันจะได้รักยายภรเราก็รู้กันอยู่แล้ว เท่าที่มันทำก็ทำอย่างตรงไปตรงมา ใจมันเป็นยังไงมันก็ทำออกไปอย่างนั้น จะเอาอะไรกับมันมากไปกว่านี้อย่างไรได้”
 
 จิตรารู้ว่าคำพูดของสามีสมเหตุสมผล แต่หล่อนเปลี่ยนความรู้สึกของหล่อนให้เห็นชอบในเหตุผลของเขามิได้ มิหนำซ้ำหล่อนต้องการจะให้เขามามีความรู้สึกตรงกับหล่อนเสียอีก ครั้นเมื่อหล่อนไม่สามารถที่จะหาเหตุผลมาลบล้างเหตุผลของเขา และทำให้เขารู้สึกอย่างเดียวกับหล่อน หล่อนก็โกรธ ครั้งหนึ่งหลังจากที่จิตรามาหาภรณี ครั้นกลับไปพบกับเจริญ เขาถามหล่อนว่า “ยายภรว่ายังไร ?” หล่อนตอบแก่เขาว่า ภรณีไม่ได้ออกความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ในเรื่องที่เกี่ยวกับการอยู่ การไปของบันลือ เจริญฟังแล้วก็หัวเราะ จิตราก็โกรธเขา ว่าเขาหัวเราะเยาะหล่อน “เป็นที่ว่าฉันบ้าไปคนเดียว” หล่อนกล่าวแก่เขา ครั้นอีกหนหนึ่งจิตรพบภรณีอีก แล้วกลับไปเล่าให้สามีฟังอีกว่า “ยายภรเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อน” เจริญวางหน้าเฉยเสียไม่ออกความเห็นว่ากระไร จิตราก็เคืองและท้าเขาว่า “พูดออกมาก็แล้วกัน ว่าคนในโลกนี้ไม่มีใครเขาบ้าเหมือนฉัน” ความจริงจิตรารู้ว่า ถ้าภรณีจะได้บ่นหรือปรารภการกระทำของบันลือให้จิตราฟัง ก็เป็นข้อที่ทำให้จิตราหนักใจมากขึ้นอีกหลายเท่า และบางทีจะทำให้เจริญ รวมทั้งจิตราเองด้วยมีความเห็นว่า ภรณีเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณตัว แต่ถึงกระนั้นเมื่อภรณีมิได้แย้มพรายความรู้สึกของหล่อนให้จิตราเข้าใจเสียบ้างเลย ก็เป็นข้อที่ทำจิตรารู้สึกรำคาญ
 
 คุณนายลำดวนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหลานสะใภ้และแขกของหล่อนต่างพากันนิ่งเงียบอยู่
 
 “ฉันกลัวว่าพ่อปุ๊จะไปมีเรื่องยุ่ง ๆ อะไรทางโน้น ถึงได้เงียบหายไป แต่ยังไง ๆ อีกสัก ๒–๓ วันก็คงต้องมา เดือนหนึ่งเขาต้องมาหนหนึ่ง นั่นแหละ ที่จริงธรรมดาของเขามักจะจู่มาแล้วก็จู่ไปไม่ทันให้รู้เนื้อรู้ตัวเสมอ”
 
 แล้วคุณนายลำดวนก็เล่าถึงนิสัยของหลานชายเท่าที่ท่านสังเกตและจดจำไว้ ในตอนต้นจิตรานั่งฟังในลักษณะเสียไม่ได้ หล่อนกำลังไม่ชอบบันลือเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อคุณยายกล่าวถึงนิสัยส่วนที่ดีของหลาน หล่อนนึกอยากขัดคอท่านเป็นกำลัง แต่ครั้นเมื่อได้ฟังไป ๆ อีกครู่ใหญ่ พอหล่อนลืมนึกว่าบันลือเป็นสามีของภรณี มิตรภาพอันเก่าแก่มีอำนาจเหนือความรู้สึกอื่น จิตราก็ฟังต่อไปด้วยความเพลิดเพลิน
 
 
 
 
 |  
						| 
								|  |  
								|  |  Logged | 
 |  |  | 
	| 
			| 
					
						| ppsan | 
								|  | « Reply #2 on: 28  October  2025, 21:07:51  » |  | 
 
 ๑๘
 
 
 ดูก่อนภิกษุ พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ คือ....เป็นผู้มีดวงตา รู้สินค้าว่าสิ่งนี้ซื้ออย่างนี้ ขายอย่างนี้ เป็นต้นทุนเท่านี้ กำไรเท่านี้ อย่างหนึ่ง….เป็นผู้ฉลาด เข้าใจที่จะซื้อและเข้าใจที่จะขายอย่างหนึ่ง….(เป็นผู้ที่)คฤหบดีและบุตรของคฤหบดีย่อมรับรองด้วยโภคะทั้งหลายว่า “แน่ะสหายพ่อค้าแต่นี้ไป เชิญท่านนำโภคะไปเลี้ยงบุตรภริยาและจงแถม (สินค้าหรือทรัพย์ ?) ให้เราบ้างตามเวลาอันควรเถิด” อย่างหนึ่ง….พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ นี้ ย่อมถึงความใหญ่ ความไพบูลย์ ในโภคทรัพย์ไม่นานเลย
 
 
 
 
 “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เอ๊า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เอ๊า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง”
 
 “จึ๊ก ชั่กชั่ก จึ๊กชั่กๆ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง จึ๊ก ชั่กๆ จึ๊กชั่กๆ”
 
 ผู้โดยสารในรถคันนี้มีอยู่ ๔ คน เป็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง และเป็นเด็กชายกับเด็กหญิงคู่หนึ่ง เสียงที่ดังเป็นจังหวะเข้ากับเสียงล้อรถกระทบรางนั้น เป็นเสียงของเด็กชายกับเด็กหญิง ซึ่งยืนคู่กันอยู่ตรงริมหน้าต่าง หญิงสาวผู้ซึ่งนั่งชิดกับตัวเด็กหญิงกลั้นหัวเราะไว้ได้โดยยาก ความคะนองของเด็กทำให้เจ้าหล่อนนึกสนุก มีความรู้สึกคล้ายตัวเป็นเด็กรุ่น ๆ ในสมัยที่ยังเล่าเรียนและเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปหาบิดาในเมื่อโรงเรียนปิดภาคปลายปี แต่ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างตรงกันข้ามและห่างจากเด็กไปนั้น ได้ขมวดคิ้วอย่างรำคาญและลดหนังสือพิมพ์จากระดับตา ทำท่าขยับปากจะห้ามเสียหลายครั้ง แต่แล้วก็ยังหาได้ห้ามไม่ ในที่สุดเขาพับหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นกอดอกและทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง
 
 มองดูภูมิประเทศที่รถแล่นผ่าน เป็นที่ราบแลโล่งสุดสายตา ฝนได้เริ่มตกบ้างแล้ว ที่นาบางแห่งมีรอยไถปรากฏอยู่ ชายหนุ่มนึกถึงนาที่เขาเป็นเจ้าของ ทางถิ่นที่เขาอยู่เป็นที่ดอนกว่าถิ่นที่เห็นอยู่บัดนี้ และยังมิได้รับฝนกี่มากน้อย ดังนั้นจึงยังมิได้มีการลงมือไถ แต่ไร่ของเขาอยู่ในระยะปลูกพืชลง และพืชตั้งตัวได้แล้วก็มี อยู่ในระยะที่จะต้องเก็บเกี่ยวผลแห่งพืชก็มี ถ้าจะรอให้งานประการหลังนี้สำเร็จเสียก่อน รวมทั้งงานไถพลิกดินและทับดินทิ้งไว้แล้ว จึงจะลงมือไถนาจะทันกับฤดูกาลหรือไม่
 
 แล้วเขานึกถึงการติดต่อหาลูกค้าที่จะรับพืชผลของเขาไปจำหน่ายในท้องตลาด เมื่อปีกลายนี้เขาได้ลูกค้าที่ปฏิบัติการต่อเขาเป็นที่พอใจ แต่เมื่อปีกลายงานของเขายังเป็นแต่เพียงงานที่อยู่ในขั้นทดลอง พืชผลยังมีน้อยลูกค้าที่มาติดต่อเป็นแต่เพียงจำนวนพ่อค้าย่อย ก็รับพืชผลไปจำหน่ายได้สิ้น ปีนี้งานของเขาใหญ่โตกว่าเมื่อปีกลายหลายเท่า เขาต้องติดต่อกับลูกค้าจำพวกพ่อค้าใหญ่ ต้องวิ่งเต้นให้การขนส่งดำเนินไปได้คล่อง เพื่อพืชผลของเขาจะออกสู่ท้องตลาดได้เร็ว ในการนี้เขาต้องสร้างมิตรภาพแก่บุคคลต่างชนิดต่างจำพวก ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท อันเอกชนเป็นเจ้าของ ตลอดจนกระทั่งราษฎรผู้เป็นเจ้าของเกวียน เจ้าของวัว เจ้าของเรือ รวมทั้งผู้มีอาชีพในการรับจ้างถ่อเรือบรรทุกสินค้า
 
 เท่าที่เป็นมาแล้ว งานของเขานับว่าดำเนินไปด้วยดี การติดขัดเล็ก ๆ น้อย ๆ มีบ้างและมีบ่อย ๆ แต่เขาก็ได้แก้ตกไปโดยไม่ยากนัก ในปัจจุบันนี้เขาพอใจว่าเขาได้ทำงานที่เขาชอบสมความปรารถนา อีก ๒–๓ เดือนข้างหน้า ถ้าพืชผลของเขาออกสู่ท้องตลาดโดยบริบูรณ์ เท่าที่เขาคำนวณไว้เขาจะได้ลิ้มรสความภูมิใจแห่งความสำเร็จของเขา
 
 หญิงกลางคนเข้ามาทางประตูข้างหน้า ชายหนุ่มเดินเซเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นกับอาการแกว่งของรถ นางใช้มือจับพนักที่นั่งช่วยพยุงตัวมาจนตลอดทาง ครั้นมาใกล้เด็กทั้งสองก็หยุดและถามว่า
 
 “ทานข้าวกันหรือยัง ย่ำค่ำแล้ว ?”
 
 เด็กทั้งสองหาได้ยินไม่ ด้วยมัวแต่เพลินอยู่กับการส่งเสียงแปลก ๆ ต่าง ๆ เข้ากับจังหวะกับเสียงรถ หญิงสาวจึงช่วยถามซ้ำ
 
 เด็กหญิงเป็นผู้เข้าใจคำถามก่อนก็หันมาดูแล้วหมุนตัวให้หลังพิงกรอบหน้าต่าง เด็กชายหันตามมาได้ฟังคำถามก็เอียงคอมองดูหญิงสูงอายุแล้วว่า
 
 “ไกก็ดิ้น ไม่กินก็ได้ ไกก็ดิ้น ไม่กินก็ได้”
 
 หญิงสาวหัวเราะคิ๊กออกมาทันที และหญิงผู้สูงอายุเองก็ทำหน้าเฉยอยู่ได้โดยยาก อย่างไรก็ตามนางพูดด้วยเสียงดุ
 
 “เอาอีกแล้ว คุณก้อง เดี๋ยวเถอะ คุณพ่อได้ยินเข้าหรอก”
 
 เด็กชายหยุดทำเสียง หันกลับไปหาหน้าต่างอย่างไม่เอาใจใส่ต่ออะไรทั้งสิ้น เด็กหญิงก็ทำตามเด็กชาย หญิงสาวจึงตัดสิน
 
 “ถึงเวลาแล้วก็เอามาให้รับประทานก็แล้วกันแม่พวง”
 
 อีกฝ่ายหนึ่งรับคำโดยอาการนิ่ง ค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังไปตามทาง แต่พอใกล้จะถึงประตูก็ชะงัก ชายหนุ่มได้ใช้มือป้องปาก และร้องเรียกว่า “นม นม มานี่ก่อน”
 
 แต่เมื่อนางพวงกำลังจะเดินเข้าไปหาเขา เขาเกิดนึกรำคาญอาการที่นางพวงก้าวขาช้ามาก ก็ลุกจากที่ไปหานางพวงเสียเอง
 
 “นอกจากข้าวสำหรับเด็ก ๆ แล้ว หามาเผื่อคนอื่นมั่งหรือเปล่า ?” เขาถาม
 
 นางพวงทำท่าสนเท่ห์ “ก็คุณสั่งแต่ว่าให้หาข้าวมาให้คุณเล็ก ๆ—”
 
 เขาร้องจุ๊ ! อย่างรำคาญ “แล้วนมเองน่ะไม่รู้จักหิวรึ ?”
 
 นางพวงนิ่ง ปัญหาข้อนี้ยังไม่ได้ผ่านสมองนางพวงเลย แต่ในที่สุดก็ตอบได้ “หิว นมก็กินเหลือคุณเล็กๆ”
 
 “ก็คนอื่นล่ะ ?” เสียงของเขาห้วนยิ่งขึ้น
 
 นางพวงทำท่าเหมือนจะตอบว่า “จะไปรู้เรอะ” แต่หาได้ตอบออกมาไม่ ชายหนุ่มแสดงความไม่พอใจให้ปรากฏออกมาทางสีหน้า แล้วหันหลังกลับไปนั่งโดยไม่พูดว่ากระไร
 
 อารมณ์ของเขาที่เรียบเป็นปกติดีเมื่อครู่ก่อน เริ่มจะผันแปร “นี่เรื่องอะไร จะพาคนมาอดข้าวตาม ๆ กัน!” เขารับว่าเขาได้สั่งนางพวงว่า “หาข้าวเย็นไปให้เด็ก ๆ กิน นะ นม” ดังนี้จริง แต่เขาตั้งใจจะให้นางพวงเข้าใจว่า “ต้องมีอาหารเย็นสำหรับผู้หญิงและเด็ก” เพราะเขาได้ชี้แจงแล้วว่ารถไฟจะถึงสถานีเวลาใด และต่อจากนั้นอีกเป็นเวลาเท่าใด นางพวงจึงจะได้เห็นที่อยู่ของเขา ควรหรือนางพวงยังมาตอบแก่เขาได้ว่า “คุณสั่งแต่ให้หาข้าวมาให้คุณเล็ก ๆ”
 
 “ยิ่งแก่ยิ่งโง่” เขาบ่นในใจด้วยความเคือง
 
 แลไปดู ‘ผู้หญิง’ ที่นั่งอยู่กับเด็ก ดูช่างมีเรื่องพูดเรื่องเล่นกับเด็กราวกับพูดกันเล่นกันอยู่กับเพื่อนในวัยเดียวกัน ส่วนเด็กนั้นก็พัวพันอยู่กับหล่อนเกือบตลอดเวลา เขาได้เห็นความสนิทสนมระหว่างลูกของเขากับเจ้าหล่อนแล้วตั้งแต่วันแรกที่เขาไปถึงบ้านคุณยาย เป็นความสนิทสนมที่สะดุดใจเขา เด็กทั้งสองถ้าจะกล่าวตามเหตุการณ์ มุกดาก็ได้เป็นผู้เลี้ยงมาไม่ต่างกับแม่เลี้ยงลูก และเด็กก็คุ้นและสนิทกับมุกดาจนถึงกับทำฤทธิ์เอาบ่อย ๆ ไม่ผิดกับลูกที่ชอบทำฤทธิ์กับแม่ แต่ถึงกระนั้นเขาไม่เคยเห็นเด็กเข้าคลอเคลียพัวพันอยู่กับมุกดาเหมือนดังที่ได้กระทำต่อหญิงคนนี้ นางพวงเป็นผู้ที่เด็กทั้งสองชอบพัวพันด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าได้พัวพันเมื่อไรก็เกิดเรื่องต้องดุต้องว่ากันเมื่อนั้น เพราะเด็กจะ ‘แหย่’ นางพวงด้วยกิริยาหรือวาจาอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณนายลำดวนเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่เด็กเข้าหาด้วยความเต็มใจ แต่ก็เข้าหาเฉพาะในเวลาที่มีความต้องการในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เช่นต้องการขนมหรือของเล่น หรือต้องการจะฟ้องร้องผู้นั้นผู้นี้ด้วยความโกรธ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการสมใจแล้วก็ละไปเสีย กิริยาที่ได้ของต้องใจแล้ววิ่งไปอวด เมื่อเป็นของกินได้ก็จับใส่ปาก ยัดเยียดให้กิน ดังที่เด็กทำต่อหญิงคนนี้ เป็นกิริยาที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นลูกของเขาทำต่อใครมาก่อน
 
 เมื่อได้พิเคราะห์ดูเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ชายหนุ่มนึกสังเวชลูกชายหญิงของตนยิ่งนัก ภายในจิตไร้สำนึกของเด็กคงจะมีความกระหายในความรักชนิดที่ไม่ถูกแบ่งแยก คือความรักที่มารดาจึงรักลูกในอกของตัวเป็นธรรมชาติอันมีน้ำหนักอยู่มาก ธรรมชาตินี้ทำให้เด็กพร้อมที่จะรักใครสักคนหนึ่งที่รักตัวด้วยความรักดังกล่าวแล้ว เมื่อเห็นใครเขาใจดีต่อ เล่นด้วย หัวเราะด้วย ไม่แสดงความเบื่อหน่าย ให้ตัวรู้สึกแม้แต่สักนิดสักหน่อย ก็เป็นที่ติดเนื้อต้องใจ จึงสนิทสนมกับเขาได้ในเวลาเพียง ๑ เดือน ยิ่งกว่าที่เคยสนิทสนมกับผู้ที่ได้อยู่ใกล้กันมาด้วยเวลาอันนับเป็นจำนวนปี
 
 คิดถึงลูกแล้วก็คิดถึงยาย บุคคลเขารักมากห่วงมากเป็นที่สองรองจากลูก ท่านร้องไห้เมื่อเขาบอกให้เด็กทั้งสองกราบลาท่านครั้นตอนที่เขาอยู่กับท่านสองต่อสอง ก่อนที่จะไปขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ท่านพูดแก่เขาว่า
 
 “ฝากแม่ภรณีด้วยนะ พ่อปุ๊”
 
 แปลก ! คุณยายนี่ก็แปลกมาก ! ราวกับหญิงคนนี้เป็นเลือดในอกที่ท่านยกให้เขา แท้จริงนั้นเขาต่างหากเป็นผู้พาหล่อนมาให้แก่ท่าน !
 
 แต่ก็พอดีกัน เมื่อเขาพาหล่อนมาจากท่านเป็นวันแรก ดูเหมือนเขากำลังจะทำให้หล่อนอดอาหารมื้อเย็น นมพวงนี่ร้าย เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า จะอาศัยต่างหูต่างตา ก็อาศัยไม่ได้เลย
 
 ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งเป็นครั้งที่สอง เดินไปที่ประตู นายถีนั่งอยู่ในชั้นสามกับนางพวง เขากวักมือเรียกเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า
 
 “ป่านนี้ในรถนี่ยังมีอะไรขายไหม ? ข้าวกับไข่หรืออะไรบ้า ๆ ที่เจ้าเคยซื้อกิน ?”
 
 นายถีทำท่าเหมือนจะหัวเราะ “ซื้อมาคุณก็รับประทานไม่เห็นได้สักที” เขาตอบ
 
 “ไอ้บ้า ใครบอกว่าข้าจะกิน นั่นแน่ะ” เขาพยักหน้า ไปทางที่หญิงสาวนั่งอยู่ แล้วใช้ลักษณะบังคับทำให้ตัวหาคำพูด อันบ่งถึงเจ้าหล่อนผู้นั้นโดยตรง “คุณผู้หญิง เอ็งไปออกปัญญายังไงให้มีอะไรพอกินได้หน่อยซี ข้าวผัดอย่าให้เหม็นหืน แล้วไอ้ไข่ทอดอย่าให้มีขี้ตีนโรยหน้า”
 
 นายถีซ่อนความอ้ำอึ้งไว้ในหน้าอันเฉย เมื่อผู้สั่งหันกลับเข้าในรถชั้นสองแล้ว นายถีกลับไปอีกทางหนึ่ง พอดีสวนทางกับนางพวง นายถีอยากจะต่อว่าหญิงสูงอายุในข้อที่มิได้คิดจัดหาอาหารมาให้คุณผู้หญิงยิ่งนัก แต่ด้วยเหตุที่นางพวงได้นำเอาข้อที่ตนถูกตำหนิจากคุณผู้ชาย ไปบ่นกันนายถีเสียเสร็จแล้วเมื่อครู่ก่อน นายถีไม่อยากจะก่อกวนให้นางพวงบ่นอีก จึงระงับปากไว้
 
 อาหารของเด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่อง มีข้าวกับหมูทอดฉีกเป็นฝอย กับไข่พะโล้อย่างละน้อย ๆ พอดี สำหรับปริมาณแห่งความอิ่มของเด็ก นางพวงหยิบของเหล่านี้ออกจากตะกร้า แล้วจัดแจงให้เด็กรับประทาน ในตอนต้นเด็กทั้งสองก็ลงนั่งบริโภคเองเรียบร้อย แต่ภายหลังต่อมาอีกครู่หนึ่ง เมื่อตักข้าวและกับใส่ปากแล้ว ก็วางช้อนเสีย ไปยืนเคี้ยวที่ริมหน้าต่างแล้วก็หันมาตักใหม่ แล้วละจานข้าวไว้ใหม่ หนักเข้านางพวงก็ต้องยกจานตามไปป้อนให้ ภรณีเห็นใจเด็กว่าเป็นธรรมดาที่จะต้องอยากดูสิ่งต่าง ๆ ที่รถไฟได้พาเขาผ่านมา จึงละที่ริมหน้าต่างที่หล่อนนั่งอยู่ให้กับเด็กหญิง รับจานข้าวของเด็กมาวางไว้ข้างตัวและรับหน้าที่ป้อนให้ เด็กชายนั่งตรงกับน้อง นางพวงเป็นผู้ป้อน การรับประทานอาหารของเด็กก็ผ่านไปโดยเรียบร้อย
 
 เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า มองเห็นวงสีเหลืองแดงรำไรอยู่เหนือยอดไม้ ชาวนาต้อนกระบือกลับเข้าคอก เด็ก ๆ ขึ้นจากน้ำตามหนและบึงริมทางรถไฟ บ้างหิ้ว บ้างสะพายผ้าชิ้นเดียวที่ปกคลุมตัว บ่ายหน้าไปทางเดียวกับสัตว์เลี้ยง เด็กที่ในรถโดยสารชั้นสองก็เงียบหงอยไปด้วย เด็กชายยังยืนอยู่ริมหน้าต่าง เอียงคอมือห้อยออกนอกรถ พูดพึมพำอยู่กับตัวเองคนเดียว เด็กหญิงนั่งอยู่ริมที่สุดแห่งที่นั่ง พับกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นรูปต่างๆ ซึ่งไม่มีความหมายอันใดเลย แล้วก็คลี่ออกแล้วก็พับใหม่ กลับไปกลับมา ในที่สุดก็ขว้างกระดาษทิ้งโดยแรง ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจและร้องฮื้อ! ออกมาด้วยเสียงอันดัง
 
 เห็นจะเป็นด้วยความวังเวงแห่งเวลาสายัณห์ ภรณีมีความรู้สึกเศร้าและเซื่องซึมมองดูเด็กที่อยู่ตรงหน้าแล้วคิดถึงน้องชายน้องหญิงของหล่อนเอง ป่านนี้เขาทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อไม่มีพี่สาวคอยเป็นทั้งเพื่อนทั้งครู ทั้งผู้ควบคุมให้ทำงาน เขาทั้งสองจะได้ทำกิจในการเรียน และกิจในการบ้านเหมือนแต่ก่อนหรือหาไม่ ๓๘ วัน ทั้งวันนี้ ภรณีไม่ได้ฟังข่าวน้องคนหนึ่งคนใดเลย บิดาของหล่อนจะรู้หรือไม่ว่าภรณีตกค้างอยู่ที่กรุงเทพฯ เดือนกว่า ภรณีก็เดาไม่ถูก จิตราได้เล่าให้ภรณีฟังว่า หล่อนเห็นหลวงจำนงฯ ที่สถานีแต่มิทันที่จะได้พูดจากัน ด้วยจิตราเองก็มัวแต่งงงวยในเรื่องที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาว มิได้ไปยังสถานีตามที่กำหนดไว้ และหล่อนมัวแต่ซักถามเรื่องนี้แก่พี่น้องของบันลืออยู่ เมื่อนึกถึงหลวงจำนงฯ ขึ้นได้ หล่อนมองหาก็ไม่เห็นเสียแล้ว
 
 เด็กหญิงโผตัวเข้ามาที่ตักภรณี ศีรษะซบลงกับอกของหล่อนแล้วสีไปมา ภรณีจับต้องเด็กนี้แต่ใจยังคิดถึงเด็กอื่น ภายหลังจึงรู้สึกตัวด้วยเด็กที่อยู่ใกล้ใช้กำลังศีรษะกดกับร่างกายของหล่อนหนักยิ่งขึ้นพร้อมกับส่งเสียงอื๊ออ๊า หญิงสาวจับเด็กให้เงยหน้า ประหลาดว่าความรู้สึกอย่างใดเกิดขึ้นแก่เด็ก จึงแสดงอาการอึดอัดเช่นนี้
 
 “เป็นไง” หล่อนถามเบาเกือบเท่ากระซิบ “เสียงอื๊ออ๊า ๆ ท่าจะเบื่อเต็มแก่แล้ว ?”
 
 เด็กหญิงกลับตัวแล้วทิ้งหลังมาพิงขาภรณีโดยแรง สีหน้าไม่แสดงว่าพื้นดีขึ้น ภรณีจับศีรษะและจัดผมเพื่อจะให้หายยุ่ง เด็กก็สะบัดหนี แต่แล้วก็กลับทิ้งศีรษะลงบนแขนภรณีอีก หญิงสาวรู้ว่า ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งความหงุดหงิดได้เกิดขึ้นในใจเด็ก อาจจะเป็นด้วยความเบื่อ ด้วยความง่วงหรือด้วยความคิดถึงคุณชวด หรือคิดถึงใคร ๆ นอกไปจากนั้น หรือว่ามิได้คิดถึงผู้ใดเลย แต่มีความรู้สึกไปตามธรรมชาติของใจที่หม่นหมองลงเพราะความมืดแห่งธรรมชาติภายนอกบันดาล กำลังคิดหาอุบายจะช่วยให้เด็กแช่มชื่นขึ้น ขาขวาของเด็กก็เหยียดแผล็บออกไปข้างหน้าโดยไว มีน่องของเด็กอีกคนหนึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง แต่ชะรอยการเล็งจะไม่แม่นยำนัก จึงไม่ถูกเป้าถนัด ปลายรองเท้าได้เฉียดเอาผิวหนังเด็กชายก้องแต่เพียงนิดเดียว
 
 ถึงกระนั้นเด็กชายก็หันขวับมาอย่างฉุนเฉียว ภรณีว่องไวมาก ก็หิ้วตัวเด็กหญิงขึ้นวางบนตักหล่อนอย่างฉับพลันกอดไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า
 
 “หนูทำอย่างนั้นไม่สวยเลย” เงยหน้าขึ้นพูดกับเด็กชาย “ขอโทษ น้องไม่ได้แกล้งค่ะ เท้ามันไปถูกเข้าเอง”
 
 เด็กชายไม่โต้ตอบ ละจากที่เก่าไถลตัวไปกับขอบที่นั่ง แล้วก็ไถลไปทางอื่นอีก ส่วนเด็กหญิงยังนั่งหน้าคว่ำอยู่บนตักภรณี
 
 พอค่ำสนิท ไฟฟ้าในรถเปิดสว่าง ส่วนภูมิประเทศสองข้างทางมีความมืดขมุกขมัวปกคลุมอยู่ทั่วไป เด็กทั้งสองไม่เหลียวแลไปทางหน้าต่างอีก ก็มาพันพัวอยู่ตามข้างตัวภรณี และแก่งแย่งกันในอันจะถือเอาร่างกายของเจ้าหล่อนตลอดจนกระทั่งมือและแขนไปยึดไปกุมของคนเสียแต่ฝ่ายเดียว ภรณีรู้สึกรำคาญแต่ก็ห้ามความรู้สึกไว้ได้ ค่อย ๆ ปลอบโยนเด็กด้วยอุบายต่าง ๆ เช่นชวนให้เล่นจ้ำจี้ ตีไก่ ซ่อนนิ้วมือให้เด็กจับและทายให้ถูกว่านิ้วไหนเป็นนิ้วกลาง เด็กทั้งสองเล่นกันไปพลาง หัวเราะกันบ้างเถียงทะเลาะกันบ้าง จนกระทั่งถึงเวลาที่นายถียกอาหารเข้ามาให้ภรณี
 
 หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ หล่อนไม่รู้สึกหิวและยังมิได้คิดถึงเรื่องอาหารเลย แต่เมื่อมีผู้จัดหามาให้ก็เห็นว่าไม่ควรที่จะทำอย่างอื่น นอกจากบริโภคให้เสร็จไปเสียโดยเร็ว
 
 หล่อนย้ายจากที่เดิมไปนั่งยังที่ตรงกันข้าม อาหารทั้งสิ้นมีอยู่จานเดียว คือข้าวผัดกับไข่ทอดซึ่งวางมาบนขอบจาน ภรณีไม่ได้นึกถึงรสอาหาร ความรู้สึกของหล่อนไม่ยอมให้หล่อนรับประทานได้เกินกว่า ๗–๘ ช้อน นายถีมิได้นึกจะจัดน้ำมาให้ด้วย ภรณีช่วยตัวหล่อนเองโดยอาศัยน้ำ ในกระติกที่นางพวงเตรียมมาสำหรับเด็กเล็กทั้งสอง
 
 เสร็จจากรับประทาน มีปัญหาข้อหนึ่งเกิดแก่ภรณีหล่อนจะยกจานอาหารของหล่อนไปส่งให้นายถีในรถโน้น หรือจะเดินไปเรียกนายถีให้มายกเอาไป ภรณีตัดสินใจจะทำความคิดข้อแรกก็พอดีเห็นนายถีเดินเข้ามา
 
 ชายคนใช้เมื่อยกจานขึ้นแล้ว ก็พับโต๊ะประจำที่นั่งเข้าที่ไว้ดังเดิมโดยเรียบร้อย
 
 ต่อจากนี้มิช้าก็ถึงคราวที่ภรณีเห็นเด็กทั้งสองแสดงความหงุดหงิดเข้าหากัน จนหล่อนเกือบจะหมดปัญญาที่จะไกล่เกลี่ย หล่อนสงสัยว่าเด็กคงง่วง ทำให้อยากรู้ว่าเวลาได้ล่วงไปถึงกี่ทุ่มแล้ว อีกนานเท่าไรรถไฟจึงจะถึงสถานี หล่อนได้จัดให้เด็กหญิงนอนลงที่ข้างตัว ศีรษะพาดบนตักหล่อนเด็กชายนั้นนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง แล้วหล่อนก็เล่านิทานให้เขาทั้งสองฟังนึกน้อยใจว่า นางพวงผู้ซึ่งมีหน้าที่เลี้ยงเด็กโดยตรงมิได้เยี่ยมกรายมาดูเด็กเสียบ้างเลย และบิดาของเด็กก็ก่นแต่อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับแล้วฉบับอีก นี่เขาพากันนึกว่าเขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่ครั้งไรกัน ทั้งนี้ภรณีมิได้รู้ว่านางพวงกำลังมีอาการหนักยิ่งกว่าเด็กหลายเท่า และบิดาของเด็กนั้น ถึงแม้จะถือหนังสืออยู่ไม่ขาดมือ ก็รู้ความที่เขาได้อ่านแล้วแต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ นัยน์ตาของเขาบอกเขาอยู่อยู่ตลอดเวลาว่าหญิงที่มากับเขาได้ถูกลูกของเขารบกวนอย่างหนัก แต่เขาไม่มีปัญญาที่จะแก้ไข ก็ได้แต่เวียนดูนาฬิกาข้อมือไม่หยุดหย่อน แล้วก็บังคับสายตาให้ผ่านไปบนหน้ากระดาษเพื่อระงับความรำคาญ
 
 ในที่สุดเมื่อเด็กหญิงปล่อยให้นัยน์ตาหรี่ลง ๆ ทุกทีจนใกล้จะหลับสนิท และเด็กชายหาวแล้วหาวอีกหลายครั้ง และฝืนตาอยู่ได้ก็ด้วยความที่สนใจในเรื่องนิทาน รถไฟก็เปิดหวูดเสียงสนั่น ภรณีโล่งใจดังมีผู้ยกหินออกจากอก มองไปทางบันลือเห็นเขากำลังรวบรวมหนังสือพิมพ์ ยิ่งทำให้ได้ความแน่ใจ หล่อนพูดขึ้นด้วยเสียงอันร่าเริงและชวนให้เด็กตื่นเต้นไปด้วย
 
 “ถึงแล้ว ป่องลุกขึ้นเร็ว ดูถีมีอะไรมั่ง”
 
 ทั้งเด็กหญิงเด็กชายลุกขึ้นถลันไปที่หน้าต่างทันที แต่แล้วก็เบือนหน้ากลับโดยทันทีเหมือนกัน เพราะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด ซึ่งออกจะน่ากลัวอยู่บ้างสำหรับขวัญของเด็ก ภรณีรีบชี้แจงด้วยเสียงอันแจ่มใสว่ารถยังไม่ถึงสถานีทีเดียวแต่จะถึงในไม่ช้าแล้วชวนให้เด็กจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย
 
 รถแล่นช้าลงทุกที ๆ จนเกือบจะหยุดสนิท ภรณีรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น ๆ หล่อนไม่มีเวลาที่จะค้นหาสาเหตุแห่งความวิปริตนี้ เด็กทั้งสองกำลังเต้นอยู่ข้างหล่อน ส่วนอีกทางหนึ่ง นายถีก็กำลังขนกระเป๋าเดินทางของหล่อนลงจากหิ้งเหล็กและออกจากใต้ที่นั่ง แล้วบันลือก็หิ้วกระเป๋าของเขาเข้ามาใกล้
 
 นายถีรายงานขึ้นพร้อมกับที่ลากกระเป๋าใบสุดท้ายออกจากใต้ที่นั่ง
 
 “ป้านมถ้าจะต้องหาม เดินไม่ไหว”
 
 “อ้าวเป็นอะไรไป !” บันลือถาม
 
 “แกว่าแกเมารถ ลุกไม่ขึ้นเลย”
 
 “เอ๊ะ ก็เมื่อสักครู่นี้ก็เห็นยังเดินได้ดีอยู่นี่”
 
 “เพิ่งเมาใหญ่เมื่อมืดแล้ว”
 
 “วะ !” บันลืออุทานแกมหัวเราะ แล้วพูดสืบไป “เจ้าไปจัดการช่วยแกทีสิ คงไม่ถึงกับต้องหามหรอกน่ะทิ้งไอ้กองนี้ไว้นี่แหละ บอกพวกเรามาทางหน้าต่างนี้แกพานมไปขอเขาพักในห้องนายสถานีก่อน”
 
 นายถีเดินลับตัวไปโดยเร็ว บันลือวางกระเป๋าเล็กของเขาไว้ทางหนึ่ง แล้วยกกระเป๋าใหญ่ของภรณีไปที่หน้าต่างด้วยกิริยาอันไม่แสดงความลำบากอย่างใดเลย กระเป๋าหนึ่ง สองกระเป๋า สามกระเป๋า เจ้าหล่อนผู้เป็นเจ้าของยืนมองดูเขาด้วยความรู้สึกประหลาดพิกล แล้วเขาเยี่ยมหน้าออกนอกหน้าต่าง เสียงที่เขาพูดแว่วมาถึงหูหล่อนเบา ๆ และไม่เป็นถ้อยคำ ต่อจากนั้นเขายกกระเป๋าส่งออกไปนอกรถ รวมทั้งสิ้น ๕ ใบด้วยกัน
 
 เสร็จแล้วเขาหันมาทางธิดา ยกตัวเด็กขึ้นโดยง่ายพร้อมกับพูดว่า “มา พ่อจะอุ้ม” เขายิ้มจับคางเด็กบีบโดยแรง “เลิกโยเยที เดี๋ยวถึงบ้าน” แล้วหันไปหยิบกระเป๋าใบเล็กของเขาเอง แล้วก็เดินตรงไปที่ประตู
 
 แต่เขามิได้ก้าวออกไปก่อนที่จะได้หันมาดู และเห็นว่าภรณีกับเด็กชายได้เดินมาทันเขาแล้ว บันไดรถสูงจากชานสถานีมาก เขาวางกระเป๋าลงเสีย แล้วหันมาโอบตัวเด็กชายลงไปวางบนชานอย่างคล่องแคล่วด้วยมือที่ว่างอยู่ เขาหันกลับมายื่นมือจะช่วยภรณีอีก แต่หล่อนได้ลงไปยืนอยู่ข้างเขาโดยเรียบร้อยแล้ว
 
 อีก ๓ นาทีหลังจากนั้น รถไฟออกแล่นต่อไป สถานีที่บันลือลงเป็นแต่เพียงสถานีย่อยแห่งหนึ่ง นายสถานีเข้ามาทักทายบันลืออย่างผู้คุ้นเคย แต่มีกิริยาแสดงความนับถืออยู่ในที ฝ่ายเขาก็แสดงกิริยาตอบแทนในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อกล่าวอำลาเพื่อจะเดินทางต่อไปบันลือพูดว่า
 
 “วันหลังคุยกันใหม่ วันนี้เด็กง่วงเสียแล้ว ถ้าก็จะหลับในรถยนต์ ผมมีอะไรมาฝากคุณด้วย พรุ่งนี้จะให้คนเอามาให้”
 
 นายถีก็ได้พานางพวงไปรออยู่บนรถยนต์เรียบร้อยแล้ว เมื่อบันลือพาลูกทั้งสองกับภรณีไปถึงนางพวงกำลังหาวเรออย่างขนานใหญ่ รถนั้นเป็นรถบรรทุก แต่มีหลังคาและมีที่นั่งสองแถว ซึ่งมีเบาะรองและมีพนักสำหรับพิงได้อย่างสบาย ภรณีขึ้นนั่งในที่ตรงกับนางพวง บันลือส่งลูกหญิงตามขึ้นไปให้หล่อน ส่วนลูกชายซึ่งยึดมือภรณีแน่นอยู่นั้น บันลือกล่าวชวนว่า
 
 “แกเป็นผู้ชาย ออกมานั่งกับพ่อข้างนอกเถอะ”
 
 เขารับตัวเด็กลงจากรถ ชายอีก ๔ คนรวมทั้งนายถีด้วยก็ขึ้นนั่งเรียงเป็นลำดับกันไปเสียงเครื่องยนต์สตาร์ทรถเคลื่อนจากที่ ภรณีเหลียวไปดูสถานีเป็นครั้งสุดท้ายเห็นแสงไฟเป็นจุดใหญ่แต่ไม่รุ่งโรจน์ ในไม่ช้าก็ลับหายไปกับตาด้วยรถเลี้ยวออกไปตามทาง ๆ หนึ่ง
 
 ต่อจากนั้น ภรณีเห็นแต่ที่ราบอันมีความมืดปกคลุมจนดำสนิท สุดวิสัยที่สายตาจะดูให้เห็นชัด ต่อนาน ๆ เมื่อแสงไฟอันเป็นลำใหญ่ฉายไปต้อง จึงมองเห็นคันนาและต้นไม้ได้บ้าง นางพวงหาวเรอและบ่นพึมพำไม่ขาดปาก ภรณีจับความได้เป็นบางตอนว่าเป็นคำบ่นในเรื่องความมืดแห่งภูมิประเทศและความยาวแห่งระยะทาง ชาย ๔ คนที่อยู่ทางท้ายรถ พูดกันหัวเราะกันเป็นคราว ๆ ด้วยเสียงอันไม่ดังนัก แต่ซึ่งนายถีได้รีบบรรยายและขยายความให้นางพวงเข้าใจว่าเขาพูดกันถึงสัตว์ร้าย เช่นเสือและหมี ภรณีนึกดีใจที่เด็กหญิงป่องหลับอยู่กับตักของหล่อนอย่างสนิท ถ้ามิฉะนั้นก็คงถูกกระทบกระเทือนขวัญ ด้วยความคะนองของนายถี นาน ๆ ครั้งหนึ่งหล่อนได้ยินเสียงบันลือตามลมมากระทบหู เขาพูดกับคนขับรถถึงเรื่องทางข้างหน้าได้รับการซ่อมแซมพอให้รถวิ่งได้โดยสะดวกหรือไม่ แล้วก็ถามถึงรถคันอื่น ๆ รวมทั้งเครื่องยนต์ชนิดอื่นที่เขาใช้ในการงานของเขาด้วย
 
 
 
 
 |  
						| 
								|  |  
								|  |  Logged | 
 |  |  | 
	| 
			| 
					
						| ppsan | 
								|  | « Reply #3 on: 28  October  2025, 21:09:44  » |  | 
 
 ๑๙
 
 
 ทั้งคู่เป็นคนทุศีล ตระหนี่ ด่าว่าสมณพราหมณ์ หญิงชายคู่นั้นเป็นภริยาผีอยู่ร่วมกัน—
 
 ทั้งคู่เป็นผู้มีใจศรัทธา ใจบุญ สำรวมในศีล เลี้ยงชีพโดยชอบ หญิงชายคู่นั้นเป็นภริยาสามี (ที่) พูดคำอ่อนหวานต่อกัน ย่อมบังเกิดความเจริญมาก อยู่ด้วยกันโดยผาสุก—
 
 
 
 
 ภรณีตื่นจากหลับพร้อมกับมีความปรารภอยู่ในสมองว่า วันนี้เป็นวันธรรมสวนะใช่หรือไม่ ถึงเวลาที่หล่อนควรลุกขึ้นไปใส่บาตรกับคุณยายหรือยัง ?
 
 หล่อนลืมตา มองเห็นที่ว่างข้างตัว จึงนึกถึงความจริงขึ้นได้ คุณยายที่ไหนกัน หล่อนอยู่ไกลจากท่านไม่รู้ว่าที่ร้อยโยชน์ บนพื้นเสื่อข้างที่นอนของหล่อน ซึ่งมีหมอนและผ้าห่มวางอยู่เรียบร้อยนั้นเมื่อคืนนี้นางพวงได้เป็นผู้นอน
 
 ภรณีมองลอดผ้ามุ้งออกไปภายนอก ห้องนี้มืดแต่สีของแดดที่ลอดเข้ามาตามช่องลม ทำให้ภรณีรู้ว่าเป็นเวลาสายแล้ว หล่อนออกจากมุ้งโดยเร็วด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เช้าวันนี้เป็นเช้าวันแรกที่หล่อนตื่นขึ้นในบ้านของ ‘เขา’ แล้วหล่อนก็ทำตัวเป็นผู้นอนสายอวดเขาเสียแต่ในวันแรกนี้ทีเดียวหรือ ?
 
 มองดูหน้าต่างและประตู เห็นปิดสนิทหมดทุกบานแต่ภรณีจำได้ว่าประตูไหนจะนำหล่อน ไปยังห้องที่เจ้าของบ้านเขา บอกแก่นางนมของเขาว่าเป็นห้องคุณผู้หญิง เดินพลางภรณีนึกเคืองนางพวงอยู่ในใจ เพราะเหตุที่นางพวงนอนกรนดังราวกับเสียงเข็นเรือ ภรณีเกือบจะไม่ได้นอนหลับหรือหลับก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืนพึ่งจะได้หลับสนิทเมื่อก่อนรุ่งสางนี้เอง
 
 ผ่านประตูมายังอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้ก็มืด เปิดหน้าต่างได้หน้าต่างเดียวด้วยความลำบากยากยิ่ง แล้วคิดถึงสิ่งที่ต้องการใช้ในเดี๋ยวนั้น ได้ของแล้วยังคิดถึงห้องน้ำประตูห้องนี้มีถึง ๕ ประตู ประตูติดต่อกับห้องหนังสือประตูด้านหน้าเรือน ประตูติดกับห้องที่ภรณีเพิ่งออกมาประตูติดกับห้องน้ำ ประตูติดต่อกับห้องเจ้าของบ้าน ๒ ประตูหลังนี้ ภรณีต้องระวังอย่าเปิดผิดเป็นอันขาด นิ่งคิดทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งเมื่อคืนนี้ จิตใจของหล่อนอยู่ในภาวะตื่นเต้นและประหม่า ทั้งความมืดและความจอแจก็ช่วยทำให้สมองของหล่อนมึนงงหนักขึ้นด้วย แข็งใจจับลูกบิดหมุนค่อย ๆ อย่างระมัดระวัง สาธุ ! หล่อนเลือกประตูถูกแล้ว มองเห็นตุ่มน้ำตั้งอยู่ตรงหน้า
 
 ราว ๆ ๑๕ นาทีภายหลัง ภรณีแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแต่ยังเคว้งคว้างอยู่กลางห้องไม่รู้จะไปไหนหรือทำสิ่งใด ข้อร้ายที่สุดอยู่ที่ตรงความขลาดของหล่อนเอง ไม่ว่าความคิดจะแนะให้ทำนั่นหรือทำนี่ หล่อนก็ยั้งความคิดเสียด้วยกลัวตัวจะทำผิดอยู่ร่ำไป แต่อย่างไรก็ตาม หล่อนจะต้องออกจากห้องนี้ไปพบกับใครสักคนหนึ่งจงได้ ประหลาดแท้ บ้านทั้งบ้านไม่มีเสียงผู้คนดังมาถึงหูหล่อนบ้างเลยทั้งเจ้าของบ้าน ทั้งลูกของเขาทั้งนางนมของเขาพากันไปอยู่ที่ใดหมด ?
 
 – ตัดสินใจเด็ดขาด ถอดกลอนประตูที่ติดต่อกับหน้าเรือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏแก่ตามีสภาพอันชวนให้พิศวงและตะลึงลาน เป็นสิ่งที่แปลกที่ใหม่ที่สายตาของภรณีไม่เคยชมมาแต่ก่อน แต่เจ้าหล่อนไม่มีเวลาที่จะคิดที่จะเสพอารมณ์แห่งความตื่นเต้นไปในทางรื่นรมย์ เพราะสภาพดังกล่าวแล้ว ใช้สายตามองไปรอบตัวโดยเร่งรีบ มองแล้วไม่พบมนุษย์แม้แต่สักรูปสักนาม เดินโดยเตาไปทางปลายระเบียงด้านหนึ่ง ยืนอยู่ที่นั่นเป็นครูหล่อนค่อยหายใจคล่องขึ้น กลางที่ราบถัดไปจากที่ดินแปลงใหญ่อันมีพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งขึ้นเป็นพืดได้ระยะกัน หล่อนมองเห็นสีขาวของหมวกกันแดด ๓ ใบเคลื่อนไหวอยู่
 
 ภรณีลงจากเรือนโดยไม่รั้งรอ หล่อนลืมนึกที่จะสวมรองเท้าเมื่อจะออกมาจากห้อง แต่ไม่เป็นไร หล่อนจะเดินเท้าเปล่า ศีรษะที่สวมหมวกกันแดดจะเป็นศีรษะใครบ้าง หล่อนไม่นำพา หล่อนจำเป็นจะต้องพบต้องพูดกับใครคนหนึ่ง ถ้ามิฉะนั้นหล่อนจะถึงซึ่งความเป็นผู้มีสติวิปลาศโดยไม่ต้องสงสัย
 
 เดินผ่านลานดินทั้งใหญ่ทั้งยาวมาถึงไร่ ต้นไม้เพิ่งสอนเป็นขึ้นอยู่ในระหว่างพอที่คนจะเดินเรียงสองได้สบาย แต่ภรณีไม่กล้าลัดไปตามช่องว่างนี้ หล่อนอุตส่าห์เดินไปตามทางที่เห็นชัดว่าเป็นทางเดิน มองไปข้างหน้าหมวก ๓ ใบ หายจากสายตาไปเสียอีกแล้ว เดินไปอีก เดินไปอีกแล้วแต่หนทางจะเลี้ยวไปทางไหน อ้อ โน่นแน่ะหมวกมองเห็นอยู่รำไร นี่ไร่อะไรอีก ทั้งกิ่งทั้งใบสูงพอดีระดับตา เร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย เลี้ยวขวา ทีนี้เห็นตัวคนได้ถนัดเขากำลังมุงดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และพูดจาออกท่าออกทางเป็นงานเป็นการที่สุด ภรณีลดฝีเท้าลงบ้างแล้วเข้าไปใกล้จะถึงตัวเขา มองดูสิ่งที่เขากำลังดู แต่ไม่มีความรู้เลยว่าสิ่งนั้นคืออะไร หล่อนหยุด ไอเบา ๆ แล้วกระแอมก็ยังไม่มีใครหันมาดูหล่อนก้าวไปอีก ๒ ก้าว ไออีกครั้งหนึ่ง แล้วตั้งต้น
 
 “นี่ค่ะ—”
 
 หล่อนชะงักหยุดนิ่งดังถูกตรึง ตา ๓ คู่หันมาทางหล่อนพร้อมกัน ๒ คู่นั้นไม่มีอำนาจกระทบกระเทือนความรู้สึกของหล่อนดอก แต่คู่ที่สามหล่อนจำเขาไม่ได้จริง ๆ หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ได้คาดว่าเป็นตัวเขา หล่อนหลงเชื่อความคาดคะเนของตนเองเป็นมันเป็นเหมาะ คิดเสียว่าเขาคงจะพาลูกของเขา นางนมของเขาไปเที่ยวชมภูมิประเทศกันอย่างสำราญ
 
 ฝ่ายเขา ด้วยความที่เคยชินแก่การแสดงคารวะต่อสุภาพสตรีเป็นนิจจนติดนิสัย พอเห็นว่าหญิงคนหนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ก็เปิดหมวกออกโดยทันที ต่อจากนั้นอาการงงเกิดขึ้นแก่เขาอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ ในที่สุดจึงพูดขึ้นว่า
 
 “เดินเล่นรึ ?”
 
 เดินเล่น ! หล่อนได้เดินมาอย่างที่ปากตลาดเรียกว่าเดินอย่างควายหาย ภรณีคิดคำตอบไม่ออก
 
 “เด็ก ๆ กับนมไปตั้งแต่เช้า” เขาพูดสืบไปแล้วชักนาฬิกาพกออกจากกระเป๋ากางเกง “นี่ก็ควรจะกลับมากินเสียทีแล้วนี่ พ่อถีพาไปเข้าป่าเข้าดงที่ไหนก็ไม่รู้”
 
 “เห็นว่าจะพากันไปดักนก” เจ้าของหมวกใบหนึ่งพูด หมวกของเขานั้นยังอยู่บนศีรษะของเขาเป็นปกติดี
 
 “เมื่อผมมาจากบ้าน เห็นอยู่กันที่บ่อน้ำ” อีกคนหนึ่งบอก เขาผู้นี้สวมหมวกอยู่เหมือนกัน
 
 “ยังงั้นรึ ? ก็คงดักกันอยู่แถวนั้นแหละแกไปดูทีซี คิดบอกให้กลับบ้านถี่ นพ แกไปกินข้าวกินปลาเสียก่อนประเดี๋ยวกลับมาว่าไอ้เรื่องเครื่องสับดินนี่กันใหม่ ฉันว่าเราจะต้องการอีกสักสองเครื่องนะ”
 
 สั่งเสร็จเขาหันมาทางหญิงสาวทันที แต่เมื่อหันมาแล้วก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไร หรือทำอย่างไรแก่หล่อน จึงหันกลับ
 
 “นพ เดี๋ยวก่อน ยังมีอะไรอีก” เขารู้ดีว่า ‘อะไร’ ที่เขาว่ามีนั้น ไม่มีอยู่ในสมองของเขาเลย “ไปพูดกันที่เรือนอีกหน่อย”
 
 “ไปหรือยัง ?” เขาถามภรณี พลางสวมหมวกลงบนศีรษะ หล่อนเห็นท่าว่าเขาจะให้หล่อนเดินไปข้างหน้าจึงรีบบอก
 
 “จำทางไม่ได้แล้ว”
 
 เขาทำท่าเหมือนจะยิ้ม แต่หายิ้มไม่
 
 “นพ” เขาหันมาตรงหน้าผู้ที่เขาเรียกนั้น “วันนี้แกต้องเอารถไปที่สถานี เอาของให้นายสถานีด้วย แล้วส่งโทรเลขไปกรุงเทพฯ ด้วย ไปบ่ายหน่อยก็ได้ เมื่อคืนนี้ทางดีตลอด ไปเถอะ แกไปกินข้าวได้ ขอบใจ”
 
 เขาออกเดิน ภรณีเดินตาม เขาเดินค่อนข้างเร็วแต่ภรณีก็เป็นผู้ที่เคยอยู่ในชนบท ชำนิชำนาญในการเดินเท้าอยู่บ้าง
 
 หล่อนเพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าเขาแต่งกายอย่างเดียวกับนายคิดและนายนพไม่มีผิด กางเกงขาสั้นสีกากี เสื้อเชิ้ตสีเดียวกับกางเกง ต่างกันนิดเดียวที่ตรงถุงเท้ารองเท้า บันลือสวมถุงเท้าหนายาว สวมรองเท้าหนังมีเชือกร้อยและผูกอยู่ นายนพกับนายคิด สวมแต่รองเท้าหนังมีที่ร้อยเชือก แต่ไม่มีเชือกร้อย
 
 ระยะทางซึ่งเมื่อขาไป ภรณีรู้สึกว่ายาวนักหนานั้น ครั้นขามาปรากฏว่าใกล้นิดเดียว แต่เมื่อใกล้จะถึงบันไดเขาเลี้ยวไปทางหนึ่ง ภรณีแข็งใจเลี้ยวตามไปด้วยจึงเห็นบันไดเล็กอีกถึง ๒ บันได ซึ่งหล่อนไม่ทันสังเกตในตอนต้น บันลือควักกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง ไขประตูห้องบนบันไดหนึ่ง แล้วหันกลับมากล่าวแก่ภรณี
 
 “เชิญขึ้นมาบนนี้”
 
 เขาหายเข้าไปข้างใน แล้วมีเสียงบ่น “ป่านนี้ยังไม่มีใครมาเปิดหน้าต่าง”
 
 แล้วเขาก็ทำงานนั้นด้วยมือของเขาเอง ภรณีอยากจะช่วยแต่ไม่ช่วยยืนนิ่งดูเขา เสียงปัง ๆ ๆ ๖ ครั้ง แล้วเขาหันมากล่าวแก่หล่อนอีก
 
 “เชิญนั่งที่นี่”
 
 หล่อนนั่งลงยังที่ ๆ เขาบอก คือบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มองไปทางไหนเห็นแต่หนังสือวางอยู่ระเกะระกะ หนังสืออยู่ในตู้ หนังสืออยู่บนโต๊ะใหญ่แบบสวยปกใหม่เอี่ยม หนังสืออยู่บนโต๊ะกลม หนังสืออยู่บนโต๊ะสี่ขา ซึ่งมีขาหักห้อยอยู่ข้างหนึ่ง หนังสืออยู่บนเก้าอี้ หนังสืออยู่บนม้าแบบม้านั่งตามร้ายขายข้าวแกง ลักษณะที่วางแสดงว่า ได้มีการจัดที่ซ้อนกันเป็นตั้ง ก็ซ้อนตามลำดับขนาด เล่มใหญ่อยู่ล่างที่สุด เล่มเล็กก็ซ้อนอยู่เบื้องบนแต่กลับหน้ากลับหลังกลับล่างกลับบน ที่ตั้งเป็นแถวก็ตั้งตามลำดับสูงต่ำแต่กลับหัวกลับท้าย โต๊ะตัวงามที่ภรณีนั่งอยู่ใกล้นั้น มีสมุดปกแข็งเล่มใหญ่ถนัดซ้อนและเรียงกันอยู่หลายเล่ม บันลือยืนก้มหน้าจัดการกับพวงลูกกุญแจซึ่งติดอยู่กับสายนาฬิกา แล้วนำลูกกุญแจมาวางให้ภรณีบนโต๊ะ
 
 “ลิ้นชักนี้” เขาอธิบาย “เงินสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้าน แยกไว้ต่างหากเพราะขี้เกียจทำบัญชี แต่คิดว่า—เธอควรจะต้องทำ”
 
 เขาเดินไปที่ริมเสา ตู้นิรภัยขนาดกะทัดรัดน่าเอ็นดูตั้งอยู่ตรงนั้น เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วหันมาทางหญิงสาว “มาดูวิธีเปิด” เขาเบนตัวเปิดช่องให้หล่อนมองเห็นตู้ถนัด “หนึ่ง สอง พอเห็นตัว ‘ดี’ ก็หมุนอีกที แล้วเปิดได้”
 
 ตู้นั้นแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างเต็มไปด้วยกระดาษ บันลือสอดมือเข้าไปภายใน แล้วหยิบกุญแจออกมาส่งให้ภรณีเป็นดอกที่สอง พร้อมกับพูดว่า “มีคนละดอกจะได้สะดวกด้วยกันทั้งสองคน”
 
 “ทีนี้ตู้บน” เขาพูดสืบไป พลางยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “หันจนดังกึก แล้วก็หันอีก” บานตู้น้อยก็เปิดออก มองเห็นธนบัตรเรียงกันอยู่หลายตั้งหลายม้วน เขาหยิบส่งให้หล่อนตั้งหนึ่งโดยไม่ต้องเลือกก่อน
 
 แล้วเขาสอนวิธีปิด แล้วให้หล่อนซ้อมวิธีเปิดด้วยลูกกุญแจดอกที่เขาได้มอบให้แก่หล่อน ต่อจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
 
 ภรณียืนขึ้นด้วย กุญแจ ๒ ดอกธนบัตรมัดหนึ่งในมือหล่อน หล่อนไม่เข้าใจว่าเขาจะให้ทำอย่างไรแก่ธนบัตรนั้น ทำใจกล้าเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ ไขกุญแจลิ้นชักวางธนบัตรไว้ภายใน แล้วก็ปิดลิ้นชักและลั่นกุญแจไว้ตามเดิม
 
 หล่อนเงยหน้าขึ้น เห็นบันลือยืนทำท่าคิดอย่างเพ่งเล็ง แล้วเดินปัง ๆ มาที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบลูกกุญแจออกมาจากลิ้นชัก ๒ ดอก วางลงบนทั้งสมุดแล้วว่า
 
 “นี่กุญแจตู้ กับกุญแจลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งที่ห้องกลาง สั่งให้ทำอย่างแน่นหนาทีเดียว ปลอมไม่ได้ง่าย ๆ อ้อ นี่บัญชีจ่ายเงินคนงาน เล่มนี้พวกรายอาทิตย์ เล่มนี้ ทุก ๆ วันที่ ๑ ทั้งสองพวกต้องมีลายมือเซ็นรับ ถ้าไม่ยังงั้นเขามักจะลืมบ่อย ๆ ว่าเขารับเงินไปแล้ว”
 
 เขาหยุดพูด ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วกล่าวว่า
 
 “ขอบใจ”
 
 ภรณีต้องใช้ความคิดเป็นครู่ ก่อนที่จะรู้ว่า คำนั้นมีความหมายเท่ากับ “เชิญคุณไปได้”
 
 หล่อนหันกลับไปทางเก่า เขาเอ่ยขึ้นว่า
 
 “ออกทางนี้ก็ได้”
 
 แล้วเขาชี้ทางให้ แต่เมื่อภรณีมาถึงประตูที่เปิดตรงไปยังห้องของหล่อน ก็ปรากฏว่าติดกลอนที่ขัดอยู่ทางด้านโน้น เจ้าของบ้านเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เขาพูดว่า
 
 “ขอโทษ ลืมนึกถึงกลอน”
 
 เมื่อภรณีกลับลงมาทางบันไดเล็ก หล่อนมองเห็นศีรษะคนเดินไว ๆ ตามกันมาเป็นแถวยาวในทางระหว่างไร่ และเมื่อหล่อนขึ้นมาอยู่บนระเบียงยาวทางหน้าเรือนแล้ว หันกลับไปดูอีก ก็เห็นตัวคนได้ชัดขึ้น คนเล็ก ๆ วิ่งหยอย ๆ มาข้างหน้า คนผู้ชายเดินตามในระยะห่างหน่อย หลังจากคนผู้ชายไปอีก เป็นคนผู้หญิง ๓ หรือ ๔ คนถือวัตถุที่ใช้ในประโยชน์อย่างเดียวกัน คือ วัตถุสำหรับทำความเตียนให้แก่สถานที่ มองดูเป็นภาพอันน่าขัน ราวกับแถวคนทั้งแถวนั้นเป็นขบวนแห่ไม้กวาดหาใช่อื่นไกลไม่ คนท้ายที่สุดอุ้ยอ้ายมาก ไม่ค่อยจะเลี้ยวจากมุมไร่ได้เลย คือนางพวง
 
 ภรณีกลับเข้าในห้องของหล่อน ค่อยรู้สึกตัวเป็นตัวมีความคิดมีสติปัญญาเช่นที่เคยมีในยามปกติ หล่อนรู้แล้วหน้าที่ของหล่อนคืออะไร สมุห์บัญชี ! รักษากุญแจตู้เซฟ จ่ายเงินค่าแรงคนงาน ! หล่อนนึกสงสัย คนงานมีอยู่ด้วยกันรวมสักกี่คนหนอ นายคิดกับนายนพคู่หนึ่ง แล้วยังมีใครอีก ? ตั้งแต่เข้ามาหล่อนก็ได้เห็นแต่เพียงชาย ๒ คนนี้เท่านั้น ภรณีนึกอยากหัวเราะอย่างจริงจัง เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันแต่งงานมาแล้ว
 
 หล่อนเปิดหน้าต่างห้องออกทุกบานแล้วเริ่มทดลองกุญแจ ต่อจากนั้นหยิบหีบหนังใบน้อยออกจากก้นกระเป๋าใหญ่ นี่คือหีบใส่สมบัติส่วนตัวของหล่อนแท้ ๆ คืออาภรณ์ ๒–๓ ชิ้น มีค่าไม่มาก ซึ่งเป็นมรดกที่มารดาของหล่อนได้ละไว้ให้บ้าง คุณยายของหล่อนเองได้หยิบยกให้บ้าง แต่หล่อนเพิ่งจะได้รับมอบให้มีกรรมสิทธิ์เด็ดขาด พ้นจากควบคุมของนางจำนงฯ เมื่อเช้าวันแต่งงานนั่นเอง ขณะนี้หล่อนต้องการสายสร้อย ๓ กษัตริย์เส้นเล็กซึ่งเป็นสายสร้อยข้อมือ สำหรับใช้เป็นที่ร้อยลูกกุญแจไว้ด้วยกัน เพื่อสะดวกแก่การรักษา
 
 เมื่อร้อยลูกกุญแจตู้นิรภัยเข้าในเส้นสายสร้อย หล่อนมองเห็นในทันทีว่า ขนาดของอาภรณ์จะทนต่อน้ำหนักแห่งกุญแจไม่ได้นาน แต่ไม่เป็นไร หล่อนจะใช้สายสร้อยนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ภายหลังก็จะคิดอ่านแก้ไข
 
 เมื่อวางใจจากเรื่องลูกกุญแจแล้ว ภรณีคิดถึงการจัดอย่างอื่น พิเคราะห์ดูตัวห้อง ทั้งโปร่ง ทั้งโล่ง ทั้งยาว ทั้งใหญ่ ไม่ต้องสงสัย เป็นห้องใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องบนเรือนนี้ เมื่อจัดดีแล้วจะเป็นที่อยู่ที่นั่งที่นอนอันน่าสบายหนักหนา ขอบใจเจ้าของบ้าน เพียงขั้นสมุห์บัญชีก็อุตส่าห์ให้ห้องที่ดีที่สุด ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องประธาน เพราะมีประตูออกได้รอบด้าน ราวกับจะป้องกันมิให้ผู้อยู่ต้องลำบากในการต้องลงทางนั้น อ้อมไปขึ้นทางนี้เมื่อจะเข้าออกตามห้องต่าง ๆ
 
 เฉพาะเครื่องแต่งห้องออกจะมีน้อยชิ้น เตียงใหญ่มาก ตู้ค่อนข้างใหญ่ โต๊ะเครื่องแป้งสวยเก๋กระทัดรัด เหมาะสำหรับให้สตรีใช้ และน่ารักนักหนา ม้านั่งประจำโต๊ะเครื่องแป้งบุด้วยนุ่นและแพรสี เก้าอี้นวมขนาดคนร่างสันทัดนั่งกำลังสบายทุก ๆ ชิ้นเป็นสีเดียวกัน นอกจากนั้นไม่มีอะไรอีก
 
 การรื้อและจัดห้องส่วนตัว ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นของใหม่ทุกชิ้นทั้งเป็นของที่ได้เลือกแล้วโดยความพอใจ ทำความเพลิดเพลินให้แก่ภรณีมาก ตู้ใหญ่ทำให้หล่อนแยกของต่างชนิด จัดไว้เป็นส่วนเป็นสัดได้สบาย ทั้งเป็นระเบียบเรียบร้อยงดงาม ความเพลิดเพลินทำให้ภรณีไม่รู้สึกต่อเสียงจ้อกแจ้กที่ดังอยู่ทางหน้าห้อง หรือถึงแม้ว่าได้ยินเสียงนั้นบางครั้งบางคราวก็ไม่เอาใจใส่ จนกระทั่งเด็กชายก้องวิ่งเข้ามาถึงตัวและแจ้งแก่หล่อนว่า
 
 “คุณพ่อบอกให้ไปทานข้าว”
 
 ภรณีหันขวับมารวบตัวเด็กไว้ในวงแขนทันที แล้วก้มลงลงจะจูบเด็กที่แก้ม แต่ยั้งไว้ เกิดความอาย ทำให้ร้อนไปทั้งตัว—ในขณะที่ได้ยินเสียงเด็ก อารมณ์ของหล่อนกำลังซาบซ่านอยู่ด้วยความรู้สึกขอบใจ ขอบใจใคร ? ขอบใจมนุษย์หรือมนุษย์ตนไหน หล่อนไม่ยอมแถลงแม้แต่กับตัวของหล่อนเอง—หล่อนยิ้มกับเด็กมองดูตาอันใสแจ๋ว แล้วว่า
 
 “ขอบใจ เดี๋ยวอาภรปิดตู้ก่อน”
 
 
 
 
 |  
						| 
								|  |  
								|  |  Logged | 
 |  |  | 
	| 
			| 
					
						| ppsan | 
								|  | « Reply #4 on: 28  October  2025, 21:11:34  » |  | 
 
 ๒๐
 
 
 ดูก่อนกุมารีทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า–“การงานเหล่าใดเป็นการงานภายในของสามี—เราจักเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการงานเหล่านั้น (จักเป็นผู้) ประกอบด้วยความฉลาดอันเป็นอุบาย (ที่จะทำการงานให้สำเร็จ) สามารถที่จะทำเอง สามารถที่จะจัด (ให้ผู้อื่นทำ) ในการงานเหล่านั้น”
 
 
 
 
 อาหารที่บนโต๊ะล้วนแล้วแต่เครื่องกระป๋อง ขนมปัง ไส้กรอก ตับห่าน หมูแฮม ผักดอง, นอกจากนี้ก็มีที่กาแฟตั้งอยู่ด้วย
 
 โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ เมื่อมีผู้นั่งด้านละคนก็จะรู้สึกว่ามีที่เหลือมาก แต่ถ้าจะนั่งด้านละ ๒ คนก็จะรู้สึกว่าคับแคบ ภรณีมองเห็นที่ของหล่อนอยู่ตรงหน้าเจ้าของบ้าน เพราะเป็นที่เดียวที่มีความสะอาด มีดและซ่อมสะอาดวางอยู่ เจ้าของบ้านมิได้เงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน เขากำลังหั่นไส้กรอกให้ลูกหญิงของเขา และเมื่อหั่นเสร็จยกจานวางให้ตรงหน้าเด็กเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันมาผสมกาแฟให้ตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะรักษาสายตาไว้ในระดับพื้นโต๊ะ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเขามองไม่เห็นตัวหรือกิริยาท่าทางของภรณี เขาเห็นหล่อนเอื้อมหยิบขนมปังออกจากหีบ พร้อมกับถามเด็กชายที่อยู่เบื้องซ้ายหล่อนว่าจะต้องการบ้างหรือไม่ แล้วหล่อนก็ปฏิบัติเด็กชายไปพร้อมกับที่หล่อนปฏิบัติตัวเอง สิ่งที่เขาไม่เห็นหรือไม่ตั้งใจจเห็น คืออาการที่หล่อนยิ้มให้กับเด็กกับดวงตาที่หล่อนมองดูเด็ก แล้วมองต่ำลงเพียงระดับพื้นโต๊ะ เช่นเดียวกับที่เขาทำอยู่ เขารู้ว่าด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง หล่อนไม่อาจทนต่อตากับเขาได้ แม้แต่เพียงชั่วอึดใจอันสั้นที่สุด แต่ประหลาดใจตัวเองว่าตัวก็มีอาการไม่สมัครจะต่อตากับหล่อนด้วยเหมือนกัน ความรู้สึกนี้เพิ่งเกิดมีแก่เขาเมื่อตอนเช้านี้เอง
 
 เขาผสมกาแฟถ้วยที่สอง แล้วใช้ช้อนคนอยู่นานกว่าที่จำเป็นมาก เขาเห็นหน้าหญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความจำเป็น เป็นหน้าที่ดวงตาถูกเร้นเสียด้วยเปลือกตาและขนตาอันยาว เป็นหน้าที่มองเห็นตั้งแต่คางอันกลม จนถึงโคนเส้นผมที่สยายอยู่บนหมอน เป็นหน้าที่นวลพริ้ง งามบริสุทธิ์เด่นอยู่ในความสว่างสลัว ๆ เขาเกือบจะพลั้งปากอุทานออกมาด้วยความตกใจ และเกือบจะถลันออกนอกมุ้งด้วยความที่กลัวจะเสียกิริยา แต่อำนาจประหลาดอันหนึ่งได้รั้งตัวเขาไว้ แล้วความรู้สึกซึ่งสิทธิอันตนมีอยู่จึงตามมา เขาเป็นสามีของหญิงนี้โดยชอบด้วยกฎหมายและประเพณีนิยม เพียงแต่เปิดมุ้งเข้ามา พบหล่อนหลับอยู่เช่นนี้ เหตุไฉนเขาจะต้องรีบหนีราวกับผู้ร้ายย่องเบากลัวเจ้าของทรัพย์เขาจะจับได้ อย่าว่าแต่เพียงมาพบโดยเผอิญ เพราะห้องนี้เป็นห้องที่เขาได้จัดไว้สำหรับลูกและนางนมของเขา ถึงแม้จะมีเจตนามาพบก็หาเป็นข้อที่เขาจะต้องกลัวเกรงใครไม่
 
 แต่บันลือเกลียดภาพของตัวเอง ที่เขามานึกได้ภายหลัง และเกลียดความรู้สึกของตน ที่จำได้พร้อมกับที่นึกถึงภาพนั้น ภาพของเขานั่งเท้าแขนอยู่บนเสื่อริมที่นอน ขาทั้งสองอยู่ในมุ้ง ครึ่งหนึ่งอยู่ข้างนอกครึ่งหนึ่ง ตะลึงตะลานไปด้วยสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา และความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกมาแล้วตลอดเวลา ๗–๘ ปี–เขารู้ว่า ถ้าเขาไม่นึกถึงสิ่งแวดล้อม—หญิงที่กำลังหลับสนิทจะถูกปลุกให้ตื่น แล้วเหตุการณ์ซึ่งอยู่นอกเจตนาของเขาก็จะต้องเกิดขึ้น
 
 “สันดานสัตว์ !” เขาบริภาษตัวเองเมื่อพ้นมุ้งออกมาได้
 
 แล้วหล่อนก็ตามไปพบเขาอีกในขณะที่เขาเพิ่งจะลบภาพของหล่อนออกจากสมองได้ไม่ทันกี่นาที มีกิริยาเหมือนยอดไม้อ่อนที่หวาดไหวเพราะแรงพายุ มีแววตาเหมือนนางเนื้อที่มองเห็นพยัคฆ์ และเมื่อเขาชี้แจงการงานแก่หล่อน หล่อนทำท่าเหมือนนักเรียนที่ตั้งใจฟังคำสั่งของครูเพราะความกลัว มิใช่เพราะความสนใจในคำสั่งนั้น กิริยาของหล่อนทำให้เขาเกิดโทสะกรุ่น ๆ อยู่ในใจ เขาเคยพบหญิงที่มีอาการกลัวเขาจนน่าสังเวชแล้วครั้งหนึ่ง คือมารดาของเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่อง แต่หญิงนั้นไม่ทำให้โทโสเกิด ส่วนหญิงคนใหม่นี้ –
 
 “คุณพ่อครับ ขอกาแฟให้อาภรมั่ง”
 
 “ขอหนูมั่ง” เด็กหญิงกล่าว
 
 เขามองดูลูกทั้งสองคนละที แล้วนึกขึ้นได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่มองดูเขาอยู่รอบ ๆ ข้าง หญิงที่กวาดลานบ้านกวาดแกรก ๆ แล้วก็รามือมองขึ้นมาบนเรือน หญิงที่กวาดระเบียง ๆ เรือนอยู่ทางโน้น แกว่งไม้กวาดไปมาตามบุญตามกรรม ผงอยู่ที่ไหนบ้างดูเหมือนจะไม่ได้ดู เพราะมัวแต่ดูคน นางพวงเคี้ยวหมากหยับ ๆ แล้วก็หยุดเคี้ยว ตาจ้องอยู่ที่โต๊ะจนลืมตัว นายถีมีอาการทำหน้าเจื่อนเมื่อสายตาของนายผู้ชายแลไปที่ตน “ไอ้นี่มันมีอะไรอยู่ในหัวของมัน ?” บันลือนึกทันใดนั้นเขาพูดขึ้น
 
 “ยายป่องกินกาแฟได้ไหม ?” แล้วจึงมองตรงไปยังหน้าของภรณี
 
 เขาเกือบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินเสียงของหล่อนตอบว่า
 
 “ดิฉันกำลังจะถามแม่พวงอยู่เหมือนกันว่า คุณมุกดาเคยให้รับประทานหรือ”
 
 “เชื่อว่าเคย แล้วคงบ่อยด้วย” เขาตอบ “พี่มุกดาเป็นโรคตามใจเด็ก แต่เดี๋ยวนี้— อาภรเป็นคนเลี้ยง อาภรสั่งว่ายังไงก็ต้องเป็นอย่างนั้น”
 
 เขารู้สึกพอใจตัวเองที่ได้ฝืนใจพูด และทำไปตามทางที่ควร เขารู้สึกพอใจภรณีที่เลิกทำตัวเป็นลูกนกเปียกน้ำ เมื่อเขาพูดกับหล่อนท่ามกลางการเฝ้ามองของคนใช้ บันลือดูถูกบรรดานายที่ทำตัวให้บ่าวเก็บไปเป็นเรื่องสำหรับนินทาหรือวิจารณ์เล่นในเวลาลับหลัง เห็นว่าเป็นการกระทบกระเทือนถึงอำนาจการปกครอง ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
 
 ฝ่ายภรณีก็เกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ฟังคำตัดสินประโยคสุดท้าย คำพูดนี้ทำให้อาการจุกที่คอหอยหายไปได้ดังปลิดทิ้ง เป็นเครื่องล้างความรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ไร้ค่าในสายตาของนางพวงและนายถี รวมทั้งสายตาคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่นั้นให้หายไปจากความคิดของหล่อน
 
 “วันนี้ให้รับประทานนิดหน่อยเห็นจะได้” หล่อนพูด แล้วมองดูเขาเป็นเชิงปรึกษา ครั้นเขามองตอบหล่อน หล่อนก็หลบตาไปมองดูเด็กหญิงเสียทันที บันลือลุกจากที่นั่งมองข้ามศีรษะหล่อนไปไกล และพูดว่า
 
 “ต้องไปดูงานเสียที มีธุระอะไรก็ให้นายถีไปตาม”
 
 เขาลงบันไดไปโดยเร็ว ภรณีโล่งใจขึ้นถนัด หล่อนรับประทานอาหารต่อไปด้วยความรู้สึกในรสอร่อย พลางฟังเด็กชายเด็กหญิงเล่าถึงการเที่ยวของเขาทั้งสองเมื่อตอนเช้า หล่อนได้แกล้งทำลืมเรื่องที่เด็กหญิงร้องขอจะดื่มกาแฟ เพื่อลองดูว่าเด็กชอบอาหารนั้นจริงหรือร้องขอขึ้นมา เพราะอยากจะเอาอย่างผู้ใหญ่ เมื่อหล่อนผสมกาแฟให้ตัวเอง เด็กหญิงมองดูกิริยาของหล่อนอย่างเอาใจใส่ แต่มิได้แสดงความประสงค์ที่จะบริโภคของสิ่งนั้นอีก
 
 เสร็จการรับประทานแล้ว ภรณีลุกจากโต๊ะกลับเข้าในห้อง เด็กทั้งสองตามเข้าไปด้วย และจัดนั่นรื้อนี่ในบรรดาของ ๆ ภรณีเป็นพัลวัน เจ้าหล่อนไม่หวงห้าม เป็นแต่คอยระวังมิให้เด็กทำของเสีย หรือทำบาดแผลให้แก่ตัวเอง เมื่อเบื่อของที่ได้ดูจนทั่วแล้ว เด็กก็ขึ้นไปปลุกปล้ำกันอยู่บนเตียงนอน ภรณีคอยเตือนอย่าให้ปล้ำกันแรงนักจะทำให้เจ็บตัว เพราะพลัดตกจากเตียง หล่อนทำงานไปด้วยดูเด็กไปด้วยเช่นนี้ จนงานจัดในห้องสำเร็จโดยเรียบร้อย
 
 แต่พอว่างงาน ลงนั่งพักทอดอารมณ์โดยสบายได้สักครู่ ก็เกิดความรู้สึกว่าตนขาดนาฬิกาสำหรับดูโมงยาม ซึ่งเป็นการขาดอย่างสำคัญ จะดูดวงอาทิตย์หรือคะเนแสงแดดเพื่อรู้ว่าเป็นเวลาใกล้เที่ยงหรือยังห่างไกลก็ดูไม่ออก คะเนไม่ถูก ดูเหมือนแสงแดดแผดกล้าอยู่เช่นนี้ตั้งแต่แรก ที่หล่อนออกจากมุ้ง ส่วนอากาศก็โปร่งเย็นสดชื่นน่าสบายอยู่เช่นนี้ตั้งแต่ต้นเหมือนกัน หล่อนนึกถึงเวลาอาหารมื้อที่สอง เจ้าของบ้านเคยบริโภคในเวลาใด ชาวบ้านนี้เขาจ่ายตลาดกันที่ไหน และใครเป็นผู้มีหน้าที่ประกอบอาการ หล่อนลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่างด้านหนึ่งเพื่อดูไปที่เรือนครัว ก็เห็นแต่นายถีนางพวงและหญิงอีก ๒ คนยืนพูดกันอยู่ ประหลาดมากที่บ้านนี้ดูท่าทีเหมือนกับว่าทุก ๆ สิ่งจะสำเร็จไปเองโดยไม่มีผู้ใดต้องทำอะไร เพราะผู้คนที่มองเห็นอยู่ในที่ต่าง ๆ นั้น ล้วนแต่ทำอาการเหม่อกับอาการพูดอยู่ทั้งสิ้น
 
 หรือว่าเจ้าของบ้านบริโภคอาหารแต่เพียง ๒ มื้อ ? ดูแต่เมื่อวานนี้สิ เขารับประทานอาหารกลางวันที่บ้านแล้วก็นั่งมาในรถไฟ โดยไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องอีก แม้แต่น้ำสักหนึ่งหยด ครั้นมาถึงที่อยู่นี้แล้ว หล่อนตั้งใจคอยดูว่าเมื่อไรเขาจะรับประทานอาหาร ก็ไม่เห็นเขารับประทานจนแล้วจนรอด หรือว่าเขารับประทานเมื่อหล่อนเข้านอนแล้ว หล่อนได้ยินเสียงเขาเดินกุกกักอยู่รอบ ๆ ห้อง ทั้งบนเรือนและรอบเรือน แต่ไม่ได้ยินเสียงที่สังเกตได้ว่า เขาลงนั่งรับประทานอาหารเลย
 
 เสียงฝีเท้าคนสวมรองเท้าเดินขึ้นมาบนเรือน ใกล้เข้ามาทางห้องภรณี หญิงสาวหันหน้าจากหน้าต่าง กลั้นหายใจโดยไม่มีเจตนา แต่เมื่อเห็นตัวเจ้าของฝีเท้า สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปและเปลี่ยนหนักขึ้น เมื่อเขาผู้นั้นเดินเข้ามาเกือบถึงกลางห้อง
 
 “ต้องการอะไร นายนพ?” หล่อนถามโดยเร็ว เพื่อยุติการล่วงล้ำของเขาไว้เพียงนั้น
 
 “เงินค่าโทรเลข”
 
 “เท่าไหร่ ?”
 
 เขาทำท่างง ภรณีจึงถามต่อ “โทรเลขกี่คำล่ะ ?”
 
 “ไม่ทราบ”
 
 ถึงคราวที่ภรณีออกงงบ้างแล้ว ภายหลังหล่อนจึงถาม
 
 “ร่างโทรเลขอยู่ที่ไหนล่ะ ที่เขียนไว้จะไปส่งนะ ?”
 
 “คุณกำลังเขียนอยู่”
 
 “ก็รอให้เขียนแล้วเสียก่อนซิ”
 
 “ขอเงินค่าหมูด้วย สองหน เมื่อวานเจ๊กเอามาส่งอีกหนหนึ่ง คุณไม่อยู่”
 
 “เป็นเงินเท่าไหร่ ?”
 
 “ไม่ทราบ”
 
 ภรณีนึกฉิวชายผู้นี้จะมา ‘ท่าไหน’ ต่อหล่อน
 
 “ใครเป็นคนรับหมูไว้ ?” หล่อนถาม
 
 “นังเนียบ”
 
 “ไปถามเขาสิหมูราคาเท่าไหร่”
 
 เขาเหลือบตาขึ้นมองดูหล่อน ภรณียืดตัวขึ้นในท่าเตรียมสู้เต็มที่ แต่หล่อนก็เห็นได้ในทันทีนั้นว่าฝ่ายเขามิได้มีท่าทางท้าทายแต่อย่างใด หันกลับ และเดินออกไปจากห้องโดยดี ภรณีมองตามด้วยความสงสัย หน้าตาก็คมคาย ลักษณะก็ไม่ดูเป็นคนโง่ เหตุไฉนจึงมีแต่ความไม่ทราบมาแถลง จะคิดว่าเขาตั้งใจ ‘โย’ ก็มองไม่เห็นอาการเช่นนั้นอยู่ในท่วงที
 
 ส่วนนายนพเมื่อลงจากเรือนไปแล้ว มีความรู้สึกไม่พอใจในหญิงสาว เขาทำงานอยู่กับคุณผู้ชายของเขาเกือบปีครึ่งแล้ว ไม่เคยรู้สึกว่าถูกซักถามจุกจิกเช่นนี้ เมื่อเขาขอเบิกเงินซื้อของ เขาได้รับคำถามแต่เพียงว่า ‘ซื้ออะไรมั่ง?’ แล้วก็จะได้รับเงินที่เกินราคาสิ่งของนั้นประมาณเท่าตัว ส่วนราคาอันแท้จริงของสิ่งของ เขาจะต้องแจ้งให้คุณผู้ชายทราบ ก็ต่อเมื่อการซื้อจ่ายสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แม้เงินค่าหมูก็เหมือนกัน จีนผู้ขายหมูมาส่งไว้แก่นางเนียบ แล้วก็ไปขอรับเงินจากนายนพ ขอเท่าไรนายนพก็ให้เท่านั้น ไม่เคยต้องเสียเวลาเดินไปสอบถามแม่ครัว หรือบางทีนายนพออกไปทำงานไกลจากบ้านมากนัก จีนเจ้าหมูไม่รอรับเงิน วันหลังนายนพมีธุระจะไปที่อำเภอ ซึ่งหมายถึงว่าเขาจะต้องแวะไปที่ตลาดด้วย เขาก็นำเงินไปชำระค่าหมูเท่าที่ผู้ขายจะเรียกร้องเอา บัดนี้เมื่อคุณผู้ชายไปพาภรรยามาอยู่ด้วย นายนพจะต้องไปถามราคาหมูจากนางแม่ครัว เขานึกสงสัยว่าแม่ครัวก็น่าจะบอกจำนวนตรงไม่ถูกเสียละกระมัง อย่างดีที่สุดก็จะบอกได้แต่เพียงจำนวนที่กะเอาพอให้ใกล้เคียง
 
 ในนาทีแรกที่นายนพเห็นภรณี เขามองเห็นว่าหล่อนเป็นคนสวย และด้วยเหตุที่เขาเป็นชาย เขารู้สึกหวังดีต่อหล่อนในทันทีนั้น แต่บัดนี้เขาออกจะไม่ชอบหน้าหล่อนเสียแล้ว
 
 เมื่อเขากลับขึ้นมาบนเรือน พบภรณียืนคอยอยู่ที่หน้าห้อง เขาบอกแก่หล่อนว่า
 
 “นังเนียบก็ไม่ทราบ แต่ผมเคยเอาไปให้ราว ๆ ๕ บาทเสมอ”
 
 หล่อนพยักหน้า พร้อมกับพูดว่า “รอประเดี๋ยว”
 
 หล่อนกลับเข้าในห้อง และเปิดประตูเลยเข้าไปยังห้องหนังสือ หล่อนนึกเดาวิธีจ่ายเงินของบันลือได้แล้ว และเชื่อว่าเดาถูกตามที่เป็นจริงด้วย บัดนี้มีปัญหาอยู่แต่เพียงว่าต่อไปหล่อนควรจะใช้วิธีของเขา หรือจะใช้วิธีใหม่ตามความเห็นชอบของหล่อน
 
 เมื่อได้ให้เงินแก่นายนพไปแล้ว ภรณีกลับเข้าในห้องหนังสืออีก ด้วยความตั้งใจจะตรวจดูจำนวนเงินที่หล่อนได้รับมอบไว้ แต่เมื่อได้รับเงินเสร็จและจัดไว้ในลิ้นชักโดยเรียบร้อย แล้วเปิดบัญชีค่าแรงคนงานเพื่อเทียบกับตัวเงิน หล่อนเห็นความรกที่บนโต๊ะเป็นที่น่ารำคาญยิ่งนัก ก็ยืนนิ่งมองดูด้วยความปรารถนาที่จะแก้ความรกให้หมดไป คิดเกรงเขาผู้เป็นเจ้าของโต๊ะก็มาก เขาอาจจะไม่พอใจให้หล่อนแตะต้องสิ่งของที่เขาวางไว้เลยก็ได้ แต่เมื่อนึกถึงภาพแห่งตัวเขา รวมพร้อมทั้งร่างกายเครื่องนุ่งห่ม กิริยาที่เคลื่อนไหวตลอดจนถึงมารยาท ก็รู้สึกว่าเป็นภาพอันเข้ากันไม่ได้อย่างเด็ดขาด กับสภาพแห่งความเกะกะรุงรังที่เห็นอยู่บัดนี้ ดูกระดาษต่าง ๆ ที่รวมกันอยู่เป็นปึกในที่หนีบกระดาษบ้างในแฟ้มบ้าง พอจะเห็นได้ว่าถูกแบ่งไว้เป็นพวก ๆ เหมือนกัน แต่ต่างพวกต่างปนกันสับสน เป็นที่น่าสงสัยว่าเมื่อจะต้องการพวกใดพวกหนึ่ง จะมิต้องมีการรื้อกันอย่างกระจัดกระจาย และถ้าหากว่าจะต้องการใช้โต๊ะในงานที่ตรงกับชื่อของโต๊ะกระดาษต่างพวกเหล่านี้จะมิต้องซ้อนสุมกันเป็นตั้งสูงซึ่งจะทำให้ยากแก่การค้นหาในภายหลังยิ่งขึ้น ภรณีจับกระดาษแล้วก็วาง แล้วก็จับอีก ลังเล ไม่ตกลงใจว่าควรจะทำอย่างไรดี แล้วหล่อนสังเกตเห็นพื้นโต๊ะอันงามนั้นมีรอยไหม้เป็นทางยาวหลายแห่ง พิเคราะห์ดูว่าเป็นรอยไฟบุหรี่ และบนโต๊ะนี้ไม่มีที่เขี่ยเถ้าบุหรี่วางอยู่เลย น่าขันเจ้าของโต๊ะ เพียงแต่จะหาความสะดวกให้ตัวเองในเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ ก็ไม่คิดที่จะหา แต่เมื่อนึกไปอีกทีหนึ่ง จิตราได้เคยบอกแก่ภรณีว่าบันลือไม่ติดเครื่องเสพติดอย่างใดเลย การที่เขาปล่อยให้ไฟบุหรี่ไหม้โต๊ะ เห็นจะเป็นด้วยนาน ๆ จึงจะสูบบุหรี่ครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้มีความเลินเล่อในเรื่องนี้
 
 ละจากกระดาษตรวจดูหนังสือทั่ว ๆ ไป ส่วนมากที่สุดมีชื่อเรื่องแสดงไปในทางประวัติศาสตร์และการกสิกรรม นอกจากนั้นก็เป็นหนังสือเบ็ดเตล็ดเกือบทุกชนิดตั้งแต่หลักธรรมในศาสนาต่าง ๆ จิตวิทยา ปรัชญา จนกระทั่งหนังสือบันเทิงคดีชนิดต่าง ๆ บางเล่มมีรอยฝุ่นจับจนหนา แสดงว่ามิได้ถูกมือจับต้องมานาน บางเล่มมีรอยมือซ้อนรอยฝุ่นเป็นแห่ง ๆ หนังสือปกแข็ง ๔ เล่ม ตัวอักษรโรมัน ชื่อเรื่องแสดงถึงพุทธประวัติและหลักธรรมแห่งพุทธศาสนา ทำให้ภรณีรู้สึกทึ่งเป็นพิเศษ นอกจากนี้มีหนังสือใหม่และงาม ตัวอักษรไทยอีก ๓ เล่ม ซึ่งทำให้ภรณีใฝ่ใจมากเหมือนกัน เพราะนามแห่งบุคคลผู้แต่งหนังสือนี้ เป็นนามเดียวกับผู้แต่งหนังสือสองเรื่องที่จิตราได้เคยให้ภรณียืมอ่าน จิตราเล่าว่าเจริญชอบเรื่องที่บุคคลคนนี้แต่ง และจิตราก็เห็นด้วยแต่ภรณีไม่ชอบหนังสือชนิดนั้น หล่อนกล่าวแก่จิตราว่าอ่านแล้วทำให้เกิดความรู้สึกว่าโลกนี้เป็นที่สกปรกหาความดีมิได้ ถ้ายิ่งอ่านมากเล่มเข้า น่าจะทำให้เกิดความรู้สึกอยากทำลายชีวิตตัวเอง
 
 หล่อนตัดสินใจแน่วแน่ ผิดชอบอย่างไรก็ตามหล่อนจะทำห้องหนังสือนี้ให้เรียบร้อยขึ้นจนได้ แท้จริงนั้นหล่อนไม่มีอำนาจที่จะบังคับตัวเองให้อยู่นิ่ง ประสาททุกส่วนของหล่อนกระตุ้นให้หล่อนต้องเคลื่อนไหว ให้ใช้ความเพ่งเล็งไปในทางใดทางหนึ่ง และหล่อนต้องการใช้ความเพ่งเล็งไปในทางประกอบการงานให้เป็นล่ำเป็นสัน มิใช่เพ่งเล็งไปในทางคิดถึงตัวอันจะเป็นเหตุให้หล่อนเศร้าหมองกลัดกลุ่มและท้อใจ คิดถึงตัว! ข้อนี้เป็นข้อที่หล่อนจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นความเห็นผิดเป็นชอบจะเกิดขึ้นแก่หล่อนจะชักจูงให้หล่อนเดินเข้าสู่ทางอันเป็นภัยแก่ตัวโดยเร็ว
 
 ด้วยการบังคับตัวบังคับใจในลักษณะดังกล่าวนี้ตอนต้นแห่งวันอันแปลกอันใหม่สำหรับภรณีค่อย ๆ ล่วงไป บันลือมาพบภรณีในขณะที่หล่อนกำลังปัดฝุ่นละอองตามหนังสือ และทำบัญชีหนังสือเป็นหมวด ๆ ตามชนิดของเรื่อง ทั้งสองฝ่ายทำอาการเหมือนไม่เห็นกัน บันลือผ่านห้องหนังสือเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ แล้วก็ลงบันไดห้องน้ำเลยไปขึ้นทางหน้าเรือน ต่อจากนั้นไม่ช้าก็มีผู้มาเรียกภรณีรับประทานอาหารกลางวัน
 
 อาหารมื้อนี้ทำให้ภรณีพิศวงถึงนิสัยและจิตใจของเจ้าของบ้าน อาหารประกอบด้วยนกและหมู ทั้งแกงทั้งผัดล้วนแต่มีรสชืด ๆ ขื่น ๆ ปร่า ๆ และมีสิ่งชวนให้คิดถึงความสกปรกมากกว่าชวนกิน แต่บันลือมิได้บ่นมิได้ติเตียน หรือแม้แต่ทัก เป็นเครื่องแสดงความรู้สึกของเขาในรส และลักษณะแห่งอาหารแต่สักคำเดียว
 
 หลังจากอาหารกลางวัน บันลือก็หายไปจากเรือนอีก ราว ๑๗ นาฬิกาจึงกลับมาอาบน้ำและรับประทานของว่าง ภรณีสังเกตเห็นว่าเขารับประทานมาก ถ้าจะเปรียบกับอาหารกลางวัน ก็ดูเหมือนว่าอาหารว่างเป็นมื้อสำหรับเขายิ่งกว่ามื้ออื่น ต่อจากนั้นเขาลงไปพูดเล่นอยู่กับลูกของเขาที่หน้าเรือน แล้วนายนพกับนายคิดก็มายืนพูดอยู่ด้วยจนพลบค่ำ นายคิดกับนายนพหายไป บันลือกลับขึ้นเรือนเรียกให้นายถีนำตะเกียงเข้าไปในห้องหนังสือ
 
 ตลอดเวลาที่รู้ว่าเขาอยู่ในห้องนั้น ภรณีหวั่นหวาดวาบหวำในใจ หล่อนได้ย้ายที่หนังสือของเขาเสียสิ้น เว้นแต่เล่มที่หล่อนเห็นมีรอยพับหรือรอยคั่น ซึ่งหล่อนได้เดาเอาว่าเป็นเล่มที่เขาอ่านค้างอยู่ หล่อนได้ทำแผนที่แสดงที่วางหนังสือภายในตู้ตามบัญชีชื่อเรื่อง สอดไว้ในระหว่างแถวหนังสือกับบานตู้ซึ่งเป็นกระจกด้วย เพื่อสะดวกแก่การหยิบเล่มที่ต้องการ หล่อนพยายามจะไม่ถามตัวเองว่าเขามีความรู้สึกต่อการกระทำของหล่อนไปในสถานใด แต่ยิ่งห้ามความอยากรู้ก็ยิ่งเกิด เป็นเหตุให้หล่อนตั้งความคาดคะเนไปต่าง ๆ นานา
 
 อาหารมื้อค่ำเป็นอาหารอย่างเดียวกับมื้อกลางวัน ไม่มีสิ่งที่แปลกที่ใหม่แม้แต่สักสิ่งเดียว ภรณีสังเกตเห็นว่าบันลือรับประทานน้อยมาก แต่เขามิได้ปริปากวิจารณ์เรื่องรสอาหารอยู่ นั่นเอง หล่อนนึกถึงคำของนางพวงที่ปรารภแก่หล่อนเมื่อตอนใกล้ค่ำ นางพวงบ่นว่า “คุณไปเอาอีแม่ครัวเถื่อนมาจากไหน น้ำแกงเหมือนกับน้ำล้างชาม ข้าวจะหุงมันก็ไม่ซาวน้ำเสียก่อน ดิฉันกลืนไม่ลงทั้งข้าวทั้งกับ ไม่รู้ว่าคุณเธอรับประทานเข้าไปยังไงได้” นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าอาหารทั้งสองมื้อนั้นเลวจริง มิใช่ภรณีมีอุปาทานหรือคิดไปเอง
 
 ในระหว่างการรับประทาน มีหญิงชายที่ภรณียังมิได้เห็นในตอนกลางวัน พากันมายืนตามบันไดและตามริม ๆ เรือนเป็นจำนวนหลายคน บันลือรับประทานพลางปราศรัยพูดเล่นอยู่กับเขาเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา จนเกือบจะว่าได้ว่าเขาไม่ได้มองมาดูผู้ที่ร่วมโต๊ะกับเขาเลย ภาษาที่เขาและชาวพื้นเมืองพูดกันเป็นภาษาที่แปลกหูสำหรับภรณี หล่อนเกือบจะเข้าใจไม่ได้เลยว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไรกันบ้าง โดยประการฉะนี้หล่อนถือโอกาสลอบมองดูหน้าบันลือโดยถนัดหลายครั้งด้วย ยังพะวงอยากรู้ถึงความเห็นของเขาในส่วนงานที่หล่อนจัดทำไป แต่มองดูอยู่เท่าไรก็ไม่เห็นร่องรอยความคิดของเขาที่จะเกี่ยวมาถึงตัวหล่อน ในท้ายที่สุดภรณีตัดสินว่าการกระทำของหล่อนเห็นจะอยู่ในลักษณะเสมอตัว ก็ดีแล้วเมื่อเขาไม่นึกที่จะติหรือจะชมสิ่งที่หล่อนทำ วันหน้าหล่อนจะทำสิ่งอื่นอีกตามความพอใจของหล่อน
 
 เช่นเดียวกับเมื่อตอนกลางวัน พอลุกจากโต๊ะบันลือก็หายไปจากเรือน ชายและหญิงซึ่งภรณีขนานนามไว้ในใจว่าบริวารของเขา พากันเดินตามเขาไปบ้าง หรือคุยกันตามความพอใจของเขาบ้าง ลงนอนอย่างเกียจคร้านแกมสบายบ้าง เด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่องได้เล่นมากเที่ยวมากเกือบตลอดวันก็ง่วงแต่หัวค่ำ และออดอ้อนให้ภรณีไปเข้ามุ้งด้วย หญิงสาวทำตามใจเด็กด้วยความยินดี ยิ่งกว่านั้นหล่อนขอบใจเด็กเป็นอย่างมาก ในข้อที่ใฝ่ใจใกล้ชิดพัวพันอยู่กับหล่อนเกือบทุกครู่ทุกยามเป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยวความคิดของหล่อนให้เกาะเกี่ยวอยู่ที่เขาทั้งสอง จนไม่มีเวลาที่จะฟุ้งซ่านไปในทางอื่น
 
 ครั้นแล้วก็ถึงเวลาที่ภรณี กลับมาสู่ห้องส่วนตัวของหล่อน เพื่อพักผ่อนในเวลากลางคืน เมื่อเข้ามุ้งแล้วหล่อนเหยียดตัวเต็มส่วนแห่งความยาวของร่างกาย พลางนึกเทียบความกว้างแห่งที่นอนกับส่วนกว้างแห่งร่างกายของตนเอง ริมที่นอนทั้งสองข้างยังอยู่ห่างจากปลายแขนไปไกล ทั้งที่หล่อนได้กางแขนออกเป็นเส้นตรงทั้งสองแขนและเพดานมุ้งซึ่งขาวโพลงอยู่ในความสว่างสลัว ๆ แห่งแสงเดือนนั้นก็น่าจะสูงพ้นศีรษะไปมาก แม้ในเวลาที่หล่อนยืนบนเตียง หมอนหนุนศีรษะมีถึงสองคู่ หมอนข้างสองใบ ผ้าห่มสองผืน ภรณีไม่เข้าใจว่าเหตุไรตนจึงได้รับความบำเรอด้วยเครื่องใช้ในที่นอนถึงเพียงนี้นึกถึงที่ ๆ ตนนอนเมื่อคืนที่แล้ว หล่อนได้ไปนอนให้นางพวงกรนกรอกหูโดยไม่มีความจำเป็นอย่างใดเลย เนื่องจากที่เด็กหญิงป่องกับเด็กชายก้องหลับสนิทในระหว่างที่เดินทางมา ครั้นถึงที่พักแล้วไม่มีที่นอนและมุ้งอันเตรียมพร้อมสำหรับให้เด็กนอนได้ในทันที นางพวงกับภรณีจึงจัดให้เด็กนอนบนเตียงที่ภรณีนอนอยู่บัดนี้ ครั้นแล้วเมื่อถึงเวลาที่ภรณีจะนอนบ้าง หล่อนไม่อยากรบกวนเด็กด้วยการย้ายเด็กจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จึงไปนอนแทนเด็กที่ในมุ้งเดียวกับนางพวง แต่แท้จริงอย่าว่าแต่เด็กเล็กขนาดเด็กชายก้อง และเด็กหญิงป่องจะกินที่บนเตียงหมดถึงกับไม่มีเหลือให้ภรณีนอน ถึงแม้ผู้ใหญ่มีขนาดตัวเท่าภรณีเองสักสองคน มานอนแทนเด็กก็ยังจะมีที่สำหรับให้ภรณีนอนด้วยได้โดยไม่ต้องเบียดกัน
 
 หล่อนหาวครั้งหนึ่ง แล้วปล่อยตัวในท่าสบาย เสียงดนตรีชนิดหนึ่งดังอยู่เรื่อย ๆ อยู่ครู่ใหญ่แล้ว หล่อนจะใช้เครื่องกล่อมใจให้หลับไปโดยเร็ว แต่แล้วก็เกิดนึกสงสัยว่าใครหนอเป็นผู้ดีดออร์แกนเป็นเพลงพอฟังได้อยู่ในบัดนี้ ภรณีไม่มีความรู้ในทางดนตรีไทย แต่ด้วยความเคยชิน หล่อนพอจะบอกแก่ตัวเองได้ว่า เพลงที่กำลังนั่งอยู่นั้น ทำนองเป็นเพลงไทยเหนือ หล่อนหาวอีก แล้วพลิกตัวเปลี่ยนท่าใหม่เพื่อหาความสบายให้ยิ่งขึ้นทำใจให้กลมกลืนกับเสียงเพลง เตรียมคอยความง่วงที่จะบันดาลให้หลับ แต่ใจก็ดี ความง่วงก็ดี มิได้อยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาของหล่อน ส่วนหูได้ยินเพลงก็ได้ยินไป ส่วนใจแม้จะราบเรียบไปตามเสียงเพลงบางครูบางขณะ ก็ยังมีความคิดคำนึงถึงสิ่งที่อยู่ในความจำมาแทรกแซงสลับกับเสียงเพลงด้วย
 
 
 
 
 |  
						| 
								|  |  
								|  |  Logged | 
 |  |  | 
	|  |