Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:00:45

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-5
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-5  (Read 74 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 20:26:01 »

นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-5



https://vajirayana.org/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99
https://vajirayana.org/นันทวัน





30 ตอนจบ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 20:29:03 »




​ชนใดเป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงเล่นเบี้ย

ย่อมทำทรัพย์ที่ได้มาให้พินาศ ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งผู้ฉิบหาย

 

เจ้าหล่อนเดินผ่านเขาไปจากข้างหลัง ไปทางข้างหน้า

๓ คนแล้วก็ผ่านไปอีก ๒ อีก ๔ เพราะเหตุที่รถของเขาจอดอยู่ที่ริมบาทวิถี และตัวเขานั่งอยู่บนรถ เขาไม่ทันที่จะได้เห็นหน้าเจ้าหล่อนถนัด แต่เท่าที่เขาเห็นเจ้าหล่อนทางเบื้องหลัง เขารู้สึกว่าเขากำลังนั่งดูภาพที่ไม่ทำให้เสียดายสายตา—เป็นความจริง หญิงสาวรุ่นใหม่นี้มีลักษณะชวนแลมากกว่าสาวในสมัยก่อน–สมัยที่เขากำลังใฝ่ฝันอยู่ว่า ความรักของเพศหญิงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเพศชาย

เจ้าหล่อนกำลังจะผ่านเขาจากทางข้างหน้าไปทางข้างหลัง เขามีโอกาสดูหล่อนได้เต็มตา เจ้าหล่อนเดินมาเป็นคู่ ๆ ๓ คน ในจำนวน ๔ คนของเจ้าหล่อนนั้นมองดูเขา จนกระทั่งเขามีเวลาพอที่จะประสานสายตากับเจ้าหล่อนได้ถนัดทั้ง ๓ คู่ รู้สึก​ว่าคู่หนึ่งมีลักษณะท้าทายอย่างอาจหาญยิ่งกว่าคู่อื่น ลักษณะแห่งสายตานี้ทำให้เขานึกเอาใจใส่ว่าหล่อนคือใคร อยู่ที่ไหน แต่–เจ้าหล่อนเดินผ่านพ้นไปแล้ว เพื่อนร่วมเพศร่วมการแข่งดีของเจ้าหล่อนกำลังตามหล่อนมาทางเบื้องหลัง รถเก๋งใหญ่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ ได้เป็นเป้าแห่งสายตา ๓ คู่ใหม่อีกซึ่งแข็งกล้าไม่แพ้คู่เก่า ความจำโดยเฉพาะเจาะจงก็จางจากสมองของเขาไปด้วย เขาจำได้แต่ว่าเขาได้เห็นหน้าขาว ๆ ประกอบด้วยคิ้วโก่ง ตาดำ ปากแดง หลายหน้า

เขามองดูนาฬิการถและรู้สึกว่านายเสน่ห์เพื่อนของเขาได้ผิดนัดไปถึง ๑๕ นาทีแล้ว—นึกถึงเพื่อนแล้วก็นึกขัน ขันทั้งเพื่อนขันทั้งตัวเขาเอง ขันเพื่อนเพราะเหตุที่ไม่มีความเกรงใจเพื่อนกันเสียบ้างเลย ขันตัวเองเพราะเหตุที่อ่อนแอต่อเพื่อนคนนี้ อ่อนแอจนไม่มีสติปัญญาที่จะขัดขวางหรือปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนไม่ว่าในกรณีใด ๆ เพราะเช่นนั้นจึงต้องมานั่งตากแดดเฝ้ารถ และดูสิ่งซึ่งตนไม่มีความสนใจจะดูเท่าใดนัก เป็นเวลาเกือบ ๓ ภาคนาฬิกา ในขณะที่เพื่อนไปเดินพะเน้าพะนอพธูแห่งดวงใจของเขา อยู่ตามห้างร้านอย่างเพลิดเพลิน

​แต่ไหนแต่ไรมา ทุก ๆ ระยะแห่งคราวที่เสน่ห์กับบันลือพบกันบ่อย ๆ บันลือมักจะต้องให้เสน่ห์ยืมรถของเขาไปใช้เสมอ เมื่อยังรุ่นหนุ่มเป็นนักเรียนอยู่ในต่างประเทศด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างมีรถจักรยานยนต์คนละคัน เสน่ห์ก็ต้องยืมรถจักรยานยนต์ของบันลือใช้ ครั้นเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในประเทศที่เกิด พ้นจากฐานะนักเรียนแล้วต่างฝ่ายต่างมีรถยนต์เป็นสมบัติของตน เสน่ห์ก็ยังยืมรถบันลือใช้อีก ตลอดจนกระทั่งเสน่ห์มีทรัพย์อันเป็นสิทธิ์แก่ตนสามารถหาซื้อรถยนต์ได้ตามต้องการ และสามารถสับเปลี่ยนรถเก่าให้เป็นรถใหม่ได้บ่อย ๆ ในบางคราวเสน่ห์ก็ไม่วายที่จะยืมรถบันลือใช้อยู่นั่นเอง

ทั้งนี้ก็เพราะเสน่ห์ขับรถไม่เป็น และไม่รู้จุดอ่อนแอของตนเอง แท้จริงเสน่ห์ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เข้าลักษณะที่เรียกว่าทำเป็นเกือบจะไม่ได้เลย ตลอดชีวิตของเขาซึ่งมีอายุ ๒๘ ปีเศษ เขายังไม่เคยทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่การศึกษาของเขาก็หาได้เป็นการสำเร็จโดยบริบูรณ์เหมือนเพื่อนฝูงทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าสำเร็จการศึกษาไม่ แต่เสน่ห์เป็นบุตรของคนมั่งคั่งอย่างยิ่งคนหนึ่งในประเทศ และเป็นผู้มีเสน่ห์อยู่ในตัวสมกับนามของเขา จำนวนบุคคลที่เกลียดเสน่ห์นั้นมีน้อย จำนวนที่​ชอบเขามีอยู่ค่อนข้างมาก ส่วนที่ชอบด้วยเกลียดด้วย รำคาญด้วยมีอยู่บ้าง เช่นบันลือเป็นต้น

ในระยะปีครึ่งที่ล่วงมา บันลือมีกิจส่วนตัวซึ่งทำให้เขาต้องอยู่ต่างจังหวัดคราวละหลาย ๆ สัปดาห์ เวลาที่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ นั้นมีน้อย ครั้งหนึ่งเพียง ๒–๓ คืน ก็เป็นธรรมดาที่เสน่ห์กับบันลือไม่ได้พบกันเลย แต่เมื่อเดือนที่แล้วมานี้ คุณนายลำดวนผู้เป็นยายของบันลือป่วย มีอาการค่อนข้างมาก มีความต้องการอย่างจริงจังที่จะให้หลานชายมาอยู่ด้วย บันลือได้ มาเฝ้าพยาบาลคุณยายอยู่ ๓ สัปดาห์กว่า พอคุณยายค่อยยังชั่วมาก ลุกนั่งได้เอง บันลือก็พบกับเสน่ห์ ได้ฟังเสน่ห์เล่าว่า “กันโทรศัพท์เที่ยวตามหาตัวลือทั่วบ้านทั่วเมือง เพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าซื้อมาเฝ้าคุณยายอยู่ตั้งร้อยปีแล้ว” แล้วเสน่ห์ก็แจ้งเหตุสำคัญที่ทำให้เขาตามหาตัวเพื่อนทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น “กันต้องได้รถใช้พรุ่งนี้ ๔ โมงเช้า กันต้องพาราไปซื้อดอกไม้ติดเสื้อ รถของกัน—”

“เข้าอู่” บันลือต่อ

“ไม่ช่าย” เสน่ห์ด้านอย่างเบื่อหน่าย “คืออย่างนี้ มันเข้าอู่จริง แต่กันไม่ได้เป็นฝ่ายชน มันชนเรา รถเราจอดอยู่​ข้างขวาถนน ที่นี้เราจะออกไอ้อีกคันหนึ่งมันซุ่มซ่ามมาจากไหนไม่รู้ มันก็ล่อเอาเรากร้วมเข้า—”

บันลือหัวเราะแล้วตอบว่า “ตั้งแต่ลื้อขับรถมากี่ปีๆ นี่น่ะ อั๊วไม่เคยได้ยินว่าลื้อเล่าว่าลื้อชนใครหรืออะไรสักที แต่ลื้อต้องเป็นฝ่ายเสียเงินให้เขา คนในโลกนี้เห็นจะไม่มีใครเคราะห์ร้ายเท่าลื้อนะ”

เสน่ห์จะเข้าใจคำพูดของสหายดีหรือไม่เพียงไรก็ตาม เขาแสร้งทำไม่เข้าใจได้อย่างสนิท ตอบว่า “ช่างมันเถอะ เรื่องเคราะห์แคระน่ะ พูดเรื่องรถกันดีกว่า กันมีธุระจริง ๆ รา—”

“รู้แล้ว ธุระของแกน่ะมันมีจริงเสมอ แต่เสียใจกันช่วยแกไม่ได้ คนขับรถของกันไม่อยู่ กันทิ้งเขาไว้ที่หัวเมือง”

“ก็ใครบอกว่าอั๊วต้องการคนขับ อั๊วต้องการรถต่างหาก”

“แล้วแกจะได้เอาไปให้เขาชนเสีย ไม่ได้ ๆ เวลานี้กันกำลังมีธุระมาก แล้วคุณยายก็ยังไม่หาย เผื่อกลางค่ำกลางคืนท่านเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ไม่มีรถรับหมอให้ท่านจะลำบาก”

“พิโธ่ อั๊วไม่ได้บอกเลยนาว่าจะเก็บรถของแกไว้จนกลางคืน อั๊วจะขอยืมสัก ๓–๔ ชั่วโมงเท่านั้นเอง”

​“ถูกแล้ว แกตั้งใจจะขอยืมเพียง ๓–๔ ชั่วโมง แต่พอแกเอาไปแล้ว แกจะไปทำให้คนอื่นเขาเอามันไปใส่อู่เสีย ๓–๔ เดือน กันก็แย่ กันให้แกไม่ได้จริง ๆ อ้อนวอนให้ปากหักก็ไม่ให้”

เสน่ห์ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง ทำสีหน้าราวกับมีทุกข์ใหญ่ยิ่งนัก บันลือมองดูพลางต่อสู้กับความรำคาญที่เกิดขึ้นแก่ตัว ครั้นแล้วอดที่จะเห็นแก่หน้าสหายไม่ได้ จึงถามขึ้นเพื่อจะเอาใจเขา

“แม่ราของแกคนนี้ คือคนที่แกเคยพาไปด้วยเมื่อคราวที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันใช่ไหม ?”

“ไม่ช่าย” เสน่ห์ตอบเสียงแข็ง “นี่เขาชื่อสุทธิรา”

“ก็คนก่อนล่ะ อะไรรา ?”

“คนนั้นอินทิรา เขาแต่งงานไปแล้ว”

“อ้อ ตามเคย”

บันลือไม่ถามต่อไป เพราะเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่อง ‘ตามเคย’ ดังเขาได้กล่าวแล้วอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่า แม้จะถามก็ไม่ได้ความจริงอันละเอียด เพื่อนฝูงในสมาคมเดียวกับเสน่ห์ ย่อมเคยรู้เคยเห็นว่าเสน่ห์เป็นผู้ที่มีหญิงสาวเคียงคู่อยู่กับเขาในที่ต่าง ๆ อย่างน้อยก็คนหนึ่งเป็นนิจ และรู้ด้วยว่า​เจ้าหล่อนเหล่านั้น แต่ละคนย่อมจะได้รับความพะเน้าพะนอจากเสน่ห์เท่า–หรือมากกว่า–ที่หญิงสาวทั่วไปย่อมจะได้รับจากชายหนุ่มที่รักและบูชาหล่อนอย่างยิ่งยวด แต่เสน่ห์ก็ยังเป็นชายโสดอยู่จนบัดนี้ ทั้งเป็นโสดอยู่อย่างจริงจังเสียด้วย กล่าวคือแม้แต่คู่หมั้นก็ยังไม่มี ทุกคราวที่เพื่อนของเสน่ห์เห็นหญิงคู่ควงของเสน่ห์เปลี่ยนหน้าไป เกิดความอยากรู้ไต่ถามเขา ก็ได้รับคำตอบแต่เพียงว่า “เลิกกันแล้ว” หรือ “เขามีคู่รักใหม่” หรือ “ไม่รู้เขาหายไปไหน” หากมีผู้ซักต่อเป็นต้นว่าถามถึงเหตุที่ทำให้ ‘เลิก’ หรือเหตุที่ทำให้เจ้าหล่อน ‘มีคู่รักใหม่’ ก็จะได้รับคำ ตอบแต่เพียงว่า “ไม่รู้เขาเรอะ” หรือมิฉะนั้น “อยากรู้ไปถามเขาเองซี”

เสน่ห์ย้อนกลับมาพูดเรื่องเหตุสำคัญอีก

“แย่จริง!” เขาบ่น “เพื่อไม่ได้รถไปรับราพรุ่งนี้ แกโกรธตาย ยิ่งคอยแต่ใจน้อย หาว่าเราไม่รักไป” แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก้มหน้า มือกุมศีรษะราวกับมีความกลัดกลุ้มเสียเหลือกำลัง

ภายหลังเขาเงยหน้าขึ้น และพูดอ่อย ๆ “กราบตีนน่าเพื่อน อย่าใจแข็งนักเลย ให้ตายต่อหน้าแดด ถ้าเกินไปกว่านั้น อั๊วยอมให้แกทำอะไร ๆ อั๊วได้ทุกอย่าง”

​เห็นบันลือยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ยังคงสั่นศีรษะ เสน่ห์ก็รีบพูดต่อไปอีก ทำสีหน้าให้น่าสงสารยิ่งขึ้น

“เอาน่า นึกว่าช่วยกู้หน้ากันไว้สักที กันสัญญาไว้แล้วเป็นมั่นเป็นเหมาะ ๔ โมงเช้าเป๋งจะไปรับเขาที่ ๆ ทำงานเผื่อไปไม่ได้เขาจะหาว่ากันเหลวไหล กันเกลียดเหลือเกินไอ้เรื่องผิดนัดกับผู้หญิง กราบตีนน่า ลื้อช่วยสงเคราะห์อีกทีเถอะ อย่าให้กันถูกด่าหน่อยเลย เมื่อหวงรถแกก็ขับไปเสียเองก็แล้วกัน”

และด้วยคำพูดหลาย ๆ ประโยคซึ่งคล้ายคลึงกันนี้ บันลือก็พ่ายแพ้แก่เสน่ห์ หรือที่ถูกพ่ายแพ้แก่ตัวเอง กล่าวคือทนความรำคาญและความอยากสงเคราะห์เพื่อนไม่ได้ เขาบอกแก่ตัวเองว่า เขาได้เฝ้าคุณยายผู้ซึ่งชราและเจ็บอย่างที่เรียกว่าไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเลยเป็นเวลา ๓ สัปดาห์ นับว่าเขาได้ดูได้เห็นแต่สิ่งที่ชวนใจให้เหี่ยวแห้งเป็นเวลานานไม่น้อย เขาควรจะได้เห็นสิ่งที่ชวนตาชวนใจให้รื่นรมย์อยู่บ้าง การขับรถให้เพื่อนหนุ่มผู้ซึ่งจะไปหาความสุขกับหญิงสาว ก็ไม่เป็นการเหน็ดเหนื่อยนัก เขาควรจะทำได้ เพื่อความพอใจของเพื่อน และเพื่อความสนุกของเขาเอง

เสน่ห์ออกมาจากห้อง ๆ หนึ่งพร้อมกับเพื่อนสาวของเขา เขาเป็นชายขนาดสันทัด ร่างโปร่ง ผิวขาว ท่าทางคล่อง​แคล่วประเปรียว เขามีกิริยาอย่างหนึ่งในตัวเขาเอง ซึ่งทำให้ดูเขาเป็นผู้มีความอ่อนน้อม และดูพร้อมที่จะรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนมนุษย์ที่เป็นเพศอ่อนแอกว่า–ทุกขณะ

เวลานั้นเป็นเวลาสายจัดมากแล้ว เกือบจะใกล้เที่ยง ความร้อนและความเบื่อทำให้บันลือเกิดพื้นเสียขึ้นในใจ แต่เพื่อจะรักษามรรยาทของสุภาพบุรุษ เขารีบลงจากรถ และเปิดประตูให้เจ้าหล่อนด้วยสีหน้าปกติดี

เจ้าหล่อนขึ้นนั่งทางเบื้องขวา เสน่ห์ทิ้งห่อของใหญ่ ๆ ลงบนที่นั่งข้างตัวบันลือเป็นกองโต และนั่งลงข้างเจ้าหล่อนของเขา ชะโงกหน้ามาพูดกับเพื่อนว่า

“ต้องไปทางแถวบนอีกหน่อย รายังหาแพรทำเสื้อชั้นในไม่ได้ แถวนี้ไม่มีขายเลย” แล้วเขาบอกชื่อถนน ซึ่งห่างจากถนนที่เขาอยู่ในขณะนั้นไปอีก ๓ ถนนครึ่ง

บันลือคำนวณเวลาตั้งแต่ตนออกจากบ้านจนถึงเวลานี้ ปรากฏว่ายังไม่ครบ ๒ ชั่วโมงตามที่เพื่อนสัญญาไว้ ก็ออกรถโดยไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น

ระหว่างที่รถแล่นจาก ‘แถวล่าง’ ไปทาง ‘แถวบน’ บันลือสะกดใจนิ่งฟังเพื่อน กับหญิงของเพื่อนโต้ตอบกัน หญิง​สาวบ่นว่าสิ่งของสมัยนี้คุณภาพต่ำ และหาไม่ค่อยได้ตามต้องการ ไม่เหมือนสิ่งของในสมัยก่อน แม้ราคาจะค่อนข้างสูงแต่คุณภาพดี และมีให้เลือกตามใจนึก บันลือคิดอยู่ในใจว่า แต่อย่างเลือกไม่ได้ตามความต้อง ของที่ซื้อมายังเป็นกองสูงเกือบเท่าขนาดตัวคนนั่ง ถ้าเลือกได้ตามใจนึกเห็นที่จะต้องพังหลังคารถเป็นแน่แท้ และเมื่อได้ยินเพื่อนของเขากล่าวตอบเจ้าหล่อนด้วยเสียงอ่อนโยนราวกับจะเล้าโลมให้เจ้าหล่อนคลายทุกข์ อันเนื่องด้วยความเป็นความตายของบิดามารดา เขาก็ตัดสินใจว่า เพื่อนของเขาเป็นคนบ้าชนิดหนึ่งในจำนวน ๕๐๐ ชนิด

แล้วเขานึกสงสัยต่อไปว่า หญิงนี้เป็นผู้สูงอย่างไรในทางใดหนอ จึงสูงในความต้องการถึงกับเลือกหาของใช้อันคู่ควรแก่ตนมิได้ คะเนดูตามลักษณะการแต่งกายของหล่อน แน่ละเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะชม หรือติ ว่าหล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันงามหรือไม่งาม เพราะหล่อนแต่งเครื่องแบบสังกัดแห่งกรมกองที่หล่อนรับราชการอยู่ แต่วิธีการของผู้ที่แต่งตัวเพื่อความงามปนกับความเรียบร้อย กับวิธีการของผู้ที่แต่งตัวเพื่อจะให้งามตามใจตัวนั้นย่อมต่างกันเห็นได้ชัด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่รู้ว่าความงามกับความเรียบร้อยเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ย่อมจะรักษาความงามไว้ให้ปรากฏ แม้ในเครื่องแต่งกายอันเป็นแบบที่​หาความงามมิได้เลย แต่เพื่อนหญิงของเสน่ห์นี้มิได้ทำให้บันลือเห็นความสามารถในอันที่จะทำให้งามขึ้นได้ในเครื่องแบบที่หล่อนแต่งอยู่

เมื่อมาถึง ‘แถวบน’ ตามที่เสน่ห์เรียก เพื่อนหญิงของเสน่ห์บอกที่ ๆ หล่อนต้องการจะลงให้เสน่ห์รู้ แล้วเสน่ห์จึงบอกเพื่อนผู้ทำหน้าที่ขับรถให้เขาอีกต่อหนึ่ง บันลือหยุดรถตามความประสงค์ของเพื่อน และเมื่อเพื่อนเดินตามหญิงสาวเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่งแล้ว เขาก็เลื่อนรถไปจอดในที่ ๆ ควร

มองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสายตาเป็นการแก้คำราญ ถนนแถบนี้กว้างกว่า ยาวกว่า โล่งกว่าถนนที่เขาละมาเมื่อ ๗–๘ นาทีก่อน ทั้งอยู่ในที่ค่อนข้างใกล้แม่น้ำ จึงมีลมพัดผ่านไปมาเรื่อย ๆ พอบรรเทาความร้อนอันเกิดจากไอแดดและไอถนน ความพื้นเสียของบันลือค่อยคลายไป เขาเริ่มสนใจในสิ่งของตามหน้าร้านซึ่งเขามองเห็นได้ และเริ่มมองดูผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาในสายตาของเขาด้วยความสังเกตอีกพักหนึ่ง

เขารู้สึกว่าตามห้างและร้านในแถบนี้มีผู้คนหนาแน่นเท่ากับตามห้างร้านในถนนที่เขาเพิ่งละมา แต่ผู้ที่เดินอยู่ทางแถวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เดินที่เป็นหญิง ดูเหมือนจะแตกต่างกับผู้ที่เดินอยู่แถวโน้นโดยวัย โดยสมัย โดยฐานะ โดยความโก้เก๋ ซึ่งจะเห็น​ได้จากท่าทางและเครื่องแต่งกายกล่าวโดยรวบรัดก็คือ หญิงที่เดินอยู่ในแถบโน้นเป็นหญิงที่แต่งกายถูกต้องตามสมัย หรือนำสมัยประมาณร้อยละ ๙๐ ส่วนหญิงที่เดินอยู่ตามแถบนี้ มีทั้งพวกที่ตามสมัย นำสมัย ไม่แยแสกับสมัย ปะปนกันอยู่เป็นจำนวนไล่เลี่ยกัน และมีหญิงที่คิดว่าตนกำลังนำสมัยอย่างเก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่แท้จริงกำลังตามผิดอย่างน่าใจหายเป็นจำนวนมากขึ้นหน้ากว่าหญิงจำพวกอื่นที่กล่าวแล้วทั้งหมด

หญิงจำพวกสุดท้ายนี้หมู่หนึ่ง กำลังเดินไปทางเบื้องหน้าบันลือ สวนทางกับเจ้าหล่อนของเสน่ห์ผู้ซึ่งกำลังจะเดินมาขึ้นรถ ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่างเข้ามาใกล้กัน จนเรียกว่าปะปนกันนั้น บันลือมีความรู้สึกว่าเจ้าหล่อนของเสน่ห์ได้ถูกกลืนเข้าในหมู่หญิงที่เดินสวนมาอย่างสนิทสนมที่สุด

เสน่ห์พูดกับบันลืออย่างชื่นชมว่า “เสร็จธุระแล้ว ราซื้อของได้ตามความต้องการทุกอย่าง พอดีกับเวลาใช่ไหม ?”

“ยังเหลืออีก ๕ นาที” บันลือตอบ “ต่อจากนี้จะให้ไปส่งที่ไหน ?”

“ตรงไปนี่แหละ ไปหาอะไรกิน แล้วราแกจะกลับไปทำงาน”

​เมื่อรถออกแล่นแล้ว เสน่ห์เสนอให้เพื่อนหญิงของเขาเลือกที่รับประทานอาหาร เจ้าหล่อนเกี่ยงให้ฝ่ายเขาเป็นผู้เลือก ครั้นเขาออกชื่อร้านอาหาร ๒–๓ ร้านที่ใกล้จะถึงอยู่แล้ว เจ้าหล่อนก็อิดออด อ้างว่าเป็นสถานที่ ๆ รก และร้อน และหนวกหู เสน่ห์สั่งเพื่อนของเขาให้แล่นรถต่อไปจนถึง ‘แถวล่าง’ อีก จนกระทั่งถึงร้านอาหารที่กำลังอยู่ในสมัยนิยม เจ้าหล่อนก็ชี้ว่าร้านนี้ดี เพราะเหตุว่าใกล้ที่ทำงาน แต่เมื่อหล่อนออกปากเป็นคำแน่เช่นนั้น รถได้แล่นผ่านหน้าร้านไปแล้วเกือบ ๑ เส้น และในเวลานั้นยวดยานต่าง ๆ กำลังขวักไขว่สับสนยากแก่การที่จะจอดรถ หรือถอยหลังมายังที่ ๆ ต้องการจะลง บันลือก็ต้องพารถเลยไปทางแยก แล้วจึงวกกลับมาหยุดในที่ห่างจากจุดหมายไม่มากนัก

“วะ ! มันแน่นกันจริงวันนี้” เสน่ห์บ่น แล้วนี่ลื้อจะเอารถไปจอดที่ไหน ?”

“ช่างเถอะ ลื้อลงไปก่อนก็แล้วกัน” บันลือตอบ แล้วถามสืบต่อไป “อ้อ นี่อั๊วพ้นหน้าที่รับใช้แล้วหรือยัง ?”

เสน่ห์มีสีหน้าพิศวงอย่างจริงใจ “อ้าว จะไปกินอะไรด้วยกันยังไงล่ะ” เขาว่า แล้วเห็นเจ้าหล่อนของเขาทำท่าจะออกเดินข้ามถนน “เดี๋ยวรา ระวังรถ” พลางยืดข้อมือหล่อนไว้

​บันลือพูดว่า “กันมีธุระจะต้องไปที่อื่น จะให้กันมารับกี่โมง ?”

“ก่อนบ่ายโมงนิดหน่อยสัก ๕ หรือ ๑๐ นาที”

ตอบแล้วเสน่ห์ก็ปิดประตูรถโดยแรง แล้วประคองแขนเจ้าหล่อนของเขาออกเดินไปด้วยกัน

เมื่อสหายไปพ้นแล้ว บันลือก็ออกรถและขับไปทางหนึ่ง ในระหว่างนี้เขาหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงภาพที่มีตัวเขากับเจ้าหล่อนของเสน่ห์นั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน เขาเชื่อว่าตัวของเขาจะเป็นเหตุให้เจ้าหล่อนกลืนอาหารไม่ลงคอ แล้วฝ่ายเจ้าหล่อนก็จะเป็นเหตุให้เขารับประทานอาหารไม่ได้ เมื่อมีหล่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ หรือตรงหน้า

เหตุที่ทำให้บันลือมีความเชื่อเช่นนั้น ก็เพราะว่าตัวเขากับเจ้าหล่อนของเสน่ห์ได้ร่วมทางกันไปมาอยู่เพียง ๒ ชั่วโมง โดยมิได้แลกเปลี่ยนคำทักทายปราศรัยแก่กันเลย แม้แต่สักหนึ่งคำ ทั้งนี้เขามิได้ตัดสินชี้ขาดลงไปว่าเป็นความผิดของหล่อน แต่ก็ไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เขามีความรู้สึกดูถูกเจ้าหล่อนอยู่ในใจ และบันลือมีปกติเป็นผู้ที่คอยจะเกลียดบุคคลที่ทำให้เขาดูถูกได้อยู่เสมอ

เมื่อนั่งอยู่ในโรงแรมอันระโหฐานแห่งหนึ่ง มีเครื่องดื่มวางใกล้มือ หนังสือพิมพ์กางอยู่ใต้สายตา ใจของเขาหวนกลับ​ไปนึกถึงสหายอีก ดูเหมือนจะนานประมาณสัก ๓–๔ ปีได้แล้ว ที่เพื่อนฝูงของเสน่ห์ได้เลิกถามถึงเทือกเถาเหล่ากอแห่งบรรดาเจ้าหล่อนที่เสน่ห์พามาควงคู่ เพราะเหตุว่าถามแล้วก็หาได้เรื่องได้ราวเป็นแก่นสารอย่างใดไม่ อย่างไรก็ตาม เพื่อนเหล่านี้มีความหวั่นใจว่า ในที่สุดเข้าชีวิตของเสน่ห์ก็น่ากลัวจะต้องลงเอยด้วยการจดทะเบียนสมรสร่วมกับหญิงที่ญาติของเสน่ห์และเพื่อนของเสน่ห์จะต้องรับเข้าในสมาคมของเขาด้วยความฝืนใจ

นึกถึงความข้อหลังนี้แล้ว บันลือย้อนกลับไปนึกถึง ‘รา’ ของเสน่ห์ในปัจจุบัน เมื่อก่อนจะออกจากที่ทำงานเจ้าหล่อนได้ร่ำลาเพื่อนของเจ้าหล่อนด้วยจริตต่าง ๆ มีทั้งจริตงอน จริตอาย จริตปราโมทย์ จริตอาลัย บันลือเห็นจริตเหล่านั้นได้จากช่องหน้าต่าง ซึ่งสูงจากที่ ๆ รถของเขาจอดอยู่มากแต่ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อเจ้าหล่อนลงบันไดใหญ่และเดินลงมาที่รถ จริตของเจ้าหล่อนก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น แต่ในระหว่างที่เสน่ห์แนะนำให้เจ้าหล่อนรู้จักกับบันลือแล้วและเชิญให้ขึ้นนั่งบนรถ กิริยาของเจ้าหล่อนได้เปลี่ยนไป หล่อนนิ่งเงียบไปหลายนาที จนกระทั่งเสน่ห์ชวนพูดขึ้น ๒–๓ ประโยค หล่อนจึงทำจริตงอนใส่เขา แล้วก็ทำจริตโกรธ จริตอาย ประกอบคำพูดของหล่อนที่มีข้อ​ความ กล่าวถึงชายหนุ่มเพื่อนร่วมงานของหล่อนคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้ล้อเลียนหล่อนด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ท้าวความถึง ‘รูปหล่อ’ ‘แสงจันทร์’ ‘วิมานรัก’ ‘พระเอก’ ‘ความฝัน’ บันลือขมวดคิ้วประหลาดใจนักที่เพื่อนของเขาหาความสุขจากการควงคู่ และสนทนากับเจ้าหล่อนผู้นี้ได้ ….และความคิดของบันลือแล่นเข้าหาตัว เขาคิดถึงตัวของเขา และ และหญิงที่เขาเคยมี คิดอย่างลึก และขุ่นมัวจนลืมตัว ลืมเวลา ลืมสถานที่ ความพลุ่งพล่านเกิดขึ้นในใจ ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งโดยแรง

แต่ในชั่วอึดใจเดียวกันนั้นเอง บันลือกลับได้สติ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นพับ แล้วหยิบถ้วยเหล้าขึ้นถือไว้ และเดินไปยังห้องที่รับประทานอาหาร

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 20:31:11 »




โปตริยะ บุคคลที่จำนวนนี้คือ บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวติคนที่ควรติ—แต่ไม่กล่าวชมคนที่ควรชม—บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวชมคนที่ควรชม—แต่ไม่กล่าวติคนที่ควรติ บุคคลจำพวกหนึ่งไม่กล่าวที่คนที่ควรติ ทั้งไม่กล่าวชมคนที่ควรชม—บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวที่คนที่ควรติบ้าง.... กล่าวชมคนที่ควรชมบ้าง — สี่จำพวกนี้ บุคคลจำพวกที่กล่าวติคนที่ควรติบ้าง กล่าวชมคนที่ควรชมบ้าง ตามเรื่องที่จริงที่แท้ตามการอันควรนี้ ชอบใจเราว่าดีกว่าสูงกว่า (บุคคลสามจำพวก) เพราะเหตุอะไร เพราะความเป็นผู้รู้จักเวลาในสถานนั้น ๆ เป็นการดี

 

ในขณะที่บันลือเดินตามผู้รับใช้ประจำโรงแรมจะไปนั่งยังโต๊ะอาหาร เขามองกวาดไปรอบห้อง จึงสบสายตากับชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังจะลงมือรับประทานอาหารอยู่เหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงกิริยาทักทายกันด้วยความยินดี ฝ่ายผู้ที่นั่งอยู่แล้วพยักเรียกผู้ที่กำลังเดิน และบันลือก็เดินตรงไปหาผู้ที่เรียกเขา ด้วยท่าทางแสดงความเต็มใจ

“มากินเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” ฝ่ายหนึ่งถาม “มากินด้วยกันเถอะ” แล้วพูดต่อไปโดยไม่รอฟังคำตอบ “ไหนใคร ๆ เขาลือกันว่าแกไปอยู่ป่าอยู่ดงไม่ได้มากรุงเทพฯ ตั้งร้อยปีแล้วยังไงล่ะ ?”

​บันลือนั่งตรงหน้าเพื่อน ยิ้มพลางตอบว่า

“นี่ ทำเนียมฟังเขาว่าต้องเอา ๕ หาร แล้วจะได้ความจริง แต่นี่เอา ๕๐ หารแล้วก็ยังผิดลึก ที่จริงกันหายหน้าไปจากเพื่อนฝูงสักปีครึ่งเห็นจะได้”

“แหม มันก็นานเอาการอยู่ เพราะยังงั้น ๆ ใคร ๆ เขาถึงว่า ๑๐๐ ปี กันเองรู้สึกว่าไม่ได้พบแกนานกว่านั้นไปอีกนะ แล้วนี่แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เกือบเดือน”

“อุบ๊ะ ตั้งเดือน แล้วไม่มีใครได้พบได้เห็นแกเลย ยังงี้เอง ใคร ๆ เขาถึงว่านายบันลือเป็นคนลึกลับเสมอ”

“ที่จริงน่ะ บันลือไม่ใช่ฆ้องปากแตกเหมือนคนที่ว่าเท่านั้นเอง กันกลับมาเพราะถูกเรียกตัวให้กลับ คุณยายท่านเจ็บ กระเพาะอาหารเป็นพิษ กันมาถึงแล้วก็มาเฝ้าท่านอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ได้โผล่ไปไหนเลย”

“อ้อ แล้วนี่ท่านเป็นยังไงบ้าง ท่าเห็นจะหายดีแล้ว แกถึงได้ออกเวรได้”

“จะเรียกว่าหายก็ได้แล้ว แต่ใจท่านยังไม่ค่อยดี ที่จริงหมอว่าท่านพ้นอันตรายมาตั้งอาทิตย์แล้ว แต่ท่านไม่ยอมให้กันออกห่าง กลัวจะกลับไม่สบายเวลากันไม่อยู่ กันสงสารท่านก็​เลยไม่ขัดใจ นี่วันนี้ทำใจแข็ง ทิ้งท่านมา เพราะเสียอ้อนวอนเสน่ห์ไม่ได้ เขาจะเอารถของกันใช้ กันไม่มีคนจะขับรถให้เขา เลยต้องใช้ตัวเองขับรถด้วย”

“อ้อ นี่แกมากับเสน่ห์เขาหรือ แล้วเขาไปไหนเสียล่ะ ?”

“เชื่อว่ากำลังเพลินอยู่กับแม่ยอดเสน่ห์ของเขา” บันลือหัวเราะ แล้วเล่าเรื่องที่ตัวเขาทำหน้าที่ขับรถจากที่ใดไปยังที่ใดบ้าง “นี่พอกินเสร็จกันต้องรีบไปรับเขาอีก เพราะต้องรีบไปส่งเจ้าหล่อนที่ ๆ ทำงานให้ทันบ่ายโมงพอดี” เขากล่าวในตอนท้าย

“เจ้าเสน่ห์มันก็เป็นเจ้าเสน่ห์ตามเคย” สหายของบันลือกล่าว “เวลาทำงานเสือกไปเที่ยวซื้อผ้ากับผู้หญิง คนใหม่ของมันนี่ชื่ออะไร ?”

“เขาเรียกของเขาว่ารา–”

“อ้อ ยังอยู่กับแม่อินทิรานั่นเองรึ เอ๊ะ คราวนี้เกาะได้นานจริงนะ”

“นานที่ไหน เอ! แกนี่ก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี่ตลอดเวลา ทำไมจึงไม่ฉลาดกว่ากันเลย อินทิราน่ะเขาแต่งงานไปแล้ว คนนี้เขาชื่อสุทธิรา”

​“เฮ้อ ก็ใครจะไปจำของมันได้ ราใหม่นี้เป็นยังไง แหม ชื่อเพราะจริงแฮะ”

“ชื่อเพราะ แต่รูปร่างท่าทางมันก็ไอ้เห็ดราดี ๆ นี่เอง”

“ไอ้บ้า!” อีกฝ่ายหนึ่งบ่น “เกิดมาไม่เคยเห็นใครบ้าเหมือนไอ้เจ้าเสน่ห์คนนี้เลย แล้วแกก็ช่างบ้าพอให้มันจูงหูมาขับรถให้มัน เวลางานก็ไม่เป็นงาน ดันเอามาบำเรอแม่เจ้าประคุณเสียนี่ กันหวั่น ๆ ว่าวันหนึ่งมันจะถูกไล่ออกเป็นแน่”

เขาหยุดพูดยกขวดเบียร์ขึ้นจะรินให้ตนเอง แล้วก็ชะงักถามเพื่อนว่า “แกจะดื่มอะไรฮึ บันลือ ไอ้ในถ้วยของแกน่ะมันอะไร ?”

“ยิน–บิตเตอร์” บันลือตอบ “กันดื่มพอแล้ว” หันไปทางผู้รับใช้ “ขอน้ำเย็นให้ฉัน”

รวมซ่อมและมีดปลาไว้ในจานอาหาร ที่เขารับประทานหมดไปแล้ว บันลือพูดขึ้นว่า “กันยังไม่ได้ถามถึงแหม่มของแกเลยเจริญ สบายดีดอกหรือ?”

“ไม่ค่อยสบาย ลงพุงเสียอีกแล้ว”

“อีกแล้ว!” บันลืออุทานพร้อมกับหัวเราะ “แหม แกนี่มันช่างดกจริงนะ คนหลังของแกน่ะมันได้กี่เดือน สักสี่เดือนได้กระมัง กันจำได้ดูเหมือนมันออกเมื่อวานซืนนี่เอง”

​“เฮ้อ บ้าจริงแฮะจนจะเต็ม ๒ ขวบเดือนหน้านี่แล้ว คิดดูง่าย ๆ มันออกก่อนที่แกจะหายหัวไปจากกรุงเทพฯ แล้วแกหายไปสักกี่เดือน จริงนะ บันลือ แกไปอยู่ทำไมไอ้ที่เมืองบ้าของแกน่ะฮะ”

“กันบอกแล้วว่ากันไปหากิน”

“หากินทางไหน ? ทำนาบนหลังคน ! ระวังเถอะ เรื่องมันจะตรงกันข้าม คนมักจะทำนาบนหลังแก”

บันลือหัวเราะด้วยความขันอย่างจริงใจ ในคำพูดของสหายนั้น และตอบเร็ว ๆ ว่า “กันไม่ได้ทำนา กันทำไร่ทำสวน”

“เออ นั่นแหละยิ่งดีนัก หน้าใหม่ ๆ ยังงี้ !—กันเคยเห็นมาหลายคนแล้ว เอาเงินไปลงทุนทำไร่จะให้ไร่มันเลี้ยงตัว ลงท้ายไม่แต่มันจะไม่เลี้ยงมันกินตัว แล้วซ้ำมันยังกินลูกกินเมียกินพ่อกินแม่เสียด้วย”

บันลือขมวดคิ้วแล้วถามด้วยเสียงค่อนข้างกระด้าง “แกลองชี้ตัวไอ้คนโง่ ๆ อย่างที่แกว่ามาให้กันดูสักคนถี”

จากกระแสเสียงนี้ เจริญรู้ว่าบันลือมีความรู้สึกไม่พอใจ เพราะเหตุที่ถูกขัดคอ แต่เจริญเป็นผู้ที่ไม่ครั่นคร้ามต่อความโกรธของใคร ในเมื่อตัวเขาอยู่ในอารมณ์ที่จะแสดงความคิดเห็น​อย่างจริงใจของเขา เขาออกนามบุคคลที่เคยประสบความล้มเหลวในเรื่องที่กล่าวนี้ ๓ คน และอธิบายต่อไปว่า

“คนหนึ่งใน ๓ คนนี่ตายไปแล้ว ตายอย่างไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ลูกให้เมียเลย อีกคนหนึ่งหลวงจำนงฯ จวนจะหมดตัวเหมือนกัน ดีแต่ยายเมียแกเก่ง อีกคนหนึ่งเคราะห์ดีหน่อยที่ยังหนุ่มมากเวลานี้ประจำแผนกอยู่ในกองของกัน เจ้าคนนี้เมื่อแรกกลับจากนอกก็อวดดี หยิ่งเหมือนแกยังงี้แหละ เกลียดราชการทำไม่ได้ไม่ให้ใครบังคับบัญชาต้องทำงานอิสระ ลงท้ายก็หนีราชการไม่พ้น”

บันลือรู้สึกว่าตนกับสหายจะต้องขัดใจกัน ถ้าหากเขาทั้งสองจะพูดกันถึงเรื่องเหล่านี้ต่อไปอีก ก็มองดูนาฬิกาข้อมือ แล้วเตรียมจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา เจริญสังเกตเห็นกิริยานั้นก็รีบพูดขึ้นว่า

“อย่างแกน่ะเรอะแกเป็นคนมีทรัพย์สมบัติมาก แกจะเอาไปพล่าเล่นเสียสักเท่าไรก็ได้ เพราะฉะนั้นแกอาจจะทู่ซี้ไปได้นานกว่าคนอื่น ถึงยังงั้นกันก็จะทายไว้ว่า อย่างช้าที่สุด ภายใน ๓ ปีต่อจากวันนี้แกจะไม่พูดถึงเรื่องทำไร่ทำสวนอีกเลย แล้วถ้าใครมาชวนแกพูด แกก็จะพาลเตะเขาเข้าด้วย”

​“เพราะว่ากันจะอายความเฟเลียของกันยังงั้นรึ?” บันลือถาม “ดีละ กันจะจำคำของแกไว้ แล้วถ้าเผื่อภายในสามปีนี้การงานของกันเป็นผลดี แกจะใช้หนี้ไอ้การปรามาสหน้าคนของแกวันนี้ด้วยวิธีไหน”

“กันจะเรียกแกว่าพ่อทุกคำที่กันพูดกับแก”

คำตอบนั้น ทำให้บันลือเห็นขันจนคลายความฉุน ลักษณะยิ้มจึงปรากฏในวงหน้า เมื่อเขาหยิบผ้าเช็ดมือจากตักวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืนและพูดว่า

“กันต้องไปละ ได้เวลาพอดี—บ๋อยเอาบัญชีมาเซ็นเร็ว”

“ไม่ต้อง กันจะเซ็นเอง” เจริญว่า “กันเรียกแกมานั่งที่นี่เพราะตั้งใจจะเลี้ยงแก”

“ขอบใจ” บันลือตอบ “ฝากความระลึกถึงให้แหม่มของแกด้วย”

“ขอบใจ” และเมื่อสหายออกเดินแล้ว เจริญก็เรียกไว้อีก “เดี๋ยวก่อน บันลือ ขอพูดอีกคำเถอะ ถ้าแกมีเมียเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนพวกเรา ๆ นะ ไอ้เรื่องทำไร่ทำนาบ้า ๆ บอ ๆ นี่ จะไม่เกิดขึ้นในหัวของแกเลย—”

“ตรงกันข้าม—”

​“เดี๋ยวก่อน แกไม่ต้องตอบ กันต้องการให้แกฟังความเห็นของกันให้ตลอด เมื่อแกลงทุนเข้าไปแล้ว กันจะบอกวิธีหาผลสำเร็จให้ แกต้องหัดกินข้าวต้มกับกรวดแช่เกลือขั้ว นอนกับเสื่อบนกระดานแทนนอนที่นอนบนเตียง ถ้าแกทำได้อย่างนี้ ๕ ปี บางทีแกจะเป็นเศรษฐีเพราะการทำไร่”

บันลือใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ ๒–๓ ครั้ง สีหน้าแสดงอาการใช้ความคิด เมื่อเจริญหยุดพูดแล้ว เขาจึงว่า

“นี่แปลว่าแกก็รับรู้ว่าการกสิกรรมน่ะ เป็นทางหากินได้เหมือนกัน แต่แกดูถูกว่าคนอย่างกันทำไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ ดีละ วันหลังพบกัน เราลองคุยถึงเรื่องนี้ดูอีกสักที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว”

แล้วบันลือก็ละจากสหายเดินไปขึ้นรถ

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #3 on: 28 October 2025, 20:34:37 »




นรชนผู้เลี้ยงมารดาบิดา มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล กล่าวถ้อยคำไพเราะ อ่อนหวาน ละวาจาส่อเสียด ประกอบในอันทำจัดความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ข่มความโกรธได้—ชื่อว่าสัปบุรุษ

 


บันลือกลับมาถึงที่พัก คือที่บ้านคุณนายลำดวนผู้เป็นยาย เวลา ๑๔ นาฬิกาเศษ จอดรถไว้ในที่ร่ม หยิบของที่วางอยู่ข้างตัว มีหีบห่อและขวดล้วนแล้วแต่เป็นที่บรรจุยาและอาหารสำหรับคนป่วย แล้วลงจากรถเดินไปที่ตึก

แต่พอก้าวขึ้นบันได บันลือขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกสะดุดใจและฉุนเฉียว—เสียงฝีเท้าคนดังสนั่นหวั่นไหวอยู่เหนือศีรษะ แล้วเจ้าของฝีเท้าก็แสดงตัวให้รู้ว่าตัวเป็นใคร โดยวิธีส่งเสียงอันเต็มไปด้วยลักษณะโมโหดังเท่ากับเสียงฝีเท้า

“อีบ้า หาความเขา เขายังไม่เห็นสักหน่อย เฮ่อ”

อีกเสียงหนึ่งว่า “หนอย พ่น อย่ามาพ่นเลย เอาของหนูไป หนูรู้”

​เสียงแรกตอบ “อีผี มุกสะบั้นเลย—” เสียงส้นเท้ากระแทกพื้นและเสียงดิ้น “เอ บอกแล้วว่าไม่มี ๆ เดี๋ยวเตะให้หมาเฉือมเสียเลย”

บันลือแลไปทางห้องที่หญิงผู้เป็นยายนอนอยู่ เขารู้ว่าเสียงแสดงโทสะของเขาจะทำให้คุณยายอกสั่นหนักยิ่งกว่าเสียงอื่นใดในโลก เขายั้งปากไว้ไม่ใช้เสียง แต่จะยั้งมือยั้งเท้าพร้อมกับยั้งปากหาได้ไม่ วางของลงบนพื้นตรงหน้าด้วยกริยาแรงเกือบเท่าโยน แล้วสาวเท้าขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยเร็ว

ในใจของเขากำลังมีความอยากที่จะจับคู่วิวาททั้งสองโยนลงไปจากตึกพร้อมกัน แต่เมื่อร่างกายของเขาปรากฏแก่เด็ก เด็กหญิงร้องขึ้นอย่างปิติยินดี “คุณพ่อมาแล้ว” ส่วนเด็กชายผู้กำลังชกและเตะหญิงผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่เป็นพัลวันก็หยุดชกหยุดเตะ สีหน้าแสดงความโมโหเปลี่ยนเป็นสีหน้าอันแจ่มใส โมโหในใจบันลือก็ดับลงไปสิ้น

อย่างไรก็ตาม เขาพูดด้วยเสียงกระด้าง “ลูกฉันรึ ทำไมถึงเลวอย่างนี้ กิริยาก็หยาบ ภาษาก็ต่ำ ใครพาแกมาที่นี่ ฉันไม่เห็นอยากได้เลยลูกเลว ๆ อย่างนี้”

หญิงผู้ใหญ่รีบจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งไปเพราะเหตุที่ได้ปลุกปล้ำกับเด็กชาย ส่วนปากก็พูดอย่างร้อนรน

​“คุณก้องเธอว่านมหรอกนะคะ ไม่ได้ว่าคุณน้อง”

เห็นสายตาที่บันลือมองมายังตน ไม่คลายลักษณะขุ่นมัวลงบ้างเลย ทั้งบันลือได้หันหลังกลับลงบันไดไป โดยไม่ตอบว่ากระไรด้วย นางพวงก็นึกโกรธขึ้นบ้าง มองดูเด็กทั้งสอง พลางนินทาบิดาของเด็กอยู่ในใจ “เจ้าโมโหโทโสเหมือนใครล่ะ ก็เหมือนคุณพ่อน่ะเอง” ขยายชายพกแล้วนุ่งใหม่ให้กระชับขึ้น ใจก็นึกถึงมันถือเมื่อครั้งยังเล็กเท่ากับบุตรชายของเขาในเวลานี้ ในเวลาที่โมโหเพราะอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่ได้ดังใจ บันลือก็เคยยื้อยุดผ้าห่มของนมพวง ทั้งยังอ้าปากตะโกนจนสุดเสียงให้นม “เอาผ้ามา หนูจะเอาผ้า หนูไม่ให้นมห่มผ้า” เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนคุณบันลือจึงมาทำท่าโกรธลูกเพราะเหตุทำอำนาจด้วยความโมโหเล่า ?

บันลือสวนทางกับหญิงคนใช้ประจำตัวคุณนายลำดวนที่เชิงบันได หญิงนั้นแจ้งแก่บันลือว่า “ท่านให้ไปดูว่าใครทะเลาะกันข้างบน”

เขาตอบแก่คนใช้ว่า “ไม่ต้องไปดูหรอก ไปขนของหน้าตึกเข้าไปในห้องคุณยาย”

เมื่อเขาเข้าไปในห้องคุณนายลำดวน เจ้าของห้องต้อนรับเขาด้วยสีหน้าและแววตาแสดงความยินดี แล้วกล่าวเป็นเชิงถาม

​“มาพอดีได้ตัดสินความ ?”

เว้นระยะนิดหนึ่ง แล้วหญิงชราพูดสืบไป

“นังพวงมันเต็มที ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ขัดใจไอ้ที่ไม่ควรขัด แล้วบทมันจะตามใจขึ้นมา ไม่ว่าจะเอาอะไร มันปล่อยให้เสียหมด เมื่อมันเลี้ยงพ่อปุ๊มันก็เป็นอย่างนี้ ถึงลูกพ่อปุ๊มันก็ไอ้อย่างนี้อีกน่ะแหละ”

บันลือรู้ว่าคำปรารภนี้ไม่ยุติธรรมแก่นางพวง และรู้ด้วยว่าบรรดาผู้ที่เคยตามใจเด็กมาแล้ว น่าจะไม่มีใครเคยตามใจเด็กคนไหน ยิ่งกว่าที่คุณยายของเขาเคยตามใจเขาผู้เป็นหลานรักอย่างสุดสวาทขาดใจของท่าน เหตุที่ทำให้เขารู้ความจริงอันนี้ได้นั้น เป็นเพราะว่าตั้งแต่เล็กจนรุ่นหนุ่ม เวลาแห่งการเติบโตของเขาได้แบ่งแยกออกเป็น ๒ ส่วน ตามความต้องการของคุณยายและคุณย่า กล่าวคือเด็กชายบันลือจะอยู่ในความเลี้ยงดูของคุณยายสัก ๒–๓ สัปดาห์ แล้วก็ย้ายไปอยู่ในความเลี้ยงดูของคุณย่า แล้วก็ย้ายกลับมาอยู่ในคุณยายเสียอีก ๒–๓ สัปดาห์ สลับกันดังนี้เรื่อย ๆ ไป และตลอดเวลาที่กล่าวแล้ว ทุกครั้งที่เด็กชายบันลือย้ายตัวเองจากผู้เลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งไปยังผู้เลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง เขาย่อมจะได้ยินฝ่ายที่เขาอยู่ด้วยนินทาฝ่ายที่เขาพึ่งละมาเป็นนิจ คุณย่ามักจะบ่นว่า “เจ้านี่มันโตขึ้นมันจะเป็นยังไง้ มันมิเหยียบ​คอคนหักหมดรึ แต่เดี๋ยวนี้มันยังเป็นยังงี้ เอาอะไรจะเอาให้ได้ทันใจ แม่ลำดวนแกตามใจหลานจนน่าหมั่นไส้” ส่วนคุณยายก็มักจะบ่นว่า “แม่อ่อนแก่หัดเด็กให้โมโหร้าย เวลามันจะเอาอะไรควรจะให้ได้ก็ไม่รีบให้ ๆ ไปเสีย ต้องให้โมโหเสียก่อนถึงจะให้ ทีนี้เด็กก็เคยตัว จะเอาอะไรสักนิดหนึ่งก็ต้องแผลงฤทธิ์ ไม่ยังงั้นกลัวจะไม่ได้” แต่ด้วยน้ำใสใจจริง บันลือรู้ว่า คุณย่าและคุณยายของเขาย่อมจะช่วยกันตามใจเขาไม่มากไม่น้อยกว่ากัน ท่านทั้ง ๒ นี้เป็นคู่มิตรที่รักใคร่สนิทสนม และเอาใจซึ่งกันและกันยิ่งนัก ความเห็นของท่านในเรื่องต่าง ๆ สอดคล้องต้องกันอยู่เสมอ เรื่องการเลี้ยงดูเด็กชายบันลือ เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ท่านติเตียนกันและกันในเวลาลับหลัง และตามความจริงนั้นแม้แต่ในเรื่องนี้เอง ความแตกต่างระหว่างท่านทั้งสองก็มีอยู่แต่เพียงว่า คุณย่าเคยตีบันลือบ้างเป็นการลงโทษ เพราะคุณย่าเป็นผู้ที่มีโมโหร้ายอยู่ ส่วนคุณยายนั้นไม่เคยลงโทษบันลือโดยวิธีหนึ่งวิธีใดเลย

โดยไม่ตอบคำปรารภของคุณยาย บันลือถามขึ้นว่า

“บ้านไหนเอาเด็กมาส่งไว้?”

​คำถามนี้มีความหมายว่า บุตรทั้งสองของผู้ถาม มาจากบ้านไหนในจำนวน ๓ บ้าน คือบ้านของบันลือเองซึ่งมีพี่สาวใหญ่ดูแลอยู่บ้านหนึ่ง หรือบ้านของมรกต กับบ้านของไพฑูรย์ ซึ่งเป็นน้องสาวของบันลืออีก ๒ บ้าน

คุณนายลำดวน ตอบว่า “ยายให้เขาเช่ารถไปรับมาเองแหละ พอมาถึงได้สักครู่ ยายไล่ให้แกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเสียให้สบาย นางพวงไปทำท่าไหนกับแกก็ไม่รู้ เลยเอ็ดตะโรกันใหญ่”

“พี่น้องวิวาทกันน่ะครับ แล้วนมแกก็ไม่มีปัญญาจะห้ามคุณยายไปรับมาจากบ้านไหนครับ”

“เจ้าเส็งไปรับมาจากบ้านอาเล็ก ทำไมจ๊ะ ?”

“คือว่าผมไปแวะที่บ้านแม่กลางมา เขาว่าไพฑูรย์ไม่สบายเป็นไข้ ผมนึกถึงเด็ก ๆ อยู่แล้วกลัวจะกวนอาเขาเวลาที่เขาเจ็บไข้ คิดว่าเย็นวันนี้จะโทรศัพท์บอกพี่มุกดาให้ช่วยรับกลับไปไว้บ้านเสียที เมื่อคุณยายไปรับมาเสียก่อนก็ดีแล้ว”

ในเวลานั้นเอง คนใช้ผู้ได้รับคำสั่งจากบันลือให้ไปขนของที่เขากองไว้ ก็เข้ามาในห้อง มีลูกชายหญิงของบันลือแข่งหน้าแข่งหลังกันเข้ามาด้วย และพยายามจะแย่งของที่คนใช้ถืออยู่นั้น ต่อเมื่อมองสบตาบิดา อาการยื้อแย่งจึงค่อยเพลาลง แม้กระนั้น​เด็กชายก็ยังคว้าเอาหีบขนมปังไปถือไว้ได้ ส่วนเด็กหญิงนั้นปล่อยถุงหนึ่งในมือให้คนใช้ตามเดิม

บันลือเปิดหีบและแก้ห่อเพื่อให้คุณยายดูของที่อยู่ภายใน คุณยายแสดงความปิติยินดีตอบแทนความเอาใจใส่ของเขา แล้วท่านหยิบขนมปังอย่างดี ซึ่งบันลือซื้อมาสำหรับท่านโดยเฉพาะ ส่งให้แก่เหลนน้อย ๆ ของท่านคนละ ๒ ชิ้น และมองดูเด็กทั้งสองรับประทานอาหารอันมีราคาแพงนั้นด้วยสายตาแสดงความสุขใจ ภายหลังท่านเล่าอาการภายในของท่าน ตามที่ท่านรู้สึกเมื่อเวลาที่รับประทานอาหารแล้ว เล่าโดยละเอียดโดยถี่ถ้วน โดยยืดยาวตามอารมณ์ของท่าน ที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ และความพะเน้าพะนอจากหลานชายสุดที่รัก บันลือก็ฟังด้วยความตั้งใจอยากรู้อาการของท่านด้วย ฟังด้วยความตั้งใจจะเอาใจท่านด้วย แต่ถึงกระนั้นความตั้งใจของเขาก็ยังแพ้ต่อความเบื่อและความกังวลในเรื่องบางเรื่องในบางขณะ สมองของบันลือกำลังวุ่นอยู่ที่เด็กทั้งสอง และอาการที่เด็กเคี้ยวขนมพลางทำกิริยาหยุกหยิกและโต้เถียงกันไปพลางด้วยนั้นเป็นเครื่องรำคาญแก่ตาและแก่ใจบันลืออย่างที่สุด

​เด็กหญิงพูดว่า “คุณพ่อคะ ตาก้องน่ะนักจิกมือหนึ่งเลย—”

ยังไม่ทันจบประโยคเด็กชายก็ขัดขึ้น “ปล่าวครับ ปล่าว ผมปล่าวจริง ๆ ครับ คุณพ่อ มุกทั้งนั้นเลย ยายป่องน่ะ”

“อย่า อย่า อย่าเชื่อละ แกนะซีมุก เอาของเขาไปเขาเห็น”

“หยุดทีเถอะ” บันลือขัดเสียงแข็ง “ไอ้ภาษาที่แกพูดน่ะมันเหลือเกิน ฉันเป็นพ่อแกฉันยังฟังไม่เข้าใจ มนุษย์ที่ไหนเขาจะฟังแกรู้เรื่องฮะ”

“ยายป่องเขาว่าผมเอาดินสอเขาไปครับ—”

“ดินสออะไร ?” คุณยายลำดวนถาม “หนูเอาของน้องไปก็คืนให้น้องไปเสียซี”

“ผมปล่าวครับ ปล่าวจริง ๆ ยายป่องเอาไว้ที่ไหนไม่รู้แล้วมาว่าผม นมพวงเลยเล้งผมใหญ่”

“หนอยจีบ จีบอีกแล้ว อย่างเชื่อเสียนี่—”

บันลือร้องจุ๊ย๎อย่างแรงและว่า “เอ เด็กคู่นี้พูดอะไรอย่างที่คนธรรมดาเขาพูดกันไม่ยักเป็น ไปเรียนภาษาอะไรมาไม่ยักรู้” แล้วลุกจากที่นั่นไปยืนถอดเสื้อชั้นนอกอยู่ทางหนึ่ง

แต่สุภาพสตรีผู้เป็นยายของบันลือเข้าใจคำพูดของทั้งสองได้ดี ท่านค่อย ๆ ซักถามจนได้ความชัดว่าเด็กหญิงมีดินสอแท่ง​หนึ่ง ซึ่งเด็กชายบุตรของคนใช้ที่บ้านไพฑูรย์ได้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ บัดนี้ดินสอนั้นหายไป และเด็กชายก้องได้ถูกน้องสาวกล่าวหาว่าเป็นผู้ลักของนั้น

ในท้ายที่สุดเรื่องได้จบลงโดยคุณนายลำดวนสั่งให้คนใช้ไปซื้อดินสอดำมาให้แก่เหลนคนละแท่ง

แต่สำหรับบันลือ เรื่องนี้มิได้จบลงโดยง่าย เช่นที่กล่าวแล้ว แม้กระทั่งในเวลาบ่าย เมื่อบันลือนั่งอ่านหนังสือที่เกี่ยวด้วยวิชากสิกรรมอันเป็นวิชาที่เขากำลังสนใจเป็นพิเศษอยู่ในปัจจุบัน สมองของเขาก็หาได้แน่วแน่อยู่ในวิชานั้นไม่ ความคิดเรื่องลูกหญิงได้มารบกวนบ่อย ๆ ทำให้เกิดเป็นปัญหาขัดข้อง เป็นอริต่อความสงบและความเพ่งเล็งของเขาอย่างรุนแรง

คราวนี้มิใช่คราวแรกที่บันลือได้ถูกรบกวนโดยปัญหาเรื่องบุตรทั้งสอง แท้จริงบันลือได้ผจญกับปัญหานี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน หากแต่ว่าเขายังไม่เคยรู้สึกถึงความสำคัญและความยากแห่งข้อปัญหาชัดเจนเหมือนคราวนี้เท่านั้นเอง

ลูกชายลูกหญิงของบันลือเป็นลูกแฝด กำพร้ามารดาตั้งแต่อายุได้ ๑๘ เดือน และเติบโตขึ้นมาในความดูแลของพี่สาวและน้องสาวของบันลือ ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นโสด และอยู่ในความปกครองของบิดาทั้ง ๓ นาง ต่อมาเมื่ออายุของเด็กทั้งคู่​อยู่ในระหว่าง ๒–๓ ขวบ อาทั้งสองได้แต่งงาน และออกไปจากบ้านเกิดในระยะเวลาห่างกันไม่ถึงปี เด็กก็ได้ชื่อว่าอยู่ในความปกครองของป้าแต่คนเดียว

ต่อมาอีกเมื่อเด็กมีอายุย่างเข้า ๔ ขวบ มุกดาพี่สาวของบันลือได้ออกเรือนไปอีกคนหนึ่ง ในตอนนี้บันลือเริ่มรู้สึกถึงความยุ่งยากที่ลูกทั้งสองของตนเป็นต้นเหตุ เพราะเมื่อมุกดาย้ายจากบ้านท่านบิดาไปแล้ว ตำแหน่งแม่บ้านประจำบ้านนี้ ซึ่งมุกดาเคยครอบครองอยู่ในฐานะเป็นลูกสาวคนโต ก็เป็นตำแหน่งว่างหามีเจ้าหน้าที่ประจำไม่ นางยิ้มภรรยาน้อยของท่านเจ้าบ้าน ต้องการจะได้ตำแหน่งนี้เป็นกำลัง ก็พยายามที่จะทำกิจทุกอย่างที่มุกดาเคยทำอยู่ก่อน รวมทั้งกิจอันเกี่ยวด้วยการดูแลลูกชายหญิงของนายบันลือผู้เป็นลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าบ้านด้วย

แต่การพยายามของนางยิ้มได้ถูกกีดกันขัดขวางอย่างรุนแรงโดยธิดาทั้งสามของผู้เป็นพ่อบ้าน สตรีทั้งสามนี้เกลียดการที่จะเห็นแม่เลี้ยงผู้อ่อนอายุ และเคยเป็นผู้มีฐานะเป็นคนใช้มาเป็นผู้ครองตำแหน่งแม่บ้านในฐานะเท่าเทียมกับมารดาของตนได้เคยครองเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ละโอกาสที่จะติเตียนว่ากล่าวแม่เลี้ยงทั้งต่อหน้าและลับหลังในทำนองที่จะ ‘กด’ แม่เลี้ยงไว้ในฐานะเดิม และเพื่อเหตุนี้ พี่น้องทั้ง ๓ นางได้ถือเอาวิธีการที่​นางยิ้มปฏิบัติต่อบุตรธิดาของบันลือ มีการควบคุมพี่เลี้ยงของเด็กทั้งสอง การอบรมตักเตือนเด็ก เป็นต้น มาเป็นเหตุส่วนหนึ่งสำหรับที่จะใช้ติเตียนแม่เลี้ยงอย่างรุนแรง เจ้าหล่อนอ้างว่านางยิ้มเลี้ยงเด็ก ‘ให้เป็นไพร่’ เพราะท่วงทีกิริยาของนางยิ้มส่อถึงฐานะเดิมของนางอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีนางพวงซึ่งเป็นนางนมของคุณบันลือ!—ข้าเก่าของคุณหญิงหรือจะทนดู ‘คุณนายใหม่’ ชี้นิ้วอยู่เหนือตนได้ ? และนางพวงจะนินทาว่ากล่าว ‘คุณนายใหม่’ ด้วยเรื่องใดก็ไม่ถนัดเท่ากับเรื่องวิธีเลี้ยง ‘ลูกคุณปุ๊ของฉัน’ นางพวงพยายามที่จะทำให้หญิงผู้มีหน้าที่เลี้ยงเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องอยู่ในอำนาจของตน ส่วนางยิ้มก็ตั้งความพยายามไปในทางนี้ด้วยทั้งป้าและอาของเด็กก็ออกปากอย่างเด็ดขาดว่า ถ้าจะละให้เด็กอยู่ในอำนาจของนางยิ้ม จะเป็นภัยแก่เด็กทั้งทางสุขภาพและทางคุณสมบัติ แล้วทั้ง ๓ ฝ่าย ก็ปรารภแก่บันลือด้วยถ้อยคำต่าง ๆ กัน ล้วนแล้วแต่มีความหมายไปในเชิงว่า เด็กทั้งสองกำลังตกอยู่ในทางแห่งความเสื่อมเพราะเหตุที่ขาดผู้ดูแลอันดี

ความยุ่งยากทั้งนี้เป็นที่รำคาญแก่บันลืออยู่บ้าง แต่เมื่อเกิดรู้สึกความรำคาญขึ้นแล้ว เขาก็พิจารณาให้เห็นเรื่องรำคาญเป็นเรื่องขันไปเสีย บันลือถือว่าเรื่องลูกของเขาเป็นแต่เพียง​เหตุที่คู่ปรับทั้ง ๒ ฝ่ายสมมติกันขึ้นเพื่อนินทาว่าร้ายกัน ความสำคัญอันแท้จริงจะมีอยู่ในเรื่องนี้ก็หาไม่

หลังจากนั้นประมาณปีเศษ ท่านบิดาของบันลือสิ้นชีพลง บ้านของตระกูลตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่บันลือแต่ผู้เดียว ส่วนลูกหญิงรวมทั้งภรรยาน้อยและวงศ์ญาติของท่านผู้ตายต่างได้รับมรดกอันเป็นทรัพย์ส่วนอื่น ซึ่งบันลือได้จัดการให้เป็นไปตามพินัยกรรมโดยเรียบร้อย ภายในเวลา ๒–๓ เดือน และในระยะเวลาการจัดงานศพและงานแบ่งทรัพย์มรดกนี้ บันลือได้สำนึกถึงความหนักแห่งภาระของชายผู้ซึ่งจะต้องเป็นทั้งพ่อบ้านและแม่บ้านให้แก่ตัวเอง จึงขอร้องพี่สาวให้กลับเข้ามาอยู่ในบ้านเดิม เพื่อดูแลการบ้านแทนตัวเขา มุกดายินยอมด้วยความเต็มใจและสามีของหล่อนก็ไม่ขัดขวาง เพราะหลวงสำรวจ ฯ สามีของมุกดาก็มิใช่ใครอื่น นอกจากญาติสนิทคนหนึ่งของมุกดานั่นเอง หน้าที่การดูแลบ้านของบันลือก็ตกอยู่แก่มุกดาโดยตลอด ทำให้ปัญหาเรื่องผู้ปกครองเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องถึงที่สุดลงคราวหนึ่ง

แต่ในระยะเวลาอันใกล้เคียงกันนี้เอง ความคิดใหม่ได้เกิดขึ้นแก่บันลือ คือความคิดที่จะออกหัวเมืองเพื่อ ‘หากิน’ ดังที่เขาได้บอกแก่เพื่อนฝูงของเขา ตลอดอายุของบันลือที่ล่วงแล้วมา เมื่อต้องการจะทำสิ่งใดเขาย่อมจะได้ทำทุกครั้ง คราวนี้​เขาต้องการจะออกหัวเมืองเพื่อ ‘หากิน’ เขาก็ได้ทำตามความต้องการอีก และทำโดยมิได้บอกกล่าวหรือปรึกษาหารือผู้หนึ่งผู้ใดเลย

ในตอนต้น ๆ บันลือเที่ยวไปตามจังหวัดเหล่านั้นแห่งละ ๓–๔ วันบ้าง ๑–๒ สัปดาห์บ้าง จนถึงตอนหลังเมื่อเขาเริ่มงานของเขาอย่างจริงจังแล้ว เขาจึงพักอยู่ต่างจังหวัดคราวละนาน ๆ กลับเข้ากรุงเทพฯ เพียงเดือนละครั้งชั่ววันสองวัน เพื่อจัดธุระเกี่ยวกับผลประโยชน์ของเขา และของพี่น้องซึ่งเขามีหน้าที่จัดการโดยตรงแต่ผู้เดียว ในตอนนี้เองเขาเริ่มสังเกตเห็นว่า ลูกหญิงและลูกชายของเขาเป็นเด็กที่ไม่มีระเบียบ และขาดมารยาทอันควรแก่ลักษณะของเด็กผู้ดีหลายประการ

คราวหลังสุด ที่บันลือเกิดความรู้สึกในเรื่องนี้แรงมาก ก็คือคราวที่เขากลับเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อพยาบาลคุณยายนั่นเอง คุณนายลำดวนพอใจที่จะได้ชมเชยเหลนน้อย ๆ พร้อมกับหลานสุดที่รัก ก็ขอร้องให้เด็กทั้งสองมาที่บ้านของท่านบ่อย ๆ และให้พักอยู่คราวละหนึ่งคืนบ้าง สองคืนบ้าง เป็นเหตุให้บันลือได้เห็นมารยาท และนิสัยของเด็กถนัดกว่าเมื่อเวลา ๖–๗ เดือนที่แล้วมาเป็นอันมาก

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #4 on: 28 October 2025, 20:36:49 »




​โภคทรัพย์ย่อมฆ่าคนหาปัญญามิได้ —ผล (กล้วย) ฆ่าต้นกล้วย ขุย (ไผ่อ้อ) ฆ่าต้นไผ่ ต้นอ้อ ลูกม้าฆ่าแม่ม้าอัสสดรฉันใด ลาภผลก็ทำลายล้างคนถ่อยเสียฉันนั้น

 

บันลือ ขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกผิดคาด และพิศวงระคนกัน เมื่อแลไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินคู่มากับเพื่อนที่เขาคอยอยู่ เพื่อนผู้นั้น คือ นายเจริญ เมื่อตอนกลางวันนี้เอง ขอให้เจริญมารับประทานอาหารค่ำกับเขาที่ภัตตาคาร ถ้าแม้ว่าเจริญว่างและเป็นอิสระ

เจริญได้ตอบแก่บันลือว่า “ยิ่งกว่าว่าง ยิ่งกว่าอิสระ หมู่นี้กันกำลังจ๋อง ค่ำลงไม่รู้จะทำอะไร ไอ้มีเมียเป็นคนขี้แพ้ท้องนี่ไม่ดีเลย ลำบากพิลึก เผื่อแกจะมีเมียอีกละก็ระวังไอ้ข้อนี้ให้มาก”

​บันลือหัวเราะคำพูดของสหายแล้วว่า “ค่ำวันนี้เตรียมหามาเยอะ ๆ นะไอ้คำแนะนำชนิดนี้” และเมื่อกำหนดสถานที่และนัดเวลากันแม่นยำดีแล้ว บันลือวางหูโทรศัพท์ด้วยความยินดี บันลือมีความปรารถนาที่จะคุยกับเจริญ เขาโกรธเจริญที่ปรามาสเขา แต่ถึงกระนั้นก็ต้องการจะสนทนากับเจริญด้วยเรื่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง

เจริญมีนิสัยลักษณะขวานผ่าซาก เมื่อจะกล่าวติเตียนผู้หนึ่งผู้ใด เขาไม่พักที่จะเสียเวลาหาคำหนักเบาเพื่อถนอมอารมณ์และน้ำใจของผู้ที่เขาติเตียน เขาคิดอย่างไร เขาพูดออกมาอย่างนั้น พูดแรงหรือพูดอ่อน แล้วแต่ความรู้สึกของเขา เกือบทุกคราวที่เจริญกับบันลือพูดคุยกันนาน ๆ ทั้งสองฝ่ายจะแยกจากกันไปด้วยความนึกชังหน้า และน้ำคำของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นต่างฝ่ายต่างก็แสวงหาโอกาสที่จะพบปะสนทนากันบ่อย ๆ อยู่เสมอ

บันลือบอกไม่ถูก และไม่รู้ด้วยว่าตนรู้จักเจริญตั้งแต่เมื่อไรและที่ไหน เขารู้แต่ว่าครั้งแรกที่สุดเขาจำหน้าและชื่อของบุคคลผู้นี้ได้นั้น ตัวเขากำลังนั่งดื่มและสนทนาอยู่กับเพื่อนหนุ่มหลายคน ทั้งที่เป็นผู้คุ้นเคยกันในสโมสรแห่งหนึ่ง ในระหว่างการสนทนากันเซ็งแซ่ที่ดังไปรอบโต๊ะหมู่หลายหมู่นี้เจริญได้ชี้นิ้วมาที่​หน้าบันลือและพูดว่า “คนแบบนี้แหละที่ทำให้ตระกูลต่าง ๆ ในบ้านเมืองเราเจริญอยู่ไม่ได้นานเกินกว่า ๒ ชั่วคน”

ด้วยความที่ประหลาดใจ ในข้อที่ตนถูก ‘กาหน้า’ โดยผู้ที่ตนไม่เคยรู้จักชื่อเสียงมาแต่ก่อนเลยนี้เอง บันลือไม่ทันที่จะได้นึกโกรธ จึงได้กล่าวขอคำอธิบายจากเจริญด้วยกิริยาของชายผู้เคยแก่การสะกดอารมณ์ภายใน และเมื่อได้รับคำตอบซึ่งรวมได้ความว่า ‘ลูกคนมีเงิน ไม่รู้จักราคาของเงินจึงเป็นผู้ผลาญเงินของพ่อแม่’ บันลือก็ยังแย้งได้อย่างใจเย็น แล้วผู้ที่ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย ก็ช่วยกันกลบเกลื่อนกรณีอันค่อนไปข้างจะเกิดความไม่สงบนี้เสีย โดยนำเรื่องที่ชวนให้ขบขันมาพูดขึ้น การโต้เถียงระหว่างเจริญกับบันลือก็ระงับไป

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อเจริญกับบันลือพบกัน เขาทักทายกันด้วยท่าทางและวาจาอันมีลักษณะท้าทายชวนวิวาท แต่แล้วก็หาได้วิวาทกันไม่ เพราะบันลือเป็นผู้ที่มีความสามารถในเชิงหาความจริงจากคำพูดของผู้ที่พูดอยู่กับเขาได้เสมอ และเจริญเป็นผู้ที่ไม่เคยกล่าวคำอันคลาดเคลื่อนไปจากหลักความจริง ในท้ายที่สุด ภายหลังที่ได้เคยโต้เถียงวิวาทกันอยู่ในที่หลายครั้งหลายคราว คนทั้งสองนี้ก็มีความรู้สึกต่อกันฉันมิตรโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ทันรู้ตัว

​ต่อจากนั้นมาอีกวันหนึ่ง โดยบังเอิญ ได้มีผู้กล่าวเข้าหูบันลือว่าเจริญเป็นสามีของจิตรา หญิงที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตของบันลือ เขาผู้นี้จึงกล่าวแก่เจริญว่า “กันเพิ่งรู้ว่าแกเป็นผัวของผู้หญิงที่กันรู้จักอย่างดี” เจริญตอบแก่เขาว่า “กันรู้มานานแล้วว่าแกเป็นผู้ที่เมียกันเคยรักมาก แต่ไม่บ้าพอที่จะแต่งงานกับแก”

ชายหนุ่มทั้งสองได้โต้เถียงกันอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง เพราะคำตอบที่เจริญกล่าวแก่บันลือนี้ บันลือถือว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะแก้ความเข้าใจผิดของเจริญ เขากับจิตราเคยสนิทสนมกันมากจริง แต่ไม่เคยมีความรู้สึกต่อกันฉันชู้สาว เจริญกล่าวว่าบันลือเป็นบ้า เพราะเหตุที่พยายามจะดัดแปลงความจริงที่เกิดขึ้นแล้วให้เป็นอย่างอื่น ทั้งสองฝ่ายได้แยกทางกันไป โดยที่ต่างฝ่ายต่างแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งกวนโมโห แต่ครั้นแล้วหลังจากนั้นไปไม่กี่วัน เจริญก็เชิญบันลือไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านของเขา แล้วบันลือก็เชิญเจริญกับจิตรามารับประทานอาหารที่บ้านของบันลือ ต่างฝ่ายต่างได้ผลัดกันเชิญเช่นนี้เรื่อย ๆ มา

วันนี้เมื่อบันลือเห็นเจริญเดินเข้ามาพร้อมกับภรรยาของเขา บันลือนึกอยู่ในใจว่า “คนบ้า ไหนว่าเมียป่วย ดันเอาเมีย​มาด้วย” แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปถึงตัวคนทั้งสองนี้ ความรู้สึกของเขามิได้ปรากฏในสีหน้า เขาโค้งตัวลงตรงหน้าภรรยาของเพื่อนอย่างงดงามแล้วกล่าวว่า

“ไม่ได้นึกเลยว่าโชคจะดีต่อผมอย่างกลับหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้”

จิตรายกมือทั้งสองขึ้นโบกไปมา และพูดขัดโดยเร็ว “ไม่จำเป็นเลย ไอ้คำเพราะ ๆ น่ะ ถามออกมาตรง ๆ ดีกว่าเขาไม่ได้เชิญตัวสักหน่อยเจ๋อมาด้วยทำไม ฉันจะได้ตอบว่า ก็คุณจะแย่งเอาสามีของดิฉันมาเสีย ฉันก็ต้องตามมาด้วย”

บันลือยิ้มแทนคำตอบ แล้วนำสามีภรรยาไปยังหมู่เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน

เลือกเก้าอี้ตัวที่นั่งสบายที่สุดให้จิตรานั่ง หยิบหมอนมาหนุนหลังให้หล่อน แล้วรอจนเห็นว่าหล่อนนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนั่งลงบ้าง

ข้อศอกเท้าเข่าทั้งสองข้างชะโงกหน้าไปทางจิตรา เขาถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเอาใจใส่อย่างยิ่ง

“มีอะไรที่ผมจะจัดหามาบำรุงความสำราญให้คุณได้ สมกับความกรุณาของคุณ โปรดบอกมา ถ้าไม่เหนือกว่าความสามารถของผู้จัดการโฮเต็ลละก็ผมจะรีบสั่งทันที”

​ฝ่ายหญิงหัวเราะเสียงแหลม “คุณนึกว่าดิฉันจะมาหาความสำราญทางไหนจากโฮเต็ล นอกจากเรื่องกิน ?”

“คุณจะดื่มอะไร จะรับประทานอาหารอย่างไหน” พูดแล้วบันลือก็กดกริ่งเรียกผู้รับใช้

“เพียงแต่จะถามว่า จะดื่มอะไรกินอะไรเท่านั้นเองก็อุตส่าห์พูดเสียออกเพราะ” จิตราว่า “เห็นได้ว่ากี่วันกี่เดือนกี่ปีก็ไม่ทิ้งนิสัยเดิม”

หล่อนหันไปมองดูผู้รับใช้ที่ยืนคอยรับคำสั่งอยู่แล้วพูดสืบไป

“อยากดื่มอะไรที่เมา ๆ แต่ต้องไม่เมามาก” มองไปทางสามีของหล่อน “ได้ไหม เจริญ วันนี้ขออนุญาตกินเหล้า ฉันถูกหมอห้ามไม่ให้กินเหล้า บันลือ แต่วันนี้ต้องขอขัดคำสั่งหมอหน่อย”

ฝ่ายเขาได้เสนอชื่อเครื่องดื่มชนิดที่อ่อนและเหมาะสำหรับผู้หญิงหลายชนิด ซึ่งจิตรารับว่าหล่อนเคยชอบทั้งนั้น แต่เฉพาะคืนนี้ หล่อนขอให้เจริญหรือบันลือเป็นผู้เลือกให้หล่อน ชายหนุ่มทั้งสองโต้แย้งกันอยู่ ๒–๓ คำแล้วบันลือก็เป็นผู้ชี้ขาด

เสร็จจากการเลือกเครื่องดื่มแล้ว จิตราเอ่ยขึ้นว่า “นี่​เสร็จพิธีต้อนรับอย่างน่าชื่นอกชื่นใจของคุณแล้ว เมื่อไรจะถามว่าทำไมฉันถึงมาด้วย ทั้งที่คุณไม่ได้เชื้อไม่ได้เชิญสักหน่อย”

“ถ้าคุณจะว่าผมในเรื่องเชิญไม่เชิญนี้ละก็ผมขอซัดว่าเป็นความผิดของเจริญ”

“ข้อนั้นฉันรู้แล้ว ไม่ติเตียนเธอเลย ฉันอยากจะให้เธอถามฉันว่า ก็เมื่อไม่สบายทำไมถึงเจ๋อมา”

“จะต้องถามทำไม ผมหาคำตอบได้จนเสร็จแล้ว”

เจ้าหล่อนกล่าวอย่างพิศวง “หาได้ว่ายังไง ?”

“อย่าให้ผมบอกเลย มันเป็นคำตอบที่ค่อนข้างจะยกตัวเองอยู่สักหน่อย”

“เอ๊ะ ยกยังไงนะ ลองบอกหน่อยเถอะ ฉันอยากรู้ว่าคุณยังเก่งพอที่จะอ่านฉันออกเหมือนแต่ก่อนไหม อีกอย่างหนึ่ง คำตอบที่คุณคิดขึ้นอาจจะผิดจากความจริงไปตั้งโยชน์ก็ได้”

“โอ๊ะ ข้อนั้นผมไม่แคร์ ผิดหรือถูกมันเป็นคำตอบที่ผมพอใจก็แล้วกัน”

“เอ๊ะ แต่ดิฉันแคร์นี่ ฉันไม่ชอบให้ใครเข้าใจอะไรไปอย่างหนึ่ง ในเมื่อใจจริงหรือความรู้สึกของฉันเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้นว่าฉันมาที่นี่คืนวันนี้เพราะเหตุอย่างหนึ่งที่เป็นความเห็นแก่ตัวของฉัน แล้วคุณจะคิดว่าฉันมาเพราะฉันเห็นแก่คุณ ​อย่างนี้ฉันจะต้องรีบแก้ความเข้าใจผิดทันที เพราะฉันไม่ต้องการจะเอาหน้ากับคุณโดยที่ฉันไม่มีสิทธิ์”

บันลือตอบด้วยสีหน้าอันยิ้ม และเสียงอันหนักแน่น “สำหรับผม คุณจิตราไม่ใช่แต่เพียงมีสิทธิ์เอาหน้า ถึงจะเอาอะไร ๆ อย่างอื่นอีกกี่ร้อยกี่พันอย่างก็มีสิทธิ์ที่จะเอาได้”

แล้วบันลือหันมาทางเจริญ เพราะสังเกตเห็นว่าเพื่อนชายของเขายังมิได้พูดเลย แต่จิตราได้ถอนใจขึ้นโดยแรง และกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการ

“นี่ บันลือ เมื่อไรคุณเอาความจริงใจขึ้นมาพูดบ้างคะ คุยกับเธอฉันเนื้อยเหนื่อย เหนื่อยอีตรงที่ต้องคอยค้นว่าความจริงอยู่ตรงไหน ตอนไหนเชื่อได้ตอนไหนเชื่อไม่ได้”

เขาถอนใจเลียนหล่อน ทำหน้าเศร้า และว่า “ก็คุณขอสิ่งที่ผมทำไม่ได้ ก็เหลือวิสัยที่ผมจะทำให้ถูกใจคุณ มีอย่างรึ คนสมัยเรา คนที่เรียกว่าเจริญแล้ว คิดอย่างไรพูดออกมาอย่างนั้น แบบนี้มันแบบของคนสมัยหินนี่ขอรับ สมัยนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้จริง ๆ ท่าเข้าโลกก็เห็นว่าเราเป็นคนป่าเถื่อนไม่รู้ขัดเกลากิริยาวาจาของตัว” หันไปทางเพื่อนชาย “จริงไหม เจริญ? แม้แต่คนอย่างแกที่ใคร ๆ ก็ยกย่องว่าเป็นคนตรงหนักหนา แกกล้าพูดความจริงกับคุณจิตราเสมอไหม ?”

​“แต่ฉันเชื่อแน่ว่าเจริญไม่เคยขี้ปดฉันเลย” จิตราค้านเสียงแหลม แล้วหันไปถามสามีด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการที่สุด “จริงไหมเธอ ? อย่างน้อยที่สุดถ้าเธอพูดตามตรงไม่ได้ เธอก็ไม่พูดเสียเลย จริงไหม ?”

เจริญไม่ทันจะได้ตอบ บันลือพูดขึ้นก่อนว่า “พูดอย่างนี้หมิ่นประมาทผมนะ คุณจิตรา”

“จะว่าหมิ่นประมาทก็ยอมละ เพราะฉันจะเอาความจริงให้ได้ ฉันรู้นี่นาคุณไม่ได้อยากให้ฉันมาเลย คุณต้องการจะได้เพื่อนของคุณมากินเหล้ากัน คุยกัน ด่าผู้หญิงกันให้สบาย”

“ไปใหญ่แล้ว คุณจิตรา” บันลือขัดพร้อมกับหัวเราะ

“ไม่ใหญ่หรอก” เจ้าหล่อนยืนยัน เรื่องนี้น่ะเธอ ๒ คนพอดีกันทั้งคู่ ผู้หญิงละเป็นขี้ปากของเธอทีเดียว –แล้วยังไง — จะพูดว่ากระไรลืมเสียแล้ว — อ้อ คุณไม่ได้อยากให้ฉันมา ฉันรู้ แต่ก็มาทั้งรู้ ๆ คุณควรจะไต่ถามให้มันเป็นเรื่องเป็นราวว่า ไหนว่าเจ็บไข้มาไม่ไหว ทำไมถึงมาได้ล่ะ มันจะได้ใกล้ความจริงเข้าหน่อย นี่กลับมาทำแป้นเป็นทีว่าปิติยินดีเสียเหลือเกิน”

“โธ่” บันลืออุทานเสียงอ่อนโยน “นั่นก็เป็นเพราะผมเต็มใจสละความอยากหรือความตั้งใจของผมไม่ว่ากี่อย่างกี่ชนิด สำหรับแลกกับความพอใจของคุณจิตราแต่อย่างเดียว”

​หล่อนทำท่ากลืนสิ่งใดลงในคอ แล้วยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบ พลางมองดูเขาอย่างเพ่งเล็ง และเมื่อสายตาของหล่อนจับอยู่ที่หน้าอันคมสัน ประกอบด้วยลักษณะยิ้มอย่างคมคาย ไมตรีจิตแต่หนหลังก็เข้าครองใจหล่อนโดยเต็มเปี่ยม แต่ทั้งนี้มิได้ทำให้ความรู้สึกอยากเอาชนะระคนกับความรู้สึกหมั่นไส้สิ้นไปเสียทีเดียว วางถ้วยเหล้าลงดังกึก จิตราลงเสียงพูดว่า

“เดี๋ยวจะว่าให้แสบหรอก ถ้าคุณบันลือเป็นคนทำจริงเหมือนกับที่ปากพูดละก็ ป่านนี้ก็ไม่ต้องเป็นพ่อหม้ายไร้เมีย เอาลูกเที่ยวฝากเขาเลี้ยงเหมือนเดี๋ยวนี้หรอก”

บันลือเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กัดริมฝีปากและยิ้มด้วย แล้วตอบช้า ๆ ว่า

“นั่นมันแล้วมาแล้ว นานแล้วขอรับ ผมพูดถึงเวลาปัจจุบันนี้”

เจริญเอ่ยขึ้นว่า “แล้วฉันล่ะเธอ ถ้าบันลือเป็นเหมือนอย่างเขาว่าฉันจะเป็นอย่างไร”

“เป็นอย่างไร ?” จิตราย้อนถาม “ไม่เกี่ยวกันนี่—”

“ก็ถ้าบันลือเขาทำตามความประสงค์ของเธอ แทนที่เขาจะทำตามความอยากของเขา ใครจะเป็นเมียที่อยู่กับเขาเดี๋ยวนี้”

​เมื่อพูดจบ เขาถูกค้อนวงใหญ่ด้วยดวงตาแห่งภรรยาของเขา พร้อมกันนั้นจิตราพูดว่า

“เอาอีกแล้ว เอาความเข้าใจเขว ๆ มาพูดอีกแล้ว—”

และบันลือก็เสริมว่า

“สามีคุณติดใจจะให้เกียรติยศผมเกินกว่าที่เคยได้รับจริงเสมอ — แก่โง่มากเหลือเกินเจริญ ที่ยังคิดอยู่ร่ำไปว่า จะมีผู้ชายคนไหนเฉยเมยต่อเกียรติเช่นนั้น ถ้าหากว่าคุณจิตราเป็นคนหยิบยื่นให้”

คราวนี้จิตราครางเสียงฮือ และบ่นว่า “แหม ฉันเวียนหัวผู้ชาย ๒ คนนี่เหลือเกิน พูดอะไรไม่เห็นเข้าหู — ใครจะเป็นเมียที่อยู่กับคุณเวลานี้ก็ตาม คุณบันลือ ใครคนนั้นต้องไม่ใช่ฉันเป็นแน่”

บันลือหันมาทางเจริญ แบมือและทำหน้าเศร้าแล้วหันกลับไปทางจิตราพูดว่า “ทำไปทำมาเคราะห์ร้ายมาตกอยู่ที่ผม เจริญเป็นคนพูดเหลวไหล แต่คุณจิตรากลับมาย้ำให้ผมช้ำใจ ไม่ไหว อย่างนี้ต้องเลิกพูด ไปกินกันดีกว่า”

แล้วบันลือกดกริ่งเรียกผู้รับใช้มาถามว่า อาหารพร้อมแล้วหรือยัง ได้รับคำตอบว่าพร้อมแล้ว เขาก็ชวนแขกของเขาให้ลุกขึ้นจากที่

​ระหว่างที่เดินจากห้องโถงไปยังห้องรับประทานอาหาร จิตราปรารภขึ้นว่า “ขอบใจคุณบันลือ ที่เตือนให้ไปกินเสียที ถ้าขืนนั่งต่อไปอีกฉันเล่นเจ้าค็อกเทลถ้วยที่ ๒ เข้าไปหมดถ้วยเห็นจะเดินไม่ไหว ต้องลากกันไปขึ้นรถแน่ ๆ ไอ้เหล้านี่แปลก ไม่ได้กินนาน ๆ พอแตะ ๆ เข้าไปหน่อยชักจะเมา”

บันลือตอบคำของหล่อนโดยเร็ว “แหม เสียดายไม่รู้เสียก่อน ! ไอ้แขนสองข้างของผมไม่เคยทำอะไรให้ผมชื่นใจเลย ถ้านั่งต่อไปอีกสักครึ่งชั่วโมง มันก็จะได้มีโอกาสอุ้มคุณไปใส่รถ ผมไม่ควรจะด่วนนึกถึงเรื่องกิน”

จิตราร้อง จุย๎ ! แล้วก็หัวเราะเพราะอดขันมิได้ แล้วจึงว่า “ร้ายกาจ บันลือนี่ร้ายมากพูดคำเกี้ยวคำไม่มีตกฟากเลย หายเข้าป่าเข้าดงไปเป็นปีสองปี นึกว่าจะกลับตัวได้ที่แท้ก็ยังอยู่อย่างนั้นเอง”

“ก็คนป่าน่ะมันต้องอดเล่นลิ้นนี่เธอ” เจริญว่า “ขืนไปใช้ภาษาอย่างนี้ พวกนั้นจะได้หาว่าบ้า พูดภาษาอะไรกันมนุษย์ฟังไม่เข้าใจ เพราะยังงั้นพอเข้ากรุงทีหนึ่ง ก็ต้องปล่อยเสียให้สะอยาก”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่กับผู้หญิงอย่างคุณจิตรา” บันลือกล่าวพร้อมกับยิ้มในหน้า “ทำให้เกิดอารมณ์ประณีตต่าง ๆ ภาษาที่พูดก็เลยประณีตไปด้วย”

​เขาทั้งสามเดินมาถึงโต๊ะที่รับประทาน บันลือช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้จิตรา เจริญเลือกที่นั่งตรงหน้าภรรยาของเขา บันลือจึงนั่งลงเบื้องซ้ายของหล่อน แล้วเขาส่งรายชื่ออาหารให้หล่อนดู พร้อมกับบอกชื่ออาหารที่เขาสั่งไว้เป็นพิเศษ และถามหล่อนต่อไปว่าจะต้องการอาหารนอกไปจากนั้นหรือไม่

หล่อนกล่าวปฏิเสธและกล่าวขอบใจเขา พร้อมกับหัวเราะอย่างชื่นบาน มีสตรีน้อยคนที่จะทำใจเฉยต่อท่วงทีวาจาของบันลืออยู่ได้นาน ข้อนี้จิตราย่อมรู้ดี แต่ทั้งที่รู้และตั้งใจจะทำตัวให้ผิดจากสตรีอื่น หล่อนก็หาทำให้สำเร็จตามความปรารถนาได้ไม่

เมื่อรับประทานซุปได้ ๒ ช้อน หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาเขาและบอกว่า “ซุปนี่ดี บันลือ”

เขายิ้มแทนคำตอบ แล้วหยิบช้อนของเขาขึ้นตักซุปรับประทานบ้าง แต่ไม่มีความรู้สึกสำหรับรสอาหารที่สัมผัสกับลิ้น บันลือกำลังเริ่มจะตกอยู่ในอาการคนใจลอย เพราะอารมณ์ชนิดหนึ่งแล่นมากระทบดวงจิต เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่แวดล้อมตัวเขาอยู่ในเวลาปัจจุบัน ชวนให้เขานึกถึงวัน ๆ หนึ่งในเวลาอดีต ภาพโต๊ะอาหารประจำภัตตาคาร จัดไว้เป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน แต่ไม่งดงาม ประกอบด้วย ผ้าปูสีขาว ภาชนะ​ขาว ขวดปักดอกไม้ที่จัดไว้โดยฝีมือของผู้ชำนาญงาน แต่ขาดความประณีตบรรจง เหล่านี้รวมกับภาพของจิตรานั่งอยู่เบื้องขวาแห่งตัวเขา ช่างคล้ายคลึงยิ่งนัก กับวันที่เขาและจิตรารับประทานอาหารร่วมกัน พลางโต้เถียงด้วยเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เมื่อเขาทั้งสองกำลังอยู่ในเรือเดินสมุทร กำลังเดินทางจากประเทศญี่ปุ่น กลับเข้าสู่ประเทศไทย

ระยะนั้นเป็นระยะที่จิตรากับบันลือได้รู้จักกันแล้วราว ๆ ๖ สัปดาห์ แต่ความงอกงามแห่งมิตรภาพได้ทำให้เขามีความรู้สึกต่อกันประดุจเขารู้จักกันมาแล้ว เป็นเวลานับปี และถ้าหากว่าจิตรามิใช่เป็นฝ่ายสูงอายุกว่าบันลือ ๓ ปี หรือถ้าหากว่าหล่อนเป็นหญิงที่คิดถึงชีวิตสมรสโดยถี่ถ้วน รอบคอบ และสุขุมน้อยกว่าที่จำเป็นสักหน่อย หล่อนกับบันลือคงจะได้เป็นคู่ร่วมชีวิตซึ่งกันและกัน แทนที่จะเป็นสหายที่รักต่อกันอย่างธรรมดา และในจิตใจของบันลือก็คงจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่สำหรับให้เสน่ห์รูปและเสน่ห์จริตของหญิงอีกคนหนึ่งเข้าครอบงำ จนถึงกับทำให้เขาตกเป็นทาสรักแก่หล่อนหลังจากที่ได้รู้จักกันเพียง ๒–๓ วัน

ค่ำวันนั้นในเรือเดินสมุทร จิตรากับบันลือได้โต้เถียงกันด้วยเรื่องหญิงผู้นี้ ด้วยความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ จิตราได้ท้วงบันลือถึงความสนิทสนมระหว่างบันลือกับเจ้าหล่อนผู้นั้น ซึ่งมี​ท่าทีเหมือนจะแปรรูปเป็นความสนิทสนมระหว่างหนุ่มกับสาวที่จะเข้าพิธีวิวาห์ด้วยกัน “ฉันรู้จักเขามาก่อนเธอ บันลือ เคยพบกันบ่อย ๆ เป็นเวลาถึง ๓ ปี เมื่อเขาอยู่ในฝรั่งเศส เขาเป็นคนที่จะรักใครเมื่อไหร่ก็รักได้ เพราะฉะนั้น เขาจะเลิกรักใครเสียเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน” แต่บันลือมองไม่เห็นว่าหญิงที่รักตัวเขาแล้วจะคลายรักจากเขาได้ด้วยอย่างไร เขาถือตัวว่าเขาเป็นบุคคลที่มีค่าสูงคนหนึ่ง เขาภูมิใจในวิชาของเขา กำเนิดของเขา ฐานะของเขา และภูมิใจในคุณลักษณะแห่งกายและใจของเขาด้วย ถ้า ‘เจ้าหล่อน’ ของเขาได้ผละรักจากชายหนุ่มมาแล้ว จะเป็นจำนวนกี่คนก็ตาม ก็ควรจะเป็นที่เข้าใจว่าชายหนุ่มเหล่านั้นมีความบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเหตุให้ ‘เจ้าหล่อน’ เบื่อหน่าย ดังนี้ก็จัดว่าเป็นความผิดของฝ่ายชาย เหตุไฉนจะมาปรับเอาเป็นผิดแก่ฝ่ายหญิง ?

จิตราแย้ง บันลือก็แย้งตอบ ในท้ายที่สุดเขาชนะหล่อนด้วยโวหาร แต่หาได้ทำให้ความคิดเห็นของหล่อนเปลี่ยนไปจากเดิมไม่ และด้วยเหตุที่ความรักของผู้มีใจสูงนั้นแม้จะเป็นความรักชนิดที่เพื่อนรักเพื่อน ความรักชนิดที่ภรรยารักสามีหรือสามีรักภรรยา ชนิดที่บิดามารดารักบุตร หรือบุตรรักบิดามารดา ชนิดที่เจ้ารักข้า หรือข้ารักเจ้าก็ตาม ย่อมจะเป็นความรักที่มี​ความปรารถนาต่อความสุขของผู้ที่ตนรัก เป็นรากฐานลึกซึ้งยิ่งกว่าความปรารถนาอื่นใดทั้งสิ้น จิตราจึงได้ขอให้บันลือสัญญาแก่หล่อนว่า เขาจะไม่แต่งงานกับหญิงที่เขากำลังเริ่มรักก่อนที่เวลา ๖ เดือนหลังจากวันที่เขากลับถึงพระนครจะได้ล่วงไป บันลือไม่อาจที่จะปฏิเสธคำขอร้องนี้ แต่เขาก็มิได้ลั่นปากให้สัญญาแก่หล่อน อย่างไรก็ตามเขาได้แต่งงานในระยะ ๔ เดือนแรกที่เขากลับถึงบ้านเกิด

บันลือได้รับบทเรียนสนองความทะนงตนอย่างเจ็บแสบ และก็เป็นธรรมดา ความทะนงตนของเขามีขีดสูงเพียงไร บทเรียนที่เขาได้รับก็มีน้ำหนักรุนแรงอยู่ในความรู้สึกของเขาเพียงนั้น แล้วความรู้สึกนี้ซึ่งมีความเจ็บอาย ความอาฆาตเป็นเจ้าครองอยู่ ก็ทำให้ความคิดแปลก ๆ ต่าง ๆ เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ซึ่งเป็นตำหนิติดตัวเขาอยู่จนทุกวันนี้

หลังจากที่ได้รับบทเรียนดังกล่าวแล้ว บันลือพยายามตัดการพบปะกับจิตรา จนดูราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับหล่อนมาแต่ก่อนเลย ตลอดจนกระทั่งในเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับหล่อนโดยบังเอิญ เช่น เวลาที่เขาพบกับหล่อนตามสมาคมต่าง ๆ เขาทักทายหล่อนด้วยกิริยาอันดี แต่เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงการต่อปากคำกับหล่อนโดยตรง ตลอดเวลา ๓–๔ ปี ​เขาบำเพ็ญตัวเช่นนี้ต่อหล่อน ไม่เพียงแต่บำเพ็ญตัว เขาบำเพ็ญใจจะลืมหล่อนเสียทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เขาระลึกถึงความน่ารักของหล่อนอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งถึงวันที่เขาหลุดปากกล่าวนามหล่อนออกไปกับเจริญ ซึ่งเป็นเหตุให้สามีภรรยาคู่นี้เชิญเขารับประทานอาหาร การติดต่อระหว่างจิตรากับเขาจึงเริ่มต้นขึ้นอีก

เจริญได้ตัดกระแสความคิดของบันลือที่ล่องลอยอยู่ในกาลอดีตโดยพูดขึ้นว่า

“นี่แกจะอยู่ในเมืองไปอีกนานสักกี่วัน จึงจะกลับเข้าป่า ?”

“กันจะกลับราว ๆ ต้นเดือนหน้า”

“ต้นสักแค่ไหน ?”

“ก่อนวันที่ ๑๐”

“กลับ!” จิตราทวนคำ “พูดเหมือนกับป่าน่ะเป็นบ้าน ส่วนบ้านน่ะเป็นแต่เพียงที่ ๆ มาอาศัยพักชั่วคราว”

“ก็เกือบจะเป็นอย่างนั้น” บันลือตอบ

“เวลานี้ผมกำลังสร้างบ้านในป่า ตั้งใจจะให้เป็นที่อยู่ได้อย่างจริงจัง”

หล่อนเอียงคอมองดูเขาและว่า “และจะอยู่ได้หรืออย่างคุณน่ะ ?”

​“ทำไมจะไม่ได้” สามีของหล่อนกล่าว “อยู่พอเบื่อแล้วก็ทิ้ง แล้วก็ให้มันพังไปกับที่ แล้วก็ไปสร้างที่อื่นใหม่ เงินทองมีถมไป”

“แน่ละซี” บันลือตอบ “มีเงินไม่ใช่สำหรับหาความพอใจ จะมีไว้ทำไม”

“แต่เธอไม่ใช่มีแต่ตัวคนเดียว บันลือ พี่ล่ะ น้องล่ะ แล้วยังลูกอีก—”

“ส่วนพี่น้องก็พี่น้อง ส่วนผมก็ส่วนผม ลูก—ช่างหัวมันปะไร”

หล่อนเริ่มไหวทันว่า อารมณ์ชนิดใดเกิดขึ้นแก่เขา ก็หัวเราะและว่า “รั้นแล้ว นี่พูดด้วยรั้นแท้ๆ” ทำหน้าขรึม แต่ดูเป็นทีเล่นกลาย ๆ “คนนี้ลงจะทำอะไรแล้วไม่ชอบให้ใครห้าม ยิ่งห้ามยิ่งดัน”

บันลือได้สติ ด้วยความตั้งใจจะแก้ตัว เขายิ้มและพูดอย่างอ่อนโยน

“เพราะยังงั้น ผมถึงไม่กล้าเอาแผนการของผมไปปรึกษาคุณ กลัวคุณจะห้าม แล้วผมก็จะดื้อ แล้วก็จะต้องอายคุณเหมือนที่เคยอายมาแล้ว”

​จิตราขยับไหล่เล็กน้อย “ฉันไม่เคยนึกจะเอาความถูกของฉันไปข่มความผิดของเธอเลย” หล่อนว่า “แล้วยิ่งเรื่องการงานด้วยละก็ — ฉันไม่มีความรู้พอที่จะคัดค้าน หรือส่งเสริมแผนการของคุณเป็นอันขาด”

“แผนการน่ะดี” เจริญขัดขึ้น “พอได้ยินว่าจะไปหักร้างถางพง ทำป่าให้กลายเป็นไร่เป็นนาใคร ๆ ก็ต้องยกนิ้วว่า ฮ้อ แต่คนอย่างเขานี่น่ะทำไม่ได้”

บันลือทิ้งมีดกับซ่อมลงในจานดังกึก วางมือทั้งสองบนโต๊ะ แล้วถามว่า

“ไหนลองบอกมาทีเถอะ คนอย่างนี้น่ะ เป็นยังไง ? แล้วคนที่จะทำได้น่ะ จะต้องเป็นคนอย่างไหน ?”

“คนที่จะทำได้ต้องเป็นคนที่เกิดมาไม่เคยมีอะไรเลยนอกจากแขนสองข้าง กินข้าวกับเกลือกับพริก หรือไม่งั้นก็เจ้าเสื่อผืนหมอนใบ มาเรือตะเภา”

“ชะ ๆ — เอ้า อย่างเจ้าพวกหลังนี่ กันยอมให้ล่ะ เสื่อผืนหมอนใบมาเรือตะเภา กลายเป็นเจ้าสัวใหญ่เสียหลายพันคน แบบบรรพบุรุษทางย่าของมันตั้งแต่เริ่มสร้างรัตนโกสินทร์ แต่พวกเราน่ะ ใครคนไหนตระกูลไหน ที่ร่ำรวยขึ้นได้ด้วย​แขนสองข้างแท้ ๆ โดยไม่มีพ่อหรือปู่หรือยายหรือเจ้าขุนมูลนายอุ้มชู ลองชี้ตัวมาให้ดูสักคน”

“ไอ้ที่รวยขนาดเจ้าสัวน่ะอาจจะไม่มีจริง แต่พวกที่หาได้ปีละ ๕ ชั่ง ๑๐ ชั่ง เลี้ยงประเทศทั่วประเทศอยู่ทุกวันนี้ คือพวกที่มีแต่แขนสองข้าง”

“แล้วคนอย่างกันนี่น่ะ มีทั้งทุน ทั้งปัญญา ทั้งกำลังกาย จะไปทำไร่ทำนาหาเงินปีละ ๕ ชั่ง ๑๐ ชั่ง ไม่ได้ยังงั้นรึ?”

“ไม่ได้”

“เพราะอะไร ?”

“เพราะปีหนึ่ง ๆ แกใช้เงินเกิน ๑๐ ชั่งหลายเท่า –”

“แล้วยังไง ?”

“ถ้าแกจะหาเงินให้ได้เท่านั้น แกจะใช้เงินมากกว่าที่ใช้ทุกวันนี้หลายเท่าตัว”

“แกหมายถึงว่ากันจะต้องเอาเงินไปลงทุนยังงั้นรึ ก็แน่ละ แต่—”

“หมายถึงเงินที่จะต้องเอาไปลงทุนด้วย แล้วก็หมายถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแกด้วย ไอ้ทุนน่ะมันไม่เท่าไหร่ แต่ว่าแกลองมองดูไอ้การอยู่การกินของแกทุกวันนี้ดูสักหน่อยเถอะ บ้านที่แกอยู่เป็นอย่างไร แกหาความสะดวกสบายไว้ให้ตัวทุกอย่าง​ใช่ไหม ? จะเอาอะไรสักนิดก็มีขี้ข้าคอยวิ่งรับใช้หัวสลอน จะกินอะไรก็ต้องกินให้อร่อยให้ถูกปาก แล้วแกยังต้องมีเครื่องหย่อนใจ ดูหนัง ดูละคร พบเพื่อน เล่นกีฬา กินเหล้า ไอ้พวกเหล่านี้น่ะแกซื้อหาเอาในกรุงเทพฯ ราคาเท่าไร ถ้าแกไปหาในป่า หรือหาไปจากที่นี่เอาไปใช้ในบ้านป่าของแก มันจะแพงขึ้นอีก ๓–๔ เท่า ทีนี้ลองรวมทุนที่แกลงไปในดินของแกเข้ากับรายจ่ายที่ว่านี่มันจะเป็นเงินเท่าไร แล้วแกจะทำไร่ทำนาชนิดไหนกันที่มันจะให้เงินแกคุ้มค่าใช้จ่ายทั้งหมด”

“ความเห็นของแกมันออกจะแปลก เจริญ มีอย่างที่ไหน อยู่หัวเมือง อยู่ป่า ใช้เงินเปลืองกว่าอยู่ในกรุงเทพฯ —”

“มันสองอย่าง เพื่อนเอ่ย พวกที่เขาเคยอยู่หัวเมืองเสมอ เช่นข้าราชการส่วนภูมิภาค เขาเคยกับการอยู่อย่างพออยู่ได้จนชินแล้ว พวกนี้ถ้าเทียบกับชาวกรุงเทพฯ ที่อยู่อย่างพออยู่ได้เหมือนเขา ก็แน่ละ พวกหัวเมืองใช้เงินน้อยกว่า แต่คนอย่างแกน่ะ จะอยู่อย่างพออยู่ได้ ได้ไหม ? กันว่าไม่ได้แฮะ อย่างหนึ่งละนะ อย่างที่สองคนที่ใช้เงินน้อยเวลาที่อยู่หัวเมืองน่ะ พอเข้ากรุงทีหนึ่งเขาก็ซื้อจ่ายกันอย่างขนานใหญ่ แล้วเขาก็หาว่าอยู่กรุงเทพฯ เปลืองเงิน ซึ่งแท้จริงน่ะ เวลาที่เขามากรุงเทพฯ เขาจ่ายเงินไปในทางที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น ถ้าเขาจะไม่ซื้อไม่จ่าย​เขาก็ไม่ต้องใช้เงิน แต่ทำไมเขาถึงอดซื้ออดจ่ายไม่ได้ ก็เพราะเขาอั้นใจทนอยู่ทนกินอย่างคับแค้นมามาก พอเห็นทางที่จะฟุ่มเฟือยได้ก็โดดเข้าใส่ ทีนี้ว่าถึงคนอย่างแก ถ้าไปได้รับความลำบากอย่างเดียวกับเขา แกจะอึดอัดกว่าเขาหลายสิบเท่านัก พอถึงเวลาที่แกจะปล่อยตัวได้ แกก็จะปล่อยจัดยิ่งกว่าหลายสิบเท่าเหมือนกัน”

เมื่อเจริญหยุดพูดแล้ว บันลือนิ่งอยู่ขณะหนึ่ง ภายหลังจึงว่า

“สรุปแล้วก็คือ แกแน่ใจเหลือเกินว่ากันไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขข้อเสียต่าง ๆ ที่แกอธิบายมาทั้งหมดนี้เป็นอันขาด ?”

“ไม่ใช่” สหายของเขาตอบ “ปัญญาน่ะมี แต่ความอดทนนั่นแหละ มันจะไม่พอกับปัญญา คนที่เคยสบายเสียแล้ว แล้วก็ยังมีหนทางที่จะหาความสบายได้ ไม่มีหรอกที่จะบังคับตัวให้ทนลำบากได้นาน แล้วคนที่มีนิสัยดันทุรังอย่างแกทำอะไรต้องทำให้ได้ด้วยละก็ พอพบอุปสรรคเข้าหน่อยแกก็จะหน้ามืดฮึดเข้าใส่ มีเงินเท่าไหร่แกจะทุ่มเทลงไปแก้อุปสรรคให้หมด ในที่สุดก็จะถลำลึกจนถอนไม่ไหว คนธรรมดาที่แส่ไปทำการค้าขายยังมีข้อเสียอีกอย่างหนึ่ง กันจะบอกให้ คือมักจะเอาเงินที่​ตัวขายของมาได้นั่นแหละ ไปใช้ในเรื่องการกินการอยู่เสียหมด ลืมคิดว่าไอ้นั่นเป็นเงินทุนที่ตัวเอาของไปแลกมา ถ้าตัวต้องการจะได้ของมาขายอีก ก็จะต้องเอาเงินทุนอันนั้นกลับไปแลกของ พูดสั้น ๆ ก็คือ นักการค้าโง่ ๆ พวกนี้มันจะเผลอกินทุนของตัวเองเสมอ ลงท้ายทุนหมด ไอ้งานก็ล้ม อย่างแกอาจจะฉลาดกว่านั้นนิดหน่อย เพราะแกก็เรียนเศรษฐศาสตร์มาออกหรูหรา แต่ไอ้โรคมุกับไอ้โรคสำรวยของแก มันก็เป็นโรคที่ร้ายไม่น้อยไปกว่าโรคโง่ของคนอื่น”

เจริญหยุดพูดแล้ว ก็ตั้งหน้าจิ้มปลาใส่ปากซ้อน ๆ กัน ๓–๔ คำอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าเขาไม่แยแสเลยว่าจะมีผู้ใดเอาใจใส่ฟังคำพูดของเขาหรือไม่ บันลือถอนสายตาจากหน้าเขามามองดูจิตรา ก็เห็นเจ้าหล่อนกำลังถอนสายตาจากหน้าสามีมองมาทางบันลือเหมือนกัน ทั้งสองหัวเราะแล้วขยับปากจะพูด แต่แล้วก็ชะงักไปด้วยกัน และต่างฝ่ายต่างรับประทานอาหารต่อไปพร้อมกับที่อมยิ้มอยู่ในหน้า

การที่เขาทั้งสองทำอาการคล้ายคลึงกันเช่นนี้ก็เพราะเขามีความรู้สึกตรงกันอย่างอย่างไม่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ เขามีความเห็นว่าคำพูดของเจริญเต็มไปด้วยเหตุผลอันควรแก่การ​พิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน แต่วิธีที่เจริญกล่าวเหตุผลเหล่านั้นแสดงความเชื่อมั่นเอาอย่างจริงจังว่า บันลือจะหลีกเลี่ยงจากทางเสียไปไม่พ้น ทำให้เป็นข้อที่น่าขันอยู่ไม่น้อย จิตราขัน เพราะว่าบุคคลที่มีนิสัยทิฐิดื้อดึงและถือดีเช่นบันลือ มานั่งฟังคำประมาทเช่นนี้อยู่ได้ ส่วนบันลือขันเพราะนึกถึงว่าจะหามนุษย์ที่เกรงใจมนุษย์ด้วยกันน้อยเหลือเกิน เช่นเจริญนี้ จะหาอีกไม่ได้เป็นแน่แท้

เมื่ออาหารที่ประกอบขึ้นด้วยปลาหมดไปแล้ว จิตราวางซ่อม จิบเหล้าองุ่น แล้วเช็ดปากพลางพิจารณาดูสามี เขาเป็นผู้ที่ทำให้หล่อนต้อง ‘ใจหายใจคว่ำ’ บ่อยอยู่สักหน่อย เพราะเหตุที่เขากล้าแสดงความเห็นของเขาในทางร้ายเกี่ยวแก่บุคคลทุกคนต่อหน้าต่อตาบุคคลผู้นั้น แต่เขาเป็นผู้ที่ไม่เป็นภัยแก่ผู้ใดเลย เขาเป็นชายที่ไม่มีรูปโฉมเป็นเสน่ห์แก่ตา หน้ากร้าน ผิวดำ—ถ้าจะเปรียบกับชายที่นั่งอยู่ข้างเขาแล้ว ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่เขาเป็นชายที่ซื่อและตรง และเปิดเผย ดูง่าย โดยนัยนี้เขาเป็นผู้ที่เอาใจง่ายอย่างที่สุด นิสัยเหล่านี้เป็นที่ต้องใจจิตรา หล่อนรักเขาก็เพราะเขามีนิสัยดังกล่าวนี้ และยิ่งรักมากถนอมน้ำใจมาก ห่วงใยเขามากยิ่งขึ้นทุก ๆ วันที่อยู่ร่วมกับเขา เพราะ​ว่าเขารักหล่อน ถนอมน้ำใจหล่อน ห่วงใยในหล่อนโดยไม่จืดจาง

“ดำแต่นอกในแผ้วผ่องเนื้อนพคุณ ?” กล่าวแล้วบันลือก็หัวเราะคัก ๆ อยู่ในคอ

จิตราหันมามองดูเขา หล่อนหัวเราะ และขมวดคิ้วและค้อนอยู่ในที “ว่าใคร ?” หล่อนถาม

“อะไรว่า ! สรรเสริญนะขอรับ”

“นั่นแหละ สรรเสริญใคร ?”

เขาหัวเราะหนักขึ้น ก่อนที่จะตอบว่า “มีอย่างรึนั่งจ้องอยู่ได้ ไม่นึกมั่งว่าคนอื่นเขาจะอิจฉา”

เจริญเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร และถามขึ้นอย่างไม่เอาใจใส่ต่อเรื่องที่สหายและภรรยาของตนพูดกันอยู่เลย แสดงให้เขาทั้งสองนี้รู้ว่า เจริญยังผูกใจในเรื่องที่เขาพูดจบไปเมื่อครู่ก่อน

“เวลาแกอยู่หัวเมืองแกเข้าป่าล่าสัตว์เดือนละกี่หน”

“ไม่แน่” บันลือตอบ “แต่บอกได้ว่าบ่อย”

“นั่นแหละ คือเหตุส่วนย่อยของความฉิบหาย –”

บันลือหัวเราะและขยับจะตอบ แต่จิตราชิงพูดขึ้นเสียก่อน หล่อนโบกมือไปมาและว่า

“เราฟังแต่เหตุของทางที่จะเสียมามากพอแล้ว เห็นจะต้องพูดถึงเหตุของทางจะได้บ้าง คุณบันลือเมื่อไหร่จะอธิบาย​โครงการของคุณให้เรารู้บ้าง ฉันเชื่อว่าเธอคงคิดเอาไว้ถี่ถ้วนหมดแล้ว”

“ในเรื่องของเขานี่น่ะ การคิดไม่สำคัญเท่าการทำ” เจริญกล่าว “แต่ไอ้ตรงจะทำนี่สิ –”

“ทำไม่ได้” บันลือต่อ แล้วหันไปทางจิตรา “ระวังนะ สักวันหนึ่งคุณจะกลายเป็นลูกสะใภ้ผม คุณภัสดาของคุณพนันกับผมไว้ว่า ถ้าใน ๓ ปีต่อไปจากนี้ การงานของผมใหญ่โตขึ้นเป็นผลดี เขาจะเรียกผมพ่อทุกคำ”

จิตราหัวเราะคิก แล้วว่า “โธ่ ! อะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ดีเหมือนกันแหละ ได้บันลือเป็นพ่อผัวฉันเชื่อว่าเธอต้องรักลูกสะใภ้อย่างฉัน”

“โอ แน่นอน” เขาตอบเร็ว “คงจะรักเสียจนกระทั่งเกลียดลูกชาย”

จิตราทำหน้าอย่างหนึ่งแทนอุทานว่า “เอาอีกละ!” แล้วพูดต่อ “ไอ้ขอให้พูดน่ะไม่พูด ไถลไปไหนก็ไม่รู้ ช่างหวงแหนเสียจริง ๆ เทียวรึ ไอ้โครงการของคุณน่ะ ?”

เขาหัวเราะ แล้วตอบว่า “ไม่ใช่หวงหรอก แต่ถ้าคุยมากนัก ทีหลังทำไม่ได้เหมือนคุย ก็ขายหน้า อีกอย่างหนึ่งภัสดา​ของคุณยืนยันเอาเป็นนักหนาว่า โครงการนั้นจะเหลวในตอนปลาย ยิ่งทำให้ผมท้อถอยจนไม่อยากพูดถึงเสียเลย”

หล่อนเลิกคิ้วอย่างสงสัย พร้อมหัวเราะ แล้วว่า

“ถ้าฉันเชื่อคุณ ฉันก็โง่เต็มที มีรึ ใครห้ามอะไรคุณบันลือ แล้วทำให้คุณบันลือท้อ นิสัยของคุณน่ะใครยิ่งห้ามคุณก็ยิ่งอยากทำต่างหาก ถ้าเผื่อคุณท้อจริงคุณก็หาบอกให้ใครรู้ไม่ เพราะถ้าบอกก็เท่ากับคุณสารภาพว่าความคิดของคุณแพ้ความคิดคนอื่นเขา”

“นี่คือคุณสมบัติอีกอันหนึ่งที่คุณยกให้ผม ใช่ไหม ? ดื้อแล้วยังแถมหยิ่ง—”

“เพราะหยิ่งจึงดื้อ” จิตราแก้ “แต่คุณต้องเข้าใจว่าฉันไม่ได้ประมาทคุณว่าคุณจะทำงานไม่สำเร็จ ตรงกันข้าม ฉันเชื่อเหลือเกินว่าถ้าคุณตั้งใจแน่วแน่ลงไปแล้ว คุณจะต้องทำจนสำเร็จและสำเร็จอย่างดี อย่างรุ่งเรืองด้วย ความหยิ่งมักจะเป็นโทษแก่เราในเมื่อเรายังหนุ่มหรือยังสาวเกินไป เพราะเวลานั้นเรายังมีความรอบคอบไม่พอ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้นแล้ว สายตาของเรายาวขึ้น ความรอบคอบของเราก็มากขึ้น ความหยิ่งของ​เราแปรรูปเป็นความรักหน้ารักถ้อยคำ แล้วก็ช่วยให้เรามั่นคงในความตั้งใจต่าง ๆ ของเรา”

เขายิ้มน้อย ๆ วางมือจากซ่อมและมีดพาดไว้กับขอบโต๊ะ แล้วถามหล่อนว่า

“คุณอายุเท่าไรแล้ว คุณจิตรา ?”

“นี่บันลือลืมอายุฉันหรือลืมอายุตัวเอง” หล่อนถาม

เขาตอบพร้อมกับหัวเราะ “คุณแก่กว่าผม ๓ ปี ถูกแล้ว ผมลืมอายุของผมเองจริงนะ นี่ผมอายุเท่าไรแน่ ?”

“คุณ ๓๑ เต็มเมื่อ ๑๑ กุมภาที่แล้วมา ฉันคิดถึงคุณตลอดวัน แต่ไม่รู้ว่าจะส่งความคิดถึงไปให้คุณได้ที่ไหน ถามถึงอายุของฉันทำไม ? จะชมว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้น หรือจะหาว่าฉันแก่เฒ่า”

“ถึงจะแก่ก็แก่ขึ้นขอรับ ไม่ใช่แก่ลง ผมเห็นว่าทุก ๆ สิ่งที่เป็นคุณ มีแต่จะขึ้นไม่มีวันลงเป็นอันขาด”

หล่อนหัวเราะแล้วนิ่วหน้า แล้วส่ายหน้าพลางว่า

“ทำไมถึงสามารถในทางหาเรื่องยอนักนะบันลือนี่ ฉันอยากรู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครเขาจ้างเธอไปเป็นทูต จะได้—”

“คำอื่น ๆ” บันลือขัดขึ้น “คุณจะหาว่ายอก็ตามใจเถอะ แต่คำหลังนี้ผมขอร้องให้เชื่อว่าเป็นคำชม ไม่ใช่ยอมิได้ เป็น​ความจริง ตั้งแต่ผมรู้จักคุณมาอะไร ๆ ในตัวคุณมีแต่เจริญขึ้น ไม่มีเสื่อมทรามลงเลย — จริงไหม เจริญแกเห็นด้วยไหม”

“เห็นด้วย เห็นด้วยมาก ๆ” เจริญตอบ “อ้วนก็อ้วนขึ้น ตะกละตะกละขึ้น”

ทั้งบันลือและจิตราต่างหัวเราะ เจ้าหล่อนพูดว่า “ดีจริง สามีฉัน ! สามารถเหมือนกัน สามารถในทางเอาความจริงออกมาตีแผ่ให้มันน่าเกลียดยิ่งกว่าที่มันน่าเกลียดอยู่แล้ว เธออย่าไปเชื่อเขานะ บันลือ ที่ว่าฉันตะกละขึ้นน่ะ ฉันเพิ่งตะกละเมื่อ–เมื่อ ๒ เดือนมานี่แหละ แปลกเหลือเกิน คราวก่อนก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้ แต่ไอ้เรื่องอ้วนนี่แหละช่วยไม่ได้ เจริญอยากเลี้ยงฉันดีเกินไปทำไมล่ะ ?”

“น่าชื่นใจแท้ ๆ” บันลือว่าพลางมองดูเจริญ “แต่ลูกคนใหม่นี่เห็นจะเป็นลูกพ่อมากกว่าลูกแม่”

“ทำไม ?” สามีภรรยาถามขึ้นพร้อมกัน

“เป็นนักกินน่ะซี”

“จริงด้วย” จิตรารับพลางหัวเราะ “มันช่างตะกละแท้ๆ อย่างวันนี้ฉันมีหน้าอุตส่าห์มากินเลี้ยงของคุณ ก็เพราะความที่อยากกินกับข้าวฝรั่งรสแปลก ๆ เสียเหลือเกิน แต่ให้ฉันถาม​หน่อยได้ไหม ถ้าฉันไม่มาขัดคอคุณเสีย คุณจะไปทำอะไรที่ไหนกัน ?”

“ไปไหน!” เจริญทวน “ก็คงนั่งแช่เหล้าอยู่จนกระทั่งบ๋อยมันมาไล่”

“แล้วจะพูดเรื่องอะไร ?” หล่อนซักอีก

“ใครจะไปรู้ไม่ได้คิดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้านี่”

“ถ้าโปรแกมมีอยู่แต่เพียงจะนั่งแช่เหล้าละก็ฉันเห็นจะไม่เป็นตัวนิวแซนที่ใหญ่นักหรอก จริงไหมบันลือ ?”

“สำหรับผมไม่มีปัญหา ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเพื่อคุณละก็ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่า แต่สำหรับเจริญผมไม่ทราบ”

สามีของจิตราหัวเราะหึ ๆ “ทั้งล่อทั้งชนเทียวนะ” เขาว่า “เอาดีใส่ตัวแล้วอย่าเอาชั่วใส่คนอื่นเขาสิ เรื่องยังไม่ถึงคอขาดบาดตายสักทีนี่นา”

“ยังงั้นรึ?” บันลือถาม “กันนึกว่ามันถึงแล้วในโลกนี้แกกลัวใครยิ่งไปกว่าคนที่แกรัก ?”

“แต่เจริญไม่กลัวฉันหรอกค่ะ” จิตราตอบ “เราต่างคนต่างไม่กลัวกัน”

​“เป็นบุคคลตัวอย่างด้วยกันทั้งคู่หรือขอรับ ? เห็นจะเป็นคู่ที่เทวดาอุ้มสม ตั้งแต่แกเกิดมาแกทำกุศลอะไรมั่งเจริญ แกถึงมาได้คุณจิตราเป็นภรรยา”

“เขาได้กันต่างหากล่ะ” เจริญตอบ “กันได้เขาเมื่อไหร่”

จิตราทำท่าฉงน “เอ๊ะ มันผิดกันยังไง ?” หล่อนถาม

“แปลว่าเขาเป็นม้าตัวทองของคุณน่ะสิ คือเขาเกิดมาคู่บารมีคุณ ไม่ใช่คุณเกิดมาคู่บารมีเขา”

“อุ๊ยตาย !” เจ้าหล่อนอุทานเสียงแหลม “สามีฉันมีเม็ดมีก้านขึ้นมาก จนภรรยาตามไม่ทัน เห็นจะเป็นที่ได้อาจารย์ดี”

“อย่างน้อยที่สุดคุณต้องรับว่าเขาเป็นศิษย์ที่หัวไวพอใช้”

“อ๋อ รับซี ไวมาก จนภรรยาตามไม่ทันยังไงล่ะ แต่ครูก็ต้องดีด้วยลูกศิษย์ถึงได้ไปเร็ว น่าจะหาอะไรบูชาครูสักอย่างหนึ่ง”

“โอ ไม่ต้อง เพียงแต่หัดให้ผมเป็นม้าตัวทองเหมือนเขาก็พอแล้ว”

“แกมีคนขี่แล้วรึ ?” เจริญถาม

“เฮ้ย เปล่ายังไม่มี หัดเตรียมไว้ก่อน หัดดีแล้วถึงค่อยหาคนขี่ ให้คุณจิตราหาให้”

​“โอ๊ย อย่าเลย ฉันไม่รับประทานหรอก ม้าบันลือนี่น่ะ ใครจะเป็นคนขี่อยู่ จ้างให้—”

“โธ่” อีกฝ่ายหนึ่งทำเสียงออด “คุณช่างไม่เชื่อความสามารถของภัสดาคุณเสียเลยเทียวรึ”

“ไม่เชื่อ—” จิตราตอบ

เจริญพูดสวนขึ้นว่า

“กันจะหาคนขี่ให้เอง เอาไหม ? กันมองเห็นอยู่แล้ว”

บันลือทำท่าอึ้ง “เหมือนคุณจิตราไหม บอกมาก่อน –?” เขาถาม

“อุ๊ย !” จิตราอุทาน “ก็คุณน่ะเหมือนเจริญไหมล่ะ ?”

“ก็ผมจะตั้งใจหัดให้เหมือนเขายังไงล่ะ”

“จ้างก็เหมือนไม่ได้—ใครคะเจริญ ที่เธอมองเห็นอยู่แล้ว ?”

“เด็กของเธอยังไงล่ะ”

“เด็กคนไหน เด็กที่ไหน ?”

“ยายภรน่ะ”

“อ๋อ ! อุ้ยตาย ไม่ไหว ! แกเด็ก—แต่สวยนะ บันลือ เด็กคนนั้นสวยมากทีเดียว”

“อายุเท่าไหร่ ?” บันลือถาม

​สามีภรรยามองดูตากัน แล้วต่างฝ่ายต่างแสดงว่าจนต่อปัญหานี้ จิตราพูดว่า

“จำไม่ได้ แกเคยบอกนะ แกเกิดปีอะไร เดือนอะไร แต่ไอ้หัวของฉันน่ะมันมีแต่ขี้เลื่อย ท่าจะสัก ๑๘ กำลังสวยพริ้ง แต่กลัวจะขี่ม้าบันลือไม่ไหวเท่านั้น—ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวแน่ ๆ—แหม ที่จริงเจริญคิดดีนะ ฉันรักของฉันเหลือเกินเด็กคนนี้”

“ฟังคุณจิตราพูดแล้วผมอยากรักด้วยจริง” บันลือกล่าว “คุณรับแกเป็นศิษย์เสียด้วยสิขอรับ ส่วนผมก็เป็นศิษย์เจริญ แล้วจะได้ไปกันได้ดี” แล้วเขาก็หัวเราะ

จิตราค้อนให้แล้วว่า “น้ำเสียงของคุณน่ะมันไม่ใช่เสียงของคนที่จะยอมเป็นศิษย์ มันบอกอาการท้าทายว่าลองมาหัดให้ได้หน่อยเถอะ ของฉัน ๆ ว่าฉันหัดได้จริง ๆ ด้วย แต่เธอน่ะ อย่าว่าแต่จะยอมให้ใครขี่ พอได้กลิ่นเธอก็เตะหน้าเตะหลังเสียก่อนแล้ว”

บันลือทำหน้าวิตก “ทำไมนะคุณถึงได้เห็นผมเป็นคนร้ายกาจเสียจริง ๆ” เขาพูดเสียงอ่อน “จนผมยอมเป็นศิษย์ภัสดาคุณแล้วนี่นา !—ถ้าคุณไม่เชื่อความสามารถของเจริญ กลับกันเสียเป็นยังไง แทนที่ผมจะเป็นม้า—”

​“ให้ผู้หญิงเป็น ?” จิตราต่อ “นี่ยังไง ! ใจจริงออกมาแล้วยังไง คนอย่างคุณบันลือน่ะรึ จะยอมเป็นม้าให้ใคร เรื่องของคุณบันลือ ก็ต้องขี่คนอื่นน่ะซีถึงจะถูก”

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง “คุณทำผมเหงื่อแตกเสียแล้ว คุณจิตรา” เขากล่าว “เราย้ายที่ออกไปกินกาแฟกันข้างนอกเถอะ ในนี้มันร้อน จะทำให้ผมเป็นลมเร็วเข้า”

หล่อนหัวเราะคิก ๆ หยิบผ้าเช็ดมือจากตักวางบนโต๊ะ บันลือก็รีบลุกจากที่เพื่อจะช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้หล่อน

 
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #5 on: 28 October 2025, 20:39:07 »





​ดูกรมหาราช...ธรรมดาเงาของญาติทั้งหลาย ย่อมมีความเย็นเป็นปกติ

 

เสียงน้ำที่ไหลจากก๊อกลงในโอ่งปากกว้างดังซู่ ๆ เป็นระยะสม่ำเสมอเปลี่ยนเป็นเสียง แฉ่ ! ซ่า! แฉ่ ! ซ่า! น้ำแตกกระจายมาโดนนางพวงอย่างเต็มหน้า และกระเด็นถูกศีรษะเด็กหญิงป่องซึ่งกำลังยืนให้นางพวงถูสบู่ตัวอยู่ นางพวงสะดุ้งและร้องด้วยความตกใจ เด็กหญิงหันขวับไปทางที่มาของน้ำ และร้องว่า “แหม ตาก้องนี่แหละ!” แต่ครั้นน้ำกระเซ็นมาอีก และนางพวงวางมือจากขาเด็กหญิง หลบสายน้ำและยกมือลูบหน้า เด็กหญิงเกิดนึกสนุกในการกระทำของพี่ชาย ก็ผละจากนางพวงวิ่งไปที่ก๊อก ใช้มือทั้งสองซ้อนเหนือมือพี่ปิดปากก๊อกไว้แล้วเปิดแล้วปิด แล้วเปิดอีก ทำให้สายน้ำแตกกระจายไปทุกทิศโดยแรง

​นางพวงเอ็ดด้วยเสียงอันดัง “ดูซี คุณก้อง ซนอะไรยังงั้น” และเอ็ดต่อไปอีกหลายคำ แต่เสียงของนางถูกกลบเสียด้วยเสียงน้ำและเสียงหัวเราะกิ๊กก๊ากของเด็กทั้งสอง

“คุณก้อง คุณป่อง!” นางพวงเอ็ดดังขึ้นอีก “เลิกนะ ไม่เลิกฉันตีขาลายเดี๋ยวนี้ คุณก้อง ดูซิ หวั่นไหวเสียเมื่อไหร่ นมบอกให้รออยู่ข้างนอกก่อนยังไงล่ะ มาประดังกัน ๒ คนละก็ยังงี้แหละ แม่บัว แม่บัว เอ นังนี่หายไปไหน ปล่อยให้พ่อเข้ามารังควานข้า หยุดนะ คุณก้อง คุณป่อง เอ ! ประเดี๋ยวนี้แหละ”

ตลอดเวลาที่นางเอ็ดอยู่นั้น เด็กทั้งสองก็แย่งกันปิดเปิดปากก๊อกอยู่เรื่อย ๆ พร้อมกันนั้นเด็กชายก้องก็ท่องประโยค “นังนม ขมขื่น นังนม ขมขื่น” ท่องอยู่ได้ ๒–๓ ครั้ง เด็กหญิงป่องก็รับ “นังนม ขมขื่น นังนม ขมขื่น” เสียงสองเสียงประสานกัน แล้วก็มีเสียงลูกขัดเพิ่มขึ้น

“นังนมขมขื่น นังนมขมขื่น เอาว่า นางนมขมขื่น” และส้นเท้าเล็ก ๆ สองส้น ก็กระแทกพื้นเป็นจังหวะเข้ากับลูกขัดด้วย

นางพวงเข้าไปถึงตัวเด็กทั้งสอง จับแขนเด็กชายเหวี่ยงตัวไปทางหนึ่งเบา ๆ พร้อมกับบ่นดุบ่นขู่ไปด้วย แล้วดึงตัว​เด็กหญิงป่องกลับมายังที่ ๆ อันวางสบู่อยู่ เพื่อทำการถูตัวต่อ ในระหว่างนั้นเอง เด็กชายก้องก็ตะโกนร้องบทใหม่ขึ้น “ยายป่อง หย็องกรอด ยายป่องหย็องกรอด เอาว่า ยายป่องหย็องกรอด”

เมื่อได้ยินแต่เพียงเสียงที่กล่าวบทเพลง เด็กหญิงก็ยังไม่แสดงความยินดียินร้าย เพราะมือนางนมที่บีบอยู่ออกจะเป็นมือที่หนัก ทำให้ผู้ถูกบีบเกิดความระวังตัว แต่ครั้นเหลียวไปเห็นผู้ท่องบทกำลังทำอาการยึดคอ ยักไหล่ขึ้นสูงจนเห็นซี่โครง เป็นลักษณะที่ตรงกับคำว่า ‘หย็องกรอด’ เด็กหญิงป่องก็ลืมความหนักแห่งมือของนมพวงเสียทีเดียว เบ่งท้องจนสุดกำลัง พลางแอ่นพุงออกไปเบื้องหน้า และร้องว่า “ตาก้องท้องเขียว เอาว่า ตาก้องท้องเขียว”

ด้วยความหมั่นไส้เป็นกำลังมือของนางพวงก็หนีบขาอันขาวเกลี้ยงเข้าครั้งหนึ่ง เป็นอาการหนีบที่ไม่หนักถึงกับจะทำให้เด็กร้องเอ็ดอึง แต่หนักพอที่จะทำให้เสียงที่เอ็ดอึงอยู่แล้วชะงักไป เด็กหญิงตกใจนึกโกรธ กำลังคิดจะออกฤทธิ์ตอบแทนการกระทำของผู้ใหญ่ ก็เห็นนางพวงผละจากตนตรงไปที่ ‘คู่ปรับ’ เกิดความอยากรู้มากกว่าอยากทำฤทธิ์จึงชะงักนิ่งอยู่

​นางพวงจับแขนเด็กชายจูงออกไปนอกห้องน้ำ บ่นว่าติเตียน กำชับว่า “อย่าเข้ามาอีกนะ ขืนเข้ามาละก็ ฉัน—” แล้วปล่อยมือเด็ก กลับเข้าในห้องและปิดประตูตามหลังตนเข้ามาด้วย

หลังจากนั้นประมาณสัก ๒๐ นาที ในระหว่างที่นางบัว ‘ผู้ช่วย’ ของนางพวง กำลังสู้รบกับเด็กชายก้องเพื่อจะหวีผมของเด็กให้เรียบ มีเด็กหญิงสวมเสื้อกระโปรงสีเขียว สวมรองเท้าเปิดสีเดียวกับเสื้อ วิ่งแผล็บออกมาจากห้องนอนของมุกดา แล้วเดินกรายทำท่าเป็นหญิงสาวเข้ามายืนอยู่หน้ากระจก

นางบัวมิได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดในตัวเด็กหญิงนั้น แต่เด็กชายก้องร้องทักว่า

“อื๋อ อื๋อๆ แม่สาว–นางสาว—อื้ออีสาว—”

“เอ คุณก้องนี้” นางบัวดุ “ทำไมว่าคุณน้องอย่างนั้นนะ สาวเสอวอะไรที่ไหน–คุณป่อง เมื่อไหร่จะลงไปหาคุณป้าละคะ คุณป้าสั่งว่าอาบน้ำแล้วให้ลงไปข้างล่าง”

เด็กหญิงยื่นหน้าเข้าหากระจก ยกมือปัดผมตัวเอง ๒–๓ ครั้ง แล้วก็หยิบแป้งมาผัดหน้า ด้วยเหตุที่ผมของตนเปียกน้ำยังไม่แห้ง มือที่ปัดผมก็เปียกด้วย ครั้นมือนั้นถูกแป้งแล้วมาถูกหน้า หน้าก็กลับด่าง แต่เจ้าของมีความพอใจว่าได้ผัดหน้า​แล้ว ส่วนพื้นหน้าจะเป็นอย่างไรมิได้แยแส ป้ายมือเข้ากับหน้าอีก ๒–๓ ครั้ง พอที่จะทำให้สีแดงที่ทาปากไว้เลอะออกมาถึงแก้ม แล้วก็วิ่งปัง ๆ จะออกจากห้องไป

พอดีกับนางบัวปล่อยมือของหล่อนจากเด็กชายก้อง เด็กชายก็วิ่งปราดไปเพื่อจะแข่งน้อง และเมื่อจะขึ้นหน้าได้ก็ร้องว่า “ใครถึงก่อน เออใครถึงก่อน” ฝ่ายเด็กหญิงก็คว้าเสื้อที่เด็กชายสวมอยู่ไว้ได้ด้วยความไว ฝ่ายหนึ่งพยายามสะบัด อีกฝ่ายหนึ่งพยายามรั้ง ดึงกันอยู่เช่นนี้จนถึงประตู จึงปะทะกับนางพวงผู้ซึ่งสวนทางเข้ามา

“เออ” นางพวงร้องด้วยความตกใจและฉุนเฉียว “นี่อะไรกัน เดี๋ยวได้ปากคอแตก ดูเรอะเสื้อแสงยุ่งหมดยังไม่หยุดอีก เดี๋ยวนี้เอง—แม่บัว นั่นยังไงถึงปล่อยให้คุณเล็ก ๆ ไล่ตีกันเสียงออกขรมยังงี้ เดี๋ยวได้ยินไปถึงข้างล่างก็—”

ประโยคหลังของนางพวงทำให้นางบัวได้ความคิดดีจึงว่า “ฉันจะไปฟ้องคุณพ่อ....”

เด็กชายผู้ซึ่งกำลังสะบัดแขนเพื่อจะให้หลุดจากมือนางพวง มีอาการชะงัก แต่เด็กหญิงพยักหน้าตะโกนตอบนางบัวไปว่า

“จ้าง! จ้าง!–คุณพ่ออย่างอยู่นี่”

​“อ๊าว ไม่อยู่ ! คอยดูซีจะอยู่หรือไม่อยู่ ลองตีกันอีกซี บัวจะไปฟ้องให้ดู”

“อื๋อ ฟ้อง! คุณพ่ออย่างอยู่หรอก–” เด็กชายกล่าว และเด็กหญิงก็เสริมว่า “คุณพ่อไปบ้านคุณยายหนูก็รู้ เฮ่อว–”

“รู้ก็ลองไปดูซิ อยู่หรือไม่อยู่ คุณพ่อบอกกับคุณป้าว่าจะกลับมาให้ทันรับประทานน้ำชา คุณป่องลงไปยังงั้นซิ แป๊ปเปิ๊บ หลุดจนหมดยังงั้นน่ะ แล้วคุณก้องเสื้อออกมานอกกางเกง ลองลงไปอวดคุณพ่อหน่อยซีคะ”

เด็กทั้งสองทำท่าสงสัยอยู่ขณะหนึ่ง พอเป็นโอกาสให้นางบัวตรงเข้าจัดกระโปรงให้เด็กหญิง ให้นางพวงจัดเสื้อกางเกงให้เด็กชาย และพร้อมกันนั้นนางพวงก็ได้โอกาสที่จะบ่นไปด้วย

“อะไรถึงได้ซนไม่มีรู้จักหยุดรู้จักหย่อนยังงี้—นี่ แล้วพอลงไปถึงข้างล่างก็ลงไปปล้ำกันเสียอีกซี แล้วคุณพ่อจะได้เกลียดหน้าเสียทั้งคู่ อีกสักหน่อยเถอะ คุณพ่อไม่รัก คุณพ่อไปเที่ยวหาลูกใหม่ ตัวก็จะลำบาก ไม่รู้จักอะไร เดี๋ยวนี้คุณพ่อก็เบื่อเต็มทีอยู่แล้ว พอเห็นหน้าลูกก็ตาเขียวปั้ด ถึงทีเวลาพูดกับคนอื่นละก็ยิ้มได้แป้น ๆ”

​บ่นไปทำไปจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำชับอีกครั้งหนึ่งให้เด็กระวังตัว แล้วนางพวงก็นำเด็กทั้งสองลงบันไดไปส่งที่ประตูห้องรับแขก

ยืนอยู่ที่นั่นชั่วเวลาที่จะไม่เป็นการน่าเกลียด และเป็นเวลานานพอที่จะเห็นหญิงสาวที่ในห้องนั้นเกือบทั่วคน ตลอดจนมีเวลานึกเกลียดเจ้าหล่อนไว้ล่วงหน้า เพราะมีความยึดถือว่า เจ้าหล่อนเหล่านั้น คือผู้ที่จะมาชิงตำแหน่งมารดาเลี้ยงของเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องแล้วนางพวงก็เลยไปทางอื่น

เมื่อแรกที่เด็กทั้งสองเดินเข้าในห้อง ผู้ที่อยู่ภายในยังไม่มีใครเห็น เขาเหล่านั้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหญิงมีจำนวน ๖ คนทั้งเจ้าของบ้าน กำลังสนใจอยู่กับรูปถ่าย ๓ รูปอันเป็นภาพของชาย ๓ คน สองภาพในจำนวนที่กล่าวนี้เป็นภาพของผู้ที่อยู่มัชฌิมวัย และบัดนี้ได้ล่วงลับไปแล้ว ภาพที่ ๓ เป็นภาพของชายหนุ่มกำลังฉกรรจ์ สวยเก๋ คมคาย เป็นภาพที่ฝ่ายผู้เป็นแขกเอาใจใส่ไม่น้อยอยู่แล้ว และยิ่งเพิ่มความเอาใจใส่มากขึ้น เมื่อถูกกระตุ้นเตือนโดยกำลังหนุนของฝ่ายเจ้าของบ้าน

เสียงถ้วยล้มกระทบจานดังแก๊ก ! และซ่อมตกจากโต๊ะกระทบพื้นห้องดังแกร๋ง ! เจ้าหล่อนทั้ง ๖ คนจึงหันมาดูพร้อมกัน ก็เห็นเด็กชายกำลังมองดูหญิงสาวด้วยสีหน้าแสดงความ​ตกใจ ส่วนเด็กหญิงกำลังถัดลงจากเก้าอี้เพื่อจะเก็บวัตถุที่ตกอยู่ขึ้นไว้ยังที่ ฝ่ายแขกหัวเราะกิริยาของเด็กทั้งสองนั้น ฝ่ายเจ้าของบ้านลุกขึ้นกระวีกระวาดเข้ามาใกล้เด็ก เพื่อดูว่ามีการเสียหายหนักเบาเพียงใด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดบุบสลายก็บ่นแต่เพียงว่า

“ซุ่มซ่ามจริง จะกินจะอยู่ให้มันดีหน่อยก็ไม่ได้แล้วนี่คนไปไหนหมด เด็กจะกินไม่มีใครมาช่วยดูแล”

มีผู้ถามว่า “หลานหรือคะ ?” แล้วมีผู้ตอบ “แน่ละซี—ดูรูปซิเหมือนพ่อไหม” มีการถกเถียงกันเล็กน้อยในข้อปัญหานี้ ผู้ที่รู้จักกับเด็กดีแล้ว เข้ามาจับต้องตัวเด็กและกล่าวคำปราศรัย มีผู้ปรารภขึ้นว่าเค้าหน้าของเด็กไม่เหมือนเค้าหน้าของบิดาตามที่ปรากฏในภาพถ่าย แล้วทายต่อไปว่า เด็กคงจะเหมือนมารดามากกว่าเหมือน ‘คุณพ่อ’ กระมัง

“รูปมารดาแกมีไหม ? ขอดูหน่อยเถอะ”

“จริงแหละ มุกดา ฉันยังไม่เคยเห็นรูปน้องสะใภ้เธอเลยแหละ”

“ก็จะเห็นยังไงล่ะ เกิดมาเขาไม่เคยถ่ายสักที ฉันเคยชวนเขาถ่ายเหมือนกัน เขาว่าเขาอาย เลยไม่ได้ถ่ายจนตายไป”

​“โธ่ ! แล้วหนูสองคนนี้เลยไม่ได้เห็นหน้าแม่”

ในเวลานั้นเอง ชายผู้เป็นบิดาของเด็กก็เข้ามาในห้องโดยทางประตูด้านหน้า

มุกดามองเห็นเขาก่อนคนอื่น หล่อนทักขึ้นอย่างดีเนื้อดีใจ

“แหม นึกว่าลืมเมี่ยงจีนของพี่เสียแล้วละ ไหนว่าจะกลับมา ๔ โมง”

บันลือไม่มีความรีบร้อนที่จะตอบ เขากวาดตาไปทั่วห้องโดยรวดเร็ว ในใจเต็มไปด้วยความคิดถึงข้อขำต่าง ๆ สีหน้าของเขาจึงอยู่ในลักษณะอมยิ้ม เมื่อเห็นว่าหญิงที่อยู่ในห้องนั้นเป็นผู้ที่เขารู้จักแล้วถึงสามนาง และทั้งสามนางเป็นเพื่อนของพี่สาว ซึ่งเขาเคยยกไว้ในฐานะเช่นพี่ของเขาก็ทำความเคารพด้วยท่วงท่าของผู้ที่คุ้นเคยกัน ต่อจากนั้นจึงหันไปก้มศีรษะให้หญิงอีกสองนาง แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

มุกดากล่าวแนะนำขึ้นว่า

“นี่สายสวาท นั่นบรรจง—นี่น้องชายฉันจ้ะ”

ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นจากเก้าอี้แสดงคารวะตอบหญิงสาวทั้งสอง แล้วหันไปมองดูสายใจผู้ซึ่งพูดขึ้นว่า

“หนึ่งในสองนั้นเป็นน้องของฉัน”

​“ผมทราบแล้ว” เขาตอบ “ทราบจากชื่อที่เพราะเหมือนกัน”

“แล้วบรรจงล่ะ บรรจงก็เป็นน้องใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้เหมือนกัน” สายใจว่า

เขาทำอาการคิด ฉวยโอกาสมองดูเจ้าหล่อนผู้นั้นเต็มตาเป็นทีว่าตนพยายามจะค้นหาเค้าหน้าของผู้ใดผู้หนึ่งในวงหน้าของเจ้าหล่อน แล้วก็สั่นศีรษะ และพูดว่า

“ชี้ตัวคุณพี่ไม่ถูก แต่หวังว่าจะไม่รังเกียจที่จะยอมเป็นน้องของทุกคนในที่นี้”

เจ้าหล่อนทุกคนพากันหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ สายใจอธิบายสืบไปว่า

“บรรจง เป็นน้องคุณบรรเจิด”

‘คุณบรรเจิด’ ในที่นี้หมายถึงขุนบรรเจิดวิทยาการสามีของสายใจนั่นเอง “แหม ผมคิดไปไม่ถึง” บันลือตอบพลางยิ้ม

มีการนิ่งเงียบเกิดขึ้นเมื่อต่างคนต่างคิดหาเรื่องพูดยังไม่ได้ เฉพาะบันลือ เขาไม่ได้นึกที่จะเป็นหัวหน้านำการสนทนา เพราะถือเสียว่าตนเองก็เท่ากับเป็นแขกคนหนึ่ง และผู้ที่ควรนับ​ได้ว่าเป็นฝ่ายเจ้าของบ้านเท่ากับตัวเขาเอง ก็คือสุภาพสตรีนางหนึ่งซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับพี่สาวของเขาแล้วเป็นอย่างดีนั่นเอง

อนึ่ง บันลือสมัครใจจะเป็นผู้ฟังและผู้ดูมากกว่าที่จะเป็นผู้พูด และดึงความสนใจของคนทั้งหลายให้มาจับอยู่ที่ตัวเขา เขารู้ว่าสุภาพสตรีสีนางรวมทั้งพี่สาวของเขาด้วย ได้ชักพาเอาหญิงสาวสองคนมาให้เขาพบด้วยเจตนาที่จะยกหล่อนให้เขา เขาต้องการฟังและดูวิธีการที่หญิงทั้งสี่จะแสดง เพื่อจูงใจเขาให้เกิดความพอใจในหญิงที่เจ้าหล่อนชักนำมา นอกจากนั้นเขาอยากจะฟัง และดูท่วงทีของหญิงสาวทั้งสอง

ถึงแม้บันลือจะได้อยู่โดยไม่มีภรรยามาถึง ๕–๖ ปี แต่คราวนี้–หรือที่ถูกควรจะกล่าวว่าหมู่นี้–เป็นหมู่แรกที่เขาสังเกตเห็นว่าวงศ์ญาติของเขา ได้พากันเอาใจใส่ในการหาคู่ให้เขาอย่างออกหน้าออกตา เมื่อต้นเดือนก่อนนี้คือเมื่อเขากลับจากหัวเมืองมาพักอยู่กับคุณยาย น้องสาวคนกลางของเขาได้กล่าวขวัญถึงเพื่อนคนหนึ่งของหล่อนให้ฟังอย่างยืดยาว แรกทีเดียวบันลือนิ่งฟังน้องพูดโดยมีเจตนาแต่อย่างเดียว คือมิให้ตนเองเสียกิริยา บันลือเคยรู้จักและรู้เรื่องของหญิงสาวเป็นจำนวนมากหนักหนา แล้วจนเขาสิ้นความยินดียินร้ายที่จะรู้จักหรือฟังเรื่องของหญิงคนใหม่อีกคนหนึ่ง แต่ครั้นฟังไปๆ นานเข้า เขาสังเกตเห็นว่ามรกต​พยายามเน้นถึงคุณสมบัติของเจ้าหล่อนผู้นั้นมากขึ้น นึกสงสัยในเจตนาของหล่อน จึงซักถามไปมาเพื่อจะหาความจริง ก็ได้ความว่าน้องสาวของเขากำลังจะชักนำ ให้เขาเกิดความพอใจในหญิงที่เป็นเพื่อนของหล่อน

ต่อมาอีกไม่ช้า เขาได้พบเจตนาอย่างเดียวกันนี้อีกที่น้องสาวคนเล็ก ข้อที่ทำให้เขานึกขำมากก็เพราะว่าหญิงที่เป็นเพื่อนของไพฑูรย์นี้ ซึ่งเป็นคนละคนกับหญิงที่เป็นเพื่อนของมรกต มีคุณสมบัติเหมือนกับเพื่อนของมรกตทุกประการ กล่าวคือเป็นหญิงที่สวย ที่ได้รับการศึกษาดีมีเชื้อแถวดี มีบิดามารดาเป็นผู้มั่งคั่ง และในท้ายที่สุดข้อที่ทำให้เขานึกขำยิ่งขึ้นอีก “ถ้าพี่ปุ๊ได้เขาก็จะดี”

เขาอดมิได้ที่จะถามว่า “ดีสำหรับใคร ?” และน้องเล็กก็ตอบอย่างที่น้องกลางได้ตอบมาแล้ว “ดีสำหรับทุกคน”

ภายหลังจากนั้น เมื่อเขาพบกับน้องคนหนึ่งคนใด คำกล่าวขวัญถึง ‘เพื่อน’ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ก็เข้ามาปะปนอยู่ในคำสนทนาระหว่างน้องของเขากับตัวเขาด้วยทุกคราวไป

ไม่แต่เพียงน้อง แม้แต่คุณยายผู้ซึ่งรักความสงบเป็นอย่างยิ่ง ผู้ซึ่งไม่เคยสอดมือเข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของลูกหลานคนใด เว้นแต่จะได้รับการขอร้องหรือได้รับข้อหารือ ผู้​ซึ่งมีความพอใจแล้วในการที่ได้เห็นหลานหนุ่มหลานสาวตั้งตัวอยู่ในฐานะอันควรและพากันมาให้ท่านชมเชยเป็นบางครั้งบางคราวเมื่อเขาระลึกถึงท่าน คุณยายผู้ซึ่งพอใจหาความสุขอยู่กับข้าเก่า ๒–๓ คนกับลูกหลานเล็ก ๆ ที่เป็นกำพร้าหรือมีบิดามารดาเป็นผู้ขัดสน หมู่นี้ก็เริ่มแสดงตัวเป็นผู้มีความกังวลอย่างแปลก ๆ ขึ้นบ้างเหมือนกัน

คุณยายปรารภกับหลานบันลือของท่านเรื่องน้องสาวร่วมบิดา แต่ต่างมารดาของท่านคนหนึ่ง น้องคนนี้มีหลานยาย—“มันจบแปดแล้ว” ท่านเล่า “เดี๋ยวนี้จะไปเอา ป.ก.ป.ส. อะไรของเขาต่อไปอีกก็ไม่รู้ ไอ้ตัวก็ไม่สมประกอบ เดี๋ยวเจ็บๆ จะเรียนอะไรกับเขาไหว แต่พ่อแม่ก็ลูกมากเหลือเกิน หาทางทำกินไว้ให้ลูกก็ไม่ได้ ไอ้เราจะห้ามไม่ให้เด็กเรียนก็ไม่ได้เหมือนกัน เงินก็ไม่มีวิชาก็ไม่มี ถ้าพ่อตายเสียแล้วจะเอาอะไรกินกันเข้าไป”

บันลือฟังคำปรารภของท่านด้วยความสนใจ เพราะการสนใจในคำพูดของคุณยาย ในความคิด ในความปรารถนาของคุณยายเป็นสิ่งที่มีประจำตัวบันลืออยู่เป็นนิจ เขาไม่ทันที่จะนึกไหวถึงเจตนาอันแท้จริงของท่าน จนกระทั่งท่านถามเขาว่า ​เขาได้พบหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เขามีความเห็นอย่างใดบ้างในเรื่องรูปโฉมของหล่อน

เขากลั้นยิ้มไว้ได้ด้วยความลำบาก เมื่อเขาจับแนวความคิดของท่านได้ และตอบเรียบ ๆ ว่า “รู้สึกว่าแกไม่เปลี่ยนจากเมื่อเป็นเด็กรุ่น ๆ” “ยายว่าหน้าตาแกดีขึ้น” ท่านตอบ บันลือก็ย้อนถามท่านอย่างซื่อที่สุดว่า “ยังงั้นรึครับ ?”

ครั้นเมื่อวานนี้ คุณยายให้คนใช้มาตามตัวเขาไปหาท่าน แล้วขอร้องให้เขาขับรถพาหลานคนที่ท่านปรารภถึงนั้น ไปดูหอสมุดแห่งชาติในวันรุ่งขึ้น

ใช้ให้หลานชายพาหญิงที่ท่านอยากจะได้เป็นหลานสะใภ้ ไปดูหอสมุดแห่งชาติ ! คุณยายทำให้บันลือพิศวงและหัวเราะอยู่ในใจหลายนาที คุณยายได้ความคิดนี้มาอย่างไร ? หญิงชราอายุปูนท่าน สะกดชื่อตนเองก็ไม่ถูกเหตุไฉนจึงรู้ว่ามีสิ่งที่ได้ชื่อว่า ‘หอสมุดแห่งชาติ’ อยู่ในโลก ? อาจเป็นได้ที่คุณยายเคยได้ยินบันลือพูดถึงหอสมุดแห่งชาติบ้าง เพราะเขาเป็นผู้ที่เคยไปมาติดต่อกับสถานที่นี้บ่อยครั้งอยู่เหมือนกัน ถึงกระนั้นท่านก็ไม่น่าจะมีความรู้ไกลไปถึงกับรู้ว่า สถานที่นั้นมีประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังเป็นนักศึกษา

​อย่างไรก็ตาม บันลือได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านโดยเคารพ เขาโทรศัพท์นัดเวลากับเจ้าหล่อนผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นน้องของเขา เขาสละเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมงสำหรับสนทนากับหล่อนไปพลาง และช่วยดูช่วยค้นหนังสือต่าง ๆ ไปพลางที่ในหอสมุด ต่อจากนั้นเขาพาหล่อนไปรับประทานน้ำชาที่ร้านขายอาหารว่างอันเป็นที่โอ่โถงแต่สงัดและสบาย และตลอดเวลาที่กล่าวนั้น เขาระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ สงวนปากสงวนคำ ไม่ใช้สำนวนอันหวานแหลมและคม อย่างที่เขาเคยใช้ต่อหญิงสาวทั่วไป รักษากิริยามิให้มีลักษณะโอ้โลมอยู่ในที ดังที่เขาเคยแสดงต่อหญิงอื่น เพราะเหตุที่หล่อนเป็นหญิงที่คุณยายรักษาและเมตตา เขาเตรียมพร้อมที่จะรักและเมตตาหล่อนด้วย เขาชอบอัธยาศัยของหล่อนซึ่งมีลักษณะอ่อนโยนและไม่ฉูดฉาด สังเกตเห็นว่าหล่อนมีใจจดจ่ออยู่ที่เขาตลอดเวลาที่เขาอยู่กับหล่อน ออกนึกสงสัยว่าได้มีผู้หนึ่งผู้ใดนำความคิดความปรารถนาของคุณยาย มาปลูกไว้ในความคิดของหล่อนบ้างแล้วหรือหาไม่ ตามธรรมดาของผู้ใหญ่ที่รอบคอบ ย่อมจะไม่ชักจูงหญิงสาวที่ตนเมตตากรุณาให้ฝักใฝ่ในชายหนุ่มคนใด ก่อนที่ฝ่ายชายจะแสดงความฝักใฝ่ของเขาในตัวหล่อนให้ปรากฏโดยแน่นอน แต่ถึงกระนั้น เพื่อความปลอดภัย เพื่อกันความแสลงใจซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในภาย​หน้า เขาเห็นว่าเป็นการจำเป็นที่จะต้องกันมิให้หล่อนมีความรู้สึกต่อเขาเกินกว่าที่ญาติจะพึงรู้สึกต่อญาติ โดยประการฉะนี้ เขาได้แสดงความเห็นสนับสนุนความตั้งใจของหล่อนในอันที่จะหาวิชาไว้เป็นเครื่องช่วยตัว และในการแสดงความเห็นนี้ เขาเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนที่แสดงว่าเขานับหล่อน เสมอด้วยน้องคนหนึ่งของเขา ไม่ยิ่งไม่หย่อนไปกว่านั้น

เมื่อได้ไปส่งเจ้าหล่อน ณ ที่อยู่แล้ว ระหว่างที่นั่งรถจะกลับบ้านมายังบ้านของเขาเอง บันลือนึกถึงคำชวนอย่างคะยั้นคะยอของมุกดา “กลับมา ๔ โมงให้ได้นะเพื่อน ๆ พี่เขาบ่นเขาว่าเขาไม่ได้พบพ่อปุ๊นานแล้ว”

บันลืออดยิ้มมิได้ และคิดพิศวง เป็นด้วยเหตุผลกลใดหนอทั้งพี่ทั้งน้อง ทั้งยาย จึงเกิดมามีความตั้งใจที่จะ ‘จับ’ บันลือแต่งงานขึ้นพร้อมกันดังนี้ ?

ทันใดนั้นเขาคิดคำตอบขึ้นได้ เมื่อคำพูดประโยคหนึ่งของเจริญแล่นมาสู่ความจำ “ถ้าแกมีเมียเป็นฝั่งเป็นฝา—”

อ้อ ! เช่นนี้เอง ด้วยเหตุผลประการใดประการหนึ่งที่บันลือยังจับไม่ได้มั่น ทั้งพี่ ทั้งน้อง ทั้งยาย ทั้งเพื่อนต้องการจะล้มความคิดของบันลือที่จะออกไปทำไร่ทำสวนอยู่ในชนบท โดยประการฉะนี้ เขาพากันร้อนรนจะจัดหาภรรยาให้บันลือ–​เพื่อจะล่อให้บันลือ ‘ติด’ พระนครถึงกับลืมงานในชนบทกระนั้นหรือ—หรือเพื่อให้ภรรยาเป็นผู้ห้ามปรามทักท้วงบันลือมิให้ทำการงานนั้น—ราวกับว่าผู้หญิงคนเดียวจะมีอิทธิพลใหญ่ยิ่งถึงกับจะขวางความตั้งใจของนายบันลือไว้อยู่ !!!

บัดนี้ หลังจากที่ได้ใช้เวลา ๒–๓ อึดใจพิศดูรูปโฉมแห่งหญิงที่พี่สาวสรรค์มาให้เลือก บันลือยิ่งอยากหัวเราะมากขึ้นอีก ตลอดทั้งกายตัวของเจ้าหล่อนทั้งสอง ทั้งทรวดทรงรูปหน้า เค้าหน้า เครื่องหน้า ตลอดจนกระทั่งท่วงทีจริต กิริยา เป็นสามัญ เช่นเดียวกับหญิงทั้งร้อยทั้งพันที่ได้ผ่านตา ผ่านความสังเกตของบันลือมาแล้ว หญิงเช่นนี้แหละหรือที่พี่สาวของบันลือหวังว่าจะให้มาเป็นผู้สร้างความรัก ความพอใจให้เกิดแก่บันลือได้ ? คุณพี่ช่างเป็นพี่ที่ไม่รู้จักนิสัยของน้องชายเสียเลย !

มุกดาเอ่ยขึ้นว่า

“ฉนวนกับปราณีเขาอยากกินเมี่ยงจีนของพี่ สายใจน่ะเขาเป็นเจ้าของตำรา แล้วก็อยากมาดูว่าพี่ไปจำวิชาของเขามาแล้วทำได้ดีเหมือนต้นตำราไหม ? เลยพ่วงน้องมาด้วยอีก ๒ คน”

“บรรจงเขาชอบชิมของแปลก ๆ แล้วก็จำเอาไปทำ” สายใจเล่า “ลิ้นดีเหลือเกินเด็กคนนี้กินอะไรปั๊บต้องรู้ทีเดียวว่าเขาใส่อะไรมั่ง แล้วจำเอาไปทำเหมือนแบบไม่มีผิด”

​“อีกสักหน่อยเห็นจะเป็นช่างกับข้าวฝีมือเอกหาตัวจับไม่ได้” บันลือกล่าว แล้วมองหญิงสาวด้วยตาอันมีแววยิ้มปรากฏอยู่ “คิดจะทำการใหญ่มั่งไหมครับ ? พวกที่ไม่มีช่างอยู่กับบ้านจะได้ไปพึ่งบุญ”

หล่อนมองดูเขาอย่างสงสัย แต่ไม่กล้าพอที่จะออกปากถาม สายใจจึงถามแทน

“การใหญ่ยังไง ?”

“เช่นตั้งโรงเรียน หรือตั้งร้านขายอาหาร”

“แหม” เสียงอุทานมากกว่าหนึ่งเสียง และมีเสียงหัวเราะแซงด้วย สายใจตอบว่า “ยังไม่ไหวหรอกค่ะอย่างนั้นใหญ่เกินไป”

และมุกดาก็เสริม “แต่อย่างเรา ๆ อยากทำจะตายยังทำไม่ได้นะ”

“ก็เรามัวแต่อยาก ไม่ทำลงไปจริง ๆ ก็ทำไม่ได้น่ะซิ” ฉนวนว่า และปราณีก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

เมื่อเพื่อนของมุกดาทั้งสองนี้ทำการสอนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ปราณีแต่งงานและมีบุตร ๓ คนแล้ว แต่ยังไม่ละอาชีพเดิมของหล่อน ฉนวนยังเป็นโสดและอาศัยรายได้จากงาน​อาชีพเป็นปัจจัยช่วยบิดามารดาให้การศึกษาแก่น้อง ซึ่งมีจำนวนหลายคน ทั้งสองเป็นหญิงมีนิสัยเด็ดขาด เมื่อคิดจะทำสิ่งใดก็ทำลงไปโดยไม่ลังเลดังนั้นจึงค่อนข้างจะมีความรู้สึกรำคาญมุกดาบ่อย ๆ ในข้อที่มุกดาเป็นผู้มีเรื่องบ่นถึงการขัดข้องต่าง ๆ เกี่ยวกับความปรารถนาของหล่อนอยู่เสมอ

บัดนี้อาหารว่างมาพร้อมทุกอย่างแล้ว มุกดาจัดแบ่งเมี่ยงให้น้องชายก่อน บันลือเคร่งในมรรยาทส่งจานอาหารต่อไปให้สายสวาท เจ้าหล่อนพยายามจะปฏิเสธมีอาการกระดากเจืออยู่ในกิริยาเป็นส่วนมาก แต่แล้วก็รับจานวางไว้ตรงหน้า เมื่อได้แบ่งเมี่ยงแจกกันทั่วไปและมีอาการปรารภถึงรสและวิธีทำเมี่ยงตามสมควรแล้ว หญิงรุ่นพี่ของบันลือก็ย้อนกลับไปพูดเรื่องการตั้งโรงเรียนการครัว และการตั้งร้านขายอาหาร เพราะบันลือได้ยอเพื่อนของพี่สาวว่า ช่างคิดชนิดอาหารขึ้นใหม่ มีรสแปลกดียิ่งนัก

ความจริงมุกดากับสายใจ มีนิสัยชอบในการคิดการทำอาหารเสมอกันทั้งคู่ และทั้งสองมีความปรารถนาต้องกันในข้อที่อยากจะใช้ความเป็นช่างของตนให้เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แต่ที่มาแห่งความปรารถนานั้นต่างกันไกลมาก ความปรารถนานั้นจึงไม่เป็นสำเร็จขึ้นได้ กล่าวคือความปรารถนาของมุกดาเกิดจากความที่หล่อนเป็นผู้มั่งคั่ง มีผู้คน​รับใช้มากจนเกือบจะไม่เคยทำสิ่งใดด้วยมือตนเองเลย เวลาว่างของหล่อนเหลือเฟือ เป็นเหตุให้หล่อนคิดไปว่าชีวิตของหล่อนนั้นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดไป ทำให้เกิดความหงอยเหงา วันหนึ่ง ๆ มิรู้ที่จะทำสิ่งใดให้เพลิดเพลิน ก็บังเกิดความปรารถนาที่จะทำนั่นทำนี่ใหม่ ๆ แปลก ๆ ร่ำไป แต่ครั้นหล่อนปรารภความคิดที่จะทำการใหญ่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดฟังเป็นต้นว่าสามี หรือคุณยาย หรือน้อง ก็ได้ฟังคัดค้านซึ่งประกอบด้วยเหตุผลอันมาจากความมั่งคั่งของหล่อนอีก “ทำทำไมให้มันเหนื่อยแรง มิใช่ว่าจะต้องหาใส่ปากใส่ท้องเมื่อไหร่” แล้วมุกดาก็ไม่ฝ่าฝืนคำคัดค้านเหล่านั้นเพราะความเหนื่อยแรงและความลำบากใจเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยรู้จัก ก็มีความกลัวนักที่จะต้องผจญกับสิ่งทั้งสองนี้ จึงล้มความคิดที่จะทำงานเป็นล่ำเป็นสันเสีย แต่ยังคงรักษาความปรารถนาที่จะทำไว้ในใจเสมอ

ส่วนสายใจนั้นความปรารถนาที่จะทำการใหญ่ เกิดจากความอัตคัดในเรื่องเงิน หล่อนผู้นี้กับสามีของหล่อนเป็นผู้ที่มีพี่น้องมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายเผอิญมีนิสัยไทยแท้อยู่ในสันดานด้วยกันอีกด้วย คือนิสัยเผื่อแผ่แก่วงศ์วาน เมื่อเห็นว่าญาติคนใดอัตคัดขัดสนมาขอพึ่ง ก็เลี้ยงดูให้ที่อยู่กิน เป็นเหตุให้หมดเปลืองรายจ่ายถึงกับเกิดการ ‘ชักหน้าไม่ถึงหลัง’ ​และคราวใดมีการป่วยไข้เกิดขึ้นในครอบครัว ก็เกิดการเป็นหนี้ เพราะต้องยืมเงินผู้อื่นมาใช้เป็นค่าหมอค่ายา เหตุเหล่านี้ทำให้สายใจคิดหางานที่จะนำรายได้มาสู่ครอบครัว แต่ขุนบรรเจิด ฯ เป็นผู้ได้เห็นโลกมากพอสมควรแล้ว ได้เห็นเพื่อนฝูงที่ประกอบการค้า ว่าจะเป็นการค้าแบบใดก็ตาม มีน้อยคนนักหน้าที่จะหาทรัพย์มาเพิ่มพูนครอบครัวได้สำเร็จ มีแต่จะทำรายจ่ายเพิ่มขึ้น แล้วหนี้สินก็ตามมา ในที่สุดการค้าก็ล้ม ผู้ค้าก็ยังคงเป็นหนี้เขาอยู่ ทั้งนี้จะเป็นด้วยเหตุใดขุนบรรเจิด ฯ ก็อ่านไม่ออก แต่ขุนบรรเจิด ฯ รู้ว่างานที่ภรรยาคิดจะทำ จะเป็นการเริ่มตั้งโรงเรียนก็ดี การเริ่มตั้งร้านขายอาหารก็ดี จะต้องมีเงินรองสำหรับขาดทุนเตรียมไว้ให้เพียงพอ เมื่อตนไม่มีทรัพย์ของตนเองเป็นก้อนเป็นกำ ทั้งภรรยาของตนก็เป็นผู้ที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอันใด จะต้องยืมทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นทุนรอน หากเกิดการพลั้งพลาด ผลของงานไม่งอกงามสมความคาดหมาย ความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงก็จะตามมา งานที่ทำทั้งโดยทุนและโดยแรงเพื่อจะหนีการ ‘ชักหน้าไม่ถึงหลัง’ และหนีการเป็นหนี้ ก็จะกลายเป็นงานที่เสียทั้งทุนทั้งแรงเพื่อหาหนี้ใส่ตัว โดยนัยนี้อุปสรรคที่ขัดความปรารถนาของสายใจก็คือความอัตคัดในเรื่องทรัพย์ และโดยนัยนี้ สิ่งใดเป็นที่มาแห่งความปรารถนาของสายใจที่จะใช้ความเป็น​ช่างของตนใช้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง ก็สิ่งนั้นแหละเป็นที่มาแห่งอุปสรรคที่ขัดขวางความปรารถนาของสายใจไว้

ในระหว่างที่ ‘คุณป้า’ ทั้ง ๔ นางกำลังสนทนาโต้แย้งขัดคอหรือคล้อยตามกันเพลินอยู่ เด็กหญิงป่องฉวยโอกาสหยิบน้ำตาลปอนด์จากที่ใส่ลงในถ้วยน้ำชาของตนถึง ๕ ก้อน แล้วใช้ช้อนตักน้ำชาในถ้วยขึ้นเป่าแล้วซดแล้วเป่าแล้วซด แล้วแลบลิ้นเลียปากของตนเองอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อทำอยู่เช่นนี้ประมาณ ๗–๘ ครั้ง บันลือก็แลไปเห็น เขาขมวดคิ้วและนิ่งดูอยู่ก่อน แล้วพยายามจะจับสายตาเด็ก เพื่อจะใช้กิริยาสั่งให้เด็กยุติการกระทำเหล่านั้น บันลือชังผู้ที่เสียมารยาทในการรับประทานยิ่งนัก และถึงแม้ว่าธิดาของเขามีอายุเพียง ๖ ขวบ แต่เพราะเหตุที่เป็นธิดาของเขา เขาถือว่าแม่หนูควรจะได้รับการอบรมดีพอที่จะไม่ใช้ช้อนตักน้ำชาหรือเครื่องดื่มใด ๆ ขึ้นใส่ปากซด

เขาทนนั่งดูต่อไปไม่ได้นาน ก็ไอขึ้นเบา ๆ เพื่อเรียกความเอาใจใส่ของเด็กมาสู่ตัวเขา บุตรชายได้ยินเสียงเขาก่อนและเหลือบตามาดู บันลือพยักหน้าให้ลูกชายบอกลูกหญิงแต่เด็กชายก้องหาเข้าใจไม่ ก็มองดูเขาอย่างงง บันลือนึกไม่พอใจมากขึ้น สีหน้าก็มีลักษณะบึ้งตึง พอดีกับเด็กหญิงมองมาดู​เขา เขาก็เขม็งตามองดูเด็กพร้อมกับสั่นศีรษะเป็นอาการห้ามกิริยาที่เด็กทำอยู่ด้วย

ประจวบกับฉนวนก็แลมาทางบันลือเหมือนกัน เพื่อแก้ความสงสัย ที่เขาเห็นปรากฏขึ้นในสีหน้าฉนวน บันลือจึงพูดเรียบ ๆ ว่า “ยายป่องกินน้ำชาไม่เป็นเอาช้อนตักซดเสียอย่างสนุก”

ฉนวนหัวเราะ และกล่าวว่า “โถกับเด็กเท่านี้น้ำชามันร้อนกระมั้ง แกดื่มทั้งถ้วยไม่ได้แกก็ตักซดน่ะซี ใช่ไหมหนู ? เล็ก ๆ เท่านี้จะเป็นอะไรไป” แล้วหล่อนก็ลูบหลังเด็กอย่างรักใคร่และปรานี

ส่วน ‘คุณป้า’ อื่น ๆ ก็หันมาเอาใจใส่กับเด็กหญิงอีกครั้งหนึ่งและออกอุทานเป็นเชิงคัดค้านคำติเตียนของบันลือ เด็กหญิงป่องรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ ‘เด่น’ ขึ้นในที่นั้นกำเริบเพราะเหตุที่มีผู้สนับสนุนมากคน จึงจีบปากพูดว่า

“คุณพ่อ พอเห็นหนูก็ตาเขียวปั้ด เมื่อพูดกับคนอื่นละก้อยิ้มแป้น ๆ”

ผู้ที่ได้ยินพากันหัวเราะด้วยความประหลาดใจและพิศวง รวมทั้งตัวบันลือเองด้วย เขาเหล่านั้นคิดไปไม่ถึงว่าเด็กได้จำคำของผู้ใหญ่มากล่าว ก็นึกชมว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ เหตุไฉนจึง​มีความฉลาดพูดจาเข้าเรื่องจนแทบไม่น่าเชื่อ มุกดานั้นเกรงใจน้องชายมาก กลัวน้องจะโกรธหลาน จึงฝืนใจดุไปตามควร

“ดู ทำแก่ไปว่าคุณพ่อเขา เดี๋ยวเขาโกรธเอาหรอก”

บันลือไม่ทันที่จะได้ตอบหรือแสดงความรู้สึกอย่างใด เขาต้องหันไปฟังคนใช้ซึ่งเข้ามาแจ้งแก่เขาว่า มีผู้ต้องการจะพูดโทรศัพท์ด้วย และผู้นั้นบอกนามของเขาว่า ‘เจริญ’

ชายหนุ่มกล่าวขออภัยต่อที่ประชุมแล้วก็ออกจากห้องไป

เมื่อเขายกโทรศัพท์ขึ้นและบอกนามของเขาไปแล้วก็ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายหนึ่งพูดมาว่า “เมียกันเขาใช้ให้บอกแกว่า เขายอมแพ้แกแล้ว”

“เอ๊ะ ยอมแพ้เรื่องอะไร ?”

“เรื่องผัวเป็นม้า เมียเป็นคนขี่น่ะเขาว่ามันขืนโลก”

บันลือหัวเราะลั่นลงไปในเครื่องพูด “แล้วตัวเธอกับภัสดาของเธอล่ะ ?” เขาถาม

“ไม่รู้แฮะ ไม่เห็นเขาสั่งให้บอก—”

“แล้วไอ้ที่สั่งให้บอกน่ะอะไร ?”

“เขาให้บอกว่า เขายอมให้เด็กของเขาเป็นม้า แกเป็นคน—”

​คำพูดของเจริญขาดหายไป บันลือได้ยินเสียงอุบอับพึมพำมาแทนที่ นึกรู้ว่าจิตราคงมายืนอยู่ข้างสามีด้วยจึงพูดไปว่า “เกิดการทำร้ายร่างกายกันขึ้นรึ ? พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

เขาได้ยินเสียงแหลมแว่วมาเข้าหูว่า “ทำไมต้องมีการขี่การควบอะไรกัน” แล้วได้ยินเสียงเจริญพูดมาโดยชัดเจน

“เขาสั่งให้บอกว่า ทุกครอบครัว ชายต้องเป็นผู้นำ หญิงควรแต่เป็นผู้เตือนผู้เหนี่ยวรั้ง เมื่อเห็นผู้นำจะก้าวพลาด”

“เพราะจิ๊ง ! ทฤษฎีนี้ !” บันลือตอบไปพร้อมหัวเราะ “ทำไมเจ้าของทฤษฎีไม่พูดเองหนอไหน ๆ ก็ยืนอยู่ข้าง ๆ นั่นแล้ว”

ได้ยินเสียงเจริญพูดซ้ำคำที่เขาพูดนี้ทุกคำ แล้วได้ยินเสียงจิตราตอบแว่ว ๆ ฟังไม่ได้ความ ภายหลังได้ยินเสียงเจริญพูดมาโดยชัดเจนอีก

“เขาบอกว่าอย่าพูดเป็นเล่นเสียเวลา เขายอมให้แกเป็นผู้นำ ผู้หญิงจะวิ่งตาม แกจะต้องการเด็กของเขาไหมล่ะ ?”

บันลือทำเสียง จุ๊ ! จุ๊ ! แล้วพูดว่า “ฝากจูบให้คุณจิตราสักครึ่งโหลเถอะ ใจดีเป็นแก้วอะไรอย่างนี้”

ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแหลม ฟังไม่ชัดนักแต่ได้ความว่า “มีอย่างรึ ฝากจูบเมียไปกับผัวของเขา”

​เขารีบถามต่อไปทันที “ผัวเขารังเกียจรึขอรับ ?” ก็ได้ยินเสียงเจริญตอบกลับมาว่า “มากนักบางทีก็เบื่อเหมือนกัน”

ทั้งสองฝ่ายหัวเราะ

“บอกคุณจิตราว่ากันขอบพระคุณเธออย่างยิ่ง แต่เวลานี้กระทันหันเหลือเกิน ตอบอะไรไม่ถูก อีกสักสองหรือสามวันกันจะไปตอบด้วยตัวเองได้ไหม ?”

ประมาณครึ่งนาทีเขาจึงได้รับคำตอบ

“ได้ แต่อย่าให้กลายเป็น ๒–๓ อาทิตย์ เขาเป็นโรคคอยอะไรแล้วอัดใจ จะอ้วกท่าเดียว”

“โอ๊ ไม่ต้องคอยถึงอาทิตย์เป็นอันขาด” บันลือกล่าว

“ตกลง เลิกกันนะ”

“เลิกกัน ขอบใจ” แล้วบันลือก็วางเครื่องโทรศัพท์ไว้ยังที่.

 

Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.126 seconds with 17 queries.