Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:31

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 11-15
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 11-15  (Read 67 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 19:40:20 »

นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 11-15


๑๑

บ้านที่นายประพันธ์เช่าอยู่รวมกับเพื่อนนั้น ประกอบด้วยตัวเรือนขนาดเล็ก ห้องครัวปลูกห่างจากตัวเรือน และพื้นดินข้างเรือนกว้างยาว ๕-๖ ตารางวา ตัวเรือนแบ่งออกเป็นสองหลัง มีระเบียงติดต่อกับบันได เหมาะแก่การที่จะใช้เป็นที่รับแขก ประจิตรได้พาสุนทรีขึ้นไปนั่ง ณ ที่นี้ โดยมิได้มีผู้หนึ่งผู้ใดฝ่ายเจ้าของบ้านแนะนำหรือเชื้อเชิญ หนุ่มสาวทั้งสองนั่งอยู่เกือบ ๕ นาที ประพันธ์จึงออกมาจากห้อง

การที่ต้องคอยเจ้าของบ้านเป็นเวลาเท่าที่กล่าวแล้ว ในเมื่อตนเองมาถึงตรงเวลานัดมิได้คลาดเคลื่อน แม้แต่เพียง ๑ วินาที ทำให้ประจิตรอึดอัดใจ เหตุฉะนั้นพอเห็นตัวประพันธ์ เขาก็พูดขึ้นทันทีว่า

“นึกว่าไม่พบเสียอีกแล้ว”

​เพราะเหตุที่ในที่นั้นมีเก้าอี้อยู่เพียงสองตัว และฝ่ายเจ้าของบ้านก็มีท่วงทีเหมือนมิรู้ที่จะทำท่าไรถูก ประจิตรจึงลุกจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ แล้วเลื่อนเก้าอี้นั้นให้ประพันธ์

ประพันธ์จับเก้าอี้หันอยู่ขณะหนึ่ง แล้วในที่สุดก็นั่งลงบนเก้าอี้นั้น

สุนทรีพิศดูหนุ่มน้อย เห็นเขาเป็นผู้มีรูปสมบัติพอตัว อย่างที่จะนับว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งก็ได้ และผมของเขาหยักศกเป็นลอน อย่างที่ผู้หญิงควรจะนึกอิจฉา แต่ท่าทางของเขามีลักษณะเหลือที่จะอธิบายได้ถูก ถึงกับทำให้สุนทรีประหม่า หล่อนจึงรีบถามขึ้น

“เธอได้รับจดหมายที่คุณประจิตรฝากไว้ให้เธอแล้วไม่ใช่หรือ?”

ประพันธ์ตอบแกมหัวเราะ

“ได้แล้ว”

เขาไม่รู้ตัวว่าเหตุใดเขาจึงหัวเราะ ฝ่ายผู้เป็นแขกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ข้อขำในคำพูดอยู่ที่ตรงไหน อยู่ที่คำถามหรืออยู่ที่คำตอบ สุนทรีมองดูประจิตร เขาทำหน้าพิกล แล้วก็ถอยไปยืนพิงลูกกรง เจ้าหล่อนจึงพูดสืบไป

“เราอยากทราบเรื่องน้องสาวของเธอ แกอยู่ที่นี่หรือที่ไหน?”

“ไปอยู่หัวเมืองแล้ว” แล้วประพันธ์บอกชื่อจังหวัดที่งามพิศอยู่ ด้วยน้ำเสียงหัวเราะเช่นเดียวกับคราวก่อน

“ไปอยู่กับใคร?” สุนทรีถาม

​“คุณป้าเอาไปอยู่ด้วย” น้ำเสียงมิได้ผิดกับตอนต้น

ประจิตรเกิดความเดือดดาลในน้ำเสียงของประพันธ์ จวนเจียนจะต้องถามว่า “หัวเราะอะไร?” แต่สุนทรีรู้สึกทั้งขันและสมเพช หล่อนพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลยิ่งขึ้น

“แกสมัครไปหรือ หรือว่าแกจำเป็นจะต้องไป?”

“ก็ไม่ค่อยสมัคร” ตอบแกมหัวเราะอีก

“ขอโทษที่เรามานั่งซักเธอยังงี้ แต่....เรา....คุณประจิตรกับฉันถือว่าเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้......เธอเดือดร้อน ก็อยากทราบเรื่องให้ละเอียดหน่อย เผื่อว่าเราจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ได้ยินว่าน้องสาวของเธอกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ?”

“ก็กำลังเรียน” อาการหัวเราะยิ่งมากขึ้น

“อ้าว ! แล้วไปอยู่หัวเมืองเสียก็ไม่ได้เรียนน่ะซี”

“ก็ไม่ได้เรียน”

“ก็แล้วยังไง?” น้ำเสียงสุนทรีแข็งขึ้นเล็กน้อย “เป็นยังไงถึงต้องไปอยู่หัวเมือง? แกไม่เสียดายวิชาของแกที่เรียนค้างไว้หรือ?”

คราวนี้ประพันธ์ตอบโดยไม่หัวเราะ

“แกก็ร้องไห้เวลาจะไป แต่คุณป้าจะเอาไป”

“ก็ทำไมถึงเอาไปล่ะ? เด็กกำลังเรียน แล้วทำไมเธอถึงปล่อยให้น้องไป?”

“ก็กรุงเทพฯ ไม่มีใคร” เสียงหัวเราะเริ่มปนกับคำพูด

“ก็มีเธออยู่ทั้งคน ยังไงเธอก็โตแล้ว ปกครองน้องไม่ได้หรือ”

“ก็คุณป้าไม่ให้อยู่”

​“ตายจริง !” สุนทรีอุทานด้วยความอัดใจ จนปัญญามิรู้จะใช้คำถามแบบไหน เพื่อให้ประพันธ์ตอบเป็นเรื่องราวดีกว่าที่ตอบแล้ว แล้วก็เกิดความสงสัยว่าการที่ตนมานั่งซักถามเรื่องราวของบุคคลผู้หนึ่งที่ตนไม่ได้เคยได้รู้จักแม้แต่สักน้อย เพราะเธอกังวลถึงทุกข์สุข การได้การเสียของเขาผู้นั้น อาจจะเป็นการกระทำที่วิกลวิกาลควรที่คนทั้งหลายจะเห็นขันละกะมัง พอดีกับประจิตรเอ่ยขึ้นว่า

“เห็นจะพอแล้วเธอ กลับกันทีเถอะ อย่ารบกวนคุณประพันธ์ให้มากกว่านี้เลย” ครั้นแล้วโดยไม่สนใจต่อการมองอย่างขอร้องผัดผ่อนของสุนทรี เขายกมือไหว้ประพันธ์อย่างที่เรียกว่า ‘ไหว้ท่วมหัว’ พร้อมกับพูดว่า “ผมลาละครับ ขอโทษที่ได้มารบกวนคุณ” แล้วเขาก็ลงบันไดไป

สุนทรีลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า

“เธอได้ข่าวคราวจากน้องสาวมั่งหรือเปล่า? ตั้งแต่แกไปหัวเมืองแล้วแกเป็นอย่างไรบ้าง?”

ประพันธ์นิ่งไปครู่จึงตอบ

“ก็ได้เหมือนกัน”

“แกเป็นยังไงมั่ง สบายดีหรือ?”

เขามีอาการลังเลอีก ก่อนที่จะบอกว่า

“ก็เรื่อยๆ อยู่ยังงั้นเอง”

สุนทรีใช้ความคิดอยู่ขณะหนึ่ง ซึ่งไม่เกิดผลอันใดเลย นอกจากจะทำให้หล่อนพูดว่า

“ถ้าเธอมีธุระอะไร ไปหาฉันที่บ้านก็ได้ หรือเขียนจดหมายไป​ก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าฉันช่วยเธอได้ฉันจะช่วย ฉันชื่อสุนทรี” แล้วหล่อนบอกตำบลที่อยู่ของหล่อนแก่เขาโดยละเอียด อีกทั้งกำชับให้เขาจดตำบลนั้นไว้ด้วย

สุนทรีลงบันได เมื่อถึงขั้นสุดท้าย หล่อนอดที่จะหันกลับไปมองดูประพันธ์หาได้ไม่ จึงเห็นเขานั่งกัดเล็บอยู่ในที่เดิม แม้กระทั่งเมื่อหล่อนขึ้นนั่งบนรถ แล้วมองไปก็ยังเห็นเขาอยู่ในอิริยาบถนั้น

“ผีทะเล ! บ้าระยำ !” ประจิตรบ่นเมื่อรถพ้นประตูบ้านมาแล้วกำลังแล่นอยู่บนถนนซอยเล็กซึ่งเฉอะแฉะเป็นหลุมเป็นบ่อ และมีขนาดกว้างพอดีกับคันรถ “ไอ้ถนนก็บ้าพออยู่แล้ว ไอ้คนยังบ้ามากไปกว่า”

“แกประหม่ามากเหลือเกิน จนฉันพลอยประหม่าไปด้วย”

“ประหม่า” ประจิตรทวนคำ ทำหน้าจึงมองดูคู่สนทนาราวกับเจ้าหล่อนเป็นตัวประพันธ์ “ประหม่าอะไรพูดคำหัวเราะคำ แหม! ไอ้คนพูดแบบนี้มันน่าถีบเหลือเกิน ยังงี้ไปพบคนอย่างคุณพ่อเข้าเป็นได้เรื่องแน่ มันเข้าแบบไอ้พวกหยิ่งแกมทะลึ่งไม่มีผิด”

“พุทโธ่ ! ไม่ใช่ยังงั้นหรอก แกประหม่าน่ะ แล้วแกพยายามจะซ่อนความประหม่าของแก ก็เลยเป็นอย่างนั้น แกเห็นเราเป็น.... เอ๊ะ ! ไม่รู้ว่าจะเดาว่ายังไง ก็เธอพบแกเมื่อก่อน แกเป็นอย่างนี้หรือเปล่า?”

“พบทีไรก็เป็นอะไรอย่างหนึ่งเสมอ บอกไม่ถูกว่าเป็นยังไง บ้า ! บ้าระยำ !”

“อะไรก็ช่าง ทีนี้เราเลยไม่ได้รู้เรื่องยายน้องสาวกัน เธอก็เร่ง​จนพูดอะไรไม่ถูกหมด”

“ก็จะพูดอะไรอีกล่ะ ที่พูดมาแล้วยังไม่พออีกหรือ?”

“พออะไร เรายังไม่ทันรู้เลยว่าทำไมยายหนูนั่น แกถึงต้องไปอยู่กับคุณป้า”

“ก็พี่เขาบอกแล้วยังไงว่าทางกรุงเทพฯไม่มีใคร ป้าเลยเอาไปเสียด้วย”

“โธ่ ! มันไม่ยุติธรรมแก่เด็กเลย” สุนทรีบ่นเสียงละห้อย “พอที่แกจะได้เล่าเรียนวิชาไว้ช่วยตัวแกเวลาข้างหน้า พ่อเชื้อก็ยิ่งไม่มี นี่เลยถูกตัดหนทางหมด”

สีหน้าประจิตรแสดงว่าเขาอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุดเขาพูดว่า

“ดีแล้วหละไม่ได้เรียนแหละดี จะได้หาผัวง่ายๆ”

สุนทรีมองดูหน้าเขา ขยับปากจะแย้ง แล้วหวนนึกว่าเขากำลังพื้นเสีย หากจะพูดให้มากความไป อาจจะกลายเป็นเรื่องอย่างเมื่อวานซืนขึ้นได้ จึงนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไรทั้งหมด

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 19:41:14 »


๑๒

วันนี้ ที่บ้านขุนจำนงพิทักษ์ราษฎร์มีเหตุการณ์พิเศษ ท่านขุนเจ้าของบ้านกลับมาถึงบ้านเวลาเที่ยงกว่าๆ พาเพื่อนนายอำเภอกับเพื่อนข้าราชการแผนกอื่นมาด้วยรวมห้าคน และบอกกับภรรยาว่า ได้ชวนเพื่อนเหล่านั้นมารับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน

“เออ ! วิเศษจริง” นางจำนงฯ ร้องเมื่อสามีพูดจบลงแล้ว “จะพากันมาก็ไม่บอกให้รู้เนื้อรู้ตัว ฉันจะไปโอมเอาอะไรที่ไหนมาให้ทันล่ะ”

“จุ๊ยๆ ๆ” ท่านขุนห้าม ด้วยเกรงว่าเพื่อนที่อยู่ข้างล่างจะได้ยิน “ไม่มีข้าวก็ไปเรียกหาบอะไรมาสักหาบหนึ่งก็ได้นี่นา แล้วก็ช่วยหาน้ำหาท่าให้เท่านั้นแหละ”

“หาบอะไรล่ะ? เจ้าขนมจีนวันนี้ก็หายไป ไม่เห็นมา เด็ก​เล็กมันก็ไปโรงเรียนกันหมด มีแต่อีแหวว อีนั่นก็ท้องโต กว่าจะย้ายสะโพกได้ข้างละที ไอ้มุ่ยของคุณกลับมาหรือยังล่ะ?”

“ไม่รู้มันนี่ ท่ามันจะกลับไปอำเภอละกระมัง ฉันมาจากจวนข้าหลวง”

“อ้อ ! จริง พวกที่มาน่ะไปรับข้าหลวงใหม่มาทั้งนั้น มีใครมั่งล่ะ เออ ! แล้วข้าหลวงนะท่าทางเป็นยังไง?”

“ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ไปหาอะไรมาเลี้ยงก่อนเถอะ กำลังหิวมาด้วยกันทุกคน”

ท่านขุนลงบันไดกลับไปหาเพื่อน คุณนายก็ตะโกนเรียกนางแหววกับงามพิศเสียงขรมต่อไป

คุณนายสั่งนางแหววให้ไปเรียก ‘หาบ’ แล้วกำชับ “เดินให้มันเร็วๆ เข้าล่ะ อย่ามัวแต่ย้าย....ข้าเห็นคนท้องมามาก ไม่เห็นเขาหนัก....เหมือนเอ็ง ได้อะไรก็เอาไอ้นั่นแหละนะ แต่อย่าให้มันหลายหาบนัก สักสองหาบก็พอ เดี๋ยวแม่พบอะไรก็เรียกมาเสียหมด”

ถึงเวรงามพิศ คุณนายสั่งว่า

“หาน้ำหาท่าไว้ คุณลุงของหล่อนพาแขกมาตั้ง ๕-๖ คน เอ้า ลูกกุญแจนี่แน่ะ เออ ! นั่นลุกขึ้นไปมือเปล่า จะไปไหน แล้วหล่อนจะเอาอะไรใส่น้ำ ถ้วยแก้วพวงในตู้น่ะ เอามาทั้งสองพวง อ้อ ! เอาขันน้ำพานรองไปด้วย จะได้พอกันกิน เออ ! น้ำแข็งก็ไม่มี ดูลืมสั่งให้อีแหววซื้อ เร็วเข้า บอกให้มันซื้อมาสัก ๓ สตางค์ก็เห็นจะพอ มากนักก็ละลายเสียเปล่าๆ”

งามพิศลงบันไดด้านหลังเรือนวิ่งไปถึงประตูบ้าน เห็นหลัง​นางแหววเดินอยู่ห่างไปมาก โดยมิคำนึงถึงการควรมิควร ถือคำสั่งคุณป้าเป็นที่ตั้ง หล่อนก็วิ่งต่อไปจนทันนางแหวว

ขากลับหล่อนมิได้วิ่งแต่เดินเร็วมาก ด้วยกลัวว่าคุณป้าจะตำหนิว่าเฉื่อยชา ไม่ได้งานได้การ ผ่านข้างเรือนหล่อนเห็นบุรุษนั่งอยู่หมู่หนึ่ง แต่มิได้มองให้เห็นว่าใครเป็นใคร แม้กระนั้นหูหล่อนก็ได้ยินคนหนึ่งในหมู่นั้นพูดว่า

“หน้าแก่นะ สำหรับอายุ ๑๘ ดูราวกับอายุสัก ๒๕ แต่เห็นท่าวิ่งก็รู้ว่ายังเด็ก”

ถึงจะรู้ว่าคำพูดนั้นหมายถึงตัว งามพิศก็ไม่ได้รู้สึกกระเทือนใจ ตั้งแต่มาอยู่กับคุณป้า งามพิศได้ยินคำกล่าวขวัญถึงตัวล้วนแต่ในแง่ที่ไม่มีหญิงสาวคนใดจะภูมิใจเลยเมื่อถูกกล่าวขวัญเช่นนั้น จนงามพิศปลงใจเชื่อว่าตนเป็นดังที่เขากล่าวทุกประการ เมื่อมาได้ยินคำชนิดเดียวกันนี้มากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นการแปลกประหลาดอะไรนักหนา

กลับขึ้นเรือนแล้ว งามพิศตรงเข้าห้องคุณป้า ไขกุญแจตู้ หยิบวัตถุที่ต้องการใช้ นำพวงกุญแจไปคืนให้คุณป้าเสียก่อน แล้วจึงล้างและเช็ดถ้วยแก้วและตักน้ำใส่

“ยกลงไปให้คุณลุงข้างล่าง” คุณป้าสั่ง

ครั้นเห็นงามพิศหิ้วถ้วยแก้วด้วยมือข้างละพวงท่านก็ว่า

“เอ้า ! สองพวงสามพวงเดี๋ยวก็แตก” แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิด “เอาไปได้ก็เอาไป แล้วกลับขึ้นมายกขันน้ำกับพานรองไปด้วย”

เมื่อหลานสาวปฏิบัติงานเสร็จแล้ว คุณป้าก็ลงไปปราศรัยกับ​เพื่อนของสามีที่อยู่เบื้องล่าง

งามพิศกลับขึ้นมานั่งบนยกพื้นหน้าเรือน มองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่มีความตั้งใจอย่างใดเลย เสียงคุณป้าถามถึงข้าหลวงคนใหม่ คุณลุงและแขกของคุณลุงบรรยายความที่เกี่ยวแก่ข้าหลวงนั้น เป็นการได้ยินโดยที่งามพิศมิได้ตั้งใจฟัง จนกระทั่งถึงตอนท้าย ความว่าข้าหลวงมีลูกสาวคนหนึ่งมีอายุ ๑๘ ปี เป็นกำพร้ามารดามาสามปีแล้ว ความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งเกือบจะคล้ายกับความสนใจจึงเกิดขึ้นแก่งามพิศ แล้วหล่อนได้ยินเสียงคุณลุงพูดว่า

“พ่อเห็นจะรักเป็นแก้วตา เห็นคำหนึ่ง ‘หนู’ สองคำก็ ‘หนู’”

อาการอย่างหนึ่งคล้ายกับยิ้มปรากฏขึ้นที่หน้าของงามพิศ เป็นยิ้มที่ไม่เหมาะแก่หน้าเด็กหญิงอายุ ๑๗ ปีเศษแม้แต่น้อย... เป็นธรรมดา ลูกที่กำพร้าแม่ย่อมเป็นที่รักดังดวงตาแห่งพ่อ ข้อนี้งามพิศเคยประสบมาด้วยตนเอง แต่ขอแม่ลูกสาวของข้าหลวงจงระวัง ถ้าเมื่อไหร่พ่อหาชีวิตไม่แล้ว ตนตกไปอยู่ในปกครองของใครคนหนึ่ง ก็พึงรู้เถิด ว่าตนนั้นไม่มีค่าเกินกว่าพัสดุที่เขาเก็บไว้เพื่อใช้งาน

เสียงคุณป้าตะโกนเรียกงามพิศบอกให้หยิบผ้าเช็ดมือ งามพิศลุกขึ้นจากที่ ลงบันไดไปเบื้องล่าง คุณป้าก็พูดว่า

“ป้าบอกให้หยิบผ้าเช็ดมือมาให้ที”

“ขอลูกกุญแจค่ะ” งามพิศตอบ

“เอาไปทำไม?”

“ไขหยิบผ้าเช็ดมือในตู้”

“ฮ้าย ! แกละรู้ดีเสมอแหละ คนกันเองทั้งนั้น เอาไอ้ที่ใช้อยู่​ทุกวันนั่นแหละลงมา”

งามพิศวิ่งกลับขึ้นเรือนตรงไปที่ครัว แล้วถือผ้าเช็ดมือสามผืนกลับลงมาส่งให้คุณป้า

นางจำนงฯ เลือกผืนสีแดงเลือดนกอันเป็นผืนที่ตนใช้ประจำอยู่ทุกวัน วางไว้ทางหนึ่ง อีกสองผืน สีขาวลายแดงเหมือนกันทั้งคู่ ขุนจำนงฯ กับงามพิศเป็นผู้เคยใช้ คุณป้าวางผ้าคู่นี้ไว้บนเสื่อในหมู่เพื่อนของสามี ท่านเหล่านั้นก็ผลัดกันหยิบขึ้นเช็ดปากโดยมิได้เลือกผืน

แม่ค้านำขนมจีนน้ำพริกมาส่งให้นางจำนงฯ คุณนายจึงเรียกหลานสาวผู้ซึ่งกำลังจะกลับขึ้นเรือน “จะกินอะไรก็กินเสียซี” ท่านว่า “ป้ากินขนมจีนน้ำพริกของเขาอร่อยดี แกจะกินอะไรก็สั่งเขา”

งามพิศรั้งรออยู่ที่เชิงบันได หล่อนไม่สมัครใจแม้แต่สักนิดเดียว ที่จะรับประทานร่วมที่กับท่านราชการเหล่านั้น ผู้ซึ่งหล่อนเคยเห็นจนชินแล้วทุกคน แต่ซึ่งหล่อนไม่เคยถือว่าเป็นผู้ที่รู้จักกับหล่อนแม้แต่สักคนเดียว เผอิญคุณป้าก็ไม่เปิดโอกาสให้งามพิศได้ลังเลนาน ท่านหันไปสั่งแม่ค้า

“เอาขนมจีนน้ำพริกให้แม่พิศชามนึง เอาพริกทอดใส่มาด้วยหลายๆ เม็ด ลูกคนนี้กินเผ็ดเป็นเสือ ฉันว่าเผ็ดแล้ว แม่นี่ยังเผ็ดไปกว่าฉันอีก”

แม่ค้าปรุงอาหารที่คุณนายสั่งอย่างว่องไว แล้วถือชามมาส่งให้งามพิศ เจ้าหล่อนรับแล้วก็นั่งบริโภคอยู่บนขั้นบันไดนั่นเอง

เสร็จการรับประทานของคาว ขุนจำนงฯ ปรารภถึงของหวาน ​ภรรยาท่านขุนรีบบอกว่า

“ของหวานมี วันนี้เผอิญทำขนมตาลไปถวายพระ” หันมาทางหลานสาว “ไปเอาขนมตาลมาไป๊ ที่ป้าบอกให้เก็บไว้กินเย็นน่ะ”

งามพิศไปหยิบขนมตาลที่ในครัว เมื่อหล่อนถือจานลงบันไดมา ก็พบนางแหววถือน้ำแข็งมาถึง

“แหม อีแหวว” คุณป้าร้อง “ไปซื้อน้ำแข็งจนกูลืม นี่แล้วกว่าเอ็งจะไปต่อยไปล้างพอดีเขากลับหมดเลยเอาน้ำแข็งมาสุมหัว”

งามพิศวางจานขนมตาลไว้ตรงหน้าขุนจำนงฯ แล้วก็ตรงไปรับน้ำแข็งจากนางแหวว วิ่งเข้าห้องน้ำล้างน้ำแข็งให้หมดขี้เลื่อย เสร็จแล้วถือน้ำแข็งกลับมาใส่ในขันเงินที่มีพานรอง

สหายคนหนึ่งของขุนจำนงฯ พูดว่า

“หัดกันเสียคล่อง”

“โอ๊ย ! เอ็ดกันทุกวัน สอนกันทุกวันกว่าจะได้อย่างนี้”

ในตอนต้นงามพิศมิได้สำนึกว่า คำพูดนั้นมีตัวหล่อนเป็นที่หมาย แต่เมื่อได้ยินคำตอบของคุณป้าเกิดความเข้าใจขึ้นในทันทีก็รู้สึกว่าหน้าชา ถึงกระนั้นหล่อนก็นั่งลงรับประทานอาหารต่อไปได้เป็นปกติ และรู้สึกแต่เพียงว่าขนมจีนน้ำพริกเป็นสิ่งที่กลืนยาก ทำให้แค้นคอ

ตอนเย็น ตั้งแต่ขุนจำนงฯ กลับจากที่ว่าการอำเภอ ตลอดไปจนกลางคืน งามพิศไม่ได้ยินคำสนทนาเรื่องอื่นนอกจากเรื่องข้าหลวงคนใหม่ ดูเหมือนว่าข้าหลวงกระดิกตัวกี่ครั้ง เดินกี่ก้าว พูดกี่คำ นายอำเภอก็จำได้และเล่าให้ภรรยาฟังโดยละเอียดลออ ใน​ตอนท้ายที่สุดมีข้อที่งามพิศเอาใจใส่อยู่บ้าง คือนางจำนงฯ กล่าวแก่สามีว่าท่านจะไปหาข้าหลวงในวันพรุ่งนี้ เวลาเช้าก่อนที่ข้าหลวงจะออกจากจวนไปศาลากลาง และขุนจำนงฯ ก็แสดงความเห็นชอบด้วย

ก็แลเวลาที่คุณป้าไม่อยู่บ้าน ครั้งหนึ่งๆ ไม่ว่าจะช้าเร็วเพียงไร เวลานั้นเปรียบเสมือนยาที่หล่อเลี้ยงชีวิตงามพิศไว้ให้ยืนยาวมาได้จนถึงวันนี้ เมื่อคุณป้าไม่อยู่งามพิศทำงานได้คล่อง บางคราวถึงกับรู้สึกเพลิดเพลินไปในงานด้วย และถ้าหากงานนั้นไม่เรียกร้องความตั้งใจมากนัก งามพิศก็มีเวลาปล่อยใจให้เป็นอิสระ ได้คิดได้ฝันถึงเรื่องราวและสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติของจิตใจ ถึงแม้เรื่องที่คิดที่ฝันจะไม่ทำให้เกิดความรื่นรมย์ ก็ยังเรียกว่าได้คิดได้ฝันบ้าง เป็นการเปิดโอกาสให้สมองออกกำลังในทางที่ควรด้วย และได้พักผ่อนด้วยไปในตัว

วันรุ่งขึ้น นางจำนงฯ ออกจากบ้านไปแล้ว ขุนจำนงฯ ยังอยู่ แต่งามพิศไม่รู้สึกเดือดร้อนเท่าไร เมื่องามพิศกำลังให้ข้าวนก ขุนจำนงฯ มายืนอยู่ใกล้ๆ สัญชาตญาณแห่งการป้องกันตัวทำให้งามพิศรู้สึกทำท่าจะกอด เมื่องามพิศรีบถอยหนีเสียก่อนคุณลุงก็ไม่หักหาญ งามพิศหอบผ้าลงจากเรือนไปซักที่หน้าห้องน้ำ คุณลุงก็เข้าห้องแต่งตัวแล้วก็ออกจากที่พักไป

เวลาล่วงไปเกือบชั่วโมง งามพิศซักและตากผ้าเสร็จเรียบร้อย คุณป้ายังไม่มา บัดนี้ยังเหลือแต่งานจีบพลูอยู่อย่างเดียว ถ้างามพิศทำเสร็จก่อนคุณป้ากลับนานเท่าใด ก็หมายความว่าหล่อนจะได้​มีเวลาว่างเป็นของหล่อนโดยแท้จริงนานเท่านั้น

งามพิศรีบจีบพลูอย่างที่เรียกว่าจนมือสั่น บัดนี้พลูส่วนที่ใช้กลางใบจีบนั้นจีบเสร็จ คงอยู่แต่ข้างพลูซึ่งเหลือจากที่ได้ใช้ทำไส้แล้ว ก็ยังจะจีบได้อีกหลายจีบ งามพิศอยากฉีกข้างพลูทิ้งเสีย แล้วคุณป้าจะรู้ก็หาไม่ แต่หล่อนทำตามใจตัวเช่นนั้นไม่ได้ เพราะขัดกับนิสัยในตัวหล่อน

พอจีบพลูข้างเสร็จ พรมน้ำเสร็จแล้วจัดใส่ในโถ ก็พอดีได้ยินเสียงคุณป้าตะโกนเรียกนางแหวว หญิงสาวถอนใจ วันนี้โชคไม่ดี ! แต่เอาเถอะ อย่างน้อยที่สุดหล่อนได้ทำงานด้วยใจเฉยเรื่อย ไม่ต้องหวาดไหวเพราะคำพูดติโน่นตินของผู้มีอำนาจเหนือ ก็จัดว่ามีเวลาหายใจสะดวกมากพอควรเป็นการดีอยู่แล้ว

วันต่อๆ มา นายอำเภอเมืองและภรรยายังคงสนทนากันด้วยเรื่องข้าหลวงใหม่อยู่เรื่อยๆ งามพิศได้ทราบทั้งที่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ว่าข้าหลวงขอให้คุณป้าช่วยหาคนงานสำหรับทำสวน คนใช้ผู้ชายสำหรับวิ่งเต้นและคนใช้ผู้หญิงสำหรับซักฟอก ส่วนแม่ครัวนั้นข้าหลวงได้หามาด้วยแล้วจากกรุงเทพฯ แต่เป็นแม่ครัวที่ไม่สันทัดนัก ถ้าคุณป้าจะหาแม่ครัวให้ใหม่ได้ข้าหลวงจะยินดีมาก จะย้ายแม่ครัวคนเก่าให้ไปทำหน้าที่ซักฟอก เพราะข้าหลวงเป็นผู้ที่ ‘กินยาก’ ด้วย และ ‘ช่างกิน’ ด้วย และ ‘หนู’ ชอบแต่หนังสือ กับข้าวกับปลาไม่เอาถ่านเลย

อาศัยที่แม่ครัวของข้าหลวงเป็นผู้ไม่มีฝีมือดีพอ และ ‘คุณหนู’ ตามสำนวนของคุณป้าที่เรียกธิดาของข้าหลวง ‘ไม่เอาถ่าน’ ​เรื่องการครัวนี่เอง คุณป้าก็ต้องเข้าครัวทุกเย็น ทั้งนี้เป็นการเพิ่มงานให้งามพิศ เพราะเจ้าหล่อนต้องเข้าครัวกับคุณป้าด้วย ซึ่งถ้าจะกล่าวให้ตรงทีเดียว ก็ควรกล่าวว่าคุณป้าเข้าครัวกับงามพิศ เพราะคุณป้าเป็นแต่ผู้สั่งและผู้ชิม นอกจากนี้ไปตกเป็นหน้าที่ของงามพิศทั้งสิ้น

การถูกเพิ่มงานดังกล่าวนี้ มิได้ทำให้งามพิศนึกชังข้าหลวงหรือโกรธเคืองผู้หนึ่งผู้ใด เหตุว่าถึงแม้หล่อนต้องทำงานหนักขึ้น เวลาแห่งความอิสระของหล่อนก็มากขึ้นด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้คุณป้ามีธุระต้องออกจากบ้านไปทุกวัน เพื่อซื้อจ่ายอาหารดิบมาประกอบเป็นกับข้าวให้ข้าหลวงบ้าง เพื่อหาคนใช้ตามความต้องการของข้าหลวงบ้าง และนอกจากนี้ยังเพื่อเหตุอื่นที่งามพิศรู้ไม่ถึง คุณป้าของหล่อนต้องไปตามบ้านต่างๆ เพื่อให้ภรรยาข้าราชการด้วยกันรู้ว่า ตัวท่านเป็นผู้ที่ข้าหลวงคนใหม่ไหว้วานธุระต่างๆ

เย็นวันนั้น ในระหว่างที่งามพิศกำลังหลนปลาร้าทรงเครื่องเพื่อส่งไปที่จวนข้าหลวงตามเคย หล่อนได้ยินเสียงโจษจากชั้นล่างของเรือนว่า “ข้าหลวง ข้าหลวง ข้าหลวงมา” มิช้าก็เห็นขุนจำนงฯ โจงชายสะโหร่งขึ้นบันไดมาก่อนแล้วก็หายเข้าไปในห้อง เสียงคุณป้าพูดว่า “ทางนี้ค่ะคุณ” “ระวังบันไดนะคะ” แล้วเสียงผู้ชายพูดตอบคุณป้า ด้วยความที่ ‘เข็ดคน’ จนเคยตัว งามพิศหันหลังให้ประตูครัว แล้วยังพยายามก้มหน้าลงเสียด้วย แต่มือยังคงทำงานต่อไป

ขุนจำนงฯ กลับออกมานอกห้อง นุ่งกางเกงเรียบร้อย จัด​แจงปูพรมลงบนพื้นกระดานตรงที่เคยนั่งรับประทานอาหาร แล้วก็จัดแจงยกเก้าอี้จัดที่ทางระเบียงด้านหน้าด้วย ข้าหลวงตรงไปยังที่ๆ มีพรมปู ครั้นนางจำนงฯ พูดว่า “ทางโน้นเย็นกว่า” ข้าหลวงก็ยั้งอยู่ ถอดรองเท้าก้าวขึ้นบนยกพื้น และเดินต่อไปทางเฉลียง หญิงสาวที่เดินตามหลังก็ทำตาม

นางจำนงฯ ละสามีให้เป็นผู้รับรองข้าหลวง ตนเองขมีขมันเข้าในห้อง ไขกุญแจตู้หยิบถ้วยแก้วพวงเงินได้แล้วก็ถือออกมา ยืนตะโกนเรียกหลานสาวที่หน้าครัว

“เช็ดให้เกลี้ยงๆ นะ” คุณนายกระซิบกำชับเมื่องามพิศรับถ้วยแก้ว “แล้วอย่าให้ผงไผ่มีในน้ำล่ะ”

คุณป้ากลับไปยังข้าหลวง งามพิศรีบไปทำงานตามที่ท่านใช้

เมื่อทำแล้ว จะต้องนำไปให้ผู้เป็นแขก...นึกถึงว่าแขกนั้นมิใช่มีแต่ข้าหลวงคนเดียว ยังมีธิดาข้าหลวงซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนอีกคนหนึ่ง งามพิศเกิดความรู้สึกเกลียดชังการที่ตนต้องปฏิบัติหน้าที่นี้ขึ้นเป็นอย่างแรง มือที่ถือพวงถ้วยแก้วก็มีอาการสั่น เท้าที่ก้าวเดินก็ออกจะแกว่งเมื่อเดินผ่านเฉลียงด้านแรกมาแล้ว มองไปข้างหน้า เห็นคุณลุงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งเก้าอี้เหมือนกัน ส่วนคุณป้ากับหญิงอีกหนึ่งนั่งบนยกพื้น งามพิศค่อยหายใจสะดวกขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่า เจ้าหล่อนผู้นั้นหันหลังมาทางตน รีบสาวเท้าเข้าไปพร้อมกับระวังมิให้เกิดเสียง คุกเข่าลง หน้าก้มไม่เหลียวแลผู้ใด วางพวงถ้วยแก้วไว้ข้างคุณป้า...

แต่ในขณะที่งามพิศขยับจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ​ร้อง “เอ๊ะ !” ขึ้นอย่างดัง

ทั้งที่ได้ตั้งใจจะไม่ดูเขา เพื่อเขาจะได้ไม่เห็นหน้าตนงามพิศก็อดเหลือบตาขึ้นมิได้ พอดีกับเสียงนั้นดังขึ้นอีก

“งามพิศ ! เอ๊ะ งามพิศนี่นา ! ต๊ายตาย เธอแอบมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

สีหน้างามพิศแดงขึ้นแล้วกลับซีดลงยิ่งกว่าเก่า จำได้ในบัดนั้นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร แต่มิรู้ที่จะแสดงกิริยาอย่างไรถูก ผู้พูดก็ขยับตัวปราดเดียวมาถึงตัวงามพิศตีขางามพิศดังฉาดใหญ่พร้อมกับพูดว่า

“จำฉันไม่ได้หรือ? ต๊าย เธอดำไปเป็นกอง ฉันเกือบจำไม่ได้ หากว่าเห็นแว่นตาถึงได้รู้ว่าเธอ”

งามพิศหลบสายตาเพื่อน แล้วทำท่าดังจะหันข้างให้ในใจนึกอยู่แต่ว่า “คุณป้าจะว่ายังไง” ก็พอดีคุณป้าพูดขึ้น

“อ้อ เคยรู้จักกันมาหรือคะ? เออ แล้วยังไงแม่พิศคุณทักก็ไม่ไหว้ไม่กราบ” แล้วเสริมแกมหัวเราะ “แกละออกแขกทีไรเป็นเร่อร่ายังงี้เสมอ”

งามพิศพนมมือขึ้น แต่หันไปไหว้ทางข้าหลวง สีหน้าของหล่อนนั้นซีดเผือด รู้สึกแน่นในอกดังจะหมดความรู้สึกไปในบัดนั้น

บุตรีท่านข้าหลวงหันไปกล่าวแก่บิดาว่า

“คุณพ่อคะ งามพิศเขาไหว้น่ะค่ะ คุณพ่อจำงามพิศไม่ได้หรือคะ เพื่อนหนูที่หนูเคยเรียกว่าท่านยายน่ะค่ะ ที่เคยไปหาหนูที่บ้านคุณน้า แล้วพบกับคุณพ่อน่ะค่ะ”

​ข้าหลวงหัวเราะเบาๆ และตอบ “พ่อกำลังนึกอยู่ว่าดูเหมือนพ่อจะเคยรู้จัก” แล้วถาม “อยู่ที่นี่นานแล้วหรือจ๊ะ?”

“อยู่มาตั้งแต่พ่อตายแหละเจ้าค่ะ” คุณนายตอบ “พอพ่อเขาตายดิฉันก็รับมาไว้ด้วย ก็ทางกรุงเทพฯ ไม่มีญาติที่ไหนนี่เจ้าคะ ก็มีแต่ดิฉันนี่แหละ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องเอามาไว้ด้วย”

ความจริงนั้นข้าหลวงก็ไม่เคยทราบประวัติของงามพิศมาก่อน ทั้งตามความที่ลูกสาวได้กล่าวเพื่อช่วยความจำของบิดานั้น ก็มิได้ทำให้บิดาฉลาดขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามข้าหลวงถามอย่างมีความสนใจว่า

“บิดาเสีย เสียตั้งแต่เมื่อไหร่?”

คำถามนั้นทำให้คุณนายต้องหยุดนึก และงามพิศก็ไม่มีศรัทธาที่จะพูด ธิดาข้าหลวงจึงเป็นผู้ตอบ

“เมื่อเดือนกรกฎาค่ะ ที่หนูเขียนจดหมายเล่าให้คุณพ่อฟังยังไงคะ แล้วเวลาคุณพ่อจะให้หนูมาอยู่กะคุณพ่อ คุณพ่อลำเลิกว่าเผื่อคุณพ่อเป็นอะไรไปง่ายๆ อย่างหลวงประเสริฐฯ หนูจะเป็นยังไง”

“อ๋อ ! หลวงประเสริฐฯ ที่รถชนกับใครแล้วเลยตายน่ะหรือ พิโธ่ ! แม่หนูนี่ลูกสาวหลวงประเสริฐฯ น่ะเอง” มองดูงามพิศทั่วทั้งตัวแล้วมองดูธิดา แล้วมองดูงามพิศอีกแล้วเสริมด้วยเสียงเบากว่า เดิม “โธ่ น่าสงสาร”

น่าจะเป็นด้วยกังวานแห่งน้ำเสียงของข้าหลวง ที่กล่าวประโยคสุดท้ายทำให้ขุนจำนงฯ มองดูหลานภรรยาแล้วเห็นหล่อนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน คือเห็นหน้าดำคล้ำเป็นมันด้วยเหงื่อ ​ผ้าซิ่นที่นุ่งอยู่แม้เป็นสีดำก็ยังเห็นได้ว่าสึกเต็มทีแล้ว ขุนจำนงฯ จึงเกิดความรู้สึกอึดอัดในใจ

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 19:42:08 »


๑๓

สองสามครั้งแล้ว คุณป้าบอกแก่งามพิศว่าธิดาข้าหลวงถามถึง

ทุกครั้งงามพิศนิ่งฟังโดยดุษณีภาพ เสมือนหล่อนไม่มีความรู้สึกต่อข่าวนั้นอย่างใดเลย

การนิ่งของงามพิศก็คือ การพยายามกดพายุแห่งความคะนึงนึกภายใน เพื่อมิให้ประจักษ์แก่ผู้ใดรวมทั้งตัวหล่อนเองด้วย

แท้จริงนั้นนับแต่งามพิศได้พบส่งศรี คือธิดาข้าหลวงแล้ว ความคับแค้นใจซึ่งมีอาการเสมือนได้ ‘ด้าน’ ไปพักหนึ่งจนไม่ออกฤทธิ์ให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้เจ้าทุกข์ ก็กลับไหวตัวดิ้นรนขึ้นใหม่โดยแรง งามพิศเคยทำลืมเสียว่าตนเป็นธิดาของผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง และเคยได้รับความสุขสมควรแก่ฐานะครบถ้วน ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนหญิงที่มีฐานะคล้ายคลึงกับตนในสมัยก่อนทุกประการ เนื้อ​ความที่ทำลืมเสียนั้น ก็กลับมาเป็นภาพล่ออยู่ในสมองงามพิศอีก เจ้าหล่อนเคยทำลืมว่าตนเป็นผู้มีการเล่าเรียนสำเร็จบริบูรณ์ ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนร่วมโรงเรียนและร่วมชั้น เนื้อความที่ทำลืมเสียนั้น ก็กลับมาก่อกวนความจำอีก ในท้ายที่สุดข้อที่สำคัญเหนือความสำคัญทั้งหลาย ข้อที่ลืมยากยิ่งกว่าสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด งามพิศพยายามลืมว่าตนได้เคยเป็นนักศึกษาแล้ว และต้องละทิ้งมาเสียกลางคัน ทั้งสุดสิ้นหวังที่จะได้กลับเข้าศึกษาอีก ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนนักศึกษาร่วมห้องร่วมปี ความพยายามซึ่งดูเหมือนจะมีทีท่าว่าจะสำเร็จผล ก็กลับถอยหลังไปสู่ความห่างไกลจากผลสำเร็จเท่ากับเมื่อครั้งที่งามพิศตั้งต้นพยายาม

ใจหนึ่งกลัวคุณป้าจะสั่งให้ไปหาธิดาข้าหลวง ใจหนึ่งนึกคอยว่าเมื่อไรคุณป้าจะสั่งให้ไป ใจหนึ่งไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินได้ฟังแม้แต่ชื่อหรือเรื่องราวของเพื่อนคนนี้ ใจหนึ่งอยากให้เพื่อนใช้อำนาจของบิดาสั่งคุณป้าให้พาตนไปพบ ใจหนึ่งอยากให้เวลาที่มหาวิทยาลัยเปิดเทอมมาถึงในวันในพรุ่ง ใจหนึ่งกลัวว่าเวลานั้นจะมาถึงเสียก่อนที่ตนจะได้พบกับเพื่อนอีก

วันล่วงไปอีกหลายวัน ความลังเลในใจงามพิศจึงถึงที่สุดลง

วันนั้นเป็นวันธรรมสวนะในพรรษา งามพิศได้ไปสู่พระอารามกับคุณป้าในตอนเช้า และคุณป้าสมาทานอุโบสถศีล รับประทานอาหารเพลที่วัด งามพิศก็ได้รับประทานด้วย เสร็จจากนั้นแล้ว งามพิศก็เก็บภาชนะที่ใส่อาหารไปนั้นกลับบ้านพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กในบ้านเหมือนกัน ส่วนคุณป้ายังอยู่ฟังธรรม​เทศนา จะกลับบ้านก็ต่อใกล้ค่ำ

ครึ่งวันเต็มๆ งามพิศทำงานโดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดคอยคุ้ยเขี่ยติโน่นตินี่ ทั้งยังมีเวลาได้นั่งเงียบๆ ตามลำพังหลายสิบนาที เมื่อรู้แน่ว่าตนจะสบายใจตลอดเวลาเย็นอีกด้วย เพราะลุงเขยมีปกติกลับบ้านล่าช้ามากในวันที่ภรรยาไปอยู่วัด งามพิศก็อาบน้ำแต่วัน แล้วก็นั่งฟังนกเขาขันบ้าง ลงไปเดินเล่นดูสิ่งต่างๆ ริมน้ำบ้าง พร้อมกับคิดถึงเรื่องราวแห่งชีวิตของตนไปพลาง

เมื่อแดดลบ อากาศครึ้ม และเสียงนกเสียงการวมทั้งธรรมชาติรอบข้างเริ่มจะมีอาการวังเวง เยือกเย็น ความคิดต่างๆ ก็เริ่มชวนให้เกิดความเศร้าสลดในใจ งามพิศก็ต้องรีบหนีสิ่งที่ชวนให้เศร้า ทั้งที่เกิดจากเหตุภายนอก ทั้งที่เกิดจากเหตุภายใน งานที่จะต้องทำในวันนี้ยังมีเหลืออีกอย่างหนึ่ง คือปูที่นอนไว้สำหรับคุณป้าและสำหรับตัวเองด้วย งามพิศกลับขึ้นเรือนและลงมือทำงานนั้น

พอปูที่นอนเสร็จ กำลังคลี่มุ่ง มีเสียงแปลกหูแว่วมาจากทางหน้าห้อง แต่งามพิศมิได้เอาใจใส่ ยกเก้าอี้มาต่อตัวเพื่อจะผูกมุ้งสายที่หนึ่ง พอเอื้อมมือถึงตะปู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะในที่ใกล้ พร้อมกับได้ยินชื่อของตนเอง.....ส่งศรีมายืนเรียกงามพิศอยู่ตรงหน้าห้อง

งามพิศโดดลงจากเก้าอี้ ก้าวเท้าสองที่ถึงตัวเพื่อนแล้วก็หยุดชะงัก พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป

“แหม ! ใจดำยังกะหมึกจีน” ส่งศรีกล่าวพร้อมกับค้อนให้อย่างงอนจัด “สั่งคุณนายเชยมาตั้งร้อยหนแล้วว่าคิดถึง ไม่เห็นสั่งตอบไปว่ากระไร บอกให้ไปหามั่งก็ไม่โผล่ไปเลย”

​แทนคำตอบ งามพิศกลับถามว่า

“นี่เธอมาคนเดียวหรือ?”

“มากะคุณพ่อ คุณพ่อคอยอยู่ในรถ”

อีกฝ่ายหนึ่งถอนใจแล้วถาม

“เธอจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่?”

ส่งศรีหัวเราะก๊ก แล้วว่า

“ไม่กลับแล้ว จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่นี่ยังไงล่ะ” เห็นสหายทำหน้าตื่นและพึมพำอยู่ในคอ เจ้าหล่อนก็หัวเราะอีกและถาม “มหาวิทยาลัย? ฉันลาออกแล้วเหมือนเธอเหมือนกัน....อุ๊ย เรื่องมากยืดยาว เล่าวันนี้ไม่ทัน บอกแล้วว่าคุณพ่อคอยอยู่ในรถ ฉันบอกท่านว่าจะพูดกับเธอ ๒-๓ คำเท่านั้นแล้วก็จะไป ฉันมาชวนเธอไปไหว้พระแท่นด้วยกัน”

“ไปไหนนะ?” งามพิศถาม ความอยากสนุกปรากฏในแววตาแว่บหนึ่งแล้วก็ดับไป

“ไปพระแท่นยังไงล่ะ พระแท่นศักดิ์สิทธิ์ ใครไปไหว้แล้วไม่ตกนรก พรุ่งนี้โมงเช้าเขาจะออกกัน”

งามพิศสั่นศีรษะช้าๆ มองไม่เห็นทางว่าตนจะไปได้อย่างไร ส่งศรีขึ้นเสียงดังอีก

“แหม ! เหลือเกิน จะไปเป็นเพื่อนกันหน่อยก็ไม่ได้ คนที่จะไปน่ะล้วนแต่ผู้ชายทั้งนั้น แล้วเราไม่รู้จักใครสักคนมันจะสนุกยังไง เปิ่นตายเลย ถึงเธอจะเคยไปแล้วก็ไปเป็นเพื่อนกันอีกหนหนึ่งไม่ได้เทียวหรือ? เสียแรงมาชวน คุณพ่อก็อุตส่าห์มาด้วย รู้​ยังงี้ไม่มาหรอก เสียเวลาเปล่าๆ....”

พูดยังไม่ทันขาดคำดี ธิดาข้าหลวงสังเกตเห็นสีหน้าเพื่อนมีลักษณะพิกล ฉุกใจจึงเปลี่ยนเสียงถามว่า

“เป็นอะไรน่ะ เธอน่ะ ฮะ? เป็นยังไง? เป็นบ้าเรอะ จะพูดอะไรก็ไม่พูดออกมา”

งามพิศรู้ดีว่าเป็นการน่าละอายที่จะบอกแก่เพื่อน ว่าตนไม่อาจที่จะออกปากลาคุณป้า แต่ความจริงข้อนี้ก็หลุดจากปากหล่อนจนได้

“แหม ! อะไรกลัวคุณป้าจนยังงั้นเทียวหรือ?” ส่งศรีย้อนถามอย่างทึ่งที่สุด “ดุมากหรือเธอ? เคยตีเธอไหม?”

งามพิศรู้สึกหน้าชา ดูเหมือนจะเกิดความคิดขึ้นเป็นครั้งแรกเดี๋ยวนี้เอง ว่าคุณป้าอาจถืออำนาจที่หล่อนได้ และแล้วหล่อนก็จะไม่มีความกล้าพอที่จะป้องกันตัวหรือหลบหลีกจากอำนาจท่าน ส่งศรีเห็นเพื่อนยังไม่ตอบในทันที ก็กระเซ้าถามต่อไป

“เธอเคยถูกตีบ่อยๆ หรือ ตั้งแต่มาอยู่กับคุณป้า?”

“ยังไม่เคย” งามพิศตอบ

“เอ๊ะ แล้วทำไมถึงกลัวมาก! ตกลงพรุ่งนี้เธอไปไม่ได้เรอะ? ตาย ! แล้วทำยังไงเธอถึงจะไปได้ล่ะ?.... เออ ! นายอำเภอก็ไปด้วยนี่นา ฉันบอกนายอำเภอให้เอาเธอไปด้วยได้ไหม? หรือให้คุณพ่อบอกก็ได้ เผื่อได้เธอไปนะ”

งามพิศคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเรื่องเป็นไปเช่นนั้นตนก็คงจะถูกคุณป้าเกรี้ยวกราดอย่างที่ตนเป็นผู้ผิด เพราะสิ่งใดที่งามพิศกระทำลง​ก่อนที่คุณป้าจะนึกขึ้นเองแล้ว และสั่งให้กระทำสิ่งนั้นได้ เคยเป็นเหตุให้งามพิศถูกตำหนิอย่างแรงมาแล้วทั้งสิ้น แต่งามพิศไม่อาจออกปากแจ้งความจริงแก่เพื่อน จึงต้องพยักหน้ารับ เพื่อ ‘ขอไปที’

ส่งศรีแสดงกิริยาดีใจ ซึ่งเกือบจะกล่าวได้ว่าอย่างลิงโลด จับมือเพื่อนเขย่าแขนไปมา แล้วนึกขึ้นได้ว่าบิดาคอยตนอยู่ ก็ทำท่าจะออกวิ่ง แต่แล้วก็กลับชะงัก เมื่อความอยากรู้เกิดขึ้นใหม่อีกข้อหนึ่งและถาม

“นี่ห้องเธอรึ?”

“ไม่ใช่ ห้องคุณป้า”

“แล้วห้องเธออยู่ที่ไหน?”

“ไม่มี มีแต่ของอยู่ในห้องนี้”

“แล้วเธอนอนที่ไหน?”

“นอนที่นี่”

“อ้อ ! นั่นที่นอนเธอรึ? แล้วอันโน้นล่ะ”

“ที่นอนคุณป้า”

“อุ๊ยตาย ! นอนกับคุณป้าด้วยรึ? เดี๋ยวดิ้นไปถูกเข้าหน่อยแม่ทุบตาย เออ ! แล้วไหนเธอเคยบอกว่านอนมุ้งเดียวกับใครไม่ ได้ เธอนอนไม่หลับยังไงล่ะ?”

งามพิศยิ้มมีลักษณะน่าสมเพชที่สุด ภายหลังจึงตอบว่า

“วันพระทีถึงจะนอนด้วยกันที”

“เอ๊ะ ! ทำไมยังงั้น แล้วเผื่อไม่ใช่วันพระเธอนอนที่ไหน?”

“นอนที่นี่แหละ คุณป้าท่านนอนในห้องคุณลุง”

​“เอ๊ะ ! พิลึก แล้วทำไมที่นอนคุณป้าถึงแบนแต๊ดแต๋?”

“ที่นอนคุณป้าไม่มีนุ่นนี่เธอ วันพระในพรรษาท่านรับศีล นอนที่นอนยัดนุ่นไม่ได้”

“อ้อ !” ส่งศรีอุทานอย่างยืดยาวแล้วก็พูดอย่างร้อนรนสืบไป “แล้วเผื่อฉันมาหาเธอที่นี่ เราเข้ามาทำลิงกันในห้องเหมือนที่กรุงเทพฯ ได้ไหม?”

งามพิศสั่นศีรษะแทนคำตอบ

“แล้วยังงั้นเราจะไปคุยกันที่ไหนล่ะ?” ถามอย่างวิตก

“ไม่รู้นี่”

ชะรอยความคับแค้นของงามพิศ ซึ่งปรากฏเจืออยู่ในถ้อยคำและน้ำเสียง ตลอดจนถึงสีหน้าของหล่อนนั้นจะมีฤทธิ์แรงล่วงเกินไปกล้ำกรายถึงความรู้สึกของส่งศรีด้วย ทำให้เจ้าหล่อนผู้นี้ถอนใจโดยปราศจากเจตนา ครั้นแล้วจึงว่า

“คุณพ่อบ่นแย่แล้วป่านนี้ ไปละ พรุ่งนี้พบกันใหม่ เตรียมตัวไว้นะ อย่าลืม”

พูดแล้วส่งศรีละจากประตูห้อง วิ่งตัดยกพื้นไป แต่เมื่อลงบันไดสองขั้นแล้ว หล่อนก็ชะงัก หันกลับมาบอกงามพิศผู้ซึ่งยังยืนอยู่ที่ประตู

“คุณป้าเธอมาแล้วซี ยืนอยู่กะคุณพ่อ นายอำเภอก็อยู่ด้วย ดีไป คุณพ่อท่าจะไม่ได้บ่นถึงฉันเลย รู้ยังงี้เราไม่ยักรีบ ฉันเลยลาคุณป้าให้เธอเลยนะ”

งามพิศพยักหน้า ความปิติเกิดขึ้นในใจอย่างที่ไม่เคยมีเช่น​นี้มานานนักหนาแล้ว ตอบเพื่อนว่า

“ไปเถอะเธอ เดี๋ยวคุณพ่อจะว่า” แล้วกำชับ “ลาคุณป้านะเธอ ถ้าลาคุณลุงละก้อ...ไม่ดีหรอก”

“ได้กัน” ส่งศรีรับ แล้วมองไปเห็นรอยรองเท้าของตนปรากฏบนพื้นกระดานสองแห่ง ก็อุทานว่า “ต๊ายจริง ! นั่นรอยเกือกฉันทั้งนั้น เดี๋ยวคุณป้าเทศน์แย่”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเช็ดเอง”

“เรอะ? ขอบใจ ขอโทษนะ”

แล้วส่งศรีก็ลงบันไดไปอย่างแช่มช้า ผิดกับกิริยาที่ลงมาคราวแรก

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #3 on: 28 October 2025, 19:42:58 »


๑๔

คณะเดินทางไปนมัสการพระแท่นกลับถึงจังหวัดเมื่อใกล้จะเย็น และขุนจำนงฯ กับหลานสาวถึงที่อยู่เมื่อเย็นมากแล้ว คุณลุงหน้าดำคล้ำด้วยความที่เมื่อยและเหนื่อย ส่วนหลานสาวถึงแม้จะมอมไปด้วยฝุ่นทั้งตัว สีหน้าก็สดอยู่ด้วยสายโลหิตอันเกิดจากความสนุก และความตื่นเต้นที่ได้รับตลอดทางที่ไป นอกจากนี้งามพิศได้ทราบรายละเอียดแห่งข่าวอันหนึ่ง ซึ่งทำให้หล่อนแช่มชื่นขึ้นอย่างประหลาด

นางจำนงฯ ซักถามสามีถึงเรื่องการเดินทาง ขุนจำนงฯ เล่าไปตามที่นึกได้ มีอุปสรรคเล็กน้อยเช่นรถ เรื่องติดหล่มตามทาง ต้องใช้แรงคนเป็น ๒-๓ ครั้ง เด็กๆ ลูกชาวบ้านพยายามที่จะปิดทางมิให้รถผ่าน เพราะถือว่าทางนั้นอยู่ในนาของเขา นายอำเภอต้องแสดงตัวพร้อมกับแสดงตำแหน่งหน้าที่ราชการ และในท้ายที่​สุด ท่านขุนเล่าว่าตอนหนึ่งเมื่อรถสะดุดรากไม้โดยแรง ตัวธิดาข้าหลวงได้กระดอนไปหมอบอยู่บนตักปลัดอำเภอ

ระหว่างนี้งามพิศอยู่ในห้อง เตรียมตัวจะไปอาบน้ำ หล่อนอดที่จะหยุดฟังลุงเขยพูดมิได้ สีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความพลอยนึกสนุกในเรื่องที่ลุงเขยเล่านั้น และเป็นครั้งแรก-ครั้งแรกแท้ๆ นับแต่หล่อนมาอยู่กับคุณป้าคุณลุง-ที่งามพิศนึกอยากร่วมวงการสนทนากับท่านทั้งสอง

งามพิศออกจากห้อง เดินผ่านคุณป้าคุณลุงจะไปห้องน้ำ พอหล่อนคล้อยหลังก็ได้ยินเสียงคุณป้าพูดว่า

“แล้วแม่หลานสาวของเราเป็นยังไง? ไปทำเร่อร่าอะไรมั่งหรือเปล่า?”

งามพิศไม่มีโอกาสได้ฟังคำที่คุณลุงตอบ เพราะหล่อนไม่หาญพอที่จะหยุดฟัง

ขุนจำนงฯ ตอบว่า

“ก็ยังงั้นแหละ มีตื่นหน่อย ข้าหลวงชมว่าแข็งแรงค่าที่แกไม่มีเลย ดูเหมือนหัวกระแทกหลังคารถเข้าหลายที แต่แกไม่วี้ดว้ายเหมือน....อีกคนหนึ่ง”

“ใคร? ลูกสาวข้าหลวงน่ะรึ?”

ขุนจำนงฯ พยักหน้า แล้วพูดสืบไป

“ข้าหลวงสั่งแม่พิศว่า ให้หมั่นไปเยี่ยมเพื่อนบ่อยๆ หน่อย ต่อว่าฉันกับแม่เชย ไม่พาหลานไปหาลูกท่านมั่ง ว่าลูกสาวท่านมาถึงใหม่ๆ ไม่รู้จักใครเลยบ่นว่าเหงา รู้จักอยู่ก็แต่แม่พิศคนเดียว ท่าน​ว่าเขารักกันมากเมื่อเรียนหนังสืออยู่ด้วยกัน”

“แล้วคุณว่ายังไง?”

“ฉันจะว่ายังไง ท่านไม่เคยสั่งฉันนี่ ท่านสั่งแต่แม่เชยไม่ใช่หรือ?”

“ก็คุณไม่รู้จักแก้แทนฉันมั่งหรอกหรือ?”

“ก็ไม่รู้จะแก้ว่ายังไงนี่ ก็เราไม่เคยพาเด็กไปจริงๆ ของท่าน หรือจะว่าไปอีกทีหนึ่ง ก็หลานของเรา เด็กอยู่กับเรา เราไม่พาไปมันมีงานมีการเสียมั่ง อะไรเสียมั่ง ใครจะมาเป็นเจ้า เว้นแต่ว่า....ดูมันก็ใจจืดไปหน่อย”

คุณนายเชยมองดูสามีอย่างใช้ความคิด อันที่จริงข้าหลวงก็เคยถามถึงงามพิศต่อคุณนายมากกว่าสองครั้ง คุณนายก็ไม่เคยตอบให้เป็นกิจลักษณะ ครั้นข้าหลวงถามทางสามี คุณนายก็เกิดมีความคิดประหลาดใจที่สามีมิได้ให้คำอธิบายอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ข้าหลวงเป็นการแก้แทนตน ทั้งนี้เป็นเพราะคุณนายเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่า การที่ตนทำเฉยเสียไม่พาหลานสาวไปหาส่งศรีนั้นเป็นด้วยเหตุใด และก็เพราะว่าคุณนายอธิบายไม่ถูกนี่แหละ จึงต้องการจะฟังคำอธิบายของสามี เพื่อจะได้ยึดถือไว้สำหรับเวลาข้างหน้า

ขุนจำนงฯ เหยียดขาออกเต็มที่ แล้วก็เหยียดแขนทั้งสองข้างออกจนตึง เป็นการแก้เมื่อย ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นไปยืนที่กรงนกเขาอันแขวนอยู่ในที่ใกล้ มิช้าก็ปรารภขึ้นว่า

“เออ ! ไม่มีใครให้น้ำนก น้ำในโถเกือบเกลี้ยง”

คุณนายมีอาการ ‘พื้นไม่ดี’ อยู่แล้วได้โอกาสจึงขึ้นเสียงว่า

​“ก็แม่พนักงานมัวแต่ไปเที่ยวเสียนี่ อ้ายคนอื่นหรือมันก็งานท่วมหัวกันทุกคน”

ขุนจำนงฯ หยิบโถน้อยออกจากกรงนก นำไปใส่น้ำโดยไม่พูดว่ากระไร

พอดีกับงามพิศออกจากห้องน้ำ คุณป้าเห็นก็พูดว่า

“แหม ! แม่พิศ น้ำสักกี่โอ่ง ขมิ้นสักกี่โถ จนเราลืม ! แล้วแต่งตัวไวๆ เข้านะยะ งานการอะไรไม่ได้แตะต้องเลยเชียววันนี้”

งามพิศสาวเท้าเร็วขึ้นอีก เห็นด้วยกับคุณป้าในข้อที่ตนยังไม่ได้ทำงานสิ่งใดเลย แต่รู้สึกว่าความชื่นบานที่ได้จากการเที่ยวนั้นละลายไปทันใด แล้วนึกถามตนเองในใจว่า เมื่อเสร็จจากการผลัดผ้าจะจับงานส่วนใดก่อน

ในที่สุด เมื่อแต่งตัวเสร็จงามพิศก็กวาดห้องคุณป้า คือห้องที่หล่อนนอนนั่นเอง เสร็จแล้วก็เตรียมตั้งที่รับประทานอาหารไว้ ก็พอดีขุนจำนงฯ อาบน้ำเสร็จ และบ่นว่าหิว

งามพิศไปที่ครัว จับนั่นทำนี่ให้อาหารพร้อมเร็วเข้าแล้วก็ยกถาดอาหารมาตั้งที่

ระหว่างการบริโภค มีการสนทนากันน้อยที่สุดตามธรรมดาของสามีภรรยาคู่นี้ เพราะขุนจำนงฯ มีนิสัยไม่ชอบพูดเลยในเวลารับประทาน และนางจำนงก็อยู่กับขุนจำนงฯ มา ๒๐ กว่าปีแล้ว เป็นเวลานานพอที่จะติดนิสัยจากสามีบางประการ

งามพิศมีนิสัยรับประทานเร็วมาแต่ไหนแต่ไร เฉพาะวันนี้หล่อนยิ่งเร็วเป็นพิเศษ ด้วยกลัวคุณป้าจะตำหนิว่ามัวแต่ละเลียด ​แม้กระนั้น เมื่อหล่อนล้างมือพร้อมกับล้างจานข้าวของหล่อน ยังไม่ทันเสร็จดี คุณป้าก็เตือนว่า

“แล้วไปเอาพลูมาจีบเสียนะยะ เที่ยวกันเสียหมากพลูไม่มีติดก้นเชี่ยน”

เป็นอันว่าฝอยทองของหวานสำหรับมื้อนี้ จะไม่ได้เป็นของหวานสำหรับงามพิศด้วย แต่งามพิศชินเสียแล้วต่อการไม่ได้รับประทานของหวานหลังของคาว ตลอดเวลาที่งามพิศอยู่กับป้า หล่อนยังไม่เคยบังอาจที่จะแตะต้องขนมของคุณป้า โดยที่ท่านไม่ได้บอกให้ก่อนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว จึงเป็นธรรมดาที่ว่าวันใดที่คุณป้าลืมหรือแสร้งทำลืมที่จะสั่งอนุญาต วันนั้นงามพิศก็ไม่ได้ลิ้มรสขนมหรือ ‘ของกินเล่น’ อันเป็นของชอบของเด็กสาวๆ ทั่วไปแม้แต่สักนิดเดียว

ก่อนที่งามพิศจะจีบพลูเสร็จ ขุนจำนงฯ ก็เข้าห้องนอน คุณป้าคอยให้งามพิศปลดสร้อยข้อมือสองสายที่ท่านให้หล่อน ‘แต่ง’ ไปเที่ยวพระแท่น ได้สายสร้อยแล้วก็ตามสามีเข้าในห้อง เพื่อทำการนวดให้แก่สามี เป็นการปรนนิบัติอันควรแก่เวลา ต่อนั้นงามพิศก็ได้ทำงานพลางปล่อยใจให้คิดถึงสิ่งต่างๆ ตามอารมณ์โดยสะดวก

พอแรกเริ่มงามพิศก็นึกถึงข้าหลวงบิดาของสหายก่อน ดูท่านช่างกรุณา น่าชมเสียนี่กระไร ท่านปราศรัยกับงามพิศหลายครั้ง ด้วยน้ำเสียงแสดงความเมตตาบ้าง ล้อเลียนบ้าง ห่วงใยบ้าง งามพิศนึกพิศวงในใจ....ผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในถิ่นที่หล่อนอยู่นี้ ได้เป็นคนแรกที่เคยแสดงความเอาใจใส่ต่อหล่อน !

แล้วนึกถึงส่งศรี ผู้เป็นเนื้อแท้ของข่าวที่ทำให้งามพิศแช่มชื่น​....เป็นความจริงแท้แล้ว ส่งศรีจะไม่กลับกรุงเทพฯ จะอยู่ในจังหวัดนี้ต่อไป !

ส่งศรีลาออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยพ่ายแพ้ต่อเหตุผลของบิดา รวมทั้งการรบเร้าของท่านด้วย นางเอนกประชากร มารดาส่งศรีได้ถึงแก่กรรมในระยะใกล้เคียงกับเวลาที่งามพิศเป็นกำพร้ามารดา และหลวงเอนกฯ ก็ยังครองตัวเป็นหม้าย ด้วยเหตุผลอันเดียวกับที่หลวงประเสริฐฯ เคยพะวงถึง คือเกรงว่าบุตรธิดาจะได้รับความเดือดร้อนจากแม่เลี้ยง

แต่ในฐานะแห่งการเป็นหม้ายของหลวงประเสริฐฯ กับหลวงเอนกฯ นั้นต่างกันโดยการครองชีพของแต่ละฝ่าย หลวงประเสริฐฯ เป็นแพทย์ การติดต่อกับบุคคลทั่วไปย่อมคล้ายคลึงกับการติดต่อระหว่างพ่อค้ากับลูกค้า ตราบเท่าที่หลวงประเสริฐฯ รักษาไข้ดี คนไข้ทั้งหลายย่อมมาสู่เพื่อประโยชน์แก่เขาเอง ส่วนหลวงเอนกฯ เป็นข้าราชการประจำจังหวัด ความเจริญในหน้าที่ของคุณหลวงขึ้นอยู่แก่การต้องติดต่อกับบุคคลทุกจำพวกเป็นนิจศีล ทั้งในทางราชการโดยตรงและทางกึ่งราชการ ทั้งในทางกึ่งราชการและกึ่งส่วนตัว เมื่อคุณหลวงมีแต่ตัวผู้เดียว ไม่มีผู้ต่างหูต่างตา ไม่มีผู้เป็นแรงคอยช่วย ก็นับว่าคุณหลวงต้องรับภาระหนักเกินสมควรอยู่

เมื่อส่งศรีเรียนจบหลักการสูตรสามัญศึกษา หล่อนแสดงความปรารถนาจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย คุณหลวงก็อิดออด แต่ด้วยเหตุที่ส่งศรีอยู่ห่างจากบิดา อาศัยแต่จดหมายเป็นเครื่องติดต่อแสดงความคิดเห็นต่อกัน ส่งศรีไม่เล็งเห็นน้ำหนักแห่งการอิดออดที่เป็น​แต่เพียงตัวอักษร ถือความ ‘อยากจะทำตามอย่างเพื่อน’ เป็นที่ตั้ง ประกอบกับมี ‘คุณน้า’ ผู้อยู่ใกล้เป็นผู้สนับสนุน จึงได้เข้าสอบแข่งขันเพื่อเป็นนิสิตหญิงในมหาวิทยาลัย แล้วและได้รับเลือกโดยคะแนนที่สอบแข่งขันนั้น

เมื่อได้ทราบข่าวความสำเร็จในขั้นนี้ หลวงเอนกฯ อดที่จะภูมิใจในความสามารถของธิดาเสียมิได้ จึงมิได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่เมื่อเวลาล่วงไปนานวันเข้า หลวงเอนกฯ มีความรู้สึกในความลำบากและความขัดข้องบางประการทวีขึ้น จึงเริ่มเจรจากับธิดาอีกครั้งหนึ่ง

หลวงเอนกฯ ชี้แจงว่า คุณหลวงก็พอใจที่จะให้ธิดาเป็นผู้มีวิทยฐานะชั้นสูง เพื่อเป็นที่ชื่นใจแก่คุณหลวงด้วย และเพื่อเป็นเครื่องมือแก่ธิดาสำหรับหาเลี้ยงชีพในภายหน้าด้วย แต่คุณหลวงต้องอยู่โดยไม่มีแม่บ้าน ได้รับความเหน็ดเหนื่อยและลำบากใจหลายประการ ทั้งน้องเล็กสองคนของส่งศรี ก็มีอายุมากเกินสมควรที่จะปล่อยให้ได้รับการอบรมจากนางพี่เลี้ยงแต่ฝ่ายเดียวแล้ว คุณหลวงไม่มีเวลาที่จะได้คอยเฝ้าอบรมเด็กเล็กๆ สองคนนั้น ซึ่งคุณหลวงสังเกตเห็นว่า ความเจริญในทางจรรยามิได้คู่มากับความเจริญทางกาย หากส่งศรีรักที่จะได้ปริญญามากกว่าห่วงความสุขของบิดาและของน้อง คุณหลวงก็จะแต่งงานใหม่ หากส่งศรีจะสละการศึกษาทางมหาวิทยาลัยเสีย มาอยู่กับบิดา ส่งศรีก็ยังมีทางที่จะเล่าเรียนให้ถึงขั้นประกาศนียบัตรวิชาครูมัธยม เพราะวิชาขั้นนี้บุคคลผู้มีความพยายามมากหน่อยอาจสามารถจะเรียนเองได้ดี และตราบ​เท่าที่ส่งศรียังอยู่เป็นแม่บ้านต่างหูต่างตาบิดา และลูกน้อยทั้งสองยังไม่โตพอที่จะรักษาตัวเองให้พ้นจากการกดขี่ หลวงเอนกฯ จะยังไม่แต่งงาน

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #4 on: 28 October 2025, 19:43:50 »


๑๕

วันนี้ได้ฤกษ์ คุณป้าจะพางามพิศไปเที่ยวจวนข้าหลวง ข่าวนี้คุณป้าแจ้งแก่งามพิศตั้งแต่เช้า และต่อจากนั้นมาไม่ว่างามพิศจะจับทำสิ่งใด คุณป้าก็จะเฝ้าเตือนว่า “เร่งมือเข้าหน่อยซียะ” “ให้มันไวๆ เข้าหน่อยเถอะย่ะ” “อย่าให้มันอืดนักซียะ”

งามพิศตั้งต้นทำงาน ด้วยการกวาดถูห้องที่หล่อนนอนแล้วตั้งที่รับประทาน แล้วเก็บที่รับประทาน แล้วจัดกวาดในห้องคุณลุง ห้องรับแขก และยกพื้นหน้าห้องทุกห้อง การที่เหล่านี้เป็นหน้าที่ของเด็กผู้ชาย-แล้วซักผ้า และทำความสะอาดในกรงนก และจีบพลู แล้วรีดผ้า แล้วเข้าครัวกับคุณป้า ประกอบอาหารที่จะนำไปบรรณาการแก่ข้าหลวงด้วยในตอนเย็น แล้วก็พอดีถึงเวลาคุณป้าสั่งให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วคุณป้าก็นำสร้อยเหลียวหลังสอง​สายมาผูกข้อมือให้หล่อน

ข้าหลวงกำลังรับประทานอาหารว่างอยู่กับธิดา เมื่อนางจำนงฯ ไปถึง เพราะเหตุที่ฝ่ายเจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็คะยั้นคะยอ ‘คุณนายนายอำเภอ’ ให้นั่งเสียบนเก้าอี้ด้วย แต่นางจำนงฯ เป็น หญิงในแบบ ‘ทีใครทีใคร’ เมื่อเขาเป็นนายก็ยอมให้เต็มที่ด้วยใจศรัทธา เมื่อถึงทีที่ตนเป็นนาย ใครไม่ ‘ลง’ ก็ต้อง ‘กด’ ให้ ‘ลง’ จนได้

ดังนั้นนางจำนงฯ จึงยังคงนั่งอยู่บนพื้นกระดาน ห่างจากโต๊ะเล็ก อันเป็นที่ตั้งอาหารเล็กน้อย ข้าหลวงเรียกคนใช้ สั่งให้นำเสื่อมาปู แล้วเชิญคุณนายรับประทานอาหารว่างด้วยกัน เมื่อคุณนายปฏิเสธ ข้าหลวงไม่ว่ากระไร แต่เมื่อหันมาชวนงามพิศนั้น ข้าหลวงกล่าวเป็นเชิงบังคับอยู่ในที

“งามพิศต้องกิน เป็นธรรมเนียม ผู้ใหญ่เขาเรียกต้องกินเสียหน่อย มานี่ มานั่งที่นี่....” หันไปทางคนใช้

“ยกเก้าอี้ตัวนั้นมา”

งามพิศตกใจเป็นอย่างยิ่ง มิรู้จะปฏิบัติอย่างไรถูก ก็ค่อยๆ เหลือบมองคุณป้า นางจำนงฯ ทำตาเขียวบุ้ยใบ้และกระซิบกระซาบตอบโดยเร็ว

“ไปซี ท่านเรียกไม่ไปได้หรือ”

ส่งศรีพยักพเยิดอยู่ทางหนึ่ง เมื่อเพื่อนนั่งลงบนเก้าอี้ก็แอบหยิกเอาเป็นการแสดงความดีใจ

“ยังมีกับข้าวมาส่งตามเคยด้วยรึ?” ข้าหลวงถามตาจับอยู่ที่​ภาชนะอันตั้งอยู่ข้างนางจำนงฯ แล้วพูดสืบไป “เดชะบุญผมมาได้คุณนายเป็นอุปถาก ถ้าไม่ยังงั้นก็แย่ แต่ทีหลังเห็นจะหยุดส่งกับข้าวได้แล้ว เพราะแม่ครัวที่คุณนายหามาน่ะไม่เลวเลย ฝีมือไม่แพ้แม่ครัวที่กรุงเทพฯ”

“เขาเคยเป็นข้าหลวงในวังเจ้าค่ะ แล้วได้สามี ก็เลยติดตามกันมาอยู่ที่นี่ แล้วสามีเขาเสียเขาก็เลยค้าขายอยู่ที่ตลาดนั่นเอง”

“อ้อ ! มิน่าล่ะ ท่าทางกระฉับกระเฉงพอใช้”

นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ข้าหลวงทำธุระกับอาหาร ภายหลังจึงถามขึ้นอีก

“ขุนจำนงฯ กลับจากพระแท่นแล้วเป็นยังไงมั่ง ยังไม่ได้ถามข่าวเลย พบกันก็พูดแต่เรื่องงาน”

“เมื่อยเจ้าค่ะ ปวดไปหมดทั้งตัว ต้องนวดกันพักใหญ่”

ข้าหลวงหัวเราะแล้วว่า

“ผมรอดตัว นั่งข้างหน้ากับคนขับ ชวนหนูนั่งด้วยแกไม่ยอม แกจะนั่งกับเพื่อนของแก จะชวนงามพิศนั่งข้างหน้าด้วยก็ไม่ไหว เบียดกัน แต่งามพิศแกเก่ง ไม่ได้ยินเสียงร้องสักทีเดียว” มองดูธิดา “แม่นี่ละไม่ไหว เสียงว้ายๆ ไม่หยุดเลย ถึงนวดเหมือนกันนี่”

“คุณหนูเห็นจะไม่ค่อยได้ออกหัวเมืองซีเจ้าคะ?”

“ออกทุกปี ก็เวลาโรงเรียนหยุด ผมอยู่ที่จังหวัดไหน แกก็ไปจังหวัดนั้น แต่ไม่ค่อยจะได้เดินทางกันดาร อันที่จริงผมคิดว่าทางไปพระแท่นนี่ไปได้สะดวกแล้วนะ ไม่ยังงั้นก็ไม่กล้าเอาลูกหนูไปด้วย”

​“นายอำเภอบอกว่าเป็นที่ฝนตกน่ะเจ้าค่ะ....”

“ถูกแล้ว แล้วหน้านี้ป่าก็รกกว่าหน้าแล้ง คุณนายเห็นจะไปมาหลายหนแล้วกระมัง?”

“สองหนเท่านั้นแหละเจ้าค่ะ”

“อ้อ ! แล้วเป็นยังไงเลื่อมใสไหมเวลาไปถึงแล้ว?”

“อุ้ย ! ใจมันโปร่งเจ้าค่ะ คิดถึงพระพุทธองค์ โถ ! ชื่นใจ ถึงไม่ได้เห็นพระองค์ก็ยังได้ชมพระแท่นที่ท่านเข้านิพพาน”

ข้าหลวงยิ้มในหน้า แล้วถามต่อไปอีก

“ขึ้นบนเขาถวายพระเพลิงหรือเปล่า?”

“ขึ้นเจ้าค่ะ” คุณนายลงเสียงตอบ “เขาว่ากันว่าสูงนัก ขึ้นกันไม่ค่อยไหว บางคนถึงกับไปหมดแรงกลางทาง ยิ่งขึ้นไปๆ ขั้นกระไดก็ยิ่งหนี ดิฉันไม่เห็นเป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ พักเดียวก็ถึงพระมณฑป”

“นับกระไดได้กี่ขั้น”

“๙๖ ขั้นเจ้าค่ะ”

“อ้อ ! คุณนายจะอายุยืนใหญ่ ! แล้วเวลากลับลงมาแล้วเมื่อยไหม หรือไม่เมื่อยเลย?”

“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ พิโธ่ ! ได้ขึ้นไปนมัสการที่ถวายพระเพลิงทั้งทีจะเมื่อยอะไรเจ้าคะ”

ข้าหลวงคิดอยู่ในใจว่า “ขุนจำนงฯ ไม่ใจบุญเหมือนเมีย ถึงได้เมื่อยจนถึงปวด” แล้วถามสืบไปว่า

“พระวิหารที่มีพระแท่นน่ะเป็นยังไง?”

​“งามเจ้าค่ะ ทำไว้ดี เตี้ยๆ ไม่ใหญ่โต ท่านผู้ที่สร้างเห็นจะได้บุญแรงจริงนะเจ้าคะ ไม่ยังงั้นพระแท่นก็ตากแดดตากฝน แล้วนกกาก็จะมาทำสกปรก”

“เอ ! ผมนึกว่านกกาแถวนั้นจะไม่ทำนะ แต่ต้นไม้ยังรู้ หญ้าก็ร้องไห้ ต้นรังก็โค้งเป็นพุ่ม นกกาทำไมจะไม่รู้ !”

ตอนนี้นางจำนงฯ มิรู้ที่จะตอบว่ากระไรจึงนิ่งอยู่

ข้าหลวงเลื่อนถ้วยกาแฟไปให้พ้นมือ พลางมองดูงามพิศ เห็นหล่อนนั่งก้มหน้าเฉยอยู่ก็ทักว่า

“ยังไม่ยอมกินอะไรจริงๆ แหละหรือ ขนมปังหน้าหมูเขาอร่อยดีนะ”

“รับประทานแล้วชิ้นหนึ่งค่ะ” ส่งศรีตอบแทน “เขาว่าเขาไม่หิว”

“ไม่กินของเค็มก็ลูกไม้ยังไงล่ะ ไอ้ลูกไม้น่ะถึงไม่หิวก็กินได้ไม่ใช่หรือ?”

ส่งศรีเอื้อมมือไปที่จานผลไม้ โดยไม่เงยหน้า งามพิศสะกิดขาเพื่อน พลางขยิบตาพร้อมกับสั่นศีรษะเชิงห้าม ส่งศรีก็ค้อนให้ แล้วหยิบเงาะสองผลยัดใส่ในมือเพื่อนที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ

กิริยาเหล่านี้ข้าหลวงเห็นโดยตลอด เข้าใจไม่ได้ว่าเหตุใดงามพิศจึงขลาดหรืออายถึงเพียงนั้น รู้สึกรำคาญเล็กน้อย จึงเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วก็ลุกจากที่เดิมไปยังที่ๆ หีบบุหรี่วางอยู่ ฝ่ายส่งศรีก็ว่าแก่เพื่อนว่า

“เสียแรงท่านอ้อนวอน ถึงไม่หิวก็กินเสียหน่อยไม่ได้หรือ ทำ​อายไปได้ บ้าจริง”

“ท่านลุกไปแล้วน่ะ” งามพิศตอบ วางผลเงาะที่อยู่ในมือลงในจานตามเดิม แล้วยกถ้วยน้ำขึ้นจิบ

ข้าหลวงได้นั่งลงบนเสื่อใกล้กับนางจำนงฯ ส่งศรีจึงชวนเพื่อนลุกจากโต๊ะ จูงมือไปนั่งบนพื้นห้องทางฝาด้านหนึ่ง ซึ่งไกลจากท่านผู้ใหญ่ทั้งสองเล็กน้อย

“หนังสือเรียนของฉันมาแล้วเธอ” ส่งศรีกล่าวเมื่อได้นั่งลงแล้ว “แหม ! ตะละเล่มเบ้อเร่อๆ ขี้เกียจอ่านจัง ยังไม่รู้เลยว่าจะเลือกสอบอะไรก่อน”

“อะไรยากก็เลือกเอานั่นก่อนซี” งามพิศแนะด้วยเสียงเบาอย่างที่สุด และในน้ำเสียงนั้นมีความสนใจอย่างแรงกล้า ระคนอยู่กับความระมัดระวังตัว

“ยากที่หนึ่งก็ภาษาไทย”

งามพิศนิ่วหน้านิดหนึ่งพลางค้าน

“อะไรภาษาไทยยาก?”

“หือ ! ก็อย่างเธอก็เห็นว่าไม่ยากน่ะซี เธอคนเก่งนี่”

ที่จริงคำพูดของส่งศรีก็เป็นโวหารตื้นๆ อย่างที่บุคคลรุ่นนักเรียนย่อมใช้ปากคำกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ถ้างามพิศยังอยู่กับบิดาเหมือนในกาลก่อน ได้ฟังคำเถียงนั้นก็จะไม่มีความรู้สึกแปลกอย่างใดเลย แต่ในเวลานี้....งามพิศไม่ทราบว่าจะตอบเพื่อนว่ากระไร

ระหว่างนั้น คนใช้กำลังเก็บภาชนะไปจากโต๊ะอาหาร ข้า​หลวงพูดขึ้นว่า

“เจ้านายป้านของคุณนายก็ใช้คล่องดีเหมือนกัน ดูเหมือนเคยอยู่กับข้าหลวงเก่าไม่ใช่หรือ เห็นขุนจำนงฯ ว่ายังงั้น”

“เจ้าค่ะ ท่านข้าหลวงเก่าก็ชอบมาก ท่านชวนเขาไปอยู่สมุทรสงครามด้วย แต่เขาไม่ไป เขาเป็นห่วงมารดาเขา”

“ลูกหนูชอบมาก ค่าที่เขาหัดรถถีบให้ เมื่อวานนี้หัดกันเท่าไรไม่ทราบ เจ้าป้านขาเว่อไปเป็นกอง”

คุณนายหัวเราะแทนคำตอบ ข้าหลวงพูดต่อไปเพื่อหาเรื่องสนทนากับแขกของตนมากกว่าอย่างอื่น

“เมื่อลูกหนูแกอยู่กับน้าที่กรุงเทพฯ แกมีเพื่อนเล่นมาก พี่น้องรุ่นๆ เดียวกันทั้งนั้นตั้ง ๔-๕ คน แล้วยังมีเพื่อนบ้านเพื่อนนักเรียนของแกอีกล่ะ แหม ! พอมาอยู่ที่นี่บ่นว่าเหงาทุกวัน ผมก็เห็นใจว่ามันเป็นอยู่หน่อยจริง ก็เลยตามใจให้แกหาเครื่องเล่นเครื่องเพลินต่างๆ ตามแต่แกจะชอบ ไอ้รถถีบๆ เป็นแล้วจะไปไหนๆ ได้สะดวก เช่นไปเล่นเทนนิสหรือแบดมินตันที่สโมสร นี่กำลังสั่งไปทางกรุงเทพฯ ให้เขาส่งไม้เทนนิสมาให้”

คุณนายนึกในใจว่า ข้าหลวงเลี้ยงลูกแบบนี้ถ้าตนมีลูกชายก็ไม่ขอปรารถนาจะเป็นทองแผ่นเดียวด้วย แล้วคุณนายก็มองไปทางหลานสาวพร้อมกับนึก “อย่างของเราไม่ให้ผัวหรือแม่ผัวติได้สักคำ”

ข้าหลวงมองไปทางที่บุตรีนั่งอยู่เหมือนกัน และถามเพื่อนของบุตรีว่า

​“งามพิศ เมื่อแรกมาอยู่กับคุณป้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เห็นหญิงสาวมีสีหน้าตื่น และงงจึงทำคำถามให้ชัดขึ้น “เหงาไหม?”

“เปล่าค่ะ”

ข้าหลวงหัวเราะ “อะไรเปล่า ! เหงาหรือไม่เหงาก็ว่ามาซี”

เหงา ! คำว่าเหงานั้นห่างไกลกับความรู้สึกของงามพิศมากเหลือเกิน จนหล่อนจะรับว่าเหงา หรือตอบว่าไม่เหงาก็ไม่ถูกทั้งนั้น งามพิศจึงก้มหน้าลงเสีย ไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น

ข้าหลวงมองดูหล่อน คิดในใจว่า “เด็กคนนี้พิลึก” เกิดความรู้สึกอย่างที่เรียกว่าขวาง แล้วนึกขึ้นได้ว่างามพิศเมื่อวันไปพระแท่นไม่มีอาการน่าเกลียดเช่นนี้ สงสัยว่าหล่อนจะเกรงขามคุณป้าเสียจนงกงัน ก็กลับสมเพชหันกลับมามองดูนางจำนงฯ พยายามจะ ‘อ่าน’ ให้ออกว่า หญิงกลางคนๆ นี้มีนิสัยอย่างใดแน่ ครั้น ‘อ่าน’ ไม่ออกดังใจ ก็หันไปทางงามพิศอีก

“อยู่บ้านทำอะไรมั่ง งามพิศ?”

“ทำงานค่ะ”

“งานอะไร?”

หญิงสาวแกะกระดาน หล่อนไม่ทราบจะยกงานตอนไหนขึ้นบรรยายก่อน คุณป้าจึงตอบแทนว่า

“ช่วยดิฉันเจ้าค่ะ งานบ้าน นั่นมั่งนี่มั่ง นิดๆ หน่อยๆ”

“ยังงั้นทำไมไม่ค่อยจะมาเที่ยวที่นี่มั่ง” ข้าหลวงว่า “ทีหลังหมั่นมาหน่อยนะ มาเองก็ได้นี่ ไม่ต้องกวนคุณป้าแล้วเวลาส่งศรีเขาถีบรถเป็นแล้ว เขาก็ถีบไปหามั่ง ผลัดกันต้องเอื้อเฟื้อกันหน่อย​ซี ดูแต่คุณป้ายังเอื้อเฟื้อฉันดีเบาหรือเป็นอุปถากแท้ๆ” แล้วข้าหลวงก็หันมาหัวเราะกับภรรยานายอำเภอ

 

Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.077 seconds with 16 queries.