Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:00:21

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 6-10
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 6-10  (Read 80 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 19:34:17 »

นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 6-10




วันนี้ สุนทรีมีจิตใจสงบ เยือกเย็นผิดจากวันธรรมดา เพราะท้องฟ้าพยับโพยมด้วยเมฆฝนมาแต่เช้า และเมื่อตอนบ่ายฝนก็ตกลงมาตามที่ตั้งเค้าไว้โดยปราศจากพายุและสายฟ้าอันเป็นที่น่ารำคาญ

สุนทรีชอบวันที่ฝนตกในลักษณะเช่นนี้ เพราะเป็นวันที่ปราศจากความร้อนอันเป็นข้าศึกแก่สุขภาพแห่งร่างกายและจิตใจของหล่อน และเป็นวันที่หล่อนใช้สมองทำงานได้ว่องไวที่สุด ทั้งอาจจะทำได้หลายชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย และสุนทรีชอบภูมิประเทศที่เม็ดฝนกำลังตกต้อง เพราะต้นไม้ใบหญ้าและพื้นแผ่นดินมีอาการสดชื่น ราวกับว่าได้รับชีวิตจิตใจมาจากความเย็นแห่งสายฝน ท้องฟ้าเป็นสีขาวนวล ใบไม้เป็นสีเขียวแกมโศก ถึงแม้จะอ่อนพับลงเล็กน้อย ก็ชุ่มฉ่ำอยู่ในลักษณะการเตรียมพร้อมที่จะชูช่ออันเขียว​สดชื่นในขณะใดขณะหนึ่ง นกน้อยกางปีกไซ้ขน เอียงคอลอดช่องใบไม้มองดูท้องฟ้าเหมือนจะตรวจดูว่า แสงอาทิตย์อันอบอุ่นอยู่ บัดนี้จะบังอาจออกฤทธิ์แผ่ความร้อนมาเผาตัวได้อีกหรือไม่...สุนทรียิ้มกับนก ยิ้มกับเม็ดฝน ยิ้มกับเมฆ ยิ้มกับต้นไม้และในท้ายที่สุดก็ยิ้มให้กับตนเอง เป็นรางวัลในข้อที่ได้ทำงานสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว

เมื่อรู้สึกเมื่อย เพราะได้ยืนอยู่นาน สุนทรีก็ละจากหน้าต่างไปนั่งบนเตียง ใจคิดว่าจะนอนพัก แต่การที่จะนอนนั้นหล่อนต้องมีหนังสือเป็นเพื่อนจึงจะนอนได้ทน สายตาของหล่อนจึงแลไปทางตู้หนังสือ

บนหลังตู้นั้นซึ่งไม่สูงนัก มีรูปถ่ายใส่กรอบตั้งอยู่รูปหนึ่ง เป็นรูปชายหนุ่มน้อย สวมเครื่องแต่งกายแบบตะวันตกตัดเข้ากับตัวอย่างหาที่ติมิได้ ยืนท่าสบายสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ด้วยความที่วงหน้าเต็มไปด้วยชีวิตจิตใจ เมื่อสุนทรีมองไปที่ภาพนั้นก็ดูเหมือนว่าภาพได้มองตอบหล่อน และเมื่อหล่อนลุกจากที่เข้าไปดูใกล้ตู้ ก็ดูเหมือนกับว่าริมฝีปากในภาพเผยอยิ้มและออกวาจา

สุนทรียิ้มเยาะผู้เป็นแบบแห่งภาพ ผู้ซึ่งได้แสดงกิริยาหงุดหงิดงุ่นง่านมาแต่เช้า เพราะสุนทรีได้พยากรณ์ยืนยันว่า ฝนจะตกในตอนบ่าย ครั้นเมื่อฝนตกลงมาจริงดังที่หล่อนทำนาย เขาก็บ่นว่าแสดงความพื้นเสียต่อหล่อนราวกับหล่อนเป็นธิดาพระวรุณ และคล้ายกับว่าการที่เขาต้องเว้นการเล่นกีฬาเพราะฝนเป็นอุปสรรคนั้น เป็นข้อร้ายใหญ่ยิ่งควรแก่การที่เขาจะแสดงโทโสโมโหด้วยประการทั้งปวง ​แต่ครั้นแล้วในเวลาต่อมาไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็หลับสนิทประดุจทารกที่ไม่มีความนึกคิด หรือความรู้สึกสำคัญในสิ่งใดเลย

หยิบหนังสือจากตู้ได้แล้ว แต่ห้วงคิดยังติดอยู่ที่ผู้เป็นแบบแห่งรูป สุนทรีหนีบหนังสือไว้ด้วยแขนข้างซ้าย ส่วนมือขวาจับกรอบรูปเลื่อนเข้ามาใกล้ สีหน้าของหล่อนยังแจ่มใสเต็มไปด้วยความคิดขำ แต่เมื่อมองดูรูปโดยเพ่งเล็งยิ่งขึ้น สีหน้าของสุนทรีก็เปลี่ยนจากลักษณะเดิมทีละน้อย จนกลายเป็นเคร่งขรึมด้วยน้ำหนักแห่งความคิดที่เกิดขึ้นภายใน

“น่ารักน่าเอ็นดูทั้งตัว” หล่อนรำพึง “เสียแต่ในตัวไม่มีอะไรจริงจังเสียเลย”

ที่บนแผ่นภาพ มีลายมือของผู้เป็นแบบเขียนไว้ว่า ‘ประจิตรของสุนทรี’

หญิงสาวนึกถึงวันเวลา ในสมัยที่ประจิตรได้มอบภาพนี้ให้แก่หล่อน ข้อความที่เขาเขียนไว้ตรงกับความรู้สึกอันจริงใจของเขา และตรงกับความปรารถนาของบุคคลอีกหลายคน สมัยนั้นเป็นสมัยที่ประจิตรกลับจากยุโรปใหม่ๆ สวย เก๋ ประเปรียว เป็นเสน่ห์แก่ตาแก่ใจของผู้ที่ได้พบปะวิสาสะ ฝ่ายสุนทรีก็กำลังเป็นสาวเต็มที่ ถึงแม้จะไม่เป็นหญิงสวยอย่างหาที่ติมิได้ ก็มีความสดชื่นแห่งความเป็นสาว ความเฉลียวฉลาด ช่างพูด ช่างเล่นเป็นเครื่องจูงใจให้ผู้ที่มาวิสาสะด้วย เกิดความคิดเห็นว่าหล่อนเป็นหญิงสาวสวยอย่างเอก ทั้งประจิตรและสุนทรีต่างมีความรู้สึกถึงความมีเสน่ห์ของกันและกัน และต่างฝ่ายต่างก็แลเห็นซึ่งความคิดของคนข้างเคียงที่คิดเห็นต้อง​กันว่า เขาทั้งคู่เหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง

สุนทรียังนึกขำอยู่เสมอ เมื่อหล่อนย้อนคิดไปถึงกิริยาที่ประจิตรแสดงความไม่พอใจ ในเมื่อหล่อนแสร้งข่มขู่เขาว่าเขาเป็นน้อง หล่อนเป็นพี่ การที่หล่อนทำเช่นนั้นมิใช่ว่าหล่อนถือเอาจำนวนวันที่หล่อนได้เห็นโลกก่อนเขาสามวันมาเป็นข้อสำคัญ ตรงกันข้ามสุนทรีสารภาพกับตัวเองว่า เสน่ห์ในตัวประจิตรได้ทำให้หล่อนมองข้ามความข้อนี้ได้โดยง่าย ที่หล่อนทำเช่นนั้นก็เพราะว่าหล่อนเป็นหญิง มีธรรมชาติอดมารยามิได้ และจำเป็นที่จะต้องเล่นตัวเพื่อทดลองความมั่นคงของชาย

แต่ในระยะ ๒-๓ เดือนต่อมา จะเป็นเพราะความซื่อของเขา คือ เชื่อเอาเป็นจริงจังว่าสุนทรียึดหลักการที่หล่อนแก่อายุกว่าเขาสามวันมาเป็นกำแพงกั้นเขาเสียจากหล่อน หรือจะเป็นเพราะเขาเป็นผู้หาความเพียรมิได้ หรือจะเป็นเพราะเขาเป็นคนเบื่อง่าย ประจิตรได้หยุดการพยายามที่จะเอาใจสุนทรีอย่างที่ชายหนุ่มพึงเอาใจคู่รัก และพ้นจากนั้นมาอีกไม่ช้า เขาก็เริ่มคุยกับหล่อนถึงเรื่องผู้หญิงสาวต่างๆ ที่เขาได้พบปะและรู้จักใหม่

เขาทำเช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง ครั้นแล้วก็ ‘เงียบ’ ไป และจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ทั้งเขาและสุนทรีต่างก็ยังคงเป็นโสดและไม่มีคู่หมั้นอยู่ด้วยกัน

ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินที่หน้าห้อง สุนทรีวางมือจากรูปถอยมาที่หน้าเตียง

คนใช้ผู้หญิงค่อยๆ แง้มประตูเข้ามา และบอกแก่เจ้าของ​ห้องว่า

“คุณหลวงชาญมาเจ้าค่ะ”

สุนทรีมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นฝนยังตกปรอยๆ อยู่ไม่ขาดเม็ด แล้วหันกลับมาถามคนใช้

“เมื่อมาถึง คุณหลวงถามหาฉันหรือถามหาคุณผู้ชาย?”

“ถามถึงคุณก่อนเจ้าค่ะ แล้วถามถึงคุณผู้ชาย ดิฉันบอกว่านอนหลับ คุณหลวงให้ดิฉันมาเรียนคุณ”

“เชิญคุณหลวงนั่งในห้องรับแขก เดี๋ยวฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อสาวใช้ลับตัวไปแล้ว สุนทรีไปยืนที่หน้ากระจก ใช้แป้งลูบหน้าพอให้หายมัน หวีผมพอให้หายยุ่ง แล้วก็ออกจากห้องไปพบหลวงชาญยนตรกิจ

หล่อนกล่าวเชิญให้เขานั่ง ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานน่าฟังตามปกติของหล่อน ใจคิดถึงประจิตรและคำพูดของเขาที่กล่าวขวัญถึงหลวงชาญฯ เมื่อวันเสาร์ก่อนนี้ ตาของหล่อนก็มองดูหลวงชาญฯ ทั่วทั้งตัว

เขาเป็นคนมีผิวพรรณสะอาด วงหน้าอิ่มเอิบสมบูรณ์ด้วยโลหิต สุนทรีไม่เคยทราบว่าอายุของเขาเท่าไรแน่ ความอยากรู้ได้เกิดแก่หล่อนเป็นครั้งแรก และหล่อนไม่เคยรู้ประวัติของเขาหรือเรื่องราวส่วนตัวของเขามาแต่ก่อน แต่หล่อนเคยคิดว่า ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ไม่เคยถูกชีวิตลงโทษโดยประการหนึ่งประการใดเลย

“อากาศอย่างนี้น่าเบื่อนะครับ” หลวงชาญฯ เอ่ยขึ้นก่อน

“พวกเดียวกับคุณประจิตรอีกแล้ว” หญิงสาวตอบพลาง​หัวเราะเบาๆ “บ่นหนวกหูเหมือนจะตาย แล้วจำเพาะมาบ่นกับดิฉันเสียด้วย”

“บ่นกับคุณเป็นยังไงครับ?”

“ก็ไม่เห็นใจเลยซีคะ เพราะดิฉันชอบอากาศอย่างนี้สบายดี”

“ผมอ่านหนังสือเสียจนเมื่อยหัว หมดท่าเข้าเลยออกมาทั้งฝน”

“ที่สโมสรเห็นจะไม่มีใครเลย?”

“มีครับ แต่คงไม่มากมันทำอะไรไม่ได้นอกจากเล่นไพ่ หรือไม่ยังงั้นก็บิลเลียด หรือไม่ก็กินเหล้ากันเรื่อยไป ผมไม่ได้ไปสโมสรมาหลายวันแล้ว”

“อ้อ !” หล่อนอุทานอย่างพิศวง “ดิฉันคิดว่าคุณหลวงมาจากสโมสรเสียอีก”

หลวงชาญฯ ยิ้มอย่างไม่สู้สนใจนัก แล้วพูดเรื่อยๆ “ออกจากบ้านก็ตรงมานี่ เรื่องสโมสรน่ะเป็นพักๆ บางทีก็ติดราวกับติดฝิ่น บ่ายลงไม่ถึงสโมสรละมันช่างเดือดร้อนเหลือเกิน แต่บางทีก็เบื่อๆ ไปเอง ไม่ไปเลย”

“ถ้าดิฉันเป็นผู้ชายก็ชอบไปสโมสรเหมือนกัน”

“ถึงเป็นผู้หญิงก็ไปได้เหมือนกันนี่ครับ”

หล่อนสั่นศีรษะเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างไม่เห็นด้วยแต่ไม่แสดงเหตุผล ย้อนถามว่า

“ตามสโมสรมีผู้หญิงไปมากหรือคะ?”

“มีไป ๒-๓ คน โดยมาก ผัวไปเมียก็ไป”

“แปลว่าผู้หญิงโสดไม่ค่อยไป”

​“ที่โสดก็มี แต่น้อย โดยมากต้องเป็นพวกพิเศษ”

“ดิฉันก็นึกอย่างนั้นแหละ” สุนทรีกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

หลวงชาญฯ ไม่ตอบ สายตาแลไปยังสิ่งต่างๆ รอบๆ ห้อง สีหน้าไม่แสดงความสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด สุนทรีเริ่มคิดสงสัยว่า ลมชนิดไรพัดตัวเขามาที่บ้านหล่อน แล้วกลับคิดขึ้นได้ถึงคำของเขาที่บอกแก่หล่อนว่า “อ่านหนังสือจนเมื่อยหัว...” ทั้งนี้ย่อมแสดงว่าเขามาเปื่อยๆ พอเป็นพิธีว่าได้ออกจากบ้านเป็นการแก้เบื่อหรือแก้รำคาญให้แก่ตัวเขาเอง เกิดความศรัทธานึกใคร่ที่จะช่วยให้เขาสนุกขึ้นบ้าง หล่อนก็นิ่งคิดหาช่องทางต่อไป

ในที่สุดหล่อนเอ่ยขึ้นว่า

“คุณหลวงรับประทานน้ำชากับดิฉันนะคะ ดิฉันรับประทานทุกวันจนเคยตัว ขาดไม่ได้”

“ผมรับประทานน้ำชาไม่เป็น เสียใจ”

“ถ้ายังงั้นก็รับประทานอย่างอื่น ของว่างกับเบียร์หรือวิสกี้โซดา?”

“แหม ! กินเหล้าแต่วันเห็นจะไม่ไหว”

“วันนี้อากาศเย็นค่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวนะคะ ขอเวลาดิฉันสองนาที”

พูดแล้วโดยไม่รอฟังคำตอบ หล่อนลุกเดินไปนอกห้อง

เมื่อหล่อนกลับเข้ามา เห็นแขกของหล่อนกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ในที่เดิม และสายตาก็มองไปในที่ต่างๆ โดยปราศจากอาการสนใจเช่นเดียวกันกับเมื่อครู่ก่อน เมื่อหล่อนเข้ามาใกล้อีก เขาขยับตัว​ให้หล่อนพอเป็นพิธี

“ดิฉันนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง” สุนทรีกล่าวเมื่อได้นั่งลงแล้ว เขาชักบุหรี่ออกจากปากมองดูหล่อนเป็นทีถาม หล่อนก็ยิ้มแล้วจึงพูดต่อ “ดิฉันยังไม่มีโอกาสได้พบกับภรรยาคุณหลวงเลย”

สีหน้าของเขาแสดงว่าเขาร้อง ‘อ๋อ !’ ในใจ แต่ก็เป็นคำที่ไม่มีน้ำหนักหรือความสำคัญอันใดเลย แล้วเขาก็สูบบุหรี่ต่อไปด้วยสีหน้าเป็นปกติ

“คุณหลวงไม่ชวนมาด้วยนี่คะ” เจ้าของบ้านว่าอีก “หรือว่าดิฉันจะต้องเป็นผู้เชิญให้มาถึงจะถูกแบบ?”

“เขาไม่ชอบเที่ยว ชอบอยู่กับบ้าน”

“เลี้ยงลูกหรือคะ?”

“เปล่า ! ลูกก็ไม่มีจะเลี้ยง ผมเคยมีลูกคนเดียวแล้วก็ตายแล้วก็เลยไม่มีอีก”

สุนทรีปรารภกับตัวเอง “ขี้เกียจพูดทำไมถึงไม่นอนอยู่บ้าน มาเที่ยวรุ่มร่ามให้คนอื่นเขาลำบากทำไม?”

แต่เมื่อปรารภเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดสงสารเขาผู้ที่ถูกหล่อนนินทาอยู่ในใจ จึงตั้งความพยายามต่อไปอีก

“บ้านคุณหลวงอยู่ที่ไหนคะ? ดิฉันยังไม่ทราบเลย รู้จักกันมาเป็นนานแล้ว”

“อยู่ในที่ๆ บ้าที่สุด เพราะมีบ้านที่คลั่งวิทยุอยู่ข้างๆ ถึงสองบ้าน”

สุนทรีหัวเราะ “เปิดดังมากเทียวหรือ?” หล่อนถาม

​“ดังขนาดคนธรรมดาอย่างเราๆ ฟังใกล้ๆ เป็นหูแตก วันไหนผมต้องการจะใช้หัว มันให้อยากจะเอาปืนยิงกรอกเข้าไปทางหน้าต่างเหลือเกิน”

“ร้ายมาก” หญิงสาวอุทานอย่างเห็นใจ “เรื่องวิทยุนี่ร้ายมากทีเดียว ทางแถวบ้านเรานี่ก็เป็นนักวิทยุเกือบทุกบ้านเหมือนกัน แต่เคราะห์ดีเขาเป็นพวกที่รู้จักเห็นอกมนุษย์หน่อย นอกจากวันไหนเขามีแขกมากๆ ถึงจะเปิดดัง แต่ก็ไม่ถึงกับหูแตก”

“คนในพระนครนี่ ๘๕ เปอร์เซ็นต์บ่นเรื่องหนวกหูวิทยุทุกคน แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้”

“นั่นเป็นผลของการที่ความศิวิไลซ์ กับจรรยาของคนเดินไม่ได้ระดับกัน”

หลวงชาญฯ มองดูหล่อนอย่างสนใจเป็นครั้งแรก ทำอาการคิดเล็กน้อยแล้วตอบอย่างแน่นแฟ้น

“ถูกของคุณ”

นิ่งเงียบกันไปอีก สุนทรีคิดว่าแขกของหล่อนจะแสดงความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อต่อเรื่องที่พูดแล้วแต่เขาก็ไม่แสดง หญิงสาวคิดต่อไปว่า ถ้าเขายังคงนิ่งอยู่เช่นนี้ ไม่ช้าหล่อนก็คงจะต้องเป็นฝ่ายพูดข้างเดียว ก็และการพูดข้างเดียวนี้ เป็นการยากที่ผู้พูดจะเว้นเสียได้จากการแสดงความคิดความเห็นส่วนตัว อันอาจเป็นเหตุชวนให้ผู้ฟังคิดไปว่าผู้พูดอวดภูมิรู้ต่างๆ ซึ่งหญิงสาวเช่นสุนทรีย่อมปรารถนาจะหลีกเลี่ยง หล่อนแลไปทางประตูห้อง บ่นอยู่ในใจว่าอาหารว่างทำไมจึงยังไม่เสร็จ แล้วเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์​ฉบับหนึ่งวางอยู่บนเก้าอี้คงจะเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันเสาร์ ซึ่งความสะเพร่าของพนักงานกวาดห้องได้ทำให้ตกค้างอยู่ในที่อันไม่สมควร

ไม่เห็นช่องทางอื่นที่จะทำลายความเงียบอันน่ารำคาญได้ดีกว่าที่จะพูดเรื่องไม่เป็นสาระขึ้นสักคำสองคำ สุนทรีจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า “เอ๊ะ ! นั่นหนังสือพิมพ์อะไร?” แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์มาถือไว้

“อ้อ ! หนังสือพิมพ์เมื่อวาน” หล่อนพูดต่อไปมองดูพาดหัว แล้ววางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะตรงหน้า “หมู่นี้ข่าวหนังสือพิมพ์ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องศึกสเปน”

หลวงชาญฯ ยิ้มนิดหนึ่งเป็นเชิงรับคำแล้วก็เฉยอยู่

สุนทรีทนความรำคาญไม่ได้ จึงเริ่มแสดงความเห็น

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า สเปนในสมัยนี้จะเป็นบ้าดีเดือดเท่ากับฝรั่งเศสเมื่อสองร้อยปีก่อน”

ได้ชมอาการยิ้มจากผู้ฟังเป็นคำรบสอง

“อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นเผาเมืองตัวเอง” หล่อนพูดต่อไป “แล้วก็ฆ่ากันเองอย่างสนุก น่าทุเรศจัง ทำไมถึงบ้าเลือดได้มากถึงเพียงนั้น”

“ก็คนสเปนเลือดร้อนนี่ครับ” หลวงชาญฯ ตอบเรื่อยๆ “แล้วบ้านเมืองถึงจะอยู่ในยุโรปก็จริง แต่ก็เป็นเมืองร้อนมาก เพราะถูกภูเขาล้อมรอบ ได้อากาศร้อนจากแอฟริกามากกว่าได้อากาศยุโรป”

“หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสฉบับหนึ่งเขียนว่า สงครามกลางเมือง​สเปนเป็นสงครามศาสนามากกว่าสงครามการเมือง เขาให้สถิติพระที่ถูกฆ่าถึง ๑,๕๐๐ คน มีการขุดศพพวกชี พวกพระขึ้นทำอุจาดต่างๆ มีพวกผู้หญิงไปร้องรำทำเพลงรอบศพที่ขุดขึ้น พ่อพวกหนุ่มๆ ก็เอาปืนไปเที่ยวยิงรูปปั้นพระเยซู แล้วก็ทำลายโบสถ์วิหารซึ่งเป็นศิลปแห่งชาติของตัวเองแท้ๆ” จิตใจตกเป็นทาสแก่ความพยายามของตนเอง น้ำเสียงสุนทรีก็มีกังวานหนักแน่นขึ้น “สงครามศาสนาในยุโรปเวลานี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย”

“ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่ามนุษย์ไม่เคยเจริญขึ้นเลย นิสัยสัตว์ป่า ชอบแย่ง ชอบข่มเหง ชอบฆ่า ชอบฟันเคยมีอยู่อย่างไร ก็ยังมีอยู่อย่างนั้น ชั่วแต่วิธีที่ทำน่ะเก๋ขึ้นหน่อย แทนที่จะกัด หรือขวิด หรือชน ก็ถืออาวุธ ปล่อยอาวุธเข้าสู้กันเท่านั้นเอง สงครามสเปนน่ะที่ยืดเยื้อเป็นบ้าเป็นหลังถึงเท่านี้ก็เพราะว่า ถูกต่างชาติช่วยกันยำใหญ่เสียด้วย”

“ดิฉันออกจะเห็นด้วยค่ะ เพราะเคยคิดถึงเหตุผลต่างๆ ทั้งที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ ทั้งที่ทำให้เกิดศึกกลางเมือง ไม่เห็นน่าจะเป็นเหตุที่ต้องฆ่าฟันกันจนยับสักเรื่องเดียว”

หลวงชาญฯ มีอาการคิดอย่างเพ่งเล็ง และดูเหมือนจะคิดเห็นข้อขำอย่างใดอย่างหนึ่ง ริมฝีปากของเขาเผลอยิ้มแล้วเขาพูดว่า

“มนุษย์ฆ่ากันเพราะความอยากอย่างเดียว ที่เป็นคนฆ่าก็เพราะไอ้อยากนี่ ที่ถูกฆ่าก็เพราะไอ้อยากนี่ ที่ระวังตัวกลัวถูกฆ่าก็เพราะได้อยาก ที่จ้องจะคอยฆ่าก็เพราะได้อยากอีก แต่ว่าเขาก็สร้างคำพูดต่างๆ ขึ้นบังหน้า ‘เพื่อความยุติธรรม’ ‘เพื่ออิสรภาพ’ ​โกหกทั้งเพ ‘คำ’ เท่านั้นเองไม่ได้มีความหมายอะไร แล้วก็อุตส่าห์มีคนเชื่อถือ ถึงกับแสดงความเห็นว่ามนุษย์รบกันเพราะความเห็น คือมีความเห็นต่างกันจึงได้รบกัน”

“เป็นการให้เกียรติยศมากเกินไปหรือคะ?”

“ครับ มากเกินไปมากทีเดียว”

คนใช้ยกถาดของว่างเข้ามา สุนทรีชี้ให้วางแล้วก็ขยับตัวขึ้นให้ตรง ตรวจดูอาหาร

“อุ๊ย ! แม่ค้าข้าวเกรียบช่างรักชาติมากจริง” หล่อนพูดแกมหัวเราะ เมื่อยกจานที่ใส่ของสิ่งนั้นวางให้ตรงหน้าแขกของหล่อน “ธงชาติน่ะข้าวเกรียบปลาค่ะ อีกข้างหนึ่งข้าวเกรียบกุ้ง รังเกียจไหมคะ เวลาเห็นสีทาอยู่บนขนมหรือของรับประทานอื่นๆ ดิฉันไม่รังเกียจ แต่เกลียด”

อีกฝ่ายหนึ่งมองดูหล่อนแล้วก็ยิ้ม ไม่ตอบว่ากระไร

ที่น้ำชาและเครื่องดื่มมาถึงพร้อมกัน สุนทรียกมือแตะขวดโซดาแล้วกล่าวว่า “แหม ! เย้นเย็น.....” มองไปทางแขกของหล่อน “โปรดช่วยตัวเองนะคะ ดิฉันผสมส่วนไม่ถูก”

หล่อนเริ่มรับประทานขนมปังเดิม หลวงชาญฯ ผสมวิสกี้โซดา แต่หล่อนรับประทานต่อไปไม่ได้เท่าไรเพราะเมื่อแขกของหล่อนใช้วิธีจิบวิสกี้แล้วก็วางถ้วย พิงเก้าอี้มองดูหล่อน แล้วจิบวิสกี้อีก แล้ววางเสีย มองหล่อนอีก ดังนี้บ่อยเข้า ถึงแม้ดวงตาที่มองไม่มีแววแห่งความหมายอันใดพิเศษ สุนทรีก็เกิดความกระดาก ที่ตนมากลายเป็นภาพแห่งคนเคี้ยวอาหารให้อีกคนหนึ่งดู

​ดังนั้นหล่อนจึงเลียนแบบเขา คือ เลิกรับประทานขนมปังผสมน้ำชา แล้วก็ทำการจิบแล้ววางช้อน คนแล้วจิบแล้ววางอีก

ในระหว่างนั้นหล่อนเอ่ยขึ้นว่า

“เห็นรูปผู้หญิงสเปนแต่งตัวเป็นทหาร ดิฉันขวางจริง”

“ทำไมถึงขวาง” หลวงชาญฯ ว่า “ควรจะดีใจว่าผู้หญิงก็ทำอะไรๆ ได้เท่าผู้ชาย ดังที่เห็นผู้หญิงสเปนเป็นพยาน”

“ผู้หญิงทำอะไรๆ ได้เท่าผู้ชายมานานแล้ว” หญิงสาวตอบ ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย และยิ้มอย่างสดใส “แต่ดิฉันชอบให้ทำเงียบๆ เมื่อจำเป็น ไม่ชอบให้เที่ยวตะโกนอวดใครๆ ถ้าตะโกนกันนักก็ชักขวาง อยู่ดีๆ เที่ยวอวดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ตีรันฟันแทงมนุษย์ได้ ไม่เห็นน่าเอ็นดูสักนิด”

“ขอโทษเถอะครับ” แขกของหล่อนกล่าวพลางยิ้ม “นั่นเป็นเพราะคุณชอบหลอกตัวเองใช่ไหม?”

“หลอกยังไงคะ? ดิฉันไม่ชอบอวดต่างหาก”

“แต่ในบางกรณี มันจำเป็นต้องอวดนี่ครับ เพื่อปลุกใจให้คนอื่นเอาอย่าง”

“ดิฉันมองไม่เห็นความจำเป็น”

ฝ่ายเขาหัวเราะ และดูเหมือนจะนิ่งเสียเพราะไม่อยากจะเถียงต่อไป มากกว่าที่จะนิ่งเพราะจำนนต่อเหตุผล

“ไม่รับประทานขนมปังทาน้ำพริกผัดนี่มั่งหรือคะ?” สุนทรีพูดขึ้นอีก “ค่อยมีรสเค็มมากขึ้นหน่อย ข้าวเกรียบเห็นจะจืดไปสำหรับรับประทานกับเหล้า”

​หลวงชาญฯ ทำตามที่หล่อนแนะนำ แล้วเกิดนึกสนุกจึงพูดว่า

“ในกรณีศึกสเปนน่ะ จำเป็นที่จะต้องอวดว่ามีทหารผู้หญิงสำหรับให้ฝ่ายศัตรูเห็นว่าพวกมาก เป็นพยานว่าตนเป็นฝ่ายถูก”

“อีกนัยหนึ่ง จะดูให้เป็นว่าสิ้นคิดจนถึงต้องใช้ทหารผู้หญิงก็ได้”

เขาแย้งหล่อน หล่อนก็แย้งตอบ ผลัดกันไปมา แล้วแนวแห่งการสนทนาของทั้งสอง ก็เหจากเหตุการณ์ในสเปนมาเข้าเรื่องเหตุการณ์ในบ้านเมืองของเขาเอง

ใกล้จะย่ำค่ำ ฝนขาดเม็ด หลวงชาญฯ ลากลับ เมื่อรถที่เขาขับเองแล่นวงตามรอบสนามไปสู่ประตูบ้าน สุนทรียืนมองตาม ยิ้มในหน้าพลางปรารภกับตัวเอง

“ชอบพูดเรื่องเป็นงานเป็นการ ไอ้เราก็ไม่รู้”

แต่ฝ่ายหลวงชาญฯ เมื่อขับรถไปตามถนน มิได้นึกถึงข้อความอันเป็นความคิดเห็นของสุนทรี สิ่งที่เขานึกถึงเวลานั้น คือกิริยาของหล่อนเมื่อแตะขวดโซดาด้วยปลายนิ้ว แล้วกล่าวแก่เขาว่า “โปรดช่วยตัวเองนะคะ” นั้น ดูแช่มช้อยยิ่งนัก และลักษณะยิ้มของหล่อนก็ติดตาเขามา

สุนทรีกลับขึ้นตึก พบประจิตรยืนกางแขนทั้งสองข้างเท้ากรอบประตูห้องของหล่อนอยู่ มองดูสีหน้าเขาแล้วหล่อนก็ถามว่า

“เอ๊ะ เจ้าของห้องไม่อยู่ ละลาบละล้วงเข้าไปทำอะไรในห้องเขาน่ะ?”

​“หลวงชาญฯ เขามาว่ากระไร?” ชายหนุ่มถามแทนที่จะตอบ

“ไม่เห็นว่ากระไร บอกว่าอ่านหนังสือจนเมื่อยหัว ก็คงจะเที่ยวหาเพื่อนคุยแก้รำคาญ เผอิญเธอก็หลับเสียด้วย”

“หลับสนิท” เขารับ “ตื่นขึ้นนึกว่าเช้าแล้วด้วยซ้ำไป”

พูดพลางประจิตรหลีกทางช่องประตู สุนทรีเข้าในห้องหยุดยืนอยู่เคียงเขา ถามว่า

“แล้วยังไง เมื่อตื่นขึ้นพบว่ายังไม่เช้ายังงี้ จะทำอะไรต่อไป?”

เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม

“ไปดูหนังด้วยกันไหม?”

หล่อนย่นจมูกขึ้นเล็กน้อย แล้วว่า

“ไม่ไหว หนังคืนนี้คงไม่มีอะไรนอกจากเรื่องชกกันต่อยกัน เห็นตัวอย่าง ไม่เห็นมีอะไรสวยๆ งามๆ ที่จะดูเสียเลย”

“งั้นทำไง? ไปไหนดี?”

หล่อนมองดูเขาอีก แล้วก็หัวเราะ เป็นเหตุให้เขาถามด้วยความสงสัย

“หัวเราะอะไร?”

“หัวเราะเธอน่ะซี”

“รู้แล้ว ฉันน่ะถูกเธอหัวเราะวันละหลาย ๑๐ หนจนไม่อยากจะถาม”

“ไม่อยากถามก็ถามทำไมล่ะ?”

“ก็มันอดไม่ได้ เห็นหัวเราะก็อยากรู้ว่าหัวเราะดีหรือร้าย”

“หัวเราะดี” หล่อนลงเสียงตอบ “หัวเราะร้ายใครจะกล้ามา​หัวเราะให้เห็น”

“ดีก็เล่าไป อธิบายว่าดีอย่างไร”

“หัวเราะว่าเธอน่ะเป็นคนที่น่าสงสาร มีความลำบากประจำตัวอยู่อย่างหนึ่ง คือว่า พอเย็นลงก็ไม่รู้จะเอาตัวไปวางไว้ที่ไหนถึงจะเป็นสุข”

“นั่นหรือหัวเราะดี?”

“อ้าว ก็สงสารเห็นใจจะเรียกว่าร้ายหรือ”

ฝ่ายเขาไม่ตอบ ออกเดิน ทำท่าตรึกตรองอยู่สักอึดใจหนึ่งก็ปรารภขึ้นว่า

“เรานี่เห็นจะต้องมีเมียไว้สักคนเสียแล้ว เอาที่ใจตรงกันเปี๊ยบ ไปไหนไปด้วยกัน กินไหนกินด้วยกัน นอนไหนนอนด้วยกัน”

“สองคำหลังน่ะพอจะเชื่อได้ แต่คำแรกน่ะแน่หรือต้องการอย่างนั้นแน่?”

“แน่ซี ให้มันพอเหมาะพอดีทำไมจะไม่แน่ นอกจากไปทำงาน ถ้าถึงกับไปทำงานก็ไปคอยเฝ้า มันก็เหลือทนไป”

“อ้าว ก็ไหนว่าไปไหน ไปด้วยกันยังไงล่ะ? ที่จริงน่ะถึงจะตัดไอ้ข้อทำงานออกไปเสีย เธอแน่ใจหรือว่าเธอไปไหนอยากให้เมียไปด้วยเสมอ?”

ชายหนุ่มหัวเราะออกมาทันที “ไอ้เราละมันช่างรู้ไปเสียหมด” เขาว่า แล้วพูดต่อไปโดยเร็ว “ไปเที่ยวด้วยกันเถอะน่ะ”

“ไปก็ไป แต่เธอต้องให้เวลาฉัน ๒๐ นาที ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ”

“ได้” เขาตอบทันที ครั้นแล้วก็ต่อ “เอาแต่เพียง ๑๕ ไม่ได้​หรือ?”

“เร็วที่สุดที่จะเร็วได้” สุนทรีตอบ

เจ้าหล่อนใช้เวลาเท่าที่ประจิตรขอร้อง แม้กระนั้นก็ได้ถูกเร่งจนหล่อนร้องว่า “หายใจไม่ทัน”

ในทันทีที่หล่อนขึ้นนั่งบนรถเคียงข้างเขา ประจิตรสตาร์ตเครื่องพลางพูดว่า

“สวยเช้งยังงี้ พาไปโชว์ที่ไหนถึงจะเหมาะ”

“ใครเขาแต่งตัวสำหรับโชว์ ที่เขาอยากจะโชว์คนต่างหาก” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะ “ถ้าเธอคิดยังไม่ออกว่าจะไปไหน ฉันจะชวนเธอไปบ้านคุณพระวนศาสตร์โกศล”

“ได้” เขารับโดยเต็มใจแล้วทวนคำของหล่อนในเสียงหัวเราะ “คุณพระวนศาสตร์โกศล ! อุตส่าห์เรียกเสียออกยืดยาว”

หล่อนหัวเราะอีก แล้วว่า “ไม่เรียกให้ครบเดี่ยวเธอจะไม่รู้ว่าใคร ถ้ายังไงเรากินข้าวเสียที่นั่นเอาไหม?”

“ก็ได้ ถ้าคุณอาเลี้ยงเหล้า ถ้าไม่เลี้ยงละก็ไม่กิน”

หล่อนค้อนให้ทันที และนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เห็น เพราะมัวแต่มองดูทาง จึงต้องบอกให้เขารู้

“หมั่นไส้ เกลียด ไม่อยากมาด้วย”

ประจิตรถอนเท้าจากที่เร่งน้ำมัน ทำให้รถช้าลงทันใด พร้อมกันนั้นเขาพูดว่า “ลงเสียที่นี่รึ?” แต่เมื่อถามยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ใช้เท้าเร่งน้ำมันขึ้นดังเก่า

สุนทรีจึงว่า

​“ทำไมไม่หยุดล่ะ ฉันจะได้ลง”

“งอนราวกับสาวอายุ ๑๕” อีกฝ่ายหนึ่งกล่าว “เขาสงสารว่าจะต้องเดินกลับบ้านหรอกน้า”

“ธุระอะไรจะต้องเดิน ยังกับหารถยากเสียเต็มที”

ฝ่ายเขาไม่ตอบ สุนทรีก็นิ่งเงียบไปด้วย รถแล่นไปในกำลังเร็ว ๓๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ประจิตรนึกถึงสิ่งไม่เป็นชิ้นเป็นอันต่างๆ แล้วแต่สมองจะชักไป สุนทรีนึกเคืองคำที่ประจิตรแสดงความพอใจในการดื่มถึงเพียงนั้น เกิดความรู้สึกหนักอก ดังที่หล่อนต้องหนักบ่อยๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวของชายหนุ่มผู้นี้

ต่อมาอีกไม่ช้า รถก็มาถึงที่หมาย

ก่อนที่จะลงจากรถ ประจิตรพูดกับสุนทรีเบาๆ ว่า

“ที่นี่น่ะไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ชอบมานะ แต่เบื่ออย่างเดียวแหละ มาถึงไม่รู้จะพูดอะไร คุณเอาท่านไม่พูดเสียเลย”

“ก็ท่านมีเมียไว้พูดแทนแล้วนี่นา”

น้ำเสียงที่สุนทรีกล่าวตอบนั้นก็เป็นเสียงปกติ แต่ผู้พูดและผู้ฟังคู่นี้ย่อมจะรู้ถึงใจซึ่งกันและกัน แม้ในคราวที่ไม่ทันตั้งความสังเกต ฉะนั้นประจิตรจึงว่า

“เธอควรจะขอบใจพระเจ้า ที่มีแม่เลี้ยงเป็นคนช่างพูดหน่อย ไม่ยังงั้นแขกที่เขามาที่นี่ เขาจะทำยังไง?”

“ถ้าไม่มีเมียคอยพูดแทน คุณพระก็คงพูดเองได้ คนเราน่ะ ถ้าลงเห็นใครทำอะไรจนเบื่อเสียแล้ว ตัวเราเองก็เลยขี้เกียจทำ”

โต้แย้งกันมาเช่นนี้จนถึงบนเรือน พอคนใช้คนหนึ่งสวนทาง​มา ประจิตรจึงถาม

“คุณอาอยู่ไหม?”

แต่สุนทรีสังเกตเห็นว่าคนใช้ผู้นั้นเป็นผู้ที่มาอยู่ใหม่ จึงอธิบายต่อ

“คุณพระน่ะจ้ะ ท่านอยู่ไหม?”

“อยู่ครับ อยู่ข้างบน”

“ท่านทำอะไรรู้ไหมจ๊ะ?”

“ไม่ทราบครับ”

“ภรรยาท่านล่ะ?”

“ไม่อยู่ครับ พาคุณเล็กๆ ไปดูหนัง”

“เอ๊อ ยังงั้นเราขึ้นไปข้างบนกันเถอะ” สุนทรีกล่าวแก่ประจิตร “หรือเธอจะอยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะขึ้นไปดูว่าท่านทำอะไร” แล้วเสริมเมื่อเห็นคนใช้เดินห่างไปแล้ว “วันนี้เผอิญยามปลอด”

ประจิตรเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ในห้องที่ติดกับเฉลียง สุนทรีขึ้นบันไดไปชั้นบน เข้าในห้องอันเป็นที่ๆ เจ้าของบ้านใช้นั่งเล่นนอนเล่น เกือบตลอดทุกชั่วโมงที่ท่านอยู่บ้าน ก็พบคุณพระวนศาสตร์โกศลกำลังอ่านหนังสืออยู่

เงยหน้าขึ้นเห็นหญิงสาว คุณพระวางหนังสือลงไว้บนตัวแล้วทักว่า

“อ้อ สุนทรี พ่อบ่นอยู่เมื่อวานนี้เอง ว่าหายไปหลายวัน”

สุนทรีเดินไปคุกเข่าตรงหน้าคุณพระ แล้วน้อมตัวลงไหว้อย่างนอบน้อม

​“มาคนเดียวหรือ?” คุณพระถาม

“มากับคุณประจิตรค่ะ”

“อ้าว อย่างงั้นก็ลงไปคุยกับเขาข้างล่างซี” แล้วคุณพระก็ลุกขึ้นจากที่

พ่อลูกออกจากห้องพร้อมกัน และลงบันไดมาด้วยกันเงียบๆ จนถึงที่ๆ ประจิตรนั่งอยู่ พระวนศาสตร์ฯ จึงพูดขึ้น

“ไง ประจิตรสบายดีหรือ?”

“สบายครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับทำความเคารพ

คุณพระนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าประจิตร สุนทรีนั่งเหลื่อมไปทางเบื้องหลังเล็กน้อย แล้วเจ้าของบ้านพูดว่า

“แม่ละม้ายเขาไม่อยู่เสียแล้ว ไปดูหนังกับลูก”

ชายหนุ่มมองไปทางสุนทรีด้วยนึกขำในใจ แล้วจึงกล่าวตอบ “คุณอาทำไมไม่ไปดูด้วยล่ะครับ”

คุณพระยิ้มนิดหนึ่ง และตอบสั้นๆ อย่างไม่เอาใจใส่

“ไม่ค่อยชอบ”

แล้วท่านมองไปทางบุตรี ในกิริยาที่คล้ายกับท่านไม่มีสิ่งใดจะทำดีกว่านั้น และดูเหมือนกับว่าท่านมีความพอใจแล้วที่จะได้นั่งอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าลูกและผู้ที่ท่านนับว่าเป็นหลาน

แต่ประจิตรเป็นผู้ที่ทนต่อความนิ่งไม่ได้นาน แม้จะนึกสนุกในข้อที่คุณพระได้แสดงตน ตรงกับคำพูดของเขาที่กล่าวแล้วแก่สุนทรีเมื่อแรกมาถึง ก็อดทนดูใจคุณพระอยู่ต่อไปไม่ได้เท่าไร ในที่สุดเขาก็ต้องทำลายความเงียบขึ้นก่อน

​“ตกลงวันนี้คุณอาจะต้องรับประทานข้าวคนเดียวหรือครับ”

คุณพระพยักหน้า

“ผมอยากรับประทานด้วย”

คุณพระยิ้มแล้วตอบว่า “ดี”

ชายหนุ่มเว้นระยะ เพื่อรอฟังว่าท่านจะพูดต่อไปหรือไม่ เห็นท่านไม่พูดจึงพูดต่อ

“อย่างคุณอา เห็นจะไม่เดือดร้อนนะครับ เวลาต้องรับประทานข้าวคนเดียว” หยุดรออีกครั้งหนึ่งคุณพระก็คงยิ้มและนิ่งฟังอยู่เช่นเดิม ประจิตรจึงพูดอีก “ผมละไม่ได้ เกลียดจริง ถ้าจะต้องรับประทานคนเดียวละเป็นต้องขอเอารถออกจากบ้าน อย่างหาเพื่อนไม่ได้เลย คุยกับเจ๊กในร้านก็ยังดี ผมก็เหมือนคุณพ่อน่ะแหละ คุณพ่อรับประทานข้าวคนเดียวไม่เป็นเหมือนกัน ถ้าไม่มีคุณแม่ก็ต้องมีพี่สาวคนนี้” พยักหน้าไปทางสุนทรี “ถ้าไม่ยังงั้นก็พ่อลูกรถคนละคัน ต่างคนต่างออกไปเที่ยวหาเพื่อนคนละทาง”

สุดคำพูดของประจิตรเป็นครู่ พระวนศาสตร์ฯ จึงตอบว่า

“แล้วแต่เคย”

“ผมว่าแล้วแต่นิสัยมากกว่า”

คุณพระนึกถึงเวลาหนึ่งปีกับหนึ่งเดือนเศษ ที่ได้อยู่ร่วมกับมารดาของสุนทรี โดยมิได้แยกที่กินที่นอนจากกันแม้แต่สักครั้งสักหน ครั้นเจ้าหล่อนผู้นั้นล่วงลับไปเสีย หลังจากที่ได้ให้กำเนิดแก่สุนทรีเพียงเจ็ดวัน ความอาลัยรักที่ฝังอยู่ในใจคุณพระ ได้ทำให้คุณพระอยู่คนเดียวเป็นเวลานานถึง ๖ ปี การที่ต้องอยู่คนเดียวเพราะเหตุ​การณ์บังคับนี่เอง ทำให้ท่านเคยแก่การใช้ตัวเองเป็นเพื่อนมาจนถึงทุกวันนี้

“คุณอารับประทานข้าวกี่ทุ่มครับ?” ประจิตรถาม

“ตามเคยน่ะแหละ ทุ่มครึ่ง หรือก่อนนั้นก็ได้ แกหิวแล้วหรือ?”

“โอ๊ ! ยังครับ ยังไม่หิวเลย ถามไปยังงั้นเอง”

“คอแห้งกระมัง? สุนทรีไปบอกให้เด็กมันหาอะไรมาเลี้ยงไป๊”

“เปล่าครับ” ประจิตรค้านโดยเร็ว “หิวก็ไม่หิวแห้งก็ไม่แห้ง เมื่อจะออกจากบ้านผมรับประทานน้ำมาถ้วยแก้วใหญ่ ยังอิ่มอยู่”

“ไอ้ที่อาบอกให้เอามาเลี้ยงน่ะมันไม่ใช่น้ำนี่นา ถึงอิ่มก็กลืนลงไปอีกได้”

“เหล้าหรือครับ?” ประจิตรถาม ทำหน้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้สุนทรีเห็นขันและน่าเอ็นดู “ถ้ายิ่งเหล้าละก็ยิ่งไม่รับประทานใหญ่ ไม่รับประทานจริงๆ ครับ”

สีหน้าคุณพระเปลี่ยนจากลักษณะเฉยๆ เป็นครั้งแรกในขณะที่ถามว่า

“แกอดเหล้าเสียแล้วหรือประจิตร?”

“เสียแล้ว” สุนทรีทวนคำและหัวเราะเบาๆ “ทำไมใช้คำว่า ‘เสีย' ล่ะคะ?”

“ผมกำลังจะเรียนถามว่า คุณอาทำไมถึงมีเหล้าไว้ในบ้าน?”

“เดี๋ยวนี้มีเสมอ เอาไว้ดูดคน เพราะถ้าเหล้าไม่ติดบ้านเพื่อนก็ไม่ติดเหมือนกัน” แล้วหันไปทางธิดา “ที่ใช้คำว่า ‘เสีย’ เมื่อตะกี้ ​ก็เพราะเหตุที่ว่านี่แหละ”

“แต่คุณประจิตรน่ะ เหล้าไม่เพียงแต่ติดบ้าน มันท่วมบ้านเลย” สุนทรีว่า

ฝ่ายเขาตอบอย่างหน้าตาเฉย “ขวดเปล่าละกระมังที่ท่วม เธอไม่ช่วยขายเจ๊กเสียมั่งนี่ เหล้าน่ะไม่มีท่วมละ”

มีคนน้อยคนที่จะเฉยเมยต่อความช่างพูดของประจิตรอยู่ได้นาน ฉะนั้นคุณพระจึงถาม

“แล้วทำไมวันนี้ถึงจะมาทำแห้ง หรือไม่เชื่อว่าที่นี่จะมีเหล้าดีๆ ให้กิน?”

“โอ๊ย ! เชื่อซีครับ ทำไมจะไม่เชื่อ คุณพ่อเคยพูดเสมอว่า คุณอาคอสูงเป็นที่หนึ่ง เหล้าเลวไม่มีแตะ แต่ว่าวันนี้ผมขอตัวครับ ขอไม่รับประทาน”

“ถ้าขอก็ต้องยอมให้” คุณพระว่า

ประจิตรทำอาการถอนใจอย่างโล่งอก

ต่างคนต่างนิ่งกันไปเป็นครู่ แล้วท่านเจ้าของบ้านทำลายความเงียบขึ้นเป็นครั้งที่หนึ่ง

“เออ ! ไอ้เรื่องที่แกขับรถไปชนคนตายน่ะเป็นอย่างไร?”

“เรียบร้อยไปนานแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบ “เสียไป ๑,๘๐๐ บาท”

“ถูกมาก สำหรับชีวิตคนๆ หนึ่งที่เสียไป”

“ผมไม่ได้ต่อสู้หรือแย้งเลยสักคำ เจ้าหน้าที่ว่ายังไงก็เอายังงั้น เซ็นเช็คให้ทันที”

​สุนทรีอุทานขึ้นในบัดนั้น

“ต๊าย ! พูดถึงเรื่องนี้ ฉันว่าจะบอกอะไรเธออย่างหนึ่ง รู้เรื่องมาตั้งแต่วันศุกร์แล้วก็ลืมเสีย นี่หากว่า...มาพูดกันขึ้น นักเรียนเข้าใหม่คนหนึ่ง อ้อ, คนที่ไปที่บ้านเมื่อเดือนก่อนน่ะ เธอเป็นคนพบเขาก่อนแล้วถึงได้วิ่งขึ้นไปบอกที่ห้องฉัน จำได้ไหมล่ะ?” ประจิตรทำท่าฉงนแล้วพยายามคิด? แต่แล้วก็ส่ายหน้า สุนทรีก็ค้อนให้นิดหนึ่งแล้วจึงเล่าต่อไป “สงวนแกเล่าให้ฟังเมื่อวันศุกร์ว่า ลูกสาวคุณหลวงที่ตายนั่นน่ะ กำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์ เป็นนักเรียนอักษรศาสตร์ปีที่หนึ่ง แต่พอพ่อแกตาย แกไม่มีทุนหรือยังไงของแกก็ไม่รู้ เลยออกไปเฉยๆ ไม่ได้ลาออกด้วย”

“เรอะ ! ตายห่า” ประจิตรอุทาน ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง สีหน้าแสดงความร้อนใจโดยจริงจัง “ก็เงินตั้งเกือบสองพันไม่พอหรือ ค่าเรียนจุฬาลงกรณ์ปีละเท่าไหร่กัน?”

“เราไม่รู้น่ะซี ว่าต้องออกไปเพราะเรื่องอะไรกันแน่ ยายสงวนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินแต่เพื่อนๆ เขาเล่ากันมาอีกต่อหนึ่ง”

“บ้าจริงแฮะ” ประจิตรร้อง แล้วนิ่งอั้นไปอึดใจหนึ่ง ภายหลังจึงร้องขึ้นอีก

“พิโธ่ ! โง่ไปได้ ! ไปถามเขาดูก็แล้วกัน บ้านเขาเราก็รู้จัก เดี๋ยวออกจากนี่แล้วตรงไปเลย”

“อะไรไปหาเขากลางค่ำกลางคืน” สุนทรีค้าน

“ฮึ ! ก็มีเธอไปด้วยแล้วยังไงล่ะ มีผู้หญิงไปด้วยเป็นประกันได้ดี เขารู้ว่าเราไม่ได้ไปปล้นบ้านเขา”

​“แปลว่าบทจะไปไหนขึ้นมาก็ต้องไปให้ได้?”

“ไม่ใช่ยังงั้นหรอก แต่เรื่องนี้ฉันรำคาญ ต้องให้มันเสร็จๆ ไปเสีย ไม่ยังงั้นคืนนี้ก็นอนฝันถึงอีตาหลวงคนนั้นอีกเท่านั้น ยิ่งไม่มีเพื่อนนอนอยู่ก็”

พระวนศาสตร์ฯ สนับสนุนขึ้นว่า

“ถูกแล้ว อาก็เห็นใจ”

ประจิตรกับสุนทรีไปถึงบ้านอันเคยเป็นที่อยู่ของหลวงประเสริฐฯ ราว ๒๑ นาฬิกาเศษ หยุดรถไว้ที่ตรงหน้าประตู ประจิตรหันมาชวนสุนทรี

“ไปซี ไปด้วยกัน”

“ไปจัดการให้ประตูมันเปิดเสียก่อนเถอะ ฉันคงจะไปทันเธอหรอก” สุนทรีว่า

“ลงมาเถอะน่ะ ไปยืนอยู่ด้วยกันค่อยอุ่นใจหน่อย”

“เรื่องมากจริง”

หญิงสาวกล่าวแล้วเลื่อนตัวจากที่นั่งก้าวลงจากรถ

“เอ๊ะ ! ไอ้กระดิ่งมันอยู่ที่ไหน?” ประจิตรปรารภในขณะที่มองตรวจตามบานประตู พร้อมกับใช้มือคลำหาด้วย “มันเคยมีนี่นา”

“หากระดิ่งไม่ได้ก็เคาะเอาซีเธอ เราอยากจะมาเวลาวิกาลอย่างนี้ก็ต้องมีอะไรพิสดารหน่อยเป็นธรรมดา”

ประจิตรยังดื้อหากระดิ่งต่อไป แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้เมื่อตบประตูได้ ๒-๓ ครั้ง ก็ได้ยินเสียงกุกกักแว่วๆ ออกมาจาก​ภายใน แล้วภายหลังก็ได้ยินเสียงพูดอยู่ใกล้ๆ ว่า

“มาอะไรป่านนี้ คุณหลวงไม่อยู่หรอกย่ะ”

สุนทรีหัวเราะพลางมองดูประจิตร แต่ฝ่ายเขาได้ผละถอยหลังห่างจากประตู และฉวยมือหล่อนกำไว้โดยแรงจนหล่อนตกใจ ภายหลังเขาจึงกระซิบว่า

“บอกไปทีซีว่าเราไม่ได้มาหาคุณหลวง”

“ไม่ได้มาหาคุณหลวงหรอกค่ะ มาหา....” หล่อนชะงักหันมาถามประจิตร “ตาคนนั้นแกชื่ออะไร?”

“ประพันธ์” ประจิตรกระซิบ

“มาหานายประพันธ์” สุนทรีบอกไป

“เอ๊ะ ! ประพันธ์ประแพ็นที่ไหนกัน” เสียงในบ้านตอบออกมา “คนชื่อประพันธ์ที่นี่ไม่มีย่ะ”

“บอกไปทีซีว่าลูกชายคุณหลวงชื่อประพันธ์”

“ก็เธอทำไมไม่รู้จักพูดมั่งล่ะ” หญิงสาวว่าแล้วก็อดไม่ได้จึงถามด้วยเสียงดังขึ้น “แต่ก่อนนี้นายประพันธ์อยู่ที่นี่ เขาเป็นลูกหลวงประเสริฐฯ ที่ตาย เวลานี้เขาไม่อยู่เสียแล้วหรือคะ?”

“ไม่รู้จักหลวงประเสริฐประแสดที่ไหน” เสียงในบ้านตอบออกมาอีก “จะมาหาผู้หาคนมาดึกดื่นป่านนี้ จนเขาจะหลับจะนอนกันหมดแล้ว”

“ขอโทษเถอะค่ะ” สุนทรีตอบอย่างอ่อนหวาน แต่ประจิตรฉวยข้อมือหล่อนฉุดให้ออกเดินโดยแรง ส่วนปากของเขาก็พูดว่า

“อย่าไปพูดด้วยอีกเลย คนปลาร้าอะไรก็ไม่รู้”

​สุนทรีได้ยินเสียงในบ้านตอบออกมาอย่างฉุนเฉียว แต่ประจิตรไม่เปิดโอกาสให้หล่อนจับความได้ชัด พึมพำสบถสาบาน พลางรุนหลังสุนทรีให้ขึ้นรถ แล้วเหยียบสตาร์ทออกรถจากที่นั้นโดยแรง

พอรถแล่นไปโดยเรียบเป็นปกติแล้ว สุนทรีก็หัวเราะขึ้นพร้อมกับมองดูหน้าเพื่อนร่วมทางของหล่อนและว่า

“เราแปลกไปเขาก็แปลกมา ยายนั่นจะนึกว่าผู้หญิงมาตามผู้ชายในบ้านของแกเวลาดึกดื่นก็ได้ เธอก็ไม่พูดจาให้แกเข้าใจด้วย บทจะมาก็จะมาให้ได้ ครั้นมาแล้วก็ไม่พยายามให้ได้เรื่องได้ราว”

“ก็ใครจะยืนฟังยายเปรตนั่นสำรากอยู่ได้”

“ก็ช่างแกปะไร วัวใครเข้าคอกคนนั้น แกไม่รู้ว่ามีเธอเป็นผู้ชายไปด้วย แกได้ยินเสียงฉันเป็นผู้หญิงมาถามหาผู้ชายเวลามืดๆ ค่ำๆ แกก็เกิดความหมั่นไส้เท่านั้นเอง”

“โอ๊ย ! ตั้งแต่แกยังไม่ได้ยินเสียงเธอ แกก็สำรากออกมาแล้วละ”

“แล้วเธอก็ตื่นจนฉันก็พลอยตื่นไปด้วย”

ประจิตรนิ่งไปเป็นครู่ ภายหลังจึงตอบด้วยเสียงปร่าๆ พิกล

“พิลึก พอได้ยินคำว่าคุณหลวงเท่านั้นแหละขนลุกเกรียว”

สุนทรีเบือนหน้าไปจ้องดูเขาเต็มตา เกิดความรู้สึกพิศวงด้วยขันด้วย และสมเพชด้วยระคนกัน

“ฉันเชื่อว่าเราไปผิดบ้านมาแล้ว ไอ้บ้านนั้นมันไม่ใช่บ้านหลวงประเสริฐ” หล่อนพูดแกมหัวเราะ

“ไอ้ผิดน่ะไม่ผิดแน่ เรื่องถนนฉันไม่เคยหลง” เขายืนยัน​อย่างหนักแน่น

“ไม่ผิดถนนก็ผิดบ้าน”

“บ้านก็ไม่ผิด ฉันจำได้แม่นที่สุด อะไรที่เกี่ยวกับคืนวันนั้นฉันจำได้ทุกอย่าง”

“ไม่ผิดทำไมสุ้มเสียงมันแปลกยังงั้น”

เขาย้ำคำถามของหล่อนอยู่ในใจ แต่ตอบตัวเองไม่ได้จึงนิ่งอยู่

ทั้งสองไม่พูดว่ากระไรต่อกันอีก ประจิตรขับรถเร็วมากและเพ่งสายตาไปตามทางตรงหน้า สุนทรีมองดูสภาพต่างๆ ตามริมถนน และรู้สึกว่ามีลมฝนพัดมาแต่ที่ไกล อีก ๒-๓ นาทีต่อมา รถเลี้ยวมุมถนนที่ผ่านหน้าบ้านของเขาทั้งสอง ก็ปรากฏว่าฝนกำลังตกหนาเม็ด และลมก็พัดแรง ฝนกระเด็นเข้ามาในรถด้านข้างทั้งสองข้าง สุนทรีร้องขึ้นเบาๆ ด้วยความตกใจ พยายามจะหลบ แต่เมื่อเห็นว่าหลบไม่พ้นก็หัวเราะ และพูดว่า

“เราเสียท่าเสียแล้วเธอ ฝนตกไม่ทั่วฟ้า”

“ตกมาแล้วทั้งวันยังไม่พออีก” ประจิตรบ่น มองดูหญิงสาวอย่างเป็นห่วง “เสื้อคลุมหรือผ้าพันคอก็ไม่มีหรือนั่น?”

“ไม่มี” เจ้าหล่อนตอบเรื่อยๆ “ช่างมันเถอะจะถึงบ้านอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”

เมื่อเขาทั้งสองถึงที่อยู่ ต่างฝ่ายต่างเปียกเกือบทั้งตัวด้วยกัน สุนทรีเตือนประจิตรให้ผลัดเสื้อผ้าโดยเร็ว ทั้งกำชับให้เขาเช็ดตัวให้แห้งจนรู้สึกอบอุ่นด้วย ฝ่ายเขาก็กำชับให้หล่อนใช้น้ำมันกันหวัด​ดมและทาในที่ควร

“ฉันไม่เคยเป็นหวัดเพราะฝน” สุนทรีตอบ “ว่าแต่เธอเถอะ”

“โอ๊ย ! ฉันน่ะกินเหล้าถ้วยเดียวหวัดก็วิ่งหนี”

“ท่าจะกระหายมาเต็มที” หญิงสาวว่า “ราตรีสวัสดิ์ ! หวังใจว่าจะนอนกอดขวดเหล้าหลับสบาย” พูดแล้วหล่อนก็วิ่งขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน

แต่เมื่อสุนทรีเช็ดตัวแห้ง หยิบกางเกงสำหรับใส่นอนสวมเข้ากับตัวเสร็จ ยังมิทันจะใส่เสื้อ ประจิตรก็มาที่ประตูห้อง

“ตาย ! ดู!” หญิงสาวร้อง รีบหันหลังให้เขาเสียทันที “จะเข้ามาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง เขากำลังแต่งตัวไม่เห็นรึ”

“ก็แต่งไปซีนะ เขาไม่ดูหรอก” ประจิตรตอบ ตาจับอยู่ที่พื้นหลังอันขาวผ่องอยู่นอกผ้าเช็ดตัว

“หลับตาเสีย” สุนทรีสั่ง

“หลับแล้ว หลับปี๋ทีเดียว” ประจิตรตอบอีก มิได้ถอนสายตาจากที่หมายเดิม ต่อเมื่อตัวเสื้อคลี่คลุมมาจากบ่าถึงเอวหญิงสาวแล้ว เขาจึงหมุนตัวหันข้างให้หล่อน ก็พอดีหล่อนหันหน้ามาทางเขา

“เช็ดตัวแห้งหรือเปล่า?” หญิงสาวถาม นำผ้าเช็ดตัวไปแขวนไว้ยังที่ และหยิบเสื้อคลุมสวมทับเสื้อนอนซึ่งทำด้วยแพรอันมีเนื้อที่ค่อนข้างน้อย

“หนาวหรือ?” ประจิตรถาม แทนที่จะตอบคำถามของหล่อน

“เปล่า ! กำลังอุ่นสบาย”

“ยังงั้นเอาเสื้อคลุมใส่เข้าไว้ทำไม เสื้อข้างในออกพริ้ง?”

​“ขอบใจ แต่มันเป็นเสื้อสำหรับใส่นอน ไม่ใช่สำหรับนั่งหรือใส่เดิน”

“ก็เชิญนอนซี จะได้ชมเป็นขวัญตา”

“แหม ! ชอบเอามากเทียวหรือ ประเดี๋ยวจะถอดเอาไปแขวนให้ชมบนเตียงนอนเอาไหม?”

ฝ่ายเขามองจับสายตาหล่อน นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า

“ถ้าจะกรุณาละก็โปรดไปทั้งตัวคนใส่ทั้งตัวเสื้อ สัญญาว่าจะชมโดยมิให้แม้แต่สักนิด”

หล่อนทำเหมือนไม่รู้เท่า เบือนหน้าจากเขา เดินห่างไป ๒-๓ ก้าว แล้วหันกลับมาถาม

“ยังไม่นอนอีกหรือ หรือจะไปไหนต่อไหนอีก ฝนก็ดูเหมือนจะซาแล้ว?”

“นี่แปลว่าจะไล่ยังงั้นหรือ หรือประชด?”

“เปล่า ! ถามซื่อๆ” แล้วหล่อนก็หัวเราะ

“ถึงไล่ก็ไม่ไป ประชดก็ไม่ดัน” ประจิตรกล่าว เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ “ไม่มีใจสำหรับสนุกเสียแล้ว”

หล่อนไม่แน่ใจว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริง แต่ใจก็นึกถึงกฎธรรมดาของชาย ยามสุขยามสบายก็เตร็ดเตร่ไปนอกบ้านกับสหายชายหญิง แต่เมื่อยามร้อนจึงจะหันหน้าเข้าหามิตรในเรือน คือแม่หรือเมีย ตัวสุนทรีเองมิได้อยู่ในฐานะแห่งหญิงสองประเภทที่กล่าวนี้ แม้กระนั้นก็ได้เป็นผู้ที่ประจิตรหันหน้าหาอยู่บ่อยๆ

เดินไปนั่งยังเก้าอี้นอน ที่หล่อนใช้เป็นที่นอนพักในยามว่าง ​แล้วสุนทรีถามอย่างอ่อนโยน แต่มีน้ำเสียงแกมเล่นเจืออยู่ด้วย

“มีความเดือดร้อนเรื่องอะไรจ๊ะ?”

“ไอ้ทิดประพันธ์มันไปอยู่ที่ไหนเสียก็ไม่รู้”

“อ๋อ ! เท่านั้นเอง พรุ่งนี้กลับจากทำงานไปดูที่บ้านนั้นอีกทีซี เชื่อว่าจะได้ความเป็นแน่”

“แล้วไอ้ก่อนพรุ่งนี้ล่ะ?”

“ก่อนพรุ่งนี้ก็นอนน่ะซี”

“เธอน่ะซีนอนได้ ฉันน่ะนอนไม่ได้หรอก”

“อ้าว ! นอนไม่ได้? ยังงั้นก็ไปรับยามแขกยาม เจ้าแขกจะได้นอนหลับเต็มอิ่มสักคืนหนึ่ง”

ประจิตรลุกจากที่นั่งโดยแรง สุนทรีใจหายเล็กน้อยด้วยคิดว่าเขาโกรธ แต่เมื่อวงหน้าของเขาต้องแสงสว่างเต็มที่ หล่อนก็รู้หล่อนหวาดไปเอง ประจิตรสาวเท้าเข้ามาที่หล่อน ปากพูดว่า “เธอนี่ร้ายกาจ” ชะโงกตัวเข้าใกล้หล่อน เท้าแขนสองข้างลงบนพนักเก้าอี้คล่อมบ่าหล่อนไว้ “เดี๋ยวกัดเสียหรอก”

“ว้าย ! อย่าเล่นนะ” สุนทรีร้อง ยกแขนขึ้นบังหน้า “ถอยไป! เล่นอะไรไม่รู้เหม็นเหล้า”

“แน่ะ !” ถึงคราวประจิตรร้องบ้าง ถอยห่างจากหล่อนด้วยความที่นึกขันอย่างจริงจัง “นี่หาความแท้ๆ ทีเดียว ตั้งแต่เช้าไม่ได้แตะเหล้าสักหยดเลย”

“อยากมารังแกเขานี่” สุนทรีว่าพลางหัวเราะกิ๊กๆ แล้วเปลี่ยนเสียงพูดเป็นงานเป็นการ “นั่งลงพูดกันดีๆ ตาประพันธ์คนนั้น​เกี่ยวอะไรกับเธอถึงทำให้นอนไม่ได้”

“ตัวอีตาประพันธ์น่ะไม่เกี่ยวหรอก แต่ถ้าฉันได้ยินเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับครอบครัวนี้ละก็เป็นต้องเกิดกลัวตาหลวงประเสริฐฯ ขึ้นมาทุกที ยิ่งได้ยินว่าลูกแกเดือดร้อนยังงั้นยังงี้ก็ยิ่งบ้าใหญ่”

พูดแล้วประจิตรก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับสุนทรีนั่งอยู่นั้น

“มันเป็นเครื่องแสดงความมีใจเป็นธรรมของเธอ” หญิงสาวกล่าวชมโดยจริงใจ “แท้ที่จริงถ้าว่าด้วยกฎหมาย หรือว่ากันเป็นพื้นๆ ทั่วไป เธอก็พ้นจากการรับผิดชอบแล้วด้วยประการทั้งปวง”

“ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างเธอว่า แต่อ้ายเส้นประสาทของฉันไม่ยอมฟังเหตุผลเสียเลย”

“เส้นประสาทของเธอ มันออกจะเป็นเอามากไปสักหน่อย เธอควรจะหัดบังคับมันไว้บ้าง ผู้ชายกลัวผี ! ฉันเห็นว่า....น่าอายเหลือเกิน”

“ฉันเกิดมายังไม่เคยกลัวผีใครเลย” ประจิตรตอบเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย “เพิ่งเคยกลัวตาหลวงประเสริฐฯ นี่แหละ”

“ยังงั้นก็ให้คนมานอนเป็นเพื่อน....”

“คนผู้ชายหรือผู้หญิง?”

หล่อนสำคัญว่า เขาต้องการความเข้มแข็งมั่นคงสำหรับบำรุงขวัญในตัวเขา จึงรีบตอบว่า

“ผู้ชายซี นายจี๊ดหรือนายเตี้ยของเธอ หรือทั้งสองคน....”

“ฮี ! ผู้ชาย ! ใครเขาต้องการ...? เพื่อนนอน....!”

หล่อนงงไปขณะหนึ่ง ภายหลังจึงค้อนให้แล้วพูดอย่างเคือง

​“นี่ยังงี้ แล้วจะให้ฉันเชื่อน้ำมนต์เธอยังไง พูดเล่นเสียก็หาว่าใจดำ ครั้นพูดจริงเธอก็ไปเสียอีกทางหนึ่ง ต้องการยังไงก็จัดการเอาเองก็แล้วกัน ฉันสั่งให้ไม่ได้”

“โกรธแล้ว?” ประจิตรถาม แล้วถอนใจดัง “เฮ้อ !” ยกขาขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง และเอนตัวหงายลงด้วยเจตนาจะให้ศีรษะวางตรงตักหญิงสาวพอดี เจ้าหล่อนรู้ทัน ก็ขยับขาหนี และฉวยหมอนสอดให้เขาพอเหมาะแก่เวลา

“ไวจังแฮะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะ เมื่อรู้สึกว่าศีรษะของตนกระทบกับสิ่งใดแล้ว แหงนหน้าช้อนตาขึ้นดูอีกฝ่ายหนึ่ง ยกมือกอดอกนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ภายหลังจึงว่า

“พี่สาวใจดำอย่างนี้ละก็ น้องชายเห็นจะต้องแต่งงานเสียแน่ๆ”

“ทำไมถึงใช้คำว่า ‘เสีย’” สุนทรีตอบทันที “การแต่งงานมีเมียเป็นหลักเป็นฐานน่ะเป็นของดี ไม่ใช่เสียเลยทีเดียว พี่สาวก็ตั้งใจคอยอยู่ทุกวัน ว่าเมื่อไหร่น้องชายจะหาน้องสะใภ้ให้สักคน หรือจะให้หาให้ก็จะพยายามหา”

ประจิตรนิ่งเสีย ภายหลังจึงเอื้อมมือไปคว้ามือหล่อนได้พร้อมกับพูดว่า

“วานฟังคำตอบหน่อยเถอะ” ดึงมือหล่อนข้ามศีรษะตัวเองมาวางตรงทรวงอกเบื้องซ้าย แล้วกุมมือนั้นไว้ “ฟังที่หัวใจของฉันมันตอบว่ากระไร?”

สุนทรีปล่อยมือของหล่อนให้อยู่ในที่บังคับ สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้น แต่หล่อนก็รีบฝืนให้เป็นปกติเสียโดยเร็ว

​“ฉันไม่เห็นพูดว่ากระไรนี่เธอ” หล่อนพูดแกมหัวเราะ “เห็นแต่มันเต้นตุบๆ”

“มันตุบแรงกว่าเมื่อเธอยังไม่ได้จับมันมากทีเดียว” ประจิตรกล่าว แล้วพูดต่อด้วยเสียงเบาลงเกือบเท่ากระซิบ “มันตอบเธอว่าจะหาผู้หญิงมาเป็นเมียน่ะหาง่าย แต่กลัวจะหามาไม่ได้เหมือนสุนทรี”

หล่อนพยายามจะดึงมือกลับเข้าหาตัว แต่ประจิตรไม่ยอมปล่อย ชายแขนเสื้อคลุมของหล่อนระอยู่กับหน้าเขา ส่งกลิ่นหอมรวยๆ ช่วงแขนของหล่อนห่างจากหน้าเขาไม่เกินสองกระเบียด ผิวเนื้อละเอียดอ่อนขาวนวลล่ออยู่กับตา เขาคิดในใจ ถ้าเขาขยับหน้ามาทางขวาเพียงนิดเดียว ก็อาจที่จะจุมพิตแขนอันงามนั้นได้ถนัด แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในตัวเขา

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 19:35:21 »




​ในชั่วเวลาไม่เกินสองเดือน ที่งามพิศได้ตกมาอยู่ในปกครองของคุณป้านี้ ความคิดเห็นในส่วนที่เกี่ยวกับตัวของหล่อนเอง ได้เกิดก่อเป็นรูปเด่นชัดยิ่งกว่าในเวลาอันยืดยาว ที่หล่อนได้ผ่านมาแล้วในร่มอารักขาแห่งผู้บังเกิดเกล้าของหล่อนอย่างมากมายหลายเท่า

ในสมัยที่แล้วมา แม้ในกิจการประจำวันที่หล่อนปฏิบัติเป็นปกติอยู่ในบ้านก็ดี หรือแม้ความประพฤติปฏิบัติทางการศึกษาซึ่งหล่อนได้กระทำ ณ ที่โรงเรียนก็ดี หากจะได้ถูกติบ้างและได้ชมบ้าง ซึ่งเป็นสามัญวิสัย ก็ยังไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดกล่าววิพากษ์ออกมาให้เข้าหูหล่อนเป็นถ้อยคำ ในทำนองที่ว่าหล่อนเป็นคนฉลาดหรือคนเขลา แต่ในปัจจุบันนี้ งามพิศจะได้ฟังคำวิพากษ์จากปากคุณป้า สัปดาห์ หนึ่งประมาณสองถึงหกครั้ง เป็นคำสั้นๆ แต่เนื้อความตายตัว​อย่างที่จะแปลเป็นอื่นไม่ได้ คุณป้าชอบพูดว่า “ลูกคนนี้มันโง่จริง” หรือมิฉะนั้นก็ “เด็กคนนี้ช่างเซ่อเสียจริงๆ”

แรกทีเดียว งามพิศประหลาดใจในข้อที่คุณป้ามีความเห็นว่าหล่อนโง่และเซ่อ ภายหลังต่อมาหล่อนมีความประหลาดใจตัวเองที่เป็นจริงดังคุณป้าตัดสิน ครั้นแล้วในท้ายที่สุด สมองอันอับเฉาและมึนชาของหล่อนก็รับเอาคำวิพากษ์ของคุณป้าเก็บไว้ เกิดความเชื่อว่าตนเองเป็นผู้ที่หาความฉลาดความสามารถมิได้เสียเลย

การกระทำกิจประจำวัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ง่ายดายอย่างที่คุณป้าคิดเห็นอย่างแน่วแน่ ว่าเด็กสาวทุกคนจะต้องทำเป็น แต่ซึ่งงามพิศมักจะทำพลาดจากแบบแผนของคุณป้าเกือบทุกครั้งไปนั่นเอง ทำให้งามพิศต้องคำวิพากษ์ดังกล่าวแล้ว

เช่นการกระทำความสะอาดในห้องต่างๆ ก่อนที่จะกวาดและถู ต้องมีการปัดเช็ดฝุ่นละอองเสียจากวัตถุต่างๆ งามพิศใช้ผ้าผืนที่หล่อนใช้ปัดละอองจากเก้าอี้ โต๊ะ เตียง ตั้งแต่ขาจนถึงพนัก เช็ดละอองที่บนม้าเครื่องแป้งด้วย แต่มีผ้าอีกผืนหนึ่ง ซึ่งสะอาดและผ่องใสกว่าเอาไว้สำหรับเช็ดโถแก้วขวดแก้ว ซึ่งเป็นเครื่องแป้ง คุณป้าตำหนิว่าทำไม่ถูก เพราะเก้าอี้เป็นของต่ำ ม้าเครื่องแป้งเป็นของสูงหาควรที่จะเช็ดด้วยผ้าผืนเดียวกันไม่ ท่านว่าม้าเครื่องแป้งกับโถและขวดนั่นสิจึงจะคู่ควรที่จะเช็ดถูด้วยผ้าผืนเดียวกัน

ในการซักรีดก็อีก งามพิศถือว่าเสื้อผ้าทุกชิ้น เว้นเสียแต่ที่เป็นสีอันน่าสงสัยว่าอาจจะตก ย่อมจะฟอกและแช่หรือขยำรวมกันในภาชนะอันหนึ่งได้ ข้อนี้คุณป้ากล่าวว่างามพิศทำผิดอย่างน่าอับ​อาย การที่เสื้อกางเกงของคุณลุง-เฉพาะอย่างยิ่ง เสื้อ-รวมอยู่ในอ่างเดียวกับเครื่อง ‘นุ่ง’ ของงามพิศนั้นเป็นสิ่งที่คุณป้าคิดไม่ถึงทีเดียว ว่าจะมีผู้หนึ่งผู้ใดอุตริทำขึ้น และในการรีดผ้าเล่า เตารีดที่ใช้รีดเครื่อง ‘นุ่ง’ ของคุณป้าไปแล้วสดๆ จะใช้รีดเครื่อง ‘ห่ม’ ของคุณหลวงเจ้าของบ้าน หรือแม้แต่ของเด็กชายที่คุณหลวง และคุณป้าเลี้ยงไว้ในฐานะครึ่งบ่าวครึ่งลูกหลาน ก็ไม่ได้เป็นอันขาด

แม้แต่การพับเสื้อผ้าที่ซักแล้ว ซ้อนกันให้เป็นตั้ง งามพิศก็ทำไม่ถูกแบบของคุณป้า คือ หล่อนไม่ระวังที่จะให้เสื้อกางเกงของลุงอยู่เสียตั้งหนึ่งต่างหากจากเครื่อง ‘นุ่ง’ ของหล่อน มิหนำซ้ำปล่อยให้เครื่อง ‘นุ่ง’ เหล่านั้นซ้อนทับบนเสื้อของคุณลุงเสียด้วย เช่นนี้ ให้คุณป้าตบอกและร้องว่า “อะไรไม่รู้จักภาษาเสียเลย”

คุณป้าได้มอบตู้เล็กตู้หนึ่งให้แก่งามพิศ สำหรับใส่เสื้อผ้าสิ่งของกระจุกกระจิกส่วนตัว งามพิศจัดตู้นี้อย่างกระเบียดกระเสียนเนื้อที่ คือให้จุของได้มากที่สุด เผอิญหล่อนจัดตั้งผ้าที่หล่อนใช้นุ่งไว้ชั้นบน ส่วนเสื้อและผ้าเช็ดหน้าอยู่ชั้นล่าง เพราะเนื้อที่ในตู้และส่วนสัดแห่งของเหมาะแก่การจัดเช่นนั้น คุณป้าก็ว่าไม่เป็นศิริมงคล บังคับให้จัดเสียใหม่

นอกจากสิ่งเหล่านี้ ยังมีการเลื่อนขั้นตื้นๆ เช่นการจีบพลู จีบหมาก และการครัวขั้นธรรมดา เช่นการหุงข้าว แกง ปรุงน้ำพริก ซึ่งคุณป้าเห็นว่าหญิงอายุขนาดงามพิศควรจะทำเป็น เจ้าหล่อนก็ทำหาเป็นไม่ เมื่อคุณป้าสั่งให้ทำ ความที่ตนอายว่า ไม่ประสาในเรื่องเช่นนี้ด้วย ความที่หวาดเกรงล่วงหน้าว่า คุณป้าคอย​จ้องจะตำหนิอยู่ด้วยรวมกันทำให้งามพิศจับอะไรไม่ถูกยิ่งขึ้น และหมดสติปัญญาเสียทีเดียว ที่จะจับคำแนะนำของคุณป้าให้มั่นเหมาะ

เมื่อเป็นเช่นนี้ งามพิศก็ทำช่องว่างให้คุณป้าวิพากษ์เรื่องสติปัญญาของหล่อนได้ร่ำไป

แต่ถ้าหากว่ายกเว้นเรื่องสติปัญญา ความสามารถในทางการงานไว้เสียทางหนึ่ง คุณป้ามีความเห็นว่างามพิศเป็น ‘เด็กดี’ดัง ที่จะพิสูจน์ได้จากคำที่คุณป้าพูดกับเพื่อนของสามี และกับเพื่อนภรรยาข้าราชการด้วยกัน ในเมื่อกล่าวขวัญถึงหลานสาว “เรียบร้อยดีหร็อก, ว่าง่ายหงิมๆ ไม่สูสีกับใคร” ท่านว่า “ยิ่งผู้ชายละก็ไม่เล่นด้วยเลย”

ก็แน่ละซี งามพิศจะสูสีกับใครที่ไหน ในเมื่อทั้งสมองและจิตใจของหล่อนมืดทึบไปด้วยความระทมทุกข์ จนไม่มีช่องว่างสำหรับที่จะให้สิ่งต่างๆ อันเป็นสิ่งภายนอกรั่วไหลเข้าไปได้ เว้นเสียแต่จะถูกกระตุ้นอย่างแรง หรือถูกบังคับโดยปริยาย ซึ่งทั้งนี้ก็มีแต่คุณป้าคนเดียวเท่านั้น เป็นผู้ทำอยู่เสมอโดยที่ผู้ทำเองก็ไม่รู้สึกตัว

ว่าถึงผู้ชายเล่า ยิ่งไปกว่าไม่เล่นด้วย เวลาถึงสองเดือนเศษที่งามพิศอยู่กับคุณป้าคุณลุง หล่อนไม่เคยแม้แต่จะคิดอยากรู้ว่าผู้ที่หล่อนเคยเห็นบ่อยๆ นั้น เป็นใคร มีนามว่ากระไร ถ้าหล่อนรู้จักนาม ตำแหน่งฐานะอาชีพของเขาเหล่านั้นก็เป็นโดยเผอิญ เพราะหูของหล่อนยังไม่หนวก ตาของหล่อนยังไม่บอด สมองก็เคยแก่การจำสิ่งที่ผ่านหูผ่านตา ก็เที่ยวจำสิ่งต่างๆ เข้าไว้โดยมิต้องรอรับ​สั่งจากจิตใจเสียก่อน

ก็พอดีกันกับชายทั้งหลายที่มารู้จักตัวงามพิศ !

หลังจากที่คุณป้าได้พาหลานไปเที่ยว ‘ชมตลาด’ แล้วก็มีข่าวแพร่ไปในอำเภอเมือง ว่านายอำเภอได้หลานสาวมาไว้คนหนึ่ง คำว่า ‘สาว’ สะกิดใจเสมียนพนักงาน พ่อค้า ข้าราชการที่เป็นโสดหรือเป็นหม้ายเกือบทุกคน และสะกิดใจผู้ไม่โสดและมิใช่หม้ายหลายคน แต่เมื่อเขาเหล่านั้นได้เห็น ‘สาว’ จะเป็นเด็กก็ไม่ใช่ เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง ขาวเกลี้ยงดีดอกแต่สวมแว่นตา ทั้งหน้าก็ซีด และขรึมอย่างไม่น่าเชื่อว่ามีผู้หญิงสาวคนหนึ่งขรึมได้ถึงเพียงนั้น เขาลืมความหมายแห่งชื่อของหล่อนเสียสนิท กล่าวคือลืมพิศดูให้เห็นประจักษ์ มิหนำซ้ำบางคนยังกล่าวเอาโดยง่ายว่าหล่อนชื่อไม่สมตัว

ตลอดย่านอำเภอเมือง รวมทั้งย่านจังหวัดด้วย จึงเหลือชายอยู่คนเดียวที่เอาใจใส่ต่องามพิศบ้าง ชายนั้นคือสามีของคุณป้า

ขุนจำนงพิทักษ์ราษฎร์ เป็นชายมีอายุเพียงขั้นต้นปูนปัจฉิมวัย และมีภรรยาซึ่งมีอายุเท่ากับท่านขุนเอง ทั้งหาบุตรหรือธิดามิได้ จิตใจจึงใฝ่หาความเป็นหนุ่มสาวอันได้สูญสิ้นไปจากตนแล้ว และจะหาแม้แต่เพียงความเป็นหนุ่มสาวที่อยู่ใกล้พอได้ชมเป็นเครื่องเจริญใจก็ไม่มี

เมื่อภรรยาพาหลานสาวมาอยู่ด้วย ท่านขุนมีความพอใจมาก มีความเอ็นดูในเจ้าหล่อนทันที เมื่อรู้แน่ว่าเจ้าหล่อนจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับตน แต่เมื่อท่านขุนปราศรัยกับงามพิศ ท่านขุนพูดห้าคำ งามพิศตอบเพียงคำเดียว ดังนี้หลายครั้งหลายหน ความพอ​ใจของท่านขุนก็ลดลงเป็นลำดับ และความหวังของท่านขุนในข้อที่จะได้งามพิศเป็นเพื่อนพูดเล่นเจรจาในยามที่ท่านอยู่บ้าน ก็สิ้นไปในไม่ช้า

แต่เผอิญงามพิศมี ‘บทบาท’ อยู่ประการหนึ่งที่ทำให้ลุงเขยของหล่อนไม่สิ้นความพอใจในหล่อนเสียทีเดียว คือหล่อนชอบยืนแหงนคออยู่ที่กรงนกเขาของลุงเขย และบางเวลาเมื่อผ้าหุ้มกรงถูกรูดไว้รอบจนไม่มีช่องว่าง งามพิศก็ใช้มือของหล่อนค่อยๆ บรรจงแหวกที่ตรงช่องประสาน เพื่อเยือนเจ้าสัตว์ที่ถูกขังหลายครั้ง เจ้าหล่อนปราศรัยนกเขาอยู่ในใจ ตาของหล่อนมีน้ำตาคลอ จิตใจของหล่อนร้าวระบมและมักจะลืมตัวว่า กำลังทำสิ่งใดอยู่ในแห่งหนตำบลไหน ถ้ามีเสียงค่อยๆ ดังขึ้นในที่ไม่ใกล้นักหล่อนก็มักจะไม่ได้ยิน ท่านขุนจึงได้เห็นกิริยาเช่นนี้ของหล่อนบางครั้ง แล้วก็พอใจในข้อที่หล่อนชอบสิ่งที่ตนชอบนั้น

แล้วท่านขุนก็เคยคุยเรื่องนกเขาให้งามพิศฟัง ทั้งลักษณะตัวนก คารมที่นกขัน ขันเช่นนั้นเวลาใด ขันแข่ง ขันคู หรือขันท้า วิธีต่อนก ภูมิประเทศที่หานกได้มาก นามของนักเล่นนกที่มีชื่อโด่งดัง บางคราวงามพิศฟังโดยตั้งใจและอยู่ในอาการเป็นปกติจนตลอดเรื่อง ท่านขุนก็รู้สึกเป็นสุขพอใจในเจ้าหล่อนและในตัวของท่านขุนเอง บางคราวงามพิศฟังพลางมีอาการตาลอยสะท้อนถอนใจ ขุนจำนงฯ คาดความคิดของหล่อนไม่ถูก ก็สำคัญว่าหล่อนเบื่อ เกิดความไม่พอใจเล็กน้อย แล้วก็หยุดพูดเสียทันที

อย่างไรก็ตาม ในยามที่ลุงเขยกับหลานสาวชมนกเขาด้วยกัน ​หรือพูดและฟังเรื่องนกเขานี้ ขุนจำนงฯ เคยลืมเรื่องที่พูดค้างเสียกลางคัน นึกถึงแต่ผู้ฟัง ก็ใช้แขนโอบตัวหลานสาวไว้บ้าง ประสาทของงามพิศก็ทำอาการดังถูกน้ำร้อนลวก งามพิศผละออกห่างจากท่านขุนโดยเร็ว

ต่อมาไม่ช้า นางจำนงฯ ได้มอบหน้าที่ดูแลนกเขาให้แก่งามพิศ ทั้งการให้ข้าวให้น้ำ เปิดปิดผ้าหุ้มกรง ทำความสะอาดในกรง งามพิศทำตามเวลาที่ขุนจำนงฯ กำหนดไว้ให้ และทำด้วยกายและด้วยใจ อย่างที่หล่อนไม่เคยใช้ทำงานสิ่งใดเลยตั้งแต่มาอยู่กับคุณป้า

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 19:36:39 »




​เสียงไอครึ่งกระแอมของคนที่เฝ้าไข้ ทำให้คนไข้ตื่นขึ้น แล้วเขาผู้ที่เป็นคนไอก็หลับต่อไป ในเวลาที่คนไข้พลิกตัวตะแคงหันหน้ามาทางเขานั่นเอง

สุนทรีเป็นหวัดในวันรุ่งขึ้น จากวันที่ไปเยี่ยมท่านบิดา แรกทีเดียวก็เป็นแต่เพียงอ่อนๆ มีอาการคัดจมูกและจามเล็กน้อย แต่วันต่อๆ มาหล่อนไปทำงานตามที่เคย ได้ใช้เสียงสอนนักเรียนสามชั่วโมงติดๆ กันสองวันซ้อน ก็เกิดมีอาการเจ็บคอ แล้วในที่สุดก็เป็นไข้

สุนทรีหยุดงานมาได้ห้าวันแล้วเพื่อรักษาตัว ประจิตรได้ออกความเห็นให้หล่อนเรียกหมอ แต่หล่อนได้หัวเราะอย่างเห็นขันพร้อมกับคัดค้านอย่างแข็งแรง อ้างเหตุว่าการป่วยเพียงเป็นไข้หวัดไม่ควรจะกวนหมอให้หมอเสียเวลา วันต่อๆ มาประจิตรพูดถึงเรื่องหมอ​อีก สุนทรีก็ยืนคำตามเดิมอีก เขาก็ยักไหล่พร้อมกับพูดว่า

“ก็ตามใจน่ะซี”

แล้วเขาก็ไปทำงานในเวลาเช้าจนถึงบ่าย ไปเที่ยวในเวลาเย็นจนถึงกลางคืน กลับถึงบ้านก็เมื่อสุนทรีนอนหลับเสียเป็น ๒-๓ ชั่วโมงแล้ว ดังนี้ ถ้าจะรวมเวลาที่ประจิตรได้สละให้สุนทรีสำหรับนั่งพูดจากับหล่อน ตั้งแต่วันแรกที่หล่อนต้องนอนพักจนถึงวันนี้ ก็น่าจะรวมได้เป็นตัวเลขไม่เกิน ๖๐ นาที

เพราะฉะนั้นสุนทรีจึงประหลาดใจ เมื่อเห็นประจิตรนั่งหลับอยู่ข้างเตียง “นี่มาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่” หล่อนถามตัวเอง และเมื่อได้คิดต่อไปอีกสักครู่หนึ่งแล้ว “เมื่อคืนคงกลับบ้านเอาจวนรุ่ง”

ที่ๆ ประจิตรนั่งอยู่นั้นเป็นเก้าอี้เบาะหนังตัวที่สุนทรีเคยนอนเล่นเสมอนั่นเอง แต่ประจิตรมิได้ใช้ความยาวของเก้าอี้ให้เป็นประโยชน์โดยเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงเป็นข้อที่ทำให้สุนทรีสนเท่ห์ และเห็นขันอีกประการหนึ่ง เมื่อหล่อนนอนอยู่ในท่าตะแคง หล่อนมองเห็นเขาได้ถนัดทั่วทั้งตัว ศีรษะของเขาเงยขึ้นเล็กน้อยพาดอยู่กับขอบพนักเก้าอี้ แขนทั้งสองไขว้ทับอยู่กับหน้าอก หน้าขาวเด่นขึ้นมาจากสีกรมท่าซึ่งเป็นสีหนังที่บุเก้าอี้ และปลายจมูกก็แหลมเด่นขึ้นมากลางใบหน้า สุนทรีนึกถึงเวลาที่เขาแสดงความดื้อดึง อันเป็นนิสัยประจำตัวของเขา หรือเวลาที่เขามีเรื่องต้องโต้เถียงกับหล่อน และเขาเถียงไปอย่างที่เรียกว่า ‘ข้างๆ คูๆ’ ซึ่งทำให้หล่อนนึกอยากจะดึงจมูกเขาให้ขาดติดมากับมือ แต่ในเวลานี้หล่อนรู้สึกว่าเขามีจมูกน่าเอ็นดูอย่างประหลาด ทำให้หน้าของเขาดูน่ารักมากกว่าน่าชัง ผม​ของเขาดำและหนาเกาะกันเป็นทรงเรียบอยู่เสมอ สุนทรีเคยนึกอยากลูบคลำเล่นบ่อยๆ ในเวลาที่เขาทำตัวให้หล่อนนิยมชมชื่น....เวลานี้หล่อนก็นึกอยากจะลูบผมนั้นเบาๆ เพื่อความสุขแก่ใจของหล่อนเอง

เกิดความประดากขึ้นปัจจุบันทันด่วน เมื่อรู้สึกตัวว่าได้ปล่อยอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้มไป ในร่างของมนุษย์ผู้ชายที่นั่งหลับอยู่เฉพาะหน้า สุนทรีถอนสายตาจากที่หมายเดิม ย้ายมามองดูนาฬิกาข้อมือซึ่งหล่อนถอดวางไว้ข้างหมอน เห็นเข็มบอกเวลา ๑๗ นาฬิกากับ ๑๒ นาที ก็รู้ตัวว่าหล่อนได้หลับสนิทอยู่ ๓ ชั่วโมงเต็ม เป็นเครื่องแสดงว่าร่างกายสบายขึ้นมากแล้ว ทั้งความรู้สึกในจิตใจก็แช่มชื่น อิ่มเอิบราวกับว่ามิได้มีพยาธิอันใดเบียดเบียนอยู่เลย นึกใคร่ที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ ใคร่ที่จะลูบตัวด้วยของเย็นและของหอม พร้อมกับรู้สึกหิวอย่างแรงกล้า สุนทรีเปลื้องแพรเพลาะที่คลุมตัวไว้ทางหนึ่ง แล้วก็ก้าวขาลงจากเตียง

พ้นจากที่นอนมาได้เพียงสามก้าว ก็มีเสียงกระดานลั่นเบาๆ ทันใดนั้นเองประจิตรก็ลืมตา และพอเห็นสุนทรียืนอยู่เขาก็ผุดลุกขึ้น ถลันเข้าขวางหน้าหล่อนไว้ ส่วนปากก็พูดว่า

“จะไปไหน ลุกขึ้นเดินงุ่มง่ามไปไหน กลับขึ้นเตียงทันที”

“อะไรกัน?” หญิงสาวอุทานด้วยความพิศวงแกมข้น “อยู่ๆ ก็ทำราวกับเจ๊กตื่นไฟ”

“ช่างฉันเถอะ ไม่เหมือนเธอนี่ อวดดี หัวดื้อ จะตายไม่รู้ตัว บอกให้กลับขึ้นเตียง”

เสียงที่พูดเป็นเสียงบังคับ และมีลักษณะตื่นเต้นจนสุนทรีต้อง​กลับไปนั่งบนที่นอน แต่ปากยังคงพูดแกมหัวเราะ

“สีหน้าฉันบอกอาการตายแล้วหรือ หรือเธอฝันไปว่าฉันเพ้อ ฉันเจ็บมาตั้งอาทิตย์ ฉันก็เดินของฉันทุกวัน ทำไมวันนี้เกิดจะมีคนมาจับให้ฉันนอน?”

ประจิตรตอบด้วยเสียงเป็นงานเป็นการอย่างยิ่ง

“ฉันรู้แล้วว่าเธอน่ะใจแข็ง ไม่ออดแอด แต่ยังไงก็ตามขอให้กลับลงนอนเสียก่อน แม่คุณเถอะ วันนี้ขอเสียทีอย่าดื้อเลย จะให้กราบก็จะกราบเดี๋ยวนี้ จริงๆ นอนเสีย นอน นอน นอน” แล้วเขาจับบ่าหล่อนทั้งสองข้างค่อยๆ ผลักจนหล่อนต้องเอนตัวลงตามมือเขา

ประจิตรหยิบแพรเพลาะมาคลุมตัวให้ สุนทรีเกิดความคิดขึ้นในใจว่า ไม่เขาก็หล่อนกำลังมีจิตวิปลาศ ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็นึกขันจึงยิ้ม ปล่อยให้เขาปฏิบัติหล่อนตามใจเขา จนเขานั่งลงบนเตียงข้างตัวหล่อนเรียบร้อยแล้ว และกำลังมองดูหล่อนอย่างพินิจพิเคราะห์ หล่อนจึงถามขึ้น

“เธอฝันว่ากระไร คุณจิตร?”

“เมื่อไหร่?”

“เมื่อเธอนั่งหลับน่ะซี”

“ใครบอกล่ะว่าฉันฝัน ม่อยไปไม่ถึง ๕ นาที เอาเวลาที่ไหนมาฝันกัน?”

“ไม่ได้ฝันทำไมมาทำ....ทำแปลกๆ ยังงี้ล่ะ?”

“อ๋อ ! สำหรับเธอน่ะ ฉันก็ต้องเป็นคน....ไม่แปลกก็บ้า ไม่​บ้าบออะไรอย่างหนึ่งเสมอแหละ”

“ก็ธุระอะไรถึงมาเจ้ากี้เจ้าการกะฉันล่ะ ไอ้คนหิวจะตายมาบังคับให้นอน”

“หิวรึ?” ประจิตรย้อนถาม “ไม่รู้นี่” เขาลุกขึ้นยืน “อย่าลุกขึ้นนะ ขืนลุกเป็นได้ทุบกันทั้งเจ็บๆ” เดินไปที่ประตูอย่างเร็วที่สุด ราวกับว่าทางไกลสัก ๓๐๐ เส้น และตะโกนเรียกคนใช้สุดเสียงสองครั้ง แล้วก็สาวเท้ากลับมาที่หน้าเตียง สุนทรีนึกขันกิริยาของเขาเป็นอันมาก และหมั่นไส้ก็ไม่น้อย แต่คร้านที่จะโต้เถียงให้ยาวความ ก็ค้อนให้แล้วพลิกตัวหันเข้าข้างฝาเสียทันที

ราวหนึ่งนาทีภายหลัง หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้อง แล้วเสียงประจิตรสั่งอย่างเบาที่สุดให้คนใช้ไปละลายนมหนึ่งถ้วยโดยเร็ว คำว่า ‘นม’ นั่นเอง ทำให้สุนทรีนิ่งอยู่ไม่ได้ จึงรีบพลิกตัวมาทางเก่าพร้อมกับร้อง

“อย่าไปงัดเอานมมาจริงๆ นะ ฉันเททิ้งหมดจริงๆ ด้วย เอาน้ำชาของฉันมาตามเคย แล้วอะไรเค็มๆ ที่หนักท้องมาด้วย หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มหันมาจ้องดูหล่อน แล้วหันกลับไปทางคนใช้ “เอามาทุกอย่าง ทั้งที่คุณผู้หญิงสั่งด้วย ทั้งที่ข้าสั่งด้วย” เขาพูด แล้วเดินมาใกล้สุนทรีอีก หล่อนจึงเห็นว่าเขาถือปรอทอยู่ในมือ เขาถามหล่อนว่า

“เธอลองปรอทครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”

“เมื่อเที่ยง” สุนทรีสะบัดเสียงตอบ

​“มันขึ้นถึงเท่านี้มากี่วันแล้ว?”

“เท่านี้? เท่าไหน? วันนี้มันไม่ได้ขึ้นเลยแม้แต่สักขีดเดียว เมื่อวานนี้แหละยังมี ดูเหมือน ๙๙ ครึ่ง หรือยังไงแหละ”

“อะไรไม่ขึ้น !” ประจิตรกล่าวอย่างเห็นขัน “ใครเป็นคนดูให้เธอ?”

“ฉันก็ดูของฉันเองน่ะซี ใครมั่งในบ้านนี้ที่ดูปรอทเป็น?”

“แล้วเธอไม่เห็นหรอกหรือว่ามันขึ้นถึง ๑๐๔ ?”

“อื๋อ !” หญิงสาวอุทาน ลุกขึ้นพังพาบในทันทีทันใด “ตาลายไปเสียแล้วพ่อบุรุษพยาบาล ๙๘ เท่านั้น ไม่เกินแม้แต่ครึ่งขีด ทั้งเมื่อเช้าเมื่อเที่ยง”

ประจิตรส่งปรอทให้หล่อนแล้วพูดเรียบๆ

“ดูเสียอีกทีหนึ่ง ให้เห็นว่าใครตาลายแน่”

สุนทรีรับปรอทมาดู เห็นขีดสีเงินอยู่ในขีดที่ประจิตรบอกจริง แต่หล่อนรู้แน่ว่าขีดนั้นมิได้แสดงความไข้ในตัวหล่อน ครั้นแล้วหล่อนนึกถึงความจริงขึ้นได้ ก็หัวเราะกิ๊กออกมาทันที พร้อมกับทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วว่า

“นึกได้แล้ว ก็เอามันแช่น้ำร้อนไว้ มันจะไม่ขึ้นยังไง เมื่อกลางวันฉันลูบตัวเสร็จแล้ว สักครู่ก็ลองปรอท แล้วเอาปรอทใส่ไว้ในขันน้ำร้อนที่เขาเอามาให้ลูบตัว น้ำร้อนมันยังมีติดก้นขัน มันถึงได้ทำให้ปรอทขึ้นลิ่วไปอย่างนั้น”

ประจิตรทำหน้าอย่างที่จะอธิบายได้โดยยาก เกิดความรู้สึกในความเขลาของตนอย่างเด่นชัด แต่ยังไม่อยากจะยอมรับทีเดียว​จึงว่า

“เธอลองให้ฉันเห็นแก่ตาอีกทีเถอะ”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ยื่นปรอทให้เขาพร้อมกับพูดว่า

“สะบัดมันลงเสียก่อนซี”

ในระหว่างอมปรอท ประจิตรเล่าว่า

“ฉันโทรศัพท์เรียกไอ้หมอสุทัศน์แล้วนะ มันตอบว่าประเดี๋ยวมันจะมา ประเดี๋ยวภาษาอะไรของมันก็ไม่รู้ ตั้งแต่ ๔ โมงครึ่งจนป่านนี้ยังไม่จบ นั่งคอยมันจนกระทั่งหลับ”

ด้วยความอยากหัวเราะเต็มที สุนทรีเม้มริมฝีปากไว้ได้ด้วยความลำบาก ประจิตรดูนาฬิกาพลางเดินกลับไปกลับมาที่หน้าเตียง ไม่ช้าก็พูดขึ้นอีกว่า

“อะไรไม่ว่าหรอก ทีนี้กลัวจะเป็นไทฟอยด์ ไอ้ไข้เปรตนั่นหายแล้วยังมีการหัวโกร๋น หรือบ้าๆ บอๆ ไปก็มี นึกสงสัยแม้แต่นิดเดียวก็ต้องระวังอย่างที่สุด”

พอดีกับสุนทรีมองเห็นเข็มนาฬิกาบอกเวลา ที่พอแก่การวัดความร้อนในร่างกายแล้ว หล่อนก็ชักปรอทออกจากปากและส่งให้เขา

“ปกติ” ประจิตรกล่าวเมื่อดูปรอทแล้ว พร้อมกับยิ้มจืดๆ “บ้าระยำ ตกใจเสียแทบตาย”

“นึกยังไงถึงเกิดมาดูปรอทที่ลองไว้ร้อยปี” สุนทรีถาม

“อ้าว ! ก็กลับจากทำงานก็อยากรู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ถามใครก็ไม่ได้เรื่อง แม่สาวชมก็บอกว่าเธอนอนหลับตั้งแต่บ่าย นึก​ในใจว่าทำยังไงถึงจะรู้ เห็นไอ้ปรอทมันวางอยู่บนโต๊ะก็เลยหยิบมาดู....”

“เผอิญเป็นความร้อนของน้ำร้อน หาใช่ความร้อนของฉันไม่ แล้วนึกอย่างไรถึงเกิดร้อนรนอยากรู้อาการฉันขึ้นมามากถึงเพียงนั้น?”

“เอ๊ะ ! ทำไมถึงถามยังงั้นนะ” ประจิตรกล่าวสีหน้าแสดงความฉุนเล็กน้อย “ก็คนอยู่ด้วยกัน เจ็บไข้จะไม่ให้อยากรู้อาการมั่งเทียวหรือ?”

เจ้าหล่อนไม่ตอบ เพราะรู้อยู่ว่าการที่บุคคลหนึ่งทำให้อีกบุคคลหนึ่งเห็นว่าเขาใจดำนั้น เขาผู้ทำมิใช่จะรู้ตัวว่าตัวใจดำเหมือนที่อีกฝ่ายหนึ่งนึก ฉะนั้นสุนทรีจึงตัดบทเสียโดยพูดว่า

“ไปโทรศัพท์บอกหมอสุทัศน์เสียไป ว่าเราไม่ต้องการเขาเลย อย่าให้เขามาเสียเวลาของเขา”

“น่าจะปล่อยให้มันมา แล้วเตะมันกลับไป” ประจิตรว่าแล้วเดินออกไปนอกห้อง

เมื่อเขากลับมาอีกพบประตูห้องปิดสนิท สุนทรีผู้ซึ่งคอยฟังฝีเท้าของเขาอยู่ร้องบอกว่า

“อย่าเพ่อเข้ามา รออีก ๕ นาทีถึงจะเข้ามาได้ ฉันกำลังเช็ดตัว”

“ยังงั้นฉันจะไปอาบน้ำเสียก่อน” ประจิตรตอบ

ราว ๑๐ นาทีภายหลัง สุนทรีลงมือรับประทานอาหารว่าง ประจิตรถือถ้วยเบียร์มือหนึ่ง ขวดเบียร์มือหนึ่ง เข้ามานั่งอยู่ข้างหล่อน

​เขาแสดงความยินดีที่หล่อนรับประทานได้มาก แล้วเสริมว่า

“หน้าตาก็ไม่บอกแล้วว่าเป็นคนเจ็บ พรุ่งนี้ก็ไปเที่ยวได้”

“ช้าก่อน !” สุนทรีด้าน “ถ้ายังไปทำงานไม่ได้ ก็ไปเที่ยวไม่ได้เหมือนกัน”

“พิโธ่ ! ไปเที่ยวน่ะมันไปสบาย ไปทำงานน่ะมันเหนื่อย เหมือนกันที่ไหน”

“อยู่บ้านก็หาความสบายได้ คนที่จะรักษาตัวก็ควรจะอยู่บ้าน ถ้าไม่ต้องการจะรักษาตัวก็ควรจะไปทำงาน ถ้ามิฉะนั้นก็จะเป็นคนที่ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่”

เขารู้เท่าว่าใจของหล่อนนึกถึงเขา เมื่อหล่อนกล่าวประโยคหลังนี้ แต่ไม่ออกรับ

ภายหลังเขาเอ่ยขึ้นว่า

“เมื่อคืนโชคบันดาลให้ไปพบคนที่เช่าบ้านหลวงประเสริฐฯ อยู่ แปลกเหลือเกินเราเพียรไปหาถึงสองหนไม่พบ ถึงทีเมื่อเราไม่ได้นึกได้ฝันถึงเลยดันไปพบเข้าได้”

“ไปพบเข้าที่ไหนล่ะ?”

ประจิตรออกนามสถานหย่อนใจ อันมีชื่อมากที่สุดในพระนคร แล้วเล่าต่อไปว่า

“ชื่อหลวงเจน? เจนอะไรก็ไม่รู้ วิธีที่รู้จักกันก็แปลก พวกเขากับพวกเราต่างคนต่างก็เต้นรำกัน แล้วยังไงไม่รู้ พวกเราดันเข้าไปนั่งในหมู่เขา มิหนำซ้ำอนุชาติยังฉวยเหล้าเขามากินเสียอีก เรื่องมันก็คือว่าต่างคนต่างมึนเข้าไปด้วยกัน แต่มันมึนไปในทางสนุกจน​ถึงกับ ‘Your girls are my girls, my girls are your girls.’๑ ลงท้ายหลวงเจนฯ ชวนไปพักที่บ้าน”

“พัก !?” สุนทรีสวนคำ

ประจิตรหัวเราะ ไม่ตอบ พูดเลยไปเสียว่า

“เมื่อแรกก็จะเอากับเขาหรอก พอไปพบเป็นไอ้บ้านนั้นเข้าเลยลา”

“ยังอุตส่าห์จำได้ด้วยหรือ?”

“จำได้ ที่จริงเราสติดีกว่าเพื่อน”

“แล้วได้เรื่องนายประพันธ์ไหมล่ะ?”

“ไม่ได้....”

“อ้าวไหนว่าสติยังดี?”

“ดีจริงๆ ถามแล้ว แต่อีตาผีนั่นแกไม่ฟัง แกจะลากเราเข้าบ้านท่าเดียว”

“แล้วทำยังไงถึงจะได้รู้เรื่องล่ะ ต้องไปหาแกเวลากลางวันซี ไม่ยังงั้นพ่อจะเมาเสียอีกหรอก?”

“หากลางวันไม่พบ ได้ความว่าแกไปที่นั่นอาทิตย์ละสองหนเท่านั้น แล้วไปจำเพาะเวลากลางคืนวันพฤหัสกับวันเสาร์”

“เอ๊ะ ! เพราะเหตุใด?”

“เพราะเมียเขาอนุญาตเพียงเท่านั้น”

“มีเมียแล้วด้วย ! โอ๊ย ! แม่เจ้าประคุณนั่นก็ประเสริฐจริง ถ้าแกจะเบื่อหน้าผัวแกเวลาเมาหรือยังไง แกถึงเลยไม่ให้กลับบ้าน​เสียคืนหนึ่งเต็มๆ ทีเดียว?”

“ไม่ยักใช่ เขาอนุญาตกันให้มาค้างกับเมียน้อย แต่พ่อเจ้าประคุณหามีเมียน้อยเป็นเนื้อเป็นตัวไม่ เช่าบ้านไว้เพื่อเหตุอื่นอาทิตย์ละสองหน”

“น่าเอ็นดู ! อยากรู้จักพ่อเทวดาคนนี้จริง อี๊! แต่อยากรู้จักเมียมากกว่า อยากเห็นผู้หญิงประเสริฐ เห็นจะเป็นครอบครัวที่มั่งมีมาก?”

“เข้าใจว่าอย่างนั้น”

สุนทรีมีนิสัยอย่างหนึ่งซึ่งคล้ายกับสตรีทั่วไป เมื่ออยู่ด้วยบุรุษผู้เป็นที่รัก จะรักโดยสถานใดก็ตาม สิ่งใดตนเกลียดกลัว ไม่อยากให้เขาประพฤติ หรือกระทำมากที่สุด ก็มักจะท้าหรือเตือนว่าเมื่อใดเขาจึงจะทำสิ่งนั้น เพราะเหตุนี้สุนทรีจึงพูดว่า

“เธอเมื่อไรจะมีบ้านพักกับเขามั่งล่ะ หรือมีไว้ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้?”

ประจิตรรู้ดีถึงเหตุที่กีดกันเขามิให้ทำสิ่งที่สุนทรีกล่าว เขาถือตัวของเขาเหมือนผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวคือ มีสุภาพสตรีสาวที่เขาจะต้องปกปักรักษา ไม่เป็นการบังควรที่เขาจะหลงระเริงอยู่นอกบ้าน ในเวลาค่ำคืนมากเกินไปนัก แต่เมื่อเจ้าหล่อนผู้นี้ได้ถามประชดขึ้น เขาก็ตอบว่า

“ธุระอะไรจะต้องไปเช่าเป็นเดือนให้เสียเงิน เช่ามันเป็นรายวันมิดีกว่าหรือ เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ดีด้วยไม่ต้องซ้ำที่ ไม่เบื่อ”

​อึดใจหนึ่งเต็มๆ สุนทรีนึกอยากให้คู่สนทนาของหล่อนถูกสิ่งใดสิ่งหนึ่งจับตัวโยนออกไปเสียให้พ้นหูพ้นตา

.

๑. หญิงของท่านเป็นของฉัน หญิงของฉันเป็นของท่าน ↩




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #3 on: 28 October 2025, 19:37:42 »




​ต่อจากวันนั้นมา กระแสแห่งความเพลิดเพลินในชีวิตและความเป็นอยู่ประจำวัน ได้ทำให้ประจิตรลืมเรื่องราวแห่งลูกสาวหลวงประสริฐฯ เสียสนิท สุนทรีนั้นมิใช่ผู้ที่จะหลงลืมสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของหล่อนเสียโดยง่าย แต่เรื่องครอบครัวหลวงประเสริฐฯ นี้ จะเกี่ยวกับหล่อนก็แต่โดยที่เกี่ยวกับประจิตร เมื่อประจิตรลืมเสียแล้ว สุนทรีเป็นผู้ที่มีงานไม่ขาดมืออยู่เป็นนิจ ก็พลอยตกอยู่ในความลืมเช่นเดียวกับประจิตรเหมือนกัน

วันหนึ่ง เมื่อสุนทรีสอนภาษาฝรั่งเศสให้แก่สงวนผู้เป็นนักเรียนใหม่เป็นพิเศษ สุนทรีนึกถึงเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าของสงวนขึ้นได้ เมื่อได้อธิบายเนื้อความสำคัญในบทเรียน ให้เป็นที่เข้าใจแก่ศิษย์ ดีแล้ว จึงชวนศิษย์ให้พูดถึงเรื่องงามพิศ

สงวนเล่าว่างามพิศเป็นนักเรียนรุ่นใหญ่กว่าตน เมื่อตนเรียน​อยู่ในชั้น ๖ นั้น งามพิศเรียนอยู่ในชั้น ๘ ถามถึงนิสัยใจคอ สงวนไม่สามารถตอบได้ แต่หล่อนได้ชี้ช่องให้สุนทรีหาคำตอบเอาเองโดยเล่าต่อไปว่า งามพิศมีฉายาว่า ‘แม่เฒ่า’ และเป็นนักเรียนที่ไม่เคยสอบได้ต่ำกว่าที่ ๔ เลย

“รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?” สุนทรีซักอีก

สงวนสั่นหน้าแล้วหัวเราะ แล้วจึงตอบว่า

“พูดไม่ถูกค่ะ บางวันก็สวย บางวันก็น่าเกลียด”

“เอ๊ะ ! ทำไมถึงตรงกันข้ามอย่างนั้นล่ะ?” ผู้เป็นครูถามแกมหัวเราะ

“ไม่ทราบค่ะ ดิฉันเห็นยังงั้นนี่คะ บางวันหน้านวลยิ้ม เล่นอะไรต่ออะไรกับเพื่อนๆ ดูน่ารัก วันไหนโกรธใครขึ้นมาก็หน้าบึ้งยังกะอะไร ใครพูดก็ไม่พูดด้วย” แล้วสงวนเสริมต่อไปอย่างจริงจัง “ครูๆ ยังกลัวเลยค่ะ”

สุนทรีตำหนิตัวเองอย่างแรง ในข้อที่ลืมเรื่องงามพิศเสียหลายวัน หล่อนเชื่อโดยไม่สงสัยแม้แต่สักนิดว่า ประจิตรได้ลืมงามพิศอย่างสนิทยิ่งไปกว่าที่หล่อนลืม แต่หล่อนไม่คิดที่จะตำหนิเขา เพราะเหตุว่าเป็นนิสัยของเขาที่เป็นเช่นนั้น ถ้าหากเขาไม่ลืมนั่นสิหล่อนจะพิศวงมาก

วันนั้นเมื่อสุนทรีกลับถึงที่อยู่ ได้ทราบว่าประจิตรมาถึงก่อนแล้ว และได้แต่งตัวออกจากบ้านไปอีก สุนทรีสั่งคนใช้ว่า เมื่อจัดของว่างเสร็จแล้ว ให้ยกไปคอยท่าที่เตียงไม้ด้านข้างตึก

ที่นั้นเป็นที่สงัดด้วยไกลจากเสียงยวดยาน และเป็นที่​คล้ายป่าละเมาะหย่อมกระจ้อยร่อย อันบุคคลชะลอมาตั้งไว้ในเขตบ้าน พื้นแผ่นดินมีหญ้าขึ้นหร็อมแหร็ม แต่สะอาดเอี่ยมปราศจากสิ่งที่จะเรียกได้ว่าเป็นเครื่องรก เย็นวันใดสุนทรีว่างจากงาน มีอิสระที่จะหาความสำราญโดยลำพัง หล่อนมักจะมานั่งรับประทานน้ำชาที่นี่ บางคราวรับประทานพลางอ่านหนังสือพลาง บางคราวก็ถือเอาต้นไม้ใบหญ้าปักษาที่มาอาศัยพุ่มไม้ ตลอดจนตัวแมลงต่างๆ เป็นเครื่องเพลิน

เฉพาะวันนี้ เมื่อสุนทรีลดตัวลงบนเสื่ออันลาดอยู่เหนือเตียง แสงแดดสีเหลืองอ่อนกำลังลับล่ออยู่บนยอดไม้ นกตัวน้อยกำลังโลดเต้นอยู่คู่หนึ่ง มิได้มีทีท่าว่าตกใจในเมื่อเห็นสุนทรี ผีเสื้อดำตัวใหญ่ถนัดบินแฉลบมาจากที่ใดที่หนึ่งแล้วก็หายไป ลมกำลังพัดมาเรื่อยๆ ทำใบไม้ให้ไหวตัวเป็นเสียงเบาๆ ....มองดูถาดอาหารที่วางอยู่คอยท่า ขนมฝรั่งชิ้นเล็กๆ มีสีสันชวนอร่อย ชมพู่สาแหรกสุกงอมสีแดงเข้มตัดเป็นเสี้ยวๆ เรียงเรียบอยู่ในจาน แสดงถึงความบรรจงจัดของผู้มีหน้าที่เตรียมอาหารนี้ น้ำชาส่งกลิ่นรวยๆ จากพวยกาอันมีรูปภาพงดงาม....สุนทรีรู้สึกตัวเป็นผู้ที่มีความสุขยิ่งยวดคนหนึ่ง

แล้วหล่อนนึกถึงประวัติของหล่อนเอง

อันเด็กที่กำพร้ามารดาตั้งแต่แรกเกิด คนทั้งหลายย่อมกล่าวว่าเป็นเด็กมีกรรมมาก แต่สุนทรีรู้สึกว่าตัวของหล่อนไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อยที่จะบ่นว่า หล่อนได้รับทุกข์เพราะเหตุไม่มีมารดา แท้จริงนั้นหล่อนเป็นผู้ที่ไม่เคยประสบความยากเข็ญแม้แต่อย่างหนึ่ง ​อย่างใด

สุนทรีเกิดแล้วได้สัปดาห์เดียว มารดาของหล่อนก็ถึงแก่กรรม

สามวันหลังจากที่สุนทรีเกิด สุภาพสตรีคนหนึ่งซึ่งคนในสมัยนั้นเรียกว่า ‘นายอรุณ’ เป็นภรรยา ‘คุณเนื่อง’ เนติบัณฑิตทนายความผู้มีชื่อเสียง และเป็นเพื่อนรักอย่างยิ่งแห่งมารดาของสุนทรี ก็ให้กำเนิดเด็กแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง

เด็กชายได้แก่ประจิตร เด็กหญิงมีชีวิตอยู่ได้เพียง ๒๔ ชั่วโมง

การเสียไปซึ่งธิดาน้อยคนหนึ่ง รวมกับการเสียเพื่อนรักอย่างยิ่งไปในกรณีให้กำเนิดแก่เด็ก อันเป็นกรณีที่ตนเองก็กำลังประสบอยู่บัดนั้น เกือบจะทำให้นายอรุณเสียขวัญถึงกับเสียชีวิตไปด้วย แต่ความรักบุตรยังมีอำนาจเหนือความอ่อนแอ และความเวทนาแก่เด็กหญิงกำพร้าก็เป็นเครื่องประกอบอำนาจเป็นอย่างดี นายอรุณจึงหักห้ามความกำสรดได้บ้าง รับเอาสุนทรีมาเลี้ยงแทนธิดาที่หาชีวิตไม่แล้ว ให้สุนทรีเป็นที่รับความรักแทนเด็กนั้น และให้ตัวเองเป็นผู้ให้ความรักแก่สุนทรี แทนมารดาของสุนทรีที่ไม่มีวาสนาได้อยู่รักลูก

และนายอรุณนั้น นอกจากจะรักลูกหญิงบุญธรรมเกือบเท่าเทียมกับที่รักลูกชายในอุทรแล้ว ยังรักอย่างรักเป็นเสียด้วย กล่าวคือ ตามใจในที่ควรตามใจ บังคับในที่ควรบังคับ สุนทรีจึงได้เป็นหญิงที่มีวิทยะฐานะประดับตัว

ตั้งแต่น้อยจนใหญ่ สุนทรีเรียกนายอรุณว่า ‘นายแม่’ และเรียกคุณเนื่องว่า ‘คุณพ่อ’ อย่างเดียวกับที่ประจิตรเรียก

​ในบรรดามนุษย์ที่เป็นหญิง สุนทรีไม่รักใครมากเท่านายอรุณ แต่ในบรรดามนุษย์ที่เป็นชาย สุนทรีมิอาจข่มใจให้รักคุณเนื่องได้ เท่ากับที่รักบิดาบังเกิดเกล้าของหล่อนเอง

แต่สุนทรีรู้ว่า เมื่อหล่อนยังเป็นเด็กน้อยอยู่นั้น คุณเนื่องพอใจอุ้มชู เล่นหัว ทะนุถนอมหล่อนมากกว่าที่เคยทำต่อประจิตร ตลอดจนเมื่อหล่อนโตเป็นสาวแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าคุณเนื่องพะนอประจิตรยิ่งไปว่าที่พะนอสุนทรี

เพราะเหตุนี้ สุนทรีจึงรู้สึกตัวว่าเป็นลูกหนี้บุญคุณต่อคุณเนื่อง อย่างที่ไม่มีโอกาสจะทดแทนให้คุ้มค่าได้

และด้วยเหตุนี้ สุนทรีจึงเป็นผู้พร้อมที่จะทำทุกๆ สิ่ง เพื่อประโยชน์และความเจริญแห่งบุตรชายของคุณเนื่อง

เมื่อนายอรุณยังมีชีวิตอยู่ และสุนทรีเติบโตเป็นสาวแล้ว นายอรุณได้จ่ายเงินให้แก่สุนทรีเดือนละ ๑๕ บาท แต่สุนทรีมีโอกาสที่จะใช้เงินจำนวนนี้น้อยที่สุด เพราะเหตุว่าหล่อนมิรู้ที่จะใช้ไปในทางใด การบริโภคของหล่อนทุกมื้ออยู่ในรายจ่ายของบ้านแล้ว ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือก็เช่นเดียวกัน ส่วนเครื่องแต่งตัวและเครื่องสำอาง นายอรุณเป็นหญิงช่างแต่งตัว และเมื่อตัวเองแต่งเท่าใด ก็จัดให้สุนทรีได้แต่งไม่น้อยกว่านั้น แม้แต่จะซื้อผ้าตัดเสื้อสักชิ้นน้ำอบสักขวดก็ไม่เว้นที่จะเรียกร้องให้บุตรบุญธรรมเลือกด้วยซื้อด้วยสำหรับตัวของหล่อนเอง

เมื่อสุนทรีอยากได้สิ่งใดเป็นพิเศษนอกไปจากนี้ จะเป็นสิ่งที่ราคาน้อย หรือเป็นสิ่งที่ราคามาก หล่อนก็เอ่ยปากขอเอาง่ายๆ ​“นายแม่คะ หนูอยากได้นั่น” “นายแม่คะ ซื้อนี่ให้หนูนะคะ” ครั้นขอแล้วนายอรุณพอใจจะให้ก็ให้ ไม่พอใจก็พูดว่า “อย่าเอาเลยลูก ของเรามีแล้ว” หรือ “อย่าเลยลูก มันแพงนัก” สุนทรีก็มิได้คิดที่จะเก็บเอามาน้อยอกน้อยใจ

นายอรุณถึงแก่กรรมเมื่อสุนทรีมีอายุ ๒๒ ปีเศษ และประจิตรกลับจากยุโรปได้ ๓-๔ เดือน แต่นั้นสุนทรีก็ได้เป็นแม่บ้านให้คุณเนื่อง เป็นผู้ถือกุญแจตู้นิรภัย ที่เก็บหนังสือสำคัญและเงินสดเท่าที่คุณเนื่องหามาได้ และยังไม่นำไปส่งธนาคาร หรือที่คุณเนื่องถอนจากธนาคารเพื่อใช้จ่าย และมีอำนาจเต็มบริบูรณ์ในอันที่จะจ่ายเงินของคุณเนื่อง ตามความเห็นชอบของหล่อน โดยที่เจ้าของเงินไม่เคยซักถามหรือแม้แต่จะมองดูบัญชีที่สุนทรีทำไว้ตามแบบที่นายอรุณเคยทำมาแต่ก่อน

ในตอนนั้นสุนทรีใช้เงินตรงกับคำที่ว่า “ใช้อย่างสนุกมือ” ด้วยความลำพองของผู้อ่อนความคิด และฮึกเหิมในสิทธิที่ตนเพิ่งจะได้เคยรับเป็นครั้งแรก

แต่สุนทรีได้เล็งเห็นขีดขั้น แห่งสิทธิอันแท้จริงของหล่อนภายในเวลาอันไม่ช้านัก

หลังจากที่ได้ทำบุญ ๕๐ วันศพนายอรุณเรียบร้อย คุณเนื่องมีความเห็นว่าสุนทรีร่างกายร่วงโรยไป อันเป็นเพราะเหตุที่หล่อนได้ตรากตรำพยาบาลภรรยาของคุณเนื่องนั่นเอง ประจวบกับบิดาของสุนทรีจะไปเยี่ยมบ้านเก่าของภรรยาที่จันทบุรีพร้อมกันทั้งครอบครัว คุณเนื่องจึงฝากสุนทรีให้ไปตากอากาศกับบิดาของหล่อน​ด้วย การเดินทางคราวนี้ทำให้สุนทรีเกิดความคิดใหม่ๆ แปลกๆ ขึ้นหลายประการ

นางลม้าย วนศาสตร์โกศล มารดาเลี้ยงของสุนทรีนั้น ถ้าจะว่าด้วยนิสัยก็เป็นบุคคลสามัญ คือมีส่วนดีมากกว่าส่วนชั่ว แต่นางวนศาสตร์ฯ เป็นคนมีลูก ก็เป็นธรรมดาที่ค่อนข้างจะรู้คิด นางวนศาสตร์ฯ ซักถามถึงความเป็นอยู่ของสุนทรีในสมัยเมื่ออยู่กับนายอรุณ แล้วถามต่อไปว่า เมื่อก่อนจะถึงแก่กรรม นายอรุณได้สั่งเสียเพื่อให้สุนทรีได้รับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นมรดกบ้างหรือไม่ ต่อจากนั้นนางวนศาสตร์ฯ ถามถึงการปกครองบ้านหลังจากที่นายอรุณหาตัวไม่แล้ว เมื่อสุนทรีเล่าให้ฟังโดยละเอียดอย่างภาคภูมิใจ นางวนศาสตร์ฯ ก็ออกอุทานชมเชยด้วยใจจริง “อ้อ ! ดี๊ดี โถ แกก็ ให้เป็นแม่บ้านแทนแม่น่ะแหละ” แต่ในชั่วอึดใจนั้นเอง นางวนศาสตร์ฯ ก็เบือนหน้ามาทางสามี และปรารภด้วยเสียงแสดงความวิตก

“แต่น่ากลัวว่าถึงเวลาคุณเนื่องตายเข้าแล้ว ก็จะเหมือนคราวแม่อรุณ โถ ! เลี้ยงเด็กมาแต่อ้อนแต่ออก จะหาว่ายกอะไรให้เป็นสมบัติสักชิ้นหนึ่งก็ไม่มี ลงท้ายอีตาประจิตรแกก็จะกอบเอาเสียคนเดียว”

คำสนทนาดังกล่าวนี้ ทำให้สุนทรีได้ความคิดในข้อที่ว่า ทรัพย์ของนายอรุณก็ดี ของคุณเนื่องก็ดี หล่อนจะถือเสมือนดังทรัพย์ของหล่อนเองหาถูกไม่

และด้วยเหตุนี้ สุนทรีเมื่อกลับจากตากอากาศแล้วก็เปลี่ยน​วิธีการใช้เงินเสียใหม่ ทำบัญชีถี่ถ้วนยิ่งขึ้นและเลิกใช้เงินกองใหญ่ของผู้ปกครองไปในกิจส่วนตัวของหล่อน แต่บัดนั้นมา

เมื่อคุณเนื่องถึงแก่กรรมลง การณ์ก็เป็นไปถูกต้องดังที่นางวนศาสตร์ฯ ทำนายไว้ คือคุณเนื่องมิได้ทำพินัยกรรม ประจิตรก็เป็นผู้รับมรดกตามกฎหมายแต่ผู้เดียว

แต่ทั้งนี้มิได้ทำให้ฐานะและความเป็นอยู่ของสุนทรีเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพราะเหตุว่าคุณเนื่องได้ตั้งข้อผูกมัดระหว่างบุตรและธิดาบุญธรรมไว้แล้ว คุณเนื่องได้สั่งแก่ประจิตรเมื่อรู้สึกตัวว่าเจ็บหนัก “เลี้ยงน้องให้เหมือนกับที่พ่อกับแม่เคยเลี้ยง” และสั่งสุนทรี “พ่ออยู่หนูเคยทำยังไง พ่อตายแล้วก็ทำอย่างนั้นนะ ยังไงๆ อย่าเห็นน้องเป็นคนอื่น”

คำพูดสองประโยคนี้ เมื่อสุนทรีนึกขึ้นคราวใดก็ให้เสียวปลาบในทรวงอก เกิดความรู้สึกตื้นตันคล้ายกับที่รู้สึกในเมื่อได้ฟังจากปากคุณเนื่องเป็นครั้งแรก....

พอแสงแดดลับจากยอดไม้ ถึงเวลาโพล้เพล้ สุนทรีกำลังนึกว่าหล่อนได้นั่งอยู่เปล่ามานานพอควรแล้ว เตรียมตัวจะขึ้นตึกเพื่อหางานทำด้วยมือหรือด้วยสมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พอดีได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน สุนทรีแน่ใจว่าประจิตรกำลังมาถึง ก็บอกกับตัวเองว่า....

“ต้องไม่ลืมเตือนเรื่องลูกสาวหลวงประเสริฐฯ”

สุนทรีมาพบประจิตรอยู่กับนายอนุชาติ และนายแสงที่ในห้องรับแขก กำลังพูดกันอยู่อย่างที่ไม่น่าจะมีผู้หนึ่งจับความได้ทัน ​อนุชาติเป็นผู้หยุดพูดก่อนเมื่อเห็นสุนทรี แล้วเขาเดินมาหาหล่อนตรงกลางห้อง นายแสงกับประจิตรยังพูดกันต่อไปอีก ๒-๓ คำ ภายหลังประจิตรถอยหลังไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ในท่าประจำของเขา นายแสงจึงมายืนคู่กับอนุชาติตรงหน้าสุนทรี

“หมู่นี้ไม่ค่อยได้พบคุณเลย” นายแสงกล่าว

“ก็คุณหายไปไม่มาที่นี่ก็ไม่ได้พบน่ะซี” สุนทรีตอบเป็นเชิงพ้อกลายๆ “รับประทานข้าวด้วยกันไหม? นานๆ พบกันทีหนึ่ง คุยกันเสียให้พอ คุณอนุชาติด้วยนะคะ”

“แหม ! เสียใจ” สองสหายตอบพร้อมกัน ทั้งผู้พูดผู้ฟังจึงต่างหัวเราะ แล้วอนุชาติต่อ “จะต้องไปรับประทานกับเพื่อน เขาขึ้นบ้านใหม่”

“อ้าว ! แล้วกัน อยู่ไม่ได้ทั้งสองคนหรือคะ?” เขาก้มศีรษะรับทั้งคู่ หล่อนก็ปรารภสืบไป “ไม่อยากเชียว แหม ! วันนี้ดิฉันว้างว่าง อยากคุยอะไรๆ กับใครๆ ให้สนุก”

“ไปด้วยกันกับผมไหมล่ะครับ?” อนุชาติถาม

“ขอบคุณ” สุนทรีตอบพลางหัวเราะ “อยู่ดีๆ เขาไม่ได้เชิญจะไปยังไง?”

“เป็นไรไป คุณเป็นแขกของผมอีกต่อหนึ่ง มันไม่ได้เชิญเป็นพิธีรีตองอะไร บอกๆ กันไปทั่วๆ ตามเพื่อนฝูง”

“อาจจะมีแขกตั้ง ๓๐๐ หรือมีสัก ๕ คนก็ได้” นายแสงต่อ

“เออ ! เข้าที” หญิงสาวว่า “แหม ! เลี้ยงแบบนั้นเขาทำวิธีไหนนะ? ดิฉันละยอมแพ้เทียว”

​“แบบหาเหล้าไว้เยอะเท่านั้นแหละครับ มีเหล้าไว้ให้พอเป็นใช้ได้”

“เหล้าไม่พอก็เอาที่ร้านเจ๊ก เดินสามก้าวถึง” นายแสงต่อตามเคย “ถ้าเหลือคืนได้”

“ใครคะ เจ้าของบ้านน่ะ ถามได้ไหม?”

อนุชาติบอกนามสหาย และเล่าประวัติประกอบด้วยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ช่วยให้สุนทรีสว่างขึ้นกว่าเดิม เพราะหล่อนไม่เคยรู้จักหรือได้ยินเรื่องราวของเขาผู้นั้นมาก่อน แต่หล่อนได้ทราบว่าเขาเป็นเพื่อนกับประจิตรด้วย จึงหันไปถามเขาผู้นี้

“แล้วเธอไม่ไปสนุกกับเขามั่งหรอกหรือ?”

“ขี้เกียจ” ประจิตรตอบสั้นๆ พร้อมกับสั่นศีรษะ

อนุชาติกับนายแสงกล่าวคำอำลา สุนทรีก็ร้องอย่างตกใจ

“อะไรจะไปแล้วล่ะ ! ยังไม่ทันได้ดื่มอะไรสักนิด ยังไม่ได้เชิญให้นั่งด้วยซ้ำไป มัวแต่พูดเพลิน”

“ถึงเชิญก็นั่งไม่ได้ครับ จะต้องรีบกลับไปอาบน้ำอาบท่า เขาบอกให้ไปทุ่มหนึ่ง ป่านนี้มิเกือบทุ่มเข้าไปแล้วหรือ”

“ยังงั้นก็ตามใจ” สุนทรีตอบ แล้วเสริมเมื่อทั้งสองทำกิริยาอำลาหล่อน “แล้วอย่าหายเงียบไม่เยี่ยมไม่กรายให้นานเหมือนคราวนี้อีกนะคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน”

“อ๋อ ข้อนั้นรับรองเป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด นอกจากผมจะวิกลจริตเสียเท่านั้น” พูดแล้วอนุชาติก็ออกประตูไปพร้อมกับนายแสง

​สุนทรีเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ประจิตรพลางถามว่า

“เป็นยังไงจ๊ะ?”

ประจิตรไม่ตอบ มีความหมกมุ่นอยู่ในใจและยังคร้านที่จะพูด ฝ่ายสุนทรีก็มีเรื่องใจจ่ออยู่ และไม่อยากจะโอ้เอ้ชักช้า จึงพูดสืบไปทันที

“เรื่องตาประพันธ์ไปถึงไหนแล้ว? ฉันทายว่าต่อจากวันที่พูดกับฉันแล้วเธอก็คงลืมเสียสนิทตามเคย....”

สุนทรีชะงัก ด้วยประจิตรขยับตัวโดยแรงและร้องจุ๊ย ! พร้อมกับเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แต่ครั้นแล้วหล่อนมองไม่เห็นเหตุที่เขาควรโกรธ จึงไม่ถือสา พูดเรื่อยต่อไป

“ฉันเองก็วิเศษไม่น้อย ลืมเสียสนิทเหมือนกัน เธอพบหลวงเจนฯ ของเธออีกหรือเปล่า หรือพบแล้วมัวแต่เพลินไปเสียทางหนึ่ง”

เสียงจุ๊ย ! จากประจิตรเป็นครั้งที่สอง ตัวเขาก็ผุดลุกจากที่นั่ง “พอจะนั่งสบายๆ ใจหน่อยก็เกิดจะต้องมาพูดเรื่องบ้าๆ”

สุนทรีรู้สึกโลหิตฉีดปร๊าดขึ้นสมองโดยแรง แต่การรักษากิริยาภายนอกเป็นสิ่งที่หล่อนทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนชำนาญอย่างยิ่ง ลักษณะความโกรธจึงปรากฏแต่ที่แววตา หล่อนพูดว่า

“ขอโทษ ไม่ต้องลุกไปหรอก เชิญนั่งให้สบายเถอะ ฉันจะไปเอง”

หล่อนหันหลังให้ เดินออกประตูไป ประจิตรก็กลับลงนั่งดังเก่า ที่เขี่ยบุหรี่วางอยู่ใกล้มือ เขายกขึ้นแล้วก็วางแล้วก็ยกขึ้นอีก แล้วก็วางอีก ใจสั่นด้วยความที่อยากขว้างปังลงไปให้แหลกละเอียด​อยู่ตรงกลางห้อง ในที่สุดก็ยกขึ้นอีกจนได้ หมายตาดีแล้วก็เหวี่ยงไปตกดังตุ้บอยู่บนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง

“....คนหนึ่งกำลังหัวเสียก็ชอบมาตอแย....”

“....ผู้หญิงที่ไหนๆ เขาก็ต้องรู้....ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไหนเขาก็ต้อสอน.....ผู้ชายกลับมาเหนื่อยๆ อย่าเพ่อกวน....”

“ธรรมเนียมคนไป....ยุ่งอะไรที่ไหนมา มันก็ต้องหันหน้ามาปรับทุกข์กับคนที่บ้าน นี่กลับต้องมาฟัง....”

แล้วประจิตรก็ตั้งความสงสารแก่ตัวเอง ประดุจว่าตนกำลังได้รับความทุกข์ ควรที่ชนทั้งหลายจะสงสารอย่างที่สุด พร้อมกับคิดน้อยใจสุนทรีเป็นอย่างยิ่ง

ความเหนื่อยของประจิตร เกิดจากที่เล่นเทนนิสประเภทเดี่ยวแข่งขันชิงถ้วยของสโมสร ความ ‘ยุ่งอะไร’ เกิดจากที่เขาได้หวังไว้เป็นอย่างมาก ว่าจะได้เข้าแข่งขันรอบสุดท้าย ซึ่งถึงตนจะไม่ชนะ ก็จะไม่เสียใจ แต่วันนี้ประจิตรได้แพ้แก่ปรปักษ์เสียก่อนแล้ว ก็เป็นอันว่าเขาหมดสิทธิที่จะได้เข้าแข่งขันอีก

บัดนี้ นอกจากโกรธสุนทรีในข้อที่กล่าวความอันเป็นเครื่องรกแก่ใจ ประจิตรเริ่มโกรธตัวเองในข้อที่ได้แสดงความโกรธให้สุนทรีเห็น ความโกรธประการหลังนี้ทำความเดือดร้อนให้แก่ประจิตรมากที่สุดจนเขานั่งนิ่งอยู่ไม่ได้ ก็ลุกจากที่เดินลงส้นขึ้นไปบนตึก เพื่อจะอาบน้ำและแต่งตัวออกไปหาเครื่องแก้รำคาญนอกบ้าน

เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าประจิตรกระแทกพื้นกระดาน สุนทรีรู้สึกคล้ายกับว่า รองเท้ากระแทกอยู่ในอกของหล่อน ความโกรธ​ที่เริ่มซาลงก็กลับขึ้นอีกโดยเร็ว

“ไอ้พรรค์นี้ซีที่เกือบทำให้อยู่ด้วยกันไม่ได้เสียหลายหนแล้ว”

สุนทรีย้อนคิดถึงสิทธิ์ อิสรภาพของความเป็นไทแก่ตัวที่หล่อนมีอยู่โดยสมบูรณ์....

“ถ้าไม่มีเจ้าพวกนี้เป็นประกัน....”

“ถ้าลองนึกเชื่อสักนิดว่าดูถูก....”

เสียงฝีเท้าประจิตรลงบันได สุนทรีรู้ว่าเขาแต่งตัวเสร็จ บัดนี้เขาจะขึ้นรถออกไปนอกบ้าน ไปหาความสำราญที่อื่น ทันใดนั้นหล่อนรู้สึกเศร้าและน้อยใจ ดูรึ ! วันนี้เป็นวันที่หล่อนชื่นบานมาก มีความสนุกเตรียมอยู่แล้วในอารมณ์ และอยากได้ผู้ที่จะร่วมพูดร่วมคุย ร่วมเที่ยวหาความสนุกภายนอกให้สมกับความสนุกภายใน เขาผู้นั้นกลับพาลหาเหตุขัดใจกับหล่อน แล้วก็ไปเสีย ทิ้งหล่อนให้อ้างว้างอยู่ในบ้านแต่ผู้เดียว....

คืนนี้ สุนทรีรับประทานอาหารล่าช้ากว่าที่เคยเกือบชั่วโมง ขณะเมื่อลงนั่งที่โต๊ะ หล่อนคิดว่าจะกลืนอาหารไม่ลงเพราะความหงุดหงิดในใจยังไม่ถอย แต่ร่างกายที่สมบูรณ์เช่นร่างกายสุนทรีนั้น ย่อมจะไม่ตกเป็นทาสแก่อารมณ์จนเกินไปนัก สุนทรีจึงยังคงรู้สึกเอร็ดอร่อยในรสอาหาร และรับประทานได้ไม่น้อยกว่าที่เคย

พ้นเวลารับประทานอาหารแล้ว สุนทรีเดินวนเวียนอยู่ในห้อง และคิดวนเวียนอยู่ในเรื่องประจิตรพักใหญ่ จนเบื่อคิดแล้วก็นั่งลงอ่านหนังสือ มิช้าก็เพลินไปในรสแห่งเรื่องที่อ่านอยู่นั้น เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา สุนทรีลุกขึ้นเตรียมตัวจะเข้านอน ใจ​ก็แล่นไปเกาะเกี่ยวที่ประจิตรอีก คะนึงนึกว่าเขาจะกลับบ้านสักกี่ทุ่ม หรือว่าเขาจะไม่กลับเสียเลยตลอดคืนนี้ นึกดังนั้นแล้วก็กังวลและกลุ้ม แต่เมื่อศีรษะถึงหมอน ร่างกายทอดยาวอยู่บนฟูกอันอ่อนนุ่ม ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างเรื่อยๆ ลอดผ้าโปร่งเข้ามาต้องตัวทำให้เกิดความสบาย สุนทรีก็หลับลงอย่างสนิทในไม่ช้า

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #4 on: 28 October 2025, 19:38:42 »


๑๐

บ่ายวันจันทร์ ระหว่างทางที่สุนทรีนั่งรถจากโรงเรียนจะกลับที่อยู่ จิตใจของหล่อนวับๆ หวำๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวันวาน

เรื่องไม่เป็นสาระนั้นอาจจะยืดเยื้อไปหลายวันก็ได้ หรืออาจจะจบลงด้วยดีในวันนี้ก็ได้ แต่สุนทรีหวาดเกรงว่าจะยืดเยื้อไปมากกว่าที่จะจบลงโดยง่าย

ความจริงครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก ที่ประจิตรกับสุนทรีมีข้อขุ่นเคืองใจต่อกัน ตรงกันข้าม สุนทรีกำหนดไม่ถูกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าใด แต่หล่อนรู้แน่ว่าเป็นครั้งที่มีมูลเหตุอันไม่ควรที่จะเกิดผลเป็นเรื่องราว เช่นเดียวกับครั้งที่แล้วๆ มาเหมือนกัน

ถ้าประจิตรกับสุนทรีจะขัดใจกันในเรื่องที่มีมูลเหตุ เรื่องนั้นมักจะเป็นเรื่อง ‘เงิน’ กล่าวคือ ประจิตรเป็น ‘โรคขัดเพื่อน​ไม่ได้’ ในกรณีที่เกี่ยวกับ ‘เงิน’ นี้ ทั้งเมื่อ ‘ขัด’ ไม่ได้แล้ว เขาไม่มีแม้แต่สติปัญญาที่จะจดจำจำนวนเงินที่เขา ‘ควัก’ ไป หากเมื่อใดสุนทรีซักถามหรือตักเตือนเขาเรื่อง ‘เงิน’ เมื่อนั้น เขากับหล่อนก็เกิดเป็นปากเสียงกัน

ทุกครั้งที่แล้วมา ไม่ว่าจะเป็นครั้ง ‘เหลว’ หรือครั้งมีมูลเหตุ ประจิตรเป็นฝ่ายง้อสุนทรีก่อนเสมอ เพราะเหตุนั้นครั้งนี้สุนทรีจึงประหวั่นใจ หล่อนเกรงไปว่าประจิตรอาจทำเฉยเพื่อให้สุนทรีเป็น ฝ่ายง้อเขาบ้าง ซึ่งสุนทรีรู้สึกว่าเป็นการยากยิ่งที่จะทำให้สมใจเขา

แต่ครั้นเมื่อมาถึงที่อยู่ แต่พอรถเลี้ยวเข้าประตูบ้านสุนทรีก็ยิ้มออกได้ และนึกเย้ยความกลัวของตัวเองเป็นอันมาก ทางมุมตึกเยื้องไปข้างหลัง มีเด็กวิ่งเล่นอยู่เป็นหมู่มองเห็นหลังพวกเขาได้ไวๆ เขาคือลูกชายหญิงของพระวนศาสตร์โกศล

นี่คือวิธีเก่าของประจิตรซึ่งสุนทรีรู้จักดี

สิ่งหนึ่งที่สุนทรีชอบทำเป็นครั้งคราว เมื่อหล่อนมีใจปลอดโปร่ง คือการส่งรถไปรับน้องมายังที่อยู่ ดูแลให้เล่น ให้บริโภค พาไปเที่ยว และให้สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เป็นกำนัล แล้วก็พาตัวกลับไปส่งให้แก่บิดามารดา ถ้าคราวใดสุนทรีกับประจิตรโกรธขึ้งกันโดยที่ประจิตรเป็นฝ่ายก่อ ครั้นเขารู้สึกผิด ก็มักจะใช้วิธีไปรับน้องของสุนทรีมาที่บ้าน ทั้งนี้เพื่อประจบสุนทรีทางอ้อมนั่นเอง

สุนทรีลงจากรถแล้วก็ก้าวขึ้นตึก นำวัตถุที่นำมาด้วยจากโรงเรียนไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็ออกจากห้องนอนไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งมีหน้าต่างเปิดสู่มุมตึกด้านหลัง ประจิตรยืนหันหลังตรงมา​ทางช่องหน้าต่างพอดี สุนทรีรู้ว่าเขาคอยหล่อนอยู่ ด้วยเป็นธรรมดาของผู้ที่ทำการอย่างหนึ่งเพื่อเอาใจบุคคลหนึ่งก็ย่อมใจร้อนอยากเห็นว่าบุคคลนั้นจะต้อนรับการกระทำของตนสถานใด สุนทรีพาดแขนลงบนขอบหน้าต่าง ยิ้มกับเขาแล้วทักว่า

“ฮัลโหล !”

“ฮัลโหล” เขาทักตอบ ยิ้มยังคงมีลักษณะกระดากเจืออยู่เล็กน้อย แล้วถาม “กลับมาแล้ว?”

“เธอไปทำอะไรอยู่ที่นั่น?”

“ดูเด็กเขาเล่นกัน” เขาตอบพร้อมกับชี้มือไปข้างหน้า “ชะโงกตัวออกมาอีกหน่อยซี”

หล่อนทำตามเขา แล้วถามอย่างซื่อที่สุด

“เอ๊ะ ! นั่นดอดไปรับเอากันมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ออกจากทำงานก็เลยไปรับ กำลังสั่งให้เขาหาขนมมาเลี้ยง เธอจะกินน้ำชาที่ไหน?”

“กินกะเธอ” สุนทรีตอบสั้นๆ พร้อมกับยิ้ม แล้วก็ทำตัวให้หายจากหน้าต่าง

แวะเข้าในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง ล้างมือ เพิ่มนวลที่ผิวหน้ากับแต่งผมอีกเล็กน้อย.....ประจิตรทำตัวของเขาให้เป็นที่รักนักหนา ก็ชอบที่หล่อนจะทำตัวของหล่อนให้งามเพื่อตอบแทนเขาบ้าง แล้วสุนทรีก็ลงจากตึกไปรวมกับประจิตรและน้องเล็กๆ

เด็กหญิงสองคน คนหนึ่งอายุ ๑๔ อีกคนหนึ่งอายุ ๑๒ ขวบ เด็กชายอายุ ๘ ขวบ วิ่งมาล้อมสุนทรีอวดช้อคเคล็ตตุ๊กตาเรือบิน​ซึ่งเป็นของกำนัลจากประจิตร เด็กอื่นๆ ที่เป็นเด็กในบ้านซึ่งประจิตร เรียกมาให้เล่นกับ ‘คุณๆ’ พากันแอบไปทางหนึ่ง สุนทรีปราศรัยน้องถามถึงบิดามารดาของเด็ก แล้วแสดงความประหลาดใจต่อประจิตร ซักถามว่าเขาเจียดเวลาไปหาของกำนัลให้เด็กได้อย่างไร?

ต่อจากนั้นไม่ช้า คนใช้ก็ยกถาดอาหารมาตั้ง เขาทั้งห้าคนรับประทานร่วมกัน

น้องของสุนทรีทั้งสามคน มีนิสัยค่อนไปทางนิสัยมารดาอยู่อย่างหนึ่งคือช่างพูด เมื่อพี่สาวถามนั่นถามนี่เด็กก็ตอบคล่องแคล่วปราศจากกระดากอาย และตอบเกินกว่าที่ถามก็มาก เพราะเหตุที่คุ้นกับพี่สาวเป็นอย่างดี ภายหลังเมื่อตอบโต้กันอยู่เช่นนั้นสักครู่ เด็กก็คุยกันเองบ้างตามประสาของเด็ก ซึ่งจะพูดลงรอยกันนานหาได้ไม่

ประจิตรก็พูดคุยกับเด็กด้วย และดูเหมือนจะสนุกสนานร่าเริงยิ่งไปกว่าเด็กเสียอีก แต่ความร่าเริงของเขาค่อนข้างจะมีความฟั่นเฝือแฝงอยู่เบื้องหลัง สายตาของเขาสอดส่ายตามจับตาสุนทรีอยู่ตลอดเวลา มิช้าสุนทรีก็ได้ความคิดว่าเขากำลังกระหาย จะให้หล่อนแสดงความรู้สึกปิติยินดี ยกย่องความเอื้ออารีของเขาให้ปรากฏแก่เขาอย่างเด่นชัด คิดต่อไปว่าลักษณะจิตใจเช่นนี้มิได้ผิดกับจิตใจของเด็ก คิดดังนี้แล้วความแช่มชื่นในใจสุนทรีก็ถอยลง

ครั้นใกล้ค่ำ สุนทรีกับประจิตรก็ละเด็กไว้ตามลำพังเด็กด้วยกัน เขาทั้งสองพากันไปแต่งตัว แล้วพาเด็กสามคนไปส่งยังบ้านพระวนศาสตร์ฯ รับประทานอาหารกับคุณพระและนั่งคุยอยู่ราวชั่วโมงเศษจึงลากลับ

​ระหว่างเวลาที่นั่งรถมาด้วยกัน สุนทรีกับประจิตรต่างพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ เกือบทุกเรื่อง นอกจากเรื่องที่เขาขัดใจกันเมื่อวันวาน สุนทรีปรารภอยู่ในใจว่า แม้ประจิตรจะได้ยอมแพ้หล่อนเช่นนี้แล้ว ก็ยังเป็นการที่จะเป็นไปได้ในข้อที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องบุตรีหลวงประเสริฐฯ ต่อไปอีกหลายวัน ซึ่งทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นอีกว่า หล่อนควรจะเตือนเขาอีกหรือจะละเลยเสียชั่วคราว

ครั้นมาถึงบ้าน สุนทรีลงจากรถแล้วก็ตรงไปห้อง หล่อนมีงานที่ไม่ด่วนนัก แต่หล่อนต้องการจะทำให้เสร็จเพื่อความสบายใจในตอนหลัง แต่เมื่อหล่อนลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ประจิตรก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งเข้ามาในห้องหล่อนด้วยเหมือนกัน และพาตัวไปนอนบนเก้าอี้นวมแล้วก็เปิดหนังสือออกอ่าน

เขานอนอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ดูเหมือนจะเพลิดเพลินในการอ่านมากด้วย แต่การที่เขานอนอยู่ในห้องนี่แหละ ทำให้สุนทรีขาดสมาธิที่จะประกอบความตั้งใจทำงาน สมองของหล่อนเริ่มปฏิเสธการรับรู้ข้อความที่จักษุประสาททำการถ่ายทอดส่งให้

สุนทรีเริ่มนึกเห็นภาพประจิตรกับหล่อนอยู่ด้วยกัน ในลักษณะเช่นนี้ เดือนหนึ่งประมาณ ๒๕ คืน ส่วนที่นอกไปจากนี้ เขากับหล่อนก็ยังคงอยู่ด้วยกันนั่นเอง เว้นแต่อยู่ในสถานอันมิใช่ที่อยู่ประจำ เช้าขึ้นเขาไปทำงานกระทรวง หล่อนอยู่ทำงานบ้าน ตอนบ่ายออกจากกระทรวงเขาตรงมาบ้าน หล่อนก็คอยรับเขาอยู่ ต่อจากนั้นเขาไปเล่นกีฬา ถ้าเป็นการสมควร คือเขาต้องการให้หล่อนไปก็ไปด้วย หากเขาชอบจะไปแต่ผู้เดียว ก็ตามใจเขา เขากลับมา​ถึงจะพบหล่อนแต่งตัวสะสวยคอยอยู่เช่นเวลาบ่าย ถึงเวลารับประทานอาหารหล่อนจะบอกชื่ออาหารที่หล่อนเป็นผู้สั่งเอง ถ้าเขาพอใจจะรับประทานก็รับประทานด้วยกัน ถ้าเขาไม่พอใจ จะรับประทานที่อื่น หล่อนก็เตรียมพร้อมที่จะไปกับเขา

ตอนกลางคืน หลังจากอาหารมื้อค่ำ ถ้าจะมีการไปเที่ยวเตร่บางครั้งบางคราวก็ไปด้วยกัน ถ้าไม่ไป หนังสือคนละเล่ม อ่านบ้าง คุยกันบ้าง มีวิทยุหรือหีบเสียงเป็นเพื่อนด้วย ดังนี้ก็ดูน่าที่เขาและหล่อนจะเป็นสุขดีเช่นเดียวกับมนุษย์สามัญทั้งหลาย

แต่.... สุนทรีเงยหน้าขึ้นจากสมุดเตรียมการสอนมองไปที่ประจิตร....แต่ประจิตรเคยอยู่บ้านโดยสงบเช่นนี้เดือนละกี่คืน? หรือจะเป็นที่เขายังไม่มีสิทธิหรือหน้าที่ๆ ควรจะปฏิบัติต่อหล่อนดังที่หล่อนใฝ่ฝันอยู่บัดนี้ ถ้าเมื่อไหร่เขามีสิทธิและหน้าที่ เขาย่อมจะปฏิบัติได้โดยครบถ้วน?....สุนทรีถอนใจ....เป็นความจริงหรือที่ว่าความรักอันแท้จริงย่อมจะมีอิทธิพลที่จะทำนิสัยส่วนสำคัญของบุคคลให้เปลี่ยนไปได้?...

“คิดถึงอะไร?”

สุนทรีสะดุ้ง ประจิตรพูดต่อแกมหัวเราะ

“แหม ! มองดูเราเสียจนเรารู้สึกว่าถูกมอง ทั้งๆ ที่กำลังอ่านหนังสือเพลิน”

“พ่อคนมีความรู้สึกไว ! เขาคิดถึงงานของเขาหรอก”

“ขอบใจ ทำไมไม่เอาตาไปไว้ที่อื่น เอามาไว้ที่ฉันทำไม”

“ฉันรู้ตัวเมื่อไรว่าฉันมองดูเธอ”

​“ขอบใจ” เขาซ้ำ พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง “ไอ้ตัวของฉัน หรือเก้าอี้ หรือหน้าต่าง ราคามันก็เท่ากัน” พูดเขาลุกขึ้นยืน

สุนทรีหัวเราะขึ้นทันที “ทำใจน้อยไปน่า !” หล่อนว่า “ก็เธออ่านหนังสือ ฉันก็ทำงานของฉัน ต่างคนต่างมีความพอใจกันไปคนละทาง จะเอาอะไรอีกล่ะ?”

“เมื่อฉันเข้ามาฉันไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหนังสือเลย....”

“แต่เธอถือหนังสือเข้ามาด้วย ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอต้องการจะทำอะไร นอกไปจากอ่านหนังสือ”

“เดี๋ยวนี้รู้แล้วจะว่ายังไง?”

“ฉันก็เลิกทำงาน” พูดแล้วสุนทรีก็ปิดสมุดเสียทันใด

ประจิตรหัวเราะ แล้วถอยหลังกลับไปนั่งที่เดิม พูดว่า

“ฉันเกลียดผู้หญิงทุกคนที่ทำงาน ยิ่งพวกครูด้วยละยิ่งแล้ว”

“ขอบใจ ! ฉันรู้มานานแล้ว และรู้ยิ่งไปกว่านั้นด้วย”

เขาทำหน้าพิศวงและถาม

“รู้ยังไง?”

“รู้ว่าผู้ชายทุกคนเกลียดผู้หญิงที่มีความรู้”

“เพราะอะไร? เพราะอะไรถึงเกลียด?”

“เพราะผู้ชายชอบพูดข้างเดียว”

คำตอบของหล่อน ผิดจากใจจริงของเขาในขณะนั้นเป็นอันมาก ทำให้เขาออกฉิว แต่คืนนี้เขามีความตั้งใจที่จะเอาใจหล่อนมากกว่าที่จะชวนวิวาท จึงตอบว่า

“เธอดูถูกผู้ชายมากเกินไป ที่จริงฉันเกลียดผู้หญิงที่ทำงาน ​ก็เพราะว่าอ้ายงานนั่นมันนิวแซน อย่างเธอเวลาฉันอยากจะมานั่งพูดนั่งคุยด้วย ก็เห็นแต่นั่งทำงานร่ำไป ครั้นจะพูดขึ้นมาทั้งๆ ที่เห็นว่าทำงาน ก็จะกลายเป็นคนไม่มีกิริยา”

สุนทรียิ้มในหน้า “ราวกับพ่อจะมานั่งอยู่ด้วยบ่อยๆ” หล่อนนึก แล้วตอบว่า

“งานของฉันไม่ใช่ว่างานเร่งจะต้องทำให้เสร็จทุกคืนๆ เมื่อไหร่ ถ้าฉันรู้ว่าเธออยากจะพูดอะไรด้วย ฉันก็ไม่ทำมันเสียเท่านั้น แต่ถ้า....ไม่รู้จะพูดจะคุยกับใคร เจ้างานนั่นแหละเป็นเพื่อนดีที่สุด”

เขามิได้ไหวในคำพ้อซึ่งแฝงอยู่ในประโยคหลัง หรือถ้าหากจะไหวก็แสร้งทำไปเสียอีกอย่างหนึ่ง ถามว่า

“ถ้าไม่ทำแล้วละก็.... ลุกมาเสียจากโต๊ะนั้นได้ไหม?”

“ได้ แต่อยากรู้ว่าทำไมถึงต้องให้ลุก”

“ไม่สำคัญอะไรหรอก ชั่วแต่ฉันขี้เกียจตะโกน”

เจ้าหล่อนลุกขึ้นจากที่ ประจิตรมองดูหล่อนอยู่ตลอดเวลาที่เปลี่ยนอิริยาบถนั้น เมื่อหล่อนนั่งลงร่วมเก้าอี้ตัวเดียวกับเขาแล้ว เขาก็หัวเราะขึ้นเบาๆ

“หัวเราะอะไร?” สุนทรีถาม

“ผู้หญิงน่ะชอบโกหก”

“แน่ะ มาท่าไหนนั่น”

“ท่าจิตวิทยาอย่างเธอพูดเรื่องผู้ชายเมื่อตะกี้น่ะแหละ”

“ต๊าย !” สุนทรีอุทานพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขัน “ยังอาฆาตไม่หาย ! จิตวิทยาตำราไหนกันที่ว่าผู้หญิงชอบพูดปด”

​“ฉันไม่ได้ว่าผู้หญิงชอบพูดปดสักที ว่าชอบให้ใครๆ เขาปดให้ต่างหาก อย่างเธอ ถ้าฉันบอกว่าอยากให้มาจากโต๊ะเพราะอยากให้มานั่งใกล้ฉัน เธอก็หาลุกมานั่งยังงี้ไม่ ต้องพูดไปเสียอีกอย่างหนึ่งถึงได้มา”

“นั่นฉันตกหลุมพรางต่างหากล่ะ ฉันบอกหรือว่าฉันชอบให้เธอหลอกฉัน”

“ฉันพูดถึงผู้หญิงทั่วไป ไม่เฉพาะเธอ เมื่อกี้เธอพูดถึงผู้ชายทั่วไปฉันยังยอมแพ้ ทีนี้เธอยอมแพ้ฉันมั่งซี”

สุนทรีเอนศีรษะลงชิดพนักเก้าอี้ อมยิ้มมองดูเขานิ่งอยู่

ประจิตรเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันไปหาบ้านอีตาประพันธ์พบแล้ว”

“แหม ! เร็วจริง” สุนทรีกล่าว น้ำเสียงแสดงความพอใจและพิศวงระคนกัน “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เมื่อกลางวันนี้เอง เมื่อแรกไปหาที่มหาวิทยาลัยไม่พบตัวแต่พบเพื่อนที่เขาอยู่ด้วยกัน เผอิญไปถามโดนตัวอีตาคนนั้นเข้าด้วย เคราะห์ดีพิลึก ทีนี้เราก็เอาตานั่นใส่รถให้แกนำเราไปที่ๆ แกอยู่”

“แต่ทำไมเธอถึงเดาไปหาแกที่มหาวิทยาลัยถูกล่ะ?”

“ก็รู้ว่าแกเรียนวิศวกรรม ตาหลวงเจนฯ แกบอกเมื่อสัก ๔-๕ วันมานี่เอง”

“แล้วเมื่อวานไม่บอกให้รู้สักคำ” สุนทรีนึก

ประจิตรเล่าต่อไป

“ตาประพันธ์เป็นนักเรียนวิศวะปีที่สอง เจ้าเพื่อนเพิ่งอยู่ปีที่หนึ่ง ​แล้วยังมีเพื่อนนักเรียนแผนกอื่นอยู่ด้วยอีกสองคนรวมเป็นสี่คน ฉันเขียนหนังสือฝากเพื่อนไว้ว่าพรุ่งนี้ ๕ โมงเย็นจะไปหา พรุ่งนี้เธอว่างไหมล่ะ?”

“ทำไม? จะให้ไปเป็นเพื่อน? เห็นตาประพันธ์เป็นผีไปอีกแล้ว?”

ประจิตรหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่ยังงั้นหรอก แต่เธอไปด้วยละก็ทำให้อุ่นใจ” เว้นระยะนิดหนึ่งจึงเสริม “ไม่ว่าที่ไหนถ้าเธออยู่ด้วยแล้วเป็นอุ่นใจฉันทั้งนั้น”

สุนทรีมองดูเขาอย่างใช้ความคิด แล้วพูดแกมหัวเราะ

“รู้สึกเหมือนตัวจะลอยขึ้นไปติดหลังคา ด้วยความที่ปลื้ม ทีนี้สงสัยว่าจะไม่อุ่นไปทุกทีอย่างว่าหรอก ถ้าฉันไปด้วยในที่บางแห่ง เช่นตามที่ๆ เธอไปพบหลวงเจนฯ ก็จะเกินอุ่นไปเท่านั้น”

“อ้าว ! ก็นั่นมันคนละเรื่องนี่น้า กลัวเธอจะเสียราศี ถึงจะอยากให้ไปด้วยแทบใจขาดก็ไม่พาไป หรือเธอกล้าพอที่จะไปล่ะ?”

หล่อนสั่นศีรษะ ดวงตามีแววหวานดังจะหยดแล้วว่า

“ไม่กล้า ถูกแล้ว ถูกของเธอ น้องชายฉันพูดถูก ทำถูกคิดถูกเสมอ”

เขาทำหน้านิ่วพลางว่า

“ทำไมนะ ถ้าเกิดความพอใจจะชม หรือจะเอื้อเฟื้อขึ้นมาสักหน่อยละก็เป็นต้องงัดอ้ายคำว่า น้องชายขึ้นมาทันที ดูช่างเป็นพี่เสียเหลือเกิน”

“เอ๊ะ ! ก็ไม่ให้ใช้คำว่าน้องจะให้ใช้ว่ากระไรล่ะ?”

​“จะว่าเพื่อน หรือสหาย หรืออะไรๆ ก็ได้ หรือไม่ยังงั้นก็ประจิตรสั้นๆ ก็พอถมไป”

“ฮึ ! ไม่เคยนี่ เวลาพอใจก็พอใจน้อง เวลาคิดถึงก็คิดถึงน้อง เวลาเป็นห่วงก็เป็นห่วงน้อง”

“แต่เธอไม่ควรลืม ว่าเธอก็เป็นน้องฉันเหมือนกัน จำไม่ได้หรือ เมื่อคุณพ่อจวนจะเสีย ท่านสั่งฉันว่าให้เลี้ยงน้องเหมือนที่พ่อกับแม่เคยเลี้ยง”

“ท่านพูดไปตามที่ท่านฝันต่างหาก” สุนทรีตอบเป็นนัย

“ฉันไม่เชื่อว่าท่านฝัน” ประจิตรตอบ “ตัวฉันเองเวลานึกชมเธอก็ชมอย่างพี่ เวลาเป็นห่วงก็ห่วงอย่างพี่ แต่เวลาคิดถึงไม่คิดถึงอย่างพี่ รักก็ไม่รักอย่างพี่” พูดพลางเขามองหล่อนด้วยดวงตาอันมีแววเป็นประกาย

สุนทรีรู้สึกความไม่ปกติเกิดขึ้นแก่จิตใจอย่างแรงกล้า จนมิสามารถจะใช้โวหารตอบเขาให้เข้าเรื่องได้ อึดอัดใจเต็มที จึงแสร้งหาวและยกมือขึ้นปิดปาก แล้วพูดไปทางหนึ่ง

“ตกลงพรุ่งนี้ ๕ โมงเย็น ไปหานายประพันธ์ด้วยกัน”

ประจิตรรู้ดีว่าหล่อน ‘หลบ’ เขา นึกขำอยู่ในใจแต่ไม่คาดคั้น ยิ้มพลางมองดูหล่อนนิ่งอยู่

 

Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.095 seconds with 21 queries.