Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:23:57

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11 - อวสานแห่งเรื่อง
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11 - อวสานแห่งเรื่อง  (Read 68 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 15:48:05 »

นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11 - อวสานแห่งเรื่อง


๑๑


​๑๕ วันผ่านไป....

เวลาประมาณ ๑๐.๔๐ นาฬิกา หญิงสาวคนหนึ่งนั่งห้อยเท้าอยู่บนบันไดหน้าตึก อาการที่หล่อนกอดเข่าและซบหน้าอยู่กับแขนโดยมิได้กระดุกกระดิกหลายนาทีนั้น บอกชัดว่าหล่อนปราศจากความสุข และมีความเบื่อหน่ายต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

เสียงสุนัขเห่าเกรียวใหญ่ แสดงว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แต่หญิงสาวผู้นั้นมิได้ปรารถนาที่จะ​ขยับเขยื้อน มิใยใครจะไป ใครจะมา จะเกี่ยวข้องกับหล่อนก็หาไม่ เจ้าหล่อนผู้นั้นไม่มีจิตใจที่จะใยดีต่อใครทั้งนั้นในเมืองหลังสวนนี้……...เสียงสุนัขดังใกล้ขึ้นทุกที เจ้าสัตว์เหล่านั้น คงจะล้อมหน้าล้อมหลังคนแปลกหน้า เข้ามาใกล้กับที่หล่อนนั่งอยู่ ความหนวกหูทำให้หล่อนรำคาญจนแสดงกิริยาอึดอัด และเงยหน้าขึ้น ในทันทีนั้นเองหล่อนสะดุ้งสุดตัวผุดลุกขึ้นยืน กางแขนออกวิ่งตรงไปข้างหน้า พร้อมกับอุทานว่า “น้าพงศ์!” ครั้นใกล้จะถึงตัวเขา หล่อนกลับชะงัก ผิวหน้าเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่

แต่ชายหนุ่มหาได้ทำตามอย่างหล่อนไม่ เขาสาวเท้าเข้ามาตรงหน้าหล่อน ทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ข้างตัว แล้วก็สวมกอดร่างของหล่อนไว้ในวงแขน

​“น้าพงศ์! น้าพงศ์!” หญิงสาวพึมพำด้วยเสียงอันสั่นเครือ “นี่นุชฝันไปหรือ? หรือว่าน้ามาจริงๆ?”

ชายหนุ่มยังไม่ตอบ เขากอดหล่อนประทับไว้กับตัว จับศีรษะที่พิงอยู่ตรงทรวงอก มีอาการเต็มไปด้วยความรักความสงสารอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงเชยคางหล่อนให้เงยหน้าขึ้นพลางพูดว่า

“น้ายังคงเป็นน้าพงศ์ของนุชอยู่เสมอ ไม่ว่านุชจะเป็นใคร เงยหน้าขึ้นให้น้าดูหน่อย โอ! หน้าซีดออกอย่างนี้ เจ็บไข้เป็นอะไรไปด้วยหรือ?”

“เจ็บในใจ” นุชตอบเสียงกระเส่า เงยหน้าอันอาบด้วยน้ำตาขึ้นมองดูเขา ในขณะที่มือทั้งสองของหล่อนลูบคลำบ่าของเขาอยู่ไปมา “นุชกลุ้มใจเหลือกำลัง เป็นทุกข์มาก...เอ้อ นี่น้าพงศ์มาทำไม?”

​“ช่างถามได้ว่ามาทำไม” ชายหนุ่มพูดอย่างอ่อนโยน “ก็มาหานุชน่ะซี”

“มาจากกรุงเทพฯ มาหานุชถึงที่นี่ช่างดีเหลือใจ! ได้รับจดหมายของนุชแล้วหรือ?”

“เพิ่งได้เมื่อวานนี้เอง น้ามีธุระต้องมาอยู่ที่ชุมพรได้ ๑๒ วันเข้าวันนี้ จดหมายของนุชไปกรุงเทพฯ ก่อน แล้วจึงย้อนมาถึงน้าทำให้เสียเวลาไป ถ้าน้าอยู่ในกรุงเทพ ฯ คงจะได้มาหานุชก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว”

“แหม! ใจดีถึงเพียงนั้น นุชไม่นึกเลยส่งจดหมายไปก็ไม่นึกว่าจะได้รับตอบ เพราะว่า...........เพราะอะไรก็ไม่รู้………..แต่ในที่สุด น้าพงศ์ก็คงเป็นน้าพงศ์ของนุชน่ะเองนะคะ นี่น้าพงศ์จะมาอยู่สักกี่วัน?”

​“พรุ่งนี้น้ามีธุระจำเป็นที่จะต้องไปสุราษฎร์…. อย่าเพ่อตกใจ...ไปแล้วน้าจะกลับมาอีก และจะอาศัยพักอยู่กับนุชจนกว่า....เอ้อ....จนกว่านุชจะเบื่อ”

“เบื่อ!” นุชทวนคำ และค้อนน้อยๆ “พูดอะไร! นุชไม่เคยเบื่อน้าพงศ์เลย เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปเสมอ”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างแช่มชื่น เช็ดน้ำตาให้หล่อนด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขาเอง นุชยิ้มอย่างอ่อนหวานแสดงความขอบคุณ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ดูซี นุชปล่อยให้น้ายืนอยู่ได้ ลืมไป ความที่ดีใจไม่นึกเลยว่าจะได้พบกันอีก เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ ร้อนออกจะตายไป” พูดแล้วหล่อนก็หยิบหมวกจากศีรษะเขา จับแขนเขาไขว้กับแขนของหล่อน พงษ์หิ้ว​กระเป๋าเดินทางด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วทั้งสองพากันเข้าไปข้างในตึก

“น้าตั้งใจมาเยี่ยมบิดาของนุชด้วย” พงศ์บอกเมื่อหญิงสาวชี้ที่ให้เขานั่ง “พาน้าไปรู้จักกับท่านเสียก่อนดีกว่า คนที่นี่จะได้รู้ว่าน้าไม่ใช่คนอื่น ดูซี เขาพากันมาแอบดูเรา” พูดพลางพงศ์ชี้ให้นุชดูคน ๒ คนที่แอบอยู่หลังบันได

เนื่องจากที่พงศ์พูดด้วยเสียงอันดังเป็นปกติ เพราะเขาตั้งใจจะให้ผู้ที่แอบอยู่ได้ยินด้วย คนทั้งสองรู้สึกตัวออกกระดากก็เลยหลบหน้าหายไป ทั้งเขาและนุชต่างพากันหัวเราะ ชายหนุ่มฉวยหมวกจากมือนุชพัดให้ตัวเอง พร้อมกับพัดให้หล่อนด้วย พลางถามเสียงค่อนข้างเบาว่า

“เราหาที่นั่งให้ดีกว่านี้ได้ไหม จะได้คุยกันสะดวก น้าอยากฟังเรื่องของนุช มาอย่างไรไปอย่างไรจึงได้เกิดรู้ความจริงขึ้น”

​สีหน้าของนุชสลดลงเล็กน้อย ในขณะที่หล่อนตอบว่า

“ได้ซี นุชจะเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่ว่าน้าไม่รับประทานอะไรบ้างหรือ ข้าวหรือขนมหรือน้ำ รับประทานเสียก่อนจึงค่อยพูดธุระกัน”

“อย่าเลย ขอบใจ” พงศ์ตอบโดยเร็ว “รับประทานมาแล้วในรถไฟ เวลานี้ไม่หิวและไม่กระหายอะไรทั้งนั้น”

หล่อนยิ้มอย่างหวาน และยื่นมือให้เขาทั้งสองข้าง พลางว่า

“ยังงั้นก็ตามนุชมาซี จะได้รู้เรื่องละเอียดเดี๋ยวนี้”

หล่อนนำเขาผ่านตึกไปสู่สวน แวะหยิบเสื่อที่ตากอยู่กลางแดด เขากับหล่อนช่วยกันถือคนละข้าง หล่อนนำเขาไปยังที่เคยสำราญของหล่อน ปูเสื่อเรียบ​ร้อยแล้วก็นั่งลงด้วยกัน

ทั้งสองสนทนากันอย่างยืดยาว นุชเล่าเรื่องของหล่อนโดยละเอียด เริ่มแต่เหตุที่ทำให้อัมพรบอกความจริงแก่หล่อน ตลอดจนความรู้สึกของหล่อนเอง ซึ่งเต็มไปด้วยการต่อสู้ระหว่างความอาย ความรังเกียจ และความรู้คุณในตอนต้น ความอิ่มเอิบของบุคคลที่ได้เสียสละสิ่งที่ตนรักเพื่อประโยชน์แก่คนๆ หนึ่ง คือบิดาของหล่อนเองในตอนกลาง และความเสียดายในสิ่งที่ตนได้สละแล้ว คือความบันเทิงทั้งมวลในกรุงเทพ ฯ ในที่สุด เมื่อจบแล้วหล่อนจึงกล่าวกับเขาว่า

“เมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้ ช่วยบอกนุชหน่อยว่านุชควรทำอย่างไร พ่อของนุชรักนุชอย่างน่าสงสาร ท่านว่านุชเหมือนแม่ราวกับคนเดียวกัน เพราะอย่าง​นั้นท่านจึงรักมาก รักจนนุชห่างท่านไม่ได้ หายไปประเดี๋ยวก็ถาม ส่วนเมืองนี้ก็แสนที่จะเหงา หาเพื่อนไม่ได้เลย ข้างคุณแม่ก็มีแผลอยู่ในใจนุช และนุชก็นึกอายใครๆ ที่เขาเคยรู้จักนุชมาก่อน เลยไม่รู้จะทำอย่างไร จะอยู่กับพ่อที่นี่ดี หรือจะกลับไปอยู่กับคุณแม่ตีหน้าหลอกคนเขาเรื่อยไปดี การที่ตัดสินใจไม่ตกลงนี่แหละทำให้นุชกลุ้มใจนัก ช่วยตัดสินใจให้นุชที น้าพงศ์ว่าอย่างไร นุชจะทำอย่างไร”

พงศ์นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า

“นุชเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ ถึงเจ้าคุณรัตนวาทีแล้วหรือยัง!”

“ยังค่ะ ไม่รู้จะเขียนว่ากระไรดี แต่นุชเชื่อว่าคุณแม่คงเขียนแล้ว”

พงศ์นั่งตรึกตรองอีกวาระหนึ่ง ในที่สุดจึงว่า

​“เอาเถอะ เวลานี้อย่าเพิ่งนึกอะไรเลย ทำใจสบายไว้ก่อน เมื่อน้ากลับจากสุราษฎร์จะบอกให้ว่านุชควรทำอย่างไร”

ต่อจากนั้น นุชได้พาพงศ์ไปหาบิดาตามที่เราต้องการ ชายหนุ่มแสดงความเคารพต่อนายอาจเป็นอันดี ทำให้ชายชราคลายจากความประหม่า ซึ่งปรากฏอยู่ในกิริยาเมื่อแรกที่นุชพาพงศ์เข้าไปถึง และทำให้อัมพรกับนุชรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างยิ่ง ทนายความผู้มีชื่อได้ใช้ความสามารถในทางพูดชักจูงชายชราให้สนทนาโต้ตอบกับเขาได้อย่างคล่องแคล่ว และได้ทำให้สีหน้าชายชราแช่มชื่นขึ้น เพราะความเพลิดเพลินในการสนทนานั้นด้วย

พงศ์โดยสารรถไปสุราษฎร์ธานีในวันรุ่งขึ้น และกลับมาใน ๔ วัน นุชไปรับเขาถึงที่สถานีพาตัวเขากลับมาบ้านด้วยดวงใจเปี่ยมด้วยความยินดี หล่อน​กับเขาไปเที่ยวด้วยกันพร้อมทั้งอัมพร และหลวงประกอบ ฯ ผู้นำ นุชลืมความกลุ้มกลับชื่นบานเกือบเท่าเก่า และเห็นเมืองหลังสวนครึกครื้นขึ้นเป็นอันมาก สถานที่ใดที่เคยเห็น หล่อนมิได้เว้นที่จะแนะนำให้หลวงประกอบฯ พาเขาไปดู และพงศ์ก็มิได้เว้นที่จะแสดงความเอาใจใส่ในภูมิประเทศทุกส่วนที่นุชชี้ให้ชม เที่ยวทั้งทางรถทางเรือ ๓ วันแล้วก็ยุติ ต่อจากนั้นเปลี่ยนเป็นทางเดิน ถึงตอนนี้นุชก็เกิดความรู้สึกเห็นความจริงอีกข้อหนึ่ง คือเห็นว่าเมืองนี้มีคุณสมบัติสมชื่อดาษดื่นไปด้วยไม้ผล นี่ก็มังคุดต้นสูงตระหง่าน ผลดกสีแดงเข้ม นั่นก็ลางสาดช่อเขียวไปทั้งต้น โน่นก็เงาะพวงสีแดงห้อยระย้าดังจะท้าให้หักมาชิม ไปๆ ประเดี๋ยวก็พบสวนออกร่มรื่นไปทั้งนั้น นุชกับพงศ์ไป ด้วยกันแต่เพียงสองคน และได้รับความสุขสำราญบาน​ใจยิ่งกว่าไปกับคนหมู่มาก มีคำกล่าวไว้ในภาษาพม่าว่า ป๊วยก็องป๊วยม็องอ้ำคึ้ด ป๊วยล่อป๊วยล่ออ้ำคึ้ดปวย ส็องก้อกุมกัน๑ ความว่าจะดูการมหรสพที่วิเศษปานใด อันความเพลิดเพลินจะเสมอด้วยอยู่สองต่อสองกับคนรักเป็นไม่มี!

บ่ายวันหนึ่งเขาทั้งสองพากันไปเดินเที่ยว ในเขตศาลาว่าการรัฐบาล ลัดเลาะไปตามบริเวณสวน ที่นั่นเป็นที่โล่งเตียน มีลานหญ้าโล่งสะอาดเดินไปถึงใต้ต้นมะม่วงใหญ่ต้นหนึ่ง พงศ์ก็ทรุดตัวลงนั่งแล้วพูดว่า

“เหนื่อยแล้วหยุดพักนั่งสักประเดี๋ยวเถิด”

นุชมองดูเขาพลางหัวเราะ

“อะไร อ่อนแอจริง ผู้หญิงก็ไม่ได้” หล่อนว่า

​เขาเหนี่ยวข้อมือหล่อนให้นั่งลง โดยมิได้โต้ตอบ ครั้นหล่อนนั่งลงแล้วเขายังคงกุมมือหล่อนไว้ ลูบคลำอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า

“น้าเตรียมคำตอบในเรื่องการตัดสินใจของนุชไว้แล้ว อยากจะฟังเรื่องหรือยัง?”

สีหน้านุชเผือดลงทันที มองดูเขาด้วยสายตาแสดงความร้อนใจแล้วพูดว่า

“อย่าเพ่อตอบเลยค่ะ เก็บไว้ตอนเมื่อเวลาน้าจะขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า เวลานี้ขอให้เรานึกถึงแต่ความสุขที่อยู่เฉพาะหน้าก่อนเถอะ”

เขาบีบมือหล่อนแน่นเข้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วตอบว่า

“นุชยังไม่เข้าใจดี น่าเชื่อว่าคำตอบของน้าจะทำ​ให้นุชเป็นสุข ถ้าหากนุชรักน้าเหมือนอย่างน้ารักนุช.. หมายความว่า ถ้ารักน้าพอที่จะเชื่อฟังคำน้า”

หล่อนมองดูเขาอย่างสนเท่ห์ แล้วพูดแกมหัวเราะ

“ฟังยากจริง แต่ว่านุชดูเหมือนจะเข้าใจเล็กน้อย พูดต่อไปอีกหน่อยซิคะ”

พงศ์ก้มหน้ามองดูมือน้อยๆที่อยู่ในมือของตนแล้ว พูดทั้งที่อยู่ในอิริยาบถเดิม

“สงสัยว่า นุชรักน้าเหมือนน้ารักนุชไหมหนอ?”

“เหมือน” หญิงสาวรับอย่างหนักแน่น “ทำไมจะไม่เหมือน น้าพงศ์รักนุชเท่าไร นุชก็รักน้าพงศ์เท่านั้น จะมากกว่าเสียด้วยซ้ำละกระมัง?”

“ไม่ใช่” พงศ์ค้าน เงยหน้าขึ้นมองดูหน้าหล่อน ​“เหมือน กับ เท่า ไม่ใช่คำเดียวกัน นุชไม่เข้าใจหรือ”

“ไม่เข้าใจจนนิดเดียว” หญิงสาวตอบและหัวเราะอย่างขบขัน “รักเหมือนหรือไม่เหมือนเป็นอย่างไร?”

“จะต้องให้น้าอธิบายด้วยหรือ?” พงศ์กล่าวอย่างวิงวอน มองดูหน้าหล่อนไม่เต็มตาชะงักอยู่วาระหนึ่งแล้วจึงพูดต่อไป “ฟังให้ดีนะ ความรักระหว่างเราทั้งสองเวลานี้กับแต่ก่อนต่างกัน นุชคงรักน้าอย่างที่เคยรักน้าพงศ์ แต่น้ารักนุชเป็นอย่างอื่น เข้าใจไหม?”

สีหน้านุชแดงเรื่อขึ้น คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน หล่อนเริ่มเข้าใจความได้รางๆ แต่ยังคงมองดูเขาอย่างสงสัย พงศ์เห็นดังนั้นก็เขยิบเข้าใกล้หล่อนอีก​จนแขนต่อแขนชิดกัน และริมฝีปากของเขาแนบกับหูหล่อน ด้วยน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นและร้อนใจ เขากระซิบต่อไปว่า

“ยังไม่เข้าใจอีกหรือนี่ จะต้องให้พูดตรงๆ แต่ก่อนน้าเคยรักนุชเหมือนหลานของน้าแท้ๆ เดี๋ยวนี้นุชไม่ใช่หลานของน้า แต่น้ากลับรักนุชมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่า นุชจะแต่งงานกับน้าได้ใหม?”

แต่งงาน! เอ! แต่งงานกับน้าพงศ์! ฟังดูแปลกประหลาดเสียนี่กระไร นุชถอยห่างจากเขาและมองดูเขาอย่างตกตะลึง สีหน้าพงศ์เผือดลงทันที ถอยห่างจากหล่อนเช่นเดียวกัน และจ้องดูหล่อนนิ่งอยู่ นุชลุกขึ้นยืน ยิ้มอย่างประหม่าพูดว่า

“กลับบ้านกันเสียทีเถอะ ประเดี๋ยวอัมพรจะคอยรับประทานน้ำชา” พูดแล้วหล่อนก็ออกเดิน

​ตกกลางคืน พระจันทร์แจ่ม ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินอ่อน ดารดาษด้วยดวงดาว ดาวพระศุกร์สุกยิ่งกว่าดาวทั้งหลาย รัศมีสีสว่างเป็นประกายดังจะหยดจากฟากฟ้า นุชแอบยืนเยี่ยมหน้าอยู่ที่ช่องหน้าต่างพินิจดูความงามแห่งธรรมชาติ พลางใช้สมองตรึกตรองถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในตอนเย็น ทันใดนั้นดวงจิตก็ประวัติถึงความหลังในระยะ ๙ ปีที่แล้วมา

ในเวลานั้นนุชเข้าใจว่าตัวเองอายุเพียง ๑๐ ปีเศษ หล่อนได้พบกับพงศ์เป็นครั้งแรกในคราวที่เขามาเยี่ยมคำนับเจ้าคุณรัตนวาที และพี่สาวของเขาเอง ผู้ซึ่งได้เดินทางมาถึงกรุงลอนดอน ในนามของราชทูตสยามไม่กี่วัน เมื่อหล่อนถูกคุณหญิงเรียกตัวให้มาหา ‘น้า’ นุชได้ส่งมือให้เขาพร้อมกับย่อเข่าลงเล็กน้อย แต่เขา​มิได้คำนับตอบหล่อน กลับดึงตัวเข้าไปกอดไว้ ตบศีรษะด้วยมือค่อนข้างหนัก พร้อมกับพูดว่า

“นี่หรืออายุ ๑๑ ขวบ รูปร่างใหญ่โตราวกับเด็ก ๑๒-๑๓”

นุชเพิ่งนึกได้ในเวลานี้เองว่าพงศ์ช่างคาดอายุตามสีหน้าและรูปร่างแม่นยำนี่กระไร พงศ์ถึงอังกฤษเมื่ออายุได้ ๑๒ ปี บัดนี้อายุเขาได้ ๒๓ แล้ว มีนิสัยรักเรียนมาแต่เด็ก แต่ก็ยังมีอัธยาศัยสนุกช่างเล่น จนเป็นเพื่อนกับหลานหญิงอายุ ๑๐ ขวบได้เป็นอย่างดี พงศ์ตามใจนุชทุกสิ่งทุกอย่าง ช่างพาเที่ยวและช่างหาของกำนัลเล็กๆน้อยๆเป็นต้นว่าตุ๊กตา ลูกกวาด โชโคแล็ต และผ้าเช็ดหน้างามๆ มาให้หล่อนเสมอ ทุกคราวที่นุชได้ของถูกใจ หล่อนมักจะยื่นมือให้เขาพร้อมกับพูด “You are so nice uncle, you may kiss my ​hand” แต่ทุกคราวพงศ์ฉวยมือหล่อนไป ทำท่าเหมือนจะกัดแล้วก็จูบหล่อนที่แก้ม หรือที่หน้าผากแทนจูบมือ ๒-๓ ปีต่อมาเขาสอบไล่วิชากฎหมายได้เป็น Baristor at Law เขาจึงออกประเทศอังกฤษ ไปประเทศฝรั่งเศส เพื่อศึกษาวิชาประเภทเดียวกัน

อยู่ในประเทศฝรั่งเศส ๓ ปี การศึกษาถึงที่สุดได้รับผลสมหวังบริบูรณ์ พงศ์กลับมาเยี่ยมกรุงลอนดอนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อยู่เพียงเดือนเดียว แต่ก็เป็นเวลาพอที่จะให้เขาได้รู้เรื่องความรัก ระหว่างหลวงไพรัชฯกับนุชดังได้กล่าวมาแล้ว

ภาพแห่งการพบปะในคราวหลัง คือระหว่าง ๒-๓ ปีที่แล้วมา ปรากฏขึ้นในความทรงจำของนุช ประดุจภาพยนตร์ปรากฏอยู่ในจอ ความเอื้อเฟื้อรักใคร่ และเอาใจเมื่อนุชยังเด็ก พงศ์เคยทำอย่างไร​เมื่อหล่อนเป็นสาวเขาก็คงทำอย่างนั้น ผิดอยู่เพียงแต่ว่า เขาไม่อาจดึงมือหล่อนเข้าไปจูบแก้มในเวลาที่หล่อนส่งมือให้เขาเท่านั้น ส่วนภายในหัวใจของเขาจะได้มีความคิดผิดแผกไปหรืออย่างไร นุชไม่เคยนึกสงสัย ครั้นมาได้ยินคำพูดของเขาเมื่อตอนเย็น จึงทำให้รู้สึกแปลกพิกล ในระหว่างที่เดินกลับมาด้วยกัน พงศ์มิได้พูดอะไรอีกจนคำเดียว และนุชเองก็หมดปัญญาที่จะชักชวนให้เขาพูด ต่อเมื่อเข้าเขตประตูบ้าน พงศ์ได้จับมือไปจรดกับริมฝีปาก เป็นกิริยาที่จับใจนุชจนหล่อนมิได้ขัดขืน แล้วเขาได้พูดกับหล่อนว่า

“ถ้าคำพูดของน้าไม่ถูกหูนุช นุชกรุณาน้าไม่ได้ น้าก็ขอโทษและจะลานุชกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้”

เมื่อนึกถึงคำพูด ๒-๓ คำนั้น นุชก็อ่านใจตนเอง​ออกในทันใด เพราะในวาระแรกที่หล่อนได้ยินว่าเขาจะลากลับ ก็รู้สึกหวิววาบดังหนึ่งใครมาควักล้วงเอาดวงใจไปเสียจากตัว ความรู้สึกชนิดนี้จะเกิดจากเหตุใดนอกไปจากความรัก ปราศจากพงศ์เสียแล้ว เมืองหลังสวนก็จะเปรียบได้กับเมืองนรก เป็นเคราะห์ดีที่นุชมีโอกาสเลือก และเมื่อเลือกได้แล้ว หล่อนจะไม่ยอมให้เขาจากไปด้วยความไม่พอใจเป็นอันขาด “น้าพงศ์! น้าพงศ์! คนดีของนุช ช่างใจน้อยนี่กระไร!”

กำลังคิดเพลิน หูแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำใบไม้ดังสวบสาบอยู่เบื้องล่าง มองลงไปเห็นชายหนุ่มสวมกางเกงและเสื้อสีขาวเดินอยู่ในเงาไม้ ลักษณะยิ้มอย่างอ่อนโยนปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากนุช หันกลับเข้าไปในห้องตรงไปที่บ้าเครื่องแป้ง ส่องกระจกดูเงาของ​ตนเอง ครั้นเห็นหน้ายังคงนวลและผมก็เรียบร้อยเป็นที่พอใจแล้ว หล่อนก็หรี่ตะเกียงลงเล็กน้อย แล้วลงบันไดไปข้างล่าง

พงศ์ยืนสูบบุหรี่อยู่ระหว่างเงาไม้ใหญ่ เมื่อแลเห็นนุช เขาก็เดินมาต้อนรับ และพูดว่า

“นึกว่านอนหลับเสียแล้วละ หายไปอยู่ไหนไปทำอะไรมา?”

นุชมิได้ตอบคำถาม กลับย้อนถามว่า

“ไปเดินเล่นที่หน้าบ้านกันไหมละคะ เดือนหงายเย็นสบายอย่างนี้น่าเดินเล่นในที่โล่ง”

“นุชอยากไปหรือ?” พงศ์ถามเรียบๆ

“อยากไปค่ะ มีเวลาเหลืออีกคืนเดียวเท่านั้น ​พรุ่งนี้น้าพงศ์จะกลับกรุงเทพฯ เสียแล้ว” พูดพลางนุชออกเดิน

“ไม่ใช่กลับกรุงเทพฯ” พงศ์ค้านเสียงเดิม “ขี้เกียจขึ้นรถไปเวลา ๘ ทุ่ม โกลาหลนัก จะไปพักชุมพรเสียคืนหนึ่งก่อน”

นุชไม่พูดว่ากระไร ทั้งสองเดินเคียงกันมาเงียบๆ ตามทางเดินปนทราย สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ทั้งใหญ่น้อย พงศ์กับนุชมิได้ตั้งใจจะไปไกลบ้านนัก พากันเดินกลับไปกลับมาอยู่ในทางยาวใกล้ๆ นั้นเอง

๓ นาทีต่อมา พงศ์จึงเอ่ยขึ้นว่า

“นุชจะไล่ให้น้ากลับพรุ่งนี้จริงๆ หรือ?”

“นั่นแน่!” นุชร้องแกมหัวเราะ “นุชไล่เมื่อไหร่ ก็น้าพงศ์บอกกับนุชว่าจะกลับเองต่างหาก”

​“น้าบอกว่าแล้วแต่นุช ให้นุชเป็นคนเลือกยังไงล่ะ”

นุชไม่ตอบ ทั้งสองฝ่ายก็นิ่งเงียบกันไปอีก ภายหลังนุชเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“นั่นดาวอะไรคะ ง้ามงาม ดวงโตทีเดียว!”

พงศ์แหงนหน้าขึ้นดูตามมือหล่อนชี้ แล้วตอบว่า

“ดาวพฤหัส”

“แหม! แลดูอยู่ชิดกับพระจันทร์เทียวนะคะ”

“ดูใกล้มาก แต่ก็ยังห่างกันนักหนา ไม่มีโอกาสจะได้ชิดพระจันทร์ยิ่งกว่านั้น” เว้นระยะหายใจแล้วจึงพูดต่อไป “เปรียบเหมือนนุชกับตัวน้านี้”

นุชหัวเราะเบาๆแล้วเปลี่ยนเสียงพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

​“เมื่อน้าพงศ์พูดกับนุชเมื่อเช้านี้ ได้นึกถึงพ่อของนุชบ้างหรือเปล่า?”

“นึก” ชายหนุ่มตอบและมองดูหล่อนอย่างสงสัย “นึกถึงเสมอ ทำไม?”

“แล้วนึกหรือเปล่าว่า ถ้าน้าพงศ์แต่งงานกับนุช เพื่อนฝูงของน้าพงศ์เขาจะว่าอย่างไร เขามิจะพากัน ดูถูกน้าพงศ์แย่หรือคะ?”

“มิใยใครจะดูถูก!” พงศ์พูดอย่างแน่นแฟ้น “น้าไม่เอาใจใส่กับใครทั้งนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่ตัวนุชคนเดียว”

“แล้วก็น้าเองไม่รังเกียจที่จะเป็นลูกเขยของ...ของนายอาจหรือคะ?”

“พูดอะไรอย่างนั้น” พงศ์กล่าวเสียงค่อนข้างดัง แล้วเขาจับมือหล่อนให้หยุดเดิน มองดูหล่อนตรงหน้า พูดด้วยเสียงมีกังวานหนักแน่น

​“น้าจะบอกอะไรให้ฟัง ตามหลักของคริสตศาสนา สอนให้มนุษย์รักเพื่อนมนุษย์เท่ากับตนเอง พระพุทธศาสนาของเรา สอนให้มนุษย์มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์เสมอด้วยมารดาเมตตาต่อบุตร เพราะฉะนั้นจะเป็นใครก็ตาม แม้จะได้ทำความผิดอย่างแสนสาหัส เราจำเป็นต้องมีเมตตาต่อเมื่อมีเมตตาแล้ว ก็ย่อมต้องให้อภัยและไม่ดูหมิ่น ความผิดของนายอาจมิใช่ผิดด้วยใจเจตนา เป็นความผิดที่เกิดจากความเดือดร้อนฉุนเฉียวชั่วแล่น นอกจากนั้น เมื่อได้ทำผิดแล้วก็เสียใจ และคิดป้องกันปรารถนามิให้ถูกต้องมีมลทินติดตัว ถึงกับสละทรัพย์มรดกและลูกของตัวเองให้กับคนอื่น ข้อนี้เราต้องไม่ลืม และต้องนึกว่านายอาจเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติจึงสรรเสริญข้อหนึ่ง คือไม่มีความเห็นแก่ตัวเสียเลยทีเดียว”

​พงศ์หยุดพูด นุชจ้องดูเขาด้วยสายตาเต็มตื้นไปด้วยความกตัญญู ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือ หล่อนทั้งสองข้างยกขึ้นจุมพิต แล้วประทับไว้กับอกพลางพูดต่อไป

“นุชของน้า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะขัดขวางมิให้น้ารักนุชได้ น้าไม่พะวงถึงใครทั้งนั้นในโลกนี้ขอแต่ให้นุชรักน้าบ้างเป็นพอ”

นุชเอนศีรษะลงชิดกับตัวเขา เป็นคำตอบที่แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งกว่าคำใดๆ พงศ์ค่อยๆ จับหน้าหล่อนให้เงยขึ้น ครั้นแล้วในท่ามกลางแสงสว่างแห่งดวงจันทร์ เขาได้จุมพิตหล่อนเป็นครั้งที่หนึ่ง โดยสิทธิและฐานะแห่งคู่รัก ที่ได้เคยสนิทสนมและไว้วางใจต่อกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย

เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองกลับถึงบ้าน ได้ความว่านาย​อาจนอนแล้ว และอัมพรอยู่ในห้องชั้นบน นุชจึงทิ้งพงศ์ไว้แต่คนเดียวก่อน รีบตรงขึ้นไปหาอัมพร เพื่อแจ้งข่าวใหม่ให้ทราบเรื่องตลอด “ความรักของน้าพงศ์เริ่มเปลี่ยนรูปตั้งแต่เมื่อแรกรู้ว่านุชไม่ใช่หลานของเธอแท้ๆ เพราะฉะนั้น กิริยาของเธอที่แสดงต่อนุชในตอนหลังจึงดูไม่สนิทสนมเหมือนแรกๆ แต่เธอก็คงไม่กล้าให้นุชรู้ระแคะระคายในความรักของเธอ เพราะเหตุว่าในฐานะที่เป็นน้าเธอ ไม่ควรรักหลานให้เป็นอย่างอื่น”

“เอ! อัมพรเคยสังเกตเห็นหรือ?” นุชถามและยิ้มอย่างยินดี

“เห็นซี พี่นึกสงสัยอยู่แล้วว่า วันไหนที่รู้ว่านุชไม่ใช่หลานของเธอ วันนั้นเธอคงจะให้นุชแต่งงาน​ด้วยทันที ดีแล้วน้องรัก พี่ยินดีด้วย คุณพ่อกับพี่จะได้หมดห่วง”

ในขณะที่อัมพรพูดมีน้ำตาคลอตา ถึงกระนั้นหล่อนก็ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เมื่อหล่อนกล่าวประโยคสุดท้ายจบลง นุชก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเศร้า

“นุชซี กลับเป็นห่วงพ่อกับอัมพร”

“โอ๊ย ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” อัมพรพูดโดยเร็ว พร้อมกันนั้นหล่อนเดินหน้าไปเสียทางหนึ่ง “พี่ไม่มีความอาลัยตายอยากกับชีวิตที่แล้วมาแม้แต่น้อย เคยแต่ภาวนาว่าเมื่อไร อะไรๆต่างๆที่แล้วแต่เป็นของลวงจะถึงที่สุดกันสักที และพี่เตรียมอยู่เสมอที่จะผจญกับทุกทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะมาในเบื้องหน้า มนุษย์เราจะเลือกวิถีชีวิตของตนเองไม่ได้ ต้องแล้วแต่บุญกรรมจะบันดาลให้เป็นไป เป็นหน้าที่ของพี่จะต้องอยู่กับคุณ​พ่อ ในเมืองหลังสวนนี้พี่ก็เต็มใจอยู่ ขอแต่ให้นุชมาเยี่ยมคุณพ่อบ้างเท่านั้น”

“นุชจะมาบ่อยที่สุดที่จะบ่อยได้” นุชรับอย่างมั่นคง “น้าพงศ์คงจะไม่ขัดใจนุชเลย เธอรักนุชมากแล้ว อัมพรต้องไปอยู่กับเราที่กรุงเทพ ฯ บ้างบางคราว”

อัมพรพยักหน้า หล่อนไม่สามารถจะกล่าวถ้อยคำใดให้ผ่านพ้นลำคอออกมาได้จึงโอบร่างของน้องสาวมากอดไว้แน่น แล้วทั้งสองก็พากันลงไปแสดงความยินดีต่อพงศ์

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 15:48:51 »


อวสานแห่งเรื่อง

เมื่อได้หมั้นกับชายที่หล่อนรักแล้ว นุชได้อยู่กับบิดาต่อมาอีก จนถึงเดือนมีนาคม พระยารัตนวาทีเดินทางมาถึงประเทศสยาม ท่านได้ลงมายังจังหวัดหลังสวนพร้อมกับคุณหญิง เพื่อเยี่ยมเพื่อนเก่า เมื่อท่านกลับกรุงเทพฯ นุชได้ไปกับท่านด้วย และคงอยู่ที่บ้านกับเจ้าคุณและคุณหญิงต่อไปอีก ๒-๓ วัน แล้วคู่หมั้นก็ได้ทำพิธีแต่งงานที่บ้านเจ้าบ่าว บัตรเชิญในงานนี้มีคำว่า “บุตรบุญธรรมของพระยารัตนวาที” อยู่ด้วย.

.





Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.043 seconds with 17 queries.