Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:03:20

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 9-10
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 9-10  (Read 63 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 15:43:50 »

นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 9-10




​“นี่เป็นฉากสุดท้ายแห่งชีวิตของแม่เราทั้ง ๒ ซึ่งจะนับว่าเป็นฉากสุดท้ายแห่งชีวิต ของคุณพ่อเราด้วยก็ได้เหมือนกัน” อัมพรพูดสืบไป ภายหลังเช็ดน้ำตาเรียบร้อยแล้ว “เพราะเหตุว่าตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้คุณพ่อจะยังมีชีวิตอยู่ในโลก แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณตลอดจนความอาลัยในชีวิต ก็สาปสูญไปจากท่านจนหมด คงเหลืออยู่แต่สิ่งเดียว คือ ความรักและห่วงใยในลูก พี่จะเล่าเรื่องต่อไป และขอเตือนให้นุชใคร่ครวญดูจงดีว่า ในความเป็นพ่อท่านได้เป็นพ่อที่ควรแก่การบูชาของเราหรือไม่?”

​พอรู้สึกตัวว่าเป็นจำเลยในคดีอุกฉกรรจ์ อยู่ในที่คุมขังรอการพิจารณา อาจมิได้รอช้า ได้ร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อปรึกษาความกับสหายร่วมใจ คือหลวงสุรพจน์ ฯ เป็นเนติบัณฑิตสยาม แต่รับราชการอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนต่อเพื่อนได้พบกัน ๒ ต่อ ๒ แต่แทนที่จะปรึกษาคดีที่ตนต้องเป็นจำเลย อาจกลับสนทนากับเพื่อนแต่เฉพาะในเรื่องบุตรีของตน บิดาของพิศถึงแก่กรรมโดยมิได้กระทำพินัยกรรม มรดกจึงตกอยู่แก่พิศ แต่เมื่อพิศไม่มีตัวอยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนั้นก็ตกอยู่แก่สามี และบุตรีทั้ง ๒ ของพิศตามกฎหมาย หลวงสุรพจน์ ฯ แต่งงานก่อนอาจ แต่ไม่มีบุตรธิดา อาจขอให้หลวงสุรพจน์ ฯ รับมรดกส่วนที่เป็นของตนโดยเฉพาะ อันมีราคานับหมื่นไว้เป็นของเขา ​โดยขอสัญญาแลกเปลี่ยนแต่เพียงข้อเดียว คือให้หลวงสุรพจน์ ฯ รับเลี้ยงเด็กทั้ง ๒ ไว้เป็นลูกของเขาเอง มีการให้ใช้นามตระกูลให้การศึกษา และจัดการในหน้าที่บิดาทุกสิ่งทุกอย่าง โดยมิให้เด็กทราบเรื่องกำเนิดอันแท้จริง ยามวิบัติดุจเข็มฝนทอง ได้เป็นเครื่องทดลองว่ามิตรแท้หรือมิตรเทียม หลวงสุรพจน์ ฯ รับสัญญาโดยมิได้รั้งรอ แต่ปฏิเสธมิยอมรับทรัพย์สมบัติซึ่งเพื่อนได้ออกปากให้แก่ตนนั้น

ฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจจะให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจที่จะไม่ยอมรับ ๒ สหายโต้เถียงกันอยู่นาน ในตอนสุดท้าย อาจได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนางสุรพจน์ ฯ ปิดผนึกแน่นหนาฝากเพื่อนไปให้แก่ภรรยา……. สตรีมีความรู้คิดมากกว่าบุรุษ! …….และบุรุษที่ใจดีมักจะอ่อนแอต่อภรรยาที่รักเป็นพิเศษ!…..​เมื่อหลวงสุรพจน์ ฯ มาพบกับอาจในคราวหลังจึงตกลงกันได้ว่า หลวงสุรพจน์ ฯ กับภรรยาจะรับบุตรีของอาจเป็นบุตรีของตน โดยขอรับค่าเลี้ยงดูตามสมควร นอกจากนี้ หลวงสุรพจน์ ฯ ยังได้รับรองเพิ่มเติมกับเพื่อนว่า จะจัดการกับกองมรดกให้งอกเงยขึ้นตามแต่จะทำได้

ก่อนวันที่ศาลจะตัดสินวันหนึ่ง นางแย้มคนเลี้ยงลูกได้จูงอัมพรด้วยมือข้างหนึ่ง และอุ้มน้องของอัมพรซึ่งมีอายุเพียง ๔ เดือน เข้าไปเยี่ยมบิดาในที่คุมขัง อาจได้ล้างหน้าลูกด้วยน้ำตาอันร้อนผ่าวของเขา หัวอกชายที่เมียตายจากไปไม่ทันถึงเดือน และกำลังจะจากลูกทั้งเป็นตลอดชั่วกัลปาวสาน! อัมพรร้องไห้ทั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรเลย ส่วนน้องน้อยกลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน วันรุ่งขึ้นนางแย้มพาเด็กทั้ง ๒ ตรงไปยังเมืองหลังสวน รอฟังคำสั่ง​จากหลวงสุรพจน์ฯ ต่อไป ในวันเดียวกันนั้น อาจถูกตัดสินลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยวางเกณฑ์โทษประหารชีวิต แต่ได้ลดฐานปรานีที่จำเลยสารภาพตลอดข้อหา คงพิพากษาให้จำคุก ๒๐ ปี อาจควรจะได้ลดโทษฐานยั่วโทสะอีก แต่ หากตนไม่มีพยานหลักฐานที่ได้เห็นเหตุการณ์มาพิสูจน์

จะว่าเป็นเพราะบุญหรือกรรมของนุชก็ตามที่จะเติบโตขึ้นโดยมิรู้ฐานะอันแท้จริงของตน ในระหว่างเดียวกันนั้น หลวงสุรพจน์ ฯ ได้รับคำสั่งจากกระทรวงให้ออกไปรั้งตำแหน่งกงสุลเยเนราลประจำเกาะสิงคโปร์ กิจการทุกอย่างก็สะดวกขึ้น ภายในเวลาเพียง ๔ ปี ญาติของนางสุรพจน์ ฯ ที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ ก็ได้รับข่าวว่า ได้หลานหญิงถึง ๒ คน และบุตรคนโตของนายอาจซึ่งมีอายุ ๗ ปี​กับ ๕ เดือน ก็ถูกทอนอายุลงเสีย ๒ ปี กับ ๑๑ เดือน คงเป็นเด็กมีอายุเพียง ๓ ปีกับ ๖ เดือน ส่วน น้องเล็กนั้นให้มีอายุเพียง ๒ ปี กับ ๖ เดือน

หลวงสุรพจน์ ฯ ได้เลื่อนขึ้นเป็นกงสุลภายใน ๑ ปี อยู่ในเมืองสิงคโปร์ราว ๔ ปีเศษ ก็ถูกเรียกตัวกลับเข้ามารับราชการอยู่ในกรุงเทพ ฯ คุณหลวงหาได้พาเด็กทั้ง ๒ เข้ามาในประเทศสยามด้วยไม่ คงฝากไว้ในคอนแวนต์ที่เกาะสิงคโปร์นั่นเอง เพราะความจำเป็นเกี่ยวกับอายุซึ่งขัดกันอยู่กับรูปร่างและสีหน้า ๒ ปีภายหลัง หลวงสุรพจน์ ฯ ต้องออกจากพระนคร ไปเป็นเลขานุการสถานทูตในลอนดอน จึงได้พาตัวอัมพรไปด้วย อยู่ในประเทศอังกฤษ ๓ ปี ได้เลื่อนยศเป็นพระสุรพจน์ ฯ ย้ายไปเป็นอุปทูตประจำกรุงเฮกอีก ๓ ปี กลับมาเยี่ยมพระนคร​อีกครั้งหนึ่ง ครั้นแล้วก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยารัตนวาที และย้ายกลับไปเป็นราชทูตประจำพระราชสำนักเซนต์เยมส์

“ในระหว่างนั้น นุชได้เติบโตขึ้นด้วยความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ” อัมพรกล่าวในตอนสุดท้ายของเรื่อง “แต่ส่วนพี่ได้เรียนรู้ความจริงเสียตั้งแต่อายุเพียง ๖ ขวบ คือในคราวที่เจ้าคุณรัตนวาทีจากเมืองสิงคโปร์ แม่แย้มคนเลี้ยงของเราเองได้เล่าเรื่องให้พี่ฟังโดยตลอด ในเวลานั้น พี่ก็ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก จำได้แต่ว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวและทำให้พี่นอนฝันร้ายไปทั้งคืน ต่อเมื่ออายุพี่ได้ ๑๗ ปีบริบูรณ์ จึงได้ฟังเรื่องนี้จากปากคุณหญิงรัตนวาทีอีกครั้งหนึ่ง”

“ช่างน่าใจหายอะไรเช่นนี้!” นุชพึมพำเสียงกระเส่า “นี่หรือชีวิตของเรา!”

​“นี่แหละชีวิตของเรา!” อัมพรย้ำอย่างขมขื่น

“ไม่น่าเชื่อเลย!” นุชกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความอัดอั้นใจ “ไม่น่าเชื่อจนนิดเดียว นุชรู้สึกเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่แท้ๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็รักนุชมากไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าคุณกับคุณหญิงรัตนวาทีน่ะรึ?” อัมพรย้อนถาม ยิ้มอย่างถมึงทึงระบายไปทั่ววงหน้า แต่น้ำเสียงของหล่อนยังคงเป็นปกติในขณะที่หล่อนพูดช้าๆ อย่างตรึกตรองว่า “เจ้าคุณรัตนวาทีได้ปฏิบัติตามหน้าที่ได้สัญญาไว้กับพ่อของเราทุกอย่าง ท่านได้ตั้งใจเลี้ยงและตั้งใจรักเรา หรือจะพูดให้ถูกต้องว่า ท่านเลี้ยงและรักนุชเหมือนลูกของท่านแท้ๆ สำหรับพี่นั้นเป็นคนละอย่างกับนุช พี่จะพูดถึงตัวของพี่เองทีหลัง แต่ส่วนคุณหญิงนั้น พี่ไม่อาจรับ​รองคำพูดของนุชได้ เพราะไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงแล้ว พี่ก็ไม่ปรารถนาที่จะเล่าเรื่องนี้ให้นุชฟังให้ร้อนใจเปล่าๆ ......… จริงๆ นะ” หล่อนย้ำเมื่อนุชได้มองดูหล่อนอย่างสงสัยและประหลาดใจ “พี่จะไม่ปริปากบอกนุชเลย แต่นี่ไม่เป็นดังนั้น”

“ก็มันเป็นอย่างไรเล่า?” นุชถามอย่างเบื่อหน่ายและไม่เชื่อกลายๆ “นุชไม่อยากให้อัมพรบอกนุชเลย แล้วมาบอกนุชทำไม นุชไม่ได้ถามสักคำเดียว”

ความน้อยใจปรากฏขึ้นในดวงตาอัมพรทันที เมื่อได้ฟังคำพูดทั้งประโยคนั้น

“ในชีวิตของพี่ เมื่อจะทำอะไรลงไปพี่ทำด้วยเหตุผลเสมอ ไม่ใช่ด้วยความสนุกนึกอยากจะทำก็ทำไป” หล่อนตอบอย่างค่อนข้างห้วน “คราว​นี้ก็อีกที่ทำด้วยความหวังดีต่อนุช ไม่อยากจะให้ได้รับความช้ำใจ อย่างที่เคยได้รับมาแล้วถึง ๒ ครั้ง โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น เข้าใจไหมละ ความช้ำใจนั้นพี่หมายถึงอะไร?”

นุชสั่นศีรษะ อัมพรจึงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบกว่าเดิม

“พี่เคยได้รับความชอกช้ำใจเพราะเหตุอย่างเดียวกับนุชมาครั้งหนึ่ง เมื่ออายุพี่ราว ๑๙ ปี เวลานั้นเจ้าคุณเพิ่งออกไปเป็นราชทูตใหม่ๆ พี่ได้พบนักเรียนไทยคนหนึ่งในลอนดอน เราเกิดรักกันขึ้น .... ครั้นแล้ว….”

“แล้วทำไม?” นุชถามแทบว่าจะไม่หายใจ หล่อนเริ่มมองเห็นความจริงได้บ้างแล้วเพียงรางๆ และกำลังเริ่มกลัวต่อความจริงนั้น

ดวงตาอัมพรลุกวาวขึ้นชั่วระยะหนึ่ง

​“ทำไมรี?” หล่อนทวนอย่างขมขื่น “แล้วเขาก็ทิ้งพี่เสีย เหมือนดังที่หลวงไพรัชช์ ฯ กับสุนทรทิ้งนุชน่ะซี?”

หายใจสะอื้นและสะอึกออกจากทรวงอก นุชยกมือขึ้นกดขมับไว้ทั้ง ๒ ข้าง นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถามคล้ายเสียงกระซิบ

“เขารู้ว่าเราเป็นลูกใครใช่ไหม? แล้วเขารังเกียจเรา? โอ! คนใจร้าย! คนเห็นแก่หน้าเห็นแก่ชื่อ ไม่รักเราจริง? ใครบอกเขาล่ะอัมพร?”

“จะมีใคร!” อัมพรพูดพลางหัวเราะห้วนๆ “ที่จริงเขาก็มีบุญคุณแก่เรามากหนักหนา ไม่อยากจะกล่าวร้ายต่อเขา แต่น้องเอ๋ย คุณหญิงสวงใจดำมาก เขาไม่ได้สงสารเราเลย พี่ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะเล่าเรื่องของเราให้คู่รักของพี่ฟังโดย​ตลอดเมื่อเราได้หมั้นกันแล้ว พี่เชื่อว่าเขารักพี่พอที่จะไม่นึกพะวงว่าพี่ถือกำเนิดมาจากใคร แต่คุณหญิงสวงไม่ปล่อยให้พี่ทำเช่นนั้น ชิงบอกเสียก่อน คุณหญิงบอกกับพี่บอก จะให้ผลต่างกันมาก คนรักกันพูดกันอย่างอ่อนโยน ตรงไปตรงมา อย่างไรเสียเขาก็ต้องฟังเสียงพี่ พี่รักเขา พี่ก็รักแต่ตัวเขา ไม่ได้นึกถึงชื่อเสียงหรือสมบัติพัสถานอะไรของเขาทั้งนั้น พี่จึงเชื่อว่าเขารักแต่ตัวพี่เหมือนกัน ถึงเดี๋ยวนี้บางคราวก็ยังเชื่ออยู่เช่นนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อคุณหญิงสวงเป็นผู้บอกแก่เขา แทนที่พี่จะบอกเอง ทั้งเขารู้ด้วยว่าพี่รู้ความจริง เขาจึงกลับหาว่าพี่ล่อลวงเขาอีกกระทงหนึ่ง”

นุชนั่งตะลึง ตาเหม่อลอยมองไปตรงหน้า

“เอ้อ! ความจริงเป็นเช่นนี้เองนะ” หล่อนพึมพำ “หลวงไพรัชช์ ฯ ก็รู้ สุนทรก็รู้…….เขา​จะนึกเห็นนุชเป็นอย่างไรนะอัมพร?”

“นุชยังดีกว่าพี่ เพราะไม่ถูกหาว่าล่อลวง เพราะนุชไม่รู้ตัวจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็เต็มที่ พี่รู้ว่า นุชต้องช้ำใจมาก เมื่อรู้สึกว่าไม่มีใครเขารักนุชจริง สักคนมีแต่รักแล้วก็ทิ้งเสีย ถ้าพี่ปล่อยให้นุชงมงายอยู่เรื่อยไป ก็จะต้องได้รับความช้ำใจอย่างนั้นอีกไม่รู้แล้ว เมื่อเกิดเรื่องนายสุนทร พี่แสนที่จะสงสารนุช เพราะฉะนั้นถึงได้สอนว่าอย่าให้ไว้ใจใคร อย่าให้ชอบใคร ในโลกนี้ไม่มีคนจริง เวลานั้นนุชคงเห็นว่าพี่ไม่สมควรจะอยู่ในโลก เพราะเห็นมนุษย์เลวไปเสียหมด แต่มันก็เป็นอุบายเดียวที่พี่นึกขึ้นได้ สำหรับจะห้ามมิให้นุชรักใครอีกต่อไป”

นุชพยักหน้าช้าๆ นั่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเป็นเป็นเชิงปรารภ

​“ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น นอกจากนุช อ้อ, น้าพงศ์ล่ะ น้าพงศ์รู้ไหม อัมพร?”

“ในตอนแรกน้าพงศ์ก็ไม่รู้ ระหว่างที่เธอเรียนอยู่ในอังกฤษ เธออุ้มชูเล่นหัวกับนุชโดยมิได้นึกเลยว่าเราเป็นหลานเก๊ ครั้นเธอออกจากอังกฤษไปเรียนที่ฝรั่งเศส แล้วกลับมาฮอลิเดย์ในอังกฤษ คราวหลังนี่สิ พอดีเกิดเรื่องหลวงไพรัชช์ ฯ ขึ้น น้าพงศ์รักนุชมาก เห็นนุชร้องไห้ร้องห่ม เธอก็ตึงตังเอะอะเอากับเขา คุณหญิงสวงคงรำคาญ จึงบอกให้เธอรู้เสียด้วย”

นุชถอนใจยาวอย่างละห้อย “ใครๆ เขาก็รู้นอกจากนุช” หล่อนกล่าวซ้ำ “รู้แล้วทำประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากกลุ้ม!” ยกมือทั้ง ๒ ขึ้นปิดหน้า แล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงแสดงความปวดร้าวแสนสาหัส “เจ็บใจจริ๊ง! เกิดมาทำไมก็​ไม่รู้ อยากตายเสียนัก” น้ำตาไหลลอดมือที่ปิดหน้า หยดลงบนตักของหล่อนเอง ทำให้อัมพรรู้สึกตื้นตันในลำคอขึ้นอีกด้วย เพื่อจะชักนำความคิดของน้องสาวให้ออกจากวงความคิดอันเผ็ดร้อน หล่อนจึงถามขึ้นว่า

“เมื่อเราจะมานี่ นุชบอกน้าพงศ์หรือเปล่า?”

“น้าพงศ์หรือ?” นุชย้อนถามคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน “เอ้อ! น้าพงศ์! น้าพงศ์เป็นอะไรไปด้วยไม่รู้ นุชไม่เข้าใจ นุชเล่าเรื่องสุนทรให้เธอฟัง อยากรู้นักเธอนึกอย่างไร?”

คำปรารภนี้อัมพรหาคำตอบหาไม่ได้ เพราะหล่อนมิได้ทราบความจริงในข้อที่คุณหญิงสวงกับพงศ์เป็นปากเสียงกันด้วยเรื่องนุชกับนายสุนทร พงศ์บังอาจกล่าวถ้อยคำที่คล้ายไปในทางปรักปรำ คุณหญิงว่าไม่มี​ความกรุณาต่อเด็ก และทำการอย่างใกล้กับที่เรียกได้ว่าหน้าไหว้หลังหลอก คือมีการเก็บจดหมายที่สุนทรเขียนถึงนุช นัดว่าจะมารับประทานอาหารกับหล่อนในตอนเย็นนั้นเสีย เสือกไสให้นุชไปดูภาพยนตร์เสียกับพงศ์ เพื่อหาโอกาสทำลายความสุขของเด็กในเวลาลับหลัง คุณหญิงสวงไม่ยอมเชื่อว่าท่านทำผิด ท่านเถียงว่าเกียรติยศของท่านสำคัญกว่าความสุขของนุช เมื่อท่านกล่าวถึงเกียรติยศ พงศ์ยกไหล่ คุณหญิงจึงกล่าวต่อไปว่า พงศ์ไม่รู้จักคำว่าเกียรติยศคืออะไร พงศ์ยกไหล่เป็นครั้งที่ ๒ แล้วก็ออกจากบ้านพี่สาวไป พร้อมกับความตั้งใจว่าจะไม่เหยียบเข้ามาอีก เว้นแต่จะมีการจำเป็นอันแท้จริง

อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา พงศ์ได้ยกคำว่าเกียรติยศที่คุณหญิงอ้างขึ้นมาใคร่ครวญดูอย่างถ่องแท้ ​ก็ได้ความว่า ท่านหมายถึงความสุจริต คือไม่คิดหลอกลวงผู้อื่น คุณหญิงมีความเห็นอันจริงใจว่า เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแถลงความจริงให้นายสุนทรทราบชัด เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสื่อมเสียที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง ถ้าแม้ว่าความจริงในเรื่องที่ได้ปิดบังไว้ เกิดรั่วไหลไปถึงหูผู้อื่น ในข้อนี้พงศ์ก็เห็นอกท่านอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าเรื่องนายสุนทรนี้มิใช่เรื่องแรกที่เกิดขลุกขลักขึ้น เป็นเรื่องที่ ๓ และเรื่องแรกนั้น คือเรื่องของอัมพร ซึ่งพงศ์ได้รู้แจ้งด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงเห็นว่าควรจะพอเสียยิ่งกว่าพอที่จะเป็นบทเรียนสำหรับคุณหญิงจดจำไว้แก้ไข ป้องกันตัดตอนเสียแต่ต้นมือ เพื่อมิให้เด็กในปกครองต้องร้อนใจถ้าหากจะมีผู้ย้อนถามว่า การที่จะแก้ไขตัดตอนนั้นจะทำได้โดยอย่างไร บางทีเขาอาจไม่มีคำตอบที่แน่นอน​เตรียมไว้ แต่อย่างน้อยเขามีความเห็นว่าคุณหญิงมิควรปล่อยโอกาสให้นุชได้สนิทสนมกับชายใด จนกว่าท่านจะแน่ใจเสียก่อนว่าเขาจะไม่รังเกียจประวัติอันแท้จริงของหล่อน แม้ว่าคุณหญิงหมดหนทางที่จะป้องกัน ก็ยังมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าความสัตย์ คือรักษาสัญญาที่ตนได้สัญญาแล้ว กับความสุจริตคือไม่ปิดบังความจริง ทั้ง ๒ ข้อนี้ ข้อใดจะมีน้ำหนักควรยึดถือมากกว่ากัน บุคคลผู้ไร้สัตย์ คือบุคคลผู้ไร้เกียรติ เช่นเดียวกับบุคคลผู้ไร้ความสุจริต แต่เมื่อคุณหญิงได้ให้สัตย์ไว้แล้วก่อน ความจำเป็นจะแสดงความสุจริตมาถึง ถ้าแม้ว่าเพื่อรักษาสัตย์นั้นคุณหญิงจะปล่อยให้ความหลังที่ล่วงมาแล้วเลยไปจะถูกนับเข้าอยู่ในจำพวกผู้ไม่สุจริตหรือ? เมื่อท่านได้เลี้ยงเด็กมาเป็นลูก ท่านรักเด็กนั้น​ประดุจลูกของท่านเอง ถึงแม้ว่าความจริงจะปรากฏว่า ท่านมิได้ให้กำเนิดแก่เด็ก ก็จะยังมีสิ่งใดอีกหรือที่สำคัญยิ่งไปกว่าน้ำใจ?

แต่พงศ์ มิได้เล็งเห็นน้ำใจจริงของคุณหญิงรัตนวาที่

คำโบราณท่านเปรียบสตรีชนิดหนึ่งว่าเหมือนกา คือสตรีชนิดที่รักลูกของตน ส่วนลูกของผู้อื่นไม่นำพา สตรีชนิดนี้มีอยู่ดาษดื่น และมิใช่ชั้นสตรีสามานย์ บุคคลใดมีความเห็นแก่ตัวเป็นปฐม บุคคลนั้นจะนำ พาต่อสิ่งใดที่มิใช่ตนหรือไม่เนื่องในตนหาได้ไม่

นุชได้เติบโตขึ้น ในความเลี้ยงดูอบรมของคุณหญิง ด้วยความพากเพียรและอดทนของท่าน ความเจริญแห่งรูปสมบัติ และคุณสมบัติในตัวนุช​ได้ก้าวหน้าคู่กันมากับความเจริญแห่งวัย หล่อนได้เคยทำความโมโหให้เกิดแก่ท่าน เมื่อหล่อนซุกซนดื้อดึงตามภาษาเด็ก และทำความพอใจให้เกิดแก่ท่าน เมื่อหล่อนตั้งใจจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านด้วยดี หล่อนคือองค์แห่งความร่าเริงในชีวิตของคุณหญิง เป็นเพื่อนทั้งในเวลาเล่นและเวลาการงาน ในเวลาป่วยไข้ ต่างฝ่ายต่างผลัดกันพยาบาล เมื่อนุชแสดงกิริยาฉอเลาะต่อท่าน ในใจคุณหญิงก็เกิดความปราโมทย์และภาคภูมิ ความรู้สึกทั้งหมดนี้ ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับความรู้สึกของมารดาที่มีต่อบุตร ถึงกระนั้นคุณหญิงก็ยังรู้สึกว่านุชมิใช่บุตรของท่านอยู่นั่นเอง มีบางคราวที่การฉอเลาะของหล่อนทำให้ท่านเบื่อหน่าย กิริยาแจ่มใสร่าเริงทำให้ท่านขวางตา ​ตลอดจนคำสรรเสริญเยินยอที่นุชได้รับ ทำให้ท่านรู้สึกบาดใจ แต่คุณหญิงสวงเป็นสตรีที่มีนิสัยมั่นคงมีความตั้งใจจริงทำอะไรทำจริง ท่านได้สนับสนุนและร่วมสัญญากับสามี ในการที่จะเลี้ยงบุตรีทั้ง ๒ ของนายอาจดังเช่นบุตรของท่านเอง ท่านก็ได้ตั้งใจและพยายามเต็มที่ที่จะทำตามสัญญานั้น ในส่วนความรัก คุณหญิงไม่เคยมีบุตรหรือธิดาท่านไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องวัดความรักของท่าน ท่านจึงมิสามารถรู้แจ้งว่าความรักของท่านที่มีต่อนุช จะเสมอด้วยความรักของมารดาที่พึงมีต่อบุตรธิดาหรือหาไม่ เมื่อปราศจากความรักอันดูดดื่ม ประกอบด้วยความเมตตากรุณาหาที่สิ้นสุดมิได้ อันเป็นความรักที่มารดาย่อมมีต่อบุตรในอุทรเสียแล้ว วิจารณญาณของคุณหญิงจึงไปไม่ไกล และ​ไม่เฉียบแหลมพอที่จะเห็นหัวอกบุตรบุญธรรมว่า จะมีความเศร้าโศกเสียใจได้ลึกซึ้งสักปานไหน ในการที่หล่อนต้องผจญกับความรักเล่น และรักร้าวทั้ง ๒ คราว

สำหรับอัมพร ความรู้สึกของคุณหญิงที่มีต่อหล่อนยังแตกต่างห่างไกลกว่าที่ท่านมีต่อนุชไปอีก เนื่องจากอัมพรรู้ตัวมาแต่น้อยว่า หล่อนมิใช่บุตรีที่แท้จริงของคุณหญิง ความสนิทสนมและรักใคร่ในท่านจึงมีน้อยกว่าที่นุชได้ให้แก่ท่านเป็นธรรมดาใจต่อใจ! เมื่อคุณหญิงสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างพี่น้องทั้ง ๒ นี้ ความเอาใจใส่ต่ออัมพรก็ย่อมน้อยกว่าความเอาใจใส่นุชไปด้วย นอกจากนั้นเมื่ออัมพรได้ผิดใจกับคุณหญิงในคราวที่หล่อนผจญกับเรื่องรัก ทำให้หล่อนคลายความรักและไว้วางใจในท่านลงอีก ความรู้สึกในใจ​ระหว่างคุณหญิงกับหล่อนก็เหินห่างกันยิ่งขึ้น แต่ทั้ง ๒ ฝ่ายยังคงปฏิบัติตนตามหน้าที่ของตน คือฝ่ายผู้ใหญ่ให้ความเลี้ยงดูและคำตักเตือน ฝ่ายเด็กให้ความนับถือนบนอบด้วยกาย ด้วยวาจา แต่มิใช่ด้วยใจ

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 15:44:58 »


๑๐

​เนื่องจากที่เส้นประสาทได้รับความกระทบกระเทือนเกินสมควร รุ่งเช้าในวันต่อมา นุชก็มีอาการปวดศีรษะและครั่นตัวและเป็นไข้ในตอนสาย

เมื่อคุณหญิงได้ทราบอาการของนุชจากอัมพร ในขณะที่ท่านกำลังนั่งสนทนาอยู่กับนางบำรุง ท่านก็รีบลุกจากที่ พร้อมกับเรียกหาปรอททันที ครั้นได้แล้วก็ถือปรอทนั้นเข้าไปในห้องพัก คือห้องที่นุชนอนอยู่

​นั่งลงบนเตียงข้างตัวนุช ยกมือขึ้นแตะหน้าผากหล่อน หลังจากนั้นก็หยิบปรอทใส่ให้ในปาก

“๑๐๐.๒!” ท่านบอกกับคนไข้ ๒ นาทีต่อมา พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน “กำหนดกลับกรุงเทพฯ เป็นอันล้ม”

นุชมองดูท่านด้วยดวงตาอันแดงและเต็มไปด้วยน้ำตา แล้วก็หลับตาลงเสียโดยมิได้พูดว่ากระไร

คุณหญิงใช้มือแตะบนขมับนุชแต่เบาๆ แล้ว ย้ายไปจับตามแขนและต้นคอ แล้วจึงหันมาทางอัมพร พลางพูดว่า

“ตัวก็ไม่ร้อนจัด แต่ขมับเต้นแรง” หันกลับมามองดูนุช “ปวดหัวมากหรือลูก?”

นุชพยักหน้านิดหนึ่งโดยไม่ลืมตา คุณหญิงลูบศีรษะหล่อนเบาๆ ๒-๓ ครั้ง แล้วก็ลุกขึ้นไป​นั่งอยู่บนพื้นห้อง ห่างจากเตียงไปเล็กน้อยพลาง พยักหน้าเรียกอัมพรเข้าไปหา

“ทำไมถึงจะรู้ว่าเป็นไข้อะไร!” ท่านปรารภด้วยน้ำเสียงแสดงความวิตกจากใจจริง “แกเป็นหวัดหรือเปล่า?.............. หมอในเมืองนี้ไว้ใจได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้”

ในดวงตาของอัมพรมีความวิตกฉายอยู่แต่เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนหล่อนกำลังมีความรู้สึกลำบากใจกับความมุทะลุปนกันอยู่ เมื่อคุณหญิงพูดจบลง หล่อนใช้เวลาตัดสินใจอยู่ ๓๐ วินาที แล้วก็พูดขึ้นอย่างเร็ว แต่ทว่าด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ เป็นไข้ตกใจเท่านั้นเอง ดิฉันเล่าเรื่องคุณ พ……...เรื่องเก่าให้แกฟังเมื่อ​วานนี้”

คุณหญิงสะดุ้ง มองดูหล่อนด้วยสาตาแสดงความไม่พอใจและประหลาดใจระคนกัน อัมพรจึงพูดออกไป เป็นเชิงออกตัว

“ดิฉันได้เรียนคุณแม่ไว้ก่อน”

คุณหญิงเมินหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วลุกจากที่นั่งไปยืนพิงหน้าต่างมองดูภาพเบื้องหน้า พลางใช้ความคิดอย่างตรึกตรอง

จริงดังอัมพรพูด หล่อนได้บอกแก่ท่านแล้ว ตั้งแต่ ๓ วันแรกที่มาถึงจังหวัดหลังสวน แต่คุณหญิงยังมิได้คัดค้านหรืออนุญาตลงไปทีเดียว เป็นแต่เพียงตอบว่า ท่านเป็นผู้รับสัญญามิใช่เป็นผู้เจ้าของเรื่อง การที่อัมพรจะบอกความจริงแก่นุชหรือไม่ ต้องแล้วแต่เจ้าของเรื่อง คือนายอาจจะตัดสินอัมพรมิได้โต้แย้ง และในเวลาเดียวกันนั้น นุชได้เข้ามาร่วมวงสนทนา ​ความตั้งใจของคุณหญิงที่จะถามถึงเหตุที่ทำให้อัมพรปรารถนาจะบอกความจริงแก่นุชนักก็เลยล้ม ต่อมาอีก ๒-๓ วัน อัมพรได้บอกกับท่านต่อหน้านายอาจว่า หล่อนมีความประสงค์ที่จะอยู่ในเมืองหลังสวนนี้ต่อไป อ้างเหตุว่าบิดาชราแล้ว อีกทั้งมีโรคภัยประจำสังขาร นายอาจมิได้ส่งเสริมหรือคัดค้าน แต่คุณหญิงคิดว่าเป็นการสมควร--หรือเกือบจำเป็น-ที่ท่านจะคัดค้านมิได้ทีเดียว ต่อจากนั้น ปัญหาที่ว่า นุชควรจะได้รับรู้ความจริงหรือไม่ก็กลายเป็นความจำเป็นขึ้น อัมพรสมัครจะอยู่กับบิดา ถ้าจะอยู่เพียงครั้งคราวก็ไม่แปลก แต่เมื่อหล่อนตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะอยู่ตลอดไป นุชคงจะประหลาดใจ หล่อนคงจะถามจะซักจนกว่าจะได้เรื่องที่ควรเชื่อ บางทีคุณหญิงจะต้องเป็นผู้บอกความ จริงแก่หล่อนเองดังนั้นให้อัมพรเป็นผู้บอกเสียก่อน ก็​เป็นการแบ่งเบาภาระจากคุณหญิงดีอยู่

ครั้นถึงเวลานี้ เวลาที่ได้ฟังจากปากอัมพรว่า นุชได้ทราบความจริงตลอดเรื่องแล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาแต่ก่อนก็เกิดขึ้นแก่คุณหญิง แรกทีเดียวท่านก็รู้สึกใจหายคล้ายกับมีผู้มาชิงของรักที่ใช้ชิดอยู่เป็นนิจไปเสียจากตัว ให้เกิดความเสียดายน้อยใจและขัดเคือง ความคิดของคุณหญิงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกเหล่านี้เป็นเวลานานแล้วก็เกิดความมานะ หักห้ามความเสียดาย เป็นความมานะของบุคคลผู้มีอุปนิสัยงอนและถือตัวเกินที่จะอาลัยในบุคคลที่ตนสงสัยว่าหมดอาลัยในตน “ตัวเราเปรียบเหมือนลูกจ้างรับจ้างเลี้ยงเด็กไว้ เมื่อโตขึ้นแล้ว เขาจะสมัครไปทางพ่อที่ได้ให้ความเกิดแต่อย่างเดียว หรือจะสมัครมาทางเราที่ได้ให้ทุกอย่าง นอกจากความเกิด​ก็ตามใจเขา เราหาได้ปรารถนาทุกข์ร้อนไม่” นี่คือความรำพึงของคุณหญิง

อย่างไรก็ตาม คุณหญิงก็คงให้ความห่วงใยในตัวนุชไม่น้อยกว่าที่เคยมา วันนั้นทั้งวันท่านได้เฝ้าอยู่กับหลอน เว้นแต่เวลารับประทานอาหารจึงออกจากห้องไป ส่วนนุชคงนอนหลับตานิ่งไม่พูดจา มิใยที่คนทั้งบ้านจะยกขบวนขึ้นมาเยี่ยมถามอาการ ยิ่งได้ยินเสียงคน เดาได้ว่ามีผู้อยู่ในห้องมากหน้าหลายตา หลอนยิ่งอึดอัดและรำคาญ ทำความปวดศีรษะให้รุนแรงขึ้นอีก จนถึงเวลากลางคืน เมื่อทุกคนพากันหลับ ภายในบ้านเงียบสงัดมีความรู้สึกว่าตัวเป็นอิสระอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีใครมารบกวน นุชจึงรู้สึกค่อยหายใจสะดวก หล่อนได้สะบัดผ้าที่คุณหญิงได้คลุมตัวหลอนไว้อย่างมิดชิด เมื่อก่อนที่ท่านจะเข้านอนออก​เสียเหยียดแขนขาตามสบาย และเริ่มใช้ความคิดถึงฐานะของตัวต่อไป

วันรุ่งขึ้น ความร้อนในตัวนุชลงถึงขีดปกติ แต่ดวงหน้าของหล่อนยังขาวซีด อีกทั้งขอบตาก็เขียวคล้ำ คุณหญิงคงทำหน้าที่พยาบาลที่ดี เฝ้าอยู่กับหล่อนตลอดเวลา ครั้นถึงเวลาบ่ายท่านต้องลงไป รับประทานอาหารพร้อมกับอัมพรและคนอื่นๆ พี่สาวของนุชรับประทานเสร็จก่อนคุณหญิงก็ได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปอยู่กับน้อง เมื่ออัมพรเข้าไปถึงในห้องเห็นนุชนอนตะแคงหันหน้าเข้าฝา อัมพรเข้าไปยืนอยู่ข้างตัว ใจคิดว่าน้องคงกำลังหลับก้มหน้าลงจะดูให้แน่ ก็พอดีนุชพลิกตัวหันหน้ามาทางหล่อน

“โอ! นุชร้องไห้อีกแล้ว!” อัมพรกล่าวอย่างตกใจเมื่อเห็นน้องมีหน้าตาอันอาบด้วยน้ำตา “หักใจ​เสียบ้างซีน้อง ปล่อยตัวอย่างนี้ประเดี๋ยวก็จะเจ็บมากไปเท่านั้น”

“มานี่แน่ะ เข้ามาใกล้ๆ” นุชพูดด้วยเสียงอันแหบเครือ ครั้นอัมพรก้มตัวลงใกล้เตียง หล่อนก็ ยกแขนขึ้นโอบคออัมพรไว้พลางพูดว่า

“บอก..บอก...พ่อของเรานะ ว่านุชขอโทษมากๆ ที่นุชนึกอะไรไม่ดีหลายอย่างบอกกับ….เขา... กับท่านว่านุชรู้เรื่องตลอดแล้ว นุชเห็นใจทุกอย่าง นุชสงสารท่านมากและ……...และนุชเต็มใจเป็นลูกของท่าน”

อัมพรรู้สึกตื้นตันในลำคอ ต้องนิ่งสะกดใจอยู่เป็นครู่ จึงพูดออกได้

“พี่จะบอกให้ท่านทราบตามที่นุชว่านี้ นุชอย่าร้องไห้อีกซี นอนเสีย นอนนิ่งๆ อย่างคิดอะไรต่อไป ประเดี๋ยวไข้น้อยจะกลายเป็นไข้มาก คุณพ่อจะยุ่งใหญ่ ​แต่เท่านี้ก็ยังพออยู่แล้ว ท่านอยากจะขึ้นมาดูนุช แต่ขึ้นบันไดไม่ไหว”

“จุ๊ย์ๆ อย่า!” นุชห้ามโดยเร็ว “อย่าเพ่อก่อน นุชยังไม่อยาก...เอ้อ...นุชอยากอยู่คนเดียว อัมพรก็ไปเสียก่อนเถอะไป” พูดแล้วหล่อนก็คลายแขนออก

ในวันที่ ๓ นุชรู้สึกตัวดีว่าร่างกายยังโผเผและจิตใจก็ยังอ่อนแอ แต่หล่อนเกิดมีความปรารถนาอันประหลาด คือ ปรารถนาจะให้คุณหญิงกลับกรุงเทพฯ เสียโดยรถด่วนที่จะผ่านหลังสวนในคืนวันรุ่งขึ้น เพื่อหล่อนจะได้อยู่ตามลำพังและคิดถึงการภายหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไปได้สะดวก ดังนั้นหล่อนจึงแกล้งฝืนใจ ทำหน้าชื่นลงไปรับประทานอาหารในห้องชั้นล่างตามเคย โดยมิได้ฟังเสียงคัดค้านของคุณหญิงและของอัมพร

​ความปรารถนาของนุชเป็นรูปใกล้กับความสมประสงค์ ตอนค่ำเมื่อนุชจะเข้านอน คุณหญิงกล่าวกับหล่อนว่า

“พรุ่งนี้ ถ้านุชไม่กลับเป็นไข้อีก แม่จะกลับกรุงเทพ ฯ เสียที ธุระต่างๆ ยังค้างอยู่ทั้งนั้น”

คำกล่าวนี้ กล่าวโดยความตั้งใจจริงครึ่งหนึ่ง และเพื่อลองใจครึ่งหนึ่ง นุชไม่ตอบ แต่หล่อนนึกในใจว่า

“แน่นอน นุชจะไม่กลับเป็นไข้อีกในวันพรุ่งนี้” และการก็เป็นจริงตามใจหล่อนนึกด้วย

เวลา ๑ นาฬิกาเศษ ใกล้เวลาที่คุณหญิงจะต้องไปรอรถไฟที่สถานี คนในบ้านพากันวิ่งวุ่นอยู่ออกไขว่ การมาและการกลับของชาวกรุงเทพฯ ดูเป็นงานสำคัญ​สำหรับชาวบ้านนี้มาก ทั้งนี้เพราะชาวหลังสวนดำเนินชีวิตอย่างสงบ และเงียบเหงาเกินไป จะหาสิ่งใดที่เป็นเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงสำหรับเปลี่ยนอารมณ์บ้างก็น้อยนัก เขาเหล่านั้นที่คอยส่งคุณหญิงตั้งแต่หัวค่ำ จนดึกก็มี ที่นอนหลับแล้วก็กลับตื่นขึ้นก็มี ลูกเล็กๆ นั่งตาแดงอยู่บนตักแม่ แม่นั่งตาแดงดูสามีขนของ ของส่วนตัวของคุณหญิงก็ไม่มีอะไรมาก แต่ของกำนัลคือผลไม้เป็นชะลอมๆ นอกจากนั้นยังมีทุเรียนกวนอีกสองปีบ ทำให้เป็นภาระใหญ่ขึ้นถนัด

ตามทางที่ควร ในเวลานั้นนุชควรจะนอนหลับอยู่บนเตียงดังที่ใครๆ พากันคาดคะเน แต่นุชหาได้หลับไป หล่อนนอนพลิกกลับไปกลับมาอยู่ในที่นอน โดยไม่รู้สึกง่วงจนนิดเดียว นาฬิกาข้อมือเรือนทองขาววางอยู่ข้างหมอน นุชเฝ้าแต่เวียนดูเวลามิได้หยุดหย่อน

​จวนถึงกำหนดที่คุณหญิงจะออกจากบ้าน นุชยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนเต้นถี่ยิ่งขึ้น และหดหู่เหี่ยวแห้งดังหนึ่งมีผู้มาบีบคั้นเอาน้ำที่หล่อเลี้ยงไปเสียสิ้น เงี่ยหูคอยฟังเสียงเครื่องยนต์ว่ารถจะออกเดินเมื่อไร เสียงคนที่อยู่เบื้องล่างพูดกันจ้อกแจ้กจนไม่ได้ศัพท์ ในที่สุดทนความอึดอัดไม่ได้ นุชก็ต้องออกมานอกมุ้ง

พอเท้าของหล่อนเหยียบกระดาน ก็พอคุณหญิงเข้าประตูมา ความสว่างในห้องมีอยู่อย่างสลัว ทั้งสองไม่อาจเห็นหน้ากันได้ถนัด คุณหญิงกางแขนออก นุชก็วิ่งเข้าไปถึงตัวท่าน ท่านจูบแก้มหล่อนทั้งสองข้าง แล้วพูดว่า

“แม่จะไปเดี๋ยวนี้ นุชอยากกลับบ้านเมื่อไรก็บอกกับหลวงบำรุง ฯ แม่พูดกับหลวงประกอบ ฯ เขาไว้แล้ว ให้เขาเป็นผู้พานุชไปส่ง”

​พูดแล้วท่านก็ละจากหล่อน ออกจากห้องไป นาที ๑ ต่อมา นุชได้ยินเขาสตาร์ทรถ เสียงรถแล่นห่างจากบ้าน หล่อนรีบกลับเข้าเตียง ซบหน้าลงสะอื้นฮักๆ อยู่กับหมอน....

เมื่อนุชตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น หล่อนตื่นขึ้นอย่างอ่อนเพลียและเหี่ยวแห้งในใจ ให้รู้สึกเหมือนกับว่าโลกที่หล่อนอาศัยอยู่มืดคลุ้มไปด้วยหมอก และควันความรู้สึกสำนึกถึงว่าตนเป็นบุตรของนายอาจผู้เคยต้องโทษ แทนที่จะเป็นบุตรีของพระยารัตนวาที ผู้มีชื่อเสียงและเกียรติยศเป็นที่นับถือของคนทั้งหลาย เป็นประดุจยาพิษที่ประกอบขึ้นด้วยกรดชนิดร้ายแรง เผาผลาญหัวใจหล่อนให้เร่าร้อนยิ่งกว่าเพลิงเผา เมื่อวันก่อน ความเวทนาในชายชราผู้อาภัพได้ทำให้หล่อนกล่าววาจาอันน่าจับใจฝากอัมพรไปให้แก่ชายผู้นั้น แต่มาบัดนี้​ความเวทนาเสื่อมคลายลง คงเหลือแต่ความคิดถึงตัว เกิดความขัดแค้นน้อยใจในความเกิดของตัวเอง ความกลุ้มทำให้หล่อนเบื่อหน้ามนุษย์ ไม่อยากพบอยากเห็นใครทั้งสิ้น จึงได้เก็บตัวของหล่อนอยู่แต่ในห้อง ในขณะที่ชายชราผู้เป็นบิดาเฝ้านับเวลานาทีที่จะได้ปราศรัยกับบุตรีอยู่ทุกขณะ ส่วนอัมพรเป็นคนกลาง เข้าใจความคิดของทั้งสองฝ่าย แต่โดยที่หล่อนเป็นห่วงทั้งบิดาและน้องสาว เกรงไปว่าถ้านุชแสดงกิริยากระด้างกระเดื่องหรือตะขิดตะขวงต่อหน้านายอาจ นายอาจก็จะช้ำใจ ดังนั้นอัมพรก็ไม่กล้าเตือนน้อง

อันธรรมดาสามัญชน เมื่อมองเห็นสภาพความไม่พึงพอใจอยู่เฉพาะหน้า รู้ชัดว่าตนจำต้องเสพสภาพนั้นโดยไม่มีทางรอด จริงอยู่ ย่อมจะกระสับกระส่ายดิ้นรนด้วยความเกลียดกลัว ถึงกระนั้นจะเป็นอยู่ชั่วครู่​ยาม แล้วความดิ้นรนก็จะเหือดหาย เมื่อได้สติว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น จะก้มหน้ากัดฟันตรงเข้าผจญกับความไม่พึงพอใจด้วยดวงจิต ที่เตรียมพร้อมเพื่อความอดทน แต่ถ้าแม้ว่ายังมองเห็นช่องทางแม้แต่น้อย คิดว่าจะหลีกเลี่ยงไปได้ หัวคิดและจิตใจมัวพะวงอยู่กับทางรอดก็เกิดความรวนเร เพิ่มความกระสับกระส่าย ดิ้นรนเป็นทวีคูณฉันใด นุชรู้ตัวว่าหล่อนเป็นบุตรของนายอาจ นั่นคือความไม่พึงพอใจ แต่หล่อนอาจทำไม่รู้ไม่ชี้เสียได้ นั่นคือทางรอด โดยหน้าที่หล่อนควรจะหันหน้าเข้าสู้ความจริง ตัดใจสละความเฟื่องฟูหรูหรามาอยู่กับบิดา ความเคยชินต่อชีวิตที่แล้วมาเป็นปรปักษ์ต่อหน้าที่ นุชก็มีความลังเลดิ้นรนกระสับกระส่ายอยู่ฉันนั้น

นุชได้เติบโตขึ้นในกรุงลอนดอน มหานครอัน​เจริญถึงขีด ได้ร้องเสพอยู่กับความเจริญหรูหรา จะย่างเท้าไปที่ใดก็พบแต่สิ่งงดงามเจริญตาเจริญใจ สมาคมที่นุชได้ผ่านมาแล้ว ล้วนเป็นสมาคมของบุคคลมีหน้ามีตา ถึงพร้อมด้วยยศด้วยทรัพย์ ด้วยการศึกษาอันบริบูรณ์ ย้ายจากกรุงลอนดอนมาอยู่กรุงเทพฯ ความงามและความรุ่งเรืองระหว่างพระนครทั้งสองก็แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย แต่นุชก็ยังได้สมาคมกับบุคคลที่มีการศึกษาและความเข้าใจในโลกเสมอกับหล่อน อนึ่งเล่า พื้นแผ่นดินส่วนใดในโลก ถึงจะงดงามวิเศษปานใด จะมีค่าสำหรับใจเสมอด้วยพื้นแผ่นดิน อันเป็นส่วนของชาติแห่งตนเป็นไม่มี เมืองหลังสวนนี้แตกต่างกับพระนครมากมายนัก บุคคลที่นุชจะได้พบปะสนทนา ถึงจะมีนิสัยและน้ำใจดีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เขาเหล่านั้นมีการศึกษาและความเข้าใจในชีวิตแตกต่างกับนุชประดุจ​จังหวัดพระนครนั้นเทียว เช่นนี้แล้วจะมิให้นุชเกลียดชังฐานะที่แท้จริง อันเป็นเหตุให้หล่อนอับอายขายหน้าแก่เพื่อนฝูง อีกทั้งจะทำให้หล่อนต้องละทิ้งความสุขสมบูรณ์และความบันเทิงที่หล่อนได้เคยผ่านมาแล้วกระไรได้ โดยประการฉะนี้ นุชจึงได้ปล่อยให้จิตใจของหล่อนกระสับกระส่าย อยู่ในความลังเลถึง ๑๒ ชั่วโมงเต็ม

เมื่อความกตัญญรู้หน้าที่ได้ชัยชนะต่อความใฝ่ใจ ในสิ่งที่หล่อนเรียกว่าความสุขนั้น เป็นเวลาจวนค่ำ นุชผลุนผลันออกจากห้องลงไปอาบน้ำแล้วหล่อนแต่งตัวอย่างเร่งร้อน พอเสร็จก็ตรงไปห้องชายชราทันที

ภาพแห่งนายอาจกับนุช เมื่อได้เผชิญหน้ากันอย่างบิดากับบุตรนั้น ทำให้อัมพรน้ำตาตกด้วยความตื้นตันใจ นายอาจนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวตามเคย นุช​เปิดประตูเข้ามาในห้อง นายอาจหันไปมองดูโดยมิได้ตั้งใจ ครั้นเห็นว่าเป็นใครแล้วก็สะดุ้งโดยแรง หญิงสาวเดินตัวตรงเข้ามาถึงชายชรา กราบลงด้วยท่าที่หล่อนเคยกราบในคราวแรกพบ แต่ด้วยดวงใจที่แสนจะแตกต่างกัน นายอาจยกแขนอันสั่นเทาขึ้นลูบหลังหล่อน จากสีหน้าอันเผือดและตาที่กระพริบขึ้นลงถี่อยู่ อัมพรคะเนได้ว่านายอาจกำลังตื่นเต้นเพียงไร เมื่อนุชเงยหน้าขึ้นเห็นหน้าบิดา ก็เกิดความสงสารจับใจ ด้วยกิริยาละมุนละม่อมอ่อนโยน ซึ่งเป็นกิริยาที่นุชทำได้ทุกเมื่อในคราวต้องการ หล่อนโอบกอดร่างเหี่ยวแห้งของบิดาไว้พร้อมกับซบศีรษะลงบนทรวงอก ทั้งพ่อลูกก็ร้องไห้ด้วยความรัก ความสงสาร และความปรานีต่อกัน

๒ ชั่วโมงต่อมา นุชกลับเข้าในห้อง มีสีหน้าเศร้าและขรึม ริมฝีปากเผยอยมอย่างโศกสลด หล่อน​ลงมือเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็วตามลักษณะบุคคลที่มีความคิดท่วมล้นอยู่ในสมอง ปรารถนาที่จะบรรยายถ่ายเทออกเสียบ้าง จดหมายของนุชมีความดังต่อไปนี้

บ้านหลวงบำรุงประชาราษฎ์ หลังสวน

วันที่ เดือน พ.ศ. ๒๔๗๓

น้าพงศ์ที่รัก

เป็นอะไรไปถึงไม่มาหานุชเมื่อนุชอยู่กรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้นุชอยู่หลังสวน เราจะไม่ได้พบกัน น้าพงศ์จะไปทางของน้า นุชจะไปทางของนุช น้าพงศ์รู้เรื่องดีทำไมไม่บอกนุชบ้าง เดี๋ยวนี้นุชรู้แล้ว ขอบใจน้าพงศ์ รู้แล้วยังอุตส่าห์รักนุช แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้พบกันอีกเลย....โอ! น้าพงศ์ของนุช ชีวิตของนุชต่อไปจะมืดมาก ไม่มีใครเลยในหลังสวนนี้ นุชแสนที่จะตัว​คนเดียว คิดถึงน้าพงศ์เหลือเกิน นุชไม่กล้ากลับไปกรุงเทพ ฯ เขาจะหัวเราะเยาะนุชข้างหลัง นายสุนทร หลวงไพรัชช์ ฯ เขาจะนึกอย่างไร ! น้าพงษ์ไม่หัวเราะเยาะนุช ไม่ใช่หรือ? คิดถึงนุชบ้าง นุชไม่ขอให้น้าพงศ์มาหานุช แต่นุชจะขอเห็นน้าพงศ์ในฝันของนุช คุณแม่กลับกรุงเทพ ฯ แต่เมื่อคืน แต่นุชไปด้วยไม่ได้ หน้าที่ของนุชอยู่ทางนี้ ท่านเป็นพ่อของนุชแท้ๆ และเป็นคนดีมาก ไม่มี Selfish เลย ขอโทษน้า นุชเขียนคำอังกฤษคำหนึ่งคำเดียวเท่านั้น นุชเกลียดภาษาอังกฤษ เกลียด England itself เกลียดอะไรๆ ทั้งหมดที่แล้วมาไม่จริง สงสารคุณแม่จะเหงามาก ท่านคงต้องการนุช น้าพงศ์ต้องไปเยี่ยมท่านบ้าง และคิดถึงนุชบ้าง นุชขอลา

Love and kisses

ของน้าพงศ์เสมอ

​เขียนแล้ว โดยมิได้อ่านทวน นุชยกกระดาษอันเต็มไปด้วยลายมือของผู้อ่อนหัด ขึ้นประทับกับริมฝีปาก ครั้นแล้วหล่อนพับใส่ซองสอดไว้ใต้หมอน รอเวลาที่จะหาคนนำไปส่งยังที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป

.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.065 seconds with 16 queries.