Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:39

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  ชวนอ่าน M0U 43 ที่มาและ 9 ข้อสัญญา ก่อนทำประชามติ "ยกเลิก" หรือ "ไม่ยกเลิก"
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ชวนอ่าน M0U 43 ที่มาและ 9 ข้อสัญญา ก่อนทำประชามติ "ยกเลิก" หรือ "ไม่ยกเลิก"  (Read 270 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 07 October 2025, 21:56:37 »

ชวนอ่าน M0U 43 ที่มาและ 9 ข้อสัญญา ก่อนทำประชามติ "ยกเลิก" หรือ "ไม่ยกเลิก"


Mars Online

ชวนอ่าน M0U 43 ที่มาและ 9 ข้อสัญญา ก่อนทำประชามติ "ยกเลิก" หรือ "ไม่ยกเลิก"

ที่มาที่ไป และรายละเอียดที่จะได้อ่านทั้ง 9 ข้อนี้ คัดลอกบางส่วน (เฉพาะ MOU43) จากเว็บไซต์ "กรมประชาสัมพันธ์" เผยแพร่เมื่อ 13/06/2568 ใจความว่า

......

MOU 2543 (MOU 2000) หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก MOU 43 นั้นไม่ใช่การกำหนดเขตแดน แต่เป็น MOU ที่ 2 ฝ่ายตกลงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดน มีเครื่องมือสำคัญคือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Committee หรือ JBC) ซึ่งขับเคลื่อนการจัดทำหลักเขตแดนทางบกผ่านเอกสารสำคัญ 3 ตัวคือ

อนุสนธิสัญญา ปี 1904 / 1907 และแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนตามทั้ง 2 สนธิสัญญา ( อ่านเรื่องอนุสัญญา และประวัติปักปันเขตแดนต่อที่ https://rta.mi.th/38713/ )
https://rta.mi.th/38713/?fbclid=IwY2xjawNR8htleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFYVjViaXJ5cUxRZG1WTzBLAR55g2PzhShRJUw0bmr98pMr0Qb5enE1JelT00Zen8KRjs17frtY7fY2KyPZ-A_aem_6Ln6ScK6vMGXMf1fGgiilQ


ความเป็นมาของ MOU 2543 และรายละเอียดข้อตกลง

หลังกรณีกัมพูชายื่นขอให้ศาลโลกให้วินิจฉัยเขตแดนไทยกัมพูชาใน 2 ประเด็น คือ อธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหาร และให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร ศาลโลกได้พิพากษาในปี 2505 ซึ่งได้ขอให้วินิจฉัยเพิ่มอีก 3 ประเด็นคือ

ชี้ขาดเขตแดนไทย - กัมพูชา พิจารณาสถานะของแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ระวางดงรัก ให้มีผลผูกพันไทย และขอให้ไทยส่งคืน ประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนสลักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณสถาน รูปหินทราย และเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ซึ่งศาลโลกได้ชี้ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยกัมพูชา โดยไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดน หรือสถานะของแผนที่ระวางดงรัก

หลังจากครั้งนั้น รมว.ต่างประเทศมีหนังสือถึงรักษาการเลขาธิการสหประชาชาติว่า รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์เมื่อ 3 ก.ค. 2505 ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา

แต่ในฐานะประเทศสมาชิกยูเอ็น ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากคำพิพากษา ทางการไทยไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ในประเด็นเรื่องเขตแดน

-เมื่อ 21 มิถุนายน 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชาได้ลงนามใน การจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก (Joint Statement on the Establishment of Thai – Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary) ซึ่งเริ่มประชุมครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2542) และจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ขึ้น

-เมื่อ 14 มิถุนายน 2543 ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ของทั้ง 2 ฝ่าย ในสมัยนั้นทางไทย คือ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ และ นายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ลงนาม MOU 2543 ที่มีข้อกำหนดในรายละเอียด  9 ประการ โดยเฉพาะเรื่องการตั้ง  JBC  อำนาจหน้าที่ และข้อตกลงไม่เปลี่ยนแปลงพื้นที่ และหารือกันในกลไกดังกล่าว โดยทั้ง 9 ข้อมีรายละเอียดดังนี้


⭕️ข้อที่ 1

“[ไทยและกัมพูชา] จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้

    (ก)    อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ค.ศ. 1904)

    (ข)    สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดน แนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) และ

    (ค)    แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของ คกก.ปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส”


⭕️ข้อที่ 2 (การตั้ง JBC และอำนาจหน้าที่)

    2.1    ให้มีคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทยกัมพูชา ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม” ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คน และ คณะกรรมาธิการอื่นๆ ซึ่งได้รับแต่งตั้งจาก 2 รัฐบาล แจ้งการแต่งตั้งดังกล่าวภายใน 1 เดือนหลักจาก MOU เริ่มบังคับใช้

    2.2    กมธ. เขตแดนร่วมจะประชุมกันปีละครั้งในไทยและกัมพูชาสลับกัน ในกรณีจำเป็น กมธ.เขตแดนร่วมอาจประชุมกันสมัยพิเศษเพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่

    2.3    ให้ กมธ. เขตแดนร่วมมีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้

   (ก)    รับผิดชอบให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมเป็นไปตามข้อ 1
   (ข)    พิจารณาและรับรองแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วม
   (ค)    กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ที่จะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
   (ง)    มอบหมายงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (จะกล่าวถึงในข้อ 3) ควบคุมดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นผลตามที่ได้มอบหมาย
   (จ)    พิจารณารายงานหรือข้อเสนอแนะต่างๆที่เสนอโดย คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
   (ฉ)    ผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจแล้วจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้ว  และ
   (ช)    แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการใดๆ เพื่อปฏิบัติงานเฉพาะรายใดๆที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม


⭕️ข้อที่ 3 (หน้าที่ของ คณะอนุฯร่วม)

    3.1 ให้มีคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คน และอนุกรรมาธิการอื่นๆ ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งจากประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมของแต่ละฝ่าย

    3.2 ให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมมีอำนาจดังต่อไปนี้

        (ก) พิสูจน์ทราบตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดน 73 หลักซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนเมื่อปี ค.ศ.1909 และ ค.ศ. 1919 และรายงานผลการพิสูจน์ทราบต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเพื่อพิจารณา
        (ข) จัดทำแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วม
        (ค) แต่งตั้งชุดสำรวจร่วมเพื่อปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
        (ง) เสนอรายงานหรือข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
        (จ) จัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
        (ฉ) แต่งตั้งผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจในกรณีที่จำเป็น เพื่อควบคุมดูแลงานสนามแทนประธานอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม และ
        (ช) แต่งตั้งคณะทำงานทางเทคนิคใดๆ เพื่อช่วยงานเฉพาะรายใดๆ ที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
        (ง) ในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ใดๆ ชุดสำรวจร่วมจะได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากกับระเบิดเสียก่อน


⭕️ข้อที่ 4 (ความมุ่งหมายในการจัดทำเขตแดน)

    4.1 เพื่อความมุ่งประสงค์ของงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้แบ่งเขตแดนทางบกร่วมกันตลอดแนวออกเป็นหลายตอนตามที่คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมจะได้ตกลงกัน

    4.2 เมื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแล้วเสร็จแต่ละตอน ให้ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจและแผนนที่จะแนบบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ซึ่งแสดงตอนที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จไว้


⭕️ข้อที่ 5 (ข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน **ประเด็นที่มักละเมิด)

    เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน


⭕️ข้อที่ 6 (ค่าใช้จ่าย)

    6.1 รัฐบาลแต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายฝ่ายตนในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

    6.2 รัฐบาลทั้ง 2 รับผิดชอบค่าวัสดุสำหรับหลักเขจแดนหรือหมุดหมายพยาน กับการจัดทำและผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้วอย่างเท่าเทียม


⭕️ข้อที่ 7 (ข้อยกเว้นทางภาษี)

    7.1 รัฐบาลของ 2 ประเทศจะเตรียมการที่จำเป็นเกี่ยวกับการเข้าเมือง การกักกันโรคติดต่อ และพิธีการศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

    7.2 โดยเฉพาะ อุปกรณ์ วัสดุ และเสบียงในปริมาณที่สมควรและสำหรับชุดสำรวจร่วมใช้เฉพาะในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก แม้ว่าได้นำข้ามแดน จะไม่ถือว่าเป็นการส่งออกจากประเทศหรือนำเข้าอีกประเทศหนึ่ง และไม่ต้องชำระอากรศุลกากร หรือภาษีอื่นๆ เกี่ยวกับ


⭕️ข้อที่ 8 (การเจรจา)

    ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา


⭕️ข้อที่ 9 (การบังคับใช้)

    บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเริ่มใช้บังคับในวันลงนามบันทึกความเข้าใจโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในกรณี MOU 2543

.......

(ข้อความเพิ่มเติมจาก กรมประชาสัมพันธ์ เผยแพร่เมื่อ 13/06/2568)

ปัญหาการใช้แผนที่ที่ต่างกัน

กัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ของ คกก.ปักปันฯ คณะกรรมการผสมสยาม – ฝรั่งเศส เพื่อปักปันเขตแดน จากสนธิสัญญา 2 ฉบับ

ฉบับปี 1904 ซึ่งจัดทำแผนที่ชุด Bernard (11 ระวาง) และในสนธิสัญญา 1907 ได้จัดทำแผนที่ชุด Montguers (5 ระวาง)

ทั้ง 2 แผนที่ทำในระบบซินูซอยดอล ทุกช่องสี่เหลี่ยมมีพื้นที่เท่ากัน ซึ่งมีผลทำให้ไทยสูญเสียดินแดนหลายส่วน

ในขณะที่แผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 ของไทยทำในระบบเมอเคเตอร์ กำหนดค่าโดยระยะห่างและทิศทาง

**แผนที่ระวางดงรัก หรือแผนที่ดงรัก (annex one) 1 ใน 11 แผนที่เป็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเพราะแสดงเขตแดนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากเป็นเอกสารที่ใช้ในคำพิพากษาของ ICJ

โดยเอกสารดังกล่าว ไม่ได้แสดงว่าไทย ยอมรับแผนที่หรือเส้นที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดน หากจะถือว่า ไทยยอมรับ ต้องถือว่ากัมพูชายอมรับสันปันน้ำตามระบุใน อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ในข้อ 1 (ก) และ (ข) ของ MOU 2543 ด้วย ดังนั้นจะต้องมีการเจรจากันต่อ จนกว่าจะได้ข้อยุติ

** คำพิพากษาของคดีประสาทพระวิหาร ศาลฯ ระบุว่าจะไม่ตัดสินว่า เส้นเขตแดนไทย - กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรักหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ศาลฯ จำเป็นต้องทราบว่า เส้นเขตแดนไทย -กัมพูชา อยู่ที่ใดในบริเวณปราสาทพระวิหาร เพื่อใช้เป็นเหตุผลที่จะตัดสินว่าปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศใด เพื่อใช้เป็นเหตุผลตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศใด มิได้ชี้แนวเส้นเขตแดนจากข้อพิพาทที่เกิดขึ้น โดยคำพิพากษาของศาลแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ (1) ส่วนเหตุผล และ (2) ส่วนบทปฏิบัติการ

ในส่วนเหตุผล : ศาลฯ อ้างเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าไทยยอมรับแผนที่ดงรัก ว่า ไทยเผยแพร่แผนที่ดงรักอย่างกว้างขวางหลังจากที่ได้รับจากฝรั่งเศส และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงขอแผนที่เพิ่มเติม และ ไทยไม่เคยคัดค้านเส้นเขตแดนบทแผนที่จนถึง ค.ศ. 1958 แม้จะมีโอกาสหลายครั้ง

ในส่วนบทปฏิบัติการ: ศาลฯ ระบุว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยกัมพูชา โดยไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดน หรือสถานะของแผนที่ระวางดงรัก

โดยข้อมูลจาก กต. แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2543 (ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร) ระบุถึงการละเมิดข้อตกลง MOU 43 ของกัมพูชาหลายต่อหลายครั้ง เช่น การก่อสร้างวัด ถนน ตลาด ให้มีประชาชนอาศัยในบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร โดยไทยได้ทำหนังสือประท้วงในระดับรัฐบาลหลายครั้ง

-ปี 2550 กัมพูชายื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากกัมพูชาต้องกำหนดพื้นที่กันชนโดยรอบปราสาท กระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุว่า "กัมพูชาได้อ้างเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 โดยถ่ายทอดเส้นตามที่กัมพูชาเข้าใจเอาเอง และไม่ตรงกับเส้นที่กัมพูชาอ้างในคดีเดิม ปี 2505

ดังนั้นเรื่อง "พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นปัญหาเขตแดนที่เกิดขึ้นใหม่"

-ปี 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505

-28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอดังกล่าวว่าไทยมีพันธกรณีที่ต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา ดินแดนส่วนดังกล่าวถูกกำหนดขอบเขตในบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียงโดยเส้นที่ปรากฏบนแผนที่ภาคผนวก 1 หรือแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่กัมพูชาใช้แนบคำฟ้องของกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ซึ่งฝ่ายไทยมองว่ามีการขีดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในฝั่งไทย

กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราว ได้แก่ ขอให้ไทยถอนกำลังทั้งหมดจากส่วนต่าง ๆ ของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ห้ามไทยมีกิจกรรมทางทหารใด ๆ ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นต้น

-18 กรกฎาคม 2554 ศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว โดยให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone - PDZ) ที่ศาลฯ กำหนด และงดเว้นการดำเนินกิจกรรมที่ใช้อาวุธไปยังพื้นที่ดังกล่าว และไม่ให้ไทยขัดขวางการเข้าออกปราสาทพระวิหารโดยเสรีของกัมพูชา หรือการส่งเครื่องอุปโภคบริโภคไปยังบุคลากรที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาที่อยู่ในปราสาทพระวิหาร

-ปี 2556 ศาลโลกตัดสินชี้ขาด เดือนพฤศจิกายน 2556 ศาลชี้ขาดเป็นเอกฉันท์โดยอาศัยการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ที่ตัดสินไว้ว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร และพื้นที่บริเวณปราสาทที่ไทยต้องถอนทหารนั้น คือยอดเขาพระวิหาร

-ปี 2568 ทหารกัมพูชาวางกำลังห่างชายแดนไม่น้อยกว่า 500 ม. ณ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (รอยต่อสามแผ่นดิน ไทย ลาว กัมพูชา และล้ำมาถึง ช่องบก) จ.อุบลราชธานี เช่นเดียวกับทหารไทยที่ก็วางกำลังห่างระยะใกล้เคียงกัน ซึ่งย่านกลางนั้น มีข้อตกลงว่าเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพไปมาหาสู่ ประสานงาน พูดคุยแก้ปัญหากัน

-28 กุมภาพันธ์ 2568 กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข (พื้นที่ช่องอานม้า) และเคลื่อนกำลังทหารที่ต้นพญาสัตบรรณ ล้ำอธิปไตยไทยเข้ามา 150 ม. รวมถึงขุดคูเลต (สนามเพลาะ) ทำลายสันปันน้ำละเมิด MOU43 และเหตุการณ์ตึงเครียด จนมีการปะทะตอบโต้ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568

.....

รูปภาพ กองทัพบก
ที่มา: https://www.prd.go.th/.../category/detail/id/3219/iid/397398

https://www.facebook.com/mars.magazine/posts/pfbid0ymTLm2W6AEdqSkfcDdN5wqGBLxgaYVzfswFsG864GUkL7HU8P1bNZaBhb2yiyaGxl

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/3219/iid/397398?fbclid=IwY2xjawNR9FtleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFYVjViaXJ5cUxRZG1WTzBLAR6aAiXf2MejxNSKzOvDRA0ymkxNMwOmFmAF2qdPNJEW65xxkvQup_KERob0pg_aem_huCP_wnKjy-9c9Brbd9CNg
สนธิสัญญา และ MOU ต่าง ๆ : MOU 2543 หรือ 43 และกลไก JBC GBC และ RBC

.



.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.071 seconds with 17 queries.