Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:40

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  สนธิสัญญา และ MOU ต่าง ๆ : MOU 2543 หรือ 43 และกลไก JBC GBC และ RBC
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สนธิสัญญา และ MOU ต่าง ๆ : MOU 2543 หรือ 43 และกลไก JBC GBC และ RBC  (Read 283 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 07 October 2025, 21:48:45 »

สนธิสัญญา และ MOU ต่าง ๆ : MOU 2543 หรือ 43 และกลไก JBC GBC และ RBC


กรมประชาสัมพันธ์
https://www.prd.go.th
·

สนธิสัญญา และ MOU ต่าง ๆ : MOU 2543 หรือ 43 และกลไก JBC GBC และ RBC
13/06/2568


MOU 2543 (MOU 2000) หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก MOU 43 นั้นไม่ใช่การกำหนดเขตแดนแต่เป็น MOU ที่ 2 ฝ่ายตกลงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน มีเครื่องมือสำคัญคือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Committee หรือ JBC) ซึ่งขับเคลื่อนการจัดทำหลักเขตแดนทางบกผ่านเอกสารสำคัญ 3 ตัวคือ อนุสนธิสัญญา ปี 1904 / 1907 และแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนตามทั้ง 2 สนธิสัญญา


ความเป็นมาของ MOU 2543  และรายละเอียดข้อตกลง

    หลังกรณีกัมพูชายื่นขอให้ศาลโลกให้วินิจฉัยเขตแดนไทยกัมพูชาใน 2 ประเด็น คือ อธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหาร และให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร ศาลโลกได้พิพากษาในปี 2505 ซึ่งได้ขอให้วินิจฉัยเพิ่มอีก 3 ประเด็นคือ ชี้ขาดเขตแดนไทย - กัมพูชา พิจารณาสถานะของแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ระวางดงรัก ให้มีผลผูกพันไทย และขอให้ไทยส่งคืน ประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนสลักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณสถาน รูปหินทราย และเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ซึ่งศาลโลกได้ชี้ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยกัมพูชา โดยไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดน หรือสถานะของแผนที่ระวางดงรัก หลังจากครั้งนั้น รมว.ต่างประเทศมีหนังสือถึงรักษาการเลขาธิการสหประชาชาติว่า รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์เมื่อ 3 ก.ค. 2505 ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่ในฐานะประเทศสมาชิกยูเอ็น ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากคำพิพากษา ทางการไทยไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ในประเด็นเรื่องเขตแดน

    เมื่อ 21 มิถุนายน 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชาได้ลงนามใน การจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก (Joint Statement on the Establishment of Thai – Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary) ซึ่งเริ่มประชุมครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2542) และจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ขึ้น

    เมื่อ 14 มิถุนายน 2543 ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ของทั้ง 2 ฝ่าย ในสมัยนั้นทางไทย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ และ นายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ลงนาม MOU 2543 ที่มีข้อกำหนดในรายละเอียด  9 ประการ โดยเฉพาะเรื่องการตั้ง  JBC  อำนาจหน้าที่ และข้อตกลงไม่เปลี่ยนแปลงพื้นที่ และหารือกันในกลไกดังกล่าว โดยทั้ง 9 ข้อมีรายละเอียดดังนี้

    “[ไทยและกัมพูชา] จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้


ข้อที่ 1 (หลักเอกสารในการพิจารณาการดำเนินการ)

    (ก)    อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ค.ศ. 1904)

    (ข)    สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดน แนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) และ

    (ค)    แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของ คกก.ปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส”


ข้อที่ 2 (การตั้ง JBC และอำนาจหน้าที่)

    2.1    ให้มีคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทยกัมพูชา ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม” ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คน และ คณะกรรมาธิการอื่นๆ ซึ่งได้รับแต่งตั้งจาก 2 รัฐบาล แจ้งการแต่งตั้งดังกล่าวภายใน 1 เดือนหลักจาก MOU เริ่มบังคับใช้

    2.2    กมธ. เขตแดนร่วมจะประชุมกันปีละครั้งในไทยและกัมพูชาสลับกัน ในกรณีจำเป็น กมธ.เขตแดนร่วมอาจประชุมกันสมัยพิเศษเพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่

    2.3    ให้ กมธ. เขตแดนร่วมมีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้

         (ก)    รับผิดชอบให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมเป็นไปตามข้อ 1
         (ข)    พิจารณาและรับรองแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วม
         (ค)    กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ที่จะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
         (ง)    มอบหมายงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (ตามข้อ 3) ควบคุมดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นผลตามที่ได้มอบหมาย
         (จ)    พิจารณารายงานหรือข้อเสนอแนะต่างๆที่เสนอโดย คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
         (ฉ)    ผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจแล้วจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้ว  และ
         (ช)    แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการใดๆ เพื่อปฏิบัติงานเฉพาะรายใดๆที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม

ข้อที่ 3 (หน้าที่ของ คณะอนุฯร่วม)

    3.1 ให้มีคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คน และอนุกรรมาธิการอื่นๆ ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งจากประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมของแต่ละฝ่าย

    3.2 ให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมมีอำนาจดังต่อไปนี้

        (ก) พิสูจน์ทราบตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดน 73 หลักซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนเมื่อปี ค.ศ.1909 และ ค.ศ. 1919 และรายงานผลการพิสูจน์ทราบต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเพื่อพิจารณา
        (ข) จัดทำแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วม
        (ค) แต่งตั้งชุดสำรวจร่วมเพื่อปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
        (ง) เสนอรายงานหรือข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
        (จ) จัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
        (ฉ) แต่งตั้งผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจในกรณีที่จำเป็น เพื่อควบคุมดูแลงานสนามแทนประธานอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม และ
        (ช) แต่งตั้งคณะทำงานทางเทคนิคใดๆ เพื่อช่วยงานเฉพาะรายใดๆ ที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
        (ง) ในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ใดๆ ชุดสำรวจร่วมจะได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากกับระเบิดเสียก่อน

ข้อ 4 (ความมุ่งหมายในการจัดทำเขตแดน)

    4.1 เพื่อความมุ่งประสงค์ของงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้แบ่งเขตแดนทางบกร่วมกันตลอดแนวออกเป็นหลายตอนตามที่คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมจะได้ตกลงกัน

    4.2 เมื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแล้วเสร็จแต่ละตอน ให้ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจและแผนนที่จะแนบบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ซึ่งแสดงตอนที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จไว้

ข้อ 5 (ข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน **ประเด็นที่มักละเมิด)

    เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

ข้อ 6 (ค่าใช้จ่าย)

    6.1 รัฐบาลแต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายฝ่ายตนในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

    6.2 รัฐบาลทั้ง 2 รับผิดชอบค่าวัสดุสำหรับหลักเขจแดนหรือหมุดหมายพยาน กับการจัดทำและผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้วอย่างเท่าเทียม

ข้อ 7 (ข้อยกเว้นทางภาษี)

    7.1 รัฐบาลของ 2 ประเทศจะเตรียมการที่จำเป็นเกี่ยวกับการเข้าเมือง การกักกันโรคติดต่อ และพิธีการศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

    7.2 โดยเฉพาะ อุปกรณ์ วัสดุ และเสบียงในปริมาณที่สมควรและสำหรับชุดสำรวจร่วมใช้เฉพาะในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก แม้ว่าได้นำข้ามแดน จะไม่ถือว่าเป็นการส่งออกจากประเทศหรือนำเข้าอีกประเทศหนึ่ง และไม่ต้องชำระอากรศุลกากร หรือภาษีอื่นๆ เกี่ยวกับ

ข้อ 8 (การเจรจา)

    ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา

ข้อ 9 (การบังคับใช้)

    บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเริ่มใช้บังคับในวันลงนามบันทึกความเข้าใจโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา


ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในกรณี MOU 2543

    ปัญหาการใช้แผนที่ที่ต่างกัน กัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ของ คกก.ปักปันฯ คณะกรรมการผสมสยาม – ฝรั่งเศส เพื่อปักปันเขตแดน จากสนธิสัญญา 2 ฉบับ : ฉบับปี 1904 ซึ่งจัดทำแผนที่ชุด Bernard (11 ระวาง) และในสนธิสัญญา 1907 ได้จัดทำแผนที่ชุด Montguers (5 ระวาง) ทั้ง 2 แผนที่ทำในระบบซินูซอยดอล ทุกช่องสี่เหลี่ยมมีพื้นที่เท่ากัน ซึ่งมีผลทำให้ไทยสูญเสียดินแดนหลายส่วน ในขณะที่แผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 ของไทยทำในระบบเมอเคเตอร์ กำหนดค่าโดยระยะห่างและทิศทาง

    **แผนที่ระวางดงรัก หรือแผนที่ดงรัก (annex one) 1 ใน 11 แผนที่เป็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเพราะแสดงเขตแดนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากเป็นเอกสารที่ใช้ในคำพิพากษาของ ICJ

โดยเอกสารดังกล่าว ไม่ได้แสดงว่าไทย ยอมรับ แผนที่หรือเส้นที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดน หากจะถือว่า ไทยยอมรับ ต้องถือว่ากัมพูชายอมรับสันปันน้ำตามระบุใน อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ในข้อ 1 (ก) และ (ข) ของ MOU 2543 ด้วย ดังนั้นจะต้องมีการเจรจากันต่อ จนกว่าจะได้ข้อยุติ

    ** คำพิพากษาของคดีประสาทพระวิหาร

    ศาลฯ ระบุว่าจะไม่ตัดสินว่า เส้นเขตแดนไทย - กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรักหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ศาลฯ จำเป็นต้องทราบว่า เส้นเขตแดนไทย -กัมพูชา อยู่ที่ใดในบริเวณปราสาทพระวิหาร เพื่อใช้เป็นเหตุผลที่จะตัดสินว่าปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศใด เพื่อใช้เป็นเหตุผลตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศใด มิได้ชี้แนวเส้นเขตแดนจากข้อพิพาทที่เกิดขึ้น โดยคำพิพากษาของศาลแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ (1) ส่วนเหตุผล และ (2) ส่วนบทปฏิบัติการ

    ในส่วนเหตุผล : ศาลฯ อ้างเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าไทยยอมรับแผนที่ดงรัก ว่า ไทยเผยแพร่แผนที่ดงรักอย่างกว้างขวางหลังจากที่ได้รับจากฝรั่งเศส และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงขอแผนที่เพิ่มเติม และ ไทยไม่เคยคัดค้านเส้นเขตแดนบทแผนที่จนถึง ค.ศ. 1958 แม้จะมีโอกาสหลายครั้ง

    ในส่วนบทปฏิบัติการ: ศาลฯ ระบุว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยกัมพูชา โดยไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดน หรือสถานะของแผนที่ระวางดงรัก

    โดยข้อมูลจาก กต. แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2543 (ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร) ระบุถึงการละเมิดข้อตกลง MOU 43 ของกัมพูชาหลายต่อหลายครั้ง เช่น การก่อสร้างวัด ถนน ตลาด ให้มีประชาชนอาศัยในบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร โดยไทยได้ทำหนังสือประท้วงในระดับรัฐบาลหลายครั้ง

    ปี 2550 กัมพูชายื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากกัมพูชาต้องกำหนดพื้นที่กันชนโดยรอบปราสาท กระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุว่า "กัมพูชาได้อ้างเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 โดยถ่ายทอดเส้นตามที่กัมพูชาเข้าใจเอาเอง และไม่ตรงกับเส้นที่กัมพูชาอ้างในคดีเดิม ปี 2505 ดังนั้นเรื่อง "พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นปัญหาเขตแดนที่เกิดขึ้นใหม่"

    ปี 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอดังกล่าวว่าไทยมีพันธกรณีที่ต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา ดินแดนส่วนดังกล่าวถูกกำหนดขอบเขตในบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียงโดยเส้นที่ปรากฏบนแผนที่ภาคผนวก 1 หรือแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่กัมพูชาใช้แนบคำฟ้องของกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ซึ่งฝ่ายไทยมองว่ามีการขีดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในฝั่งไทย กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราว ได้แก่ ขอให้ไทยถอนกำลังทั้งหมดจากส่วนต่าง ๆ ของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ห้ามไทยมีกิจกรรมทางทหารใด ๆ ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นต้น

    18 กรกฎาคม 2554 ศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว โดยให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone - PDZ) ที่ศาลฯ กำหนด และงดเว้นการดำเนินกิจกรรมที่ใช้อาวุธไปยังพื้นที่ดังกล่าว และไม่ให้ไทยขัดขวางการเข้าออกปราสาทพระวิหารโดยเสรีของกัมพูชา หรือการส่งเครื่องอุปโภคบริโภคไปยังบุคลากรที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาที่อยู่ในปราสาทพระวิหาร

    ปี 2556 ศาลโลกตัดสินชี้ขาด เดือนพฤศจิกายน 2556 ศาลชี้ขาดเป็นเอกฉันท์โดยอาศัยการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ที่ตัดสินไว้ว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร และพื้นที่บริเวณปราสาทที่ไทยต้องถอนทหารนั้น คือยอดเขาพระวิหาร

    ปี 68 ทหารกัมพูชาวางกำลังห่างชายแดนไม่น้อยกว่า 500 ม. ณ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (รอยต่อสามแผ่นดิน ไทย ลาว กัมพูชา และล้ำมาถึง ช่องบก) จ.อุบลราชธานี เช่นเดียวกับทหารไทยที่ก็วางกำลังห่างระยะใกล้เคียงกัน ซึ่งย่านกลางนั้น มีข้อตกลงว่าเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพไปมาหาสู่ ประสานงาน พูดคุยแก้ปัญหากัน

    28 กุมภาพันธ์ 2568 กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข (พื้นที่ช่องอานม้า) และเคลื่อนกำลังทหารที่ต้นพญาสัตบรรณ                     ล้ำอธิปไตยไทยเข้ามา 150 ม. รวมถึงขุดคูเลต (สนามเพลาะ) ทำลายสันปันน้ำละเมิด MOU43 และเหตุการณ์ตึงเครียด จนมีการปะทะตอบโต้ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568

.

รู้จัก “JBC- GBC - RBC” กลไกเจรจาแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

“JBC หรือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม”

จากสถานการณ์บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี หลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งรัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าจะใช้กลไก JBC (Joint Boundary Commission) อีกทั้ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงจากรัฐบาล คลายกังวล และมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ว่าจะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งที่รุนแรงเกิดขึ้นแน่นอน ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ จะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ โดยใช้กลไก JBC เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีการกล่าวถึงกลไกความร่วมมือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น JBC GBC และ RBC อ้างอิงข้อมูลรายละเอียดจากกระทรวงการต่างประเทศ  “ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารและการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา” เมื่อ ธันวาคม 2554 เกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือชายแดนไทย-กัมพูชา ไว้ว่า คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) เป็นกลไกทวิภาคีที่จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ตาม MOU 2543 เพื่อแก้ไขปัญหาการกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชา มีหน้าที่เจรจา สำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างกัน โดยเน้นการเจรจาอย่างสันติและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง นับเป็นความร่วมมือด้านเขตแดน กลไก JBC จะมีทั้งทางไทย และ กัมพูชา โดยฝ่ายไทยมีสมาชิกประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นเลขานุการ โดยมีรายละเอียดการประชุมที่ผ่านมา ดังนี้

การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)  ตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน

มีการจัดการประชุม JBC มาแล้ว 10 ครั้ง  แบ่งเป็นสมัยสามัญ 5 ครั้ง และสมัยวิสามัญ 5 ครั้ง การประชุมครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2555 ที่กรุงเทพมหานคร

- การประชุม JBC ครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2542) ตกลงกันในประเด็นพื้นฐาน เช่น
การจัดตั้งคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม และการกำหนดพื้นฐานทางกฎหมายที่จะนำไปใช้ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ได้แก่ เอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างสยาม - ฝรั่งเศส อาทิ อนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1907 รวมทั้งเอกสารอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น โดยทั้งสองประเทศหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่จะเป็นการกระทบต่อเขตแดน และหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะพยายามแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ

- การประชุม JBC ครั้งที่ 2 (5 - 7 มิถุนายน 2543) ณ กรุงพนมเปญ ตกลงกันว่าหากมีปัญหาชายแดนที่มีปัจจัยเรื่องเขตแดน ประธาน JBC ร่วมทั้งสองฝ่ายจะหารือกันโดยรวดเร็ว และที่ประชุมเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ประธาน JBC ของทั้งสองฝ่ายคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับ นายวาร์ กิมฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชารับผิดชอบกิจการชายแดน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Kingdom of Cambodia on the Survey and Demarcation of Land Boundary) หรือ MOU 2543 ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเห็นว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะช่วยลดความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่มีอยู่ในปัจจุบันอันอาจเกิดจากความเข้าใจผิดเรื่องแนวเขตแดน และจะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาเขตแดนระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป โดยจะวางกรอบและกลไก ในการปฏิบัติงานบนพื้นฐานของการเคารพเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองที่ได้จัดทำขึ้นระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเส้นเขตแดนแต่อย่างใดเพราะทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์ให้มีการได้หรือเสียดินแดน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในภูมิประเทศเพื่อให้เห็นแนวเขตแดนอย่างชัดเจนเท่านั้น

- การประชุม JBC สมัยวิสามัญ (25 สิงหาคม 2546) ทั้งสองฝ่ายได้รับรองแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ (TOR 2546) ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างไทย - กัมพูชา เพื่อเป็นแนวทางในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างกัน

- การประชุม JBC ครั้งที่ 3 (31 สิงหาคม 2547) ทั้งสองฝ่ายได้รับรองผลการดำเนินงานในสำนักงาน เกี่ยวกับการปักหลักเขตแดน ซ่อมแซม และการสร้างทดแทนหลักเขตแดนที่เคยปักไว้แล้วทั้ง 73 หลัก รวมทั้งจะส่งชุดสำรวจร่วมไทย - กัมพูชา ลงไปปฏิบัติงานภาคสนามในต้นปี 2547

- การประชุม JBC สมัยวิสามัญ (11 - 15 มีนาคม 2549) ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ชุดสำรวจร่วมเริ่มต้นสำรวจหาที่ตั้งหลักเขตแดนเดิมจำนวน 73 หลัก โดยเริ่มลงพื้นที่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ชุดสำรวจร่วมได้ดำเนินการสำรวจหาที่ตั้งหลักเขตแดนไปแล้ว 48 หลัก (จากหลักที่ 23 - 70) มีความเห็นตรงกัน จำนวน 33 หลักและมีความเห็นไม่ตรงกัน 15 หลัก

- การประชุม JBC ครั้งต่อ ๆ มา เกิดขึ้นภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 วรรคสอง และต้องดำเนินการตามมาตรา 190 วรรคสาม คือ ต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญา นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนดำเนินการเจรจาด้วย
นับตั้งแต่รัฐสภาให้ความเห็นชอบกรอบการเจรจาดังกล่าว จนถึงเดือนพฤษภาคม 2554 คณะกรรมาธิการร่วมฯ ได้มีการประชุมกันต่อมาอีก 5 ครั้ง ดังนี้

- การประชุม JBC สมัยวิสามัญ (10 - 12 พฤศจิกายน 2551) ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา

- การประชุม JBC ครั้งที่ 4 (3 - 4 กุมภาพันธ์ 2552) ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย

- การประชุม JBC สมัยวิสามัญ (6 - 7 เมษายน 2552) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

- การประชุม JBC (7 - 8 เมษายน 2554) ที่เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย (ผลการประชุมในครั้งนี้อยู่ในรูปแบบของบันทึกการหารือ (Record of Discussion) ซึ่งไม่ได้มีการลงนาม)

- การประชุม JBC ครั้งที่ 5 (13 - 14 กุมภาพันธ์ 2555) ที่กรุงเทพมหานคร ที่ประชุมฯ เห็นพ้องกันที่จะ (๑) ดำเนินการเพื่อเตรียมการสำหรับการสำรวจและเก็บรายละเอียดภูมิประเทศก่อนจะมีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่บริเวณ บ้านหนองเอี่ยน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กับบ้านสตึงบท จังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา โดยกำหนดให้เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของทั้งสองฝ่ายเข้าไปสำรวจพื้นที่ดังกล่าวในวันที่ 5 มีนาคม 2555 ทั้งนี้ ประธาน JBC ฝ่ายไทยย้ำว่า การเปิดด่านดังกล่าวเป็นเรื่องที่จะต้องไม่กระทบกับเขตแดนในบริเวณดังกล่าว จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงร่วมกันในเรื่องที่ตั้งของเขตแดนดังกล่าว (2) ร่วมสำรวจและตรวจสภาพหลักเขตแดนที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ตอนที่ 5 (หลักเขตที่ 1 - 23) หลังจากการสำรวจบริเวณบ้านหนองเอี่ยนเสร็จสิ้นแล้ว และ (3) หารือกันเกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งกำหนดให้เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของทั้งสองฝ่ายหารือกันเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติและการคัดเลือกบริษัทที่จะมาดำเนินการต่อไป

.

การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย – กัมพูชา (General Border Committee - GBC) และการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC)

ไทยและกัมพูชามีความร่วมมือระหว่างกันในการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน

ไทย - กัมพูชา โดยในปี 2538 ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วย ความร่วมมือชายแดน ส่งผลให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ขึ้น

โดย GBC เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีกำหนดจัดประชุมทุกปีโดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ

ในขณะที่ RBC เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค แบ่งออกเป็น 3 คณะกรรมการ ได้แก่ RBC  ด้านกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์) ด้านกองทัพภาคที่ 1 กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนบน (สระแก้ว) และด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด (กปช. จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่าง (จันทบุรีและตราด)

ล่าสุด ฝ่ายไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม GBC ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 29 - 30 ตุลาคม 2553 ที่พัทยา โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเป็นประธานร่วม ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคงทั่วไป อาทิ การสัญจรข้ามแดน แรงงาน การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ ความมั่นคงทางทะเล การกู้ทุ่นระเบิด และความร่วมมือด้านอื่น ๆ อาทิ การค้าชายแดน การเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว  การอนุรักษ์ป่าไม้ การศึกษา วัฒนธรรม และการจัดการสาธารณภัย

ในระดับ RBC ได้มีการประชุมล่าสุดในแต่ละคณะกรรมการ โดย RBC ด้านกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ได้มีการประชุมครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 ที่จังหวัดนครราชสีมาประเทศไทย RBC ด้านกองทัพภาคที่ 1 กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา จัดการประชุมครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 14 - 16 กันยายน 2553 ที่ จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย และ RBC ด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด (กปช. จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 จัดการประชุมครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2553 โดยในระหว่างการประชุมทั้ง 3 คณะกรรมการทั้งสองฝ่ายได้หารือทั้งในประเด็นความมั่นคงบริเวณชายแดนและประเด็นความร่วมมือด้านอื่น ๆ อาทิ การค้า การเกษตร สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว ภายใต้บริบทการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย - กัมพูชา การประชุม GBC และ RBC เป็นหนึ่งในสามกลไกหลักนอกเหนือจาก JBC ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน

.

ที่มา:  จุลสารความมั่นคงศึกษา เส้นเขตแดนไทยกัมพูชา ฉบับที่ 89  ดร.สุรชาติ บำรุงสุข / สิ่งที่คนไทยควรรู้จากกรณีเขาพระวิหาร : กระทรวงการต่างประเทศ

.

ที่มา:  https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/3219/iid/397398

.




« Last Edit: 07 October 2025, 21:52:20 by ppsan » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.062 seconds with 17 queries.