Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:40

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44  (Read 273 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 06 October 2025, 14:04:25 »

จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44


ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
2 ต.ค. เวลา 22:03 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44





จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44

KEY POINTS

● การยกเลิก MOU 43/44 จะทำให้ไทยสูญเสียความชอบธรรมและเครื่องมือทางกฎหมายในการเจรจาบนเวทีโลก และเสี่ยงเปิดช่องให้กัมพูชานำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลก

● MOU ทั้งสองฉบับไม่ใช่ข้อตกลงที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ แต่เป็นกรอบการเจรจาที่สำคัญซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก และเป็นหลักฐานที่ใช้โต้แย้งการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชาได้

● ผู้เขียนเตือนว่าการผลักดันให้ยกเลิก MOU มาจากกระแสชาตินิยมที่คลาดเคลื่อน และเสนอว่าไทยควรใช้การทูตอย่างมีกลยุทธ์โดยรักษา MOU ไว้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่ต้องใช้กำลังเผชิญหน้า

.
นายนิรุตติ คุณวัฒน์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ อดีต Trade Policy Analyst ขององค์การการค้าโลก (WTO) เปิดเผยบทความพิเศษว่า คำปราศรัยของท่านรัฐมนตรีต่างประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา คือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญทางการทูตของไทยที่ผมเชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาข้อพิพาทตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา

หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชาใช้เวทีสหประชาชาติขึ้นกล่าวถ้อยแถลง และพยายามใช้เวทีการประชุม UN เป็นพื้นที่โฆษณาชวนเชื่อว่าไทยซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าเป็นฝ่ายรุกรานก่อน กัมพูชาจึงไม่มีทางเลือกต้องป้องกันตัวเอง ซึ่งเรารู้ดีว่า การเสแสร้งฟ้องชาวโลกโดยการทำตัวเป็นประเทศเล็กๆ ที่น่าสงสาร เป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด

โดนประเทศใหญ่กว่ามารังแก โดนรุกราน และพยายามเรียกร้องให้ทั้งโลกช่วยกดดันและลงโทษไทย - เกิดขึ้นด้วยเหตุผลเดียว คือเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศเท่านั้น

แต่การที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเป็นฝ่ายได้ขึ้นพูดภายหลัง กลับกลายเป็นโอกาสอันดีในการได้ใช้โอกาสนี้ขึ้นไป “แก้ลำ” ปรับสุนทรพจน์ให้มีเนื้อหาที่ “เข้มข้น” มากขึ้น เพื่อโต้แย้งประเด็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนไม่เป็นความจริงของทางฝ่ายกัมพูชาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

ผมเชื่อว่าหลายท่านอาจไป focus ที่การโต้แย้งในมุมที่แหลมคมเช่นเรื่อง การตอบโต้ที่กัมพูชามีท่าทีที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจากการขึ้นมากล่าว speech ด้วยเนื้อหาที่ตรงกันข้ามจากสิ่งที่คุยกันในที่ประชุม 4 ฝ่ายในวันก่อน


นิรุตติ คุณวัฒน์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ อดีต Trade Policy Analyst ขององค์การการค้าโลก (WTO)

หรือการโต้แย้งที่เหมือนการ “เสียบประจานทางการทูต” ที่กล่าวแบบตรงไปตรงมาว่ากัมพูชาชอบทำตัวเป็น victim เพื่อฟ้องประชาคมโลก หรือการบอกเล่าข้อเท็จจริงในอดีต ที่ไทยเราเอื้อเฟื้อเปิดด่านให้ประชาชนกัมพูชาอพยพหนีตายมาตั้งแคมป์อยู่อาศัยในไทยตั้งแต่ช่วงที่กัมพูชามีปัญหาสงครามในประเทศ และมาตั้งรกรากอยู่กันยาวนานจนลืมไปแล้วว่าเป็นดินแดนที่ตัวเองอยู่อาศัยเป็นของใคร ฯลฯ




หากเราพิจารณาในภาพรวม เราจะเห็นได้ว่าทางกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมเนื้อหาของถ้อยแถลงทั้งหมด มาเพื่อ “วางกรอบการรับรู้” (Framing) ให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าไทยอยู่ในฝั่งที่ป้องกันตัวเองไม่ได้เป็นผู้เริ่ม และตอกย้ำว่าไทยมีจุดยืนที่ “ไม่ยอมถอย” เรื่องอธิปไตย และจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกอย่างสันติต่อปัญหาปัจจุบันกับกัมพูชา

แต่ที่เป็น “ทีเด็ดทีขาด” และเป็น Key Message ที่ผมอยากให้ทุกคนมองร่วมกันตรงนี้คือประโยคนี้ครับ

“...วันนี้ ประเทศของเราทั้งสองกำลังเผชิญกับทางเลือกที่ชัดเจน ในฐานะเพื่อนบ้านและมิตรสหาย เราต้องถามกัมพูชาว่าพวกเขาต้องการเลือกเส้นทางใด ระหว่างเส้นทางแห่งการเผชิญหน้าอย่างต่อเนื่อง หรือเส้นทางแห่งสันติภาพและความร่วมมือ - ประเทศไทยเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่าประชาชนของทั้งสองประเทศสมควรได้รับสิ่งเดียวกันนี้

แต่เราตั้งคำถามอย่างแท้จริงว่า กัมพูชามีเจตนาที่จะร่วมมือกับเราในการแสวงหาสันติภาพหรือไม่ - สำหรับประเทศไทย การเจรจา ความไว้วางใจ และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นหนทางสู่อนาคต เราจะยังคงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ในการมีส่วนร่วมกับพันธมิตรทั้งในอาเซียนและประเทศอื่นๆ รวมถึงมหาอำนาจ เพื่อแสวงหาสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างยั่งยืน...”

.
ประโยคนี้มีความเด็ดขาดในตัวเอง เพราะเป็นการขีดเส้นตาย (Red Line) ไว้ชัดเจนว่ากัมพูชาตอนนี้มีสองหนทางให้เลือก จะรบกันไปแบบนี้ หรือจะยอมมานั่งคุยกันดี ๆ

ประโยคนี้เป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อนานาประเทศให้มองเห็นร่วมกันว่า เราคือประเทศที่ไม่ต้องการทำสงครามหรือต้องการไปรุกล้ำดินแดนใคร และใจกว้างพอในฐานะมิตรประเทศที่จะเปิดช่องชักชวนให้กัมพูชาได้ยั้งคิด ตั้งสติกลับมาคุยกันดี ๆ

โดยชี้ให้เห็นอนาคตของทั้งสองประเทศที่ต้องเกื้อหนุนอยู่ด้วยกันไปตลอดในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ย้ายหนีจากกันไปไม่ได้  ซึ่งถือว่าเป็นการวางแนวยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างรอบคอบ มีเหตุผลและสอดคล้องกับผลประโยชน์ในระยะยาว คือมุ่งไปที่การทูตเป็นหลัก (Diplomacy First) พร้อมกับรักษาความสามารถในการป้องกันเป็นปัจจัยต่อรอง (Credible Deterrence) ได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

.
ผมขอย้อนกลับมาที่แนวคิดในเรื่อง “ความมั่นคงแห่งชาติ” (National Security) ซึ่งหากเราไปดูในบริบทของเนื้อหามันจริงๆ ไม่ได้หมายถึงการใช้กำลังทหารเท่านั้น แต่คือการผสมผสานทั้งพลังทั้งด้านแข็งและด้านอ่อน (Hard and Soft Power) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ หากเรามองปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาผ่านเลนส์แนวคิดนี้




จะเห็นได้ชัดว่า การตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือการเร่งเร้าให้มีการเผชิญหน้า ไม่ได้ทำให้เราได้เปรียบ แต่กลับลดทอนพื้นที่ทางการทูตที่เราจำเป็นต้องใช้ในระยะยาวไปอย่างน่าเสียดาย

บางคนอาจตีความว่าการใช้ช่องทางทางการทูตเป็นแนวทางหลักในการเจรจาเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นการแสดงออกของการต่างประเทศที่ “อ่อนแอ” หรือยอมอ่อนข้อ (appeasement) ต่อฝ่ายตรงข้าม และอาจถูกตีความว่าเป็นการเกรงอกเกรงใจจนเสียเปรียบ ซึ่งเปิดช่องให้กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ปลุกกระแสรักชาติแบบสุดโต่งออกมาเรียกร้องการใช้กำลังตอบโต้

ตั้งแต่ใช้กำลังปราบปรามความวุ่นวายตามแนวชายแดน ไปจนถึงการแสดงกำลังทางทหารตอบโต้อย่างรุนแรงเต็มรูปแบบ หรือเลยเถิดไปจนถึงแนวคิดการทำสงครามเพื่อยึดคืนดินแดนที่เคยอยู่ในเขตพิพาทสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทกำหนดเส้นเขตแดน ทำให้ประเด็นนี้ถูกนำไปปลุกกระแสแบบผิดทิศผิดทางจนเสี่ยงจะลุกลามเกินควบคุม

ในมิติด้านความมั่นคงทางทหาร แม้การป้องกันตนเองจะเป็นสิ่งชอบธรรม แต่การเปิดศึกโดยปราศจากกรอบการเจรจารองรับอาจก่อให้เกิดความสูญเสียที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งชีวิตของทหาร ชาวบ้านผู้เคราะห์ร้าย การสิ้นเปลืองงบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ การสูญเสียโครงสร้างพื้นฐานชายแดน ผลกระทบต่อวิถีการใช้ชีวิตของชาวบ้าน ตลอดจนการกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะสงครามไม่ได้จบลงแค่ในสนามรบ

แต่มันจะถูกยกระดับสู่เวทีโลกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบริบทนั้น “ความชอบธรรม” กลายเป็นอาวุธที่สำคัญยิ่งกว่ากำลังทางทหาร ดังนั้นข้อเสนอเชิงดุดันที่ขับเคลื่อนจากอารมณ์มากกว่าการประเมินเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบคอบรอบด้าน จึงเสี่ยงนำไปสู่การลุกลามบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่

ผมเชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากเห็นภาพสงครามยืดเยื้ออย่างที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์ รัสเซีย–ยูเครน หรือตัวอย่างจากประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้ง มาเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเมื่อใดที่ประเทศตกอยู่ในภาวะสงคราม ประตูการเจรจาทางการทูตมักจะถูกปิดลงแทบจะโดยอัตโนมัติ เมื่อช่องทางการเจรจาสันติภาพก็ถูกตัดขาด ก็จะเหลือเพียงหนทางเดียวคือการเผชิญหน้าและสู้รบกันเท่านั้น




ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้ ผมได้รับทราบว่ารัฐบาลมีแนวคิดจะจัดประชาพิจารณ์เรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาในเรื่องการเจรจาเขตแดนทางบก (MOU43) และการเจรจาเขตแดนทางทะเลและพื้นที่เศรษฐกิจทับซ้อนในทะเล (MOU44) ไปพร้อมกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งปี 69 ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า แนวคิดนี้รีบเร่งจนเกินไป และควรมีการทบทวนอย่างรอบคอบเสียก่อนที่จะออกประกาศมาในลักษณะแบบนี้

ผมขอเรียนว่า ผมไม่ได้หมายความว่า MOU ทั้งสองฉบับแตะต้องไม่ได้ หรือยกเลิกไม่ได้ แต่คำถามสำคัญคือ วันนี้ประชาชนเข้าใจ “เนื้อหา ผลกระทบ และทางเลือก” ของ MOU ทั้งสองมากพอแล้วหรือยัง?

ขณะที่ความรู้สาธารณะ (Public Knowledge) ยังอยู่ในระดับจำกัด เรากลับผลักให้คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ต้องมารับผิดชอบตัดสินใจชี้ชะตาในประเด็นที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินได้จากข้อมูลตามกระแสโซเชียลที่ทุกวันนี้ที่คนส่วนใหญ่แทบจะแยกเรื่องจริง (Fact) กับเรื่องแต่ง (Fiction) ยังไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

ลองคิดตามดูนะครับเพียงแค่กระตุ้นวาทกรรมว่า “ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับเพื่อทำให้เราชนะกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศได้” หรือการมองแต่มุมของตัวเองแล้วปักใจเชื่อว่า “MOU ทั้งสองฉบับคือการยอมรับเงื่อนไขที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ” แค่นี้ก็อาจเพียงพอจะปลุกอารมณ์ชาตินิยมให้ลุกลามเกินเลยไปกว่านี้ได้

ที่หนักไปกว่านั้น เริ่มมีขยายไปถึงการกล่าวหาว่าข้อตกลงทั้งสองฉบับ เป็น “MOU ขายชาติ” ใครสนับสนุน MOU ทั้งสองฉบับนี้คือพวกขายชาติ ทั้งที่ข้อกล่าวหาเหล่านี้ตั้งอยู่บนความเข้าใจคลาดเคลื่อน เลื่อนลอยแทบทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่า มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และมีรายละเอียดเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และความมั่นคงซ้อนทับกันแบบแยกไม่ออก แต่หลักการสำคัญที่เราไม่ควรมองข้ามไป และควรมองเป็นจุดแรกก็คือ “เจตนารมณ์ของการจัดทำ MOU”

เนื้อหาของมันมีความชัดเจนมากว่า มันไม่ใช่การยอมจำนน หรือยอมรับเงื่อนไขอะไรใดๆ เพราะเป็นการ “Agree to Negotiate” หรือ “ตกลงกันว่าจะมาเจรจากัน” แค่นั้นเอง ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อสร้างกลไกในการเจรจาสองฝ่ายในการทำ “ขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน” เพื่อแก้ไขปัญหาคาราคาซังในเรื่องเขตแดนที่เราทะเลาะกับกัมพูชามาอย่างยาวนานในอดีต

และที่สำคัญ หลายท่านอาจไม่ทราบว่า การเจรจาในกรอบ MOU ทั้งสองฉบับ ถึงแม้จะใช้เวลาเจรจากันมาเนิ่นนานหลายปีไม่จบเสียที แต่ผลการเจรจากลับมีความคืบหน้าไปได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะ MOU43 ที่กำหนดให้มีการตั้งคณะเจรจาสองฝ่ายขึ้นมา คือ

คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อย่อสั้นๆว่า “คณะกรรมการ JBC – Joint Border Committee” ซึ่งคณะกรรมาธิการร่วมชุดนี้ได้มีการเจรจาสำรวจเพื่อปักปันเขตแดน (Delimitation) ไทย-กัมพูชาตลอดความยาวกว่า 800 กม ให้เกิดการตกลงยอมรับเส้นเขตแดนที่มีความชัดเจนไปมากกว่าครึ่งทางแล้ว




MOU ทั้งสองฉบับนี้จึงเปรียบเสมือนเป็น “กระดุมเม็ดแรก” ที่ต้องกลัดให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะเมื่อกระดุมเม็ดแรกถูกกลัดได้อย่างถูกต้องแล้ว การเจรจาเรื่องอื่น ๆ ในลำดับถัดไปก็จะเหมือนการกลัดกระดุมเม็ดต่อๆ ไป ให้ไล่ไปทีละเม็ดอย่างเป็นระบบ ซึ่งขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ในการ “กลัดกระดุม” หลังจากจากนี้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความยากง่ายของประเด็นเจรจา

ดังนั้น หากเรามองเพียงแค่ว่า “….งั้นยกเลิกไปเลยแล้วกัน เพราะกัมพูชาพูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมทำตาม MOU มีการละเมิดข้อตกลงตลอด…” ก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่เราต้องยิ่งรักษากรอบการเจรจาทั้งสองฉบับนี้ไว้ เพราะมันทำให้เรามีหลักฐานอ้างอิง มีพื้นที่ทางกฎหมายและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่ช่วยทำให้เรามี Narrative และ Dialogue ที่สร้างน้ำหนักในเวทีโลกได้มากกว่าการฉีก MOU ทิ้งเพื่อความสะใจ

ที่สำคัญ การยกเลิก MOU สองฉบับนี้มีความเสี่ยงเป็นอย่างมากที่จะทำให้กัมพูชาได้ช่องนำเรื่องนี้ไปฟ้องศาลโลก เพราะอ้างได้ว่าไทยเป็นฝ่ายฉีกสัญญา ทำให้ไม่เหลือกลไกทวิภาคีให้เจรจาสองฝ่ายได้ ซึ่งกลายเป็นคนไทยซะเอง ที่ช่วยส่งบท “ดาวพระศุกร์ ” ให้กัมพูชาเอาไปเล่นในเวทีโลกได้อีกครั้ง  ซึ่งหากเป็นแบบนี้ เราก็จะไม่มีอะไรในมือไปบังคับเค้าได้แล้ว

อีกหน่อย หากเราต้องขึ้นไปกล่าวถ้อยแถลงของไทยในเวทีโลกอีกครั้ง ต่อให้พูดดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครรับฟัง เพราะเราโยน “ความชอบธรรม” ทั้งหมดที่เรามีทิ้งไปหมดแล้ว เพราะทุกวันนี้ การที่เราถูกท้าทายบนเวทีระหว่างประเทศ

สิ่งที่สร้างความชอบธรรมและใช้โต้กลับกัมพูชาในเรื่องเขตแดนได้อย่างมีน้ำหนักมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ MOU ทั้งสองฉบับนี่เอง เราสามารถชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากัมพูชาละเมิดเงื่อนไขใดในเอกสารนี้ และใช้เอกสารนี้เป็นฐานของการเจรจาทางการทูตเชิงรุกได้ทันที จึงไม่ใช่ภาระหรือบ่วงผูกมัดอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ผมขอบอกเลยว่า ทันทีที่เรา “ตัด” ช่องทางเหล่านี้ทิ้ง เราจะเหลือแค่เพียงสองทางเลือก ปล่อยให้สถานการณ์บีบคั้นจนเกิดการปะทะ หรือปล่อยให้ศาลโลกและชาติมหาอำนาจเข้ามากำหนดชะตาแทนเรา ซึ่งทั้งสองทางต่างไม่ใช่แนวทางที่สร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้เลย

เมื่อพิจารณาร่วมกับมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคง ไปจนถึงมิติด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

เราอาจเห็นได้ว่า ความขัดแย้งที่ถูกปลุกด้วยวาทกรรมชาตินิยมสุดโต่ง ไม่ได้ทำให้ไทย “เข้มแข็ง” ได้เลย แต่กลับทำให้เรา “ตีกรอบล้อมตัวเอง” และเสียต้นทุนทางยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการต่างประเทศโดยใช่เหตุ

หัวใจสำคัญจึงไม่ใช่การเลือกระหว่าง “อ่อนข้อ” หรือ “ปะทะ” แต่คือ การรักษาความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ด้วยสติ เดินเกมการทูตอย่างมืออาชีพ และไม่ทำลายเครื่องมือที่เราจำเป็นต้องใช้ต่อไปในอนาคต เพราะสุดท้ายแล้ว เรากับกัมพูชาคือประเทศเพื่อนบ้านที่หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ และประชาชนสองฝั่งพรมแดนต้องอยู่ร่วมกันต่อไป ไม่ว่าอารมณ์การเมืองจะพยายามผลักให้เราต้องมีการเผชิญหน้ากันอย่างมากแค่ไหนก็ตาม

หากกลับไปอ่านตำราพิชัยสงครามของซุนวู บทที่ว่าไว้เรื่องการโจมตีด้วยกลอุบาย (The Attack by Stratagem) ยุทธศาสตร์สำคัญที่กล่าวไว้ในบทนี้ก็คือ “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเอาชนะศัตรูโดยไม่ต้องรบ” ซึ่งหมายถึง การใช้การวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อการเจรจา การสร้างพันธมิตร เพื่อทำลายแผนการของศัตรูและทำให้ศัตรูอ่อนแอจากภายใน

แทนที่จะเริ่มวางแผนใช้กำลังเข้าสู้รบกันตั้งแต่แรก ซึ่งจะต้องแลกมาด้วยการเสียเลือดเนื้อและทรัพยากร แนวคิดนี้ ถือเป็นแนวคิดเชิงคลาสสิคที่สำคัญของนักวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ และถูกนำมาประยุกต์ใช้กับแนวคิดในการเจรจาทางการทูตมาแล้วนักต่อนัก

ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงไม่ควรวิ่งตามกระแส หรือบ้าจี้ไปกับความสะใจชั่ววูบ แต่เราควรเลือกที่จะยืนในเวทีโลกด้วยความสง่างาม ยืนด้วยหลักการ ยืนอย่างมีเหตุผล ยืนอยู่ในจุดที่ทำให้เรา “ชนะได้โดยไม่ต้องรบ” และ “รักษาผลประโยชน์โดยไม่ต้องปิดประตูเจรจา”




.


ที่มา:
https://www.thansettakij.com/economy/640431
https://www.blockdit.com/posts/68de500916f03f8c032e4af4

.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.08 seconds with 17 queries.