Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:41

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ  (Read 264 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 06 October 2025, 13:58:57 »

เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ


ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
5 พ.ย. 2024 เวลา 17:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ





เปิดเผยเบื้องลึกการเจรจา MOU ไทย-กัมพูชาปี 2544 จากปาก “สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” อดีต รมว.ต่างประเทศ ยืนยันสถานะเกาะกูด และผลประโยชน์แหล่งพลังงานในทะเลอ่าวไทย

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ลงนามเมื่อปี 2544 อาจทำให้ไทยต้องเสียเกาะกูดให้กัมพูชา ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เคยเขียนบทความในจุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 เมื่อเดือนพฤภาคม 2554 เรื่อง พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและการพัฒนาไว้อย่างน่าสนใจ




.
“สุรเกียรติ์” ย้อนรอยปัญหาพื้นที่ทับซ้อน

ดร.สุรเกียรติ์ ระบุว่า ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร เริ่มมีการเจรจาครั้งแรกเมื่อปี 2513 ที่กรุงพนมเปญ แต่ไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

จนกระทั่งปี 2533 ในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-มาเลเซีย จึงพยายามใช้โมเดลนี้กับกัมพูชา แต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากกัมพูชายังมีปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2544 เมื่อ ดร.สุรเกียรติ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ผลักดันให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง จนนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544

.
ประเด็นเกาะกูด : จากข้อพิพาทสู่การยอมรับ
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ดร.สุรเกียรติ์ เน้นย้ำคือเรื่องเกาะกูด ซึ่งก่อนหน้านี้กัมพูชาเคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดกึ่งหนึ่ง แต่ในการเจรจาครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ยืนยันว่าจะยกเลิกข้อเรียกร้องดังกล่าว และยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย โดยแผนผังที่แนบท้ายบันทึกความเข้าใจได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย

"การที่กัมพูชายอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดอย่างเป็นทางการเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ" ดร.สุรเกียรติ์ระบุ พร้อมเสริมว่าในการเจรจา ฝ่ายไทยยังพยายามผลักดันให้เส้นเขตแดนทางทะเลเป็นเส้นตรงไม่ผ่านเกาะกูด เพื่อให้อธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

.
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจ

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้สร้างกลไกการเจรจาที่สำคัญสองประการที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป

1. การเจรจาเพื่อพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน

2. การเจรจาเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลที่ชัดเจน

บันทึกความเข้าใจนี้ กำหนดให้การเจรจาทั้งสองเรื่องต้องดำเนินไปพร้อมกันและแยกจากกันไม่ได้ ซึ่ง ดร.สุรเกียรติ์อธิบายว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มีการเร่งรัดข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์จากทรัพยากรโดยละเลยประเด็นเขตแดน โดยบันทึกความเข้าใจนี้มีกลไกคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยหลายประการ ดังนี้

   -การเจรจาต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
   -ไม่กระทบต่อสิทธิเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายจนกว่าจะมีข้อตกลงสุดท้าย
   -ข้อตกลงสุดท้ายต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
   -มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคเพื่อศึกษาและเจรจารายละเอียด





ความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต

ข้อเขียนของดร.สุรเกียรติ์เมื่อปี 2554 ระบุว่าสถานการณ์ในปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากมีการค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่ทับซ้อน ทำให้บริษัทน้ำมันข้ามชาติหลายแห่งสนใจเข้ามาลงทุนผ่านทางกัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลให้การเจรจาในอนาคตยากขึ้น

"การที่บริษัทข้ามชาติให้ความสนใจพื้นที่นี้ผ่านทางกัมพูชามากขึ้น อาจทำให้การเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ในอนาคตซับซ้อนขึ้น ประเทศไทยจึงควรเร่งผลักดันการเจรจาภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจนี้ให้มีความคืบหน้า" ดร.สุรเกียรติ์กล่าว

แม้ว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างต้องการพัฒนาทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อน แต่ด้วยศักยภาพและความพร้อมของไทยทั้งในด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ และการมีบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นของตนเอง ประกอบกับการที่ไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทำให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย

"บันทึกความเข้าใจนี้เป็นการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความร่วมมือ สร้างกรอบการเจรจาที่ชัดเจนบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และมีการคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยอย่างรัดกุม" ดร.สุรเกียรติ์กล่าวสรุป พร้อมเน้นย้ำว่าการเร่งรัดการเจรจาภายใต้กรอบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และมีผู้เล่นใหม่ๆ ที่สนใจเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น


.
อ่านข้อมูลฉบับเต็ม : พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและการพัฒนา
https://medias.thansettakij.com/media/pdf/2024/BjcSxq7eTLxq7Qod0I85.pdf?_gl=1*16iy182*_ga*MjM0NDE2NDUuMTc1OTY3MDMxMw..*_ga_5G6FRCHQN2*czE3NTk3Mjc4MDAkbzIkZzEkdDE3NTk3MjkyMTkkajYwJGwwJGgw
.

ที่มา:
https://www.blockdit.com/posts/67298c9801730ddc30d5e476       
https://www.thansettakij.com/business/economy/611121

.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.041 seconds with 17 queries.