Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:41

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  ศาลาพักใจ  |  เพลงพาเพลิน  |  อาลัย “ชรินทร์ นันทนาคร” จาก “ทาสเทวี” ถึง “หยาดเพชร” [3]
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: อาลัย “ชรินทร์ นันทนาคร” จาก “ทาสเทวี” ถึง “หยาดเพชร” [3]  (Read 305 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 03 October 2025, 13:59:20 »

อาลัย “ชรินทร์ นันทนาคร” จาก “ทาสเทวี” ถึง “หยาดเพชร” [3]


"สปัน เธียรประสิทธิ์" รักแรกของ "ชรินทร์" ผู้สร้างตำนานทาสเทวีและวิวาห์เหาะแสนอื้ออึง

..

https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000077783

"สปัน เธียรประสิทธิ์" รักแรกของ "ชรินทร์" ผู้สร้างตำนานทาสเทวีและวิวาห์เหาะแสนอื้ออึง
เผยแพร่: 23 ส.ค. 2567 11:41   ปรับปรุง: 23 ส.ค. 2567 11:44   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ชื่อ "สปัน เธียรประสิทธิ์" กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งหลังข่าวคราวการเสียชีวิตของนักร้องชื่อดัง-ศิลปินแห่งชาติ "ชรินทร์ นันทนาคร"อาจจะถูกเอ่ยถึงเพียงสั้นๆ ในฐานะภรรยาคนแรกแต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้วเรื่องราวความรักของเธอกับนักร้องลูกกรุงคนดังนั้นเป็นอะไรที่อื้ออึง โจษจัน และเป็นข่าวดังไปทั้งประเทศเลยทีเดียว

"เล็ก สปัน" เป็นลูกสาวของนายแพทย์เปล่ง เธียรประสิทธิ์ หนึ่งตระกูลดังของบ้านเราที่มีความเชื่อมโยงกับตระกูลใหญ่ในฐานะเครือญาติ ทั้ง โอสถานุเคราะห์, สุโกศล และ สิริวัฒนภักดี

"สปัน" รู้จักกับชรินทร์เมื่อครั้งที่เธอไปซื้อแผ่นเสียงที่ห้าง "กมลศุโกศล" ที่ชรินทร์ทำงานเป็นเสมียนอยู่ ว่ากันว่าในตอนนั้นทั้งสองต่างก็ถูกใจกันตั้งแต่แรกเห็น ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะมีโอกาสตามไปดูฝ่ายชายร้องเพลงในรายการพิเศษรุ่งอรุณตามโรงภาพยนตร์แทบเกือบจะทุกสัปดาห์จนเกิดเป็นความชอบพอ


แต่เพราะฝ่ายหญิงเป็นสาวสวยดีกรีนักเรียนอังกฤษ ผู้นำแฟชัน มีฐานะเป็นหลานพระยา เป็นธิดาเจ้าสัวในกรุงเทพฯ ในขณะที่ไอ้หนุ่มจากเวียงพิงค์แม้พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างแต่ด้วยสถานะนักร้องในยุคสมัยนั้นที่ไม่ต่างอะไรไปจากคนเต้นกินรำกิน ความรักที่ก่อตัวของทั้งสองจึงต้องถูกปิดเอาไว้และเป็นที่มาของบทเพลงทาสเทวีที่มีเนื้อร้องที่ว่า..."เธอเป็นดอกฟ้า รู้ไหมว่าเราเป็นดังทาสเทวี แม้นไม่ปราณีทาสนี้คงระทมอยู่เรื่อยไป"

กระทั่งวันหนึ่งเรื่องราวของทั้งสองก็กลายเป็นข่าวดัง เมื่อจู่ๆ สปันในวัย 23 ปีได้เกิดหายตัวไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย...

หลังได้รับแจ้งความ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจห้องสปันพบเบาะแสสำคัญคือ "จดหมายรัก" 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งส่งมาจากอังกฤษเป็นของ "สมพล ไกรฤกษ์" ว่าที่คู่หมั้น และฉบับที่ 2 จาก "ชรินทร์ งามเมือง" เมื่อได้เบาะแสเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบไปยังบริษัทกมลสุโกศลก่อนพบเรื่องบังเอิญที่ว่าชรินทร์ได้ขอลาหยุดเพราะมีโทรเลขด่วนแจ้งมาจากเชียงใหม่ ทำให้เจ้าหน้าที่มั่นใจว่านี่อาจจะไม่ใช่คดีการลักพาตัว

3 วันนับจากที่บิดาของสปันประกาศให้สินบนนำจับถึง 5 แสนบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เจอตัวทั้งสองคนที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก

ตอนนั้นชรินทร์ถูกคุมตัวนั่งเครื่องบินกลับมาสอบสวนต่อที่กรุงเทพก่อนถูกดำเนินคดีมีปืนเถื่อนไว้ในครอบครองและถูกปล่อยตัวไปหลังฝ่ายหญิงยืนกรานว่าเธอไม่ได้ถูกลักพาตัวแต่ตั้งใจหนีมากับนักร้องหนุ่มเพราะไม่ต้องการเข้าพิธีหมั้นกับหนุ่มนักเรียนนอกในตระกูลไกรฤกษ์ โดยทรัพย์สินที่เธอนำติดตัวมาทั้งสร้อยเพชร แหวนเพชร ต่างหูเพชร มูลค่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วน

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สปันถูกพาตัวไปอยู่บ้านแม่ในกรุงเทพฯ ถูกห้ามอ่านหนังหนังสือพิมพ์ ห้ามฟังวิทยุเพราะไม่ต้องการให้รับรู้เกี่ยวกับตัวฝ่ายชาย อย่างไรก็ตามสุดท้ายชรินทร์ก็รู้จนได้ว่าดอกฟ้าของเขาอยู่ที่ไหนจากการพยายามสืบค้นของนักข่าวคนดังในตอนนั้นอย่าง "สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช"

คราวนี้แผนวิวาห์เหาะรอบสองถูกวางอย่างรัดกุมทั้งเรื่องวิธีการและข้อกฏหมายที่ได้มีการปรึกษากับเพื่อนตำรวจ คืนหนึ่งชรินทร์ก็ขับรถจี๊ปไปบ้านที่เป็นเป้าหมายแถวบางซ่อน บีบแตรเป็นสัญญาณ ไม่นานสปันก็ออกมา ก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับเขา ก่อนที่รถจะถูกขับออกหายไปในความมืด

ชรินทร์กับสปันจดทะเบียนสมรสใช้ชีวิตคู่ด้วยกันนาน 3 ปีมีลูกสาวสองคนคือ ปัญญ์ชลี เธียรประสิทธิ์ และปัญชนิตย์ เธียรประสิทธิ์ ก่อนจะหย่าจากกัน โดยฝ่ายหญิงเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฉบับหนึ่งถึงการเลิกรากันว่า "มากันคนละทิศ ช่วงนั้นคนเขาเริ่มดูถูกเราแล้ว คุณพ่อก็ตัดขาด แต่เราเป็นคนสู้ ใครยิ่งดูถูกเรายิ่งสู้"

หลังหย่าสปันถูกครอบครัวตัดขาด เธอได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับการแฟชันดีไซน์ทำเสื้อแบรนด์ "สปัน" พร้อมเปิดโรงเรียนสอนตัดเสื้อ ไม่ใช่แค่เพียงการเป็นดีไซเนอร์ที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ แต่เธอยังมีความสามารถที่หลากหลายในงานศิลปะ ทั้ง เขียนภาพ การปั้น เคยตั้งทีมฟุตบอลหญิง ตั้งวงดนตรี ฯ

ส่วนชีวิตคู่หลังเลิกกับชรินทร์เธอแต่งงานอีก 4 ครั้ง จัดงานเลี้ยงทุกครั้งแต่ก็ลงเอยด้วยการหย่าร้างกับทุกคน

ทุกวันนี้แม้ร้านสปันจะปิดตัวไปนานแล้ว แต่ผลงานของเธอยังคงมีให้ชมและศึกษาอยู่ที่สปัน แกลเลอรี่ (ศูนย์สปันอารยวัฒนศิลป์) ภายในโรงเรียนนานาชาติชาร์เตอร์ ถนนเฉลิมพระเกียรติร.9 ซึ่งเป็นโรงเรียนของตระกูลเธียรประสิทธิ์นั่นเอง

ปัจจุบันในวัย 90 กว่าปีสปันได้ปรากฏให้เห็นในภาพถ่ายเมื่อช่วงวันแม่ที่ผ่านมาร่วมกับลูกสาวทั้งสองและหลานๆ ของเธอทั้ง แหวนแหวน ปวริศา เพ็ญชาติ และ หวายหวาย ปัญญริสา เธียรประสิทธิ์ ก่อนที่ในอีกไม่กี่วันต่อมาจะปรากฏข่าวการเสียชีวิตของอดีตสามีผู้สร้างตำนานรักดอกฟ้ากับชาวดินให้กับเธอ...

.

ขอขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์
https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000077783

..




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 03 October 2025, 14:09:35 »


สปัน เธียรประสิทธิ์

ฉันเกิดมาตอนพ่อกับแม่แยกทางกัน ฉันเกิดที่ บ้านกุญชร ของ พระยาศรีกฤดากร ซึ่งเป็นคุณตา พ่อทิ้งแม่ไปมีภรรยาใหม่ แม่เสียใจเรื่องพ่อมาก จึงหาทางออกโดยการเล่นไพ่ทุกวัน ภายใน วังบ้านหม้อ ซึ่งเป็นของ เจ้าพระยาเทเวศน์ ซึ่งเป็นทวดของฉันนั้น มีบ้านหลายหลังก็จะเล่นไพ่กันทุกบ้าน เพราะไม่มีทีวีให้ดูหรือไม่มีกิจกรรมอื่นให้ทำ ฉันอยู่ในท้องแม่ถึง 11 เดือน มากกว่าคนอื่น 2 เดือน แต่แม่เล่าว่า แม่ไม่เคยเจ็บท้อง กำลังเล่นไพ่แล้วรู้สึกเมื่อยก็เลยลุกขึ้นเดิน พอก้าวข้ามธรณีประตู ฉันก็หลุดออกมาเลย

เมื่อฉันอายุได้ 3 ขวบ แม่ก็ได้แต่งงานใหม่กับคุณหลวงรักษ์นราธร และได้ย้ายบ้านมาอยู่แถวทุ่งมหาเมฆ พอ 4 ขวบ แม่ก็ได้พาฉันกับพี่สาวไปเข้าโรงเรียนแถวบ้าน อยู่ได้ประมาณ 2 ปี คุณพ่อเลี้ยงก็ถูกย้ายไปเป็น นายอำเภอ ที่ เบตง จังหวัดยะลา เราพี่น้องจึงถูกฝากเลี้ยงไว้ที่โรงเรียน แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ในฐานะอะไร เพราะนอนบนบ้านกับน้องครูใหญ่ แต่กินอาหารเหมือนคนใช้ ฉันต้องรับใช้ครูใหญ่และน้องของครูอีก 2 คนทุกอย่าง เพราะพี่สาวฉันเป็นคนอ่อนแอ ไม่พอใจอะไรก็เป็นลมชัก จึงไม่มีใครกล้าใช้ให้ทำอะไร แถมฉันยังต้องคอยดูแลปกป้องเธออีกด้วยเมื่อมีใครมารังแก แต่พี่สาวก็ทำให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป เพราะปีหรือสองปี จะได้เจอหน้าแม่สักครั้ง

พออายุราว 7 ขวบ เราสองคนก็ย้ายเข้าไปประจำอยู่ที่โรงเรียนวัฒนา ซึ่งอยู่ใกล้บ้านคุณป้า คุณป้าจะมารับเราไปอยู่บ้านตอนปิดเทอมปีละครั้ง คุณป้าดุมาก เจ้าระเบียบที่สุด ส่วนฉันก็ซนมาก เลยมักถูกตีถูกทำโทษเสมอเมื่อปิดเทอมใหญ่ แม่จะพาฉันไปอยู่บ้าน บรรทมสินธุ์  (บ้านพิษณุโลก) ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าพระยาอนิรุทธเทวา ซึ่งแม่เรียกท่านว่า "พ่อ" ตลอด เมื่อครั้งที่คุณตาและคุณยายของฉันแยกทางกัน ในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้รับคุณลุงซึ่งเป็นพี่ชายคนเดียวของแม่ และ แม่เข้าอยู่ในพระอุปถัมภ์ของพระองค์

โดยให้ เจ้าพระยารามราฆพ ดูแลคุณลุงเทวมิตร และ แม่อยู่ในความดูแลของ เจ้าพระยาอนิรุทธเทวา เวลานั้นฉันคิดว่าท่านเป็นตาแท้ๆของฉัน เพราะท่านรักและเอ็นดูฉันมาก เพียงชั่วข้ามคืน จากคนที่เหมือนจะเป็นเด็กคนใช้ที่โรงเรียน กลายมาเป็นเจ้าหญิง ซึ่งเหล่าข้าราชบริพารพากันยกย่องว่าเป็น คุณหนูเล็ก ช่วงปิดเทอมที่นั่นเหมือนอยู่สวรรค์ มีคนตามใจ มีคนอาบน้ำให้ ทุกๆสองสามวัน แม่ก็จะพาไป "บ้านนรสิงห์" เพื่อเยี่ยมเจ้าพระยารามราฆพและคุณลุงครั้นเมื่อใกล้ถึงวันกลับเข้าเรียน หัวใจฉันก็เริ่มฝ่อ เมื่อคิดว่าจะต้องกลับไปอยู่ในสภาพคนใช้อีก นี่หรือชีวิตฉัน ช่างสับสนเสียเหลือเกิน......

ฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่า คุณย่ากับคุณยายฉันเป็นพี่น้องกัน มีแม่นมคนเดียวกัน นอนตักแม่นมกันคนละข้าง แต่ภายหลังคุณย่ากับคุณยายไม่ถูกกัน เนื่องจาก คุณยายได้เป็นคุณหญิง เป็นภรรยาเจ้าคุณ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 6 แต่งงานให้แต่ย่าผู้เป็นพี่แต่งงานกับพ่อค้า คุณยายไม่เคยมาเยี่ยมคุณย่า คุณย่าตัดขาดไม่นับพี่น้อง ฉะนั้น คุณพ่อของฉันจึงไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณป้านั่นเอง เมื่อผู้ใหญ่ทราบว่าคุณพ่อกับคุณแม่ฉันรักกัน คุณย่าเกลียดแม่ฉันมาก เพราะแม่ไม่ยอมลงให้ พยายามจับแยก คุณย่าไปเชียร์ผู้หญิงคนใหม่ให้พ่อ
แม่ยิ่งแค้นมาก วันหนึ่งแม่บังเอิญไปเจอคุณย่าที่สำเพ็ง จึงแกล้งชนคุณย่าจนตกฟุตบาท (เรื่องนี้คุณย่าเล่าให้ฟังแล้วฟังเล่า จนฉันติดหู)เมื่อเป็นญาติกัน คุณป้าจึงสงสาร ได้ติดต่อให้พ่อมารู้จักมาเจอลูก ฉันจำพ่อไม่ค่อยได้แต่ก็ดีใจมากที่มีพ่อ พ่อพาไปซื้อของที่ห้างไวท์เวย์ คนชั้นสูงและรวยเท่านั้นถึงจะเข้าได้ เพราะแพงมาก คุณพ่อซื้อตุ๊กตาลืมตาหลับตาได้ให้ฉัน ซื้อเปียโนอันเล็กๆแต่กดเป็นเพลงได้ให้พี่ใหญ่ ครั้นพอปิดเทอมคุณป้าก็มารับฉันไปอยู่ที่บ้านตามปกติ แต่ต่อมาภายหลังเกิดเหตุการณ์ซึ่งทำให้ฉันกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง นี่ก็เป็น ชีวิตช่วงวัยเด็กของคุณสปันฯ .... โปรดหาอ่านได้จากหนังสือ  "ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย" ของ สปัน เธียรประสิทธิ์ จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบ 7 รอบ

คุณสปันฯ ผ่านมรสุมชีวิตมามากมาย ถูกคนนินทา หมาดูถูก มาเต็มๆ ตอนเลิกร้างกับคุณชรินทร์ฯ และกลับเข้าบ้านเดิมไม่ได้ เธอเริ่มร้านตัดเสื้อสปัน ที่ต่อมาดังข้ามทวีปด้วยการขอใช้โรงรถที่บ้านคุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ พี่เขย เป็นที่ทำงานและที่พักพิง เธอมีจักรคันเดียว ตัดเอง เย็บเอง ปักเอง ลูกสาวโตแบบตามมีตามเกิดในร้าน

ต่อมาเปิดโรงเรียนสอนตัดเสื้อ มีลูกศิษย์เยอะมาก เป็นคนหาเงินเก่ง ทำงานดึกแต่อดออม ลูกสาวทั้งสองตอนไปเรียนที่นิวซีแลนด์และอเมริกา ก็หาเงินพิเศษด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟ เพียง 10 ปี ทั้งที่ในเวลาต่อมามีฐานะตั้งตัวได้ แต่ยังประหยัดมาตลอด เธอเก่งจนมีผลงานโชว์ในฮอลลี่วู๊ด มีผูุ้สัมภาษณ์เธอออกรายการทีวีในอเมริกาในฐานะดีไซเนอร์ ผู้ประสบความสำเร็จจากไทยและยังได้เดินทางทั่วโลก           

ร้านสปันปิดกิจการไปนานแล้ว แต่ผลงานยังอยู่ในความทรงจำ เธอเคยตั้งทีมฟุตบอลหญิง ตั้งวงดนตรี เขียนภาพบนผ้าไหมจีน มีบ้านให้เช่าหลายหลัง และรับจ้างแต่งสวน แถมยังเป็นโหรที่ทายทักแม่นยำอีกบทบาท นับว่าเป็นผู้หญิงแกร่งท่านหนึ่งที่น่าชื่อชม อดทนและใช้ความรู้ความสามารถในการสร้างตนเอง

.

สปัน เธียรประสิทธิ์









.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.054 seconds with 17 queries.