ppsan
|
 |
« on: 09 June 2025, 10:29:05 » |
|
สวนรถไฟ : กระเต็นหัวดำ

เดือนแห่งนกอพยพ เรามีโปรแกรมทุกสัปดาห์ มาสวนรถไฟบ่อยมาก เริ่มต้นจากไปเฝ้าบ่อกระเต็นหลังห้องน้ำ นั่งรออยู่นานไม่พบการเคลื่อนไหว ออกเดินวนรอบบ่อ ถึงตรงที่นกลง พบว่ามีช่างก่อสร้างสองคนนั่งคุยกัน จบข่าว ไปกันต่อที่ดงต้นสนที่เคยมีคนบอกว่า ตรงนี้มีนกเค้าแมว เลี้ยวผ่านเข้าไปใจก็ชื้น มีคนกลุ่มหนึ่งตั้งกล้องขึ้นไปบนต้นไม้ เราเข้าไปเงียบๆ ยกกล้องสองตาส่องดูนกเค้ากู่เรียงกันอยู่ 4 ตัว อ้าวไหนเคยบอกว่าตรงนี้มีเค้าแมว แห้วนกใหม่ไปอีกหนึ่งกรุบ ไม่ไกลกันนัก ที่เคยเล่าว่าเจอนกจาบคาลงเล่นน้ำ ตอนนี้ก็บ่าย คนกลุ่มหนึ่งตั้งกล้องถ่ายอะไรสักอย่าง น่าจะรอจาบคามั้ง เราไม่ได้ถามอะไรแต่ก็นั่งรอกับเค้า แห้วมาตลอดทางแล้วนี่ ไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้แล้ว สักพักหลายคนก็ลุกเดินไป
พอดีมีพี่ที่เคยเจอกันเดินมาเลยรู้ว่าเค้ามาเฝ้านกกระเต็นน้อยกัน แต่ว่ามันบินไปทางโน้นแล้ว เราขี้เกียจเดินไป เพราะไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ระหว่างที่นั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียว ก็เห็นนกอะไรบินโฉบลงมา น่าจะเป็นนกกระเต็นหัวดำ เราส่องหาแต่ว่าต้นไม้รกมาก
นั่งรอมันลงใหม่ พี่ที่เคยเจอกันก็มาถามว่ามองหาอะไร เราก็บอกไปว่ากระเต็นหัวดำ หลายคนก็เลยกลับมาเฝ้า ในที่สุดก็สมหวัง ได้นกใหม่มาเป็นรางวัลในวันนี้

กระเต็นหัวดำ (black-capped kingfisher) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า H. pileata เป็นนกกระเต็นที่อยู่ในสกุล Halcyon ที่มี 12 สายพันธุ์ ในบ้านเราพบอีกชนิดหนึ่งนั้นคือ กระเต็นแดง (Ruddy kingfisher) กระเต็นหัวดำถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดย Georges-Louis Leclerc เคาท์แห่งบูฟอง นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี 1780 ในหนังสือชื่อ Histoire Naturelle des Oiseaux
มีการนำคำบรรยายไปเขียนเป็นภาพสีโดย François-Nicolas Martinet ในหนังสือชื่อ Planches Enluminées D'Histoire Naturelle ได้รับการตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ โดยนักธรรมชาติชาวดัชต์ Pieter Boddaert ในปี 1783 ระบุว่าสถานที่พบคือ ประเทศจีน
เป็นนกกระเต็นขนาดกลาง มีปากขนาดใหญ่สีแดง หลังสีน้ำเงิน อกสีขาว ลักษณะเด่นตามชื่อคือมีหัวสีดำคล้ายกับคนใส่หมวกแก๊ป มีถิ่นอาศัยแถบปากแม่น้ำ ป่าโกงกางตามแนวชายฝั่ง ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ และข้ามไปที่ชายทะเล ตะวันออกของจีนแถบกวางตุ้ง ฮ่องกง และไหลำ อีกส่วนหนึ่งเป็นนกกลุ่มเหนืออาศัยอยู่ในตัวทวีปตามริมแม่น้ำ ในพม่าตอนเหนือ จีนในเขตยูนนาน กวางโจว หูหนาน หนิงเซี่ย เหอเป่ย ฟูเจี้ยน ชานตง อานฮุย และคาบสมุทรเกาหลี พอถึงฤดูหนาว นกกลุ่มนี้ก็จะอพยพลงมายังเกาะญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศที่เป็นหมู่เกาะต่างๆ หนังสือของ Sharpe, R. B. ชื่อ A monograph of the Alcedinidae : or family of Kingfisher ตีพิมพ์ในปี 1871 บรรยายเรื่องถิ่นที่อยู่ Mr. Blyth กล่าวว่าพบมากที่ปากแม่น้ำของบังคลาเทศฝั่งตะวันออก และพบบ้างทางทิศตะวันตก คาบสมุทรมาลายา และประเทศจีน
 https://www.researchgate.net/profile/Andrea-Manica/publication/255959439/figure/fig6/AS:669657107292175@1536670104581/Example-of-the-distribution-of-a-migratory-species-Black-capped-Kingfisher-Halcyon.ppm
Swinhole กล่าวว่าเป็นนกประจำถิ่นพบที่กวางตุ้ง และแม่น้ำแยงซี และกัปตัน Briggs ได้ส่งตัวอย่างนกนี้จากทวายไปให้ Mr. Gould Schomburgk กล่าววว่าชาวจีนใช้ขนของนกชนิดนี้ทำพัด เช่นเดียวกับชาวสยาม และกัปตัน Beaven กล่าวว่า นกชนิดนี้พบมากที่หมู่เกาะอันดามันของอินเดีย ผู้เขียนกล่าวว่า เค้ามีตัวอย่างนกชนิดนี้ 3 ตัว ยิงมาได้จากปีนัง และมีตัวอย่างนกอีกตัวหนึ่งจากซาราวักได้มาจาก Mr. Wallace ปากของมันดูสั้นและอ้วนกว่า ลำตัวด้านล่างมีสีเข้มกว่านกจากปีนัง แต่จากการวัดขนาดลำตัวนั้นพบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งหมดนี้บอกอะไรเรา หนังสือเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2414 หรือต้นรัชกาลที่ 5 และอาจจะย้อนเรื่องไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ทำให้เห็นว่านกชนิดนี้เคยเป็นนกประจำถิ่นที่อาจพบได้ในไทย พม่าตอนล่าง ลงไปถึงมะละกา แต่ปัจจุบันพวกมันนั้นหายไป จะเป็นการล่าเพื่อเอาขนไปทำพัด แบบในหนังสือเล่าไว้หรือเปล่า
ในบันทึกของจีนกล่าวถึงของบรรณาการจากละโว้ว่า มีทองคำ งาช้าง นกกระเรียน นกแก้วห้าสี นอระมาด อำพันทอง และขนนกกระเต็น พวกเค้าล่ามันมาได้อย่างไร
 https://en.wikipedia.org/wiki/Tian-tsui#/media/File:Chinese_kingfisher_tiara.jpg
บันทึกของโจวต้ากวนที่เข้ามาเมืองพระนครได้บันทึกไว้ว่า นกกระเต็นนั้นค่อนข้างจับยากในดงทึบมีบึง และในบึงมีปลา นกกระเต็นบินออกจากดงเพื่อหาปลาเป็นอาหาร ชาวพื้นเมืองเอาใบไม้คลุมร่างของตนไว้แล้วนั่งอยู่ริมน้ำ
มีกรงใส่นกกระเต็นตัวเมียไว้ตัวหนึ่ง เป็นนางนกต่อ และมือถือร่างแหเล็กๆ ไว้ คอยให้นกมาก็ครอบร่างแหลงไป วันหนึ่งๆ จับได้ 3 หรือ 5 ตัว บางวันจับไม่ได้เลยก็มี แล้วราชสำนักจีนนำไปใช้อะไร กล่าวกันว่า ชาวจีนนิยมขนสีฟ้า ของนกกระเต็นมาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน ในสมัยราชวงศ์หาน วิธีการคือ ตัดขนนกกระเต็นออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วติดบนเครื่องประดับศีรษะเรียกว่า เทียนซุ่ย
และนิยมเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในสมัยราชวงศ์ถังที่มีบันทึกถึง ขนนกกระเต็นที่เป็นเครื่องบรรณาการของละโว้และเป็นสินค้าจากเมืองพระนคร ความแพงของมันนั้น มีบทกวีที่กล่าวถึงว่า เครื่องประดับศรีษะที่สตรีสวมใส่นั้น มีค่าเท่ากับเงินภาษีที่เก็บได้มาจากหลายตำบลเลยทีเดียว
ความนิยมนั้นต่อเนื่องถึงราซวงศ์ชิงจนถึงในช่วงปลายราชวงศ์ ที่อำนาจการปกครองนั้นเริ่มอ่อนแอลง จากเครื่องประดับที่ใช้ราชสำนัก ที่การครอบครองบังคับเข้มงวด การเป็นเครื่องประดับของชาวบ้าน และขายให้กับนักท่องเที่ยว
 https://en.wikipedia.org/wiki/Tian-tsui#/media/File:Tian-tsui_(kingfisher_feather)_hair_pins.jpg
มีโรงงานจำนวนมากในกวางตุ้งที่ตั้งขึ้นเพื่อผลิตสินค้าเช่น ปิ่นปักผม จนกระทั่งถึงช่วงที่รัฐบาลนั้นมาจากพรรคคอมมิวนิสต์ มีการสั่งห้ามและประกาศให้นกกระเต็นเป็นสัตว์อนุรักษ์ โรงงานเทียนซุ่ยแห่งสุดท้ายปิดตัวลงในปี 1933
แต่คนที่เคยทำเป็นนั้นก็ยังคงมีความรู้อยู่ จนกระทั่งถึงช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ที่ให้ชาวจีนทุกคนนั้นละทิ้งทุนนิยมไปอย่างสิ้นเชิง ศิลปะการทำเทียนซุ่ยจึงถูกลบเลือนออกไปจากประเทศ
แล้วทำไมต้องสีฟ้า ส่วนตัวเชื่อว่ามันเป็นสีที่ทำขึ้นมาได้ยาก กว่าภาพท้องฟ้าในจิตกรรมไทยจะเป็นสีฟ้าก็เมื่อปลายรัชกาลที่ 3 แม้สีฟ้าที่ผลิตมาจากหินในธรรมชาติ จะถูกค้นพบมาตั้งแต่ในสมัยอียิปต์ แต่มันก็เป็นของที่มีราคาแพงมาก นิยมใช้ในชนชั้นสูงเท่านั้น เมื่อเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูวัฒนธรรม ในสมัยเรเนสซองก์ สีฟ้าเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ทำให้ฝรั่งเศสประกาศว่า ใครก็ตามที่สังเคราะห์สีฟ้าขึ้นมาได้ จะมีรางวัล 6,000 ฟรังก์ ในที่สุดในปี 1826 ก็มีคนได้สำเร็จ ชื่อว่าสี Ultramarine กลับมาที่ในตอนท้ายของหนังสือที่กล่าวถึง นกที่แปลกๆ พบในซาราวัก ในขณะที่เชื่อกันว่ากระเต็นหัวดำเป็นสายพันธุ์เดี่ยว ไม่มีสายพันธุ์ย่อยนั้น ในหนังสือของ Hachisuka ชื่อ The Birds of the Philippine Islands: with Notes on the Mammal Fauna (1931–1935) หน้าที่ 142 นอกจาก H. pileata, Boddaert 1783 ยังมีการกล่าวถึงนกอีกตัวหนึ่ง

Palawan Black–caped kingfisher (H. p. palawanensis) ตัวอย่างเป็นของ Lord Rotchchild ได้จากเมือง Balabac เกาะปาลาวัน เก็บอยู่ที่ American museum of National History เมือง New York มีการบรรยายลักษณะไว้ พบว่าไม่ได้แตกต่างจากสายพันธ์หลัก
แต่ขนาดตัวนั้นเล็กกว่า ปีก 127 หาง 77 ปาก 56 ขา 14 นิ้วกลาง 26 ขณะทีกลุ่มหลัก ปีก 127-133 หาง 83-88 ปาก 57-65 ขา 15 นิ้วกลาง 27 ในหนังสือนี้ยังกล่าวว่า นกที่บอร์เนียวและสุมาตราไม่มีแตกต่างเช่นกัน แต่นกจากเกาะไหหลำ เก็บโดย Katsumatra มีขนาดตัวใหญ่กว่า โดยมีขนาดของปีก 137 นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างที่อยู่ในของสะสม ของ Lord Rotchchild อีก 8 ตัวที่เก็บมาจากเกาะไหหลำ พบว่าปีกนั้นมีขนาดใหญ่เช่นกัน (137) และสีของปากนั้นเข้มกว่า แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า นกชนิดนี้มีความแตกต่างกัน จนสามารถตั้งขึ้นได้เป็นสายพันธุ์ย่อย แต่ที่แน่ๆ เราสามารถกล่าวได้ว่า พวกมันเคยเป็นนกประจำถิ่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน ก่อนที่จะถูกล่าอย่างหนัก เพื่อนำขนไปทำเครื่องประดับ จนไม่พบการทำรังวางไข่อีกเลย มีการประมาณว่าทั่วโลกมีนกกระเต็นหัวดำเต็มวัยอยู่ประมาณ 10,000 ตัว และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ ในสถานที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำรังในประเทศจีนและคาบสมุทรเกาหลี ความเสี่ยง จัดอยู่ในสถานะถูกคุกคามระดับ 1 (vulnerable) ระดับเดียวกับแต้วแร้วนางฟ้า ที่เราเขียนไปก่อนหน้านี้แล้ว
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2024&date=08&group=22&gblog=106 .
|