ppsan
|
 |
« on: 07 June 2025, 10:03:00 » |
|
กรมประชาสัมพันธ์ : นกจับแมลงสีน้ำตาล

ย้อนกลับไปในช่วงสงกรานต์ เราไปตามหาแต้วแร้วนางฟ้า ที่พุทธมณฑลแต่ว่าไม่เจอ แผนสำรองคือไปที่กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีข่าวว่ามีคนถ่ายนกจับแมลงหลังเขียวได้ เคยมีบุญวาสนาได้เจอนกจับแมลงตะโพกเหลือง เมื่อมีนกจับแมลงที่ยังไม่เคยได้มา ต้องอยากไปแน่ๆ จากสถานี BTS อารีย์ เดินฝ่าแดดยามเที่ยงของเดือนเมษายน จนไปถึงสวนสาธารณะกรมประชาสัมพันธ์ ดูแล้วมีขนาดเล็กมาก สอดส่องมองหา มีแต่นกธรรมดาอยู่นิดหน่อย ถอดใจเลยทีนี้ ไม่รู้จริงจุดที่เค้าถ่ายได้มันอยู่ที่ไหน แห้วซ้ำซ้อนเลย เมื่อเปิดดูรูปที่โหลดออกจากกล้อง ตอนที่ถ่ายมาคิดว่าเป็นปรอดสวน เพราะเห็นนกสีน้ำตาลทั้งตัว แต่สังเกตุใต้ปากเป็นสีส้มที่ไม่คุ้นตา จนซึ่งปัญญาเข้าไปโพสต์ถามในกลุ่มที่เค้าเชี่ยวชาญสายนกสีน้ำตาล ก็ได้รับคำตอบที่พอชื่นใจ เป็นนกอพยพมาจากไซบีเรีย ชื่อว่า นกจับแมลงสีน้ำตาล แต่สงสัยว่าทำไมภาษาอังกฤษเรียกว่า asian brown flycatcher ล่ะ แปลว่าต้องพบครั้งแรกในเอเชียเป็นแน่ ซึ่งเราไม่ควรเป็นคนขี้สงสัย เพราะเรื่องนี้จะพาลงไปในความลึกลับของนกสีน้ำตาล ที่แสนจะธรรมดาตัวนี้ อย่างยาวนานเป็นสัปดาห์

ชื่อนกวงศ์ (family) Muscicapidae ตั้งขึ้นโดย John Flemming นักธรรมชาติวิทยาชาวสกอต ในปี 1822 มาจากภาษาละตินสองคำ Musca ที่แปลว่า แมลง และ capere ที่แปลว่า จับ โดยขยายให้ครอบคลุมสกุล (genus) Muscicapa เดิมที่ตั้งโดย Mathurin Jacques Brisson นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี 1760 ปัจจุบันแยกออกเป็น 3 sub spp. ได้แก่ Muscicapa dauurica dauurica มีแหล่งผสมพันธ์ในไซบีเรียตะวันออก มองโกเลียเหนือ จีนตะวันออก เกาหลี และญี่ปุ่น และอพยพหนีหนาวลงมาพบได้ตั้งแต่ จีนตอนใต้ เกาะไหหลำ ไต้หวันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงพม่าตะวันตก ฟิลิบปินส์ และเขตซุนดราใหญ่ นอกจากนี้ยังมีนกประจำถิ่นอีกสองชนิด M. d. poonensis อาศัยอยู่ในปากีสถานตอนเหนือ ภูฐาน และอินเดีย และ M. d. siamensis อาศัยอยู่ในแถบตะนาวศรีของพม่า ภาคเหนือและตะวันตกของไทย พบใต้สุดที่เพชรบุรี และตอนใต้ของเวียดนาม ปัจจุบันชื่อของนกจับแมลงสีน้ำตาลกลุ่มหลักนั้นยังไม่เป็นที่ยุติ ส่วนใหญ่ใช้ Muscicapidae dauurrica dauurrica, Pallas 1811 และยังมีส่วนน้อยที่ใช้คำว่า Muscicapidae latiostis, Raffles 1822
 31/1/2568 กาญจนบุรี
Peter Simon Pallas เกิดในปี 1741 เป็นบุตรชายของศัลยแพทย์ในเบอร์ลิน อายุเพียง 19 ปี ก็เรียนจบแพทยศาสตร์ แต่ในอีกด้านเค้าก็มีความสนใจ ในด้านธรรมชาติวิทยาปี 1767 ได้รับเชิญจากพระนางแคทเธอลีนที่สอง แห่งรัสเซีย ให้ไปเป็น Professor ที่มหาวิทยาลัย St. Pertersburg ในปี 1768 ถึงปี 1774 ได้เป็นหัวหน้าคณะสำรวจเดินทางไปยัง ตอนกลางของรัสเซียเลยไปจนถึงแถบไซบีเรีย ได้แก่เทือกเขาอูราล เทือกเขาอัลไตทะเลสาปไบคาล แม่น้ำอามูร์ และทรานส์ไบคาลที่เป็นเทือกเขาที่นับจาก ทะเลสาปไบคาลไปจนถึงสุดขอบตะวันออกไกลของรัสเซีย ส่วนหนึ่งของบริเวณนี้เป็นพื้นราบที่ชาวเมือง nomadic เรียกว่า Dauria ความสวยงามของบริเวณนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นที่มาของคำว่า Dauurrica ของชื่อสายพันธุ์นกชนิดนี้ เมื่อกลับมาที่รัสเซียเค้าเป็นที่โปรดปรานของพระนางแคทเธอรีน โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ผู้สอนบุตรหลานในราชวงศ์รัสเซีย ปี 1784 ได้เริ่มเขียนหนังสือเรื่อง Flora Rossica ปี 1793 ถึงปี 1794 เค้าได้ออกเดินทางสำรวจอีกครั้ง ไปยังแถบไครเมีย และทะเลดำ เมื่อกลับมาถึง St. Petersburg เค้าได้ชื่นชมความงามให้พระนางแคทเธอลีนฟัง พระองค์ได้พระราชทานบ้านอันใหญ่โตที่เมือง Simferopol ให้ ปี 1799-1801 เขียนหนังสือภาษาเยอรมัน Pallas's remarks on a trip to the southern governorships of the Russian Empire เค้าอาศัยอยู่กับภรรยาคนที่สองจนเธอเสียชีวิตลงในปี 1810 หลังจากเหตุการณ์นี้จึงได้รับการอนุญาตให้กลับไปบ้านเกิดที่เยอรมัน และเสียชีวิตลงที่เมืองเบอร์ลินในปี 1811 จากการสำรวจที่ไซบีเรียได้มีการออกยังมีหนังสืออีกหนึ่งเล่มชื่อ Zoographica Rosso-Asiatica ความหนา 600 หน้า ด้วยภาษาละติน ที่ได้เขียนถึงนกที่ชื่อ Muscicapidae grisola ß variety dauurrica โดยปีที่หนังสือนี้ออกมาคาดว่าอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1811-1831
 15/9/2567 วัดเทียนถวาย
Alfred Russel Walalce นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ระหว่างปี 1854-1862 ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อศึกษาธรรมชาติ และเป็นต้นกำเนิดทฤษฏีที่เรียกว่า natural selection การเดินทางนี้รวมถึงพื้นที่มาลายา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ตลอดการสำรวจสามารถเก็บตัวอย่างได้กว่าแสนรายการ ส่งไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ประเทศอังกฤษ ในปี 2013 ศูนย์วิทยาศาสตร์สิงคโปร์จะจัดนิทรรศการชั่วคราว เพื่อเป็นการให้เกียรติกับ Walllace และจะกลายเป็นส่วนการจัดแสดงถาวร ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งใหม่ของสิงคโปร์ ในปี 2014
ระหว่างการจัดเตรียมงานมีการค้นพบตัวอย่างนกสีน้ำตาล ที่ Raffles Museum of Biodiversity Research โดยตรงป้ายนั้นเขียนว่า Muscicapidae latiostis, Raffles 1822 เป็นลายมือที่สามารถระบุได้ว่า เขียนโดย Walllace
M. latiostis ตั้งชื่อโดย Sir Thomas Stamford Bingley Raffles ผู้ว่าการบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ในช่วงปี 1811-1816 เป็นรองผู้ว่าการเขตสุมาตราของอังกฤษ ในช่วงปี 1818-1822 และเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาเกาะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้าของอังกฤษ
ปริศนาของเรื่องนี้ก็คือ ไม่เคยมีหลักฐานว่า Wallace ได้มอบตัวอย่างใด ให้พิพิธภัณฑ์ที่สิงคโปร์ การสืบค้นเรื่องราวนำมาซึ่งการคลีคลาย การเดินทางอันแสนจะยาวนานของนกจับแมลงสีน้ำตาลดัวนี้ ที่สรุปได้ว่าในปี 1862 หลังจาก Wallace กลับไปถึงประเทศอังกฤษ
เค้าได้รับซื้อรับซื้อตัวอย่าง Asian brown flycatcher ที่ถูกส่งมาทางเรือ จากวิศวกรชาวอังกฤษที่เข้ามารับจ้างคุมการขุดเหมืองในมาลายา หลังจากนั้นตัวอย่างนกตัวนี้ได้ถูกขายไปเป็นทอดๆ จนในที่สุดก็ตกไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในเยอรมันนี
ต่อมาในราวปี 1930 ได้มีการแลกเปลี่ยนตัวอย่างกับพิพิธภัณฑ์ราฟเฟิล นำมาสู่การค้นพบตัวอย่างนกสีน้ำตาลตัวนี้ในปี 2012 เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ตัวอย่างนกตัวหนึ่งที่จากถิ่นฐานไปหลายสิบปี ในที่สุดก็ได้กลับบ้าน
 27/10/2567 วัดญานเวศกวัน
แม้งานสำรวจของ Pallas จะเก่ากว่าการพบตัวอย่างของ Raffles แต่ความไม่แน่นอนของปีที่ตีพิมพ์หนังสือ Zoographia Rosso-Asiatica ทำให้ตลอดมาเชื่อว่า นกจับแมลงสีน้ำตาลพบครั้งแรกที่สุมาตรา่ ในปี 1822 จึงใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Raffles เป็นหลัก
ปี 1909 มีผู้ยิงนกจับแมลงสีน้ำตาลได้ในอังกฤษ เบื้องต้นถูกสันนิษฐานว่าเป็นนก pied flycatcher ชนิดที่ไม่เต็มวัย ที่พบได้ทั่วไปในยุโรป แต่เมื่อส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญ มันถูกจำแนกว่า เป็นนกจับแมลงสีน้ำตาล Muscicapa latirostris, Raffles ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับวงการนักปักษีวิทยาว่า เป็นไปได้อย่างไรที่จะพบ asian brown flycatcher ในยุโรป เพราะสถานที่ที่พบนกชนิดนี้ ใกล้ที่สุดคืออนุทวีปอินเดีย
จากเหตุการณ์นี้เป็นไปได้ว่า มันอาจจะมาจากไซบีเรีย หลังปี 1930 จึงจะมีผู้ที่เริ่มจะเชื่อว่า ผู้ที่ค้นพบนกชนิดนี้คนแรกคือ Pallas ไม่ใช่ raffles จึงมีการใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์สองชื่อคู่กันมาโดยตลอด ปี 1985 มีการเก็บตัวอย่างนกจับแมลงสีน้ำตาลจากเกาะ Attu หมู่เกาะอลูเชียนไปไว้ที่ museum of Alsaka university ให้เลขรหัสว่า UAM 5245 ในปี 1995 Banks and Browning ใช้ตัวอย่างนี้เพื่อพิจารณาว่า นกชนิดนี้ในทางอนุกรมวิธาน ตรงกับ Muscicapidae latirostis, Raffles 1822
จึงมีการยอมรับชื่อทางวิทยาศาสตร์ของนกจับแมลงสีน้ำตาล ที่อาศัยยอยู่ทางไซบีเรียและอพยพลงใต้ในฤดูหนาวว่า M. d. dauurrica, Pallas 1811 แต่ชื่อสามัญ Asian brown flycatcher ก็ยังคงเดิม
แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นยุติยังมีการ correction ชื่อนกตัวนี้ ในวารสารอนุกรรมวิธานและรายชื่อนกสากลในแต่ละภูมิภาค จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
 https://flickr.com/photos/140734051@N08/41660215722
ในขณะที่เรื่องราวสายพันธ์หลักดูเป็นปริศนา สายพันธ์ย่อย siamensis กลับมากยิ่งว่า พบครั้งแรกโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน Nils Carl Gustaf Fersen Gyldenstolpe ที่เข้ามาสำรวจนกในประเทศไทยในช่วงปี 1914-1915 กล่าวถึงการพบนกที่สถานีรถไฟ Bang Ho Pong จังหวัดลำปาง ตัวอย่างถูกส่งไปเก็บรักษาและจำแนกที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา Stockholm ในปี 1916 ได้ตีพิมพ์บทความลงวารสาร Ornithologische Monatsberichte เป็นภาษาเยอรมันว่า เป็นนกสายพันธ์ย่อยใหม่ Alseonas siamensis sp.n. มีความคล้ายกับ Alseonas latirolris Raffl แต่ส่วนหลังจะเป็นสีน้ำตาลเข้มแทนที่จะเป็นสีจาง ปลายปีกปกคลุมด้วยสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน ปากมีลักษณะสั้นและหนากว่า A. latirotris ถึงปัจจุบันก็ยังมีรายงานการพบนกชนิดย่อยนี้อยู่น้อยมาก สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง คือบางตัวมีส่วนอกขีดลาย คล้ายกับนกจับแมลงสีน้ำตาลอกลาย Muscicapa williamsoni ที่เป็นนกประจำถิ่นในคาบสมุทรมาลายา พบเห็นได้ยากแต่ก็มีรายงานขึ้นมาได้ถึง จ. ชุมพร แต่ M.d. siamensis จะพบได้ตั้งแต่ จ. เชียงใหม่ลงไปไม่เกิน จ. เพชรบุรี
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=06-2024&date=18&group=22&gblog=112 .
|