ppsan
|
 |
« on: 04 June 2025, 20:30:36 » |
|
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.8-แปด)
11. ปัญจชันยสังข์ (Pancajanya Sankha) เป็น 1 ใน 4 สัญลักษณ์ของพระวิษณุ ที่ทรงถืออาวุธสิ่งของต่างๆ ได้แก่
สังข์ มีชื่อว่า ปัญจชันยะ (Panchajanya) จักร มีชื่อว่า สุทัศน์ (Sudarshana Chakra) คทา หรือ ตรีสั้น มีชื่อว่า เกาโมทกี (Kaumodaki) ธรณี มักทำเป็นดอกบัว มีชื่อว่า ปัทมะ (Padma)
นอกจากอาวุธ 4 อย่างแล้ว พระวิษณุยังมี ธนูและพระขรรค์อีก ซึ่งธนูและพระขรรค์จะปรากฎเฉพาะภาคพระวิษณุมี 6 กรเท่านั้น
ปัญจชันยะ คือ มหาสังข์ ของมหาวิษณุ หรือ พระนารายณ์ ตามตำนานเล่าว่า ยักษ์เคยขโมยพระเวทไปซ่อนไว้ในหอยสังข์ ทางใต้มหาสมุทรอินเดีย พระนารายณ์จึงทรงตามไปหา เมื่อพบหอยสังข์ จึงใช้พระหัตถ์บีบตรงปาก หอยจึงคายพระเวทคืน
ฉะนั้นหอยสังข์ จึงมีรอยนิ้วพระหัตถ์พระวิษณุ ถ้าใครมีลองพลิกดูและสอดนิ้วลงไปสี่นิ้ว จะลงร่องพอดี หอยสังข์จึงเป็นของพิเศษขึ้นมา
1. เมื่อเคยบรรจุพระเวท น้ำที่เทออกมา จึง น่าจะ บรรจุพลังความรู้ไว้ด้วย 2. ผ่านนิ้วพระหัตถ์มหาวิษณุ ย่อมประดุจทรงพลั่งน้ำจากพระดัชนี
ฉะนั้นจึงมีการนำมาใช้ในการ ‘หลั่งน้ำ’ พิธีสำคัญ และในกองทัพอินเดียโบราณ (มหาภารตะยุทธ) ใช้เป็นสัญญาณในการรบ จังหวะของการเป่าสังข์เป็นสัญญาณ (ไม่ใช่เป่าปุ๊นเฉยๆ)
และจำนวนนับ ไม่ใช่ ชิ้น อัน แต่ใช้ ขอน เหมือนปี่ ใช้ เลา
หากสังข์ ถ้าเป็นของทะเล น้ำตื้น ผิวจะบาง ขาว ใช้แค่เป็นของประดับ จะมาทำเป็นสังข์ สำหรับเป่าไม่ได้ ในการประโคมชั้นสูง จะเป่าสังข์เป่างา (ช้าง)ที่เวลาประกอบพิธีกรรมทางเทวาลัย จะใช้ สังข์ และงาด้วย (งาช้างก็เรียก ขอน ซึ่งมีการเจาะรู ใส่ลิ้น ของโบราณที่หายากแล้ว เหมือน มโหระทึก แต่ก่อนใช้ตามวัด เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหนหมด)
.
 ปัญจชันยสังข์...สังข์แห่งชัยชนะ
 พระกฤษณะเป่าปัญจชันยสังข์เริ่มการรบ ณ ทุ่งกุรุเกษตร ในมหากาพย์มหาภารตะ

.
มหาสังข์



..








.
.....
12. อัปสรา (Apsaras) 35 ล้านตน
อัปสรา ถือเป็นนางฟ้าจำพวกหนึ่ง แต่ไม่ใช่เทวี บังเกิดขึ้นเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทร คำว่า "อัปสรา" หรือ "อัปสร" นั้น มาจากคำว่า "อัป" (หมายถึง น้ำ) และ "สร" (หมายถึง การเคลื่อนไป) อัปสร จึงหมายถึง ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ อันเป็นกำเนิดของนาง ทว่าโดยทั่วไป ถือว่านางเป็นชาวสวรรค์
นางอัปสราเป็นผู้ที่มีทั้งความงามและความสามารถในการร้องรำทำเพลง แต่ความงามของพวกนางกลับไม่ได้รับความสนใจจากเหล่าเทวดา ที่มัวแต่จดจ้องรอแย่งชิงน้ำอมฤตกับเหล่าอสูร เมื่อไม่มีใครรับ นางอัปสร จึงกลายเป็นของกลางที่คอยบำเรอเหล่าเทวา เป็นดั่งโสเภณีแห่งสรวงสวรรค์ เหมือนในพระราชนิพนธ์เรื่องนารายณ์สิบปาง ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงบรรยายว่า (https://www.silpa-mag.com/culture/article_4267, ทำไม “นางอัปสร” ถูกเปรียบว่าเป็น “โสเภณีแห่งสรวงสวรรค์” ?)
ที่สี่ที่ขึ้นจาก ชลา ลัยฤา คือคณาอัปสร เฉิดแฉล้ม รูปโฉมสุดโสภา หาเปรียบ ไม่เลย งามเนตรงามเกศแก้ม ก่องฉวี ท่วงทีมารยาทล้วน ยวนใจ เสียงเสนาะขับรำ ร่ำร้อง แต่หาสุรเทพใด รับบ่ มีเลย เหตุฉะนั้นจึงต้อง อยู่ลอย คอยบำเรอเทพไท้ เปรมปรีดิ์ ยามเทพใดมีทุกข์ ช่วยแก้ เปรียบโสภิณีนางในโลก มนุษย์แล เป็นแบบแต่นั่นแล้ สืบมา
หลังเหล่านางอัปสรถือกำเนิดขึ้น พระอินทร์ได้รับเอานางอัปสรไปเป็นนางบำเรอจำนวนมาก ราวกับจะตั้งตัว “พ่อเล้า” ที่นอกจากจะเอาไว้เชยชมเองแล้ว ยังใช้นางอัปสรเป็นเครื่องมือในการทำลายตบะของบรรดาฤาษีชีไพร ด้วย เพราะนางอัปสรมีอำนาจแปลงกายได้ ทั้งยังมีความสามารถในการขับร้องและเต้นรำเป็นอย่างยิ่ง แต่ละตนมีความสามารถในเชิงศิลปะต่าง ๆ กัน ที่พระอินทร์แกต้องคอยทำลายตบะผู้ถือศีล เป็นเพราะกลัวว่าใครจะมาแย่งตำแหน่งของแกเข้า จึงต้องส่งนางอัปสรไปทำให้เขาตบะแตก
นั่นก็อาจจริง แต่ถ้าไปลองฟังคนที่เข้าข้างพระอินทร์ก็จะบอกว่า ที่ท่านทำไปก็เพื่อรักษา “ระเบียบ” แห่งไตรภูมิ จะปล่อยให้มนุษย์ธรรมดาๆ มีอิทธิฤทธิ์ถึงขั้นทำให้สามโลกต้องปั่นป่วนมิได้
พูดให้ง่ายก็คือ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็จงใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ เกิดเป็นนางอัปสรก็ต้องเชื่อฟังเทพผู้เป็นนาย นางอัปสรจึงต้องใช้เสน่ห์ทางเพศคอยยั่วยวนผู้ทรงศีลตามที่พระอินทร์ท่านต้องการ พวกเธอจึงต้องรับบาปเคราะห์จากสถานภาพที่เธอเลือกมิได้
ตัวอย่างมีในตำนานของฤาษีวิศวามิตรผู้เคร่งฌาน ที่ถูกพระอินทร์ส่งนางอัปสรชื่อ “เมนกา” มาฉอเลาะจนท่านฤาษีเคลิบเคลิ้ม สมสู่จนมีลูกด้วยกันนามว่าศกุนตลา
ภายหลังท่านฤาษีจึงบำเพ็ญฌานอย่างหนักจนตบะ “แข็งโป๊ก” กว่าเดิม ด้านพระอินทร์จึงแก้เกมด้วยการส่งนางอัปสรที่สวยที่สุดในสวรรค์ชื่อว่า “นางรัมภา” มาทำลายตบะของท่านฤาษีอีก แต่คราวนี้ท่านฤาษีไม่เอาด้วย
นางรัมภาจึงถูกฤาษีวิศวามิตรสาปให้กลายเป็นหินถึงหมื่นปี นางอัปสรคนงามจึงกลายเป็นแพะรับบาปของการชิงดีชิงเด่นระหว่างชายผู้มีอิทธิฤทธิ์สองท่านไป
.
 นางอัปสรที่ปราสาทหินนครวัด (Angkor Wat)

 วิศวามิตรมุนีกับนางเมนกา Vishvamitra and Menaka
 นางรัมภาพยายามยั่วยวนผู้ทรงศีล (R. Varma, 1894. Credit: Wellcome Library, London.)
.
 นางศกุนตลา ลูกสาวของ นางเมนกา กับ ฤาษีวิศวามิตร
|