Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
11 May 2024, 03:29:38

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,661 Posts in 12,477 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง  |  สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 1 - 10
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 1 - 10  (Read 330 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« on: 21 December 2021, 17:38:32 »

oo สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) oo [ตอนที่ 1]


https://www.samkok911.com/p/three-kingdoms-ebook.html





สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) PDF
"หนังสือสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ที่สวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุด"
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ ๘๙ ทรงครองราชสมบัติได้ ๗๐ ปี ดวงใจของผสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศตกอยู่ในความทุกข์ระทม หม่นหมอง

    เสียงร่ำไห้ร้องระงมทั่วผืนแผ่นดินไทย ผสกนิกรทั่วหล้าต่างตั้งใจที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่ตนเองมีต่อกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง บ้างตั้งจิตอธิษฐาน บ้างทำบุญ บ้างสร้างกุศล บ้างก็อุทิศตนทุ่มเทแรงกายแรงใจ สร้างประโยชน์แก่สาธารณะ

    ข้าพเจ้าเอง เคยมีความตั้งใจไว้ว่า จะทำหนังสือ สามก๊ก ในรูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง โดยนำเอาเนื้อหาของฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) มาปรับปรุงแต่งเติม ใส่รูปภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม ทำให้ดูสนุก น่าสนใจ แจกให้ท่านนำไปอ่านกัน

    แต่ด้วยความเกียจคร้าน งานนั้นจึงยังไม่เคยได้ตั้งต้นขึ้นสักที ดังนั้น ในโอกาสที่พสกนิกรชาวไทยได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รัก ข้าพเจ้าจึงได้มีมานะ ตั้งจิต เห็นเป็นเวลาอันควรค่าที่จะสร้างสรรค์ผลงานบางสิ่งบางอย่าง เพื่อน้อมถวายแด่พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย หนังสือ สามก๊ก ฉบับนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น และจะทยอยทำตามกำลังความรู้ความสามารถ ให้แล้วเสร็จจนจบเล่ม


    สามก๊กฉบับนี้เป็นฉบับที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้อำนวยการแปล เนื้อความที่แปลนั้นชัดเจน สำนวนภาษาไพเราะสละสลวย ให้ความรู้ด้านการปกครอง การทหาร และตำราพิชัยสงคราม ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์แก่ราชการบ้านเมือง นับเป็นวรรณคดีที่ทรงคุณค่ายิ่ง

    ในการจัดทำหนังสือ สามก๊ก ในรูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้นำต้นฉบับจากหนังสือเรื่อง สามก๊ก ฉบับ ราชบัณฑิตยสภา ตรวจสอบชำระ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ มาเป็นต้นแบบ ดังนั้นลักษณะของการเขียนและการสะกดคำในหนังสือเล่มนี้ จึงอาจจะดูแปลกตาท่านผู้อ่านในยุคสมัยปัจจุบัน รวมทั้งอาจจะมีข้อบกพร่องของการพิสูจน์อักษรอยู่หลายจุด เนื่องจากงานชิ้นนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ดำเนินการทั้งปวงแต่เพียงผู้เดียว มิได้ใช้ทีมงานหรือผู้อื่นใดร่วมดำเนินการ หากมีข้อผิดพลาดไม่ว่าด้วยประการใด ข้าพเจ้าจึงต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย

    สำหรับการนำเผยแพร่หนังสือ สามก๊ก ในรูปแบบของ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ชุดนี้ ข้าพเจ้าจะจัดทำขึ้นเป็นรูปเล่มเป็นไฟล์ข้อมูลในรูปแบบที่พกพาง่าย (Portable Document Format : PDF) ทยอยลงแยกไว้เป็นตอน ๆ ในเว็บไซต์ ‘สามก๊กวิทยา’ เพื่อให้ทุกท่านได้ดาวน์โหลด นำไปใช้ แจกจ่าย พิมพ์ หรือดัดแปลงแก้ไข ตามความสะดวกของท่านต่อไป

สร้างถวายเป็นพระราชกุศล
สามก๊กวิทยา
ตุลาคม ๒๕๕๙


Download สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน)
    รวม Link สำหรับอ่านและ Download หนังสือสามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) แต่ละตอน โดยท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์หนังสือ eBook (ไฟล์ Pdf) ในช่วงท้ายของแต่ละตอนครับ



https://play.google.com/store/books/details?id=6vI4EAAAQBAJ


สามก๊ก ตอนที่ ๑ - ๘๗

..................................................



« Last Edit: 21 December 2021, 20:54:14 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #1 on: 21 December 2021, 17:42:59 »


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-1.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 1
  สามก๊กวิทยา  01 กุมภาพันธ์ 2560

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 1

เนื้อหา

• อธิบายพงศาวดารก่อนเรื่องสามก๊ก
• พระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์
• เกิดโจรโพกผ้าเหลือง
• พระเจ้าเลนเต้ประกาศบำเหน็จการปราบโจรโพกผ้าเหลือง
• เริ่มกล่าวถึงเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
• เริ่มกล่าวถึงโจโฉ
• เริ่มกล่าวถึงตั๋งโต๊ะ
• เริ่มกล่าวถึงซุนเกี๋ยน

เดิมแผ่นดินเมืองจีนทั้งปวงนั้น เปนสุขมาช้านานแล้วก็เปนศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เปนสุข มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามพระเจ้าจิวบูอ๋อง[๑] แลพระวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อ ๆ ลงมาเปนหลายพระองค์ ได้ความสุขมาถึงเจ็ดร้อยปี จึงมีผู้ตั้งแขงเมืองถึงเจ็ดหัวเมือง ครั้งนั้นพระเจ้าจิ๋นอ๋องได้เสวยราชย์ในเมืองจิ๋นก๊กให้ไปตีเอาหัวเมืองทั้ง เจ็ดนั้น เข้าอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าจิ๋นอ๋องทั้งสิ้น[๒] ครั้นอยู่มาพระเจ้าจิ๋นอ๋องเสียแก่ฮั่นฌ้อ แล้วฮั่นโกโจกับฮั่นฌ้อรบกัน จึงได้ราชสมบัติแก่ฮั่นโกโจ ฮั่นโกโจแลพระราชวงศ์ได้เสวยราชสมบัติต่อ ๆ มาในแผ่นดินจีนนั้นถึงสิบสององค์ มีขุนนางคนหนึ่งชื่ออองมังเปนขบถชิงเอาราชสมบัติได้ เปนเจ้าแผ่นดินอยู่สิบแปดปี แล้วจึงมีหลานพระเจ้าฮั่นโกโจชื่อฮั่นกองบู๊จับอองมังฆ่าเสียชิงเอาราช สมบัติได้เสวยราชย์สืบวงศ์มาสิบสององค์ พระองค์ได้เสวยราชย์ที่สุดนั้น ทรงพระนามพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงแตกเปนสามเมือง ภาษาจีนเรียกว่า สามก๊ก

เหตุทั้งนี้เพราะพระเจ้าฮั่นเต้[๓] หาพระราชบุตรมิได้ ขอเลนเต้มาเลี้ยง จนเลนเต้ได้เสวยราชย์มีพระราชบุตรสององค์ ชื่อหองจูเปียนหนึ่ง หองจูเหียบหนึ่ง แลเมืองพระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์นั้น มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี แลมิได้คบหาคนสัตย์ธรรม เชื่อถือแต่คนอันเปนอาสัตย์ ประพฤติแต่ตามอำเภอใจแห่งพระองค์เสียราชประเพณีไป จึงมีขันทีผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อเทาเจียดกับพวกขันทีทั้งปวง เห็นว่าพระเจ้าเลนเต้รักใคร่ไว้พระทัย จึงคิดกันกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ แต่บันดาราชกิจสิ่งใดนั้น ขันทีว่ากล่าวเอาผิดเปนชอบ ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนนัก จึงมีขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองชื่อเตาบูตันผวนเห็นผิดคิดอ่านจะจับขันทีฆ่าเสีย เทาเจียดขันทีรู้ตัวจึงให้พัครพวกจับเตาบูตันผวนไปฆ่าเสีย เทาเจียดแลพวกขันทีทั้งปวงยิ่งทำการกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน

ครั้นอยู่มาพระเจ้าเลนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสองปี (พ.ศ. ๗๒๒) ณเดือนสี่ขึ้นสิบห้าคํ่าเสด็จอยู่บนพระเก้าอี้ณพระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน เวลาตะวันเที่ยงเกิดลมพายุหนัก มีงูสีเขียวใหญ่ตกลงมาพันอยู่ที่เท้าพระเก้าอี้ซึ่งเสด็จอยู่นั้น พระเจ้าเลนเต้ตกพระทัยล้มลงจากพระเก้าอี้หาพระสติมิได้ ชาวรักษาพระองค์เข้าช่วยพยุงเชิญเสด็จเข้าไปที่ข้างใน บันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเฝ้าอยู่นั้น เห็นงูก็ตกใจกลัวต่างคนก็วิ่งหนีไป อยู่หน่อยหนึ่งงูนั้นก็หายไป จึงเกิดฟ้าร้องฝนตกห่าใหญ่ ลูกเห็บตกลงตึกแลเรือนราษฎรทั้งปวงหักทลายเปนอันมาก จนเวลาเที่ยงคืนฝนจึงหยุด ครั้นอยู่มาได้สี่ปี (พ.ศ. ๗๒๖) ณเดือนยี่ เมืองลกเอี๋ยงแผ่นดินไหว นํ้าทเลเกิดใหญ่ท่วมตึกแลเรือนอาณาประชาราษฎร ซึ่งอยู่ตีนท่านั้นถล่มลอยไปเปนอันมาก ไก่ตัวเมียกลายเปนตัวผู้

ครั้นถึงเดือนหกขึ้นค่ำหนึ่ง เกิดนิมิตเปนควันเพลิงพลุ่งขึ้นไปสูงประมาณยี่สิบวา แล้วควันเพลิงนั้นพลุ่งเข้าไปในพระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน ครั้นณเดือนเจ็ดเกิดนิมิตรัศมีรุ้งตกลงในพระราชวัง แลเขารันซัวสูงใหญ่บันดาลแตกทลายลง พระเจ้าเลนเต้จึงถามขุนนางทั้งปวงว่า นิมิตวิปริตดังนี้จะดีร้ายประการใด ยีหลงขุนนางจึงเขียนหนังสือลับกราบทูลว่า เหตุทั้งปวงนี้เพราะขันทีประพฤติล่วงพระราชอาญา จึงเกิดนิมิตให้พระองค์ปรากฎ

พระเจ้าเลนเต้เห็นหนังสือนั้น ทอดพระทัยอยู่มิได้ตรัสประการใด แล้วเสด็จลุกขึ้นผลัดฉลองพระองค์ใหม่ เทาเจียดขันทีเฝ้าอยู่หลังพระที่นั่งมองเห็นหนังสือนั้น จึงคิดอ่านกับพรรคพวกว่า จะหาความผิดข้อใหญ่ใส่โทษยีหลงให้ออกจากที่ขุนนาง แลพวกเทาเจียดขันทีซึ่งเปนผู้ใหญ่นั้นเก้าคน ชื่อเตียวต๋งหนึ่ง เตียวเหยียงหนึ่ง ฮองสีหนึ่ง ต๋วนกุยหนึ่ง เหาลำหนึ่ง เกียนสิดหนึ่ง เห้หุยหนึ่ง ก๊กเสงหนึ่ง เชียกง[๔]หนึ่ง เปนสิบคนทั้งเทาเจียด ถ้าขุนนางผู้ใดมิได้อยู่ในโอวาทก็ให้ถอดเสีย ผู้ใดอยู่ในบังคับบัญชานั้นก็ให้ยกตั้งแต่งขึ้น แลเทาเจียดกับพวกเก้าคนนั้นตั้งชื่อตัวเปนสิบเสียงสี แลพระเจ้าเลนเต้นั้นเชื่อถือถ้อยคำเตียวเหยียงเรียกเปนบิดาเลี้ยง ราชการกฎหมายแผ่นดินก็ผันแปรไป อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมภ์เปนอันมาก

ฝ่ายเมืองกิลกกุ๋นนั้น มีชายพี่น้องสามคน ชื่อเตียวก๊กหนึ่ง เตียวโป้หนึ่ง เตียวเหลียงหนึ่ง แลเตียวก๊กนั้นไปเที่ยวหายาบนภูเขา พบคนแก่คนหนึ่ง ผิวหน้านั้นเหมือนทารก จักษุนั้นเหลืองมือถือไม้เท้า คนนั้นพาเตียวก๊กเข้าไปในถํ้าจึงให้หนังสือตำราสามฉบับ ชื่อไทแผงเยาสุด แล้วว่าตำรานี้ท่านเอาไปช่วยทำนุบำรุงคนทั้งปวงให้อยู่เย็นเปนสุข ถ้าตัวคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน ภัยอันตรายจะถึงตัว เตียวก๊กกราบไหว้แล้วจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด คนแก่นั้นจึงบอกว่า เราเปนเทวดา บอกแล้วก็เปนลมหายไป

ฝ่ายเตียวก๊กก็กลับมาบ้าน จึงเรียนตามตำราทั้งกลางวันกลางคืน ก็เรียกลมเรียกฝนได้สาระพัดทุกประการ จึงตั้งตัวเปนโต๋หยิน แปลภาษาไทยว่าพราหมณ์มีความรู้ ครั้งนั้นห่าลงเมืองกิลกกุ๋น ชาวเมืองทั้งปวงเกิดความไข้ เตียวก๊กจึงเขียนเลขยันตร์ตามตำรา ไปแจกให้ชาวเมืองบำบัดความไข้ คนก็นับถือเตียวก๊กมาเปนศิษย์ให้สั่งสอนอยู่ประมาณร้อยเศษ เตียวก๊กจึงไปเที่ยวรักษาไข้ตามเมืองใหญ่น้อย คนทั้งปวงได้เลขยันตร์ซึ่งเตียวก๊กให้นั้น ความไข้อันตรายนั้นก็หาย ชาวเมืองทั้งนั้นก็นับถือไปอยู่เปนศิษย์เตียวก๊กทวีมากขึ้นทุกวัน เตียวก๊กครั้นมีศิษย์มากแล้ว จึงตั้งศิษย์ไว้เปนนายบ้านซ่องสามสิบตำบล ตำบลใหญ่คนประมาณหมื่นเศษ ตำบลน้อยมีคนประมาณหกพันเจ็ดพัน มีนายคุมไพร่มีธงสำหรับรบศึกทุกตำบล

เตียวก๊กตั้งตัวเปนจงกุ๋น แปลว่าพระยา แล้วจึงแต่งอุบายให้ปรากฎไปว่า แผ่นดินจะผันแปรปรวนไปแล้ว จะมีผู้มีบุญมาครองแผ่นดินใหม่บ้านเมืองจะเปนสุข แล้วให้เอาปูนขาวเขียนเปนอักษรไว้ที่ประตูบ้านเรือนสองตัว อักษรว่า ปีชวดบ้านเมืองจะเปนสุข แลเมืองเฉงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองชิวจิ๋ว เมืองเกงจิ๋ว เมืองยังจิ๋ว เมืองกุนจิ๋ว เมืองอิจิ๋ว ชาวเมืองทั้งแปดเมืองนี้นับถือเขียนเอาชื่อเตียวก๊กไว้บูชาทุกบ้านเรือน เตียวก๊กจึงใช้ม้าอ้วนยี่เอาเงินทองไปให้ฮองสีขันทีเปนกำนัล แล้วม้าอ้วนยี่บอกความลับแก่ฮองสีขันทีว่า เตียวก๊กสั่งมาว่าให้ฮองสีช่วยทำการเปนไส้ศึกในเมือง แล้วเตียวก๊กจึงคิดอ่านกับน้องชายสองคนว่า ถ้าจะคิดอ่านการสิ่งใดเอาใจไพร่เปนประมาณ บัดนี้ชาวเมืองทั้งแปดเมืองก็รักใคร่นับถืออยู่ในโอวาทเราสิ้นแล้ว เมื่อการพร้อมฉนี้ ควรจะคิดเอาแผ่นดิน ครั้นจะมิคิดการบัดนี้ก็เสียดายดูมิควร น้องสองคนก็ยอมด้วย เตียวก๊กจึงซ่องสุมทหาร แลเครื่องศัสตราวุธพร้อมเตรียมไว้ ถึงกำหนดแล้วจะได้ทำการสดวก

แล้วเตียวก๊กจึงใช้ศิษย์คนหนึ่งชื่อตองจิ๋ว ถือหนังสือลับไปบอกฮองสี ตองจิ๋วมิได้เอาหนังสือนั้นไปให้ฮองสี เอาหนังสือนั้นไปให้ขุนนางกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ๆ จึงให้โฮจิ๋นขุนนางผู้ใหญ่ ยกกองทัพไปจับม้าอ้วนยี่ซึ่งเอาของกำนัลไปให้ฮองสีขันทีมาฆ่าเสีย จับฮองสีขันทีใส่คุกไว้

ฝ่ายเตียวก๊กครั้นรู้ข่าวก็ไปเตรียมทหารไว้พร้อม แล้วจึงตั้งตัวเปนเทียนก๋งจงกุ๋นแปลว่าเปนเจ้าพระยาสวรรค์ แล้วตั้งเตียวโป้ผู้น้องเปนแตก๋งจงกุ๋น แปลว่าเจ้าพระยาแผ่นดิน ตั้งเตียวเหลียงน้องผู้น้อยเปนยินก๋งจงกุ๋น แปลว่าเจ้าพระยามนุษย์ เตียวก๊กป่าวประกาศแก่ทหารแลไพร่พลทั้งปวงว่า เมืองพระเจ้าเลนเต้จะสาบสูญฉิบหายแล้ว ผู้มีบุญจะมาเสวยสมบัติใหม่ คนทั้งปวงจงทำตามคำเทวดาทำนายเถิด จะได้อยู่เย็นเปนสุขพร้อมมูลกัน

ไพร่พลทั้งปวงก็ยินดีด้วย เตียวก๊กให้เอาผ้าเหลืองโพกสีสะเปนสำคัญ คนประมาณสี่สิบห้าสิบหมื่น เตียวก๊กกับทหารทั้งปวงพร้อมใจกันเปนโจร หาผู้ใดจะต้านทานมิได้มีกำลังมากขึ้น โฮจิ๋นจึงเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ๆ ให้มีตราไปทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลือง ได้แล้วจะปูนบำเหน็จให้เปนขุนนาง แล้วสั่งจงลงเจียงทหารเอกหนึ่ง โลจิ๋นหนึ่ง ฮองฮูสงหนึ่ง จูฮีหนึ่ง ให้คุมทหารยกออกไปเปนสามด้าน ให้จับตัวเตียวก๊กจงได้

ฝ่ายเตียวก๊กยกทหารเข้าตีปลายแดนเมืองอิวจิ๋ว เล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองอิวจิ๋วนั้นเปนชาวเมืองกังแฮ เปนเชื้อฮั่นโกโจเปนหลานหลังจงฮอง รู้ข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองมาตีปลายแดนเมืองอิวจิ๋ว จึงให้หาเจาเจ้งนายทหารมาปรึกษา เจาเจ้งจึงว่าโจรมีกำลังมากนักทหารเมืองเราน้อย จำจะให้มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมป่าวร้องชาวเมืองซึ่งอยู่ปลายแดนว่า ถ้าผู้ใดกล้าหาญมีปัญญาจับโจรได้ จะบอกความชอบไปให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ เล่าเอี๋ยนเห็นชอบด้วยจึงให้ทำตาม แล้วแต่งเปนหนังสือเกลี้ยกล่อมแจกไปทุกหัวเมือง ให้เจ้าเมืองเอาหนังสือปิดไว้ทุกประตูเมือง

แลเมืองตุ้นก้วนมีชายคนหนึ่งชื่อเล่าปี่ เมื่อน้อยชื่อเหี้ยนเต๊ก ก็ไม่สู้รักเรียนหนังสือแต่มีปัญญานํ้าใจนั้นดี ความโกรธความยินดีมิได้ปรากฎออกมาภายนอก ใจนั้นอารีย์นักมีเพื่อนฝูงมาก ใจกว้างขวาง หมายจะเปนใหญ่กว่าคนทั้งปวง กอปด้วยลักษณรูปใหญ่สมบูรณ์สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้ม จักษุชำเลืองไปเห็นหู แลเล่าปี่นั้นเปนบุตร์เล่าเหง เล่าเหงเปนเชื้อวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ เล่าเหงตายยังแต่ภรรยา เล่าปี่ผู้บุตรมีกตัญญูรักษามารดามิให้อนาทร แลเล่าปี่กับมารดาเปนคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ทอเสื่อขายเลี้ยงชีวิต บ้านที่เล่าปี่อยู่นั้น ชื่อบ้านเล่าซองฉุนอยู่ใกล้เมืองตุ้นก้วน เรือนนั้นอยู่ริมต้นหม่อน ๆ นั้นสูงประมาณแปดวาเศษ กิ่งนั้นเปนพุ่มดังฉัตร์ มีหมอดูคนหนึ่งเดิรมาเห็นภูมิบ้านแลต้นหม่อนต้องตำรา จึงทายว่าบ้านนี้มีผู้มีบุญอยู่ เล่าปี่เมื่อยังเด็กอยู่นั้น เล่นกับลูกชาวบ้านทั้งปวง เล่าปี่จึงว่า ถ้ากูได้เปนเจ้ากูจะเอาต้นหม่อนต้นนี้ไปทำคันเศวตฉัตร์กั้น เล่าอ้วนกีผู้เปนอาว์ได้ยินเล่าปี่ว่าประหลาด จึงชมเล่าปี่ว่าจะมีบุญเปนมั่นคง เล่าอ้วนกีทำนุบำรุงให้เงินทองแก่เล่าปี่เนือง ๆ เมื่อเล่าปี่อายุได้สิบห้าปี มารดาจึงให้ไปเรียนหนังสือกับเต้เหี้ยนผู้เปนครู เล่าปี่นั้นมีเพื่อนสองคน ชื่อโลติดหนึ่ง กองซุนจ้านหนึ่ง เรียนหนังสืออยู่ด้วยกันจนอายุได้ยี่สิบห้าปี ขณะนั้นเล่าปี่เดิรไปเห็นหนังสือซึ่งปิดไว้ที่ประตูเมือง เล่าปี่คิดไปมิตลอดยืนดูหนังสือทอดใจใหญ่อยู่

มีคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่แล้วว่า เปนผู้ชายไม่ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินแล้วสิมาทอดใจใหญ่ ฝ่ายเล่าปี่กลับหน้ามาดู เห็นผู้นั้นสูงประมาณห้าศอก สีสะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต เสียงดังฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ เห็นผิดประหลาทจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด ผู้นั้นจึงตอบว่าเราชื่อเตียวหุยเอ๊กเต๊กบ้านอยู่ตุ้นก้วน เรามีทรัพย์สินไร่นาเปนอันมาก ทั้งร้านสุกรสุราก็มีขาย เราพอใจคบเพื่อนฝูงซึ่งมีสติปัญญา บัดนี้เห็นท่านดูหนังสือแล้วทอดใจใหญ่จึงทักจะใคร่รู้เนื้อความ เล่าปี่จึงว่าเราเปนเชื้อพระเจ้าฮั่นเกงเต้ชื่อเล่าปี่ ได้ยินข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองมาทำอันตรายแผ่นดิน เราคิดจะใคร่อาสาแผ่นดินไปปราบโจร แต่ขัดสนด้วยกำลังน้อยทรัพย์ก็น้อยคิดไปมิตลอด จึงทอดใจใหญ่ เตียวหุยจึงว่าทรัพย์นั้นเรามีอยู่ เราจะคิดกันไปเกลี้ยกล่อมชาวเมืองซึ่งมีฝีมือกล้าหาญ ท่านกับเราจะยกออกไปจับโจรจะเห็นประการใด เล่าปี่ได้ฟังก็ดีใจจึงชวนเตียวหุยเข้าไปในร้านสุราซื้อสุราแล้วก็ชวนกัน นั่งกินอยู่

มีคนหนึ่งรูปร่างโตใหญ่ขับเกวียนมาถึงหน้าร้านสุราเข้าไปเรียกผู้ขายสุรา ว่า เอาสุรามาขายจงเร็ว เรากินแล้วจะรีบไปอาสาแผ่นดิน เล่าปี่เห็นผู้นั้นสูงประมาณหกศอกหนวดยาวประมาณศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการะเวก เห็นกิริยาผิดประหลาทกว่าคนทั้งปวง เล่าปี่จึงชวนเข้าไปนั่งกันสุราด้วยแล้วถามว่าท่านนี้ชื่อไร ผู้นั้นจึงบอกว่าเราชื่อกวนอู อีกชื่อหนึ่งนั้นหุนเตี๋ยง บ้านเราอยู่เมืองฮอตั๋งไกเหลียง ที่เมืองฮอตั่งไกเหลียงนั้น มีคนๆหนึ่งมีทรัพย์มากร้ายกาจสามหาวข่มเหงคนทั้งปวง เราเห็นผิดนักเราจึงฆ่าผู้นั้นเสียแล้วหนีไปเที่ยวอยู่เปนหลายหัวเมือง บัดนี้เราได้ยินว่าเมืองนี้มีหนังสือเกลี้ยกล่อมป่าวร้องให้อาสาแผ่นดิน จับโจรโพกผ้าเหลือง เราจึงมาหวังจะอาสาแผ่นดิน เล่าปี่จึงตอบว่า เรากับเตียวหุยคิดต้องกันกับท่าน กวนอูได้ยินก็ดีใจ เตียวหุยจึงว่าเราทั้งสามคิดการต้องกัน เชิญท่านทั้งสองมาไปบ้านเรา ที่หลังบ้านเรามีสวนดอกไม้แล้วเปนที่สงัด ดอกยิโถก็บานอยู่เปนอันมาก จะได้บูชาพระแลเทวดา แล้วจะได้ให้สัตย์ต่อกันทั้งสามให้เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะได้คิดการใหญ่สืบไป เล่าปี่กวนอูได้ยินก็ยินดี จึงชวนกันไปยังบ้านเตียวหุย ครั้นรุ่งขึ้นเตียวหุยจึงจัดม้าขาวกระบือดำแลธูปเทียนสิ่งของทั้งปวง แล้วชวนกันออกมายังสวนดอกไม้ จึงจุดธูปเทียนไหว้พระแลบูชาเทวดาแล้วจึงตั้งสัตย์สาบาลต่อกันว่า ข้าพเจ้าเล่าปี่กวนอูเตียวหุยทั้งสามคนนี้อยู่ต่างเมือง วันนี้ได้มาพบกัน จะตั้งสัตย์สบถเปนพี่น้องร่วมท้องกันเปนน้ำใจเดียวซื่อสัตย์ต่อกันสืบไปจน วันตาย จะได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข ถ้ามีภัยอันตรายสิ่งใดแลรบศึกเสียที ข้าพเจ้ามิได้ทิ้งกัน จะแก้กันกว่าจะตายทั้งสาม แลความสัตย์นี้ข้าพเจ้าได้สาบาลต่อหน้าเทวดาทั้งปวงจงเปนทิพย์พยาน ถ้าสืบไปภายหน้าข้าพเจ้าทั้งสามมิได้ซื่อตรงต่อกัน ขอให้เทวดาสังหารผลาญชีวิตให้ประจักษ์แก่ตาโลก จึงเรียกเล่าปี่เปนพี่เอื้อย กวนอูเปนน้องกลาง เตียวหุยเปนน้องสุด แลชาวบ้านซึ่งกล้าหาญนั้นมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วย เปนคนสามร้อยคน ก็กินโต๊ะเลี้ยงดูกันแล้ว จัดเครื่องศัสตราวุธเปนอันมากยังขัดสนแต่ม้า

จึงมีคนมาบอกเล่าปี่ว่า มีพ่อค้าม้าต้อนม้าเข้ามาในบ้านเรา เล่าปี่จึงออกไปรับพ่อค้าม้าสองคนเข้ามา คนหนึ่งชื่อเตียวสิเผง คนหนึ่งชื่อเล่าสง บอกเล่าปี่ว่าข้าพเจ้าค้าขายม้าเปนหลายปี มาปีนี้ไปขายม้าพบโจรกลางทางไปไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงกลับมาเมืองนี้ เล่าปี่จึงชวนพ่อค้าม้าสองคนเข้าไปในบ้าน ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงแล้วบอกว่า เราคิดกันจะไปจับโจรซึ่งทำจลาจลในแผ่นดิน เตียวสิเผงเล่าสงว่า ท่านคิดนี้ต้องกับข้าพเจ้าแล้ว จึงจัดแจงม้าห้าสิบม้ากับเงินห้าร้อยตำลึง เหล็กร้อยหาบให้เปนกำลัง เล่าปี่จึงขอบคุณพ่อค้าม้าทั้งสองคน แล้วหานายช่างมาตีเปนกระบี่สองเล่มสำหรับถือ ซึ่งกวนอูจะถือนั้นให้ช่างตีเปนง้าวเล่มหนึ่ง ยาวสิบเอ็ดศอกหนักแปดสิบสองชั่ง เตียวหุยถือนั้นให้ตีเปนทวนเล่มหนึ่ง ยาวสิบศอกหนักแปดสิบห้าชั่ง แล้วให้ทำเครื่องเกราะแลอานม้า สำหรับรบครบทั้งสามนาย แล้วจึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านที่มีฝีมือกล้าแข็งได้ห้าร้อยคนจึงพาไปหาเจาเจ้ง ๆ จึงพาไปหาเล่าเอี๋ยนผู้เปนเจ้าเมือง ทั้งสามพี่น้องจึงคำนับแล้วบอกชื่อแลแซ่ เล่าเอี๋ยนได้ยินว่าเปนแซ่เดียวกันก็ยินดีนัก จึงรับไว้เปนหลานชาย

ครั้นอยู่มาหลายวัน จึงมีคนถือหนังสือบอกเข้ามาว่า โจรโพกผ้าเหลืองทหารเอกชื่อเทียอ้วนจี้ คุมพลประมาณห้าหมื่น ยกเข้ามาแดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงสั่งเจาเจ้ง ให้หาตัวเล่าปี่กวนอูเตียวหุยมา แล้วให้คุมพลห้าร้อยยกออกไปจับโจร เล่าปี่กวนอูเตียวหุยยินดีนัก ก็ยกทหารห้าร้อยออกไปถึงตำบลเขาไทเหียงสัน แลไปเห็นพวกโจรยกมาเปนอันมาก แลพวกโจรนั้นมิได้เกล้ามวย กระจายผมเอาแต่ผ้าเหลืองโพกสีสะทั้งสิ้น เล่าปี่จึงให้ตั้งค่ายลงไว้ แล้วขับม้าออกไปหน้าทหาร แลฝ่ายขวานั้นม้ากวนอู ฝ่ายซ้ายนั้นม้าเตียวหุย เล่าปี่จึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าด่าพวกโจรว่าอ้ายพวกขบถ เทียอ้วนจี้โกรธนักจึงใช้ทหารเอกชื่อเตงเมาขี่ม้าออกไปรบ เตียวหุยถือทวนยาวสิบศอกขับม้าเข้ารบกับเตงเมา เตียวหุยรำเพลงทวนแทงถูกอกเตงเมาตกม้าตาย

เทียอ้วนจี้โกรธนักถือง้าวขับม้าออกจะรบด้วยเตียวหุย กวนอูเห็นจึงขับม้าผ่านหน้าม้าเตียวหุยออกมาจะรบ เทียอ้วนจี้เห็นรูปกวนอูก็ตกใจเสียที กวนอูเอาง้าวฟันเทียอ้วนจี้ตัวขาดออกเปนสองท่อน พวกโจรทั้งนั้นก็แตกกระจายไปสิ้น เล่าปี่จึงขับทหารเข้าไล่จับพวกโจรได้เปนอันมาก แล้วยกทหารกลับมาเมืองตุ้นก้วน

ฝ่ายเล่าเอี๋ยนครั้นรู้ข่าวก็ออกไปรับเล่าปี่ถึงประตูเมือง แล้วพากันกลับเข้ามา จึงปูนบำเหน็จพวกทหารตามสมควร ครั้นรุ่งขึ้นม้าใช้ถือหนังสือสิบเกงเจ้าเมืองเฉงจิ๋วมาถึงเจ้าเมือง ตุ้นก้วนว่า บัดนี้มีโจรโพกผ้าเหลืองยกมาล้อมเมืองเฉงจิ๋วจะขอกองทัพไปช่วย เล่าเอี๋ยนจึงหาเล่าปี่มาปรึกษา เล่าปี่ว่าข้าพเจ้าแลน้องข้าพเจ้าจะขออาสายกไปช่วยเมืองเฉงจิ๋ว เล่าเอี๋ยนมีความยินดี จึงสั่งเจาเจ้งให้คุมทหารห้าพันยกไปกับเล่าปี่กวนอูเตียวหุย เล่าปี่กับเจาเจ้งยกทหารมาถึงเมืองเฉงจิ๋ว พวกโจรเห็นกองทัพยกออกมาก็เข้าตี

ฝ่ายเล่าปี่เจาเจ้งทหารน้อยจึงถอยทัพออกมา แล้วปรึกษากันกับกวนอูเตียวหุยว่า ทหารเราน้อยกว่าพวกโจร เราจะคิดเปนกลศึกจึงจะเอาชัยชนะได้ แล้วเล่าปี่ให้กวนอูคุมทหารพันหนึ่ง ไปซุ่มอยู่ตำบลเขาข้างซ้ายทาง ให้เตียวหุยคุมทหารพันหนึ่ง ไปซุ่มอยู่ข้างขวาทาง กำหนดว่าถ้าได้ยินเสียงม้าฬ่อแล้วเมื่อใด ให้ยกทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสองข้าง กวนอูเตียวหุยก็ยกไปตามสั่ง ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปี่กับเจาเจ้งยกทหารไปตามทางซึ่งกวนอูเตียวหุยซุ่มอยู่ นั้น

ฝ่ายพวกโจรก็รุกไล่เล่าปี่มา เล่าปี่ก็ให้ถอยทัพมาถึงภูเขาซึ่งซุ่มทหารอยู่นั้น แล้วให้ตีม้าฬ่อสัญญาขึ้น ฝ่ายกวนอูเตียวหุยซึ่งคุมทหารอยู่นั้น ก็ยกตีกระหนาบออกมาทั้งสองข้าง เล่าปี่ก็ขับทหารตีเปนหน้ากระดานขึ้นไป

ฝ่ายทัพโจรเสียทีก็แตกหนีเข้ามาชาลกำแพงเมืองเฉงจิ๋ว ทัพเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ไล่ตีกระหนาบพวกโจรมา สิบเกงเจ้าเมืองเฉงจิ๋วเห็น จึงยกทหารออกตีกระหนาบเปนสี่ด้าน พวกโจรนั้นระส่ำระสายเจ็บป่วยล้มตายเปนอันมาก ก็แตกหนีไปสิ้น สิบเกงจึงปูนบำเหน็จทหารเล่าปี่ตามสมควร แล้วเจาเจ้งว่าเราจะยกทหารกลับไปเมืองตุ้นก้วน

เล่าปี่จึงว่า ได้ยินข่าวว่าโลติดผู้เปนตงลงเจียงเปนทหารเอกพระเจ้าเลนเต้รบกับเตียวก๊กนาย โจรอยู่ตำบลเมืองกงจ๋ง ข้าพเจ้าจะขอทหารไปรบพวกโจร เจาเจ้งจึงจัดทหารให้เล่าปี่ห้าร้อย เจาเจ้งก็ยกทหารสี่พันห้าร้อยกลับมาเมืองตุ้นก้วน ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกไปถึงเมืองกงจ๋ง แล้วชวนกันไปหาโลติด จึงเอาข้อราชการซึ่งได้รบโจรนั้นแจ้งแก่โลติด ๆ ยินดีนัก จึงว่าท่านทั้งสามอยู่ทำราชการด้วยเราเถิด

ฝ่ายเตียวก๊กมีพวกโจรประมาณสิบห้าหมื่น โลติดนั้นมีทหารประมาณห้าหมื่น แลทัพโลติดกับเตียวก๊กตั้งค่ายประชิดกันอยู่ยังมิได้แพ้ชนะกัน โลติดจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เตียวโป้เตียวเหลียงผู้น้องเตียวก๊กนั้น คุมโจรไปรบกับฮองฮูสงแลจูฮีอยู่ ณ เมืองเองฉวน เราจะเกณฑ์ทหารให้พันหนึ่งกับทหารของท่านนั้น จงยกไปช่วยฮองฮูสงจูฮี ณ เมืองเองฉวน แล้วให้สืบเอาข่าวราชการหนักเบามาจงได้ เล่าปี่รับคำแล้วยกทหารรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน

ฝ่ายฮองฮูสงกับจูฮีนั้นแต่งทหารออกรบกับพวกโจรยังมิได้แพ้ชนะกัน พ้นเวลาแล้วเตียวโป้เตียวเหลียงให้ทหารถอยเข้ามาที่มั่น แล้วให้เอาฟางทำซุมรุมขึ้นในค่าย ฝ่ายฮองฮูสงกับจูฮีรู้จึงปรึกษากันว่า บัดนี้พวกโจรเอาฟางทำซุมรุมขึ้นในค่าย เราจะคิดเอาเพลิงเผาค่ายพวกโจรเสียจงได้ จึงให้ทหารมัดหญ้าคนละมัด ให้ขุดอุโมงค์เข้าไปถึงริมค่ายโจร ให้เอาหญ้าไปกองซุ่มไว้ตามริมค่าย ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยามเกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก ทหารทั้งปวงได้ทีให้สัญญาพร้อมกันแล้ว จุดเพลิงระดมเผาค่ายโจรไหม้ขึ้นสิ้น แสงเพลิงดุจกลางวัน พวกโจรทั้งปวงตกใจมิทันใส่เกราะแลผูกอานม้า ก็แตกกระจายหนีเพลิงวุ่นวายอยู่ ฮองฮูสงจูฮีขับทหารเข้าไล่แทงฟันพวกโจรป่วยเจ็บล้มตายเปนอันมาก

ครั้นรุ่งขึ้น เตียวโป้ เตียวเหลียง กับพวกโจรซึ่งเหลือนั้นก็ชวนกันหาทางที่จะหนีเอาชีวิตรอด จึงไปพบทัพหนึ่งธงแดงทั้งทัพ ทหารกองหน้าเข้าสกัดพวกโจรไว้มิให้หนีได้ แลนายทัพนั้นชื่อโจโฉ สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว เปนบุตรโจโก๋ แลโจโฉเมื่อน้อยนั้นมักพอใจไปเล่นป่ายิงเนื้อ มักพอใจฟังร้องรำทำเพลงมีปัญญาความคิดรวดเร็ว ฝ่ายว่าโจเต๊กนั้นเห็นโจโฉเปนนักเลงไม่ทำมาหากิน ก็มีใจชังเปนอันมาก จึงเดิรไปจะเอาเนื้อความบอกโจโก๋ผู้พิ่ โจโฉเห็นว่าอาว์ชังอยู่จะเอาเนื้อความไปบอกบิดา โจโฉทำมีอันเปนล้มลง อาว์เห็นจึงร้องบอกโจโก๋ว่าโจโฉมีอันเปน โจโก๋ตกใจว่าบุตรมีอันเปนก็วิ่งมาดู โจโฉลุกขึ้นเล่นปรกติอยู่ โจโก๋จึงว่าอาว์เองไปบอกว่าเองมีอันเปน บัดนี้หายแล้วหรือ โจโฉจึงว่าแต่น้อยมาข้าหาเจ็บป่วยสิ่งใดไม่ เพราะอาว์ชังข้าจึงเอาความมิดีมาใส่ แต่นั้นไปโจโก๋ก็เชื่อคำโจโฉ ถึงอาว์จะเอาความสิ่งใดมาบอกโจโก๋มิได้เชื่อคำน้องชาย โจโฉยิ่งกำเริบใจเล่นหัวหยาบช้าไปกว่าแต่ก่อน เพื่อนเล่นทั้งปวงพูดจายกยอโจโฉว่า แผ่นดินบัดนี้เปนจลาจลอยู่ หาผู้ใดซึ่งมีสติปัญญาจะปราบปรามอันตรายให้อยู่เย็นเปนสุขไม่ เราทั้งปวงเห็นแต่ท่านมีสติปัญญา จะคิดอ่านปราบปรามให้แผ่นดินเปนสุขได้ แลเมืองลำหยงนั้นมีคนหนึ่งชื่อโหเง้า ว่าแก่คนทั้งปวงว่า แผ่นดินเมืองหลวงนั้นจะสูญเสียแล้ว ซึ่งจะปราบแผ่นดินให้ราบนั้นเห็นแต่โจโฉผู้เดียว แลในเมืองหลิหลำมีหมอคนหนึ่งชื่อเขาเฉียวรู้ดูลักษณคน โจโฉจึงไปหาเขาเฉียวถามว่า ข้าพเจ้านี้สืบไปภายหน้าเห็นดีชั่วประการใด เขาเฉียวนิ่งอยู่ โจโฉจึงถามซ้ำไปอีก เขาเฉียวจึงว่าท่านมีปัญญามาก จะป้องกันแผ่นดินได้อยู่ แต่มิได้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จะเปนศัตรูราชสมบัติ โจโฉหัวเราะชอบใจ ครั้นอายุโจโฉได้ยี่สิบปี จึงเข้าไปทำราชการฝ่ายทหารในเมืองลกเอี๋ยง โจโฉจึงให้เอาไม้สำคัญห้าสิบไปปักไว้ทั้งสี่ประตูเมือง ห้ามมิให้คนเดิรกลางคืน ถ้าเดิรไปมาผิดประหลาทให้จับเอาตัวมาทำโทษ ครั้นกลางคืนวันหนึ่งโจโฉไปตระเวนพบเอาขันทีเดิรมาผิดเวลา โจโฉให้จับเอาตัวมาตีสิบห้าที แลโจโฉนั้นทำราชการเข้มแข็งขึ้นทุกวัน คนทั้งปวงยำเกรงเปนอันมาก พระเจ้าเลนเต้จึงตั้งให้เปนตุนขิวเหล็ง ครั้นพวกโจรโพกผ้าเหลืองกำเริบจลาจลขึ้นในเมืองเองฉวน พระเจ้าเลนเต้จึงให้โจโฉเลื่อนที่เปนโตะอุ๋ยให้คุมทหารห้าพันยกไปช่วยเมือง เองฉวน จึงพบเตียวโป้เตียวเหลียงกับพวกโจรที่เหลือตายแตกหนีมานั้น โจโฉจึงรบสกัดไว้ ฆ่าพวกโจรเสียประมาณหมื่นเศษ ทหารโจโฉได้ม้าแลเครื่องศัสตราวุธเปนอันมาก แต่ตัวเตียวโป้เตียวเหลียงนั้นหนีได้ โจโฉจึงเข้าไปหาฮองฮูสงจูฮีบอกข้อราชการแล้ว โจโฉขอเอาทหารไปตามเตียวโป้เตียวเหลียง

ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุยยกมาถึงเมืองเองฉวน ได้ยินเสียงรบพุ่งกันแล้วแลเห็นแสงเพลิงสว่าง จึงเร่งทหารรีบไปจะช่วย พอมาถึงเข้าพวกโจรนั้นก็แตกไป เล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยเข้าไปหาฮองฮูสงจูฮี แล้วบอกว่าโลติดให้ข้าพเจ้ามาช่วยราชการท่าน ฮองฮูสงจูฮีว่าขอบใจนักแล้วบอกว่า บัดนี้เตียวโป้เตียวเหลียงแลพวกโจรนั้นแตกแล้ว เราเห็นเตียวโป้เตียวเหลียงจะหนีไปหาเตียวก๊กผู้พี่ ณ เมืองจงก๋ง ถ้าท่านเร่งยกทหารรีบตามก้าวสกัดเห็นจะได้ตัว เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ลายกทหารกลับไป ถึงกลางทางพอพบข้าหลวงคุมคนโทษขังกรงใส่เกวียนมา จึงแลไปเห็นโลติดจำขังอยู่ในกรง เล่าปี่ตกใจโจนลงจากม้าเข้าไปถามโลติดว่าเหตุใดจึงเปนโทษฉนี้ โลติดบอกว่าเราล้อมเตียวก๊กไว้จะใกล้แตกอยู่แล้ว เตียวก๊กมีความรู้เปนอันมากจะเอาโดยเร็วยังมิได้ พระเจ้าเลนเต้จึงใช้จูฮงชาววังมาสืบข่าวราชการ จูฮงจะเอาของกำนัลสินบนแก่เรา ๆ จึงว่าในกองทัพนี้ก็ขาดสเบียงอยู่ เราจะมีสิ่งใดให้สินบนเล่า จูฮงโกรธกลับไปทูลกล่าวโทษว่าเรานี้มิได้มีใจรบพุ่ง ราชการจึงเนิ่นช้าอยู่ พระเจ้าเลนเต้จึงให้ตั๋งโต๊ะมาเปนนายทัพแทนเรา แล้วให้จำเราใส่กรงส่งไปเมืองหลวง เตียวหุยได้ยินก็โกรธชักดาบออกจะฆ่าผู้คุมเสีย จะถอดโลติดออกจากกรง เล่าปี่จึงห้ามว่าอย่าทำ เนื้อความนี้เปนข้อรับสั่งอยู่ จะทำแต่อำเภอใจด้วยโกรธนั้นไม่ได้ กวนอูจึงว่าบัดนี้โลติดสิเปนโทษแล้ว คนอื่นมาเปนนายทัพซึ่งจะทำราชการด้วยนั้นเห็นจะพึ่งพาอาศรัยขัดสน ถึงจะมีความชอบก็กลับเปนผิดเหมือนโลติดฉนี้ เราจะกลับไปเมืองตุ้นก้วนดีกว่า เล่าปี่เห็นชอบด้วยก็ยกไปเมืองตุ้นก้วน ยกมาทางสองวันแล้วได้ยินเสียงโห่ร้องข้างหลังเขา เล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยควบม้าขึ้นไปดูบนเขาแลไปเห็นทัพหลวงแตก พวกโจรโพกผ้าเหลืองไล่มา เล่าปี่เห็นธงสำคัญจึงรู้ว่าทัพเตียวก๊กไล่ทัพตั๋งโต๊ะมา เล่าปี่กวนอูเตียวหุยจึงลงไปช่วยรบ ทัพเตียวก๊กกลับแตกหนีไปทางประมาณห้าร้อย ตั๋งโต๊ะจึงได้กลับไปค่าย แล้วให้หาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยมาถามว่า ตัวนี้เปนขุนนางตำแหน่งใด เล่าปี่บอกว่า ข้าพเจ้าจะได้เปนตำแหน่งที่ขุนนางนั้นหามิได้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นทำกิริยาดูหมิ่นมิได้นับถือ เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ลาออกมา เตียวหุยจึงว่าเราพี่น้องสามคนช่วยเอาชีวิตมันไว้รอดมันก็ไม่รู้คุณเรา กลับทำหยาบช้าดูหมิ่น ชอบแต่ฆ่าเสียจึงจะหายความแค้น แล้วจับดาบจะไปฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เล่าปี่กวนอูห้ามว่าอย่าทำเขาเปนข้าหลวง เตียวหุยตอบว่าถ้าไม่ฆ่ามันเสียเราจะต้องอยู่ให้มันใช้ มันจะดูถูกยิ่งกว่านี้ เพราะมันมีอาญาสิทธิ์ พี่ทั้งสองจะอยู่ก็อยู่เถิดข้าจะลาไปหาที่พึ่งอื่นแล้ว เล่าปี่กวนอูจึงว่าเราพี่น้องทั้งสามคนเปนกระไรก็เปนด้วยกัน ซึ่งจะพลัดกันนั้นไม่ควร จะไปไหนต้องไปด้วยกัน เตียวหุยจึงว่าถ้าดังนั้นจะค่อยคลายความแค้น แล้วเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกทหารกลับไปหาจูฮี ณ เมืองเองฉวน ให้ทหารรีบเดิรทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงก็พากันเข้าไปหาจูฮี แล้วเล่าข้อราชการทั้งปวงให้จูฮีฟังสิ้น จูฮีรักใคร่นับถือเล่าปี่กวนอูเตียวหุย เอาไว้เปนกองเดียวกัน จูฮีจึงว่าตั๋งโต๊ะนั้นบ้านอยู่ ณ เมืองหลวง ลายลิมโหย่เปนขุนนางชื่อฮ่องโต๋งทายสิว แลตั๋งโต๊ะนั้นมิได้รู้การหนักเบา มิได้รู้จักคนดีแลชั่วมีแต่ถือตัว ซึ่งท่านจะอยู่ด้วยนั้นหาประโยชน์มิได้

ฝ่ายโจโฉซึ่งไปตามเตียวโป้เตียวเหลียง ครั้นไม่พบแล้วก็กลับมาหาฮองฮูสง ณ เมืองเองฉวน เข้าทำราชการกองเดียวกันกับฮองฮูสง ๆ กับโจโฉ ครั้นรู้ข่าวว่าเตียวเหลียงอยู่ ณ เมืองโฉเหียง จึงยกทหารไปรบเตียวเหลียง ฝ่ายเตียวโป้นั้นไปตั้งอยู่ตำบลหลังเขาแห่งหนึ่ง มีพวกโจรอยู่ประมาณแปดหมื่นเก้าหมื่น

จูฮีครั้นรู้ข่าวจึงให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยเปนทัพหน้า จูฮีเปนทัพหลวง ยกทหารมารบเตียวโป้ ฝ่ายเตียวโป้จึงใช้โกเสงคุมพวกโจรออกมารบกับทัพหน้า เล่าปี่จึงให้เตียวหุยออกรบด้วยโกเสง ยังมิทันได้สามเพลงเตียวหุยเอาทวนแทงถูกโกเสงตกม้าตาย พวกโจรทั้งนั้นก็แตกไป เล่าปี่ขับทหารเข้าไล่ตีพวกโจร เตียวโป้จนความคิดจึงเสกคาถาให้เปนเมฆมืดอากาศฟ้าร้องลมพายุพัดหนักฝนตกแล้ว มีคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาแต่อากาศ ทหารเล่าปี่เห็นก็ตกใจ เล่าปี่จึงให้ถอยทัพมาปรึกษากับจูฮี ๆ จึงว่าเขาทำด้วยความรู้ เราจะให้ทหารเอาของโสโครกขึ้นไปซ่อนไว้บนเขา ถ้าทำดังนี้อีกให้ทหารสาดเอาความรู้ก็จะเสื่อมไป เล่าปี่จึงให้กวนอูเตียวหุยคุมทหารคนละพัน เอาของโสโครกขึ้นไปไว้บนเขาทั้งสองข้างซึ่งกระหนาบทางที่จะรบกันนั้น ครั้นรุ่งขึ้นเตียวโป้ยกพวกโจรออกมา เล่าปี่ยกทหารออกโจมตีพวกโจร เตียวโป้จึงเสกคาถาเปนเมฆมืดฟ้าร้องลมพัดหนักฝนตก เปนคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาจากอากาศเปนอันมาก เล่าปี่เห็นก็ทำถอยทัพมา เตียวโป้ก็ขับพวกโจรไล่ทหารเล่าปี่มาถึงเขากระหนาบสองข้างทาง กวนอูเตียวหุยจึงให้ทหารเอาของโสโครกแลโลหิตสุกรสุนัขนั้นสาดไปถูกพวกโจร แลคนขี่ม้าซึ่งลงมาแต่อากาศนั้นก็กลายเปนกระดาษ ม้านั้นก็กลายเปนมัดหญ้าไป เมฆแลฝนลมนั้นก็หายสว่างไป เตียวโป้เห็นเขาแก้ความรู้ได้ก็ถอยทัพมา จูฮีเล่าปี่ยกทหารตามรบไปจนถึงเขาทั้งสองนั้น ฝ่ายกวนอูเตียวหุยซึ่งอยู่บนเขาก็ยกทหารลงรบกระหนาบทั้งสองข้าง ทัพเตียวโป้แตกหนี เล่าปี่ยกทหารตามจึงแลไปเห็นมีหนังสือชื่อเตียวโป้ เตียวโป้นั้นหนีเข้าในป่า เล่าปี่เอาเกาทัณฑ์ตามยิงถูกไหล่ซ้ายเตียวโป้ ลูกเกาทัณฑ์ติดไหล่ไป เตียวโป้จึงหนีเข้าในเมืองเยียงเซียแล้วปิดประตูเมืองไว้ จูฮีกับเล่าปี่ขับทหารเข้าล้อมเมืองไว้ แล้วจึงเกณฑ์ทหารให้ไปสืบข่าวฮองฮูสงที่ไปรบเตียวเหลียง พอม้าใช้มาบอกแก่จูฮีเล่าปี่ว่า บัดนี้ฮองฮูสงยกพลไปรบกับเตียวก๊ก ๆ ตายก่อนแล้ว เตียวเหลียงผู้น้องเตียวก๊กคุมพลออกไปรบกับฮองฮูสง ๆ รบเตียวเหลียงแตกถึงเจ็ดครั้ง ครั้งหลังฮองฮูสงฟันเตียวเหลียงตายที่เมืองโฉหยงแล้ว แลพรรคพวกเตียวเหลียงนั้นมาเข้าเกลี้ยกล่อมเปนอันมาก ฮองฮูสงจึงคุมเอาพรรคพวกเตียวก๊กกับศพเตียวก๊กขึ้นไปถวายพระเจ้าเลนเต้ ๆ จึงเลื่อนที่ให้ฮองฮูสงเปนที่ติจงกุ๋น แปลว่าทหารสำหรับรักษาพระองค์ ให้กินเมืองบุยจิ๋วด้วย แล้วฮองฮูสงกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า โลติดนั้นมีความชอบในสงคราม จะได้มีความผิดเหมือนจูฮงกราบทูลนั้นหามิได้ พระเจ้าเลนเต้จึงให้ถอดโลติดออกพ้นโทษ แล้วจะให้คงที่ดังก่อน ฝ่ายโจโฉนั้นมีความชอบจึงโปรดให้ไปกินเมืองเจลำเซียง จูฮีเล่าปี่ซึ่งล้อมเมืองเยียงเซียอยู่ รู้ว่าทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยมีความชอบให้ไปกินเมืองเปนหลายตำบล จึงเร่งทหารเข้าตีเมืองเยียงเซียจะใกล้ได้อยู่แล้ว ลำแจ้งนายทหารโจรจึงคิดอ่านกับพวกโจรทั้งปวงลอบฆ่าเตียวโป้ผู้นายเสีย แล้วตัดสีสะออกมาให้จูฮีเล่าปี่ถึงนอกเมือง ตัวนั้นก็ยอมเข้าเกลี้ยกล่อมทำราชการด้วย จูฮีมีความยินดีนัก จึงแต่งหนังสือซึ่งได้ทำราชการมีความชอบนั้นบอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้

ฝ่ายเตียวฮ่องฮั่นต๋งซุนต๋องทหารเตียวก๊ก ครั้นเตียวก๊กตายแล้วก็ซ่องสุมพวกโจรได้หลายหมื่น ยกไปเที่ยวปล้นตีบ้านเมืองเผาเสียเปนหลายเมือง ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปบอกให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ๆ จึงให้มีตราไปถึงจูฮีให้จัดทหารที่มีฝีมือยกไปจับพวกโจร จูฮีจึงจัดทหารยกไปล้อมเมืองอ้วนเซียด้านตวันออก ให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยล้อมด้านตวันตก ฝ่ายเตียวฮ่องแต่งให้ฮั่นต๋งคุมทหารออกไปรบด้านซึ่งเล่าปี่ล้อมอยู่นั้น จูฮีคุมทหารเอกสองพันเข้ารบกระหนาบ ฝ่ายพวกโจรเหลือกำลังก็หนีกลับเข้าเมือง เล่าปี่แลทหารทั้งปวงตามตีเข้าไปจนถึงเชิงกำแพงล้อมเมืองไว้รอบ พวกโจรอยู่ในเมืองขัดสนด้วยสเบียงอาหาร ฮั่นต๋งจึงใช้ทหารออกมาหาจูฮี ขอเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยจูฮี จูฮีไม่รับ เล่าปี่จึงว่าครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้ราชสมบัตินั้น เพราะมีผู้มาเข้าเกลี้ยกล่อมเปนอันมาก เหตุไฉนท่านจึงไม่รับเกลี้ยกล่อมฮั่นต๋ง จูฮีตอบว่า ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น บ้านเมืองมิได้ปรกติมีเสี้ยนหนามเปนอันมาก พระเจ้าฮั่นโกโจจึงรับเกลี้ยกล่อมคนทั้งปวง ครั้งนี้มีจลาจลแต่โจรพวกเดียว ครั้นจะเอาพวกโจรเข้าไว้ในเกลี้ยกล่อม คนทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างว่าทำผิด แลถ้ามีผู้มาปราบปรามก็จะละพยศอันร้ายเสีย นานไปก็จะรื้อทำความชั่วไปอีก เล่าปี่จึงตอบว่าควรแล้ว แลซึ่งเราล้อมเมืองไว้นี้ก็รอบทั้งสี่ด้าน เมืองก็จวนจะเสียอยู่แล้ว อันพวกโจรก็เปนชายชาติทหาร อุปมาเหมือนสุนัขจนตรอก ไหนจะนิ่งให้ทหารเราจับโดยง่าย คงจะรบเปนสามารถ ทหารเราก็จะเสียบ้าง พวกโจรก็จะเสียบ้าง เหมือนเอาพิมเสนไปแลกเกลือ ขอให้ยกทหารด้านตวันออกเสีย เปิดให้พวกโจรออกไป จึงค่อยตามจับเอาเห็นจะได้สดวก จูฮีเห็นชอบด้วย สั่งทหารให้เลิกด้านตวันออกเสียแล้วมารุมตี ฮั่นต๋งจึงยกพลหนีออกจากเมืองด้านตวันออก จูฮีเล่าปี่กวนอูเตียวหุยสี่นายคุมทหารไล่ไป แล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกฮั่นต๋งตาย ทหารทั้งนั้นก็แตกไป

จูฮีเล่าปี่กวนอูเตียวหุยสี่นายพบเตียวฮ่องซุนต๋งซึ่งเปนพวกฮั่นต๋งนั้น คุมทหารขวางหน้าเข้ารบจูฮี ๆ เห็นพลเตียวฮ่องมากนักก็ถอยกลับมา เตียวฮ่องซุนต๋งก็ไล่รบไปชิงคืนเอาเมืองได้ จูฮีก็ถอยไปตั้งค่ายมั่นทางไกลเมืองประมาณร้อยหนึ่ง จูฮีคิดจะยกเข้ารบเอาเมืองอ้วนเซียอีก พอแลไปเห็นทหารพวกหนึ่งยกมาทางตวันออก แลนายทหารซึ่งยกมานั้นชื่อซุนเกี๋ยนกิริยาเหมือนเสือ หน้าผากใหญ่หน้ายาวเกิด ณ เมืองต๋องง่อ แลซุนเกี๋ยนเมื่ออายุสิบเจ็ดปีนั้น ไปเมืองเจียนต๋องกับบิดา ครั้นถึงปากนํ้าเมืองเจียนต๋อง พบโจรสิบคนตีชิงลูกค้าเอาของมาปันกันอยู่บนบก ซุนเกี๋ยนจึงว่าแก่บิดาว่า โจรเหล่านี้หยาบช้านักข้าจะขึ้นไปจับตัวให้ได้ แล้วซุนเกี๋ยนก็เดิรขึ้นไปทำอาการดุจดังขุนนางเรียกบ่าวไพร่ทั้งปวงอื้ออึง ฝ่ายโจรสิบคนเห็นก็ตกใจทิ้งของเสียวิ่งหนีไป ซุนเกี๋ยนไล่ตามฆ่าโจรตายคนหนึ่ง เก้าคนนั้นหนีไปได้ กิตติศัพท์ทั้งนี้ก็รู้ไปถึงเจ้าเมืองเจียนต๋อง ๆ จึงเอาตัวเข้าไปตั้งให้เปนนายทหาร

อยู่มาหือฉงเปนขบถคุมพลได้หลายหมื่น ตั้งตัวเปนเจ้าชื่อว่าเจ้ายังเป๋ง แลผู้รักษาเมืองกับซุนเกี๋ยนรู้ จึงเกลี้ยกล่อมชาวเมืองซึ่งกล้าแขงได้พันเศษ จึงไปรบที่เมืองหือฉงฟันหือฉงกับลูกหือฉงตาย ผู้รักษาเมืองจึงบอกหนังสือความชอบขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้แก่ซุน เกี๋ยน ครั้นอยู่มาพวกโจรโพกผ้าเหลืองคุมพวกเพื่อนเที่ยวตีบ้านเมืองกำเริบใหญ่หลวง ขึ้น ฝ่ายซุนเกี๋ยนรู้ข่าวว่าจูฮีจะปราบโจรทั้งปวงมีความยินดีนัก จึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านชาวเมือง กับทหารเมืองอ้วนเซียทั้งสองเหล่า ได้คนประมาณพันห้าร้อยแล้วยกมา ซุนเกี๋ยนมาถึงจูฮีแล้วบอกแก่จูฮีว่าข้าพเจ้าจะขออาสาปราบโจร จูฮีมีความยินดีนัก จึงจัดทหารทั้งปวงแล้วให้เล่าปี่ยกเข้าตีด้านเหนือ ให้ซุนเกี๋ยนยกเข้าตีด้านใต้ แล้วจูฮีนั้นยกเข้าตีด้านตวันตกเมืองอ้วนเซีย ไว้ช่องแต่ด้านตวันออก แลซุนเกี๋ยนนั้นปีนกำแพงเมืองอ้วนเซียเข้าไปไล่ฟันพวกโจรบนเชิงเทินตาย ยี่สิบเศษ แลพวกโจรทั้งปวงตกใจแตกไป ฝ่ายเตียวฮ่องเห็นซุนเกี๋ยนปีนกำแพงเมืองขึ้นมาฆ่าฟันพรรคพวกตายก็โกรธ จึงขึ้นม้าถือง้าวมาจะรบด้วยซุนเกี๋ยน ๆ เห็นเตียวฮ่องขี่ม้ามาถึงริมเชิงเทิน ซุนเกี๋ยนจึงโจนด้วยกำลังไปชิงเอาง้าวได้ แล้วฟันเตียวฮ่องตกม้าตาย จับเอาม้านั้นมาขี่แล้วขับม้าไล่ฟันพวกโจรทั้งนั้นแตกตื่นไป ฝ่ายซุนต๋งเห็นจะต่อสู้ด้วยซุนเกี๋ยนมิได้ ก็ขี่ม้าพาพวกโจรทั้งนั้นจะหนีออกประตูด้านเหนือ พอเห็นเล่าปี่ตีกระหนาบเข้ามา ซุนต๋งตกใจคิดว่ากูครั้งนี้เห็นจะไม่พ้นมือเล่าปี่จะคิดเอาแต่รอดชีวิตเถิด ซุนต๋งก็ถอยเข้ามา เล่าปี่ก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกซุนต๋งตกม้าตาย ฝ่ายจูฮีเห็นก็ขับทหารทั้งปวงเข้าเมืองได้ ฆ่าพวกโจรตายประมาณหมื่นเศษ แล้วยกไปตีเมืองทั้งปวงซึ่งโจรรบได้ไว้นั้นถึงสิบสี่สิบห้าหัวเมือง แลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็ค่อยอยู่เย็นเปนสุข แล้วจูฮีก็ยกทัพกลับไปเมืองหลวง แจ้งเนื้อความแก่เสนาบดี แลเสนาบดีจึงเอาความกราบทูลแก่พระเจ้าเลนเต้ ๆ ให้ปูนบำเหน็จจูฮีให้เปนนายทหารใหญ่มีตำแหน่งเฝ้า แล้วให้เปนที่เจ้าเมืองโห้หลํ้า จูฮีจึงกราบทูลความชอบซุนเกี๋ยนกับเล่าปี่ซึ่งได้ทำการปราบโจร พระเจ้าเลนเต้ให้ซุนเกี๋ยนไปเปนกรมการหัวเมือง แต่เล่าปี่นั้นมิได้ตรัสประการใด แต่เล่าปี่คอยท่าบำเหน็จอยู่ในเมืองหลวงนั้นประมาณเดือนเศษ มิได้สมความปราถนาก็เสียนํ้าใจนัก


[๑] เรื่องห้องสิน
[๒] เรื่องไซ่ฮั่น
[๓] เรื่องตั้งฮั่น
[๔] ตามฉบับไทยมีชื่อขันทีเพียง ๙ คน สอบฉบับจีนได้ชื่อ “เชียกง” อีกคน ๑ จึงรวมเต็ม ๑๐ คน


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 1

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnS0tRVHhnUDlmUGc/view?resourcekey=0-ulAz61B3x5PfSrXS3J9njg


-------------------------------------------------



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #2 on: 21 December 2021, 17:53:34 »

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 2


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-2.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 2
  สามก๊กวิทยา  01 กุมภาพันธ์ 2560

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 2

เนื้อหา
• เล่าปี่ได้เป็นผู้รักษาเมืองอันห้อก้วน
• เตียวหุยทำให้เล่าปี่ต้องหนีจากเมืองอันห้อก้วน
• พวกขันทีในเมืองหลวงกำเริบ
• เล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน
• พระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์
• เกิดเกี่ยงแย่งด้วยเรื่องรัชทายาท
• โฮจิ๋นกำจัดศัตรูหองจูเปียนราชบุตรองค์ใหญ่
• โฮจิ๋นคิดกำจัดพวกขันที

วัน หนึ่งเล่าปี่จึงชวนกวนอูเตียวหุยไปเที่ยวชมบ้านเมืองจะให้หายรำคาญใจ พอพบเตียวกิ๋นซึ่งเปนขุนนางอยู่ในพระเจ้าเลนเต้ขี่เกวียนมา เล่าปี่มีความยินดียกมือขึ้นคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้านี้มีความชอบได้ช่วยจูฮีทำการปราบโจรหาผู้ใดจะทูลเสนอความชอบให้ไม่ เตียวกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงพาเล่าปี่เข้าไปเฝ้า แล้วทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นทั้งนี้เพราะเหตุด้วยพระองค์เชื่อฟังขันทีสิบคน ขันทีสิบคนนั้นตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎร กลับจริงเปนเท็จ เท็จเปนจริง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเปนยุติธรรมนั้นให้ถอดเสีย เอาสินบนผู้หาสัตย์ไม่เอามาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย บ้านเมืองก็เกิดจลาจลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาคุมเท่าบัดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้เอาขันทีสิบคนไปตัดสีสะตระเวนประกาศแก่อาณาประชาราษฎร ทั้งปวงให้ทั่วทุกหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ใครมีสติปัญญาเปนยุติธรรมมีความชอบก็ให้ตั้งเปนขุนนางโดยยศถาศักดิ์ตามสมควร บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเปนสุขสืบไป ขันทีสิบคนเฝ้าอยู่ได้ยินจึงกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า เตียวกิ๋นเปนแต่ขุนนางผู้น้อย บังอาจมิได้กลัวพระราชอาญา เข้ามาทูลสั่งสอนพระองค์นั้นไม่ควร พระเจ้าเลนเต้จึงสั่งบู๋ซูให้ขับเตียวกิ๋นออกไปเสียจากที่เฝ้า ขันทีสิบคนจึงคิดกันว่า เตียวกิ๋นมากราบทูลกล่าวโทษเราทั้งนี้เปนข้อใหญ่ ชรอยมันไปทำการศึกรบโจรมีความชอบหาผู้ใดจะทูลความชอบให้ไม่ มันจึงโกรธอาจใจเข้ามาทูลเองดังนี้ ครั้นเราจะให้ทำโทษตอบบัดนี้ ความนินทาก็จะมีแก่เรา อย่าเลยเราจะนิ่งไว้ก่อน ต่อนานไปจึงคิดอ่านฆ่าเสียก็จะไม่พ้นมือเรา พระเจ้าเลนเต้จึงทรงพระดำริห์ว่า เล่าปี่ก็มีความชอบอยู่จึงสั่งให้เสนาบดีปูนบำเหน็จเล่าปี่ เสนาบดีปรึกษาให้เล่าปี่เปนผู้รักษาเมืองอันห้อก้วน เล่าปี่จึงให้ทหารซึ่งมาด้วยนั้นกลับไปที่อยู่ จัดเอาแต่คนสนิธประมาณยี่สิบคนไว้ แล้วพากวนอูเตียวหุยกับคนยี่สิบคนนั้น ไปอยู่ ณ เมืองอันห้อก้วนได้ประมาณเดือนเศษ เล่าปี่เกลี่ยไกล่อาณาประชาราษฎรซึ่งวิวาทมีคดีแก่กันนั้น มากให้น้อยลง น้อยนั้นให้หายเสีย ราษฎรทั้งปวงได้ความสุข ยกมือไหว้สรรเสริญเล่าปี่เปนอันมาก แล้วกวนอูเตียวหุยนั้นมีใจภักดีต่อเล่าปี่เปนอันมาก เวลาเล่าปี่ออกว่าราชการ กวนอูเตียวหุยมิได้ขาดหน้า อุตส่าห์พิทักษ์รักษากัน ครั้นอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง มีหนังสือรับสั่งให้ต๊กอิ้วถือมาถึงเล่าปี่ว่า ถ้าเปนไพร่ได้เลื่อนที่เปนขุนนางหัวเมืองขึ้นแล้ว จะเรียกเอาส่วย เล่าปี่รู้ข่าวก็ออกไปรับถึงนอกเมือง เล่าปี่คำนับหนังสือรับสั่งตามธรรมเนียมแล้วถามข้อราชการแก่ต๊กอิ้ว ๆ มิได้เกรงเล่าปี่ บอกข้อราชการแล้วเอาแซ่ม้าชี้หน้าเล่าปี่ กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็โกรธ แต่มิได้ว่าประการใด แล้วเล่าปี่เชิญต๊กอิ้วเข้าไปในเมือง จัดแจงที่ให้อยู่ตามธรรมเนียม แลต๊กอิ้วนั่งอยู่บนที่สูง เล่าปี่นั้นยืนอยู่ตามตำแหน่ง ต๊กอิ้วจึงถามเล่าปี่ว่า ตัวมีความชอบสิ่งใดจึงได้เปนผู้รักษาเมือง เล่าปี่ตอบว่าข้าเปนเชื้อพระเจ้าฮั่นโกโจอยู่ แต่ว่าบุญน้อยจึงได้เปนผู้น้อยอยู่ ณ เมืองตุ้นก้วน ครั้งโจรโพกผ้าเหลืองเปนขบถนั้น ข้าก็ได้อาสาแผ่นดินออกรบโจรถึงสามสิบสี่สามสิบห้าครั้ง มีความชอบหน่อยหนึ่งจึงโปรดให้มารักษาเมืองนี้ ต๊กอิ้วได้ยินดังนั้นตวาดเพิดให้เล่าปี่แล้วว่า เองนี้ทนงศักดิ์อ้างอวดว่าเปนเชื้อพระวงศ์ ข้อว่าได้ไปรบโจรถึงสามสิบสี่สามสิบห้าครั้งนั้น เราพิเคราะห์ดูรูปร่างเช่นนี้ไม่เห็นสมทำการศึก อย่าพูดโกหกเราหาเชื่อตัวท่านไม่ ซึ่งว่าเปนผู้รักษาเมืองก็ดีแล้ว บัดนี้มีรับสั่งให้เราลงมาเรียกเอาส่วยแก่ขุนหมื่นที่เปนขึ้นใหม่ เล่าปี่รับคำแล้วมิได้ตอบคำประการใดก็ลาไปที่อยู่ เล่าปี่จึงหาปลัดมาปรึกษาว่า ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาว่าดังนี้เราจะทำประการใด ปลัดจึงว่าต๊กอิ้วทำสง่าทั้งนี้ ปราถนาจะเอาสินบนเปนประโยชน์แก่ตัว เล่าปี่จึงว่าตั้งแต่เรามาอยู่เมืองนี้จะได้ค่าธรรมเนียมแลเบียดเบียฬด้าย เส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งแก่อาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะเอาสิ่งใดมาให้สินบนแก่ต๊กอิ้วนั้นก็ขัดสนอยู่แล้ว ครั้นรุ่งขึ้นต๊กอิ้วจึงเอาตัวปลัดลอบมาขู่เข็นโบยตี จะให้ปลัดนั้นว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร ปลัดจะได้ว่าตามคำต๊กอิ้วหามิได้ เล่าปี่รู้ก็มาจะเข้าไปหาต๊กอิ้ว นายประตูห้ามมิให้เข้าไป เล่าปี่ก็กลับมาที่อยู่

ฝ่ายเตียวหุยเสพย์สุราแล้วขี่ม้าจะไปเที่ยวเล่น ครั้นมาถึงตรงประตูที่อยู่ต๊กอิ้ว เห็นคนแก่ยืนร้องไห้อยู่ประมาณห้าสิบหกสิบคน เตียวหุยจึงถามว่ามาร้องไห้อยู่นี่ด้วยเหตุอันใด คนทั้งปวงจึงบอกว่าต๊กอิ้วให้เอาปลัดมาโบยตี ให้ซัดว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร ครั้นข้าพเจ้าชวนกันจะเข้าไปขอโทษ นายประตูมิให้เข้าไปแล้วซ้ำตีข้าพเจ้าอีกเล่า ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายจึงร้องไห้อยู่ฉนี้ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธโจนลงจากหลังม้าวิ่งเข้าไปถึงประตู นายประตูห้ามก็มิฟัง ครั้นเตียวหุยเข้าไปในประตูเห็นปลัดต้องมัดมือมัดเท้าอยู่ ต๊กอิ้วนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ เตียวหุยตวาดแล้วร้องว่า อ้ายขี้ฉ้อใหญ่มึงรู้จักกูหรือไม่ ต๊กอิ้วตกใจเงยขึ้นเห็นเตียวหุยยังมิทันจะตอบประการใด เตียวหุยเข้าจับจิกผมกระชากต๊กอิ้วตกลงจากเก้าอี้ แล้วเอาผมกระหมวดมือลากออกมาถึงศาลากลาง จึงเอาผมต๊กอิ้วผูกกับหลักม้า แล้วหักเอากิ่งสนธิ์มาตีต๊กอิ้วเจ็บปวดเปนสาหัส ฝ่ายเล่าปี่กลับเข้ามานั่งทุกข์อยู่ พอได้ยินเสียงต๊กอิ้วร้องอื้ออึงขึ้น จึงถามทนายว่าเสียงอันใดอึงอยู่นั้น ทนายบอกว่าเสียงเตียวจงกุ๋นน้องท่านเอาผู้ใดมาตีนั้นไม่แจ้ง เล่าปี่กริ่งใจเดิรออกไปเห็นเตียวหุยเอาต๊กอิ้วมาผูกตีอยู่ เล่าปี่ตกใจจึงวิ่งเข้าไปถามเตียวหุยว่า เอาท่านข้าหลวงมาตีด้วยเหตุอันใด เตียวหุยจึงบอกว่าอ้ายนี้มันขี้ฉ้อใหญ่ แล้วเปนคนหยาบช้าไว้มันมิได้ ชอบตีเสียให้ตาย ต๊กอิ้วเห็นเล่าปี่มาจึงร้องว่าเล่าปี่เอ๋ยช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เล่าปี่ได้ยินดังนั้นมีใจเมตตาสัตว์หาความพยาบาทมิได้ จึงห้ามเตียวหุย ๆ ก็หยุดมือลง พอกวนอูเดิรออกมาจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เราทำความชอบอาสาแผ่นดินมาเปนหลายครั้งก็ได้เปนแต่เพียงนี้ แต่ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาแล้วว่าหยาบช้าดูหมิ่นนอกรับสั่งให้ได้อัปยศดังนี้ อันเราพี่น้องสามคนอุปมาประดุจหงส์ ซึ่งจะอาศรัยในป่านี้ไม่สมควร เราจะฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วชวนกันไปอยู่บ้านเมืองที่อาศรัยแห่งเราดีกว่า ภายหลังจึงจะค่อยคิดการใหญ่สืบไป เล่าปี่ได้ยินกวนอูว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงกลับเข้าไปเอาตราสำหรับที่มาผูกคอต๊กอิ้วไว้แล้วจึงว่า ตัวเองเปนข้าหลวงมาทำขี้ฉ้อดังนี้ควรแต่เราตัดสีสะเสีย นี่เราให้ชีวิตตัวไว้ บัดนี้เราไม่พอใจอยู่ทำราชการแล้ว เองจงเอาตรานี้กลับไปเมืองด้วยเถิด เราก็จะไปบ้านเมืองที่อาศรัยแห่งเรา แล้วเล่าปี่ก็พากวนอูเตียวหุยกับพรรคพวกยี่สิบคนนั้นออกจากเมืองอันห้อก้วน

ฝ่ายต๊กอิ้วจึงเอาตราสำหรับที่เล่าปี่ พาพรรคพวกมาถึงเมืองเต๊งจิ๋วแล้วเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่เจ้าเมืองเต๊ง จิ๋ว ๆ จึงให้มีหนังสือไปทุกหัวเมือง ให้จับเล่าปี่กวนอูเตียวหุยสามคนผู้กระทำผิดส่งเข้ามา ฝ่ายเล่าปี่ครั้นมาถึงกลางทาง ได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วให้มีหนังสือมาให้จับตัวส่งนั้น ครั้นจะไปให้ถึงเมืองตุ้นก้วนเห็นจะไม่ทันที เล่าปี่รู้ว่าเล่าเก๊งซึ่งเปนเจ้าเมืองไต้จิ๋วนั้นเปนแซ่เดียวกัน จึงคิดว่า อย่าเลยจะเข้าไปอาศรัยเล่าเก๊งเห็นจะพ้นภัย คิดแล้วก็พากวนอูเตียวหุยกับพรรคพวกเข้าไปหาเล่าเก๊ง ณ เมืองไต้จิ๋ว แล้วบอกเนื้อความแต่หลังให้ฟ้ง เล่าเก๊งนั้นแจ้งในหนังสือเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วซึ่งให้มา ครั้นแจ้งคำซึ่งเล่าปี่มาบอกดังนั้นก็คิดสงสารว่าเปนแซ่เดียวกัน แล้วเปนเชื้อพระวงศ์อยู่ เล่าเก๊งจึงเอาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยเปลื่ยนชื่อเสียซ่อนไว้ในบ้าน

ฝ่ายขันทีสิบคนนั้นพระเจ้าเลนเต้โปรดปรานนัก จะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาด แลเตียวต๋งเตียวเหยียงขันทีสองนายนั้น จึงใช้ทนายสองคนไปว่ากล่าวแก่ขุนนางแลทหารทั้งปวงซึ่งได้ไปรบโจรโพกผ้า เหลืองนั้นว่า ถ้าผู้ใดมีทรัพย์เข้าของเงินทองเอาไปให้แก่ขันทีนายเรา แล้วนายเราจะช่วยทูลเสนอความชอบให้ ถ้าใครมิได้ให้นายเราจะทูลให้ถอดเสียจากที่ขุนนาง ฝ่ายห้องหูโก๋แลจูฮีซึ่งเปนทหารผู้ใหญ่นั้น มิได้ทำตามคำทนายทั้งสองว่านั้น เตียวต๋งเตียวเหยียงจงกราบทูลยุยงพระเจ้าเลนเต้ให้ถอดห้องหูโก๋จูฮีออกเสีย จากที่ขุนนาง พระเจ้าเลนเต้ก็ทำตาม แล้วตั้งให้เตียวต๋งเตียวเหยียงเปนที่แทนห้องหูโก๋ แลขันทีแปดคนก็เลื่อนขึ้นไปเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่สิ้น ราชการนั้นก็ฟั่นเฟือนไป ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน

ฝ่ายคูเสงเปนพวกโจรโพกผ้าเหลือง หนีมาอยู่ ณ เมืองเตียงสาเกลี้ยกล่อมชักชวนพวกเพื่อนปล้นตีอาณาประชาราษฎรทั้ง ปวงเปนหลายตำบล หาผู้ใดจะต้านต่อจับกุมมิได้ แลเตียวกีเตียวซุ่นอยู่ ณ เมืองยีหยงเกลี้ยกล่อมผู้คนได้เปนอันมากคิดขบถ เตียวกีนั้นตั้งตัวเปนเจ้า เตียวซุ่นเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ทำการหยาบช้าต่าง ๆ แลหัวเมืองทั้งปวงจึงบอกหนังสือขึ้นไปถึงเมืองหลวงเปนหลายครั้ง ขันทีสิบคนปิดเสียมิได้เอาเนื้อความกราบทูล

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้จึงเสวยไชย บานอยู่ แลขันทีสิบคนก็กินสุราอยู่หน้าที่นั่ง แลเล่าโต๋พระพี่เลี้ยงพระเจ้าเลนเต้นั้นรู้ว่าพวกโจรเปนขบถขึ้นอีก พระเจ้าเลนเต้มิได้ทราบ เล่าโต๋ตกใจจึงตามเสด็จเข้าไปในสวน พระเจ้าเลนเต้เห็นจึงตรัสถามว่า เล่าโต๋ทำหน้าตื่นตกใจเข้ามาว่าไร เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า พระองค์ไม่แจ้งหรือ บัดนี้หัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจลขึ้นอีก บ้านเมืองจะเปนอันตรายอยู่แล้ว พระองค์ยังมาเสวยสุราอยู่อีกเล่า พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่าหัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจล เราใช้ให้ทหารไปปราบสงบแล้วเปนไฉนมาซ้ำว่าดังนี้เล่า เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า หัวเมืองทั้งปวงซึ่งเกิดจลาจลครั้งนี้ เพราะเหตุขันทีสิบคนว่าราชการตัดสินคดีราษฎรมิได้เปนยุติธรรม ข้าพเจ้าแจ้งเนื้อความแล้วครั้นจะมิกราบทูลก็เหมือนหนึ่งหามีกตัญญูต่อ พระองค์ไม่ แลขันทีสิบคนได้ยินเล่าโต๋ทูลก็ตกใจ เข้าไปหน้าที่นั่งทำอุบายถอดหมวกแล้วร้องไห้ทูลว่า ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงเห็นว่าพระองค์โปรดเลี้ยงข้าพเจ้า ๆ ก็ทำราชการโดยสุจริต ขุนนางทั้งปวงกับเล่าโต๋มีใจริษยาข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการสืบไปนั้นเห็นจะไม่รอดชีวิต ข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้จะขอออกจากที่เอาแต่ชีวิตรอดไว้ แลทรัพย์สิ่งสินของข้าพเจ้าทั้งปวงนั้น ขอถวายพระองค์ให้พระราชทานทแกล้วทหารซึ่งทำราชการ แต่ตัวข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอกราบถวายบังคมลาไปทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต พระเจ้าเลนเต้ได้ฟังขันทีทูลดังนั้นก็ทรงพระโกรธเล่าโต๋นัก จึงตรัสว่าตัวเปนพี่เลี้ยงที่บ้านเรือนของตัวนั้นก็ย่อมมีคนสนิธใช้สอยอยู่ แลตัวเราเปนเจ้าอยู่ในราชสมบัติมีคนซึ่งสนิธใช้สอยบ้าง ตัวมาริษยาว่ากล่าวให้เราขัดเคืองดังนี้ ซึ่งว่ามีกตัญญูนั้นเราเห็นไม่จริง แล้วสั่งบู๋ซูฝ่ายซ้ายให้เอาตัวเล่าโต๋ไปฆ่าเสีย บู๋ซูก็เข้าลากเอาตัวเล่าโต๋ เล่าโต๋จึงร้องขึ้นหน้าพระที่นั่งว่า ซึ่งรับสั่งให้ฆ่าข้าพเจ้านั้นไม่เสียดายชีวิต ข้าพเจ้าคิดเสียดายแต่ราชสมบัติของพระเจ้าฮั่นโกโจ ซึ่งสั่งสมมาแต่ก่อนได้ถึงสี่ร้อยปีเศษมาแล้ว[๑] บ้านเมืองหาเปนจลาจลมิได้ ครั้งนี้จะเปนอันตรายเสียมั่นคง บู๋ซูก็พาเอาตัวเล่าโต๋ออกไปถึงตำแหน่งฆ่าคนเงื้อดาบขึ้นจะฆ่า พอตันต๋ำเห็นก็ร้องห้ามไว้ว่า อย่าเพ่อฆ่าเสียก่อน เราจะเข้าไปทูลสนองพระเจ้าเลนเต้ให้รู้ความผิดแลชอบก่อน ตันต๋ำเข้าไปยังสวนดอกไม้ ทูลถามพระเจ้าเลนเต้ว่า เล่าโต๋เปนพระพี่เลี้ยงได้ทำนุบำรุงสั่งสอนพระองค์มาแต่ก่อน แลเล่าโต๋กระทำความผิดสิ่งใดพระองค์จึงสั่งให้ประหารชีวิต พระเจ้าเลนเต้ได้ฟังตันต๋ำทูลถามดังนั้นจึงตรัสว่า เล่าโต๋เปนผู้ใหญ่หาความคิดมิได้ เอาความมิจริงมาว่ากล่าวยุยงใส่โทษขันทีสิบคนซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วหยาบช้าต่อเรา ตันต๋ำจึงทูลว่าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งอาณาประชาราษฎรในเมืองแลหัวเมือง ได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก มีใจชังจะใคร่กินเนื้อขันทีสิบคนเสีย แลพระองค์มีพระทัยรักขันทีสิบคนดุจหนึ่งพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ แลจะได้มีความชอบสิ่งใดหามิได้ พระองค์ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่นั้นไม่สมควร อนึ่งฮองสีขันทีก็คิดการขบถเปนไส้ศึกเข้าด้วยพวกโจรโพกผ้าเหลือง มีผู้มากราบทูลพระองค์ ๆ มิได้ชำระให้เห็นเท็จจริง พระองค์แกล้งนิ่งเสีย จะให้ราชสมบัติเปนอันตราย พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่า มีผู้มากราบทูลว่าฮองสีเปนขบถนั้นหาจริงไม่ แลขันทีสิบคนนี้เราเลี้ยงถึงขนาด ถ้าฮองสีเปนขบถจริงขันทีเก้าคนหาเปนขบถสิ้นไม่ ดีร้ายจะมีใจสุจริตต่อเราสักคนหนึ่งสองคน เห็นจะเอาเนื้อความมาบอกเรา ตันต๋ำเห็นว่าพระเจ้าเลนเต้รักขันทีสิบคนอยู่ ซึ่งจะพิททูลว่ากล่าวไปนั้นเห็นขัดสน ตันต๋ำมีความแค้นใจ จึงเอาสีสะชนแท่นซึ่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จประทับอยู่นั้นจนสีสะแตกโลหิตไหล พระเจ้าเลนเต้ทรงพระโกรธ จึงสั่งบู๋ซูฝ่ายซ้ายให้เอาตัวตันต๋ำกับเล่าโต๋ซึ่งจะให้ฆ่าเสียนั้นเอาไปจำ ใส่คุกไว้ ครั้นเวลาคํ่าขันทีสิบคนคิดกันแล้วจึงเรียกผู้คุมมาสั่งว่า ถ้าเวลาเที่ยงคืนให้ลอบฆ่าตันต๋ำเล่าโต๋เสีย ผู้คุมก็ไปทำตามขันทีสั่ง แล้วขันทีสิบคนจึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งไปถึงซุนเกี๋ยนว่า ให้ซุนเกี๋ยนไปกินเมืองเตียงสาแล้วให้ปราบคูเสงซึ่งเปนพวกโจรนั้นเสียให้ราบ คาบ แลซุนเกี๋ยนรู้หนังสือรับสั่งแล้วก็ยกไปปราบพวกโจร ปราบแล้วก็บอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ทราบจึงทรงพระดำริห์ว่า ซุนเกี๋ยนมีความชอบ เมืองกังแฮเปนหัวเมืองเอก จึงให้แต่งหนังสือรับสั่งให้ซุนเกี๋ยนไปกินเมืองกังแฮ แล้วให้เล่าหงีเปนเจ้าเมืองอิจิ๋ว ให้ยกไปตีเตียวกีเตียวซุ่นซึ่งตั้งตัวเปนเจ้า ณ เมืองยีหยง

ฝ่ายเล่าเก๊งรู้ในรับสั่งว่าเล่าหงีจะไปรบเตียวกีเตียวซุ่น เล่าเก๊งจึงเขียนหนังสือให้เล่าปี่ถือไปหาเล่าหงี ในหนังสือนั้นว่า เล่าเก๊งเล่าปี่กับเล่าหงีเปนแซ่เดียวกัน จะขอให้เล่าปี่ไปทำการศึกด้วย เล่าหงีรู้หนังสือนั้นแล้วก็มีความยินดีนัก จึงจัดแจงทหารทั้งปวง ตั้งให้เล่าปี่เปนนายทหารแล้วยกไปเมืองยีหยง เล่าหงีจึงให้เล่าปี่คุมทหารเข้าหักค่ายเมืองยีหยงเปนสามารถ ทหารทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันตายเปนอันมาก แลเล่าปี่ตั้งรบอยู่นั้นเปนหลายวัน แลเตียวซุ่นนั้นใจหยาบช้าร้ายกาจนัก พรรคพวกบ่าวไพร่ทั้งปวงมีความเจ็บแค้นเปนอันมาก ครั้นเวลากลางคืนเตียวซุ่นนอนหลับอยู่ ทหารซึ่งสนิธนั้นจึงลอบฆ่าเตียวซุ่นเสียแล้วตัดเอาสีสะพาพวกเพื่อนออกไปให้ เล่าปี่ เตียวกีครั้นเห็นเตียวซุ่นตาย แลทหารทั้งปวงเอาใจออกหากเปนอันมาก ก็สิ้นความคิด จึงเอาดาบเชือดคอตาย แลราษฎรในเมืองยีหยงค่อยมีความสุขราบคาบ

เล่าหงีจึงแต่งหนังสือบอกความชอบเล่าปี่ไปให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่าเล่าปี่มีความผิดอยู่ครั้งตีต๊กอิ้ว เอาความชอบนั้นยกโทษเสีย แล้วให้ไปรักษาบ้านแฮปิดปลายด่าน กองซุ่นจ้านจึงทูลว่า เล่าปี่นี้แต่ก่อนก็มีความชอบอยู่ ขอให้ไปกินเมืองเพงงวนก๋วนเถิด พระเจ้าเลนเต้ก็โปรดให้ เล่าปี่ก็ไปอยู่เมืองเพงงวนก๋วน เมืองนั้นมีทหารเปนอันมาก เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ เล่าปี่ค่อยมีใจกว้างขวางกว่าแต่ก่อน ฝ่ายพระเจ้าเลนเต้จึงให้เล่าหงีซึ่งมีความชอบมาเปนนายทหารอยู่ในเมืองหลวง

พระเจ้าเลนเต้มีอัคมเหษีคนหนึ่งชื่อนางโฮเฮา มีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อห้องจูเปียน แลนางอองบีหยินสนมเอกมีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อหองจูเหียบ แลนางโฮเฮานั้นมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อโฮจิ๋น ๆ นั้นพระเจ้าเลนเต้ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่เปนที่ปรึกษา แต่พระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์ได้หกปีเศษแล้ว แลนางโฮเฮานั้นมีความหึงสาแก่นางอองบีหยิน นางโฮเฮาจึงพาลเอาความผิดเปนข้อใหญ่ สั่งให้เอานางอองบีหยินไปฆ่าเสีย นางตังไทฮอผู้เปนมารดาพระเจ้าเลนเต้นั้นจึงเอาหองจูเหียบผู้หลานไปเลี้ยงไว้ แล้วขึ้นไปว่าแก่พระเจ้าเลนเต้ว่า สมบัตินี้ขอให้หองจูเหียบเสวยราชย์เถิด แต่นางตังไทฮอขึ้นอ้อนวอนพระเจ้าเลนเต้เปนหลายครั้ง พระเจ้าเลนเต้มีความรักแก่หองจูเหียบ จึงรับคำนางตังไทฮอผู้มารดา

ครั้นอยู่มาณเดือนหกพระเจ้าเลนเต้ทรงพระประชวรหนัก จึงมีขันทีคนหนึ่งชื่อเกนหวน นอกจากขันทีสิบคน กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า ซึ่งพระองค์รับคำตังไทฮอผู้เปนพระมารดาว่า จะให้หองจูเหียบเสวยราชสมบัตินั้น ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วย แต่ว่าจะมิฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อนนั้นเห็นไม่ได้ พระเจ้าเลนเต้เห็นชอบด้วย จึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามาจะปรึกษาราชการด้วย โฮจิ๋นก็เข้ามาถึงประตูวังพอพบขุนนาง พัวอิ๋นจึงบอกว่า บัดนี้เกนหวนคิดอ่านจะฆ่าท่านเสีย ท่านอย่าเข้าไปเลย โฮจิ๋นได้ยินข่าวก็ตกใจกลับมาบ้าน จึงให้หาขุนนางทั้งปวงมากินโตะแล้วปรึกษาว่า เราจะคิดฆ่าเกนหวนเสีย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด โจโฉได้ยินดังนั้นจึงว่า อันเกนหวนนั้นพระเจ้าเลนเต้ก็โปรดปราน พรรคพวกในวังก็มีเปนอันมาก ท่านคิดการทั้งนี้เกลือกจะมิสำเร็จจะไม่ตายแต่ตัว จะพาญาติพี่น้องตายเสียสิ้น ขอท่านจงดำริห์ดูให้ควรก่อน โฮจิ๋นได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวเปนแต่ผู้น้อยเราคิดการใหญ่หลวงตัวไม่รู้ ตัวมาว่าดังนี้ไม่ควร ขุนนางทั้งปวงยังนิ่งอยู่

ฝ่ายพระเจ้าเลนเต้ทรงพระประชวรหนักก็สวรรคต พัวอิ๋นแจ้งเนื้อความซึ่งขันทีคิดนั้นจึงไปบอกโฮจิ๋นว่า บัดนี้พระเจ้าเลนเต้สวรรคตแล้ว ขันทีสิบคนกับเกนหวนคิดกันปิดเนื้อความเสีย จะให้มีรับสั่งพระเจ้าเลนเต้มาหาท่านให้เข้าไปในวังแล้วจะจับฆ่าเสีย เพราะจะให้หองจูเหียบขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงจะสิ้นเสี้ยนหนามไปภายหน้า โฮจิ๋นยังมิได้ตอบประการใด พอขันทีเลวมาบอกว่า มีรับสั่งให้หาโฮจิ๋นเข้าไปข้างในจะปรึกษาราชการเปนการเร็ว โจโฉจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า เราจำจะตั้งให้หองจูเปียนผู้เปนพระราชบุตรเอกให้เสวยราชสมบัติเสียก่อน เราจึงคิดฆ่าเกนหวนกับพรรคพวกเหล่าร้ายเสีย โฮจิ๋นจึงตอบว่าเมื่อเปนดังนี้ผู้ใดจะอาสาฆ่าอ้ายเหล่าศัตรูราชสมบัติเสีย ได้บ้าง อ้วนเสี้ยวได้ยินโฮจิ๋นว่าดังนั้น จึงว่าข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารห้าพันเข้าทำการจับขันทีสิบคนกับเกนหวนฆ่าเสีย แล้วจึงยกหองจูเปียนขึ้นเสวยราชสมบัติตามราชประเพณี โฮจิ๋นได้ยินมีความยินดีนัก จึงจัดทหารห้าพันถือเครื่องศัสตราวุธครบมือกันให้แก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารเข้าไป โฮจิ๋นให้โหหยองซุนสิวแตะถ้ายกับขุนนางใหญ่น้อยสามสิบเศษ ตามอ้วนเสี้ยวเข้าไปถึงตำหนักซึ่งไว้พระศพพระเจ้าเลนเต้ แล้วเชิญเสด็จหองจูเปียนขึ้นณที่นั่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จออก ขุนนางทั้งปวงกราบถวายบังคมแล้วเฝ้าที่นั่น แต่อ้วนเสี้ยวกับโฮจิ๋นคุมทหารห้าพันเปิดประตูเข้าไปไล่จับเกนหวน ๆ รู้ตัวหนีเข้าไปอยู่ในสวนดอกไม้ที่ข้างใน แลกุยเสงขันทีคนหนึ่งนอกกว่าขันทีสิบคนมีใจพยาบาทเกนหวน ครั้นเกนหวนหนีกุยเสงก็ฆ่าเกนหวนตายในสวนดอกไม้ เหล่าทหารล้อมวังซึ่งเกนหวนได้คุมอยู่นั้น ครั้นเห็นเกนหวนตายต่างคนต่างวิ่งเข้าหาอ้วนเสี้ยวเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า ได้ทำการถึงเพียงนี้แล้ว จำจะฆ่าขันทีสิบคนกับพรรคพวกของมันเสียให้สิ้นทีเดียวราชการจึงจะปรกติ แลเตียวเหยียงพวกขันทีสิบคนได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าแก่โฮจิ๋นดังนั้นก็ตกใจกลัว วิ่งหนีไปหานางโฮเฮาผู้เปนน้องโฮจิ๋น แล้วทูลอ้อนวอนว่า การซึ่งจะยกหองจูเหียบให้เปนใหญ่นั้น ข้าพเจ้าทั้งสิบคนหาได้คบคิดรู้เห็นด้วยไม่ การทั้งนี้เกนหวนคิดอ่านแต่ผู้เดียว บัดนี้โฮจิ๋นกับอ้วนเสี้ยวคิดอ่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย พระองค์จงช่วยชีวิตข้าพเจ้าทั้งนี้ให้รอดไว้ด้วย นางโฮเฮาจึงว่า เตียวเหยียงอย่าเปนทุกข์เราจะช่วย จึงสั่งให้ไปเชิญโฮจิ๋นเข้ามาแล้วว่า เตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนหาความผิดมิได้ เปนไฉนพี่จะให้อ้วนเสี้ยวฆ่าเสีย แลเกนหวนซึ่งคิดมิชอบก็ตายแล้ว อันขันทีสิบคนนี้พี่อย่าให้ทำวุ่นวายเลย โฮจิ๋นก็รับคำนางโฮเฮา แล้วก็ออกมาว่าแก่อ้วนเสี้ยวแลขุนนางทั้งปวงว่า เกนหวนซึ่งคิดร้ายต่อหองจูเปียนกับเรานั้นก็ตายแล้ว แลขันทีสิบคนนั้นจะได้คบคิดกับเกนหวนนั้นหามิได้ เราจะฆ่าเสียนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ธรรมดาจะทำการสิ่งใด การนั้นมิสำเร็จก็หาสิ้นวิตกไม่ เกนหวนกับขันทีสิบคนเปนพวกเดียวกัน เกนหวนคิดการครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หากท่านรู้ตัวจึงรอดชีวิตอยู่ ซึ่งฆ่าเกนหวนเสียนั้นเหมือนหนึ่งฟันต้นหญ้าจะให้ตาย ขันทีสิบคนเหมือนหนึ่งรากหญ้า ตายแต่ต้นนั้นเห็นไม่สิ้นเชิง รากก็จะงอกแทนขึ้นมา ภายหน้าไปเห็นอันตรายจะมีแก่ท่านเปนมั่นคง โฮจิ๋นจึงตอบว่าความข้อนี้ท่านอย่าวิตกเลยไว้เปนธุระเรา แล้วต่างคนก็ออกไปบ้าน ครั้นเวลารุ่งขึ้นเช้านางโฮเฮาจึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามาปรึกษาราชการ แล้วตั้งให้เปนเสนาบดีผู้สำเร็จราชการ แล้วตั้งขุนนางทั้งปวงซึ่งขันทีสิบคนถอดออกเสียจากราชการนั้น ให้คงอยู่ตามตำแหน่งที่แต่ก่อน

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางตังไทฮอจึงให้หาเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนมาว่า แต่ก่อนเราก็ได้ทำนุบำรุงนางโฮเฮาให้อยู่เย็นเปนสุข จนได้เปนพระมเหษีพระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบุตรเรา บัดนี้หาบุญพระเจ้าเลนเต้ไม่ หองจูเปียนได้ว่าราชการเมือง นางโฮเฮาดูหมิ่นเราตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมิได้ปรึกษาเรา แล้วเห็นกิริยานางโฮเฮากำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อนเรามีความอัปยศนัก ท่านทั้งปวงเห็นประการใด เตียวเหยียงจึงทูลว่าเวลาพรุ่งนี้เช้าเชิญพระองค์เสด็จออกไปยังพระแกลที่พระ เจ้าเลนเต้เสด็จออก แล้วจึงตรัสว่าให้หองจูเหียบเปนเจ้าชื่อตันลิวอ๋อง แปลภาษาไทยว่าต่างกรม แล้วให้ตั้งต๋งผู้น้องพระองค์เปนเสนาบดีผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร ขอให้ตั้งข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งราชการทั้งปวงนั้นจะได้คิดการสืบไป นางตังไทฮอได้ฟังแล้วมีความยินดีนัก ครั้นเวลาเช้าจึงอุ้มหองจูเหียบเสด็จออกไปณที่พระแกลมิได้เปิดมู่ลี่ขึ้น จึงตรัสตามคำเตียวเหยียงว่าทุกประการแล้วเสด็จเข้า ฝ่ายนางโฮเฮาเห็นนางตังไทฮอทำดังนั้น จึงคิดเห็นว่าราชการเมืองจะแก่งแย่งกัน จึงแต่งโต๊ะแล้วเชิญนางตังไทฮอมากินโต๊ะ จึงเอาจอกสุราคำนับส่งให้นางตังไทฮอแล้วว่า แผ่นดินแต่ก่อนครั้งนางลิเฮา ซึ่งเปนมเหษีพระเจ้าเล่าปัง[๒] ๆ สวรรคตนางลิเฮาออกว่าราชการเมืองให้ผิดขนบธรรมเนียม ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดรัอน จึงเกิดจลาจลขึ้น นางลิเฮากับญาติวงศ์ทั้งปวงก็ตายเปนอันมาก แลพระองค์กับข้าพเจ้าเปนสัตรี จะออกว่าราชการเมืองนั้นไม่ควร ถ้ามิฟังข้าพเจ้าเห็นจะเปนอันตรายเหมือนนางลิเฮา ฝ่ายนางตังไทฮอได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วตอบว่า ตัวมิได้มีสัตย์กอปด้วยหึงสา พาลเอาความผิดนางอองบีหยินแล้วให้เอาไปฆ่าเสีย บัดนี้ลูกของตัวได้เปนใหญ่ ตัวมิได้ยำเกรงเรา มาว่ากล่าวถ้อยคำหยาบช้าดูหมิ่นเปรียบเทียบเราดังนี้เราหาฟังไม่ ถึงมาทว่าโฮจิ๋นพี่ของตัวซึ่งได้เปนเสนาบดีผู้ใหญ่นั้น เพียงแต่ตั๋งต๋งผู้น้องเราจะตัดเอาสีสะโฮจิ๋นก็จะได้ในลัดนิ้วมือเดียวด้วย ง่าย นางโฮเฮาได้ยินดังนั้นก็โกรธแล้วตอบว่า เราเห็นผิดช่วยเตือนสติกลับมาโกรธเราอีกเล่า นางตังไทฮอจึงว่า ตัวเปนผู้น้อยแต่ก่อนมาหาผู้ใดนับถือไม่ แลตัวได้เปนพระมเหษีพระเจ้าเลนเต้ผู้บุตรเรา ตัวก็เคยอ่อนง้อเรา มาบัดนี้ลูกของตัวได้ว่าราชการเมือง ตัวตั้งตัวว่ารู้ขนบธรรมเนียมแผ่นดิน

ขณะนั้นเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนรู้ก็มาห้ามทั้งสองข้าง นางตังไทฮอก็กลับไปที่อยู่ ครั้นเวลาคํ่านางโฮเฮาจึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามา แล้วบอกเนื้อความซึ่งนางตังไทฮอว่ากล่าวให้โฮจิ๋นฟัง โฮจิ๋นได้ฟังแล้วกลับมาบ้าน จึงหาขุนนางผู้ใหญ่มาปรึกษาว่า นางตังไทฮอนั้นจะได้เปนมเหษีพระเจ้าฮั่นเต้หามิได้ ซึ่งเข้ามาอยู่ในพระราชวังนี้ เพราะพระเจ้าเลนเต้ผู้บุตรได้เสวยราชสมบัติ นี่หาบุญพระเจ้าเลนเต้ไม่แล้ว ซึ่งจะให้นางตังไทฮออยู่ในพระราชวังนั้นราชการเมืองจะเสียไป เราจะให้ออกไปอยู่ ณ ตำหนักกลางสระนอกเมือง ขุนนางทั้งปวงก็เห็นด้วย ครั้นเวลาเช้าจึงชวนกันไปเฝ้านางตังไทฮอ ๆ เสด็จมา ขุนนางจึงเชิญเสด็จนางตังไทฮอให้ออกไปอยู่ ณ ตำหนักกลางสระนอกเมือง แล้วโฮจิ๋นจึงแต่งทหารไปล้อมบ้านตั๋งต๋งผู้น้องนางตังไทฮอ ตั๋งต๋งเห็นก็ตกใจหนีไปเชือดคอตายณสวนดอกไม้หลังตึก แลทหารโฮจิ๋นนั้นก็ริบราชบาทว์เข้าของแลตราสำหรับที่มาส่งให้โฮจิ๋น

ฝ่ายเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนจึงคิดพร้อมกันว่า บัดนี้นางตังไทฮอออกไปอยู่นอกเมืองแล้ว เราหาที่พึ่งมิได้ จึงเอาเงินทองไปให้โฮเบี้ยวผู้น้องโฮจิ๋นหวังจะฝากตัว แล้วจัดทรัพย์สิ่งของทั้งปวงซึ่งมีราคามากนั้นไปให้นางบูยงกุ๋นผู้มารดาโฮ จิ๋นว่า ท่านจงกรุณาข้าพเจ้าทั้งสิบคนด้วย ช่วยว่ากล่าวเสนอความชอบความดีข้าพเจ้า ให้นางโฮเฮามีความกรุณาข้าพเจ้าด้วย นางบูยงกุ๋นรับคำแล้วไปว่ากล่าวนางโฮเฮาผู้บุตรตามคำขันทีสิบคน ๆ ก็ได้ทำราชการปรกติอยู่ในพระราชวังเหมือนแต่ก่อน

ครั้นอยู่มาณเดือนแปด โฮจิ๋นจึงแต่งทหารซึ่งสนิธไปลอบฆ่านางตังไทฮอณตำหนักกลางสระ เจ้าพนักงารแลขุนนางทั้งปวงไปส่งสักการศพนางตังไทฮอ แต่โฮจิ๋นนั้นทำเฉยเสียมิได้ไป อ้วนเสี้ยวจึงมาเยือนแล้วบอกว่า ขันทีสิบคนนินทาว่า ท่านให้ทหารไปลอบฆ่านางตังไทฮอเสียหวังจะคิดเอาราชสมบัติ ซึ่งท่านจะนอนใจอยู่จะมิคิดฆ่าขันทีสิบคนเสียภายหน้าไปเห็นจะเปนอันตรายเปน มั่นคง ครั้งนี้ท่านกับโฮเบี้ยวผู้น้องก็เปนผู้สำเร็จราชการสิทธิ์ขาด ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่านสิ้น ถ้าท่านคิดประการใดเห็นจะสมปราถนา อุปมาเหมือนพลิกแผ่นดินกลับ ขอให้เร่งคิดฆ่าขันทีสิบคนเสียจงได้ โฮจิ๋นจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่เราขอทุเลาตรึกตรองดูสักเวลาหนึ่งก่อน แลคนใช้โฮจิ๋นได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าดังนั้นคิดเอาใจออกหากโฮจิ๋น จึงเอาเนื้อความลอบไปบอกเตียวเหยียง เตียวเหยียงรู้เนื้อความดังนั้นจึงคิดกับขันทีสิบคน แล้วจัดหาเงินทองของตระการไปให้โฮเบี้ยว แล้วบอกว่าโฮจิ๋นนั้นทำการหยาบช้า ฆ่าผู้ฟันคนเสียตามอำเภอใจ เห็นจะเสียขนบแผ่นดินไป อนึ่งข้าพเจ้าสิบคนนี้หามีความผิดสิ่งใดไม่ โฮจิ๋นฟังคำคนยุยงจะฆ่าข้าพเจ้าทั้งสิบคนเสีย ขอท่านได้เอาเนื้อความทั้งนี้ไปทูลนางโฮเฮาให้แจ้ง ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงจะรอดชีวิต โฮเบี้ยวรับคำเตียวเหยียง แล้วเข้าไปทูลนางโฮเฮาตามคำเตียวเหยียง

ฝ่ายนางโฮเฮาได้ยินดังนั้นมิได้พิจารณาก็เชื่อ พอโฮจิ๋นเข้าไปหานางโฮเฮา แล้วบอกเนื้อความว่า ขันทีสิบคนนี้ถ้าเอาไว้สืบไปจะมีอันตราย เราจะคิดฆ่าเสียให้สิ้น นางโฮเฮาตอบว่าขันทีสิบคนได้ทำราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าเลนเต้ จะได้มีความผิดสิ่งใดหามิได้ จะมาฆ่าเขาเสียนั้นไม่ควร ซึ่งว่าจะช่วยทำนุบำรุงการแผ่นดินนั้นเห็นไม่สม เหมือนหนึ่งจะแกล้งให้บ้านเมืองเปนจลาจล โฮจิ๋นมิได้ตอบประการใดก็กลับมาบ้าน อ้วนเสี้ยวจึงถามว่า ซึ่งข้าพเจ้าว่านั้นท่านได้คิดประการใด โฮจิ๋นจึงตอบว่า เราเข้าไปบอกนางโฮเฮา ๆ ไม่ยอม แลการทั้งนี้เราจะคิดประการใดดี อ้วนเสี้ยวจึงว่าขอให้มีหนังสือท่านออกไป ให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาเปนกระบวรทัพ แล้วประกาศว่าจะเอาตัวขันทีสิบคนฆ่าเสีย นางโฮเฮากลัวจะเปนอันตราย เห็นจะให้จับขันทีส่งออกมาให้โดยสดวก โฮจิ๋นเห็นชอบด้วยจะทำตามอ้วนเสี้ยวว่า แลตันหลิมได้ยินดังนั้น จึงเขียนเปนกระบวรโคลงบทหนึ่งว่า ผู้หนึ่งกำเริบใจว่าตัวชำนาญการกระสุนหลับตายิงนก ถ้าลูกกระสุนถูกมือเข้าก็จะเสียการ แล้วตันหลิมจึงทักโฮจิ๋นว่า ตัวท่านทุกวันนี้ราชการเมืองก็จะสิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่าน อันขันทีสิบคนเหมือนหนึ่งแมลงเม่า ตัวท่านเหมือนกองเพลิงอันใหญ่ แมลงเม่าหรือจะสู้เพลิงได้ ถ้าท่านจะคิดประการใดก็จะสมดังปราถนา ตัวท่านเหมือนพระยาหงส์ คิดการใหญ่แล้วจะมาเคร่าท่าฝูงกาอยู่นั้นไม่ควร อันหัวเมืองทั้งปวงจะยกทหารเปนกระบวรทัพเข้ามา ถ้าได้ตัวขันทีสิบคนแล้ว เห็นหัวเมืองทั้งปวงจะกำเริบเกิดศึกกลางเมืองขึ้น การซึ่งคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินนั้นก็จะเสียท่วงทีไป โฮจิ๋นได้ยินดังนั้นหัวเราะเยาะแล้วตอบว่า ตัวท่านจะมาร่วมคิดการใหญ่กับเรานั้น ความคิดท่านน้อยนัก อุปมาดังเด็กเลี้ยงโค พอโจโฉก็อยู่ที่นั่นด้วย ได้ยินตันหลิมกับโฮจิ๋นตอบกันดังนั้น โจโฉตบมือหัวเราะแล้วว่า การลัดนิ้วมือเดียวไม่ควรที่จะเถียงกันอื้ออึง อย่างธรรมเนียมแผ่นดินแต่ก่อนก็มีมา พระมหากษัตริย์เชื่อฟังตั้งแต่งขันทีเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ ราชการเมืองก็ผันแปรไปมีเนือง ๆ มาอยู่ ครั้งนี้ขันทีสิบคนซึ่งหยาบช้านั้น มีสติปัญญาเปนใหญ่อยู่คนเดียวสองคนดอก ถ้าจะคิดจับเอาแต่นายใหญ่นั้นฆ่าเสียก็จะได้โดยง่าย ทำไมจะให้ร้อนถึงหัวเมืองยกเปนกระบวรทัพเอิกเริกมาเล่า โฮจิ๋นได้ฟังโจโฉว่าก็โกรธ แล้วตอบว่า เราจะทำการใหญ่ตัวมาว่าดังนี้ คบคิดเปนใจเดียวกันกับขันทีสิบคนหรือ โจโฉได้ยินก็โกรธ มิได้ตอบประการใด จึงเดิรออกมาถึงนอกบ้านแล้วว่า แผ่นดินครั้งนี้จะเกิดอันตรายเพราะโฮจิ๋น ฝ่ายโฮจิ๋นก็แต่งเปนหนังสือรับสั่ง ลอบให้ทนายรีบถือไปให้แก่หัวเมืองทั้งปวง ตามซึ่งคิดไว้แต่ก่อนนั้น


[๑] รัชกาลพระเจ้าฮั่นโกโจ พ.ศ. ๓๓๘ อยู่ในเรื่องไซ่ฮั่น
[๒] ในเรื่องไซ่ฮั่น


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 2

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnYy1yRDFvZmIxWU0/view?resourcekey=0-c0E6rbgEUjCrM6iQOn9anQ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #3 on: 21 December 2021, 18:01:49 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 3

https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-3.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 3
  สามก๊กวิทยา  01 กุมภาพันธ์ 2560


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 3

เนื้อหา
• โฮจิ๋นเรียกตั๋งโต๊ะเข้าไปเมืองหลวง
• พวกขันทีฆ่าโฮจิ๋น
• พรรคพวกโฮจิ๋นจับขันที
• พวกขันทีพาหองจูเปียน หองจูเหียบหนีจากวัง
• ตั๋งโต๊ะเข้าถืออำนาจในเมืองหลวง
• ตั๋งโต๊ะได้ลิโป้เป็นทหารเอก
• ตั๋งโต๊ะยกหองจูเหียบขึ้นเป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้
• ตั๋งโต๊ะได้เป็นที่เซียงก๊กสำเร็จราชการ

ฝ่าย ตั๋งโต๊ะเปนเจ้าเมืองซีหลง ได้คุมทหารยี่สิบหมื่น มีใจหยาบช้าคิดจะเอาราชสมบัติเนือง ๆ ครั้นรู้หนังสือรับสั่งให้มาดังนั้น มีความยินดีนักเห็นจะสมคิดครั้งนี้ จึงให้เยียวหูลูกเขยอยู่รักษาเมือง แล้วจัดลิฉุยหนึ่ง กุยกีหนึ่ง เตียวเจหนึ่ง หวนเตียวหนึ่ง ซึ่งเปนทหารเอกกับทหารเลวสิบหมื่น สรัพด้วยเครื่องศัสตราวุธพร้อม แล้วยกไปเมืองลกเอี๋ยง ครั้นมาถึงกลางทางปลงทัพอยู่ ลิยูเปนที่ปรึกษาจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า หนังสือซึ่งให้มาครั้งนี้เห็นจะมีผู้แอบรับสั่งให้มาถึงท่าน ซึ่งจะยกเข้าไปเห็นไม่ควร จำจะแต่งหนังสือเข้าไปให้กราบทูล ให้มีรับสั่งออกมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงยกเข้าไปในเมือง ถ้าจะคิดการสิ่งใดก็จะได้สดวก ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ก็แต่งหนังสือเข้าไปให้กราบทูล ในหนังสือนั้นว่า อาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เพราะขันทีสิบคนทำการหยาบช้าให้ผิดขนบธรรมเนียม บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพเข้าไปในเมืองหลวง แล้วจะจับตัวเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนฆ่าเสีย พระองค์แลอาณาประชาราษฎรจะได้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป

ฝ่ายโฮจิ๋นรู้ในหนังสือตั๋งโต๊ะดังนั้น ก็ปิดไว้มิให้ขันทีสิบคนรู้ แล้วหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า จะให้ตั๋งโต๊ะเข้ามาดีหรือประการใด แตะถ้ายจึงว่า ตั๋งโต๊ะนี้น้ำใจดังเสือ ซึ่งจะให้เข้ามาในเมืองนี้เห็นจะมีอันตรายแก่คนทั้งปวง โฮจิ๋นจึงว่าท่านนี้จะคิดการใหญ่ด้วยเราไม่ได้ ได้ยินแต่ข่าวมิทันเห็นตัวเสือก็ครั่นคร้าม โลติดได้ยินจึงว่า ข้าพเจ้าได้เคยรู้น้ำใจตั๋งโต๊ะมาแต่ก่อนว่าเปนคนหยาบช้า ถ้าปล่อยให้เข้ามาในเมืองเห็นจะเกิดจลาจลเหมือนคำแตะถ้ายว่าเปนมั่นคง โฮจิ๋นจึงตอบว่าท่านทั้งปวงอย่าว่าเลยเราหาฟังไม่ โลติดกับแตะถ้ายแลขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงได้ยินโฮจิ๋นว่าดังนั้นก็เสียใจนัก ต่างคนต่างเวนตราจำนำเสียแล้วก็ออกจากราชการไปอยู่ ณ บ้านเปนอันมาก โฮจิ๋นจึงแต่งคนว่ามีรับสั่งให้ออกไปรับตั๋งโต๊ะมาตั้งอยู่ตำบลลุดคี นอกกำแพงเมือง

ฝ่ายขันทีสิบคนครั้นรู้ว่าตั๋งโต๊ะยกทหารมาตั้งอยู่นอกเมืองแล้ว จึงคิดกันว่า เหตุทั้งนี้เพราะโฮจิ๋นคิดอ่านแอบรับสั่ง ให้กองทัพหัวเมืองยกมาทำร้ายแก่เรา ครั้นเราจะนิ่งอยู่บัดนี้อันตรายก็จะถึงชีวิตเรา จำเราจะคิดฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อน ครั้นคิดกันแล้วจึงแต่งคนสนิธห้าสิบคนถือศัสตราวุธจึงสั่งว่า ถ้าเห็นโฮจิ๋นเข้ามาก็ให้ฆ่าเสียเถิด แล้วก็พาพวกห้าสิบคนลอบเข้าไปแอบอยู่ข้างซุ้มประตูวังข้างใน เตียวเหยียงก็เข้าไปทูลนางโฮเฮาว่า โฮจิ๋นแอบรับสั่งให้หากองทัพหัวเมืองเข้ามาจะจับเอาข้าพเจ้าทั้งสิบคนไปฆ่า เสีย ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่พระองค์จะช่วยชีวิตข้าพเจ้าได้ นางโฮเฮาจึงว่าให้ออกไปอ้อนวอนง้องอนโฮจิ๋นเถิด โฮจิ๋นจะมีความกรุณาอยู่ เห็นจะไม่ทำอันตรายดอก เตียวเหยียงจึงทูลว่า โฮจิ๋นนั้นมีใจชังข้าพเจ้าทั้งสิบคนนัก ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าออกไปหานั้นเหมือนหนึ่งเอาเนื้อไปสู่เสือ อันจะมีชีวิตคืนมานั้นหามิได้ ถ้าพระองค์เมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้ ขอให้เชิญโฮจิ๋นเข้ามาตรัสขอชีวิตข้าพเจ้าต่อพระโอษฐ์ ถึงมาทว่าโฮจิ๋นจะไม่เมตตาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตายอยู่ต่อหน้าที่นั่งพระองค์ นางโฮเฮาได้ยินดังนั้นมีความกรุณา จึงให้ไปหาโฮจิ๋นเข้ามา ฝ่ายโฮจิ๋นเมื่อจะเข้าไปหานางโฮเฮานั้น ตันหลิมห้ามว่า ซึ่งนางโฮเฮาให้มาเชิญนี้ข้าพเจ้าแคลงอยู่ เข้าไปเห็นจะมีอันตราย โฮจิ๋นจึงตอบว่า นางโฮเฮากับเราเปนพี่น้องกัน ซึ่งจะคบคิดเปนใจด้วยขันทีนั้นผิดไป อ้วนเสี้ยวจึงว่า การซึ่งคิดไว้นั้นเห็นขันทีสิบคนจะรู้ตระหนัก ซึ่งจักเข้าไปนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่าถ้าท่านจะเข้าไปก็ไปเถิด แต่ให้ตัวขันทีสิบคนออกมาเสียจากวังก่อน ท่านจึงจะไม่มีอันตราย โฮจิ๋นได้ยินสามคนว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า เราเปนผู้สำเร็จราชการอยู่ในแผ่นดินหาผู้ใดเสมอมิได้ แลขันทีสิบคนนี้ความคิดความอ่านกล้าหาญเปนกระไรอาจทำร้ายแก่เราได้ อ้วนเสี้ยวจึงว่า ท่านจะขืนเข้าไปก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าจะขอเข้าไปด้วย อ้วนเสี้ยวจึงให้อ้วนสุดผู้น้องคุมทหารห้าร้อย เข้าไปอยู่ที่ประตูวังข้างหน้า อ้วนเสี้ยวกับโจโฉแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่เข้าไปกับโฮจิ๋นถึงประตูข้างใน โปอี้นายประตูจึงห้ามอ้วนเสี้ยวกับโจโฉไว้แต่ภายนอก โฮจิ๋นจึงเดิรเข้าไปแต่ผู้เดียว ครั้นถึงซุ้มประตูภายในเตียวเหยียงต๋วนกุยเห็นโฮจิ๋นเข้ามา จึงเดิรขวางหน้าออกไปพยักให้พวกห้าสิบคนล้อมโฮจิ๋นเข้าไว้ แล้วเตียวเหยียงร้องว่าตัวแต่ก่อนนั้นก็เปนผู้น้อยอยู่ เราได้ช่วยทำนุบำรุงว่ากล่าวพิททูล ตัวจึงได้เปนผู้ใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แลตัวกำเริบให้คนไปลอบฆ่านางตังไทฮอซึ่งเปนมารดาพระเจ้าเลนเต้อันหาความผิด มิได้นั้นเสีย แล้วตัวแอบรับสั่งออกไปให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาจะจับเราซึ่งมีคุณ แก่ตัวฆ่าเสียนั้น ตัวหามีกตัญญูต่อเราไม่ กลับว่าเราเปนศัตรูราชสมบัติอีกเล่า ตัวจะทำร้ายกูแล้วกูจะเอาชีวิตมึงเสียบัดนี้ก่อน

ครั้นโฮจิ๋นเห็นวุ่นวายดังนั้นก็ตกใจ จะแลหาที่พึ่งก็มิได้ เหลียวหลังดูประตูก็ปิดเสีย แลคนห้าสิบคนก็ฆ่าโฮจิ๋นตาย ฝ่ายอ้วนเสี้ยวโจโฉคอยอยู่นอกประตูเห็นช้านัก จึงเรียกโฮจิ๋นเข้าไปว่า เชิญออกมาจงเร็วเถิด เตียวเหยียงได้ยินดังนั้น จึงตัดสีสะโฮจิ๋นโยนออกไปแล้วร้องว่า โฮจิ๋นนี้คิดขบถเราฆ่าเสียแล้วเอาแต่สีสะไปเถิด ผู้ใดซึ่งมิได้ร่วมคิดเปนขบถด้วยนั้นก็ให้เร่งกลับไปที่อยู่ อย่ามาวุ่นวายเลย อ้วนเสี้ยวโจโฉได้ยินดังนั้น จึงร้องประกาศว่าโฮจิ๋นเปนเสนาบดีผู้สำเร็จราชการ ขันทีสิบคนคบคิดกันฆ่าโฮจิ๋นเสียนั้น เราจะทำลายประตูวังเข้าไปฆ่าขันทีสิบคนเสีย ผู้ใดจะเข้าด้วยเราบ้าง เง่าของเปนทหารโฮจิ๋นซึ่งมากับอ้วนสุด ครั้นได้ยินอ้วนเสี้ยวโจโฉร้องประกาศดังนั้น ก็เอาเพลิงจุดประตูวังขึ้น แล้วอ้วนสุดก็คุมทหารเข้ามาในวัง พบขันทีเลวทั้งปวงก็จับฆ่าเสีย อ้วนเสี้ยวโจโฉก็ฟันประตูวังเข้าไป แลเตียวต๋งหนึ่ง เทียควงหนึ่ง เห้หุยหนึ่ง กุยเสงหนึ่ง ขันทีสี่คนเห็นอ้วนเสี้ยวโจโฉทำลายประตูวังเข้ามา ก็วิ่งหนีเข้าไปในสวนดอกไม้ อ้วนเสี้ยวโจโฉก็ไล่ตามเข้าไปฆ่าเสีย แล้วสับเนื้อขันทีสี่คนละเอียดมิให้กากลืนแค้น แลเพลิงนั้นก็ไหม้ลามเข้าไปถึงที่ข้างใน เตียวเหยียงหนึ่ง ต๋วนกุยหนึ่ง เทาเจียดหนึ่ง เหาลำหนึ่ง เห็นเพลิงไหม้ลามเข้ามา จึงพานางโฮเฮากับหองจูเปียนหองจูเหียบหนีร้นเข้าไปที่เพลิงยังไม่ถึงนั้น

ฝ่ายโลติดซึ่งออกจากที่ขุนนาง ครั้นเห็นเพลิงไหม้ในพระราชวังก็แต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธมายืนแอบประตูท้าย สนมอยู่ ครั้นแลเข้าไปเห็นต๋วนกุยพานางโฮเฮาหนีเพลิงวุ่นวายอยู่ดังนั้น จึงร้องเข้าไปว่าอ้ายศัตรูราชสมบัติ มึงจะพานางโฮเฮาไปไหน ต๋วนกุยได้ยินแลไปเห็นโลติดก็ตกใจกลัววิ่งหนีเอาตัวรอด แลนางโฮเฮาก็ตกใจโดดลงมาจากชาลา โลติดวิ่งเข้ารับทัน ฝ่ายเง่าของคุมทหารเข้าไปถึงในวังพบโฮเบี้ยว เง่าของจึงร้องว่าอ้ายนี่ศัตรูราชสมบัติ มึงคบคิดกับขันทีสิบคนฆ่าโฮจิ๋นผู้พี่เสีย เราฆ่าอ้ายนี่เสียจึงจะชอบ แล้วให้ทหารล้อมจับโฮเบี้ยวฆ่าเสียในที่นั้น ขุนนางแลทหารทั้งปวงมาเข้ากับอ้วนเสี้ยวโจโฉเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวจึงใช้ทหารกองหนึ่งออกไปล้อมบ้านขันทีสิบคน จับพรรคพวกชายหญิงใหญ่น้อยฆ่าเสียสิ้น โจโฉจึงคุมทหารเข้าดับเพลิงซึ่งไหม้วังนั้น แล้วจึงเชิญเสด็จนางโฮเฮามาให้ว่าราชการเมืองอยู่พลาง ครั้นเวลาค่ำต๋วนกุยซึ่งหนีไปพบเตียวเหยียง จึงชวนกันพาหองจูเปียนหองจูเหียบหนีออกไปนอกเมืองซุ่มอยู่ ณ ป่าเชิงเขาปักคู สาน

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวโจโฉจึงเกณฑ์ทหารสองกอง กองหนึ่งให้ตามจับขันทีหกคน กองหนึ่งให้ไปหาหองจูเปียนหองจูเหียบณป่านอกเมือง ฝ่ายต๋วนกุยกับเตียวเหยียง ได้ยินเสียงทหารตามมาค้นหาเปนอันมาก คิดกลัวว่าจะมิพ้นความตาย จึงทิ้งพระราชบุตรทั้งสองเสีย ต่างคนต่างก็หนีไปในเวลาเที่ยงคืน แต่เตียวเหยียงนั้นหนีบุกป่ามาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง พอพบทัพบินของเจ้าเมืองโห้หล้ำ ทหารทั้งปวงมิได้เห็นตัว ได้ยินแต่เสียงสาก ๆ ในพง จึงล้อมไว้ริมแม่น้ำ แล้วจุดคบใส่ปลายไม้ส่องเข้าไปจะจับตัว เตียวเหยียงเห็นจะหนีไม่พ้นก็โจนน้ำตาย

ฝ่ายหองจูเปียนหองจูเหียบซึ่งขันทีทิ้งเสียในป่า ครั้นได้ยินเสียงพลอื้ออึงมาก็ตกใจกลัว ครั้นเวลาสามยามน้ำค้างตกหนัก จึงปรึกษากันว่าเราจะอยู่ที่นี่มิได้จำจะหนีไปให้พ้นภัย แล้วก็พากันบุกป่าไปในเวลากลางคืนมืดมิได้เห็นหนทาง มิรู้ที่จะไปแห่งใดจึงเอาชายเสื้อทรงผูกกันเข้าไว้ พอเห็นหิงห้อยบินนำหน้าไปเปนหมู่ก็เห็นทาง จึงพากันไปตามแสงหิงห้อย หองจูเหียบผู้น้องจึงว่าหิงห้อยนี้เปนเทวดาช่วยนำทางให้เราเปนมั่นคง ภายหน้าไปเห็นเราจะยังมีบุญอยู่ ครั้นเวลาจะใกล้รุ่งก็มาถึงชายเขาแห่งหนึ่ง พระบาทพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ชอกช้ำพุพองเดิรไปมิได้ เห็นกองหญ้ากองหนึ่งก็พากันเข้าหยุดนอนอยู่ ที่นั้นมีบ้านตำบลหนึ่งนายบ้านนั้นชื่อซุยก๊ก ในเวลากลางคืนนั้นซุยก๊กฝันว่า เห็นพระอาทิตย์สองดวงตกอยู่ที่หลังบ้าน ครั้นเวลารุ่งขึ้นซุยก๊กเดิรออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน เห็นรัสมีสว่างที่ตรงกองหญ้าจึงเดิรเข้าไปดู เห็นพระราชบุตรทั้งสองนอนอยู่ จึงปลุกขึ้นถามว่าท่านนี้มาแต่แห่งใด หองจูเหียบจึงบอกว่า นั่นชื่อหองจูเปียนซึ่งเสวยราชย์ในเมืองลกเอี๋ยง เราเปนน้องชื่อตันลิวอ๋อง เปนเหตุเพราะขันทีสิบคนบ้านเมืองจึงเกิดจลาจลวุ่นวาย เราจึงหนีภัยมาอาศรัยอยู่ที่นี้ ซุยก๊กนายบ้านได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลงกราบถวายบังคมแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าชื่อซุยก๊ก แต่ก่อนนั้นก็ได้ทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ครั้งพระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบิดาแห่งพระองค์ อ้ายขันทีสิบคนมันมาทำหยาบช้าต่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงออกจากราชการมาทำมาหากินอยู่ที่นี่ แล้วซุยก๊กจึงเชิญเสด็จเข้าไปบ้าน แล้วแต่งที่อยู่แลเครื่องเสวยถวาย พระราชบุตรทั้งสองก็อาศรัยอยู่ ณ บ้านซุยก๊ก

ฝ่ายบินของก็ยกล่วงเข้ามา พอพบต๋วนกุยขันทีจึงจับเอาตัวมาถามว่าเกิดจลาจลครั้งนี้เพราะพวกมึงทั้งสิบ คน บัดนี้มึงพาพระราชบุตรทั้งสองไปไว้แห่งใด ต๋วนกุยจึงบอกว่าเมื่อเกิดเพลิงขึ้นในพระราชวังข้าพเจ้าพาพระราชบุตรหนีมา อยู่ในป่า ครั้นได้ยินเสียงทหารอื้ออึงมา ข้าพเจ้าตกใจกลัวต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด บินของได้ฟังก็โกรธจึงให้ฆ่าต๋วนกุยเสียแล้วตัดเอาสีสะผูกคอม้ามา จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ยกแยกกันไปเที่ยวหาพระราชบุตรทั้งสอง บินของก็ขี่ม้าเที่ยวค้นในป่ามาจนถึงหน้าบ้านซุยก๊ก

ฝ่ายซุยก๊กเห็นสีสะต๋วนกุยก็วิ่งออกมาถามบินของว่า ท่านจับต๋วนกุยได้แห่งใดจึงตัดเอาสีสะผูกคอม้ามา บินของจึงบอกเนื้อความแต่หลังให้ฟังสิ้น แล้วว่าข้าจะมาเที่ยวหาพระราชบุตรทั้งสององค์ ซุยก๊กก็พาเข้าไปเฝ้าในบ้าน แล้วซุยก๊กกับบินของจึงทูลพระราชบุตรทั้งสองว่า อย่างธรรมเนียมในเมืองหลวงถ้าหาเจ้าเสวยราชสมบัติแต่วันหนึ่งไม่ บ้านเมืองมักเกิดอันตราย ขอเชิญเสด็จเข้าไปเสวยราชสมบัติอยู่ดังเก่า แผ่นดินจึงจะเปนปรกติสืบไป พระราชบุตรทั้งสององค์เห็นชอบด้วย ซุยก๊กกับบินของก็ผูกม้าถวายสองม้าแล้วเชิญเสด็จไป ครั้นมาทางประมาณสามร้อยเส้น พอพบอ้องอุ้นหนึ่ง อิวปิ๋วหนึ่ง ซุนเขนหนึ่ง เตี๋ยวเปงหนึ่ง เปาสุ้นหนึ่ง อ้วนเสี้ยวหนึ่ง คุมทหารประมาณห้าร้อย ครั้นเห็นพระราชบุตรทั้งสองมา ก็ลงจากม้าร้องไห้เข้าไปรับเสด็จ แล้วซุยก๊กกับบินของก็เล่าเนื้อความให้ฟัง ขุนนางทั้งหกคนแจ้งแล้ว จึงเอาสีสะต๋วนกุยขันทีให้ม้าใช้เอาเข้าไปประกาศแก่ราษฎรในเมืองหลวง แล้วแต่งรถรับเสด็จพระราชบุตรทั้งสอง ไปทางประมาณร้อยเส้นเศษพบทหารกองหนึ่งยกมาเปนอันมากมิได้รู้ว่าเปนทัพผู้ใด ขุนนางทั้งปวงตกใจ แต่อ้วนเสี้ยวนั้นขี่ม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวงแล้วร้องถามว่า ทัพผู้ใดยกมา ทหารมิได้ตอบประการใด แลตั๋งโต๊ะได้ยินก็ขับม้าขึ้นมาหน้าทหาร แล้วร้องถามว่า พระราชบุตรอยู่แห่งใด มาด้วยในกองทัพนี้หรือหาไม่ หองจูเปียนตกใจนิ่งอยู่ แต่หองจูเหียบผู้น้องจึงร้องบอกว่า ทัพผู้ใดมาถามหาหองจูเปียน ตั๋งโต๊ะบอกว่าข้าพเจ้าชื่อตั๋งโต๊ะเปนเจ้าเมืองซีหลง หองจูเหียบจึงว่า มานี้จะขบถหรือจะประสงค์สิ่งใด ตั๋งโต๊ะจึงว่าข้าพเจ้ามิได้เปนขบถจะมารับเสด็จดอก หองจูเหียบจึงว่าจะมารับเสด็จแล้วเปนไฉนจึงไม่ลงจากม้าเล่า ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงลงจากม้าแล้วเข้ามากราบถวายบังคม หองจูเหียบจึงว่า ท่านนี้มิเสียแรงเปนขุนนางผู้ใหญ่ใจสัตย์ซื่อคำต้นกับคำปลายต้องกัน ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่าหองจูเหียบมีสติปัญญาพูดจาหลักแหลม นัก กูจะคิดอ่านยกหองจูเปียนออกเสีย จะให้หองจูเหียบเปนเจ้าแผ่นดินในเมืองลกเอี๋ยง แลตั๋งโต๊ะกับขุนนางทั้งปวงส่งพระราชบุตรทั้งสองเข้าไปถึงในวัง แล้วตั๋งโต๊ะก็กลับออกไปตั้งทัพอยู่นอกเมือง

ฝ่ายนางโฮเฮาครั้นเห็นพระราชบุตรกลับมาได้ก็มีความยินดี จึงได้ตรวจตราเครื่องอานทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังก็ดีอยู่สิ้น หายไปแต่ตราหยกสำหรับว่าราชการเมือง แลตั๋งโต๊ะนั้นคุมทหารมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงเนือง ๆ อยู่ แลพรรคพวกทั้งปวงเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินทั้งปวงของอาณาประชาราษฎรเปนอันมาก ผู้ใดมิได้ว่ากล่าว แลตั๋งโต๊ะเข้าเฝ้ามิได้คำนับเสนาบดีผู้ใหญ่ เปาสิ้นเห็นดังนั้นไปปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่าตั๋งโต๊ะนี้นานไปเห็นจะทำการ กำเริบขึ้น เราจำจะคิดล้างมันเสียให้ได้ก่อน อ้วนเสี้ยวจึงว่าการแผ่นดินพึ่งสงบ ครั้นเราจะด่วนทำดังนั้นไม่ควร เปาสิ้นจึงไปหาอ้องอุ้นปรึกษาเหมือนว่ากับอ้วนเสี้ยวนั้น อ้องอุ้นจึงว่าคิดดังนี้ก็ชอบอยู่แล้ว ของดแต่พอปรึกษากันดูก่อน เปาสิ้นคิดความมิตลอดมีความน้อยใจ ก็พาพรรคพวกออกไปอยู่ป่า

ฝ่ายตั๋งโต๊ะจึงเกลี้ยกล่อมนายทหารทั้งปวงซึ่งอยู่กับโฮจิ๋นแต่ก่อนนั้น เข้าอยู่ในอำนาจสิ้น ตั๋งโต๊ะจึงกำเริบขึ้น แล้วปรึกษากับลิยูว่า เราจะยกหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ ราชการแลขุนนางทั้งปวงก็จะเปนสิทธิ์แก่เรา ภายหน้าไปจะคิดการสิ่งใดก็จะได้สดวก ลิยูจึงตอบว่า ทุกวันนี้มีเจ้าก็เหมือนหนึ่งหาไม่ เสนาบดีสำเร็จราชการก็ไม่มี แผ่นดินพึ่งสงบ ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ให้ท่านเร่งคิดทำเถิด แล้วว่าให้ท่านหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปณสวนดอกไม้ตำบลอุนเบงหุ้ย ถ้าขุนนางพร้อมแล้วจึงปรึกษาว่า จะให้ยกหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ ถ้าขุนนางผู้ใดไม่ยอมก็ให้จับตัวฆ่าเสีย ท่านก็จะมีอาญาสิทธิ์สืบไป ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก

อยู่มาวันหนึ่งให้แต่งโต๊ะแล้ว ให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมา แลขุนนางทั้งปวงเกรงตั๋งโต๊ะสิ้น ก็พากันไปณสวนดอกไม้นั่งล้อมจะกินโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นขุนนางพร้อมแล้วก็ถือกระบี่ออกมา จึงห้ามว่าอย่าเพ่อเสพย์สุรา เราจะปรึกษาราชการข้อหนึ่งก่อน ขุนนางทั้งปวงก็นิ่งคอยฟังอยู่สิ้น ตั๋งโต๊ะจึงว่าทุกวันนี้หองจูเปียนได้เสวยราชสมบัติ อุปมาดังสีสะแลหัวใจเสนาบดีกับอาณาประชาราษฎรทั้งปวง แต่ไม่มีสง่าอาญาสิทธิ์ให้ขุนนางแลราษฎรเกรงกลัว บัดนี้เราเห็นหองจูเหียบมีสติปัญญาแหลมหลักกล้าหาญ เราจะให้ถอดหองจูเปียนเสีย จะให้หองจูเหียบเสวยราชย์ แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเปนสุข ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งนั้นนิ่งเสียสิ้น แต่เต๊งหงวนเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วนั้นยืนขึ้นแล้วร้องว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ตัวเปนแต่ขุนนางหัวเมืองมาทำองค์อาจจะถอดเจ้าเสีย แลหวงจูเปียนนั้นเปนพระราชบุตรเอก พระเจ้าเลนเต้จึงยกราชสมบัติให้ แล้วหองจูเปียนมิได้มีความผิด ตัวคิดอ่านทั้งนี้จะเปนขบถหรือจึงว่ากล่าวดังนี้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องว่า เราปรึกษาราชการที่ดีสิไม่เห็นด้วย ผู้ใดซึ่งองค์อาจเข้ามาว่ากล่าวขัดขวางนั้น กูจะเอาชีวิตเสียบัดนี้ แล้วก็ถอดกระบี่ออกจะฆ่าเต๊งหงวนเสีย ลิยูเห็นลิโป้ยืนอยู่ข้างหลังเต๊งหงวนนั้น รูปร่างสูงใหญ่มือถือทวน ท่วงทีเห็นแขงแรงนัก ลิยูจึงห้ามตั๋งโต๊ะไว้แล้วว่า วันนี้หาท่านทั้งปวงมากินโต๊ะจะฟังขับรำให้สบายใจสิมาวิวาททุ่มเถียงกันเล่า สิ้นวันแล้วหรือ ถ้าจะปรึกษากันก็งดไว้ก่อนเถิด จึงค่อยไปปรึกษาณ ศาลาลูกขุน วันนี้เชิญกินโต๊ะเล่นดีกว่า แลขุนนางทั้งนั้นก็ห้ามเต๊งหงวน เต๊งหงวนก็ขึ้นม้าพาลิโป้กลับไป

ฝ่ายตั๋งโต๊ะนั้นจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เราปรึกษาเมื่อกี้นั้นท่านทั้งนี้เห็นผิดหรือชอบ โลติดจึงตอบตั๋งโต๊ะว่า ท่านปรึกษาข้อราชการนั้นผิดนัก พระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบิดาเห็นว่าหองจูเปียนมีสติปัญญาแล้วก็เปนพระ ราชบุตรเอก จึงให้เสวยราชสมบัติ ตัวท่านเปนขุนนางหัวเมืองมิได้แจ้งกฎหมายในพระราชฐาน จะมาถอดหองจูเปียนซึ่งมิได้มีความผิดเสียนั้นไม่ชอบ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธถอดกระบี่ออกจะฟันโลติดเสีย แพ่เป๊กจึงห้ามว่า โลติดนี้เปนขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน น้ำใจก็สัตย์ซื่อมั่นคง ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรมีน้ำใจรักโลติดเปนอันมาก ซึ่งท่านจะฆ่าโลติดเสียนั้น เห็นว่าราษฎรทั้งปวงจะมีความเดือดร้อนนัก แล้วอ้องอุ้นจึงว่าวันนี้เปนหน้าเหล้าหน้าเข้าอยู่ ถ้าจะปรึกษาข้อราชการก็ให้งดไว้วันอื่นเถิด ขุนนางทั้งปวงก็ลาตั๋งโต๊ะกลับไปสิ้น

ฝ่ายลิโป้ครั้นไปถึงที่อยู่กับเต๊งหงวนแล้ว จึงถือทวนขี่ม้ากลับมาคอยฟังราชการณสวนดอกไม้ แลตั๋งโต๊ะนั้นครั้นขุนนางไปสิ้นแล้ว ก็ถือกระบี่เดิรออกไปณประตูสวนดอกไม้ แลเห็นลิโป้ขี่ม้าควบไปมาอยู่ริมระเนียด จึงถามลิยูว่าทหารผู้ใด ลิยูจึงว่าให้ท่านหลบเข้ามาเสียก่อนแล้วบอกว่า คนนี้ชื่อลิโป้เปนบุตรเลี้ยงเต๊งหงวน มีกำลังกล้าแขงนัก ตั๋งโต๊ะก็ถอยเข้ามา ครั้นเวลารุ่งเช้ามีผู้มาบอกตั๋งโต๊ะว่า บัดนี้เต๊งหงวนกับลิโป้คุมทหารยกมาจะรบด้วยท่าน ตั๋งโต๊ะโกรธก็จัดแจงทหารแล้วยกออกไปตั้งรับ

ฝ่ายเต๊งหงวนกับลิโป้มายืนอยู่หน้าทหาร เห็นตั๋งโต๊ะยกมาจึงร้องว่าครั้งก่อนอ้ายเหล่าขันทีสิบคนทำการหยาบช้าให้ได้ ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดินจนเกิดอันตรายขึ้น บ้านเมืองพึ่งจะสงบ แลตัวเปนแต่ขุนนางหัวเมืองยังมิได้มีความชอบประการใด มาตั้งตัวเปนผู้ใหญ่คิดบังอาจจะถอดหองจูเปียนเสีย จะให้แผ่นดินเกิดจลาจลเหมือนครั้งขันทีนั้นหรือ ตั๋งโต๊ะมิได้ตอบประการใด พอลิโป้ควบม้ารำทวนเข้ามาจะแทงเอาตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นก็กลัวถอยหลังไปหลังทหาร เต๊งหงวนก็ขับทหารหนุนไล่ฟันขึ้นไป ตั๋งโต๊ะกับทหารก็แตกพ่ายไปทางประมาณห้าสิบเส้น จึงให้ตั้งค่ายมั่นรับไว้ แล้วตั๋งโต๊ะจึงปรึกษากับนายทหารซึ่งเปนพรรคพวกว่า แต่เราเห็นผู้กระทำศึกมานี้ก็เปนอันมาก ไม่มีผู้ใดเข้มแขงกล้าหาญเหมือนลิโป้เลย ถ้าเราได้ลิโป้มาไว้เปนทหารของเราการทั้งปวงก็จะคิดได้สดวก ลิซกนายทหารคนหนึ่งจึงว่า ข้าพเจ้ากับลิโป้อยู่บ้านเดียวกัน แล้วก็เปนมิตสหายวิสาสะกัน อันลิโป้นั้นกล้าแข็งก็จริง แต่เปนคนใจหยาบช้าหารู้จักคุณคนไม่ โลภเห็นแต่จะได้สิ่งของอันดี ข้าพเจ้าจะขอไปเกลี้ยกล่อมลิโป้ให้มาอยู่กับท่านจงได้ ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าท่านจะไปเกลี้ยกล่อมลิโป้นั้นประการใดจะได้ ลิซกจึงตอบว่าขอให้ท่านจัดทรัพย์สิ่งของอันดี กับม้าซึ่งชื่อว่าเซ็กเธาว์อันมีกำลังเดิรทางได้วันละหมื่นเส้นมาเถิด ข้าพเจ้าจะเอาไปให้ลิโป้ แล้วจะเกลี้ยกล่อมให้ลิโป้มาอยู่กับท่านจงได้ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นจึงปรึกษากับลิยูว่า ซึ่งลิซกว่ากล่าวทั้งนี้ท่านยังเห็นประการใด ลิยูจึงว่าท่านสิจะคิดการใหญ่ เสียดายกับสิ่งของกับม้าตัวหนึ่งใยเล่า ถ้าสมความคิดแล้วท่านจะปราถนาสิ่งใดก็จะได้โดยสดวก ตั๋งโต๊ะได้ฟังมีความยินดีนัก จึงจัดทองคำพันตำลึงกับพลอยสิบยอด เข็มขัดประดับหยกสายหนึ่ง กับม้าซึ่งชื่อเซ็กเธาว์ให้แก่ลิซกแล้วสั่งว่า ท่านเอาไปให้ลิโป้ตามท่านคิดนั้นเถิด ลิซกรับของทั้งปวงกับม้าแล้วก็ลาตั๋งโต๊ะไปยังค่ายเต๊งหงวน พอพบบ่าวลิโป้ออกมาตระเวน จึงจับเอาตัวลิซกไว้ถามว่ามาทำไม ลิซกบอกว่าเราชื่อลิซก เปนเพื่อนรักกันกับลิโป้มาแต่น้อย บัดนี้ระลึกถึงลิโป้จึงมาหา ท่านทั้งปวงช่วยพาเราไปหาลิโป้จงได้ ทหารกองตระเวนจึงให้คุมเอาตัวไว้ แล้วเอาเนื้อความไปบอกลิโป้ ๆ ครั้นแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงออกมารับลิซกเข้าไปถึงในค่าย แล้วจึงว่าเรากับท่านรักกันมาแต่น้อย จากกันมาช้านานแล้ว บัดนี้ท่านมาอยู่ทำราชการตำแหน่งใด ลิซกจึงตอบว่าเราเปนตงลงเจี้ยงนายทหาร รู้ว่าท่านทำราชการเปนนายทหารแล้วได้ช่วยอาสาแผ่นดินทั้งนั้น เรามีความยินดีด้วย หาสิ่งใดจะให้มิได้มีแต่ม้าตัวนี้ชื่อเซ็กเธาว์ มีฝีเท้าเดิรทางได้วันละหมื่นเส้น ถ้าขึ้นเขาแลข้ามน้ำก็เหมือนกับเดิรที่ราบ ท่านจงเอาไว้เถิดจะได้ทำราชการอาสาแผ่นดินสืบไป ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงจูงเอาม้ามาดูลักษณ เห็นขนนั้นแดงดังถ่านเพลิงทั่วทั้งตัวมิได้มีสีใดแกม สูงสี่ศอกเศษ ได้ลักษณเปนม้าศึก เข้มแข็งกล้าหาญ ลิโป้ก็มีความยินดีนักคำนับแล้วว่าท่านเอาม้าตัวนี้มาให้เรานี้ เราชอบใจสมความปราถนาเรานัก ยิ่งกว่าให้ทรัพย์สิ่งของทั้งปวง เรามิได้มีสิ่งของสนองคุณท่านเลย ลิซกจึงตอบว่า ซึ่งเราเอาม้ามีฝีเท้ามาให้ท่านทั้งนี้ จะได้คิดเอาสิ่งของตอบหามิได้ คิดว่าท่านเปนทหารทำราชการซื่อสัตย์อยู่จึงเอามาให้

ลิโป้จึงให้แต่งโต๊ะ แล้วเชิญให้ลิซกกิน ขณะเมื่อลิซกเสพย์สุราอยู่นั้นจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ท่านผู้ใหญ่นั้นอยู่แห่งใด เอนดูช่วยพาเราไปหาเราจะได้คำนับให้ท่านรู้จักไว้ ลิโป้ตอบว่าท่านอยู่หาไหนไม่รู้ บิดาเราตายช้านานแล้ว ลิซกจึงว่าจงไปหาเต๊งหงวนซึ่งเปนบิดาท่าน ลิโป้จึงขับคนทั้งปวงเสีย แล้วค่อยกระซิบว่า ท่านเสพย์สุราเมากระมัง เรากับท่านรู้จักบิดามารดากันมาแต่น้อย เปนไฉนจึงว่าดังนี้เล่า ซึ่งเรามาอยู่กับเต๊งหงวนทุกวันนี้เรียกว่าเปนบิดานั้น เพราะจำใจอยู่ดอก ลิซกจึงว่าท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญในการสงครามลือชาปรากฎทุกหัวเมือง จะคิดเอาสิ่งใดก็จะได้ดังปราถนา เปนไฉนมาจำใจอยู่ดังนี้ ลิโป้ตอบว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็จริงอยู่ แต่เราแสวงหาที่พึ่งจะเปนหลักนั้นยังมิได้ ลิซกยิ้มแล้วจึงตอบว่า ธรรมดานกก็ย่อมอาศรัยป่าซึ่งมีผลไม้มากจึงเปนสุข ประเพณีขุนนางทำราชการ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมแล้วก็มีความสุข ซึ่งท่านว่าจำใจอยู่ด้วยเต๊งหงวนนั้นจะเอาประโยชน์อันใด ภายหน้าไปเห็นจะมีอันตราย จงผ่อนผันหาที่อยู่ให้เปนสุขดีกว่า

ฝ่ายลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงถามลิซกว่า ท่านสิทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ยังเห็นขุนนางผู้ใดกล้าหาญสัตย์ซื่อว่ากล่าวสิทธิ์ขาดบ้าง ลิซกจึงตอบว่า เราเล็งดูขุนนางในเมืองหลวงนั้น ซึ่งจะมีสติปัญญากล้าแขงหาพร้อมเหมือนตั๋งโต๊ะไม่ อันตั๋งโต๊ะนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญากล้าหาญ สัตย์ซื่อมั่นคง แล้วน้ำใจก็รักทหารปูนบำเหน็จให้มิได้รักทรัพย์สิ่งของ เอาใจคนเปนประมาณ สืบไปข้างหน้าเห็นตั๋งโต๊ะจะได้เปนใหญ่ ลิโป้ได้ยินดังนั้นมีความยินดี จึงตอบว่า เราก็คิดอยู่จะหาที่พึ่งดังนี้ แต่หาช่องซึ่งจะไปนั้นยังมิได้ ลิซกนั้นจึงเอาทองกับพลอยแลเข็มขัดนั้นมาตั้งไว้ ลิโป้เห็นจึงถามว่า ของทั้งนี้ท่านเอามาทำไม ลิซกจึงบอกว่า ตั๋งโต๊ะมีน้ำใจรักใคร่ท่านเปนอันมาก จึงให้เราเอาม้าแลของทั้งนี้มาให้แก่ท่าน ลิโป้เปนคนโลภ ครั้นเห็นของก็มีความยินดีนัก จึงตอบว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะมีใจรักเราให้เอาม้าแลสิ่งของมาให้เราทั้งนี้ เราจะมีสิ่งอันใดไปสนองคุณท่าน ลิซกจึงตอบว่า แต่ตัวเราฝีมือเปนประมาณ ตั๋งโต๊ะยังมีใจรักช่วยเสนอความชอบให้ เราจึงได้เปนนายทหาร แลตัวท่านมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญยิ่งกว่าเรา ถ้าไปอยู่ด้วยเห็นจะได้เปนขุนนางใหญ่ขึ้นกว่านี้ ลาภสการความสุขก็จะมีเปนอันมาก ลิโป้จึงตอบว่า เราจะเอาความชอบอันใดไปเปนกำนัลตั๋งโต๊ะ ลิซกจึงตอบว่า ถ้าท่านจะเอาความชอบนั้นก็ได้ง่าย เกรงอยู่แต่ว่าท่านจะไม่ทำ ถ้าท่านจะทำแล้วก็จะได้ในลัดนิ้วมือเดียว ลิโป้ได้ยินก็นิ่งคิดอยู่ แล้วตอบว่าอันจะเอาความชอบสิ่งใดไปนั้นก็ไม่มี แลเต๊งหงวนกับตั๋งโต๊ะผิดใจกันอยู่ เราจะตัดสีสะเต๊งหงวนไปเปนกำนัลตั๋งโต๊ะ เห็นจะควรหรือไม่ควร ลิซกจึงตอบว่า ถ้าท่านทำดังนี้ความชอบจะมีแก่ท่านเปนอันมาก แลซึ่งจะคิดทำนั้นก็อย่านอนใจ ถ้าช้าไปเกลือกจะเสียท่วงที ลิโป้จึงรับคำว่าท่านไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะเถิด พรุ่งนี้เราจะตัดเอาสีสะเต๊งหงวนไปให้ตั๋งโต๊ะ ตัวเราก็จะอยู่ทำราชการด้วย ลิซกก็ลากลับไปบอกเนื้อความแก่ตั๋งโต๊ะทุกประการ ครั้นเวลาค่ำประมาณสองยามเศษ ลิดป้จึงเอากระบี่สั้นเหน็บซ่อนเดิรเข้าไปในที่นอนเต๊งหงวน เห็นเต๊งหงวนอ่านหนังสืออยู่

ฝ่ายเต๊งหงวนครั้นเห็นลิโป้เข้ามาจึงถามว่า ลูกเอ๋ยเข้ามาทำไม ลิโป้จึงร้องตอบว่า ตัวกูก็เปนชายมีฝีมือลือชาปรากฎ ซึ่งมึงจะมาเรียกกูว่าลูกนั้นไม่สมควร เต๊งหงวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่า เปนไฉนเจ้าจึงคิดกลับใจเปนดังนี้ ลิโป้มิได้ตอบประการใด ชักกระบี่ออกวิ่งเข้าฟันเอาเต๊งหงวนตาย ตัดเอาสีสะหิ้วไว้แล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เต๊งหงวนนี้มิได้มีใจสัตย์ซื่อทำการหยาบช้า บัดนี้เราฆ่าตายเสียแล้ว ทหารทั้งปวงใครจะยอมอยู่ด้วยก็ตาม หรือผู้ใดจะกลับไปบ้านเมืองก็ไป แลทหารทั้งปวงได้ฟังลิโป้ร้องประกาศดังนั้น ซึ่งมีใจชังลิโป้นั้นก็แตกตื่นไปประมาณกึ่งหนึ่ง แต่ซึ่งมีใจรักนั้นก็เข้าอยู่กับลิโป้ประมาณกึ่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงขึ้นม้า หิ้วเอาสีสะเต๊งหงวนไปหาลิซก ณ ค่ายตั๋งโต๊ะ ลิซกครั้นเห็นลิโป้หิ้วเอาสีสะเต๊งหงวนมาก็ดีใจ จึงพาลิโป้ไปหาตั๋งโต๊ะ

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเห็นลิซกพาลิโป้ซึ่งหิ้วสีสะเต๊งหงวนเข้ามาก็มีความยินดีเดิ รออกมารับลิโป้แล้วว่า ตัวเรานี้อุปมาเหมือนทำนาตกกล้าลงแล้วฝนแล้วกล้านั้นใบแดงไป ซึ่งท่านมาหาเราบัดนี้เหมือนฝนตกลงห่าใหญ่ น้ำท่วมเลี้ยงต้นกล้าชุ่มชื่นขึ้นใบนั้นเขียวสดขึ้น ลิโป้เห็นตั๋งโต๊ะคุกเข่าลงคำนับก็ตกใจ ลิโป้เข้าอุ้มเอาตั๋งโต๊ะขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วกราบคำนับจึงว่าข้าพเจ้านี้มีใจภักดีมาจะทำราชการด้วยท่าน ซึ่งท่านมีใจเมตตาข้าพเจ้านั้นก็เห็นประจักษ์สิ้น ข้าพเจ้าจะขอเอาท่านเปนบิดากว่าจะสิ้นชีวิต ตั๋งโต๊ะได้ฟังมีความยินดีนัก จึงเอาเสื้ออย่างดีกับเกราะทองคำมาให้ลิโป้

ตั้งแต่ตั๋งโต๊ะได้ลิโป้มาไว้เปนกำลัง จะคิดอ่านราชการสิ่งใดมีใจกำเริบหยาบช้าขึ้นกว่าแต่ก่อน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลทหารทั้งปวงในเมืองหลวงก็อยู่ในบังคับบัญชาตั๋งโต๊ะ สิ้น แล้วให้ตั๋งบุ่นผู้น้องเปนนายทหารซ้าย ให้ลิโป้ซึ่งเปนบุตรเลี้ยงนั้นเปนนายทหารขวา ตั๋งโต๊ะก็ยกเข้ามาตั้งอยู่ในเมือง

ครั้นอยู่มาลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ราชการในเมืองหลวงทุกวันนี้ก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่านสิ้น ซึ่งจะคิดประการใดนั้นขอให้เร่งคิดเสียเถิด ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ครั้นเวลาเช้าตั๋งโต๊ะจึงให้ลิโป้คุมทหารพันเศษให้เข้าไปล้อมวงอยู่ใน พระราชวัง แล้วตั๋งโต๊ะเข้าไปในที่เสด็จออก จึงสั่งให้แต่งโต๊ะหาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะในที่เฝ้า แล้วตั๋งโต๊ะถือกระบี่เข้าไปร้องประกาศในที่ชุมนุมขุนนางทั้งปวงว่า หองจูเปียนนั้นหาสติปัญญามิได้ จะให้ถอดเสีย เราจะให้ตั้งหองจูเหียบซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลมขึ้นเสวยราชสมบัติ ถ้าผู้ใดมิลงใจพร้อมด้วยเราจะฆ่าเสีย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงนิ่งอยู่สิ้น แต่อ้วนเสี้ยวนั้นลุกยืนขึ้นแล้วร้องว่าหองจูเปียนเปนพระราชบุตรเอก พระราชบิดายกราชสมบัติให้หองจูเปียนเสวยราชย์ก็มิได้มีความผิดสิ่งใด ตัวจะมาถอดเสียแล้วจะยกหองจูเหียบพระราชบุตรโทขึ้นเสวยราชย์นั้น ตัวจะคิดอ่านเปนขบถหรือ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงตอบว่า ราชสมบัติทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือเรา ๆ เห็นไม่ชอบจึงจะทำให้ชอบ ถ้าตัวมิฟังจะขืนขัดอยู่ฉนี้ ตัวจงแลดูกระบี่ที่เราถืออยู่นี้จะคมหรือไม่ อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่ากระบี่เราถือมาก็มีอยู่ ถ้าตัวมิฟังจะขืนตั้งหองจูเหียบขึ้นให้ผิดอย่างธรรมเนียม ตัวจงดูกระบี่ซึ่งเราถือมานี้เห็นจะคมหรือไม่คมเล่า ตั๋งโต๊ะก็โกรธถอดกระบี่ออกจะฟันอ้วนเสี้ยว ๆ ก็ถอดกระบี่ออกจะสู้ตั๋งโต๊ะ ลิยูเห็นดังนั้นจึงเข้าห้ามตั๋งโต๊ะไว้ แล้วค่อยกระซิบว่า เราจะคิดการใหญ่อยู่ ครั้นจะฆ่าฟันกันขึ้น การซึ่งคิดไว้นั้นก็จะเสียไป ตั๋งโต๊ะก็ฟังลิยูห้าม ขุนนางทั้งปวงก็ห้ามอ้วนเสี้ยวไว้ อ้วนเสี้ยวจึงลาขุนนางทั้งปวงแล้วถือกระบี่เดิรออกมา พาทหารแลพรรคพวกยกไปเมืองกิจิ๋ว

ฝ่ายตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่อ้วนหงุยผู้เปนอาว์อ้วนเสี้ยวว่า อ้วนเสี้ยวทำองอาจขัดขวาง นี่หากว่าเราคิดถึงท่าน หาไม่เราจะฆ่าเสีย ซึ่งเราคิดการทั้งนี้ท่านยังเห็นชอบผิดประการใด อ้วนหงุยจึงว่า ซึ่งท่านเปนผู้ใหญ่คิดจะกลับแผ่นดินเสียนั้นก็เห็นชอบด้วย ตั๋งโต๊ะจึงว่าบันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งพร้อมกันทั้งปวง ผู้ใดจะขัดขวางเราเหมือนอ้วนเสี้ยวนั้นเราจะฆ่าเสียบัดนี้ ขุนนางทั้งปวงกลัวตั๋งโต๊ะสิ้น จึงว่าท่านคิดทำการนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนก็ลาไปบ้าน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะอยู่ในที่เฝ้าจึงถามเจียวปีกับเหงาเค่งว่า อ้วนเสี้ยวยกไปเมืองกิจิ๋วเห็นจะคิดอ่านประการใด บ้าง เจียวปีจึงว่า อ้วนเสี้ยวไปครั้งนี้ด้วยโกรธเห็นจะมีความคิดอยู่ อนึ่งแซ่อ้วนนั้นได้เปนขุนนางต่อ ๆ กันมาถึงสี่ชั่วคน อาณาประชาราษฎรหัวเมืองทั้งปวงก็นับถืออ้วนเสี้ยวเปนอันมาก น้ำใจอ้วนเสี้ยวก็มานะเห็นจะเกลี้ยกล่อมผู้คนตั้งตัวเปนใหญ่อยู่ตำบลหนึ่ง เกรงแต่ว่าท่านจะปราบไปมิได้ ขอให้มีหนังสือรับสั่งให้ไปตั้งอ้วนเสี้ยวเปนเจ้าเมืองตำบลหนึ่ง เห็นอ้วนเสี้ยวจะปรกติไปต่อท่าน

ฝ่ายเหงาเค่งจึงว่า อันอ้วนเสี้ยวนั้นมีความคิดอยู่ แต่คิดสิ่งใดไม่ตลอด ซึ่งท่านจะให้มีหนังสือรับสั่งไปตั้งเปนเจ้าเมืองนั้น เหมือนหนึ่งเอาใจราษฎรไว้ ทั้งจะสิ้นความคระหานินทาท่านด้วย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบจึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งแล้วให้ทหารถือไป ให้อ้วนเสี้ยวเปนเจ้าเมืองปุดไฮ แต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาตั๋งโต๊ะสิ้น

ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะจึงให้หองจูเปียนเสด็จออกณพระที่นั่งแกเต๊กเตี้ยน แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาในที่เฝ้า แล้วตั๋งโต๊ะจึงถือกระบี่ร้องประกาศว่า ทุกวันนี้อาญาสิทธิ์ก็อยู่แก่เรา เราเห็นว่าหองจูเปียนสติปัญญาน้อยไม่ควรจะอยู่ในราชสมบัติ เราเห็นหองจูเหียบนั้นกล้าหาญ สติปัญญาก็หลักแหลม ควรจะว่าราชการเมืองได้ เราจะตั้งให้เปนเจ้าแผ่นดิน ขุนนางทั้งปวงมิได้ขัดขวางประการใด ตั๋งโต๊ะจึงสั่งขันทีให้อุ้มหองจูเปียนออกมาจากที่เสด็จออก แล้วถอดเอาตราสำหรับราชสมบัติจากพระศอหองจูเปียน แล้วให้หองจูเปียนเฝ้าอยู่ตำแหน่งลูกหลวง แล้วให้หาตัวนางโฮเฮามาถอดเอาเครื่องประดับสำหรับที่ตำแหน่งมารดาหองจูเปีย นเสียสิ้น แลนางโฮเฮากับหองจูเปียนก็ร้องไห้รักกันอยู่ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็กลั้นน้ำตามิได้

เต๊งกวนขุนนางเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงลุกขึ้นร้องว่าอ้ายตั๋งโต๊ะนี้เปนศัตรูราชสมบัติ คิดการใหญ่หลวงบังอาจถอดหองจูเปียนซึ่งเปนเจ้าเสีย แล้วเต๊งกวนเอาง้าวซึ่งถือตามตำแหน่งเข้าเฝ้านั้นลุกไปจะตีตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นก็โกรธ จึงสั่งให้บู๋ซูตำรวจจับเอาตัวเต๊งกวนไปฆ่าเสีย บู๋ซูเข้ากุมเอาตัวเต๊งกวน เต๊งกวนมิได้กลัวความตายด่าตั๋งโต๊ะเปนข้อหยาบช้ามิได้ขาดปาก บู๋ซูก็พาเอาตัวเต๊งกวนไปฆ่าเสีย ตั๋งโต๊ะจึงให้เชิญหองจูเหียบขึ้นณพระที่นั่งเสด็จออก ขุนนางทั้งปวงก็กราบถวายบังคมสิ้น แล้วให้เอาหองจูเปียนกับนางโฮเฮาซึ่งเปนมารดา แลนางพระสนมหองจูเปียนนั้นไปขังไว้ณพระตำหนักในวังลั่นกุญแจเสีย ห้ามมิให้ขุนนางทั้งปวงไปมาหาสู่ แลขุนนางทั้งปวงกับอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้นมีความสงสารหองจูเปียนกับ นางโฮเฮาเปนอันมาก เมื่อขณะตั๋งโต๊ะตั้งหองจูเหียบขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ( พ.ศ. ๗๓๓) พระชันสาได้เก้าขวบ ถวายพระนามชื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้

แลตั๋งโต๊ะนั้นตั้งตัวเปนเซียงก๊ก ภาษาไทยว่าพระยามหาอุปราช[๑] ถือกระบี่เข้าเฝ้ามิได้เปนเวลา ตามแต่จะชอบใจเข้าออก ถืออาญาสิทธิ์กำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน แลทหารพรรคพวกทำการหยาบช้าข่มเหงชาวเมืองได้ความเดือดร้อนนัก แลโจโฉนั้นก็ไปฝากตัวอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอย

ฝ่ายลิยูซึ่งเปนที่ปรึกษานั้นจึงว่ากับตั๋งโต๊ะว่า ทุกวันนี้ราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่ในท่านสิ้น แต่ท่านอย่ากำเริบให้ขุนนางแลราษฎรมีความชิงชัง จงผ่อนใจกระทำให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเปนสุข แล้วตั้งแต่งขุนนางให้คนทั้งปวงมีใจรักสรรเสริญท่าน ท่านก็จะได้เปนใหญ่จำเริญขึ้นทุกวัน

อนึ่งยังมีคนหนึ่งอยู่บ้านนอกชื่อซัวหยง ซัวหยงนั้นมีสติปัญญาดี ขอท่านให้หาตัวเข้ามาตั้งเปนขุนนางในเมืองหลวง ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย ให้คนไปหาตัวซัวหยง ๆ บิดพลิ้วอยู่มิเข้ามา ตั๋งโต๊ะจึงให้ออกไปว่า ถ้าซัวหยงขัดอยู่มิเข้ามา เราจะให้ทหารไปจับฆ่าเสียให้สิ้นทั้งพรรคพวก ซัวหยงกลัวจึงเข้ามาหาตั๋งโต๊ะ ๆ ก็ตั้งซัวหยงเปนขุนนาง เดือนหนึ่งเลื่อนที่ขึ้นไปถึงสามที่ ขณะเมื่อซัวหยงเปนขุนนางนั้น ตั๋งโต๊ะไว้เนื้อเชื่อใจเอาเปนที่ปรึกษาราชการทั้งปวง

ฝ่ายหองจูเปียนกับนางโฮเฮาแลพระสนม ซึ่งตั๋งโต๊ะให้ขังไว้นั้นมีความทรมานทุกข์โศกอดหยากอยู่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเห็นนกนางแอ่นบินอยู่ในตำหนักทั้งคู่ หองจูเปียนจึงผูกโคลงปิดไว้ที่ฝาตำหนักเปนใจความว่า ที่ในพระราชฐานนี้ของพระเจ้าเลนเต้ผู้เปนพระราชบิดายกให้เปนสิทธิ์แก่เรา บัดนี้เรากับมารดาได้ทุกข์ทรมานขังอยู่เหมือนนกทั้งคู่นี้ ถ้าผู้ใดสัตย์ซื่อต่อบิดาเรา ช่วยแก้แค้นในอกเราได้ คุณนั้นหาที่อุปมามิได้เลย

ฝ่ายตั๋งโต๊ะใช้คนซึ่งสนิธมาสอดดูหองจูเปียนอยู่เนือง ๆ ว่าจะทำประการใดบ้าง คนใช้ครั้นมาเห็นโคลงก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ๆ ได้ฟังก็โกรธจึงว่า ซึ่งหองจูเปียนทำโคลงปิดไว้ทั้งนี้ หวังจะใคร่หาคนสนิธมาแก้แค้นเรา บัดนี้ถึงมาทว่าเราจะฆ่าเสีย ก็หามีผู้ใดติฉินนินทาไม่ แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้ลิยูคุมบู๋ซูสิบคนไปฆ่าหองจูเปียนกับนางโฮเฮาแลพระสนม เสียจนได้ ลิยูก็พาบู๋ซูสิบคนเปิดประตูตำหนักเข้าไป สนมนั้นแลเห็นก็บอกแก่หองจูเปียน ๆ ก็ตกใจ ลิยูเข้าไปถึงจึงยื่นจอกสุราซึ่งใส่ยาพิษให้หองจูเปียน หองจูเปียนจึงถามว่าอะไร ลิยูตอบว่ามหาอุปราชเห็นว่าบ้านเมืองเปนสุขแล้ว จึงให้ข้าพเจ้าเอาสุรามาให้เสวย

ฝ่ายนางโฮเฮาได้ยินดังนั้นก็กริ่งใจ จึงว่าซึ่งตั๋งโต๊ะให้เอาสุรามาให้บุตรเรากินก็ขอบใจแล้ว ตัวท่านผู้เอามาจงกินเข้าไปให้เราเห็นก่อนเราจึงจะให้บุตรเรากิน ลิยูได้ยินก็โกรธ จึงเรียกบู๋ซูให้เอากระบี่กับโซ่มาวางไว้ตรงหน้า แล้วว่าซึ่งมหาอุปราชให้เอาสุรามาให้กิน นางโฮเฮาขัดมิกินนั้น จงเลือกเอาของสองสิ่งนี้ จะเอาโซ่หรือกระบี่ นางสนมนั้นจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งจะให้หองจูเปียนเสวยสุรานั้นข้าพเจ้าจะรับกินแทน แต่ว่าของชีวิตนางโฮเฮากับหองจูเปียนให้คงไว้เถิด ลิยูได้ฟังร้องตวาดแล้วว่า ไม่ควรที่เองจะมารับตายแทนนั้นไม่ได้ แล้วลิยูจึงเอาจอกสุรานั้นยื่นให้นางโฮเฮากินก่อน นางโฮเฮามิได้รับแล้วลำเลิกว่า เพราะอ้ายโฮจิ๋นผู้พี่ไม่มีความคิด พาเอาพวกโจรเข้ามาในพระราชฐานอันตรายจึงมาถึงกูกับบุตรครั้งนี้

ฝ่ายลิยูจึงเตือนหองจูเปียนว่า จะเลือกกระบี่หรือโซ่ก็เร่งเลือกเอาจงเร็ว หองจูเปียนจึงว่า ตัวเรากับมารดาจะตายวันนี้ก็รู้อยู่แล้ว แต่ขอทุเลาให้เราลามารดาเราเสียหน่อยหนึ่งเถิด ว่าเท่านั้นแล้วก็เข้ากอดเอาเท้ามารดาร้องไห้รักกัน ลิยูจึงร้องว่า ซึ่งจะบิดพลิ้วอยู่นั้นไม่มีผู้ใดจะช่วยชีวิตแล้ว จะสั่งความกันก็สั่งเร็ว ๆ มหาอุปราชจะคอยเรา นางโฮเฮาจึงว่า อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเปนนายโจรขบถต่อแผ่นดิน ซึ่งมันจะให้ทำร้ายแก่กูกับหองจูเปียนผู้บุตรในวันนี้ ถึงมาทว่ากูแม่ลูกจะตายเทวดาแลมนุษย์ทั้งปวงก็หาสรรเสริญมันไม่ ทั้งอ้ายลิยูเปนพวกขบถก็หาเจริญไม่ ถึงกูทำมึงมิได้นานไปก็จะมีผู้ฆ่ามึงเสียเปนมั่นคง ลิยูได้ยินดังนั้นก็มีใจโกรธ จึงเข้าลากนางโฮเฮามือหนึ่ง ๆ ลากนางสนมออกไปยังที่ชาลา แล้วให้บู๋ซูตำรวจมัดนางโฮเฮากับนางสนมจนตาย แล้วลิยูจึงกลับเข้าไปจับหองจูเปียนไว้ จึงเอาสุราซึ่งใส่ยาพิษนั้นกรอก จนหองจูเปียนตาย แล้วให้เอาศพไปฝังเสียนอกเมืองทั้งสิ้น แล้วก็กลับมาบอกตั๋งโต๊ะ ๆ มีความยินดีนัก ตั้งแต่นั้นตั๋งโต๊ะมีใจกำเริบมิได้ยำเกรงผู้ใด บางทีเวลาค่ำเข้าไปนอนในที่พระเจ้าเลนเต้บรรธม แล้วทำอันตรายแก่นางห้ามทั้งปวง

ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะคุมทหารไปเมืองหยงเซีย แล้วให้ทหารหักเข้าไปในเมืองเก็บเอาทรัพย์สิ่งของ แล้วฆ่าผู้ชายเสียเปนอันมาก จับเอาผู้หญิงมาไว้ จึงให้ตัดเอาสีสะคนซึ่งตายนั้น บันทุกเกวียนกลับเข้ามาถึงเมืองหลวง แล้วให้ร้องประกาศแก่ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรว่า เรายกไปจับพวกโจรได้ตัดเอาสีสะมาเปนอันมาก แล้วก็ให้เผาเสีย จึงเอาทรัพย์สิ่งของแลหญิงชายทั้งนั้นแจกทหารทั้งปวง

ฝ่ายเงาฮูซึ่งเปนขุนนาง ครั้นเห็นตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าก็มีความแค้นใจคิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียมิได้ขาด ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเงาฮูจึงเอามีดเหน็บซ่อนไปในเสื้อ แล้วเข้าไปเฝ้าคอยทีอยู่ พอตั๋งโต๊ะออกมาถึงประตูวัง เงาฮูถอดมีดเหน็บออกจะแทงตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นรับไว้ทัน ลิโป้จึงวิ่งเข้าช่วยจับเงาฮูไว้ได้ แล้วว่าเหตุใดตัวจึงมาคิดทำร้ายมหาอุปราชผู้เปนบิดาของเราดังนี้ เงาฮูมิได้กลัวจึงตอบว่าอ้ายตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า กูจะตัดเอาสีสะประกาศแก่เทวาแลมนุษย์ให้เห็นประจักษ์จงทั่ว ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งบู๋ซูให้เอาตัวเงาฮูไปแล่เนื้อเสียให้สิ้นชีวิต บู๋ซูเข้ากุมเอาตัวเงาฮู ๆ มิได้กลัวตายด่าตั๋งโต๊ะเปนข้อหยาบช้า จนบู๋ซูลงดาบสิ้นใจ แต่นั้นมาตั๋งโต๊ะให้ทหารล้อมวงรักษาเปนกวดขันยิ่งกว่าแต่ก่อน

[๑] คำว่า “มหาอุปราช” คือตำแหน่งวังน่าหรือรัชทายาทนั้น แต่ในที่นี้หมายความว่า อัครมหาเสนาบดี ซึ่งสำเร็จราชการบ้านเมือง


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 3

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnTGxwaXB1eWlpMGM/view?resourcekey=0-ahsT6qaljdu8_9_0PDPWww



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #4 on: 21 December 2021, 18:09:06 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 4

https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-4.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 4
  สามก๊กวิทยา  01 กุมภาพันธ์ 2560


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 4

เนื้อหา
• พวกข้าราชการคิดกำจัดตั๋งโต๊ะ
• โจโฉหนีตั๋งโต๊ะ
• โจโฉชวนพวกหัวเมืองไปปราบตั๋งโต๊ะ
• กองทัพหัวเมืองยกไปติดเมืองหลวง
• พวกหัวเมืองยกอ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพ
• ตั๋งโต๊ะต่อสู้กองทัพซุนเกี๋ยน
• พวกหัวเมืองเกิดเกี่ยงแย่งกัน

ฝ่าย อ้วนเสี้ยวซึ่งเปนเจ้าเมืองปุดไฮนั้น ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่าตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย จึงแต่งหนังสือลับไปถึงอ้องอุ้นซึ่งอยู่ในเมืองหลวง ในหนังสือนั้นว่าทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าขบถต่อแผ่นดินดังนี้ หามีผู้ใดคิดการล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ ซึ่งเราออกมาอยู่ครั้งนี้ ใช่จะนิ่งนอนใจอยู่หามิได้ อุตส่าห์เกลี้ยกล่อมผู้คนฝึกหัดให้ชำนาญในการสงครามอยู่มิได้ขาด เพราะมีกตัญญู เราจะอาสาแผ่นดินกำจัดตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ ถ้าท่านเห็นพร้อมด้วยเราแล้ว จงเร่งคิดการข้างในเถิด เราจะยกกองทัพไปทำการ ครั้นอ้องอุ้นได้ทราบในหนังสือนั้นแล้ว ก็คิดวิตกอยู่มิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่งเวลาออกจากเฝ้าอ้องอุ้นจึงค่อยว่ากับขุนนางเก่า ๆ ทั้งปวงว่า วันนี้เราทำการเชิญท่านไปกินโต๊ะเล่น ณ บ้านเรา ครั้นมาพร้อมกันจึงชวนกันกินโต๊ะเสพย์สุรา แล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็ตกใจจึงถามว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งอันใด อ้องอุ้นจึงตอบว่า แต่ตั๋งโต๊ะเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงทำการหยาบช้า แล้วฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย เรามีความร้อนใจนัก อุปมาดังนอนในกองเพลิง เราเล็งไปไม่เห็นผู้ใดจะช่วยคิดทำนุบำรุงให้แผ่นดินเปนสุขได้เราจึงร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงได้ฟังก็มีความสงสาร ต่างคนต่างร้องไห้

แต่โจโฉนั้นลุกขึ้นยืนตบมือหัวเราะแล้วว่า เสียแรงเปนขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน คิดการเท่านี้มิตลอดแล้วสิชวนกันมานั่งร้องไห้ อ้องอุ้นโกรธจึงว่าแก่โจโฉว่า ปู่แลบิดาของตัวก็เปนขุนนาง ได้กินเบี้ยหวัดมาแต่ก่อน ตัวหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ เราคิดการจะล้างตั๋งโต๊ะเสีย เหตุด้วยทหารตั๋งโต๊ะมีเปนอันมาก เราคิดยังมิตลอดจึงร้องไห้ เปนไฉนตัวจึงมาตบมือหัวเราะเย้ยดังนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านทั้งปวงเปนขุนนางมาแต่ก่อน คิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน แลจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสียครั้งนี้สิมิได้เล่า ชวนกันมานั่งร้องไห้ ข้าพเจ้าจึงหัวเราะเล่น ซึ่งปู่แลบิดาข้าพเจ้าเปนข้าราชการมาแต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็คิดกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ ทำไมแก่ตั๋งโต๊ะนี้จะฆ่าเสียเมื่อใดก็จะได้

อ้องอุ้นจึงว่า ที่ตัวว่านี้เรายังไม่เห็นจริง ซึ่งตัวจะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะประการใดนั้นจงว่าให้เราประจักษ์ก่อน โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าทำความเพียรไปฝากตัวให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยจนสนิธมาทุกวันนี้ ใช่จะเห็นแก่ลาภสักการสิ่งใดหามิได้ เพราะคิดกตัญญูต่อแผ่นดิน จะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ แต่ขัดสนด้วยอาวุธดีไม่มีถือ ข้าพเจ้ารู้ว่ากระบี่สั้นอย่างดีของท่านมีอยู่ ถ้าท่านเปนใจด้วยดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอยืมกระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าไปให้ถึงตัวตั๋งโต๊ะ แล้วจะฆ่าเสียจึงจะตัดเอาสีสะมาให้ท่านจงได้ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับแล้วรินสุราให้โจโฉ ๆ รับเอาจอกสุรามาแล้วจึงสาบาลตัวว่า ข้าพเจ้าจะขอฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ อ้องอุ้นมีความยินดี จึงเข้าไปหยิบเอากระบี่สั้นออกมาให้โจโฉ ๆ ก็ลาอ้องอุ้นแลขุนนางทั้งปวงไป

ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงเอากระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าในเสื้อ แล้วไป ณ บ้านตั๋งโต๊ะ จึงถามนายประตูว่า มหาอุปราชอยู่ที่ไหน นายประตูบอกว่า มหาอุปราชอยู่ในตึกที่ดูหนังสือ โจโฉก็ขึ้นไปเห็นตั๋งโต๊ะดูหนังสือ ลิโป้นั้นคอยรับใช้อยู่ ตั๋งโต๊ะแลมาเห็นโจโฉก็ถามว่า เปนไฉนวันนี้จึงมาสายไป โจโฉบอกว่า ม้าซึ่งข้าพเจ้าขี่นั้นป่วยเท้า จัดหาม้าขี่ก็ยังไม่ได้จึงมาสายไป ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นจึงสั่งลิโป้ว่า ม้าเขาเอามาให้แต่เมืองซีหลงตัวหนึ่ง จงไปเอาม้ามาให้แก่โจโฉ ลิโป้ไปแล้วตั๋งโต๊ะก็เอนลงผินหน้าเข้าไปดูหนังสือข้างผนังตึก โจโฉเห็นดังนั้นก็ดีใจว่าลิโป้ก็ไปแล้ว ทีนี้เห็นจะสมความคิดกูเปนมั่นคง จึงชักกระบี่สั้นออกแล้วเดิรเข้าไปจะฆ่าตั๋งโต๊ะ ๆ แลเห็นเงากระจกซึ่งแขวนอยู่ที่ผนังตึกนั้นจึงตกใจผินหน้าออกมาถามโจโฉว่า ถอดกระบี่ถือเข้ามาจะทำร้ายกูหรือ พอลิโป้ก็มาถึง

ฝ่ายโจโฉก็ตกใจเห็นจะมิสมคิด จึงคุกเข่าลงชูกระบี่ยื่นด้ามเข้าไปให้ตั๋งโต๊ะแล้วแก้ตัวว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำร้ายท่านหามิได้ ทุกวันนี้ท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจะหาสิ่งใดมาสนองคุณมิได้ มีแต่กระบี่สั้นเล่มนี้มีราคามาก เปนของปู่ย่าตายายได้ต่อ ๆ กันมาจนถึงข้าพเจ้า ๆ จึงเอามาสนองคุณท่าน ตั๋งโต๊ะก็เชื่อมิได้สงสัยจึงรับเอากระบี่มาดูก็เห็นว่าดีจริง จึงส่งให้ลิโป้เก็บไว้ แล้วตั๋งโต๊ะจึงพาโจโฉออกมาดูม้า แล้วว่าม้านี้ท่านเอาไปขี่เถิด โจโฉได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า กูคิดมาว่าจะทำร้ายตั๋งโต๊ะก็ไม่สมคิด ซึ่งจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปเกลือกตั๋งโต๊ะรู้ระคายจะฆ่ากูเสีย อย่าเลยกูจะขี่ม้าแล้วจะหนีไปหาบิดา จึงจะได้คิดการต่อไป แล้วโจโฉจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งท่านให้ม้าใช้ข้าพเจ้าดังนี้พระคุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าจะขอขี่ลองดูฝีเท้าม้าก่อน ตั๋งโต๊ะจึงว่า เครื่องก็ผูกพร้อมอยู่ จะขี่ลองดูก็ตามเถิด โจโฉมีความยินดีนักจึงขึ้นขี่ม้าแล้วควบไป ครั้นถึงประตูเมืองฝ่ายทิศตวันออก จึงบอกแก่นายประตูว่า มหาอุปราชใช้เราไปเปนการเร็ว โจโฉก็ควบม้าออกไปนอกเมืองหลวง

ฝ่ายลิโป้จึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งโจโฉเอากระบี่มานั้นเห็นจะทำร้ายแก่ท่าน หากบุญท่านมีมากท่านจึงรู้ตัว โจโฉจึงแก้ตัวว่าแกล้งเอากระบี่มาให้ท่าน ตั๋งโต๊ะจึงว่า ซึ่งว่านี้เราก็เห็นแคลงอยู่ด้วย พอลิยูเข้ามา ตั๋งโต๊ะก็เล่าเนื้อความให้ลิยูฟัง ลิยูจึงว่า ข้าพเจ้าก็แคลงอยู่ขอให้คนไปดูที่บ้านโจโฉอาศรัยอยู่นั้น ถ้าพบตัวก็จะเห็นความจริงด้วย แม้ไม่พบก็เห็นว่าโจโฉคิดร้ายต่อท่านแล้วหนีไป ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงให้คนไปดู ณ บ้านที่โจโฉอยู่ คนใช้กลับมาบอกตั๋งโต๊ะว่า ข้าพเจ้าไม่พบโจโฉ แต่ไปสืบได้ความว่าโจโฉควบม้าออกไปทางประตูตวันออก บอกนายประตูว่ามหาอุปราชใช้ไปเปนการเร็ว ลิยูจึงว่าโจโฉคิดร้ายต่อท่านเปนมั่นคง ครั้นไม่สมคิดแล้วจึงหนีไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่าโจโฉนี้เราเลี้ยงเปนคนสนิธไว้เนื้อเชื่อใจ ควรหรือกลับมาทำร้ายแก่เรา มันเปนคนหามีกตัญญูไม่ ลิยูจึงว่าซึ่งโจโฉคิดทำการทั้งนี้ ใช่จะคิดแต่ตัวผู้เดียวนั้นหามิได้ เห็นจะมีพวกเพื่อนคบคิดกันเปนหลายคน จึงทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ จำจะคิดจับโจโฉมาให้ได้ แล้วจะสืบเอาพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดกันฆ่าเสียจึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม ตั๋งโต๊ะเห็นด้วยจึงให้เขียนรูปโจโฉแล้วแต่งหนังสือไปทุกหัวเมืองว่า ผู้ใดเห็นรูปดังนี้ให้จับตัวส่งเข้ามาเราจะปูนบำเหน็จ แล้วจะให้เลื่อนที่เปนขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใดสมรู้ร่วมคิดคบเอาโจโฉซุ่มซ่อนไว้ จะให้ลงโทษทั้งบุตรภรรยาถึงสิ้นชีวิต

ฝ่ายโจโฉมาถึงเมืองจงพวน ชาวด่านเห็นรูปโจโฉกับรูปซึ่งเขียนมานั้นเหมือนกัน จึงจับเอาตัวโจโฉส่งเข้าไปให้ตันก๋งเจ้าเมืองจงพวน ๆ ถามว่า ตัวชื่อโจโฉหรือ โจโฉบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อฮ่องอูเปนพ่อค้าเที่ยวค้าขายดอก ตันก๋งพิศดูก็จำได้กระหนักแล้วว่า ตัวชื่อโจโฉเปนไฉนจึงว่าชื่อฮ่องอูเล่า ตัวนี้เจรจาไม่จริง วันนี้ค่ำแล้วเอาไปใส่คุกไว้ก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงจะบอกส่งขึ้นไปเมืองหลวง ครั้นเวลาเที่ยงคืนตันก๋งจึงให้ไปเอาตัวโจโฉมาณที่สงัด แล้วถามโจโฉว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชนั้นมีน้ำใจรักใคร่ท่านอยู่เปนอันมาก ท่านทำประการใดให้มหาอุปราชขัดเคืองจึงเกิดเหตุหนีมาทั้งนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านอุปมาดังนกน้อย เปนไฉนจึงจะมาล่วงรู้ความคิดพระยาครุฑ ซึ่งมีหนังสือตั๋งโต๊ะมานั้น ท่านจับตัวเราได้แล้วก็ให้เร่งส่งขึ้นไปยังเมืองหลวงเอาความชอบเถิด อย่าล่วงถามมาถึงความคิดเราเลย ตันก๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้อัชฌาสัย จึงขับคนทั้งปวงเสียสิ้นแล้ว ตอบแก่โจโฉว่า ท่านอย่าดูหมิ่นว่าเราความคิดน้อย ทุกวันนี้ที่เรามาเปนหัวเมืองจัตวาอยู่นี้เพราะเราขัดสน แลใจนั้นจะคิดหาผู้กล้าหาญซึ่งมีสติปัญญาเปนหลักจะได้เปนที่คู่คิดสืบไป โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า แต่ก่อนปู่แลบิดาเราเปนขุนนางได้กินเบี้ยหวัดอยู่ ครั้งนี้บ้านเมืองเปนจลาจลเพราะขันทีสิบคนแลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า ครั้นเราจะนิ่งอยู่มิคิดการก็เหมือนหนึ่งหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ อันเราไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนี้หวังจะล้างมันเสีย ซึ่งทำไม่สมคิดทั้งนี้ก็เปนกรรมของเรา แลวิบากของอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดิน ตันก๋งจึงถามว่า ซึ่งท่านหนีตั๋งโต๊ะมานี้จะไปคิดการสิ่งใด โจโฉบอกว่า เราจะหนีไปหาบิดาเรา แล้วจะลอบแต่งเปนหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงให้ยกทหารมาบัญจบกัน แล้วจะเข้าไปทำการจับตั๋งโต๊ะซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติฆ่าเสีย ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงเข้าถอดเครื่องจำโจโฉออกเสีย จึงเชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้เรายินดีด้วย ราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะสติปัญญาท่าน โจโฉจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด จึงมีความยินดีด้วยเรา ตันก๋งจึงบอกว่าเราชื่อตันก๋งเปนแซ่ตัน เราเห็นท่านนี้มีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงมีความยินดีด้วย ซึ่งที่ของเราเปนเจ้าเมืองจงพวนอยู่นี้เราจะทิ้งเสีย จะไปทำการทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยท่าน แล้วตันก๋งจึงเข้าไปจัดหาทรัพย์สิ่งของซึ่งมีราคากับกระบี่ให้โจโฉถือเล่ม หนึ่ง ตัวถือเล่มหนึ่ง จึงขี่ม้าคนละตัวแล้วพากันออกจากเมืองในกลางคืนนั้น

ครั้นมาได้สามวันถึงบ้านแห่งหนึ่ง โจโฉจึงบอกแก่ตันก๋งว่า เวลาก็เย็นแล้วบ้านนี้เกลอของบิดามีอยู่คนหนึ่งชื่อว่าแปะเฉีย เราจะเข้าไปอาศรัยนอน จะได้ถามเหตุการณ์ทั้งปวงด้วย แล้วโจโฉก็พาตันก๋งเข้าไปหาแปะเฉีย ๆ เห็นโจโฉจึงบอกว่า บัดนี้มีหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวงว่าให้จับตัวท่านส่งขึ้นไป แลโจโก๋บิดาของตัวนั้นก็หนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว โจโฉจึงเล่าเนื้อความแต่หลังให้แปะเฉียฟังสิ้น แล้วว่าตันก๋งคนนี้เปนเจ้าเมืองจงพวน ละราชการเสียหนีมาคิดการกับข้าพเจ้า ๆ จึงได้รอดชีวิตเพราะตันก๋ง แปะเฉียได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ตันก๋งว่า ขอบใจท่านมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ถ้ามิได้ท่านโจโฉก็ตาย ท่านจงพากันนอนอยู่ที่นี่เถิด ต่อเวลาพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยไป แล้วแปะเฉียก็เข้าไปในเรือนสั่งแก่พ่อครัวว่าให้ทำสุกรแลไก่ แล้วก็กลับออกมาบอกแก่โจโฉว่าสุราที่เรือนนี้ไม่มีดี เราจะไปจัดหาสุราที่ดีมาให้กิน ว่าแล้วก็ไป

ฝ่ายพ่อครัวจึงถามกันว่า เราจะมัดก่อนหรือ ๆ จะฆ่าทีเดียว โจโฉได้ยินว่าดังนั้นก็กริ่งใจ จึงปรึกษากับตันก๋งว่า แปะเฉียนี้เปนแต่เกลอของบิดา เห็นจะไปบอกนายบ้านให้มาจับเรา จึงสั่งไว้แก่คนที่เรือน คนที่เรือนจึงว่าจะมัดก่อนหรือจะฆ่าทีเดียว ตันก๋งจึงว่าเราไม่รู้จักน้ำใจแปะเฉีย จะประมาณการนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่าเอามันไว้ไม่ได้ ก็ชักกระบี่ออก แล้วก็เข้าไปฟันผู้คนบุตรภรรยาแปะเฉียตายถึงแปดคน ตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้ก็ตกใจ จึงว่าเขามัดสุกรไว้เขาจะฆ่าต่างหาก ท่านมาฆ่าผู้คนบุตรภรรยาแปะเฉียเสียนั้นผิดนัก โจโฉก็กลัวจึงพาตันก๋งหนีออกจากบ้าน ครั้นไปประมาณยี่สิบเส้นพอพบแปะเฉีย ๆ ถามว่าไม่อยู่กินเข้าจะไปไหนเล่า โจโฉตอบว่าข้าพเจ้าเปนคนผิดอยู่ จะรีบไปให้พ้นภัย ก็ขับม้าไปแล้วก็ได้คิด จึงกลับม้ามาเรียกแปะเฉีย ว่าจะสั่งความไว้ แปะเฉียก็หยุดอยู่ โจโฉมาถึงเอากระบี่ฟันแปะเฉียตาย ตันก๋งเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจเปนอันมาก จึงว่าแก่โจโฉว่า เมื่อกี้ฆ่าบุตรรรยาผู้คนเขาเสียแล้ว บัดนี้ซ้ำมาฆ่าตัวแปะเฉียอีกเล่า โจโฉจึงตอบว่าเมื่อกี้เราคิดผิดอยู่แล้ว ครั้นจะละไว้แปะเฉียก็จะโกรธไปบอกนายบ้าน ๆ ก็จะคุมกันมาตามจับเราส่งขึ้นไปเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียหวังจะให้เนื้อความสูญไป ตันก๋งจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านมีความคิดผิดเมื่อมิทันรู้ฆ่าบุตรภรรยาผู้คนเขาเสีย ครั้นรู้ตัวว่าผิดแล้ว มาซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียอีกฉนี้ เปนคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉจึงว่าแก่ตันก๋งว่า ท่านว่าฉนี้ก็ชอบกลอยู่ แต่ว่าธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้ เราจึงทำการทั้งนี้ ว่าแล้วโจโฉก็พาตันก๋งไปถึงที่สำนักแห่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปอาศรัยนอนอยู่ ครั้นโจโฉนอนหลับไป ตันก๋งจึงลุกขึ้นรำพึงคิดว่า เสียแรงตัวกูสู้สละสมบัติพัสถานเสีย อุตส่าห์ติดตามโจโฉมาคิดว่าจะเปนคนดีมีปัญญาจะได้อุปถัมภ์กันสืบไป มิรู้โจโฉเปนคนหยาบช้าสามานหามีความกตัญญูต่อผู้มีคุณอุปการะไม่ ครั้นกูสมาคมด้วยโจโฉสืบไปนั้นไม่ควร จำกูจะฆ่าเสียอย่าให้มีภัยไปภายหน้า จึงถอดกระบี่ออกจะฟันโจโฉ แล้วถอยหลังคิดว่า เหตุทั้งนี้เพราะแรกนั้นเราชอบใจจึงตามมา ครั้นโจโฉทำผิดจะฆ่าโจโฉเสียนั้นก็หาประโยชน์ไม่ เมื่อมิชอบใจแล้วก็จะเอาตัวรอดหนีดีกว่า ตันก๋งก็ขึ้นม้าหนีไปเมืองตองกุ๋น

ฝ่ายโจโฉครั้นตื่นขึ้นไม่เห็นตันก๋งแล้วก็คิดว่า ตันก๋งเห็นกูกระทำผิดจึงเอาตัวหนี ครั้นจะอยู่ที่นี่ก็มิได้ภัยจะมี ก็รีบไปในเวลากลางคืน ครั้นถึงเมืองตันลิวจึงบอกแก่โจโก๋ผู้บิดา ตามเนื้อความซึ่งมีมาแต่หลัง ซึ่งข้าพเจ้าหนีมานี้หวังจะขอเงินทองของบิดาที่มีอยู่นั้นจะซื้อม้าแลอาวุธ แล้วจะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ได้มากแล้วจะทำการสืบไป โจโก๋จึงว่าเงินทองเรามีอยู่บ้างเห็นจะไม่พอการ เราเห็นคนหนึ่งชื่ออุยหอง มีทรัพย์สินเปนอันมาก น้ำใจก็กว้างขวางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้าได้ไปบอกเนื้อความทั้งปวงก็เห็นจะลงใจด้วย จะให้เงินทองมาจ่ายอาวุธแลม้า จะได้เปนกำลังสืบไป

โจโฉได้ยินบิดาว่าดังนั้นมีความยินดีนัก จึงให้แต่งโต๊ะแล้วให้ไปเชิญอุยหองมากินโต๊ะ โจโฉจึงบอกเนื้อความแก่อุยหองว่า ทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ แต่ว่ากำลังแลทรัพย์สินข้าพเจ้าน้อยนัก ข้าพเจ้าจึงหนีมาจะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนให้ได้มาก แล้วจะยกเข้าไปทำการล้างตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมีทรัพย์เปนอันมาก แลน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะขอทรัพย์ท่านไปจัดซื้ออาวุธแลม้า จะได้ทำการสืบไป อุยหองได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงว่าแต่รู้ข่าวว่าเมืองหลวงเปนจลาจล ก็มาคิดอยู่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน แต่หามีผู้จะคิดเปนหลักไม่ อันซึ่งท่านคิดอ่านทั้งนี้เรายินดีด้วย ทรัพย์ของเราซึ่งมีอยู่นั้น เราจะให้ท่านทำตามปราถนา โจโฉมีความยินดีนัก จึงทำธงขาวคันหนึ่งแล้วเขียนอักษรลงว่า ให้คนทั้งปวงมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน แล้วปักขึ้นไว้ตรงหน้าบ้าน บันดาชาวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันมาหาโจโฉ ๆ จึงเกลี้ยกล่อมผู้คนได้เปนอันมาก

ขณะนั้นแฮหัวตุ้นผู้พี่แฮหัวเอี๋ยนผู้น้อง อยู่ ณ เมืองไพก๊ก แลแฮหัวตุ้นเมื่ออายุสิบสี่ปีนั้นไปเรียนการทหารในสำนักอาจารย์ แลมีผู้หนึ่งมาดูหมิ่นอาจารย์ แฮหัวตุ้นโกรธจึงฆ่าผู้นั้นเสีย แล้วหนีไปอยู่บ้านนอก ครั้นรู้ข่าวก็เกลี้ยกล่อมผู้คนได้ประมาณพันเศษ จึงพาแฮหัวเอี๋ยนผู้น้องไปเข้าด้วยโจโฉ

แล้วโจหยินโจหองพี่น้องคุมคนได้ประมาณพันเศษ กับงักจิ้นชาวเมืองยงเป๋ง ลิเตียนชาวเมืองซันหยง ต่างคนก็มาเข้าด้วยโจโฉ แลอุยหองนั้นเห็นผู้คนมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉก็มีความยินดีนัก จึงเอาเงินทองมาให้โจโฉซื้อม้าแลอาวุธสำหรับการสงคราม แลชาวเมืองทั้งปวงก็ชวนกันจัดเอาม้าแลอาวุธกับเข้าปลาอาหารมาให้เปนอันมาก ขณะนั้นโจโฉมีความยินดีนัก จึงให้ปลูกโรงสำหรับเปนที่ชุมนุมขุนนางแลทหารจะได้ปรึกษาการสงคราม ครั้นเวลาเช้าเย็นให้ทหารซ้อมหัดการอาวุธไว้ให้ชำนาญ

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งตั๋งโต๊ะเกลี้ยกลอ่มเอาใจตั้งไว้เปนเจ้าเมืองปุดไฮรู้ ข่าวดังนั้น ก็ปรึกษาแก่กรมการทั้งปวงว่า เราจะยกไปเข้าด้วยโจโฉ กรมการทั้งปวงเห็นชอบด้วย อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารยกไปเข้าด้วยโจโฉประมาณสามหมื่นเศษ ฝ่ายโจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวมาเข้าด้วยก็มีความยินดี จึงปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้เราสิจะทำการใหญ่ จำจะแต่งเปนหนังสือรับสั่งลอบไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง อ้วนเสี้ยวเห็นด้วย จึงแต่งหนังสือว่า มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้โจโฉลอบออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวง ว่า ทุกวันนี้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แลอาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อน เพราะตั๋งโต๊ะเปนขบถฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย ยกเราให้เปนเจ้าแผ่นดินเหมือนเจว็ด ตั้งตัวมันเปนมหาอุปราช ราชการเมืองทั้งปวงสิทธิอยู่แก่ตั๋งโต๊ะสิ้น แลโจโฉมีกตัญญูต่อแผ่นดิน สาบาลตัวต่อหน้าที่นั่งว่า จะอาสาล้างตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ เราจึงให้โจโฉออกไปประกาศหัวเมืองทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็ให้เข้าคิดอ่านกับโจโฉ แล้วยกเข้ามาล้างตั๋งโต๊ะซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติเสียจงได้

ครั้นหัวเมืองทั้งห้าสิบเมืองใหญ่นั้น คืออ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงหนึ่ง ฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วหนึ่ง ขงมอเจ้าเมืองเซียงจิ๋วหนึ่ง เล่าต้ายเจ้าเมืองอิวจิ๋วหนึ่ง อองของเจ้าเมืองโห้ลายหนึ่ง เตียวเมาเจ้าเมืองตันลิวหนึ่ง เตียวโป้เจ้าเมืองตองกุ๋นหนึ่ง อ้วนอุ๋ยเจ้าเมืองซุนหยงหนึ่ง เปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักหนึ่ง ขงเล่งเจ้าเมืองปักไฮหนึ่ง เตียวเถียวเจ้าเมืองก่องเล่งหนึ่ง โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วหนึ่ง มาเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงหนึ่ง เตียนเอี๋ยงเจ้าเมืองเสียงต๋งหนึ่ง ซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสาหนึ่ง รู้ในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดี จึงคุมทหารเมืองละหมื่นหนึ่งบ้างสองหมื่นบ้างสามหมื่นบ้างยกไปเข้าด้วยโจโฉ เปนสิบหกหัวเมืองทั้งอ้วนเสี้ยว โจโฉจึงยกกองทัพทั้งปวงไปณแดนเมืองลกเอี๋ยง

ฝ่ายกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง ครั้นรู้รับสั่งดังนั้นก็จัดทหารได้ประมาณหมื่นห้าพัน ยกมาถึงเมืองเพงงวนก้วนซึ่งเล่าปี่รักษาอยู่

ฝ่ายเล่าปี่รู้ว่ากองซุนจ้านยกมา ก็พากวนอูกับเตียวหุยออกไปหาถึงนอกเมือง กองซุนจ้านเห็นเล่าปี่มาก็ดีใจจึงถามว่า ซึ่งตามมาด้วยสองคนนั้นชื่อใดแลมานี่จะไปไหน เล่าปี่บอกว่านั้นชื่อกวนอูเตียวหุย เปนทหารม้าถือเกาทัณฑ์แลน้องข้าพเจ้า สองคนนี้กล้าหาญได้เปนกำลังข้าพเจ้ามา แลท่านได้มีคุณแก่ข้าพเจ้าแต่ก่อน ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านยกมาทางนี้จึงออกมารับ หวังจะเชิญท่านเข้าไปพักทหารอยู่ในเมืองสักเวลาหนึ่ง กองซุนจ้านได้ฟังก็ระลึกได้ว่ากวนอูเตียวหุย แล้วก็เข้าไปในเมือง จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า กวนอูเตียวหุยนี้ก็ได้ไปช่วยทำการรบโจรโพกผ้าเหลือง หาผู้ใดว่ากล่าวความชอบไม่ จึงเปนทหารเลวอยู่ฉนี้ กองซุนจ้างจึงเล่าในหนังสือรับสั่งซึ่งให้โจโฉออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้ง ปวงนั้นให้เล่าปี่ฟังสิ้น แล้วชวนเล่าปี่ว่า ทุกวันนี้ท่านได้เปนเจ้าเมืองก็เปนแต่เมืองน้อย ครั้งนี้จงไปกับเราเถิด ถ้าสำเร็จราชการตัวท่านแลน้องทั้งสองคนนั้น ก็จะได้เปนเจ้าเมืองเอกขึ้น เล่าปี่มีความยินดีก็รับคำกองซุนจ้าน เตียวหุยจึงว่าครั้งไปรบโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ข้าเห็นว่าตั๋งโต๊ะหยาบช้ามิรู้จักคุณคน ข้าจะฆ่าเสียพี่ห้ามไว้ ถ้าพี่มิห้ามข้าจะเกิดเหตุใหญ่ถึงเพียงนี้หรือ กวนอูจึงห้ามเตียวหุยว่าอย่าว่าเลย ซึ่งจะไปกับกองซุนจ้านนั้นข้าก็มีความยินดีด้วย เล่าปี่จึงให้จัดแจงทหาร ซึ่งเปนคนสนิธพร้อมแล้ว กองซุนจ้านเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ยกทหารไปถึงที่ซึ่งโจโฉตั้งทัพอยู่ ณ แดน เมืองหลวง

ฝ่ายโจโฉกับหัวเมืองทั้งปวงจึงให้ตั้งค่ายเรียงกันไป ทางไกลประมาณสองร้อยเส้น แลโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญหัวเมืองทั้งปวงมากินโต๊ะพร้อมกัน แล้วจะให้ยกเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง อองของจึงว่าบัดนี้เราทั้งปวงมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งมาทำการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ไม่มีผู้ใดถืออาญาสิทธิ์เปนผู้ใหญ่บังคับ บัญชานายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งจะยกเข้าตีนั้นเรายังไม่เห็นด้วย โจโฉฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงว่าอ้วนเสี้ยวนี้เปนคนมีสะกูลเชื้อขุนนางมาถึงสี่ชั่วห้าชั่วคนแล้ว ควรจะให้เปนนายทัพใหญ่ ถืออาญาสิทธิ์บังคับบัญชานายทัพนายกอง อ้วนเสี้ยวไม่ยอม หัวเมืองทั้งปวงจึงว่า ถ้าอ้วนเสี้ยวไม่ยอมเปนนายทัพใหญ่แล้ว ซึ่งจะจัดหาผู้ใดนอกนั้นเห็นขัดสน อ้วนเสี้ยวเห็นหัวเมืองจะแก่งแย่งกันก็รับเปนแม่ทัพใหญ่ โจโฉจึงให้ปลูกโรงใหญ่สำหรับอ้วนเสี้ยวออกว่าราชการในค่าย ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจึงเชิญให้อ้วนเสี้ยวขึ้นนั่งที่สมควร แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็เอากระบี่แลตราสำหรับนายทัพใหญ่มอบให้อ้วน เสี้ยว แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองจึงจุดธูปเทียนขึ้นทำสักการบูชาบวงสรวงเทพารักษ์ แล้วถือน้ำพิพัฒน์สัจจาว่าจะสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินสืบไป โจโฉจึงรินสุราคำนับให้หัวเมืองทั้งปวงกิน แล้วว่าเราจะทำสงครามใหญ่ครั้งนี้ อย่าได้คิดแก่งแย่งกันให้เสียราชการ จงมีใจประนอมกัน การทั้งปวงจึงจะสำเร็จ อ้วนเสี้ยวจึงว่า สติปัญญาเราก็เปนประมาณ ซึ่งท่านทั้งปวงปรึกษาให้เราเปนนายทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์ เราก็จะทำไปตามสติปัญญา อันอย่างธรรมเนียมกฎพิชัยสงครามนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดผิดเราจะให้ลงโทษโดยพระอัยการศึก ท่านทั้งปวงอย่าได้น้อยใจเรา โจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็รับว่าข้าพเจ้าจะทำตาม อ้วนเสี้ยวจึงให้อ้วนสุดผู้น้องเปนทัพลำเลียง สำหรับส่งสเบียงนายทัพนายกองทั้งปวงอย่าให้ขาดได้ แล้วให้ซุนเกี๋ยนเปนกองทัพหน้า คุมทหารยกไปตีด่านกิสุยก๋วน ซุนเกี๋ยนก็ยกไปตั้งค่ายประชิดด่าน

ฝ่ายนายด่านเห็นดังนั้น จึงแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ลิยูครั้นรู้หนังสือนั้นแล้วก็เอาไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะตกใจจึงปรึกษาลิยูว่า ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไปจับซุนเกี๋ยนมาฆ่าเสียได้ ลิโป้จึงว่าซึ่งหัวเมืองยกมาทั้งนี้เปรียบเหมือนแมลงเม่า ข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพออกไปฆ่าเสีย อย่าให้ท่านวิตกเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจขึ้น จึงว่าทุกวันนี้เราได้ลิโป้ไว้เปนบุตร ถึงมาทว่าจะได้ทหารอื่นมาไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่าลิโป้

ขณะนั้นทหารคนหนึ่งชื่อฮัวหยง กิริยาดังเสือสูงหกศอกเศษ ครั้นได้ยินลิโป้ว่าจะอาสาดังนั้น จึงคุกเข่าลงคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่า ซึ่งจะฆ่าไก่แลจะเอามีดฆ่าโคมาฆ่านั้นไม่ควร ซึ่งการทั้งนี้เปนแต่หัวเมืองทั้งปวงยกมา อันลิโป้ผู้บุตรท่านจะยกออกไปรบด้วยข้าศึกนั้นเห็นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาสีสะหัวเมืองทั้งปวงมาให้จงได้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้ฮัวหยงเลื่อนที่เปนนายทหารใหญ่ แล้วจัดทหารให้ห้าหมื่น กับลิซกหนึ่ง โฮจิ้นหนึ่ง เตียวหงิมหนึ่ง เปนสี่นายทั้งฮัวหยงให้ยกออกไป ฝ่ายฮัวหยงกับทหารสามคนคุมพลห้าหมื่น รีบยกออกไปตั้งรับอยู่ ณ ด่านกิสุยก๋วน

ขณะนั้นเปาสิ้นซึ่งอยู่ในกองทัพอ้วนเสี้ยว จึงคิดว่าซุนเกี๋ยนเปนกองหน้ายกไปตีด่านเมืองหลวงนั้น ถ้าได้ทีก็มีความชอบแต่ตัวซุนเกี๋ยน จึงแต่งให้เปาต๋งผู้น้องคุมทหารยกไปทางหนึ่ง ให้เร่งคิดเอาด่านเมืองหลวงให้ได้ก่อน ความชอบจึงจะมีแก่เรา เปาต๋งก็รีบยกทัพไป ครั้นถึงด่านแล้วก็ให้ทหารเข้าตีก่อนทัพซุนเกี๋ยน

ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้น ก็คุมทหารห้าร้อยเปิดประตูด่านออกไปจึงร้องว่า เปาต๋งนี้เปนพวกโจรมารบกูหรือ เปาต๋งได้ยินดังนั้นก็แลไปดู เห็นฮัวหยงก็ตกใจกลัว ชักม้าบ่ายหน้ากลับไป ฮัวหยงขับม้าไล่ตาม แล้วเอาง้าวฟันถูกเปาต๋งตกม้าตาย จับได้ทหารเปนอันมากแล้วให้ตัดเอาสีสะเปาต๋งใส่ถัง บอกหนังสือส่งขึ้นไปให้ตั๋งโต๊ะ ๆ มีความยินดี จึงแต่งหนังสือลงมาปูนบำเหน็จให้ฮัวหยงเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่

ฝ่ายซุนเกี๋ยนนั้นมีทหารเอกไปด้วยสี่คน ชื่อเทียเภาถือทวนหนึ่ง อุยกายถือกระบองเหล็กสี่เหลี่ยมหนึ่ง ฮันต๋งถือง้าวหนึ่ง โจเมาถือกระบี่สองมือหนึ่ง ซุนเกี๋ยนแต่งตัวใส่เกราะแล้วถือง้าวใหญ่ พาพวกทหารออกมาหน้าด่านแล้วร้องว่า อ้ายพวกขบถมึงเร่งเปิดประตูออกมาเข้าเกลี้ยกล่อมกูจงเร็ว ถ้าช้าอยู่กูจะหักเข้าไปตัดสีสะเสียให้สิ้น โฮจิ้นได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่ฮัวหยงว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารห้าพันจะอาสาออกไปตี ฮัวหยงเห็นชอบด้วยก็จัดทหารให้โฮจิ้น ๆ ก็ยกทหารเปิดประตูออกไป

ฝ่ายเทียเภาเห็นโฮจิ้นออกมา จึงขับม้ารำเพลงทวนออกไปรบด้วยโฮจิ้นได้เจ็ดเพลง เทียเภาเอาทวนแทงถูกคอโฮจิ้นตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็ไล่ฟันทหารโฮจิ้นเข้าไปจนถึงเชิงกำแพง

ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้น ก็ให้ทหารบนหน้าที่เชิงเทินยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงไปดังห่าฝน ซุนเกี๋ยนเห็นจะเข้าหักเอายังมิได้ ก็ให้ถอยทหารมาตั้งค่ายอยู่ตำบลเลียงต๋ง จึงให้แต่งหนังสือตามซึ่งได้รบพุ่งนั้นไปให้อ้วนเสี้ยวแจ้ง แล้วบอกไปถึงอ้วนสุดว่า ในกองทัพนี้ขาดสเบียงให้อ้วนสุดเร่งส่งลำเลียงมาให้จงได้

ขณะเมื่อหนังสือมานั้น ทหารอ้วนสุดคนหนึ่งจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า ซุนเกี๋ยนคนนี้เมื่ออยู่ในเมืองกังตั๋งนั้น อุปมาดังเสือตัวหนึ่ง แลตั๋งโต๊ะนั้นอุปมาดังหมี ครั้งนี้ซุนเกี๋ยนยกไปทำการเปนกองหน้า ถ้าตีได้เมืองหลวงก็จะจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย ซุนเกี๋ยนก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งจะฆ่าหมีเสียตัวหนึ่ง เสือจะร้ายขึ้นนั้นจะเห็นชอบข้างไหน ข้าพเจ้าคิดว่านิ่งเสียอย่าส่งสเบียงเลย ทหารในกองทัพซุนเกี๋ยนก็จะอิดโรยระส่ำระสายลงเหมือนเสือหากำลังมิได้ อ้วนสุดเห็นชอบด้วยก็มิได้ส่งสเบียง แลในกองทัพซุนเกี๋ยนก็อดเข้าปลาอาหาร ทหารทั้งปวงก็อิดโรยไป

ฝ่ายคนสอดแนมครั้นรู้ดังนั้น ก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ลิซก ๆ จึงไปบอกแก่ฮัวหยงว่า บัดนี้ในกองทัพซุนเกี๋ยนนั้น ทหารทั้งปวงอดเข้าปลาอาหารอิดโรยอยู่แล้ว เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะคุมทหารอ้อมไปเข้าข้างหลังค่ายซุนเกี๋ยน ขอให้ท่านยกเข้าข้างหน้าค่าย จะตีกระหนาบเข้าไปปล้นเอาค่ายเห็นจะจับตัวซุนเกี๋ยนได้โดยง่าย ฮัวหยงเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารเตรียมไว้เปนสองกอง ครั้นเวลาค่ำจึงเปิดประตูยกทหารออกไปเปนสองกองตามซึ่งคิดไว้นั้น ขณะเมื่อยกไปถึงค่ายซุนเกี๋ยนนั้นเปนเวลาสองยามเศษ ฮัวหยงจึงให้ทหารตีกลองโห่ร้องเข้าปล้นเอาค่าย

ฝ่ายซุนเกี๋ยนตกใจก็แต่งตัวใส่เกราะ แล้วขึ้นม้าถือง้าวออกมารบกับฮัวหยงได้แปดเพลง แล้วซุนเกี๋ยนแลไปเห็นแสงเพลิงข้างหลังค่ายนั้นสว่างขึ้น แลทหารในค่ายแตกตื่นล้มตายเปนอันมาก แต่โจเมานั้นขี่ม้าตามซุนเกี๋ยนอยู่

ฝ่ายทหารฮัวหยงเข้าล้อมไว้ ซุนเกี๋ยนกับโจเมาจึงฝ่าฟันทหารออกไปได้ ฮัวหยงควบม้าตาม ซุนเกี๋ยนยิงเกาทัณฑ์มา ฮัวหยงรับลูกเกาทัณฑ์ได้ทั้งสองดอก แล้วซุนเกี๋ยนขึ้นเกาทัณฑ์จะยิงซ้ำ คันเกาทัณฑ์หัก ซุนเกี๋ยนกับโจเมาก็ควบม้าหนีไป ฮัวหยงก็ขับม้าตาม โจเมาจึงว่ากับซุนเกี๋ยนว่า หมวกซึ่งท่านใส่นั้นฝ่ายศัตรูจำได้ถนัด จงถอดมาเปลี่ยนให้ข้าพเจ้าเสียเถิด ซุนเกี๋ยนก็ถอดหมวกออกมาเปลี่ยนกันใส่แล้วควบม้าแยกทางกันไป

ฝ่ายฮัวหยงกับทหารทั้งปวงควบม้าตามไป มิได้รู้ว่าซุนเกี๋ยนไปแห่งใด จำสำคัญได้แต่หมวก ฮัวหยงคิดว่าซุนเกี๋ยนก็รีบควบม้าไล่โจเมาไป ฝ่ายโจเมาเห็นจวนตัวเข้า จึงถอดหมวกสวมตอไม้ไว้แล้วรีบควบม้าหนีเข้าป่า ขณะเมื่อฮัวหยงไล่ไปนั้นเปนเวลากลางคืนมิได้รู้กลโจเมา เห็นสำคัญแต่หมวก จึงให้ทหารเข้าล้อมตอไม้นั้นไว้ แลทหารทั้งปวงก็เอาเกาทัณฑ์ยิงตอไม้อยู่เปนช้านาน ครั้นเห็นไม่ไหวติง ฮัวหยงจึงพาทหารเข้าไปดู ก็เห็นหมวกสวมตอไม้อยู่

ฝ่ายโจเมาครั้นหนีเข้าอยู่ในป่าหยุดม้าดู เห็นฮัวหยงกับทหารหลงล้อมตอไม้ไว้ โจเมาจึงชักม้ากลับหลังจะฟันฮัวหยง ๆ เหลือบเห็นจึงชักม้ากลับหน้ามาร้องตวาด แล้วเอาง้าวฟันถูกโจเมาตัวขาดออกสองท่อนตาย ครั้นเวลารุ่งเช้าฮัวหยงก็คุมทหารกลับเข้าไปด่านเมืองหลวง

ฝ่ายเทียเภา อุยกาย ฮันต๋ง กับทหารทั้งปวงซึ่งเหลือแตกไปนั้นพบซุนเกี๋ยน ๆ จึงพากลับมา ณ ค่ายเลียงต๋ง แล้วบอกหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวตามซึ่งได้รบพุ่ง อ้วนเสี้ยวแจ้งในหนังสือนั้นมีความเสร้าหมองนัก จึงหาหัวเมืองมาปรึกษาว่า ซุนเกี๋ยนนี้เปนทหารกล้าแขง ซึ่งเสียทีแก่ฮัวหยงดังนี้จะคิดประการใด อนึ่งเปาสิ้นลอบใช้เปาต๋งไปชิงรบจนตัวตาย แลเสียทหารไปเปนอันมาก นายทัพนายกองทั้งปวงยังมิได้ว่าประการใด

ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ยืนอยู่ข้างหลังกองซุนจ้าน ทั้งสามคนนี้รูปร่างใหญ่โตเห็นกิริยาดังยิ้มเยาะ จึงถามกองซุนจ้านว่าสามคนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนั้นชื่อใด กองซุนจ้านจึงจูงมือเล่าปี่ออกไปยืนข้างหน้า แล้วบอกว่าคนนี้ชื่อเล่าปี่ เปนเพื่อนศิษย์เรียนหนังสือกับข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ได้เปนเจ้าเมืองเพงงวนก้วน

โจโฉจึงว่าเล่าปี่คนนี้ ครั้งโจรโพกผ้าเหลืองนั้นก็ได้ไปช่วยรบ กองซุนจ้านจึงว่า อันเล่าปี่นี้เปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ มีความชอบต่อแผ่นดินมาหลายครั้ง แล้วกองซุนจ้านให้เล่าปี่คำนับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวเชิญให้เล่าปี่มานั่งที่สมควร แลกวนอูกับเตียวหุยก็เข้าไปยืนอยู่หลังเล่าปี่

ฝ่ายฮัวหยงนั้นคุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายอ้วนเสี้ยว จึงให้ทหารเอาไม้ยาวเสียบหมวกซุนเกี๋ยนแกว่งขึ้นร้องประกาศว่า อ้ายเหล่าหัวเมืองซึ่งเปนขบถ แต่งให้ซุนเกี๋ยนยกไปรบนั้น กูก็ตีแตกฆ่าทหารเสียเปนอันมากแล้ว บัดนี้ใครซึ่งเปนตัวนายเร่งยกออกมารบกัน ม้าใช้ได้ยินดังนั้นก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว ๆ จึงปรึกษาแก่นายทัพนายกองว่า ฮัวหยงยกออกมาทำดังนี้ผู้ใดจะอาสาไปด้วยได้ ยูสิดทหารอ้วนสุดจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบด้วยฮัวหยง อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็เกณฑ์ทหารให้ยูสิด ๆ ยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงได้สามเพลง ฮัวหยงเอาง้าวฟันยูสิดตกม้าตาย ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว ๆ กับหัวเมืองทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า ครั้งนี้ใครจะอาสาออกไปรบด้วยฮัวหยงได้

ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วจึงว่า ข้าพเจ้ามีทหารเอกคนหนึ่งชื่อพัวหอง จะขออาสาไปตัดเอาสีสะฮัวหยงมาให้จงได้ อ้วนเสี้ยวมีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารให้ พัวหองแต่งตัวใส่เกราะแล้วขี่ม้าถือขวานใหญ่เปนอาวุธ ยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงสามเพลง ฮัวหยงเอาง้าวฟันถูกพัวหองตกม้าตาย ม้าใช้ก็รีบเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว แลนายทัพนายกองทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ตกใจ อ้วนเสี้ยวจึงว่าทหารเอกของเราสองคนชื่องันเหลียงบุนทิวก็ยังไม่เห็นมา ถ้ามาแล้วก็จะกลัวอะไรกับฮัวหยง ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไป

ขณะนั้นกวนอูจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาสีสะฮัวหยงมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งรับอาสานั้นเปนทหารที่ตำแหน่งใด กองซุนจ้านจึงบอกว่า คนนี้ชื่อกวนอูผู้น้องเล่าปี่ เปนทหารม้าถือเกาทัณฑ์

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวได้ยินกองซุนจ้านว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตวาดว่ากวนอูเปนแต่ทหารม้าเลว มาดูหมิ่นนายทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวง บังอาจเข้ารับอาสา แลทหารหัวเมืองทั้งปวงยังมีอยู่เปนอันมาก พอจะทำการศึกสืบไป จึงให้ทหารขับกวนอูออกไปเสีย

โจโฉจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธก่อน ท่วงทีกวนอูนี้จะมีฝีมือกล้าหาญอยู่จึงขันอาสา ถ้าไม่สมดังปากว่าจึงจะเอาโทษถึงตาย อ้วนเสี้ยวจึงว่ากวนอูเปนทหารเลว ครั้นจะให้ออกไปรบกับฮัวหยง ๆ ก็จะหัวเราะเย้ยเล่น ว่าในกองทัพเรานี้ไม่มีทหารเอกแล้ว โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าเห็นรูปร่างกวนอูนี้โตใหญ่คมสันอยู่ เห็นสมเปนทหารเอก ฮัวหยงจะไม่รู้ว่าทหารเลว กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะอาสาออกไปครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ตัดสีสะฮัวหยงเข้ามาขอท่านจงเอาสีสะข้าพเจ้าไว้แทนเถิด อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารให้กวนอู โจโฉจึงให้อุ่นสุราแล้วจึงรินใส่จอกยื่นให้กวนอู ๆ คำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเปนแต่ทหารเลว ซึ่งท่านจะให้สุรากินนั้นขอให้ท่านงดไว้ก่อน เมื่อใดข้าพเจ้าออกไปได้สีสะฮัวหยงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับเอาสุราของท่านกิน แล้วกวนอูขี่ม้าถือง้าวออกไปรบด้วยฮัวหยง

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้น ได้ยินเสียงกลองแลม้าฬ่ออื้ออึง ก็ชวนกันออกไปดูกวนอูจะรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่ายก็เห็นกวนอูหิ้วสีสะฮัวหยงกลับเข้ามาทิ้งไว้ตรงหน้า ค่าย นายทัพ นายกองทั้งปวงเห็นก็ดีใจ จึงพากวนอูเข้าไปในค่าย โจโฉจึงเอาจอกสุรานั้นมาคำนับ แล้วส่งให้กวนอู กวนอูคำนับตอบ แล้วรับเอาจอกสุรานั้นมากิน สุรานั้นยังอุ่นอยู่

ขณะนั้นเตียวหุยจึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า กวนอูพี่ข้าพเจ้าได้อาสาตัดเอาสีสะฮัวหยง มาให้แล้ว ข้าพเจ้าผู้น้องจะขออาสาตีเข้าไปในเมืองหลวง แล้วจะจับเอาตัวตั๋งโต๊ะมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องตวาดแล้วว่า บันดานายทัพนายกองทั้งปวงมิได้ปรึกษาว่ากล่าวประการใด ตัวนี้เปนแต่ทหารเลวองค์อาจเข้ามาจะอาสาหักหน้าผู้ใหญ่ทั้งนี้ เห็นเปนคนหยาบช้านัก ให้ขับออกไปเสียนอกที่ชุมนุมขุนนาง

โจโฉจึงว่าอันอย่างธรรมเนียมศึกนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบในการสงคราม ก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดกระทำความผิดก็จะลงโทษ ซึ่งจะมาถืออิศริยยศในท่ามกลางศึกดังนี้ไม่สมควร อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ถ้าจะนับถือทหารเลวเปนเอกฉนี้ไซ้ เราไม่ทำการสืบไปแล้ว จะยกทหารกลับไปเมือง โจโฉจึงว่าขัดข้องกันแต่เนื้อความเพียงนี้จะละการใหญ่เสียนั้นไม่ควร แล้วให้กองซุนจ้านพาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยกลับไป ณ ค่ายที่อยู่ โจโฉจึงให้เอาสุกรเป็ดไก่ไปลอบให้กำนัลเล่าปี่กวนอูเตียวหุย


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 4

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgndVJhRDlQMU14RXc/view?resourcekey=0-sHnqLFFECV27HFakRSonRQ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #5 on: 21 December 2021, 19:37:22 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 5

https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-5.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 5
  สามก๊กวิทยา  01 กุมภาพันธ์ 2560


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 5

เนื้อหา
• ตั๋งโต๊ะกับลิโป้ออกรบพวกหัวเมือง
• เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ออกรบลิโป้
• ตั๋งโต๊ะไปตั้งเมืองเตียงฮันเป็นเมืองหลวง
• โจโฉติดตามไปเสียทีตั๋งโต๊ะ
• ซุนเกี๋ยนได้ตราหยกสำหรับแผ่นดิน
• พวกหัวเมืองยกทัพกลับ
• เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วชิงตราหยกซุนเกี๋ยน

ฝ่าย ทหารฮัวหยงที่เหลือตายนั้น ก็ชวนกันกลับไปณด่านกิสุยก๋วน จึงบอกเนื้อความแก่ลิซก ลิซกก็บอกหนังสือไปถึงตั๋งโต๊ะ ๆ แจ้งก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่ลิยูลิโป้ว่า บัดนี้ฮัวหยงตายแล้วเราจะคิดประการใด ลิยูจึงว่าซึ่งฮัวหยงเปนทหารเอกตายเสียฉนี้ ดังท่านเสียทหารเลวสิบหมื่นก็ไม่เท่า แลในกองทัพซึ่งยกมาทำการครั้งนี้ ข้าพเจ้าแจ้งว่าอ้วนเสี้ยวเปนนายทัพใหญ่ แล้วอ้วนหงุยซึ่งเปนอาว์อ้วนเสี้ยวนั้นเปนขุนนางอยู่ในเมืองนี้ เกลือกว่าจะคบคิดกันเปนไส้ศึก ขอให้จับอ้วนหงุยฆ่าเสีย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงสั่งลิฉุยกุยกีให้คุมทหารห้าร้อย ไปจับอ้วนหงุยกับพรรคพวกหญิงชายทั้งนั้นฆ่าเสียให้สิ้น แล้วให้เอาสีสะไปเสียบไว้ณด่านกิสุยก๋วน ให้อ้วนเสี้ยวผู้หลานเห็น แล้วให้ลิฉุยกุยกีคุมทหารห้าหมื่นตั้งมั่นรักษาด่านกิสุยก๋วนไว้ให้จงได้ ลิฉุยกุยกีก็คุมทหารไปทำตามตั๋งโต๊ะสั่ง

ฝ่ายตั๋งโต๊ะกับลิยูลิโป้หวนเตียวเตียวเจ้คุมทหารสิบห้าหมื่น ยกไปรักษาด่านเฮาโลก๋วน ซึ่งใกล้เมืองลกเอี๋ยงทางประมาณห้าร้อยเส้น แล้วตั๋งโต๊ะให้ลิโป้คุมทหารสามหมื่น ออกไปตั้งค่ายใหญ่อยู่นอกกำแพงด่าน

ม้าใช้เห็นดังนั้นจึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว ๆ จึงปรึกษาแก่หัวเมืองทั้งปวงว่า ตั๋งโต๊ะยกออกมาตั้งอยู่ด่านเฮาโลก๋วนนี้เราจะคิดประการใด โจโฉจึงว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะยกออกมาตั้งอยู่ ณ ด่านนั้น หวังจะสกัดต้นทางไว้ เราจำจะแบ่งเอานายทัพนายกองทั้งปวงคนละครึ่ง ยกไปตีอย่าให้ตั๋งโต๊ะตั้งอยู่ได้ อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงให้อองของหนึ่ง เตียวเมาหนึ่ง เปาสิ้นหนึ่ง อ้วนอุ๋ยหนึ่ง ขงเล่งหนึ่ง เตียวเอี๋ยงหนึ่ง โตเกี๋ยมหนึ่ง กองซุนจ้านหนึ่ง คุมทหารซึ่งเกณฑ์คนละครึ่งนั้นก็ยกไป แล้วให้โจโฉเปนกองสอดแนม ให้เอาข่าวดีแลร้ายมาแจ้ง ขณะนั้นอองของคุมทหารไปถึงด่านเฮาโลก๋วนก่อน

ฝ่ายลิโป้รู้ก็ยกทหารเอกสามพันออกมาจะรบอองของ ๆ จึงให้พลตั้งเปนหน้ากระดาน แล้วขับม้าขึ้นไปที่หน้าทหารทั้งปวง แลไปเห็นลิโป้แต่งตัวโอ่โถงในกระบวรสงครามแล้วถือทวนขี่ม้า อองของจึงคิดว่าลิโป้รูปร่างเปนทหารขี่ม้าก็สมตัว อองของจึงถามแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาออกรบด้วยลิโป้ได้ หองหยกทหารเอกอองของจึงรับอาสาแล้วขี่ม้าถือทวนออกรบด้วยลิโป้ได้ห้าเพลง ลิโป้เอาทวนแทงหองหยกตกม้าตาย แล้วลิโป้กับทหารทั้งนั้นรำทวนขับม้าไล่แทงตลุมบอน ทหารอองของล้มตายแตกตื่นไป พอเตียวเมาอ้วนอุ๋ยสองกองนี้ยกมาเห็นอองของแตกมา ก็ขับทหารหนุนเข้าไป ลิโป้เห็นทัพหนุนมาเปนอันมากก็ยกทหารกลับเข้าค่าย ฝ่ายอองของกับเตียวเมาอ้วนอุ๋ยเห็นดังนั้น ก็ยกทหารถอยมาตั้งมั่นอยู่ใกล้ค่ายลิโป้ประมาณสามสิบเส้น อองของตรวจพลดูก็รู้ว่าเสียทหารเปนอันมาก

ขณะนั้นนายทัพทั้งห้ากองก็มาถึงจึงตั้งค่ายมั่นอยู่ด้วยกัน ครั้นเวลารุ่งเช้านายทัพทั้งแปดคนจึงปรึกษากันว่า ลิโป้มีกำลังห้าวหาญ เราจะเห็นผู้ใดซึ่งมีฝีมือไปรบด้วยลิโป้ได้ เมื่อปรึกษายังมิทันตกลงกัน พอม้าใช้มาบอกว่าลิโป้ยกมาตั้งอยู่หน้าค่าย นายทัพทั้งแปดคนได้ฟังนั้นก็ขึ้นดูบนหอคอย เห็นเหล่าทหารลิโป้เต้นรำคนองโห่ร้องกำเริบเปนอันมาก ขณะนั้นทหารเตียวเอี๋ยงชื่อบอกสุ้น ขี่ม้ารำทวนออกไปสู้กับลิโป้ ๆ แทงถูกบอกสุ้นตกม้าตาย นายทัพทั้งแปดคนเห็นก็ตกใจ แลบู๋อันก๊กทหารขงเล่ง จึงขี่ม้าถือกระบองเหล็กใหญ่ออกไปจะสู้กับลิโป้ ๆ เห็นก็ขับม้าเข้ารบได้สิบสองเพลง ลิโป้หวดด้วยทวนถูกมือบู๋อันก๊กขาด กระบองเหล็กกระเด็นไปจึงขับม้าหนี นายทัพทั้งแปดคนเห็นก็ลงจากหอคอย แล้วก็ขับทหารทั้งปวงออกช่วยรบป้องกัน บู๋อันก๊กกลับเข้าค่ายได้ แล้วปรึกษากันว่า ลิโป้นี้การรบกล้าหาญนัก ฝีมือก็เข้มแขง ซึ่งจะทำศึกไปด้วยนั้นเห็นจะเอาชัยชนะยาก ผู้ใดจะคิดเห็นประการใด

โจโฉจึงว่าจำจะบอกไปถึงอ้วนเสี้ยวแลนายทัพทั้งปวง ให้ปรึกษากันว่า ผู้ใดจะคิดอ่านกลศึกประการใดจึงจะได้ตัวลิโป้ ถ้าได้ตัวลิโป้แล้วก็จะได้ตัวตั๋งโต๊ะโดยง่าย

ขณะนั้นม้าใช้ไปบอกแก่นายทัพทั้งแปดกองว่า ลิโป้ยกทหารมาตั้งอยู่หน้าค่าย แลนายทัพทั้งแปดกองจัดแจงทหารยกไปตั้งดากันอยู่ แต่กองซุนจ้านนั้นขี่ม้าถือง้าวเข้าไปรบด้วยลิโป้ได้สิบเพลง แลลิโป้นั้นขี่ม้ามีฝีเท้าซึ่งชื่อเซ็กเธาว์ มีกำลังแลฝีเท้ารวดเร็วนัก กองซุนจ้านนั้นสิ้นกำลังก็ขับม้าหนี ฝ่ายลิโป้ขับม้าไล่ตาม ครั้นใกล้เข้าเงื้อทวนขึ้นจะแทง พอเตียวหุยควบม้าเข้าสกัดหน้าม้าลิโป้ไว้ แล้วร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง ม้าลิโป้นั้นตกใจถอยหลังซุดออกไปเปนหลายก้าว เตียวหุยจึงร้องด่าว่า อ้ายลูกสามพ่อ กูจะมารบกับมึง เหตุใดมึงจึงชักม้าถอยไป ลิโป้ได้ยินก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกับเตียวหุยถึงห้าสิบเพลง ก็มิได้แพ้ชนะกัน กวนอูเห็นดังนั้น กลัวว่ากำลังเตียวหุยจะน้อยกว่าลิโป้ จึงขับม้าเข้ารบด้วยลิโป้ได้สามสิบเพลง เล่าปี่จึงขับม้าถือกระบี่สองเมือเข้าช่วยรบ แลม้าเล่าปี่กวนอูเตียวหุยล้อมม้าลิโป้ไว้เปนสามส้าว ลิโป้รบป้องกันไว้เปนสามารถแล้วแทงเล่าปี่ด้วยทวน เล่าปี่เอากระบี่ปัดทวนเสีย แล้วขับม้าสอึกเข้าไปจะฟันลิโป้ ๆ เห็นเปนกระบวรศึกกระหนาบหนักมา จึงขับม้าหนีพาทหารทั้งปวงเข้าในด่านเฮาโลก๋วน

ฝ่ายเล่าปี่กับกวนอูเตียวหุย แลนายทัพทั้งแปดกองก็คุมทหารยกเข้าไปถึงเชิงกำแพงด่าน ให้ทหารเข้าหักโหมเปนสามารถ ลิโป้ขึ้นอยู่บนเชิงเทินก็ให้ทหารทั้งปวงยิงเกาทัณฑ์ ทิ้งก้อนศิลาลงไปดังห่าฝน นายทัพทั้งปวงเห็นจะเข้าหักเอามิได้ ก็ยกทหารกลับมา ณ ค่าย แล้วปรึกษากันแต่งหนังสือบอกไปถึงอ้วนเสี้ยว ๆ แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้แต่งหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยนว่า ให้เร่งยกทหารเข้าตีด่านกิสุยก๋วนให้จงได้

ฝ่ายซุนเกี๋ยนครั้งแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็รู้ข่าวว่ามีผู้ยุยงอ้วนสุดมิให้เอาสเบียงมาส่ง จึงให้ทหารทั้งปวงรักษาค่ายอยู่ แล้วพาเทียเภากับอุยกายไปหาอ้วนสุด ซึ่งเปนกองลำเลียง ณ ค่าย ซุนเกี๋ยนจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าตั้งตัวเปนใหญ่ใช่จะทำสิ่งใดให้เราขัดเคืองก็หามิได้ ซึ่งเราจะมาทำการด้วยอ้วนเสี้ยวครั้งนี้ก็เพราะความซื่อตรงต่อแผ่นดิน แล้วจะคิดแก้แค้นตั๋งโต๊ะซึ่งฆ่าอ้วนหงุยอาว์ท่านเสียนั้น อุตส่าห์ทรมานเอากายเข้าสู้ลูกเกาทัณฑ์แลอาวุธทั้งปวงมิได้คิดชีวิต เราก็ให้บอกมาขอสเบียง เปนไฉนท่านจึงฟังคำคนยุยงมิให้เอาสเบียงไปส่ง ทหารในกองทัพเราจึงอดหยากอิดโรยกำลังจนเสียทีแก่ข้าศึก แลอ้วนสุดได้ยินดังนั้นก็มีความลอายนัก จึงให้เอาตัวทหารซึ่งยุงยงมิให้ส่งสเบียงนั้นมาฆ่าเสียต่อหน้าซุนเกี๋ยน

ฝ่ายม้าใช้อยู่ ณ ค่ายซุนเกี๋ยนมาบอกแก่ซุนเกี๋ยนว่า บัดนี้ลิฉุยขี่ม้าออกมาจากค่ายกิสุยก๋วนว่าจะมาหาท่าน ซุนเกี๋ยนได้ฟังก็ลาอ้วนสุดกลับมา ณ ค่าย จึงให้หาลิฉุยเข้ามาถามว่า ท่านมานี้ด้วยกิจธุระสิ่งใด ลิฉุยจึงบอกว่ามหาอุปราชให้เรามา ว่าแต่บันดาหัวเมืองซึ่งคบคิดกันมาทำการทั้งนี้ มหาอุปราชจะได้ย่อท้อต่อผู้ใดนั้นหามิได้ คิดจะให้ฆ่าเสียจงสิ้น บัดนี้มีความเมตตาแต่ท่านผู้เดียวจะพลอยตายเสียด้วยเขา ครั้นจะให้ผู้ใดมาเจรจาด้วยประการใด ท่านก็จะเข้าใจว่าให้มาเกลี้ยกล่อม มหาอุปราชจะยกลูกสาวให้ซุนเซ็กผู้บุตรท่าน จะได้เปนไมตรีกันสืบไป

ฝ่ายซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นจึงตวาดเอา แล้วว่าตั๋งโต๊ะนั้นเปนขบถแผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เราคิดอ่านกับหัวเมืองทั้งปวงยกมาทำการ หวังจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้สิ้นทั้งเจ็ดชั่วโคตร อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเปนสุข ซึ่งตั๋งโต๊ะจะเอาลูกสาวมายกให้เปนภรรยาซุนเซ็กผู้บุตรเรา ซึ่งเราจะเปนเกี่ยวดองด้วยตั๋งโต๊ะศัตรูราชสมบัตินั้น เรามีความลอายนัก แลโทษซึ่งท่านออกมาเกลี้ยกล่อมเรานั้น เราจะยกไว้ครั้งหนึ่ง ท่านจงเร่งกลับเข้าไปชักชวนทหารทั้งปวงให้เปนใจด้วยเรา เปิดประตูด่านออกไว้รับเถิด แล้วเราจะยกทหารเข้าไปจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย ถ้าท่านกับทหารทั้งปวงมิทำตามดังนี้ เรายกเข้าหักเอาเมืองได้ก็จะให้ฆ่าเสียจงสิ้น ลิฉุยได้ฟังก็ตกใจกลัว ก็ลาซุนเกี๋ยนรีบกลับเข้าไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงปรึกษาแก่ลิยูว่า ซึ่งเกลี้ยกล่อมซุนเกี๋ยนมิลงใจด้วยเรานั้นลิยูจะคิดประการใด

ฝ่ายลิยูจึงว่าซึ่งลิโป้เสียทีมาบัดนี้ เห็นทหารทั้งปวงชักย่อท้อลง ขอให้ท่านยกทหารกลับขึ้นไปเมืองหลวงก่อน แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งอยู่เมืองเตียงฮัน ด้วยข้าพเจ้าได้ยินเด็กชาวเมืองทำเพลงว่า “ตังเทาอิดโกฮัน ไซเทาอิดโกฮัน หลกเจ้าหยิบเตียงฮันห้องโกบ่อชูลัน” แปลภาษาไทยว่า ตวันตกก็มีเมืองเตียนฮันเมืองหนึ่ง ตวันออกก็มีเมือง ถ้ากวางวิ่งเข้าไปในเมืองเตียงฮันแล้ว ก็หาภัยอันตรายมิได้ แลข้าพเจ้าคิดดูในคำเด็กนั้น เห็นว่าแต่ก่อนพระเจ้าฮั่นโกโจได้สร้างเมืองเตียงฮัน พระมหากษัตริย์ได้เสวยราชย์ต่อ ๆ กันมาถึงสิบสองพระองค์ ฝ่ายพระเจ้าฮั่งกองบู๊ได้สร้างเมืองลกเอี๋ยงเปนฝ่ายตวันออก พระมหากษัตริย์ได้เสวยราชย์ต่อมา ๆ จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้ก็ได้สิบสองพระองค์ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นกองบู๊จะสูญเสียครั้งนี้แล้ว ราชสมบัตินั้นเห็นจะได้แก่ท่านเปนมั่นคง ถ้าท่านได้ไปสร้างเมืองอยู่ ณ เมืองเตียงฮันก็จะหาอันตรายมิได้ ดุจคำเด็กทำเพลงเปนศุภนิมิตนั้น ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งท่านกล่าวมาเราพึ่งแจ้งบัดนี้ แล้วก็ยกกองทัพกลับไปเมืองหลวง

ครั้นเวลารุ่งเช้าตั๋งโต๊ะจึงให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาพร้อมกันใน ที่เฝ้าแล้วว่า เราดูในตำราเห็นชาตาเมืองลกเอี๋ยงนี้เห็นเปนฝ่ายตวันออกจะร่วงโรยสูญเสีย แล้ว ฝ่ายเมืองตวันตกจะวัฒนาการเจริญรุ่งเรืองไปภายหน้า เราจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปสร้างเมืองอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพากันอพยพไปตั้งอยู่ด้วย

ฝ่ายเอียวปิวจึงว่า อันเมืองลกเอี๋ยงนี้ พระเจ้าฮั่นกองบู๊สร้างเมืองสั่งสมราชสมบัติมาเปนช้านานถึงสิบสองพระองค์ แล้ว แลท่านจะให้ทิ้งเมืองลกเอี๋ยงเสีย แลจะไปตั้งเมืองเตียงฮันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าบ้านเมืองยังมิสงบ อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนนัก อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า อุปมาดังเรือน ถ้าจะรื้อลงนั้นง่าย ซึ่งจะปลูกสร้างนั้นยากนัก ถ้าไม่ฟังข้าพเจ้า จะขืนยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮันนั้น เห็นราษฎรทั้งปวงจะแตกตื่นไป กว่าจะเกลี้ยกล่อมซ่องสุมเข้าได้ก็ยากนัก ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ขอท่านดำริห์ดูจงควร

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวเราเปนมหาอุปราช จะสั่งข้อราชการสิ่งใดก็เปนสิทธิ เราดูตำราเห็นว่าดีแลร้ายแล้วจึงสั่ง แลตัวบังอาจขัดไว้ฉนี้ไม่ชอบ

อุยอ๋วนจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งเอียวปิวทัดทานนั้นชอบอยู่ เหมือนครั้งอองมังเปนขบถ ชิงเอาราชสมบัติแล้วเผาเมืองเสีย แล้วเมืองนั้นก็ยังเปนป่าอยู่ ซึ่งท่านจะละเมืองนี้เสีย จะไปเอาป่าเปนเมืองนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร

ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าเราเห็นข้างฝ่ายตวันออกนี้เกิดจลาจล โจรทำอันตรายต่าง ๆ มาเปนหลายครั้ง แลเมืองเตียงฮันก็เปนเมืองหลวงอยู่แต่ก่อน เราเห็นภูมิลำเนาชอบกลอยู่ แล้วก็มีภูเขาแลศิลาซึ่งจะทำการเมืองนั้นใกล้ ทำเดือนหนึ่งก็สำเร็จการ จะได้เปนสุขด้วยกัน แลขุนนางทั้งปวงอย่าได้ขัดขวางสืบไปเลย

ฝ่ายซุนซองจึงห้ามตั๋งโต๊ะดังคำอุยอ๋วน ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าเราจะทำนุบำรุงราชสมบัตินี้เปนการใหญ่หลวง อุปมาเหมือนโค่นต้นไม้ทำไร่ จะคิดเสียดายต้นไม้อยู่แล้วก็ไม่ได้เข้ากิน แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้ถอดเอียวปิวอุยอ๋วนซุนซองออกเสียจากที่ขุนนาง ตั๋งโต๊ะก็ขึ้นเกวียนจะไปที่อยู่ ครั้นออกมานอกประตูวัง พบเอียวปีกับเหงาเค่งเข้ามาคำนับอยู่ตรงหน้าเกวียน ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าท่านทั้งสองจะว่าราชการสิ่งใดกับเราหรือ เอียวปีกับเหงาเค่งจึงว่าข้าพเจ้าไปได้ยินกิตติศัพท์ว่า ท่านจะเทเมืองนี้ไปสร้างอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน ข้าพเจ้าเห็นไม่ควรจึงเข้ามาหวังว่าจะห้ามท่าน ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวท่านทั้งสองแต่ก่อนนั้นได้ว่ากล่าวให้เราตั้งอ้วนเสี้ยวเปนเจ้า เมืองเราก็ทำตาม บัดนี้อ้วนเสี้ยวกลับมาทำร้ายแก่เรา แลตัวทั้งสองคนนี้คบคิดเปนสายสนกลนัยกับอ้วนเสี้ยวเปนมั่นคง แล้วจึงสั่งบู๋ซูให้เอาเอียวปีกับเหงาเค่งไปฆ่าเสีย แล้วตั๋งโต๊ะก็ไปถึงที่อยู่ จึงสั่งกำหนดวันซึ่งจะยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮัน

ฝ่ายลิยูจึงว่าซึ่งท่านจะยกไปสร้างเมืองนั้น อาหารแลเงินทองในท้องพระคลังยังมีอยู่น้อยเห็นจะไม่พอทำการ ในเมืองลกเอี๋ยงนี้ผู้ซึ่งเปนเศรษฐีพ่อค้าย่อมมีเงินทองเข้าของเปนอันมาก ขอให้ท่านไปริบเอามาเข้าท้องพระคลัง จึงจะได้เอาไปทำการสดวก อนึ่งแต่บันดาพรรคพวกอ้วนเสี้ยว ซึ่งอยู่ในเมืองหลวงก็มีอยู่เปนอันมาก ขอให้ท่านจับฆ่าเสียให้สิ้น แล้วริบเอาทรัพย์สิ่งสินมาเข้าท้องพระคลังไว้ ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงจัดทหารห้าพันไปเที่ยวริบอาณาประชาราษฎร ซึ่งมีเงินทองแลพรรคพวกอ้วนเสี้ยวจับเอาตัวมาแล้วมัดไว้ จึงให้เอาธงปักไว้บนสีสะเขียนอักษรสองตัวว่าเปนขบถ แล้วก็เอาไปฆ่าเสีย แลริบเอาเงินทองมาให้ตั๋งโต๊ะเปนอันมาก แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้ลิฉุยกุยกีขับต้อนอาณาประชาราษฎรในเมืองลกเอี๋ยง ไปตั้งอยู่ ณ เมืองเตียงฮันให้สิ้นเชิง

ขณะนั้นลิกุยกุยกีก็ต้อนอาณาประชาราษฎรไป แลคนทั้งหญิงทั้งชายเด็กเล็กได้ประมาณหกร้อยเจ็ดร้อยหมื่น แลทหารตั๋งโต๊ะอพยพเปนกอง ๆ อาณาประชาราษฎรเหยียบกันตายเปนอันมาก เหล่าทหารก็เข้าช่วงชิงเอาทรัพย์สิ่งสินของราษฎร แล้วฉุดลากภรรยาของชาวเมือง แลลูกสาวซึ่งพ่อแม่พี่น้องไปด้วยมาทำอันตราย บันดาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก เสียงร้องไห้อึงคนึงไป

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเตรียมการทั้งปวงพร้อม ก็ให้ทหารเอาเพลิงจุดในเมืองลกเอี๋ยงไหม้สิ้น แล้วให้ลิโป้คุมทหารไปขุดศพพระมหากษัตริย์ซึ่งฝังไว้แต่ก่อนต่อ ๆ มา แล้วให้เก็บเอาทรัพย์สิ่งของซึ่งฝังไว้กับศพนั้น ได้เงินทองเปนอันมาก แลทหารทั้งปวงก็ปลอมขุดเอาเงินทองซึ่งใส่ศพอาณาประชาราษฎรที่ฝังไว้มาเปน อาณาประโยชน์ ตั๋งโต๊ะจึงให้ขนทรัพย์สิ่งของทั้งปวงขึ้นบันทุกเกวียนเปนหลายพันเกวียน แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับนักสนมทั้งปวงพร้อมแล้วให้ยกไป

ขณะนั้นเตียวหงิมซึ่งออกไปตั้งอยู่ ณ ด่านกิสุยก๋วนกับฮัวหยงซึ่งตายนั้น แลทหารซึ่งรักษาด่านเฮาโลก๋วน ครั้นรู้ว่าตั๋งโต๊ะเทเมืองลกเอี๋ยงเสีย เตียวหงิมจึงคุมทหารไปตามตั๋งโต๊ะ

ฝ่ายซุนเกี๋ยนครั้นเห็นด่านกิสุยก๋วนสงัดเงียบ แลนายทัพทั้งสิบแปดหัวเมืองกับเล่าปี่กวนอูเตียวหุย รู้ข่าวดังนั้นก็ยกทหารขึ้นไปเมืองลกเอี๋ยง เห็นเพลิงไหม้อยู่สิ้นทั้งเมืองมิได้มีผู้คน จึงให้ทหารเข้าดับเพลิงสงบแล้วจึงตั้งทัพอยู่ในเมืองนั้น

โจโฉจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตั๋งโต๊ะให้เผาเมืองเสีย แล้วยกหนีไปข้างตวันตก แลพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าดีแลร้าย ซึ่งตั๋งโต๊ะยกไปนั้นเห็นอาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนนัก เปนไฉนท่านมานิ่งอยู่ฉนี้ ขอให้ยกกองทัพไปทำการ เห็นจะจับตั๋งโต๊ะได้สดวก

อ้วนเสี้ยวกับหัวเมืองทั้งปวงจึงตอบว่า ทหารเรายังอิดโรยนัก จำเราจะพักพลให้มีกำลังขึ้นก่อน จึงจะคิดการสืบไป โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งจะทำการใหญ่กับหัวเมืองทั้งปวงนี้ อุปมาดังคิดกับเด็กเลี้ยงโค จึงจัดทหารพรรคพวกของตัวได้ประมาณหมื่นเศษ แล้วพาแฮหัวตุ้นแฮหัวเอี๋ยนโจหองโจหยินลิเตียนงักจิ้น กับทหารทั้งปวงรีบตามตั๋งโต๊ะไปทั้งกลางวันกลางคืน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะครั้นยกมาถึงเมืองเอ๊งหยง แลซีเอ๋งซึ่งเปนเจ้าเมืองรู้ข่าวก็ออกมารับตั๋งโต๊ะ ลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งยกมาจากเมืองหลวงครั้งนี้เกลือกพวกศัตรูจะยกตามมา ฝ่ายทัพเราจะต้านทานมิทันจะเสียท่วงที ขอให้ซีเอ๋งคุมทหารไปซุ่มอยู่บนเขาใหญ่ต้นทาง ถ้ากองทัพสิบแปดหัวเมืองยกมาตามก็ให้ซีเอ๋งออกรบ ถ้ากองทัพนั้นล่วงขึ้นมาได้รบกับทัพเราแล้ว จึงให้ซีเอ๋งออกตีกระหนาบหลัง ทัพซึ่งตามมาก็จะเสียทีเปนมั่นคง ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงให้ซีเอ๋งคุมทหารยกไปซุ่มอยู่ ณ เขาต้นทาง แล้วให้ลิโป้กับลิฉุยกุยกีคุมทหารลงไปเดิรเปนกระบวรทัพหลัง

ฝ่ายโจโฉก็ยกทัพล่วงตามเข้าต้นทางขึ้นไป ขณะนั้นลิโป้ได้ยินเสียงรี้พลตามอื้ออึงมา จึงคิดว่าลิยูนี้เปนคนมีสติปัญญา คิดสิ่งใดก็มิได้ผิด ครั้นเห็นทัพโจโฉยกมาใกล้ ลิโป้จึงให้กลับหน้าทหารเข้ารับไว้ โจโฉจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารแล้วร้องว่า อ้ายพวกขบถมึงจะพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปแห่งใด ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตอบว่าตัวมึงเปนคนอักตัญญู มหาอุปราชชุบเลี้ยงให้มีความสุขยังหารู้จักคุณไม่ กลับทรยศทำร้าย ครั้นไม่สมคิดแล้วหนีไปคบกันมาทำฉนี้อีกเล่า แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าขึ้นไปรบด้วยลิโป้ได้ห้าเพลง ลิฉุยก็ขับม้าคุมทหารเข้ารบด้านทางขวา โจโฉจึงให้แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารเข้ารบด้วยลิฉุย แลกุยกีก็ขับม้าคุมทหารเข้ารบด้านทางซ้าย โจโฉจึงให้โจหยินคุมทหารเข้ารบด้วยกุยกีเปนสามารถ เสียงทหารทั้งสองฝ่ายอื้ออึงเอิกเกริกดังแผ่นดินจะถล่ม แฮหัวตุ้นเห็นว่ากำลังนั้นน้อยกว่าลิโป้ก็ขับม้าหนี ฝ่ายลิโป้ก็ขับม้าไล่ตาม ฟันทหารโจโฉแตกตื่นล้มตายเปนอันมาก แลโจโฉกับทหารซึ่งเหลือนั้นถอยหลังไปถึงเขาต้นทาง พอเวลาสองยามแสงเดือนสว่าง เห็นรี้พลอิดโรยนักจึงให้หยุดอยู่หุงอาหารยังมิทันกิน

ฝ่ายซีเอ๋งซึ่งซุ่มอยู่เห็นดังนั้น ก็ยกทหารออกโจมตี ทหารโจโฉมิทันรู้ตัวก็ตกใจตื่นแตกกระจายไป โจโฉนั้นก็ขึ้นม้าหนีไปพบซีเอ๋งเข้าก็ตกใจ ชักม้าบ่ายหน้าจะหนีไปทางอื่น ซีเอ๋งยิงเกาทัณฑ์ไปถูกติดไหล่โจโฉ ๆ ก็ขับม้าหนีผ่านเขาไป ฝ่ายทหารซีเอ๋งเห็นก็เอาทวนแทงถูกม้าโจโฉล้มลงแล้วเข้าจับโจโฉไว้ ฝ่ายโจหองพอมาทันเข้าเห็นทหารซีเอ๋งจับโจโฉไว้ ก็ขับม้าเข้าไล่ฟันทหารนั้นล้มตายเปนหลายคน เหลือนั้นตกใจทิ้งโจโฉเสียหนีไป โจโฉถูกเกาทัณฑ์เจ็บปวดเปนสาหัสจึงว่าแก่โจหองว่า ตัวเราเห็นจะตายเสียแล้ว ท่านเร่งไปเอาชีวิตรอดเถิด โจหองจึงว่าท่านป่วยหนักอยู่จงขึ้นขี่ม้า ข้าพเจ้าจะเดิรรบป้องกันไป โจโฉตอบว่าซึ่งท่านเดิรเท้าจะต่อรบได้เหมือนขี่ม้าหรือ โจหองจึงว่าแผ่นดินเปนจลาจลครั้งนี้ หาผู้ใดจะคิดทำนุบำรุงไม่ หากท่านเปนต้นคิด หัวเมืองทั้งปวงจึงพลอยมาทำการด้วย ถ้าชีวิตข้าพเจ้าจะตายก็ตายเสียเถิด ขอให้ท่านรอดอยู่จะได้คิดการบำรุงแผ่นดินสืบไป โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าขอบใจท่านนัก แล้วโจโฉก็ขึ้นม้า โจหองจึงถอดเกราะทิ้งเสียถือง้าวเดิรตามไป ครั้นเพลาประมาณสามยามเศษก็ถึงแม่นํ้าอันหนึ่ง พอได้ยินเสียงทหารตามมาข้างหลัง โจโฉจึงว่าแก่โจหองว่าจะหนีไปแม่นํ้าก็กั้นหน้าอยู่ ศัตรูก็ตามมา เห็นชีวิตเราจะตายอยู่ที่นี่เปนมั่นคง โจหองจึงว่าข้าพเจ้าจะพาท่านไปให้ตลอด จึงถอดเสื้อทิ้งเสียแล้วให้โจโฉขี่ โจหองก็พาข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่ง เหล่าทหารซีเอ๋งครั้นมาถึงริมแม่นํ้า เห็นโจโฉข้ามไปถึงฟาก ก็ชวนกันเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไป ฝ่ายโจหองก็พาโจโฉค่อยเดิรไปได้ประมาณสามสิบเส้น พอรุ่งขึ้นจึงเข้าหยุดพักข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง แลซีเอ๋งนั้นคุมทหารข้ามนํ้าตามไป เห็นโจโฉกับโจหองหยุดอยู่ จึงให้ทหารทั้งปวงเข้าล้อมไว้

ฝ่ายแฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารม้าได้สิบหกสิบเจ็ดม้า ก็ข้ามแม่นํ้าตามโจโฉไป พอเห็นทหารล้อมโจโฉโจหองอยู่ จึงขับม้าผ่านหน้าซีเอ๋งเข้าไป แล้วร้องตวาดว่า พวกอ้ายขบถมึงอย่าทำอันตรายนายกู ซีเอ๋งได้ยินก็โกรธจึงขับม้าเข้ารบกับแฮหัวตุ้นได้สิบเพลง แฮหัวตุ้นเอาทวนแทงถูกซีเอ๋งตกม้าตาย แล้วไล่ฟันทหารทั้งนั้นแตกกระจายไปสิ้น

ขณะนั้นโจหยินกับลิเตียนงักจิ้น สามคนคุมทหารได้ประมาณสามร้อยเศษ พอมาพบแฮหัวเอี๋ยนเข้าจึงพากันไปหาโจโฉ ครั้นโจโฉเห็นทหารเอกคุมทหารเลวมาได้บ้างก็ค่อยคลายใจขึ้น แล้วโจโฉก็ยกทหารไปเมืองโห้ลาย

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยงต่างตั้งชุมรุมพักทหารอยู่ แลซุนเกี๋ยนนั้นเข้าไปตั้งชุมนุมณพระที่นั่งเกียนเซียงเตี้ยน แล้วไปดูที่กุฎิ์พระมหากษัตริย์ซึ่งตั๋งโต๊ะให้ขุดขึ้นนั้น จึงให้ทหารกลบเสียแล้วปลูกโรงขึ้น จึงบอกนายทัพนายกองทั้งปวงมาจุดธูปเทียนทำสักการบูชา แล้วต่างคนต่างกลับไปที่ชุมนุม ครั้นเวลากลางคืนแสงเดือนสว่าง ซุนเกี๋ยนจึงถือกระบี่ออกไปนั่งอยู่กลางแจ้ง จึงแลขึ้นไปเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์เสร้าหมองนัก ซุนเกี๋ยนจึงคิดว่า ครั้งนี้พระมหากษัตริย์มิได้เปนสุข อาณาประชาราษฎรจึงได้ความเดือดร้อน เพราะตั๋งโต๊ะเปนขบถต่อราชสมบัติจนเมืองนั้นเปนป่า ดาวนั้นจึงวิปริตไปดังนี้ ซุนเกี๋ยนดูพลางก็นํ้าตาไหล แลทหารคนหนึ่งเห็นแสงประหลาท จึงชี้บอกซุนเกี๋ยนว่า ข้างพระที่นั่งฝ่ายทิศใต้เห็นสว่างอยู่ ซุนเกี๋ยนแลไปดูเห็นรัศมีประหลาทดังนั้น จึงเดิรไปให้ทหารจุดคบเพลิงส่องดูก็เห็นบ่ออันหนึ่ง จึงให้ทหารลงไปสักดู พบศพหญิงผู้หนึ่งก็ให้ยกขึ้นมา แลศพนั้นยังสดอยู่มิได้เปื่อยพัง ราตคดผูกคออยู่จึงให้แก้ออกดู เห็นหีบน้อยลั่นกุญแจอยู่ จึงให้คัดออกเห็นตราหยกสี่เหลี่ยมจตุรัศดวงหนึ่งหน้าแปดนิ้ว ยอดนั้นจำหลักติดประจำเปนมังกรห้าตัวเกี่ยวกัน แต่เหลี่ยมข้างหนึ่งนั้นลิอยู่เอาทองคำตีเลี่ยมเข้าไว้ ตรานั้นแกะเปนอักษรว่า เทวดาประสิทธิ์ให้ ถ้าผู้ใดได้ไว้แล้วครองราชสมบัติก็จะจำเริญพระชันสาสืบไป ซุนเกี๋ยนเห็นประหลาทจึงถามเทียเภาว่า ตราหยกนี้จะเปนของผู้ใด เทียเภาจึงตอบว่า ตราสำหรับราชสมบัติ แลหยกซึ่งแกะตรานี้[๑] ครั้งเบ๊งโหเห็นหงส์จับอยู่บนเขา ครั้นหงส์บินไปแล้ว เบ๊งโหจึงเอาก้อนศิลาที่หงส์จับนั้นมาต่อยออกจึงได้หยก แล้วเอาไปถวายพระเจ้าโซบูอ๋อง ๆ ก็ดับสูญ ครั้นพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องได้เสวยราชย์ จึงให้หาช่างมาทำเปนตราสำหรับพระมหากษัตริย์ แล้วให้หลีสูจึงแกะเปนอักษรแปดตัว ครั้งหนึ่งพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเสวยราชสมบัติได้ยี่สิบหกปี (พ.ศ. ๒๓๑) จึงเสด็จไปประพาสโดยทางชลมารค พอเกิดพายุหนักคลื่นใหญ่ พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องกลัวเรือพระที่นั่งจะล่ม จึงเอาตราหยกนี้ทิ้งลงในแม่น้ำพายุแลคลื่นก็สงบไป ครั้นอยู่มาอีกแปดปี พระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเสด็จไปประพาสโดยทางสถลมารค มีผู้หนึ่งเอาตราหยกนี้มาถวายต่อพระหัตถ์ แล้วผู้นั้นก็หายไป ครั้นพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเสด็จกลับเข้ามาถึงวังก็สวรรคต[๒] จูเอ๋งจึงเอาตรานี้มาถวายพระเจ้าฮั่นโกโจ ครั้นอองมังเปนขบถ นางตังไทฮอจึงเอาตรานี้ทิ้งเอาอองสิมโซเสียมทหารอองมัง ไปถูกผนังตึกเหลี่ยมนั้นจึงลิไป แล้วให้เอาทองคำทำเหลี่ยมตราเข้าไว้ ครั้นพระเจ้าฮั่นกองบู๊ได้ตราดวงนี้ จึงได้เสวยราชย์ต่อ ๆ มา ครั้นเพลิงไหม้วัง พวกขันทีจึงพาหองจูเปียนกับหองจูเหียบหนีเพลิงไป ครั้นกลับเข้ามาจึงให้คนค้นดูทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังนั้นก็ยังดีอยู่ สิ้น แต่ตราหยกดวงนี้หายไป ก็ซึ่งท่านมาได้ตราสำหรับราชการนี้ เห็นว่าราชสมบัติจะได้แก่ท่านเปนมั่นคง ขอให้ท่านยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จึงจะได้คิดการใหญ่สืบไป

ฝ่ายซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าพรุ่งนี้เราจะลาอ้วนเสี้ยวว่าป่วยจะกลับไป แล้วกำชับทหารทั้งปวงว่า อย่าให้บอกกล่าวแก่ผู้ใดให้ปรากฎ ในขณะเวลากลางคืนนั้น ทหารซุนเกี๋ยนคนหนึ่งซึ่งรู้เห็น คิดเอาใจออกหากซุนเกี๋ยน จึงเอาเนื้อความไปบอกแก่อ้วนเสี้ยว ๆ จึงเอาตัวทหารนั้นไว้ แล้วปูนบำเหน็จให้เปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้าซุนเกี๋ยนจึงไปบอกแก่อ้วนเสี้ยวว่า ข้าพเจ้าป่วยจะขอลาไปอยู่รักษาตัว ณ เมืองเตียงสา อ้วนเสี้ยวหัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าทราบแล้วซึ่งท่านว่าป่วยจะไปรักษาตัวนั้น เพราะได้ตราหยกสำหรับราชสมบัติหรือ

ซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นทำเปนตกใจจึงถามว่า ผู้ใดมาแจ้งเนื้อความแก่ท่านฉนี้ อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า เราทั้งปวงคิดกันมาหวังจะล้างศัตรูราชสมบัติเสีย ซึ่งท่านได้ตราหยกสำหรับพระมหากษัตริย์ไว้ จงเอามาให้เราซึ่งเปนนายทัพผู้ใหญ่ ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะได้ถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เสวยราชสมบัติสืบไป ซึ่งท่านได้ตราไว้แล้วปิดเนื้อความเสียจะพาเอาไปนั้น ท่านคิดจะเอาราชสมบัติหรือ ซุนเกี๋ยนจึงว่าข้าพเจ้าไม่ได้ตราไว้ เปนไฉนท่านมาขืนว่าดังนี้เล่า อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า เรารู้ว่าได้ไว้เปนมั่นคง จงเร่งเอามาให้เราเสีย ถ้ามิฟังเราก็จะวุ่นวายกันขึ้น

ฝ่ายซุนเกี๋ยนจึงเอามือชี้ฟ้าแล้วสาบาลว่า ถ้าข้าพเจ้าได้ตราหยกไว้แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยสายฟ้าแลอาวุธต่าง ๆ เถิด หัวเมืองทั้งปวงจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ซุนเกี๋ยนสาบาลแล้วก็แล้วไปเถิด อ้วนเสี้ยวจึงให้เอาทหารซุนเกี๋ยนซึ่งมาบอกเนื้อความนั้นออกมา แล้วจึงถามซุนเกี๋ยนว่าเมื่อท่านให้ทหารทั้งปวงลงไปสักในบ่อนั้นได้ตราขึ้น มานี้ ทหารคนนี้ได้ไปด้วยท่านหรือไม่ ซุนเกี๋ยนเห็นทหารของตัวก็รู้ว่าเอาเนื้อความมาบอกแก่อ้วนเสี้ยว ซุนเกี๋ยนก็โกรธชักกระบี่ออกจะฟันทหารคนนั้นเสีย อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นจึงชักกระบี่ออกยืนขวางหน้าไว้แล้วว่า ถ้าตัวท่านฆ่าทหารคนนี้เสีย เราก็จะฆ่าตัวท่านเสียเหมือนกัน

ฝ่ายงันเหลียงกับบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยวซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเห็นดังนั้นก็ ถอดกระบี่ออกไว้ ข้างเทียเภา อุยกาย ฮันต๋ง ทหารฝ่ายซุนเกี๋ยนก็ชักกระบี่ออกคอยทีอยู่

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ออกไปห้ามเสียทั้งสองข้างแลซุนเกี๋ยนก็ขึ้นม้ากลับมาณที่ชุมนุม ก็จัดแจงทหารทั้งปวงพร้อม แล้วจึงยกออกจากเมืองลกเอี๋ยง

ครั้นอ้วนเสี้ยวรู้ดังนั้นก็แต่งหนังสือบอกเนื้อความนั้นให้ม้าใช้ถือไป ถึงเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วว่า ให้เล่าเปียวคุมทหารออกสกัดรบชิงเอาตราหยกซึ่งซุนเกี๋ยนพาหนีไปนั้นไว้ถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้จงได้ ครั้นเวลารุ่งเช้ากองม้าใช้ซึ่งขึ้นไปสอดแนมนั้นกลับมาบอกอ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้ทัพโจโฉซึ่งยกไปตามตั๋งโต๊ะนั้น แตกไปอยู่เมืองโห้ลาย อ้วนเสี้ยวแจ้งดังนั้นจึงแต่งทหารให้ไปรับโจโฉมา ณ เมืองลกเอี๋ยง แล้วให้แต่งโต๊ะเชิญโจโฉกับหัวเมืองทั้งปวงกินโต๊ะ ต่างคนถามข่าวโจโฉ ๆ ทอดใจใหญ่แล้วว่า เดิมข้าพเจ้าคิดอ่านเกลี้ยกล่อมผู้คน แลบอกไปถึงท่านทั้งปวงว่า จะทำนุบำรุงการแผ่นดิน ท่านทั้งปวงเห็นด้วยจึงยกมาช่วยทำการ บัดนี้ตั๋งโต๊ะทิ้งเมืองหลวงเสีย พาพระเจ้าเหี้ยนเต้แลอาณาประชาราษฎรไปข้างทิศตวันตก ข้าพเจ้าได้ว่าให้ท่านทั้งปวงยกตามไป ท่านก็ไม่ยอม ข้าพเจ้ายกทหารตามไปได้รบพุ่งกันเปนสามารถจนข้าพเจ้าเสียทีมาครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด จงเร่งช่วยกันคิด อ้วนเสี้ยวแลหัวเมืองทั้งปวงมิได้ตอบประการใด โจโฉจึงคิดว่าบันดาหัวเมืองทั้งนี้ เห็นจะคิดเอาใจออกจากกันเปนมั่นคง ถึงจะคิดการด้วยสืบไปก็เห็นจะไม่ตลอด โจโฉโกรธจึงออกมาจัดแจงทหารแล้วก็ยกไปเมืองเอ๊งจิ๋ว แลหัวเมืองทั้งนั้นก็กลับไปยังที่ชุมนุม แลกองซุนจ้านจึงว่าแก่เล่าปี่กวนอูเตียวหุยว่า อ้วนเสี้ยวนี้ซึ่งจะคิดการใหญ่นั้นไม่ได้ นานไปเห็นจะมีอันตราย จะพากันได้ความลำบากเสีย เราจงพากันยกไปเมืองจะดีกว่า เล่าปี่กวนอูเตียวหุยเห็นชอบด้วยกองซุนจ้าน ก็ยกทหารไปถึงเมืองเพงงวนก้วน เล่าปี่ก็ลาเข้าอยู่รักษาเมืองดังก่อน กองซุนจ้านก็ยกไปเมืองปักเป๋ง

ฝ่ายเล่าต้ายขาดสเบียง จึงให้ทหารไปยืมสเบียงเตียวเมา ๆ ไม่ให้ เล่าต้ายโกรธ ครั้นเวลากลางคืนก็ยกทหารเข้าตีค่ายฆ่าเตียวเมาตาย แลทหารเตียวเมานั้นก็มาเข้าด้วยเล่าต้ายสิ้น อ้วนเสี้ยวเห็นหัวเมืองทั้งปวงแก่งแย่งทำร้ายแก่กัน ที่ยกกลับไปก็มีบ้าง เห็นการจะทำไม่ตลอด อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารยกไปเมืองโห้ลาย แลหัวเมืองซึ่งยังอยู่นั้นต่างคนต่างยกกลับไปเมือง

ฝ่ายเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วนั้น เปนเชื้อพระเจ้าฮั่นโกโจมาแต่ก่อน แลเล่าเปียวนั้นมีที่ปรึกษาเจ็ดคน ชื่อตันเสียงชาวเมืองยีหลำหนึ่ง คงหลิบชาวเมืองโลก๊กหนึ่ง ห้วนขงชาวเมืองปุดไฮหนึ่ง เตียวลีชาวเมืองซันหยงหนึ่ง เตียวเคียมชาวเมืองซันหยงหนึ่ง หงิมติดชาวเมืองลำหยงหนึ่ง ห้วนหงชาวเมืองยีหลำหนึ่ง ทั้งเจ็ดคนนี้เปนเพื่อนสนิธกันกับเล่าเปียวมาแต่ก่อน แลมีทหารเอกสามคนชื่อ เก๊งเหลียง เก๊งอวด ชัวมอสามคนนี้เปนชาวเมืองเอี้ยงเบ๋ง

แลเล่าเปียวครั้นแจ้งหนังสืออ้วนเสี้ยวซึ่งให้มานั้น จึงให้เก๊งอวดกับชัวมอคุมทหารหมื่นหนึ่ง ยกไปสกัดทางซึ่งซุนเกี๋ยนมา แลเก๊งอวดขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวง ซุนเกี๋ยนจึงถามเก๊งอวดว่า ซึ่งท่านยกทหารมาสกัดทางไว้ทั้งนี้จะปราถนาสิ่งอันใด เก๊งอวดจึงตอบว่า ตัวท่านเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวก็ได้กินเบี้ยหวัดอยู่ แลตัวพาเอาตราหยกสำหรับพระมหากษัตริย์มานั้น จะเอาไปคิดประการใด จงเอาตราส่งมาให้เรา ๆ จะเอาไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าตัวมิให้เราก็ไม่เปิดทางให้ไป ซุนเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้อุยกายออกไปจะรบด้วยเก๊งอวด แลชัวมอเห็นก็ขับม้าออกรบกับอุยกายได้เจ็ดเพลง อุยกายจึงเอากระบองเหล็กสี่เหลี่ยมตีถูกอกชัวมอ ๆ ชักม้าหนี ซุนเกี๋ยนจึงไล่ฟันทหารชัวมอไปถึงหน้าเมืองเกงจิ๋ว ซุนเกี๋ยนได้ยินเสียงม้าฬ่อบนเนินเขา จึงแลเห็นเล่าเปียวยกทหารมาเปนอันมาก ซุนเกี๋ยนคำนับเล่าเปียวแล้วจึงว่า ท่านเชื่อฟังหนังสืออ้วนเสี้ยวแลยกทหารมาทำการทั้งนี้ เหมือนหนึ่งไม่เอ็นดูข้าพเจ้า เล่าเปียวจึงตอบว่า ซึ่งท่านพาเอาตราหยกมานี้จะคิดเปนขบถต่อแผ่นดินหรือ ซุนเกี๋ยนจึงว่าถ้าข้าพเจ้าได้ตราหยกมาเหมือนอ้วนเสี้ยวว่ามานั้น ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยอาวุธต่าง ๆ เถิด เล่าเปียวจึงว่าถ้าท่านจะให้เราสิ้นสงสัย จงเรียกทหารซึ่งสนิธของท่านมาให้เราค้นดูจนสิ้นทุกคนเราจึงจะเชื่อ ซุนเกี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราสาบาลตัวแล้วยังไม่เชื่อเล่า ท่านจะมีฝีมือกล้าหาญประการใดเราจะขอลองดู เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็ยกทหารทำเปนถอยมา ซุนเกี๋ยนขับม้าไล่ไปถึงเขาสองข้างทาง แลทหารเล่าเปียวซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็ออกรบกระหนาบ แลชัวมอเก๊งอวดซึ่งหนีซุนเกี๋ยนนั้น ก็ขับม้าคุมทหารอ้อมทางขึ้นไป ตีกระหนาบหลังซุนเกี๋ยนลงมา เล่าเปียวก็ให้ทหารตีเปนหน้ากระดานขึ้นไป ซุนเกี๋ยนนั้นรบอยู่กลางทหารเล่าเปียว แลอุยกายเทียเภาฮันต๋งเห็นเสียทหารเปนอันมาก แล้วทหารเล่าเปียวล้อมซุนเกี๋ยนไว้ อุยกายเทียเภาฮันต๋งจึงรบหักเข้าไปแก้ซุนเกี๋ยนออกมาได้ แล้วก็พาทหารซึ่งเหลือมานั้นยกไปเมืองกังตั๋ง แต่นั้นมาเล่าเปียวกับซุนเกี๋ยนก็มีใจพยาบาทกัน

[๑] มีในเรื่องเลียดก๊ก
[๒] พระเจ้าจิ๋นอ๋องกับพระเจ้าจิ๋นซีอ๋ององค์เดียวกัน


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 5

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnUDRZSnVnbUREMGs/view?resourcekey=0-CeGzLGEnMnI556QEjVnZLg



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #6 on: 21 December 2021, 19:46:08 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-6.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6
  สามก๊กวิทยา  01 กุมภาพันธ์ 2560


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6

เนื้อหา
อ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋ว เกิดรบกับกองซุนจ้าน
ตั๋งโต๊ะอ้างรับสั่งห้ามรบ
อ้วนสุดกับซุนเกี๋ยนไปรบเล่าเปียว
ซุนเกี๋ยนตาย ซุนเซ็กได้ครองเมืองกังตั๋ง

ขณะ เมื่ออ้วนเสี้ยวยกทหารมาอยู่เมืองโห้ลายนั้นขาดสเบียง ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้นรู้ข่าวก็จัดแจงสเบียงให้ทหารคุมไปให้แก่อ้วน เสี้ยว แลห้องกีจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า คนทั้งปวงก็ปรากฎอยู่ว่าท่านเปนเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน แลท่านมาทำการทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งนี้ ซึ่งจะมานั่งคอยกินให้ผู้อื่นส่งสเบียงนั้นเห็นไม่ควร ถ้าเขามิส่งก็จะขัดสนอยู่ แลในเมืองกิจิ๋วนั้นทรัพย์สิ่งสินก็มั่งคั่งอาหารก็บริบูรณ์ ขอให้ยกทหารไปตีเอาเมืองกิจิ๋ว ถ้าได้แล้วท่านจงตั้งอยู่ในเมืองนั้น จะได้คิดราชการสืบไป อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า เราก็คิดอยู่แต่ยังหาทีที่จะทำมิได้ ห้องกีจึงว่าถ้าท่านคิดดังนั้นแล้ว ขอให้มีหนังสือลับไปถึงกองซุนจ้าน ให้ทหารเข้าตีเมืองกิจิ๋วด้านหนึ่ง ท่านจงยกเข้าตีกระหนาบด้านหนึ่ง ถ้าได้เมืองแล้วแบ่งทรัพย์สินแลเมืองให้กองซุนจ้านกึ่งหนึ่ง แลฮันฮกนั้นเปนคนหามีความคิดไม่ ถ้ารู้กิตติศัพท์ว่ากองซุนจ้านจะยกมาตี เห็นจะมีหนังสือมาถึงท่านให้ยกทหารไปช่วย ถ้าสมคิดเห็นเราจะได้เมืองกิจิ๋วโดยง่าย อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือลับไปให้กองซุนจ้านตามห้องกีว่า

ฝ่ายกองซุนจ้านรู้หนังสือนั้นก็มีความยินดี จึงบอกกำหนดซึ่งจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วไปถึงอ้วนเสี้ยว แล้วจัดแจงเตรียมทหารไว้พร้อม อ้วนเสี้ยวแจ้งแล้วก็ให้แต่งหนังสือไปถึงฮันฮกว่า บัดนี้กองซุนจ้านมีหนังสือมาปรึกษาเรา ว่าจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วจงได้ ฮันฮกแจ้งในหนังสืออ้วนเสี้ยวแล้วจึงปรึกษากับซุนซิมซินเป๋งว่า กองซุนจ้านจะยกมาตีเมืองเรานี้ จะคิดประการใด

ซุนซิมจึงว่า ซึ่งกองซุนจ้านจะตีเอาเมืองเรานั้น เห็นจะยกทหารมาเปนอันมาก แล้วเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็จะมาด้วย กำลังทหารเรานั้นน้อยเห็นจะสู้ไม่ได้ แล้วอ้วนเสี้ยวนั้นประกอบไปด้วยสติปัญญา แล้วมีทหารเอกทหารเลวเปนอันมาก ขอให้มีหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมาอยู่รักษาเมืองจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกัน เห็นอ้วนเสี้ยวจะมีความเมตตาแก่ท่าน ซึ่งกองซุนจ้านจะยกมากระทำย่ำยีเมืองเรานั้นก็เกรงอ้วนเสี้ยวอยู่ ฮันฮกเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือจะให้กวนกีถือไปเชิญอ้วนเสี้ยวตามคำซุนซิม แลเก๋งบูจึงว่าแก่ฮันฮกว่า อ้วนเสี้ยวนั้นเปนคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะท่านให้ส่งสเบียง อุปมาเหมือนทารก ถ้ามารดามิให้นมกินแล้วทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมือง เหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ๆ ทั้งปวงก็จะมีอันตรายเปนมั่นคง ขอท่านดำริห์ดูจงควร ฮันฮกจึงตอบว่า ตัวเราเมื่อแรกจะได้เปนขุนนางก็เพราะแซ่อ้วนว่ากล่าวจึงได้มาเปนเจ้าเมือง เราเห็นว่าสติปัญญาอ้วนเสี้ยวดีกว่าเรา อนึ่งโบราณว่าไว้ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาก็ให้ผู้ความคิดน้อยคำนับผู้มีปัญญา แลท่านมาทักเราให้ผิดโบราณดังนี้เราไม่เห็นด้วย แล้วก็สั่งให้กวนกีถือหนังสือไปเชิญอ้วนเสี้ยวมา เก๋งบูได้ยินดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ แล้วว่าเมืองกิจิ๋วจะสูญเสียครั้งนี้เปนมั่นคง เก๋งบูกับขุนนางสามสิบสองคนก็ลาออกจากราชการ แต่เก๋งบูก้วนซุนนั้นไปยืนแอบประตูเมืองคอยอ้วนเสี้ยวอยู่

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นแจ้งในหนังสือฮันฮกนั้น แล้วก็จัดแจงทหารแล้วยกไปถึงเมืองกิจิ๋ว แลอ้วนเสี้ยวนั้นจะเข้าประตูเมือง เก๋งบูก้วนซุนชักกระบี่ออกจะฟันอ้วนเสี้ยว งันเหลียงบุนทิวเห็นดังนั้น จึงถอดกระบี่วิ่งเข้ารับ แล้วฟันเก๋งบูกับก้วนซุนตาย อ้วนเสี้ยวก็ยกทหารเข้าไปในเมือง ฮันฮกจึงออกมารับแล้วพาเข้าไปที่อยู่ อ้วนเสี้ยวจึงตั้งฮันฮกเปนบูจงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเปนนายทหารเอก แล้วให้ถอดขุนนางในเมืองเสีย จึงให้เอาเตียนห้องหนึ่ง โจสิวหนึ่ง เคาสิวหนึ่ง ห้องกีหนึ่ง ซึ่งเปนทหารของอ้วนเสี้ยวนั้นมาเปนขุนนาง ในขณะนั้นราชการในเมืองกิจิ๋วก็สิทธิ์ขาดอยู่ในอ้วนเสี้ยวสิ้น แลฮันฮกเห็นดังนั้นก็คิดสดุ้งใจว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวมาทำทั้งนี้ก็เพราะเราคิดผิด ซึ่งจะอยู่ในเมืองนี้กับอ้วนเสี้ยวสืบไปเมื่อหน้าเห็นจะเกิดอันตรายเปนมั่น คง ฮันฮกก็ทิ้งบุตรภรรยาเสีย หนีไปเมืองตันลิวแต่ตัวผู้เดียว

ฝ่ายกองซุนจ้านครั้นรู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้ว ก็ให้กองซุนอวดผู้น้องไปว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า จะปันเอาทรัพย์สิ่งสินแลเมืองกึ่งหนึ่ง ตามซึ่งให้หนังสือมาสัญญาไว้นั้น อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่าให้ไปเชิญกองซุนจ้านผู้ที่ท่านมาเถิด กองซุนอวดกลับไปถึงกลางทาง พอพบทัพสองข้างทางร้องว่า กูเปนทหารมหาอุปราช แล้วเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกกองซุนอวดตาย แลทหารกองซุนอวดซึ่งมาด้วยกองซุนอวดนั้น ก็หนีเอาเนื้อความทั้งนั้นไปบอกแก่กองซุนจ้าน ๆ ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วว่าอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้วแต่งเปนกลอุบายให้ทหารมาซุ่มคอยฆ่ากอง ซุนอวดผู้น้องเราเสีย แล้วแกล้งประกาศว่าเปนทหารตั๋งโต๊ะ แลอ้วนเสี้ยวทำทั้งนี้กูมีความแค้นนัก ถ้ากูแก้แค้นอ้วนเสี้ยวไม่ได้ก็เหมือนหนึ่งมิใช่ชาติทหาร แล้วกองซุนจ้านจัดแจงทหารสิ้นทั้งเมืองพร้อม ก็ยกไปรบด้วยอ้วนเสี้ยว

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวรู้ข่าวดังนั้นก็ให้ตรวจตราทหารเสร็จ แล้วก็ยกออกจากเมืองไปตั้งรับอยู่ ณ ตำบลแม่น้ำพวนโห้ฟากตวันตก แลแม่น้ำนั้นมีสะพานศิลาอยู่ กองซุนจ้านเห็นกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมา จึงขี่ม้าขึ้นสะพานแล้วร้องว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตัวมึงไม่รักษาสัตย์มาล่อลวงกู แล้วซ้ำฆ่ากองซุนอวดผู้น้องกูเสีย อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงขี่ม้าขึ้นสะพานแล้วจึงตอบว่า ฮันฮกเปนคนโฉดหาความคิดมิได้ ยกเมืองกิจิ๋วให้แก่เรา แลท่านจะมาชุบมือเอาส่วนนั้นไม่ควร กองซุนจ้านจึงตอบว่า หัวเมืองทั้งปวงปรึกษากันเห็นว่ามึงสัตย์ซื่อ จึงตั้งให้เปนนายทัพผู้ใหญ่ บัดนี้กูเห็นใจมึงดังสัตว์เดียรัจฉาน ซึ่งอยู่ในบ้านเมืองนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวได้ยินก็โกรธ จึงถามทหารว่าใครจะอาสาออกไปจับกองซุนจ้านมาให้เราได้บ้าง บุนทิวก็รับอาสา รำทวนขับม้าข้ามสะพานไป กองซุนจ้านชักม้าถอยลงมายืนอยู่ที่แผ่นดิน ครั้นบุนทิวมาถึงก็เข้ารบกันได้เก้าเพลงสิบเพลง กองซุนจ้านกำลังน้อยก็ขับม้าหนีเข้าปนอยู่กับพวกทหาร บุนทิวจึงขับม้าไล่เข้าไป แลทหารทั้งปวงแตกกระจายไป แลทหารเอกกองซุนจ้านสี่คนขับม้าประดากันเข้ารบด้วยบุนทิว ๆ เอาทวนแทงถูกทหารตกม้าตายคนหนึ่ง ทหารสามคนก็ขับม้าหนี บุนทิวขับม้าไล่ตามแล้วผละเสีย จึงขับม้าตรงเข้าจะแทงเอากองซุนจ้าน ๆ ขับม้าหนีฝ่าเข้าป่าไปเปนหลายตำบล บุนทิวขับม้าตามแล้วร้องว่า เร่งลงจากม้าเราจะจับเอาเปนไป ชีวิตท่านจะรอดอยู่ ถ้าจะขืนควบม้าหนีไป เราจะเอาทวนแทงให้ตกม้าตาย กองซุนจ้านได้ยินดังนั้นก็ขับม้าหนี เกาทัณฑ์แลอาวุธกับหมวกที่ใส่นั้นก็พลัดตกไปสิ้น ครั้นมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ม้านั้นก็สดุดเอาก้อนศิลาล้มลง บุนทิวเงื้อทวนจะแทงกองซุนจ้าน ฝ่ายจูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนออกสกัดหน้าบุนทิวไว้ แลกองซุนจ้านนั้นก็หนีเข้าซ่อนอยู่ในเงื้อมเขาได้ จูล่งกับบุนทิวรบกันถึงหกสิบเพลงมิได้แพ้ชนะกัน พอเหล่าทหารกองซุนจ้านซึ่งแตกนั้น คุมกันไล่ตามมาทันเข้าล้อมบุนทิวไว้ บุนทิวเห็นจะเสียทีก็ขับม้าฝ่าออกมาได้ แล้วหนีกลับไป กองซุนจ้านจึงออกมาจากเงื้อมเขา เห็นทหารคนนั้นสูงประมาณหกศอก หน้าผากแลคิ้วใหญ่ตาโต จึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด มาช่วยเรานี้ขอบใจนัก จูล่งย่อตัวลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าชื่อจูล่งแซ่เตียว อยู่ ณ เมืองเซียงสัน แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเปนคนมีพยศหยาบช้ามิได้รักษาสัตย์ ข้าพเจ้าจึงหนีมาพึ่งอยู่ด้วยท่าน พอมาพบที่กลางทางนี้ กองซุนจ้านได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงขึ้นขี่ม้าตัวหนึ่งแล้วพาจูล่งกับทหารทั้งปวงยกกลับไป ณ ค่ายริมแม่น้ำ

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นเห็นดังนั้น ก็ให้งันเหลียงบุนทิวคุมทหารเกาทัณฑ์นายละพัน ให้แยกเปนสองกองซุ่มอยู่ต้นสพาน ถ้าได้ยินเสียงประทัดสัญญาแล้วก็ให้ยิงระดมทั้งซ้ายขวา แล้วให้จ๊กยี่คุมทหารเกาทัณฑ์แปดร้อย กับทหารเลวหมื่นห้าพันเปนกองหน้าออกรบล่อ อ้วนเสี้ยวนั้นคุมทหารประมาณห้าหมื่นเปนกองหลวง ครั้นจัดแจงเสร็จก็ให้ทหารทั้งปวงสงบอยู่

ฝ่ายกองซุนจ้านให้ยำก๋งคุมทหารเปนกองหน้า แล้วให้จัดทหารเปนปีกซ้ายปีกขวา แลกองซุนจ้านนั้นยังไม่รู้จักน้ำใจจูล่ง จึงให้จูล่งคุมทหารเปนกองหลัง แล้วให้เอาธงเปนตัวอักษรปักทองว่าชวยกี้ ภาษาไทยว่าธงสำหรับแม่ทัพ แล้วก็ยกทหารขึ้นตั้งเปนกระบวรอยู่บนสะพานศิลานั้น จึงให้ทหารทั้งปวงตีฆ้องกลองม้าฬ่อ แล้วโห่ร้องแต่เช้าจนเที่ยง ทหารในกองทัพอ้วนเสี้ยวนั้นยังสงบอยู่ ยำก๋งซึ่งเปนกองหน้ากองซุนจ้านเห็นดังนั้น ก็ยกทหารรุกจะข้ามไป

ฝ่ายจ๊กยี่กองหน้าอ้วนเสี้ยวคุมทหารรบล่อถอยมาถึงต้นสะพาน เห็นได้ทีแล้วจึงจุดประทัดสัญญาขึ้น แลทหารเกาทัณฑ์แปดร้อยนั้นก็ยิงระดมเปนสามารถ ยำก๋งเห็นจะต้านทานมิได้ แลทหารทั้งปวงก็รวนจะถอยออกมา จ๊กยี่เห็นดังนั้นจึงขับม้ารำง้าวเข้าไล่รบด้วยยำก๋งได้ห้าเพลง ก็เอาง้าวฟันถูกยำก๋งตกม้าตาย ปีกซ้ายปีกขวากองซุนจ้านยกทหารจะเข้าช่วยรุมแก้กัน งันเหลียงบุนทิวคุมทหารซ้ายขวาซึ่งซุ่มอยู่ต้นสะพานนั้นก็ให้ทหารยิง เกาทัณฑ์กราดไว้ ทหารกองซุนจ้านเข้าช่วยมิได้ จ๊กยี่คุมทหารทั้งปวงไล่ฟันไปถึงหน้าม้ากองซุนจ้าน แล้วจึงเอากระบี่ฟันธงนั้นหักลง กองซุนจ้านเห็นจะทานมิได้ก็คุมทหารกลับหน้าลงจากสะพานหนีไป จ๊กยี่นั้นขับม้าคุมทหารไล่ฟันตลุมบอน ทหารกองซุนจ้านแตกกระจัดกระจายไป

ขณะนั้นจูล่งซึ่งเปนกองหลังเห็นดังนั้น จึงขับม้าเข้ารบด้วยจ๊กยี่ได้ห้าเพลง ก็เอาทวนแทงจ๊กยี่ตกม้าตาย แล้วจูล่งขับม้าเข้าไล่แทงอยู่ในกลางทหารจ๊กยี่ จูล่งขับม้าไปข้างขวาก็ขวาแตก ไปข้างซ้ายก็ซ้ายแตก หาผู้ใดจะต้านทานมิได้ กองซุนจ้านเห็นดังนั้นก็คุมทหารกลับเข้ามาช่วยจูล่งรบทหารจ๊กยี่ก็แตกไป

ขณะเมื่อจ๊กยี่ฟันธงสำหรับแม่ทัพหัก กองซุนจ้านแตกลงไปจากสะพานนั้น มีทหารคนหนึ่งมาบอกอ้วนเสี้ยวว่า ทัพกองซุนจ้านแตกแล้ว อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นมีความยินดีนัก จึงพาเตียนห้องกับทหารถือทวนประมาณสามร้อย ถือเกาทัณฑ์ห้าสิบ ออกมาแลดูนอกค่ายเห็นสมคำทหารมาบอก อ้วนเสี้ยวก็ตบมือหัวเราะแล้วว่า กองซุนจ้านนั้นเปนคนหาชำนาญศึกไม่ แต่เราคิดทำเพียงนี้ก็รบแตก อ้วนเสี้ยวก็มีใจประมาท

ฝ่ายจูล่งกับกองซุนจ้านรีบยกทหารข้ามสะพานไป แต่จูล่งนั้นขับม้าเข้าไล่แทงทหารอ้วนเสี้ยวตาย เปนหลายคน กองซุนจ้านก็รับยกทหารเข้าวกหลังอ้วนเสี้ยวไว้ แล้วยิงเกาทัณฑ์ระดมไป

เตียนห้องเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ครั้งนี้จะเสียทีแก่ศัตรู ท่านจงเข้าแอบอยู่ริมตลิ่งหนีให้พ้นภัย อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่าเปนชาติทหารจะกลัวตายใย แล้วร้องให้ทหารทั้งปวงเข้ารบพุ่งต้านทานไว้ เหล่าทหารทั้งปวงนั้นก็รบพุ่งป้องกันเปนสามารถ แลงันเหลียงเห็นกองซุนจ้านกับจูล่งเข้ารบอยู่ ก็คุมทหารตีกระหนาบหลังเข้าด้านหนึ่ง ทหารอ้วนเสี้ยวที่แต่งให้รบล่อซึ่งแตกไปนั้น ครั้นกลับมาเห็นก็คุมกันเข้าตีกระหนาบไว้อีกด้านหนึ่ง จูล่งรบอยู่ในทัพกระหนาบเห็นจะทานมิได้ ก็พากองซุนจ้านกับทหารรบฝ่าออกมาจะข้ามสะพานไป อ้วนเสี้ยวแลงันเหลียงก็คุมทหารไล่ไปถึงต้นสะพาน ได้ฆ่าฟันทหารกองซุนจ้านตกน้ำตายเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวกับงันเหลียงคุมทหารข้ามสะพานไล่กองซุนจ้านจูล่งไปทางประมาณห้า สิบเส้น

ขณะนั้นเล่าปี่รู้ข่าว จึงพากวนอูเตียวหุยกับทหารทั้งปวงยกมาจะช่วยกองซุนจ้าน พอเห็นอ้วนเสี้ยวไล่กองซุนจ้านมาถึงเนินเขา เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ขับม้ารบสกัดหน้าม้าอ้วนเสี้ยวไว้ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่กวนอูเตียวหุยขวางหน้าม้าเข้ารบดังนั้นก็ตกใจ หาสติมิได้ ง้าวซึ่งถืออยู่นั้นก็พลัดตกลงจากมือ แล้วขับม้าถอยหลังข้ามไป ณ ค่าย

ฝ่ายกองซุนจ้านครั้นเห็นเล่าปี่กับกวนอูเตียวหุยมาช่วย ก็มีความยินดี จึงพากันกลับมาถึงค่าย แล้วกองซุนจ้านจึงบอกแก่เล่าปี่ว่า ครั้งหนึ่งบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยวไล่เรามา หากว่าจูล่งออกช่วยเราจึงรอด ครั้งนี้อ้วนเสี้ยวไล่เรามาหากว่าท่านมาทันได้รบพุ่งป้องกันไว้ เราจึงได้รอดชีวิตเพราะท่าน แล้วเรียกจูล่งมาให้รู้จักกับเล่าปี่ไว้ เล่าปี่เห็นรูปร่างจูล่งนั้นสมเปนทหารก็มีความรักใคร่จูล่งเปนอันมาก แล้วกองซุนจ้านกับอ้วนเสี้ยวก็ให้ทหารตั้งมั่นประชิดกันอยู่คนละฟากน้ำ ประมาณเดือนเศษ

ขณะนั้นมีคนหนึ่งเอาข่าวขึ้นไปบอกลิยู ณ เมืองเตียงฮัน ตามซึ่งอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านตั้งรบกันอยู่นั้นทุกประการ ลิยูจึงเอาเนื้อความนั้นแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ๆ รู้ดังนั้นจึงว่าแก่ลิยูว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านต่างมีกำลังรบกันอยู่ดังนี้เราจะคิดประการใด ลิยูจึงว่าอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านนั้นก็มีฝีมือรบพุ่งเข้มแข็ง ตั้งรบกันอยู่ตำบลแม่น้ำพวนโห้ ถ้าผู้ใดมีชัยชนะผู้นั้นก็จะกำเริบขึ้น นานไปก็จะเคืองใจท่าน ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปห้ามเสียทั้งสองฝ่ายให้เปนไมตรีกัน นานไปอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้าน ก็จะอยู่ในบังคับบัญชาท่าน ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้สองฉบับตามคำลิยูว่า แล้วให้เตียวกีกับม้าหยิดถือไปให้แก่อ้วนเสี้ยวกองซุนจ้าน

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นรู้ข่าวจึงออกมาคำนับหนังสือรับสั่ง แล้วรับเข้าไปในค่าย ครั้นดูแจ้งในหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็ทำตามรับสั่ง แลเตียวกีกับม้าหยิดก็พากันเอาหนังสือฉบับหนึ่งข้ามไปให้กองซุนจ้าน ณ ค่าย กองซุนจ้านเห็นหนังสือก็ฟังตามรับสั่ง แล้วกองซุนจ้านให้ทหารเอาข้อรับสั่งไปเจรจาแก่อ้วนเสี้ยว ๆ ก็ยอม แล้วเตียวกีกับม้าหยิดเอาเนื้อความลับขึ้นแจ้ง ณ เมืองเตียงฮัน อ้วนเสี้ยวก็ยกทหารกลับเข้าเมือง

ฝ่ายกองซุนจ้านจัดแจงทหารแล้ว พาเล่าปี่จูล่งเลิกทัพกลับไปเมือง ครั้นถึงเมืองเพงงวนก๋วน จึงให้เล่าปี่เข้าอยู่รักษาเมืองดังแต่ก่อน เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ลากองซุนจ้านจะเข้าไปในเมือง จูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเปนคนหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงมาอยู่ด้วยกองซุนจ้าน บัดนี้ก็เห็นว่ากองซุนจ้านนี้หาความคิดมิได้ ข้าพเจ้าจึงมีความลำบากใจ ครั้นมาเห็นท่านค่อยมีสติปัญญา คิดว่าจะทำราชการด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ มิรู้ที่จะทำประการใด เล่าปี่จึงตอบเอาใจจูล่งว่า ท่านกับเรารู้จักกันไว้ครั้งนี้ก็เปนคนสนิธกัน จงค่อยอยู่กับกองซุนจ้านก่อนเถิด ถ้าชีวิตมิตายสืบไปภายหน้า ท่านจะได้ทำราชการด้วยเราเปนมั่นคง จงจำคำนี้ไว้อย่าลืม แล้วเล่าปี่ยุดมือจูล่งเข้าแล้วก็มีใจเสร้าโศก จูล่งนั้นก็ร้องไห้รักเล่าปี่ แล้วเล่าปี่ลาจูล่งยกทหารเข้าไปเมืองเพงงวนก๋วน กองซุนจ้านก็พาจูล่งยกไปยังเมืองปักเป๋ง

ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นรู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวผู้พี่ได้เมืองกิจิ๋ว จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปขอม้าแก่อ้วนเสี้ยวพันหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมิได้ยอมให้ดังปราถนา อ้วนสุดโกรธพยาบาทอ้วนเสี้ยวผู้พี่ แล้วอ้วนสุดให้มีหนังสือไปขอสเบียงเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวมิได้ให้สเบียงมา อ้วนสุดโกรธมีใจพยาบาทเปนอันมาก แล้วอ้วนสุดก็แต่งหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยนซึ่งอยู่ ณ เมืองกังตั๋งว่า เล่าเปียวคุมทหารออกสกัดรบชิงเอาตราหยกนั้น ก็เพราะอ้วนเสี้ยวพี่เราให้หนังสือไป บัดนี้อ้วนเสี้ยวกับเล่าเปียวคิดกันจะไปตีเมืองกังตั๋งชิงเอาตราหยกให้จงได้ ซึ่งท่านจะนอนใจอยู่นั้นไม่ควร จงเร่งยกทหารไปตีเมืองเกงจิ๋ว เราจะช่วยแก้แค้นท่าน เราจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วซึ่งอ้วนเสี้ยวอยู่นั้น

ฝ่ายซุนเกี๋ยนแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงปรึกษาด้วยทหารทั้งปวงว่าผู้ใดจะเห็นประการใด เทียเภาจึงว่าซึ่งอ้วนสุดให้หนังสือมาทั้งนี้จะเชื่อฟังยังมิได้ ด้วยอ้วนสุดนั้นเปนคนหยาบช้า มักยุยงแต่จะให้ผู้อื่นผิดกัน แล้วอ้วนสุดก็เปนน้องอ้วนเสี้ยว ซึ่งจะยกไปรบเมืองกิจิ๋วนั้นข้าพเจ้าเห็นไม่จริง ซุนเกี๋ยนจึงตอบว่า ซึ่งเทียเภาว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ อันเล่าเปียวเปนศัตรูเรา ถึงมาทว่าอ้วนสุดจะไม่มีหนังสือมาถึงเรา ๆ ก็คิดอยู่ว่าจะยกทหารไปรบ แลการทั้งนี้ใช่จะเห็นแก่ผู้ช่วยนั้นหามิได้ แล้วให้อุยกายไปจัดแจงเรือรบสรัพไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ กับเรือใหญ่บันทุกม้าแลสเบียงอาหารให้พร้อมไว้จงมาก ถึงวันดีเมื่อใดจะได้ยกไปทำการสดวก

ฝ่ายเรือกองตระเวนเมืองเกงจิ๋วรู้กิตติศัพท์ดังนั้น ก็เอาเนื้อความทั้งปวงไปแจ้งแก่เล่าเปียว ๆ จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งนั้นว่า ซึ่งซุนเกี๋ยนจะยกทัพเรือมานั้นใครยังจะเห็นประการใดบ้าง เก๊งเหลียงจึงว่าซึ่งซุนเกี๋ยนจะยกทัพเรือข้ามทเลมานั้น เห็นจะไม่สู้กับเราซึ่งอยู่บกได้ ด้วยส่งสเบียงกันยาก ขอให้เกณฑ์ทัพหองจอเจ้าเมืองกังแฮซึ่งขึ้นแก่เรานั้นเปนทัพหน้า ท่านจงยกทหารเปนทัพหลวง เล่าเปียวเห็นชอบด้วย ก็ให้เกณฑ์ทัพหองจอไปตั้งอยู่ปากน้ำฮวนเสีย แล้วจัดแจงทหารในเมืองเกงจิ๋ว เกณฑ์ไว้ตามคำเก๊งเหลียงว่า

ฝ่ายซุนเกี๋ยนนั้นมีภรรยาสองคนเปนพี่น้องร่วมท้องกัน พี่นั้นชื่อนางงอฮูหยิน น้องชื่องอยี่ฮูหยิน แลนางผู้พี่นั้นมีบุตรชายสี่คน ชื่อซุนเซ็กหนึ่ง ชื่อซุนก๋วนหนึ่ง ซุนเสียงหนึ่ง ซุนของหนึ่ง นางผู้น้องนั้นมีบุตรชายชื่อซุนลองหนึ่ง บุตรหญิงชื่อซุนหยินหนึ่ง บุตรเลี้ยงนั้นชื่อกองเลหนึ่ง น้องซุนเกี๋ยนชื่อซุนเจ้งหนึ่ง ขณะเมื่อวันดีซุนเกี๋ยนลงเรือนั้น ซุนเจ้งผู้น้องพาบุตรซุนเกี๋ยนทั้งเจ็ดคนตามลงไปห้ามซุนเกี๋ยนว่า ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยราชสมบัติ ราชการบ้านเมืองก็เปนสิทธิ์อยู่กับตั๋งโต๊ะ ๆ ทำการหยาบช้า หัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจลแขงเมืองขึ้น อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน แลในเมืองกังตั๋งนี้พึ่งจะสงบลง ซึ่งท่านจะยกทัพไปรบแก่เล่าเปียวนั้น ขอท่านจงตรึกตรองดูก่อน ซุนเกี๋ยนจึงตอบว่า แต่ก่อนมาตัวเราผู้เดียวก็ยังคิดตั้งตัวมาได้ ครั้งนี้เราได้ทหารไว้เปนกำลังมากแลเล่าเปียวเปนศัตรูเรา ครั้นเราจะนิ่งเสียไม่ไปทำการแก้แค้น ก็ดูเหมือนเปนชายชาติทหารไม่มีฝีมือ

ฝ่ายซุนเซ็กจึงว่าซึ่งบิดามิฟังจะยกไปให้ได้ ข้าพเจ้าจะขอไปด้วย ซุนเกี๋ยนมีความรักรับซุนเซ็กลงเรือ แล้วยกทหารข้ามอ่าวทเลไปถึงปากน้ำเมืองฮวนเสียต่อกันกับเมืองกังแฮ

ฝ่ายหองจอเจ้าเมืองกังแฮแจ้งในหนังสือซึ่งเล่าเปียวให้มา จึงจัดแจงทหารพร้อม แล้วก็ยกมาตั้งอยู่ปากน้ำเมืองฮวนเสีย ครั้นเห็นซุนเกี๋ยนยกทัพเรือมา ก็ให้ทหารทั้งปวงยิงเกาทัณฑ์เปนอันมาก ซุนเกี๋ยนให้ทหารบังตัวลอยเรือล่อให้ยิงรบถึงสามวันสามคืน ทหารกองทัพเรือมิได้เปนอันตราย หองจอนั้นให้ยิงระดมไปจนสิ้นลูกเกาทัณฑ์

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นเกาทัณฑ์สงบลง จึงให้ทหารชักเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งติดเรือรบทั้งปวงนั้น นับได้ลูกเกาทัณฑ์ประมาณสิบห้าหมื่น

ขณะนั้นลมแปรเข้าฝั่ง ซุนเกี๋ยนจึงให้แจวเรือรบทั้งปวงเข้าไปถึงตลิ่ง แล้วเอาเกาทัณฑ์ระดมยิง ทหารหองจอสิ้นลูกเกาทัณฑ์แล้วเห็นจะต้านทานมิได้ ก็ยกถอยหนีเข้าเมืองฮวนเสีย แลเทียเภาอุยกายเห็นดังนั้น ก็คุมทหารเปนสองกองไล่ฟันเข้าไปจนถึงประตูเมืองฮวนเสีย ซุนเกี๋ยนกับฮันต๋งคุมทหารหนุนขึ้นไปเปนอันมาก ครั้นเห็นหองจอหนีเข้าในเมือง ก็ขับทหารไล่ตามเข้าไป หองจอจึงพาทหารหนีออกจากเมืองฮวนเสียไปเข้าเมืองเตงเซีย

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นดังนั้นจึงให้อุยกายกลับลงมารักษาเรือรบไว้ แล้วซุนเกี๋ยนก็รีบยกทหารตามหองจอไป

ฝ่ายหองจอเห็นซุนเกี๋ยนตามมาจะใกล้ถึงเชิงกำแพง ก็ยกทหารออกมาตั้งรับอยู่นอกประตูเมือง แลซุนเกี๋ยนกับซุนเซ็กผู้บุตรขี่ม้าตามกันขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหาร หองจอนั้นก็ขับม้าออกมายืนอยู่หน้าพลทั้งปวง แลทหารสองคนชื่อเตียเฮาชื่อตันเสง ตามออกมายืนอยู่ด้วย หองจอจึงร้องด่าซุนเกี๋ยนว่า มึงนี้อ้ายพวกโจรเมืองกังตั๋ง เปนไฉนจึงบังอาจรุกล่วงมาถึงแดนพระเจ้าฮั่นโกโจ มึงไม่กลัวตายหรือ แล้วใช้ให้เตียวเฮาขับม้าออกรบ ซุนเกี๋ยนให้ฮันต๋งออกรบด้วยเตียวเฮาได้สามสิบเพลง ตันเสงจึงขับม้าออกช่วยเตียวเฮา ซุนเซ็กเห็นดังนั้นจึงยิงด้วยเกาทัณฑ์ไปถูกหน้าผากตันเสงตกม้าตาย เตียวเฮาเห็นตันเสงตายก็สลดใจเสียทีฮันต๋งเอาง้าวฟันถูกเตียวเฮาตาย เทียเภาก็ขับม้าควบตรงเข้าไปจะจับหองจอ ๆ ตกใจถอดหมวกทิ้งเสีย แล้วโจนจากม้าหนีเข้าปลอมอยู่กับพวกทหาร ซุนเกี๋ยนก็คุมทหารทั้งปวงไล่ฟันทหารหองจอไปถึงตำบลฮั่นซุย หองจอหนีไปได้ ซุนเกี๋ยนจึงให้ทหารไปสั่งอุยกาย ให้คุมทหารเรือรบทั้งปวงขึ้นไปรับตำบลท่าฮั่นกั๋ง

ฝ่ายหองจอนั้นเสียทหารเปนอันมาก ก็รีบหนีไปถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงเอาเนื้อความไปบอกเล่าเปียว ๆ ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่เก๊งเหลียง ๆ จึงว่าซึ่งหองจอแตกมานั้น ฝ่ายทหารซุนเกี๋ยนก็มีใจกำเริบ ครั้นเราจะยกออกรบบัดนี้ก็เหมือนหนึ่งหักไฟหัวลม จำเราจะให้รักษาค่ายประตูหอรบไว้จงมั่นคงก่อน แล้วจึงให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาช่วย เห็นซุนเกี๋ยนจะไม่ทำสิ่งใดได้

ชัวมอจึงว่าซึ่งเก๊งเหลียงว่านั้นไม่ชอบ ด้วยทัพซุนเกี๋ยนยกมาจะใกล้ถึงกำแพงอยู่แล้ว ๆ จะให้ขึ้นรักษาหน้าที่อยู่ จะให้มีหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวช่วยนั้นเห็นไม่ทันที ข้าพเจ้าจะขออาสายกทหารออกไปตีทัพซุนเกี๋ยน เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ทหารให้หมื่นหนึ่ง ชัวมอก็คุมทหารไปถึงเขาฮีสัน แล้วจึงให้หยุดทัพตั้งมั่นไว้

ฝ่ายซุนเกี๋ยนมิได้รู้ว่าชัวมอมาตั้งอยู่ ก็ยกทหารรีบมาถึงเขาฮีสันข้างหนึ่ง ชัวมอรู้ก็ขี่ม้าถือง้าวขึ้นมายืนอยู่หน้าทหาร ซุนเกี๋ยนเห็นชัวมอมาตั้งอยู่ดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปจับชัวมอพี่ภรรยาเล่าเปียวมาให้เราได้

เทียเภาจึงรับอาสา แล้วขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยชัวมอได้สิบเพลง ชัวมอเห็นจะสู้มิได้ก็ขับม้าหนี ซุนเกี๋ยนคุมทหารไล่แทงฟันทหารชัวมอล้มตายเปนอันมาก แลชัวมอนั้นหนีเข้าในเมืองได้ จึงเอาเนื้อความแจ้งแก่เล่าเปียว เก๊งเหลียงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า เพราะท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจึงเสียทีแก่ข้าศึก ซึ่งชัวมอขันอาสาออกไปแล้วแตกเข้ามา ให้เสียทหารเปนอันมากนั้น ขอให้ตัดสีสะชัวมอเสียบไว้จึงจะควร เล่าเปียวได้ยินดังนั้นเพราะมีความรักนางชัวฮูหยินซึ่งเปนภรรยา ก็มีใจเมตตามิได้เอาโทษชัวมอ

ฝ่ายซุนเกี๋ยนจึงเกณฑ์ทหารทั้งปวงยกเข้าล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดธงชัยสำหรับทัพซุนเกี๋ยนหัก ฮันต๋งเห็นดังนั้นจึงว่าแก่ซุนเกี๋ยนว่า บัดนี้บังเกิดอัศจรรย์เปนลางในกองทัพเรา ธงชัยจึงหัก ครั้นจะตั้งล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้ฉนี้ เหตุใหญ่ก็จะมีแก่ท่านเปนมั่นคง ขอให้เลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง ภายหลังจึงจะค่อยคิดการสืบไป ซุนเกี๋ยนตอบว่าซึ่งเรายกมาทำการสงครามครั้งนี้ ก็มีชัยชนะเปนหลายครั้ง จวนจะได้เมืองเกงจิ๋วอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว ซึ่งท่านจะสงสัยว่าเกิดลมพัดมาธงชัยจึงหักไปนั้นไม่ชอบ แล้วก็เร่งให้ทหารทั้งปวงทำลายกำแพงเมืองเกงจิ๋วให้ได้แต่ในเวลาค่ำวันนี้ ครั้นเวลาค่ำเก๊งเหลียงเห็นดาวตกลงมา ก็ดูในตำราแจ้งแล้วจึงบอกแก่เล่าเปียวว่า ข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งเสร้าหมองตกลงมา ครั้นดูในตำราเห็นว่าจะมีอันตรายแก่ซุนเกี๋ยนเปนมั่นคง ขอให้เร่งแต่งหนังสือไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาตีซุนเกี๋ยนเปนทัพกระหนาบ เล่าเปียวจึงว่าซึ่งจะให้ไปขอกองทัพอ้วนเสี้ยวเราก็เห็นชอบด้วย แต่บัดนี้ทัพซุนเกี๋ยนล้อมเมืองอยู่ จะหาผู้ใดเข้มแขงจะได้ถือหนังสือรบหักกองทัพซุนเกี๋ยนออกไปได้

ลีก๋งทหารเล่าเปียวคนหนึ่งรับอาสา เก๊งเหลียงจึงตอบว่าซึ่งท่านจะอาสานั้นเราขอบใจนัก แต่ท่านจงทำตามคำเรา เราจะเกณฑ์ทหารถือเกาทัณฑ์ให้ไปด้วยห้าร้อย ถ้าท่านรบหักออกไปได้แล้ว จงจัดทหารสองร้อยให้รีบไปซุ่มอยู่ท้ายเขาฮีสันร้อยหนึ่ง ร้อยหนึ่งให้ขึ้นไปซุ่มอยู่เนินเขา เก็บเอาก้อนศิลาเตรียมไว้จงมาก ถ้ากองทัพซุนเกี๋ยนตามรบ ท่านกับทหารสามร้อยนั้นให้สู้พลางหนีพลาง กว่าจะถึงเขาฮีสัน ทหารสองกองซึ่งซุ่มอยู่บนเนินเขาแลป่าท้ายเขานั้นได้ยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อน ศิลาแล้วเมื่อใด ท่านจึงจุดประทัดใหญ่ขึ้นสามนัด เราได้ยินเสียงประทัดแล้วจะยกทหารออกตามตีกระหนาบไป ถ้าข้าศึกมิได้ติดตาม ท่านจงรีบเอาหนังสือไปให้แก่อ้วนเสี้ยวจงได้ แลในเวลากลางคืนวันนี้ก็เปนเดือนมืด ท่านจงคุมทหารรีบออกไป ลีก๋งก็รับคำเก๊งเหลียงแล้ว ลาเล่าเปียวคุมทหารถือเกาทัณฑ์ห้าร้อยเปิดประตูฝ่ายทิศตวันออก รบหักออกไป แล้วให้ทหารสองร้อยนั้นไปซุ่มอยู่เขาฮีสันเปนสองกองตามคำเก๊งเหลียงสั่ง

ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นทหารในเมืองยกหักออกไป จึงขึ้นม้าถือง้าวแล้วพาทหารซึ่งสนิธนั้นสามสิบม้ายกตามไป แลม้าซุนเกี๋ยนนั้นรีบไปทันม้าลีก๋งเข้าจึงร้องว่า มึงออกมาจากเมืองนี้จะหนีไปแห่งใด ลีก๋งได้ยินดังนั้นก็ชักม้ากลับหน้ามารบด้วยซุนเกี๋ยนได้ห้าเพลง แล้วขับม้าหนีไปทางที่ซุ่มทหารไว้สองกองนั้น ซุนเกี๋ยนก็ขับม้าตามไปถึงซอกเขา ครั้นไม่เห็นลีก๋งจึงชักม้ากลับหลังมาหาทหารสามสิบ พอได้ยินเสียงม้าฬ่อแลทหารบนเนินเขาก็ทิ้งก้อนศิลาลงมา ทหารซึ่งซุ่มอยู่ท้ายเขาก็ยิงเกาทัณฑ์ระดมไป แลซุนเกี๋ยนกับม้านั้นถูกเกาทัณฑ์แลก้อนศิลาโลหิตไหลลงโทรมกาย ทั้งม้าทั้งคนก็ถึงแก่ความตายในซอกเขา เมื่อซุนเกี๋ยนตายนั้นอายุได้สามสิบปี

ลีก๋งเห็นดังนั้น ก็ขับทหารทั้งปวงมาสกัดฆ่าทหารซุนเกี๋ยนเสียทั้งสามสิบคน แล้วให้จุดประทัดใหญ่สัญญาขึ้นสามนัด ฝ่ายเก๊งเหลียงได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็ให้เก๊งอวดหนึ่ง หองจอหนึ่ง ชัวมอหนึ่ง คุมทหารตีออกไปเปนสามด้าน แลทหารซุนเกี๋ยนมิทันรู้ก็แตกตื่นล้มตายเปนอันมาก

ฝ่ายอุยกายซึ่งอยู่รักษาเรือรบนั้น ครั้นได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึงก็คุมทหารขึ้นมาจะช่วยรบ พอมาพบหองจอเจ้าเมืองกังแฮก็เข้ารบกันได้หกเพลง อุยกายจับหองจอได้

ฝ่ายเทียเภาซุนเซ็กไปตามซุนเกี๋ยน พอมาพบลีก๋งกับเทียเภารบกันได้ห้าเพลง เทียเภาเอาทวนแทงถูกลีก๋งตกม้าตาย ในเวลากลางคืนนั้นทหารเล่าเปียวกับทหารซุนเกี๋ยนรบกันล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งลีก๋งคุมมานั้น ก็เอาศพซุนเกี๋ยนเข้าไปให้แก่เล่าเปียว ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารเล่าเปียวก็พากันกลับเข้าเมือง

ฝ่ายซุนเซ็กกับเทียเภาครั้นมิได้พบซุนเกี๋ยน แล้วก็พาทหารใหญ่น้อยซึ่งแตกตื่นนั้นไปตั้งอยู่ที่ตำบลฮั่นซุย ในขณะนั้นทหารเลวคนหนึ่งเอาเนื้อความมาบอกแก่ซุนเซ็กว่า ซุนเกี๋ยนผู้เปนบิดานั้นถูกเกาทัณฑ์ตายที่ซอกเขาฮีสัน ศพนั้นทหารเมืองเกงจิ๋วเอาเข้าไปให้แก่เล่าเปียวแล้ว

แลซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้รักบิดา ครั้นคลายโศกแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ศพบิดาเราอยู่ในเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเราจะละเสียมิรบเอาเมืองนี้ให้ได้ก็ดูเหมือนหามีกตัญญูต่อบิดาเราไม่ อุยกายจึงว่าข้าพเจ้าจับหองจอเจ้าเมืองกังแฮไว้ได้ จำจะแต่งคนเข้าไปว่าแก่เล่าเปียวให้ส่งศพบิดาท่านออกมา เราจะส่งหองจอไปให้แก่เล่าเปีย แลการซึ่งรบพุ่งกันนั้น ก็จะประนอมยอมเปนไมตรีกัน เราจึงจะยกกลับไปเมืองกังตั๋ง

ฮวนกายจึงว่าข้าพเจ้ากับเล่าเปียวได้รู้จักกันมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปว่าแก่เล่าเปียวตามคำอุยกาย ซุนเซ็กได้ฟังก็มีความยินดีนักจึงให้ฮวนกายไป แลฮวนกายจึงเข้าไปหาเล่าเปียว แล้วจึงบอกแก่เล่าเปียวว่า บัดนี้ซุนเซ็กจะไม่ทำการสงครามกับท่านสืบไป ขอเอาศพซุนเกี๋ยนซึ่งเปนบิดา ถ้าท่านยอมให้แล้วตัวหองจอซึ่งจับไว้ได้นั้นจะส่งเข้ามาให้ท่าน ซุนเซ็กก็จะเลิกทัพกลับไปเมือง เล่าเปียวจึงตอบว่าศพซุนเกี๋ยนซึ่งพวกทหารเอาเข้ามาให้เรานั้น เราให้ตกแต่งไว้ตามประเพณี ซึ่งซุนเซ็กให้มาว่านั้นเราก็จะยอม แต่สืบไปภายหน้าอย่าให้คิดล่วงเข้ามาทำอันตรายแก่เราเลย

เก๊งเหลียงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า ซึ่งท่านจะยอมให้ศพซุนเกี๋ยนไปนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แลซุนเกี๋ยนล่วงมาทำการครั้งนี้เพราะเปนคนใจหยาบช้าจึงถึงแก่ความตาย แลซุนเซ็กผู้บุตรนั้นก็ยังอ่อนความคิดอยู่ แลทหารทั้งปวงก็เห็นจะย่อท้อฝีมือทหารเรา ถ้าท่านฟัง ข้าพเจ้าจะคิดมิให้ทหารทั้งปวงเหลือกลับไปเมืองกังตั๋งได้แต่สักคนหนึ่งเลย ขอท่านให้จับฮวนกายฆ่าเสียเถิด แล้วยกทหารออกไปตี แลเมืองกังตั๋งนั้นก็จะได้เปนสิทธิแก่ท่าน ถ้าท่านมิฟังข้าพเจ้า แลจะให้ศพซุนเกี๋ยนไปนั้นเห็นจะมีอันตรายแก่ท่านเปนมั่นคง เล่าเปียวจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดดังนี้ก็จะมิเสียหองจอไปหรือ เก๊งเหลียงจึงว่า จะคิดการใหญ่เอาเมืองสิ จะเสียดายหองจอคนเดียวนี้ไม่ควร เล่าเปียวจึงตอบว่า หองจอกับเราได้รักใคร่ไว้ใจกันมาแต่ก่อน ครั้นเราจะทำดังนั้น ก็เหมือนหนึ่งแกล้งฆ่าหองจอเสีย ความซึ่งเราว่าไว้แต่ก่อนนั้นก็จะเสียวาจาไป แล้วเล่าเปียวจึงว่าแก่ฮวนกาย ให้เร่งกลับออกไปเถิด เวลาพรุ่งนี้ให้เอาตัวหองจอมาส่งให้เราที่ประตูเมือง เราจะส่งศพซุนเกี๋ยนไปให้ ฮวนกายก็เอาเนื้อความกลับไปบอกแก่ซุนเซ็ก ๆ ก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้ทหารทั้งปวงคุมเอาตัวหองจอไปส่งให้เล่าเปียวณประตู เมือง แล้วรับเอาศพซุนเกี๋ยนมาลงเรือยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จึงให้แต่งการศพไว้ตำบลขยกโอ๋ ในขณะนั้นซุนเซ็กได้เปนใหญ่ ชาวเมืองอยู่ในบังคับบัญชาทั้งสิ้น ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญากล้าหาญ ซุนเซ็กก็คำนับยำเยงเกลี้ยกล่อมเข้าไว้ด้วยเปนอันมาก


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 6

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnakREYzlkSXVBaVE/view?resourcekey=0-pxFS8H4Ye7hKu7XeXIcD_A



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #7 on: 21 December 2021, 19:54:31 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 7


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-7.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 7

เนื้อหา
ตั๋งโต๊ะสร้างเมืองอยู่ใหม่
อ้องอุ้นคิดกำจัดตั๋งโต๊ะ
เรื่องตั๋งโต๊ะกับนางเตียวเสี้ยน
ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะ

ฝ่าย ตั๋งโต๊ะรู้กิตติศัพท์ว่าซุนเกี๋ยนตายแล้วก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่ที่ปรึกษาว่า ซึ่งซุนเกี๋ยนตายเสียนั้นเราค่อยเบาใจมีความสุขขึ้น อุปมาเหมือนบ่งหนามออกจากอกเราได้เล่มหนึ่ง ทุกวันนี้ผู้ใดยังรู้ว่าอายุซุนเซ็กบุตรซุนเกี๋ยนอายุเท่าใด ลิยูจึงว่าซุนเซ็กนั้นอายุได้สิบห้าปี ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็เห็นว่ายังเด็กอยู่ มิได้มีสงสัยประการใด ในขณะนั้นตั๋งโต๊ะยิ่งทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งตัวให้คนทั้งปวงเรียกว่าซ่องฮู แปลว่าเปนบิดาเลี้ยงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าจะไปแห่งใดให้ตั้งกระบวรแห่อย่างพระมหากษัตริย์เสด็จ แล้วตั้งให้ตั๋งห้องผู้น้องเปนนายทหารกองนอก แต่บันดาแซ่ตั๋งนั้นเอามาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยสิ้น ตั๋งโต๊ะจึงเกณฑ์ไพร่ยี่สิบห้าหมื่นไปตั้งเมืองอยู่ ทางไกลเมืองเตียงฮันสองพันห้าร้อยเส้น กำแพงสูงเท่าเมืองหลวง มีตำหนักใหญ่น้อยหน้าหลัง คลังแลฉางเข้าปลาอาหารนั้นขนเข้าไว้สำหรับจะเลี้ยงทหารกำหนดได้ยี่สิบปี แลเงินทองในท้องพระคลัง กับส่วยสัดวัฒนานั้นเอามาไว้ในคลังเมืองใหม่ แล้วให้จัดหญิงรูปงามมาไว้ได้ประมาณแปดร้อยคน แลตั๋งโต๊ะนั้นเดือนหนึ่งบ้างยี่สิบวันบ้าง จึงขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงต้องมารับส่งถึงนอกประตูเมือง แลทางจะขึ้นไปเฝ้านั้นมีที่ประทับเปนหลายตำบล ในเมืองเตียงฮันนั้นก็มีที่อยู่แห่งหนึ่ง ครั้นอยู่มาวันหนึ่งตั๋งโต๊ะออกจากเฝ้าขุนนางทั้งปวงตามไปส่งถึงนอกประตู เมือง ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปกินโต๊ะณที่ประทับ

ในขณะนั้นหัวเมืองฝ่ายเหนือ บอกส่งคนเกลี้ยกล่อมมาประมาณห้าร้อย ตั๋งโต๊ะจึงให้ทหารเอาคนทั้งปวงมาตัดแขนตัดขาบ้าง ตัดหูตัดลิ้นบ้าง ให้ใส่กระทะเหล็กบ้าง คนทั้งปวงยังมิทันสิ้นใจก็เจ็บปวดร้องครางอื้ออึงไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นแลเห็นก็มีความสงสารนัก ลางคนตกใจจนตะเกียบพลัดตกบ้าง จอกสุราพลัดจากมือบ้าง เพราะมีความสังเวช แต่ตั๋งโต๊ะนั้นมิได้มีใจปราณี เสพย์สุราพลางดูพลางหัวเราะพลาง คนทั้งห้าร้อยนั้นก็ตายสิ้น ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนต่างก็ไป ตั๋งโต๊ะจึงลอบสั่งลิโป้ว่า เราจะให้หาขุนนางมากินโต๊ะพร้อมกันแล้วเจ้าจงเข้าไปกระซิบแก่เรา ๆ จะสั่งให้เอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะเข้ามา ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะพร้อมกันอยู่ ณ เมืองใหม่ ตั๋งโต๊ะก็นั่งเสพย์สุราอยู่ด้วย

ฝ่ายลิโป้จึงเข้าไปทำเปนกระซิบข้างหูตั๋งโต๊ะ ๆ ทำเปนหัวเราะแล้วว่า คิดอย่างนี้ดอกหรือเร่งเอาตัวมันไป ลิโป้ก็เข้าจับเอาตัวเตียวอุ๋นลากออกไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นมิได้แจ้งเนื้อความประการใด ต่างคนต่างนิ่งตลึงดูกันอยู่ ประเดี๋ยวหนึ่งเห็นลิโป้เอาสีสะเตียวอุ๋นใส่ตระบะเข้ามาให้ตั๋งโต๊ะดู ขุนนางทั้งปวงก็ยิ่งตกใจ ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะเตียวอุ๋นให้หนังสือลับไปถึงอ้วนสุดให้มาทำร้ายแก่ เรา มีผู้รู้จึงบอกหนังสือมา ลิโป้จึงมากระซิบบอกเรา ๆ จึงให้จับไปฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงมิได้ร่วมคิดด้วยมันก็อย่าได้เปนทุกข์ จงกินโต๊ะพูดกันเล่นให้สบาย ครั้นกินโต๊ะแล้วขุนนางทั้งปวงก็ลาไป

ฝ่ายอ้องอุ้นกลับมาถึงบ้านจึงคิดว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะให้หาไปกินโต๊ะแล้วเอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย เมื่อพิเคราะห์ดูนั้นไม่เห็นว่าเตียวอุ๋นจะคบคิดกับอ้วนสุดให้มาทำร้าย ซึ่งตั๋งโต๊ะคิดผูกพันธ์ทำทั้งนี้ เพราะจะทำอำนาจมิให้ขุนนางทั้งปวงคิดร้ายสืบไป แลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้ หาผู้ใดจะช่วยคิดล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ อ้องอุ้นคิดรำคาญใจนอนมิหลับ ครั้นเวลาดึกจึงถือไม้เท้าลงไปยืนพิงต้นไม้อยู่ ณ สวนดอกไม้ จึงแลขึ้นไปดูบนอากาศ เห็นดาวเดือนนั้นขุ่นมัวเสร้าหมอง จึงคิดว่าทุกวันนี้พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะ ตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นก็ทอดใจใหญ่แล้วร้องไห้

พอได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่ง ทอดใจใหญ่อยู่ตรงหน้านั้น อ้องอุ้นจึงเดิรเข้าไปดู เห็นนางเตียวเสียนคนขับร้องซึ่งอ้องอุ้นช่วยมาไว้แต่น้อย รูปงามขับร้องก็เพราะ อายุได้สิบหกปี อ้องอุ้นมีความเอ็นดูเลี้ยงไว้เปนบุตรเลี้ยง อ้องอุ้นจึงถามว่า เวลาดึกสงัดถึงเพียงนี้ยังมินอน ลงมาเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ แล้วทอดใจใหญ่ทุกข์ด้วยไม่เห็นชู้มาหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้มีชู้มาคอยกันหามิได้ ตัวข้าพเจ้าเปนทาสี ซึ่งท่านเลี้ยงข้าพเจ้าเปนบุตรมาแต่น้อยนั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า ถ้าท่านมีทุกข์สิ่งใดข้าพเจ้าจะสนองพระคุณท่าน ถึงมาทว่าชีวิตจะตายแลกระดูกจะแหลกเปนผงก็ดี ข้าพเจ้ามิได้เสียดายแก่ชีวิต เมื่อเวลากลางวันนั้นตั๋งโต๊ะเชิญท่านไปกินโต๊ะแล้วกลับมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านนั้นเศร้าหมองยิ่งกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีทุกข์สิ่งใดใหญ่หลวงอยู่ท่านจึงเปนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตามลงมาหวังจะใคร่รู้เหตุ แล้วจะได้คิดอ่านสนองคุณท่านไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็คิดว่า ครั้งนี้แผ่นดินเห็นจะค่อยมีความสุขเพราะเตียวเสียนเปนมั่นคง จึงพานางเตียวเสียนขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือนั้นเปนที่สงัด ให้นางเตียวเสียนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงลงจากเก้าอี้คำนับ แล้วเข้ากอดเอาเท้าอ้องอุ้นไว้ แล้วห้ามว่าท่านอย่าคำนับข้าพเจ้าผู้บุตรนี้ไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่าเราได้ยินเจ้าว่าทั้งนี้ก็มีความยินดีนักเราจึงคำนับเจ้า เจ้าจงมีใจเมตตาแก่พระมหากษัตริย์ แลอาณาประชาราษฎรด้วยเถิด ว่าเท่านั้นแล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากว่าจะเอาชีวิตแทนคุณท่าน เปนไฉนท่านมิบอกเหตุ ซึ่งจะมาร้องไห้อยู่ฉนี้ทุกข์ของท่านจะสำเร็จแล้วหรือ อ้องอุ้นจึงว่าทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น อุปมาดังฟองไก่อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรนั้น อุปมาดังอยากเยื่ออันใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้น จะชิงเอาราชสมบัติ หาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรเลี้ยงคนหนึ่งชื่อลิโป้ ๆ ก็มีฝีมือกล้าหาญ แลน้ำใจตั๋งโต๊ะนั้น มักยินดีด้วยสัตรีรูปงาม ถ้าเจ้าจะช่วยกู้แผ่นดินแล้ว พ่อจะคิดเปนกลอุบายจะยกเจ้าให้แก่ลิโป้ แล้วจึงจะไปบอกตั๋งโต๊ะให้มารับเจ้าไปเปนภรรยา เมื่อเจ้าไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนั้นจงลอบทำกลมารยาต่าง ๆ ให้ลิโป้มีความรักใคร่ในเจ้าแล้ว เจ้าจึงลอบบอกแก่ตั๋งโต๊ะด้วยกลมารยาความคิดเจ้า นานไปเห็นตั๋งโต๊ะกับลิโป้จะมีความสงสัยกินแหนงแก่กัน ลิโป้ก็จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เมื่อศัตรูราชสมบัติตายแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเปนสุขสืบไป ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากู้แผ่นดินก็จะมีชื่อปรากฎไปชั่วฟ้าชั่วดิน ซึ่งพ่อคิดทั้งนี้เจ้าจะยอมด้วยหรือประการใด

ฝ่ายนางเตียวเสียนจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากไว้ว่าจะสนองคุณท่าน อย่าว่าแต่จะเสียตัวเพียงนี้เลย ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ซึ่งท่านจะคิดประการใดนั้นก็ให้เร่งคิดเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้ไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดกลมารยาให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสียจงได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่า ถ้าเจ้าจะอาสาแผ่นดินแทนคุณพ่อแล้ว จะคิดการสิ่งใดให้ปิดป้องให้จงดี ถ้าเนื้อความแพร่งพราย ตัวเจ้ากับบิดาแลญาติก็จะพากันตายสิ้น นางเตียวเสียนจึงว่า ความทั้งนี้ถ้าข้าพเจ้าแพร่งพรายแก่ผู้ใด ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยอาวุธต่าง ๆ เถิด อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก

ครั้นเวลารุ่งเช้าอ้องอุ้นจึงจัดเพ็ชร์พลอยกับทองคำ แล้วหาช่างมาทำหมวกสำหรับลูกหลวงใส่ แล้วแต่งคนอันสนิธให้ลอบเอาออกไปให้เปนกำนัลแก่ลิโป้ ๆ เห็นหมวกอย่างลูกหลวงก็มีความยินดีนัก จึงลอบมาหาอ้องอุ้น ณ บ้าน

ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นเห็นลิโป้มาก็ออกไปรับเข้ามาในตึก อ้องอุ้นเชิญให้ลิโป้กินโต๊ะ ลิโป้กินโต๊ะแล้วตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนแต่นายทหารเอกของมหาอุปราช ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนไฉนท่านจึงให้เอาของดีไปให้ข้าพเจ้า แลนับถือข้าพเจ้าผู้น้อยไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้เราเลงดูในเมืองหลวง แลหัวเมืองทั้งปวงก็หาผู้ใดเข้มแขงกล้าหาญเสมอท่านมิได้ ซึ่งเราให้ของแลนับถือท่านทั้งนี้ ใช่จะให้ด้วยเกรงบรรดาศักดิ์นั้นหามิได้ เราให้เพราะรักฝีมือในการทหารท่าน ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก แล้วอ้องอุ้นรินสุราคำนับส่งให้แก่ลิโป้ จึงพูดจายกยอสรรเสริญตั๋งโต๊ะกับลิโป้เปนอันมาก แล้วให้ขับคนใช้ผู้ชายนั้นเสียสิ้น เอาแต่ผู้หญิงไว้ใช้สี่คน อ้องอุ้นจึงว่าแก่หญิงนั้นให้ไปเชิญนางเตียวเสียนออกมา หญิงคนใช้สองคนนั้นจึงเข้าไปประคองนางเตียวเสียนออกมา

ลิโป้เห็นนางเตียวเสียนรูปงาม จึงถามอ้องอุ้นว่าหญิงคนนี้เปนบุตรผู้ใด อ้องอุ้นจึงบอกว่า นางเตียวเสียนนี้เปนบุตรของเรา ทุกวันนี้เราได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะบุญของมหาอุปราชกับท่าน ๆ ก็มีความเมตตาแก่เราดังญาติพี่น้อง เราจึงให้หาออกมาหวังจะให้ท่านรู้จักไว้ แล้วอ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ลิโป้

ฝ่ายนางเตียวเสียนจึงรินสุราส่งให้ลิโป้ แล้วทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ อ้องอุ้นจึ่งทำเปนเมา แล้วว่าแก่นางเตียวเสียนว่า พ่อนี้ชราแล้วกำลังน้อยเสพย์สุราก็เมา เจ้าคำนับแทนพ่อเถิด

ลิโป้จึงเชิญให้นางเตียวเสียนนั่ง นางเตียวเสียนแกล้งทำละอายลิโป้มิได้นั่งลง จึงคำนับบิดาแล้วจะลาเข้าไปที่ข้างใน อ้องอุ้นจึงว่าลูกเอ๋ยอย่าอายเลย ลิโป้มีความเมตตาแก่เราดังญาติ จงนั่งลงคำนับรินสุราให้เถิด นางเตียวเสียนจึงนั่งลงข้างอ้องอุ้น แล้วรินสุราคำนับให้ลิโป้ทีไร ก็ชายหางตาให้สบตาลิโป้แล้วให้ที

ฝ่ายลิโป้รับจอกสุราทีไร ก็ชำเลืองไปต้องตานางเตียวเสียนทุกครั้ง ก็มีใจประวัติยินดีกับนางเตียวเสียนเปนอันมาก อ้องอุ้นเห็นกิริยาลิโป้พอใจนางเตียวเสียนแล้ว จึงว่าแก่ลิโป้ว่า ตัวเรานี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ก็จริงแต่ชราแล้ว อุปมาเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง บุตรของเราคนนี้จะยกให้เปนภรรยาน้อยท่าน จะได้ฝากผีแก่ท่านสืบไป ซึ่งเราว่าทั้งนี้ท่านจะเห็นประการใด ถ้าไม่ควรท่านอย่าถือโทษเลย ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับอ้องอุ้นแล้วจึงว่า ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้นั้นคุณหาที่สุดไม่ ถึงจะเปนประการใดข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงว่าบุตรเรานี้ก็ได้ให้เปนสิทธิ์แก่ท่านแล้ว แต่ว่างดอยู่ให้เราหาวันดีแล้วเมื่อใด จึงจะส่งบุตรเราให้เปนภรรยาท่าน ลิโป้จึงว่าตามเถิด แล้วลิโป้ลุกขึ้นทำจะลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นจึงยึดมือไว้ว่าอย่าเพ่อไป ใจเราจะใคร่เชิญให้ท่านอยู่นอนพูดกันเล่นก่อนแต่หากคิดเกรงมหาอุปราชอยู่ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ขอบคุณนัก วันนี้ข้าพเจ้ามีธุระอยู่ ต่อสบายวันอื่นจึงจะมาอยู่นอนด้วย แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไป

ครั้นเวลาเช้าอ้องอุ้นก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้เห็นลิโป้เข้ามาด้วยตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้ความสุข หาทุกข์ภัยอันตรายสิ่งใดมิได้ ก็เพราะบุญของท่านมหาอุปราชคุ้มครองอยู่ ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะทดแทนคุณท่านมิได้ เวลาวันนี้ขอเชิญท่านไปกินโต๊ะ ณ บ้านข้าพเจ้าให้สบายใจ ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ ถ้าไม่ควรก็ขอท่านอย่าได้เอาโทษแก่ข้าพเจ้าเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้น มิได้รู้กลก็มีความยินดีนัก จึงตอบว่าซึ่งท่านนับถือเรา จะให้เราไปกินโต๊ะ ณ บ้านนั้นก็ขอบใจท่าน เวลากลางวันนี้เราจะไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลาตั๋งโต๊ะกลับไป จึงให้แต่งที่กับโต๊ะเตรียมไว้

ครั้นเวลาเที่ยงตั๋งโต๊ะออกจากเฝ้า จึงขึ้นรถแล้วให้ทหารทั้งปวงแห่เปนกระบวรไป ณ บ้านอ้องอุ้น ๆ รู้ก็ออกมาคำนับถึงนอกบ้าน แล้วเชิญตั๋งโต๊ะขึ้นไปยังที่แต่งไว้ อ้องอุ้นก็คุกเข่าคำนับอยู่ แล้วรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ ๆ รับจอกสุรามากินแล้วว่า ท่านอย่าคุกเข่าคำนับเลย จงนั่งให้เปนสุขเถิด อ้องอุ้นทำทีอ่อนง้อแล้วพูดจาสรรเสริญตั๋งโต๊ะเปนอันมาก ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้น เสพย์สุราพลาง ก็มีความยินดีนัก แลตั๋งโต๊ะนั้นกินโต๊ะอยู่กับอ้องอุ้นจนเวลาเย็น แล้วอ้องอุ้นจึงเชิญตั๋งโต๊ะให้เข้าไปนั่งเล่นที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะมิได้มีความสงสัยแก่อ้องอุ้น จึงขับทหารทั้งปวงลงไปเสียแผ่นดิน แล้วตั๋งโต๊ะก็เข้าไปที่ข้างใน

อ้องอุ้นจึงว่าเมื่ออายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้าปีนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนดูดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ แลดาวประจำเมืองกับดาวบริวารทั้งปวงนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์นั้นเสร้าหมอง แลดาวมหาอุปราชนั้นมีรัศมีรุ่งเรือง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้จะดับสูญ ราชสมบัตินั้นจะได้แก่ท่านเปนอันมั่นคง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงถามว่าเรานี้จะถึงเศวตฉัตรเจียวหรือ เรายังไม่เห็นด้วย อ้องอุ้นจึงตอบว่าอันอย่างธรรมเนียมโบราณ ถ้าผู้ใดหาบุญแลสติปัญญามิได้ ก็ย่อมแพ้แก่ผู้มีบุญแลปัญญาความคิด ข้าพเจ้าเห็นดังนี้ ไฉนท่านจึงว่าไม่เห็นด้วย

ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วตอบว่า ถ้าเราได้ราชสมบัติเหมือนคำท่าน เราจะตั้งท่านให้เปนมหาอุปราช เปนบำเหน็จปากซึ่งท่านทำนายนั้น อ้องอุ้นก็ทำยินดี ครั้นเวลาพลบก็ให้จุดเทียนชวาลา แล้วยกโต๊ะมาจึงรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ แล้วเรียกนางมะโหรีแลนางรำออกมา ให้นางเตียวเสียนรำบำเรอตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นนางเตียวเสียนนั้นรูปงามรำก็ดี จึงเรียกเข้ามาแล้วถามอ้องอุ้นว่านางนี้ชื่อไร อ้องอุ้นบอกว่าชื่อนางเตียวเสียน ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้แต่น้อย ตั๋งโต๊ะจึงถามว่าขับได้หรือไม่ อ้องอุ้นบอกว่าขับก็เพราะ แล้วให้นางเตียวเสียนขับให้ตั๋งโต๊ะฟัง นางเตียวเสียนก็ขับเปนเพลงว่า หญิงรูปงามขับเสียงเพราะ ลิ้นจี่แต้มริมฝีปากชูสีขึ้น แลหยกสองอันถึงมาทว่าไม่แกะเปนรูปสิ่งใดก็แอบเนื้อเย็นใจ พริกไทยนั้นเมล็ดเล็กก็จริง ถ้าลิ้มเข้าไปถึงลิ้นแล้วจะมีพิษเผ็ดร้อน ตั๋งโต๊ะได้ฟังนางเตียวเสียนขับมิทันสังเกตในกลสตรีซึ่งขับนั้นก็ชมว่าเพราะ

อ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ตั๋งโต๊ะ ๆ จึงถามว่าเจ้านี้อายุได้เท่าใด นางเตียวเสียนบอกว่าอายุข้าพเจ้าได้สิบหกปี ตั๋งโต๊ะเห็นรูปนางเตียวเสียนงาม ทั้งเสียงก็เพราะ ก็มีใจประวัติยินดี ตั๋งโต๊ะยิ้มแล้วจึงว่าเจ้านี้รูปงามดังนางฟ้าหาผู้เสมอมิได้ นางเตียวเสียนได้ยินก็ทำทีให้ตั๋งโต๊ะยวนใจ อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงคุกเข่าคำนับตั๋งโต๊ะ แล้วว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะบุญท่าน ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะสนองคุณมิได้ แลนางเตียวเสียนนี้ข้าพเจ้าได้เลี้ยงมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะยกให้แก่ท่านเปนสิทธิ์ ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงตอบว่าซึ่งท่านมีน้ำใจยกนางเตียวเสียนให้แก่เรานั้น เราจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงให้จัดแจงเข้าของเสื้อผ้าอย่างดี ให้นางเตียวเสียนเปนอันมาก แล้วให้นางเตียวเสียนขี่เกี้ยว เกณฑ์ผู้คนทั้งปวงให้ไปส่งณที่อยู่ตั๋งโต๊ะในเมืองหลวงในเวลากลางคืนนั้น

ตั๋งโต๊ะครั้นเห็นอ้องอุ้นแต่งให้คนไปส่งนางเตียวเสียน แล้วตั๋งโต๊ะก็ลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงที่อยู่ แล้วก็ลากลับมาถึงกลางทาง พอพบลิโป้ขี่ม้าถือทวนมา ลิโป้จึงยุดเอาชายเสื้ออ้องอุ้นแล้วถามว่า นางเตียวเสียนนั้นตัวยกให้เปนภรรยาเราแล้ว เปนไฉนจึงส่งตัวไปให้ตั๋งโต๊ะเล่า แลตัวทำดังนี้ลวงเราหรือประการใด

อ้องอุ้นจึงตอบว่าที่นี่เปนกลางทางอยู่ ครั้นจะบอกเนื้อความก็ไม่ควร เชิญท่านไปบ้านข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความทั้งปวงให้แจ้ง ลิโป้ก็ตามมา ณ บ้านอ้องอุ้น ๆ จึงพาลิโป้ขึ้นไปบนตึก แล้วแต่งกลแก้ว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธเราเลย เราจะเล่าเนื้อความให้ท่านแจ้ง เวลาวานนี้เราเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฝ่ายมหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่า มีกังวลเวลากลางวันจะมาหาเรา ๆ จึงแต่งที่แลโต๊ะไว้รับ ครั้นมหาอุปราชมาถึงจึงถามเราว่า มีผู้บอกเนื้อความว่าเรายกนางเตียวเสียนผู้บุตรให้แก่ลิโป้ มหาอุปราชมีความยินดีนัก จึงมาว่ากล่าวขอเราต่อปากว่าจะให้ท่าน เราก็รับว่าจริง มหาอุปราชว่าจะขอดูตัว เราจึงให้นางเตียวเสียนออกมาคำนับ มหาอุปราชจึงว่าซึ่งยกนางนี้ให้เปนภรรยาลิโป้ผู้บุตรนั้น มหาอุปราชมีความยินดีด้วย มหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่าฤกษ์ดีแล้ว จะรับนางไปแต่งงารกับลิโป้ผู้บุตรให้อยู่กินด้วยกันตามประเพณี ซึ่งมหาอุปราชว่าทั้งนี้ท่านคิดดูเถิด เราเปนผู้น้อยจะอาจขัดได้หรือ เราจึงส่งบุตรให้ไป

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าโกรธท่านนั้นผิดอยู่ ข้าพเจ้าขออภัยเถิด แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไปในเวลากลางคืนนั้น ลิโป้มาถึงบ้านคอยตรับฟังกิตติศัพท์ผู้คนพูดจา ซึ่งตั๋งโต๊ะจะแต่งนางเตียวเสียนนั้นก็เงียบอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าลิโป้จึงเดิรขึ้นไปบนตึกตั๋งโต๊ะ แล้วถามหญิงคนใช้ว่ามหาอุปราชไปไหน หญิงนั้นจึงบอกว่าท่านไม่รู้หรือคืนนี้มหาอุปราชได้หญิงรูปงามมา บัดนี้ยังนอนหลับอยู่ ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงค่อยเดิรเข้าไปข้างผนังตึกคอยแอบฟังอยู่ แลนางเตียวเสียนนั้นตื่นก่อนตั๋งโต๊ะ ลุกขึ้นล้างหน้าอยู่ พอแลเห็นเงาเข้ามาตรงหน้าต่างก็เยี่ยมออกไปเห็นลิโป้ นางเตียวเสียนทำเปนร้องไห้ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้านั้นเช็ดน้ำตา ลิโป้เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีน้ำใจโกรธตั๋งโต๊ะ จึงเดิรกลับออกไป

ครั้นตั๋งโต๊ะตื่นขึ้นจึงออกมาที่ข้างหน้า ลิโป้ก็กลับขึ้นไป ตั๋งโต๊ะจึงถามลิโป้ว่าวันนี้มีราชการสิ่งใดบ้าง ลิโป้จึงบอกด้วยเสียงอันดังว่า หามีราชการสิ่งใดไม่ ตั๋งโต๊ะก็นิ่งกินอาหารอยู่ ลิโป้ก็เข้าไปยืนอยู่ข้างหลังตั๋งโต๊ะตามเคย แลนางเตียวเสียนนั้นเผยมุลี่ขึ้นเยี่ยมหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง ทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ ๆ แลไปเห็นนางเตียวเสียนก็ยิ่งมีความรักขึ้นเปนอันมาก

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเหลือบไปเห็นลิโป้ดูนางเตียวเสียนไปเปนทีดังนั้น ตั๋งโต๊ะก็มีความหึงสา จึงว่าแก่ลิโป้ว่า วันนี้ไม่มีราชการสิ่งใดแล้วจะไปบ้านก็ไปเถิด ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงแลไปดูนางเตียวเสียนก็ทอดใจใหญ่ แล้วกลับไปบ้าน เมื่อตั๋งโต๊ะได้นางเตียวเสียนมาไว้นั้น มีความรักใคร่ลุ่มหลงไป ไม่ได้ออกว่าราชการกำหนดได้ถึงเดือนเศษ ครั้นตั๋งโต๊ะป่วยลงแล้ว นางเตียวเสียนนั้นแสร้งอุตส่าห์กระทำรักษาพยาบาลปรนนิบัติตั๋งโต๊ะมิให้ อนาทรร้อนใจ ตั๋งโต๊ะก็มีความรักนางเตียวเสียนเปนอันมาก

ครั้นเวลาวันหนึ่งลิโป้เข้าไปเยี่ยมถึงที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะนั้นนอนหลับอยู่ นางเตียวเสียนเห็นลิโป้เข้ามา จึงเอนตัวออกไปข้างหลังมุ้ง แล้วทำเปนกลมารยาเอามือชี้ไปตรงตั๋งโต๊ะ แล้วชี้เข้าที่อกของตัว จึงทำเปนร้องไห้ ลิโป้แจ้งในกิริยาซึ่งนางเตียวเสียนทำนั้น ก็ยิ่งมีความเสน่หาอาลัยขึ้นเปนอันมาก

ฝ่ายตั๋งโต๊ะตื่นขึ้น เห็นลิโป้เข้ามาแลไปดูข้างหลังมุ้งมิได้พริบตา จึงชะโงกไปดูเห็นนางเตียวเสียนยืนดูอยู่ข้างหลังมุ้ง ตั๋งโต๊ะโกรธจึงร้องตวาดว่า อ้ายลิโป้นี้เสียแรงกูไว้ใจรักดังบุตรไปอุทร บังอาจหยอกเมียกูได้ แล้วให้หญิงคนใช้ขับลิโป้ลงไปเสีย ว่าแต่นี้สืบไปอย่าให้เข้ามาที่ข้างใน ลิโป้นั้นได้ความอัปยศน้อยใจก็เดิรออกไปจากบ้านตั๋งโต๊ะ ครั้นมาถึงกลางทางพอพบลิยู ลิโป้จึงเอาเนื้อความซึ่งตั๋งโต๊ะด่าว่านั้นเล่าให้ลิยูฟังแล้วก็ไปบ้าน ลิยูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงรีบเข้ามาว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านสิจะคิดการใหญ่ เปนไฉนมาขัดเคืองกับลิโป้ด้วยความมโนสาเร่เล่า ถ้าลิโป้เอาใจออกหาก ท่านก็จะหวังเอาผู้ใดเปนกำลังสืบไปเล่า ตั๋งโต๊ะได้ยินลิยูว่าก็สดุ้งใจ จึงว่าซึ่งลิโป้โกรธเรานั้นท่านจะให้เราคิดประการใดดี ลิยูจึงว่าขอให้ท่านหาตัวลิโป้มา จึงเอาเงินทองของดีทั้งปวงให้ แล้วว่ากล่าวปลอบโยนสมัคสมานเสีย เห็นลิโป้จะมีใจปรกติไปแก่ท่าน ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย

ครั้นรุ่งเช้าขึ้นจึงให้คนใช้ไปหาตัวลิโป้มา แล้วว่าเวลาวานนี้เราป่วยอยู่ให้ร้อนรนในใจ ซึ่งเราได้ว่ากล่าวแก่เจ้าทั้งนั้นอย่าถือโทษเราเลย แล้วตั๋งโต๊ะเอาทองคำสิบชั่ง แพรอย่างดียี่สิบไม้ให้แก่ลิโป้ ๆ ก็คำนับแล้วรับเอาทองกับแพรไว้ แต่นั้นมาลิโป้ก็ไปหาสู่ตั๋งโต๊ะอยู่ตามเคย แต่ใจนั้นระลึกถึงนางเตียวเสียนอยู่มิได้ขาด ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะคลายป่วยแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ลิโป้นั้นก็ถือทวนขี่ม้าตามเข้าไปด้วย ในขณะเมื่อตั๋งโต๊ะยังเฝ้าอยู่นั้น ลิโป้จึงขึ้นม้าควบกลับมา ณ บ้านตั๋งโต๊ะ เอาม้าผูกไว้หน้าตึกแล้วถือทวนเข้าไปหานางเตียวเสียนที่ข้างใน นางเตียวเสียนเห็นลิโป้มาก็ทำเปนมีใจยินดีคำนับแล้วจึงว่า ถ้าจะพูดกันที่นี่เกลือกว่าตั๋งโต๊ะมาพบก็จะแก้ตัวยาก ท่านจงลงไปคอยข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่นั่งเย็นในสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าจะลงไปตาม ลิโป้ก็ลงไปคอยอยู่ตามสัญญา

ฝ่ายนางเตียวเสียนก็ลงไปตามลิโป้ ครั้นขึ้นไปบนที่นั่งเย็นปากสระแลในตานั้นชำเลืองแลดูต้นทางซึ่งตั๋งโต๊ะจะ มานั้น แล้วก็ทำกลอุบายเข้ากอดเอาเท้าลิโป้ไว้ แล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าเปนบุตรเลี้ยงอ้องอุ้น ๆ รักข้าพเจ้าเหมือนหนึ่งบุตรในอุทร จึงยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาท่าน ข้าพเจ้าก็มีความยินดีด้วย แลมหาอุปราชไปรับข้าพเจ้ามาว่าจะแต่งการให้อยู่เปนภรรยาท่าน ครั้นมาถึงที่อยู่มหาอุปราชมิได้ทำตามคำว่า ทำข่มเหงข้าพเจ้าทั้งนี้ แลในอกข้าพเจ้านี้กรมเปนหนองอยู่ ได้ประมาณเดือนเศษมาแล้ว คิดว่าจะกลั้นใจตายเสียก็ยังมิได้ลาแลแจ้งความทุกข์แก่ท่าน ชีวิตจึงยังคงอยู่ วันนี้ข้าพเจ้าได้กราบลาแลแจ้งความทุกข์ในอกแล้วก็จะลาตายไปให้พ้นความระกำ ใจ ต่อหน้าท่านให้เห็นความสัตย์ข้าพเจ้า ว่าแล้วก็ทำเปนปีนฝากรงที่นั่งเย็นขึ้นไปจะโจนน้ำตาย ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงเข้าอุ้มเอานางเตียวเสียนไว้ ลิโป้ร้องไห้แล้วว่า อันความสัตย์แลความรักของเจ้านั้น เราเห็นประจักษ์อยู่ แต่หากว่ามีที่กีดขวาง เราทั้งสองจึงมิได้ปรับทุกข์กัน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ซึ่งจะทรมานในชาตินี้ ก็ยิ่งได้ความลำบากนัก เพราะเจ้ากรรมมาตามทัน ชาตินี้บุญน้อยแล้วมิได้อยู่ปรนนิบัติท่านผู้เปนสามี ข้าพเจ้าจะขอตายไปให้พ้นความเวทนา เกิดมาชาติหน้าข้าพเจ้าจะขอเปนภรรยาท่าน จะปรนนิบัติรักษาท่านตามความปราถนาข้าพเจ้า ลิโป้จึงปลอบว่าเจ้าจะมาด่วนตีตนตายไปก่อนไข้นั้นไม่ควร จงฟังคำเราว่าเถิด ในชาตินี้ถ้าเรามิได้เจ้ามาเปนภรรยา เราก็ไม่ขออยู่เปนชายสืบไปเลย นางเตียวเสียนจึงตอบว่า แต่ข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมานมานี้ถึงเดือนเศษแล้ว แลความระกำใจในอกวันหนึ่งนั้นอุปมาช้าเหมือนกึ่งขวบปี ถ้าท่านเมตตาจะเลี้ยงข้าพเจ้าเปนภรรยาอยู่ จะคิดผ่อนผันประการใด ก็ขอให้ท่านเร่งคิด ลิโป้จึงตอบว่าเราตามตั๋งโต๊ะเข้าไปในวัง ครั้นเห็นได้ทีจึงกลับออกมาหาเจ้า มิได้บอกตั๋งโต๊ะว่าจะไปแห่งใด เกลือกตั๋งโต๊ะไม่เห็นจะมีความสงสัยเรา ๆ จะลาเจ้ารีบกลับไปก่อน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ถ้าท่านกลัวอ้ายศัตรูเฒ่าอยู่ฉนี้ ท่านจะไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าสืบไปแล้ว

ลิโป้จึงว่าของดให้เราไปตรึกตรองการก่อน นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นจึงแกล้งว่า ข้าพเจ้าได้ยินลือชาปรากฎแต่ชื่อท่านดังเสียงฟ้า ข้าพเจ้าเอามือปิดหูไว้ด้วยกลัวอำนาจ ว่าเข้มแข็งกล้าหาญในการสงครามหาผู้ใดเสมอมิได้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นแลฟังวาจาของท่านนั้นไม่สมกับคำลือ เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นว่าท่านกลัวอำนาจตั๋งโต๊ะเปนอันมากอยู่ฉนี้ เห็นจะคิดการไปมิตลอดแล้ว แลนางเตียวเสียนก็ทำเปนร้องไห้ ปลิดมือลิโป้เสียจะโจนน้ำตาย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นมีความลอายใจนัก จึงเอาทวนพิงไว้กับฝากรง แล้วปลอบโยนเล้าโลมนางเตียวเสียนอยู่เปนช้านาน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเมื่อเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นั้น เหลียวดูไม่เห็นลิโป้ก็คิดกริ่งใจ พอเสด็จเข้าตั๋งโต๊ะก็รีบมา ณ บ้าน เห็นม้าลิโป้ผูกอยู่หน้าตึก ก็ขึ้นไปบนตึกมิได้เห็นลิโป้ จึงเดิรเข้าไปที่ข้างในมิได้เห็นนางเตียวเสียน จึงถามหญิงทั้งปวง ๆ บอกว่านางเตียวเสียนลงไปชมสวนดอกไม้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยิ่งสดุ้งใจคิดว่าชรอยอ้ายลิโป้มาอยู่นั่นด้วย ก็ตามลงไปถึงประตูสวน

ฝ่ายนางเตียวเสียนเหลือบเห็นตั๋งโต๊ะมาก็ทำทีจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็เข้าอุ้มไว้ ครั้นตั๋งโต๊ะมาถึงที่นั่งเย็นแลเห็นลิโป้เข้าอุ้มนางเตียวเสียน ๆ ดิ้นปลิดมือลิโป้อยู่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมิได้รู้กลมารยาแห่งสัตรีก็มีใจโกรธลิโป้เปนอันมาก จึงร้องตวาดด้วยเสียงว่าเหม่อ้ายลิโป้

ฝ่ายลิโป้เหลียวมาเห็นตั๋งโต๊ะก็กลัว ไม่ทันฉวยเอาทวนก็โดดลงวิ่งหนีไป แลตั๋งโต๊ะฉวยเอาทวนของลิโป้ซึ่งพิงอยู่นั้นไล่ตามไป จึงเอาทวนนั้นพุ่งลิโป้ก็มิได้ถูก แลลิโป้นั้นวิ่งหนีออกนอกประตูสวนได้ ตั๋งโต๊ะวิ่งไปฉวยเอาทวนได้แล้วไล่ตามไปถึงประตูสวนดอกไม้ แลลิยูนั้นรู้จะเข้าไปห้ามก็วิ่งมาโดน ตั๋งโต๊ะล้ม ลิยูก็เข้าประคองเอาตั๋งโต๊ะขึ้นไปบนตึก ตั๋งโต๊ะจึงถามลิยูว่าท่านวิ่งเข้ามานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ลิยูตอบว่าข้าพเจ้าตามท่านออกมาจากเฝ้า มาถึงประตูตึกจะลากลับไปบ้าน พอไปถึงประตูท้ายสวน เห็นลิโป้วิ่งร้องออกมาว่ามหาอุปราชจะฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจึงวิ่งเข้ามาหวังว่าจะห้ามท่าน พอโดนท่านเข้านั้น ข้าพเจ้าขออภัยเถิด ตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่ลิยูว่า ลิโป้นั้นเปนคนหามีกตัญญูไม่ เสียแรงเราเลี้ยงเปนบุตร ควรหรือมาทำหยาบช้าแก่นางเตียวเสียนซึ่งเปนภรรยาเรา เราจำจะฆ่าลิโป้เสียจึงจะหายความแค้น ลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านจะฆ่าลิโป้เสียนั้นข้าพเจ้านี้เห็นมิบังควร ข้าพเจ้าจะเปรียบเนื้อความให้ท่านฟังข้อหนึ่ง ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองฌ้อซ้องอ๋อง รู้ข่าวว่าเจ้าเมืองหนึ่งมีลูกสาวรูปงามจึงให้คนไปขอ เจ้าเมืองนั้นมิยอมให้ ฌ้อซ้องอ๋องก็โกรธ จึงให้เจียวหยองทหารเอกคุมทหารไปตีเมืองนั้นได้ เจียวหยองจึงเอาลูกสาวมาถวายแก่ฌ้อซ้องอ๋อง ๆ จึงว่าแก่เจียวหยองว่าท่านมีความชอบไปตีเมืองได้จะเอานางมาให้แก่เรานั้นเรา หายินดีไม่ ควรท่านจะเอาไว้เปนภรรยาเถิด ฌ้อซ้องอ๋องก็ยกนางนั้นให้แก่เจียวหยองตามมีความชอบ เจียวหยองก็มีความยินดีคิดกตัญญูต่อฌ้อซ้องอ๋อง

ครั้นอยู่มามีศึกมาล้อมเมืองไว้เปนสามารถ หาผู้ใดจะรับอาสาออกรบด้วยข้าศึกมิได้ เจียวหยองมีความภักดีต่อฌ้อซ้องอ๋องรับอาสาออกตีข้าศึกแตกไป[๑] แลลิโป้เปนทหารเอก แล้วท่านก็เลี้ยงเปนบุตรไว้เนื้อเชื่อใจอยู่ ควรที่จะบำรุงน้ำใจลิโป้ไว้ แลท่านจะมาเห็นแก่หญิงคนเดียวนี้ด้วยอันใด ขอให้ยกนางเตียวเสียนให้เปนภรรยาลิโป้จึงจะควร ลิโป้ก็จะมีใจภักดีไปต่อท่าน ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่งดให้เราตรึกตรองดูก่อน ลิยูก็กลับไปบ้าน

ขณะเมื่อตั๋งโต๊ะกับลิยูว่ากันนั้น นางเตียวเสียนก็มาแอบฟังอยู่ที่ข้างใน ครั้นลิยูกลับไปแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงเข้าไปถามนางเตียวเสียนว่า ตัวกับลิโป้เปนชู้กันหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ทำเปนร้องไห้แล้วบอกว่า เวลาวันนี้ข้าพเจ้าลงไปชมสวนดอกไม้ ลิโป้ลอบเข้ามาข้างใน ข้าพเจ้ามิได้แจ้ง ต่อลิโป้มาใกล้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าถือทวนเข้ามาด้วย ข้าพเจ้ากลัวเข้าแอบที่นั่งเย็น ครั้นลิโป้เห็นจึงว่าแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าเปนบุตรมหาอุปราช ตัวท่านก็เปนภรรยามหาอุปราช จะกลัวข้าใย แล้วลิโป้ก็พูดเกี้ยวพานเปนข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าด่าว่าก็มิฟัง ขืนจะมาต้องตัวข้าพเจ้า ๆ โกรธจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็ยุดตัวข้าพเจ้าไว้ พอท่านมาถึงเข้า หาไม่ลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าได้ แลลิโป้ทำทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นแล้วจึงตอบว่า ลิโป้นั้นมีความรักเจ้าเปนอันมากนัก เราจะยกเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ตามความปราถนา นางเตียวเสียนได้ฟังทำตกใจร้องไห้แล้วว่า ข้าพเจ้าเปนผู้หญิงอุตส่าห์รักษาตัวมาจนได้เปนภรรยามหาอุปราช ข้าพเจ้าก็เหมือนมารดาลิโป้ แลท่านจะยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ผู้บุตรท่านข้าพเจ้าไม่ยอม อุปมาเหมือนท่านเขียนรูปนกยูงแล้วเอาหมึกมาทาให้ดำเสียสีไปฉนี้ ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก ซึ่งจะครองชีวิตอยู่ดูหน้าคนสืบไปนั้นไม่ได้ แล้วก็ทำเปนลุกขึ้นชักเอากระบี่ซึ่งแขวนอยู่นั้นมาจะเชือดคอตาย

ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าชิงเอากระบี่ไว้แล้วก็ปลอบว่า ซึ่งเราว่าทั้งนี้เปนคำหยอกเจ้าเล่นดอก นางเตียวเสียนจึงซบหน้าลงกับตักตั๋งโต๊ะแล้วทำเปนร้องไห้ว่า อันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะลิยูมีความรักลิโป้ จึงคิดอ่านให้ท่านยกข้าพเจ้าให้เปนภรรยาลิโป้ เห็นว่าลิยูหามีความรักท่านแลเอ็นดูข้าพเจ้าไม่ ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าถึงลิยูจะว่าประการใดเราก็มิได้ฟังคำ แล้วนางเตียวเสียนจึงว่า ซึ่งจะอยู่ในที่นี้สืบไปนั้นเห็นว่าลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าเปนมั่นคง ข้าพเจ้าก็จะซ้ำได้ความอายยิ่งกว่าแต่ก่อน ขอท่านยกออกไปอยู่ ณ เมืองใหม่ ข้าพเจ้าจึงจะพ้นภัย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงว่าพรุ่งนี้เราจะยกไป

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิยูเข้าไปว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า วันนี้ดีแล้วท่านจะยกนางเตียวเสียนให้เปนภรรยาลิโป้ก็ให้เร่งทำการตามฤกษ์ดี เถิด ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่าลิโป้เปนบุตรของเรา นางเตียวเสียนก็ได้เปนภรรยาเราแล้ว แลซึ่งจะยกให้เปนภรรยาลิโป้นั้นผิดอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ซึ่งลิโป้ได้เกี้ยวพาลเย้าหยอกนางเตียวเสียนได้ความลอายนัก เราก็ยกโทษให้เสียแล้ว แลเนื้อความทั้งนี้ท่านจงออกไปบอกลิโป้ให้แจ้งเถิด ลิยูจึงตอบว่าซึ่งท่านมิฟังคำข้าพเจ้า แลการซึ่งคิดไว้นั้นเห็นจะเสียท่วงทีเพราะหญิงคนนี้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งท่านจะขืนให้เราเอาภรรยายกให้แก่ลิโป้นั้น เราไม่ฟังคำท่านแล้ว ถ้าท่านมีใจรักลิโป้อยู่ จงเอาภรรยาท่านมายกให้แก่ลิโป้เองเถิด แต่นี้สืบไปอย่าให้ผู้ใดเอาเนื้อความข้อนี้มาซ้ำว่าฉนี้อีก ถ้าผู้ใดมิฟังเราจะตัดสีสะเสีย ลิยูได้ยินดังนั้นจึงลาลุกเดิรออกมาแล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงซึ่งมาหาตั๋งโต๊ะ อยู่นั้นว่า เราท่านทั้งนี้จะพากันฉิบหายเพราะอีเตียวเสียนคนนี้เปนมั่นคง ว่าแล้วลิยูก็กลับไปบ้าน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะก็ให้จัดแจงทหาร แล้วพานางเตียวเสียนขึ้นรถไปอยู่เมืองใหม่ แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงนอกประตูเมือง แลนางเตียวเสียนนั้นแลไปเห็นลิโป้ยืนอยู่กับเหล่าขุนนาง ก็แสร้งแลไปให้สบตาลิโป้ แล้วทำกิริยาเปนโศกเศร้า ลิโป้เห็นดังนั้นก็มีความทุกข์ยืนดูตลึงไปจนลับตาแล้วทอดใจใหญ่ อ้องอุ้นเห็นจึงเข้ายุดมือลิโป้ไว้แล้วถามว่ามหาอุปราชออกไปแล้ว ตัวท่านนี้มีกังวลสิ่งใดท่านจึงไม่ไปตาม แล้วอ้องอุ้นบอกว่าเรานี้ป่วยอยู่เปนหลายวัน มิได้มาหามหาอุปราชแล้วมิได้พบท่าน วันนี้เรารู้ข่าวว่ามหาอุปราชจะกลับออกมาอยู่เมืองใหม่ เราจึงอุตส่าห์ออกมาส่ง แลเราเห็นท่านไม่สู้สบายนั้นมีทุกข์สิ่งใดหรือ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งมีเหตุได้ทุกข์ร้อนทั้งนี้ก็เพราะนางเตียวเสียนบุตรของท่าน อ้องอุ้นทำอุบายถามว่า ตั๋งโต๊ะยังไม่แต่งงารให้ท่านอยู่กับนางเตียวเสียนหรือ ลิโป้จึงตอบว่าตั๋งโต๊ะมิได้ให้แก่เรา มันเอาไว้เปนภรรยามันแล้ว อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำตกใจ แล้วจึงตอบว่าซึ่งท่านว่านี้เราไม่เห็นจริง มหาอุปราชหรือจะเปนดังนั้น ลิโป้จึงเอาเนื้อความแต่หลังเล่าให้อ้องอุ้นฟังทุกประการ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นทำกระทืบเท้าลงแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชทำดังนี้อุปมาดังสัตว์เดียรัจฉาน แล้วอ้องอุ้นก็พาลิโป้กลับมา ณ บ้าน ขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือแล้วให้แต่งโต๊ะเชิญให้ลิโป้เสพย์สุราอยู่ อ้องอุ้นจึงว่าซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อบุตรเราซึ่งเปนภรรยาท่าน ๆ กับเราได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวงเปนอันมาก แต่ตัวเรานี้ชราแล้ว ชีวิตเราจะอยู่ไปสักกี่วันเราคิดเอ็นดูแก่ท่าน ด้วยคนทั้งปวงนับถืออยู่ว่า ท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญ ซึ่งตั๋งโต๊ะทำดังนี้คนทั้งปวงก็จะติเตียนท่าน ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธเอามือตบโต๊ะลงแล้วว่า ซึ่งอ้ายตั๋งโต๊ะมันเปนศัตรูทำดังนี้ ข้าพเจ้าจะขอแก้แค้นฆ่ามันเสียให้จงได้ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำเปนเอามือปิดปากลิโป้ไว้ แล้วห้ามว่าท่านอย่ากล่าวคำดังนี้ จะพาเราได้ความผิดด้วย ลิโป้จึงตอบว่าตัวข้าพเจ้าเกิดมานี้ก็ถือว่ามีฝีมือกล้าหาญมิได้คิดจะอยู่ใน อำนาจผู้ใด อ้องอุ้นจึงว่าอันความคิดแลฝีมือของท่านซึ่งจะอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยนั้นไม่ ควร อุปมาเหมือนแก้วได้แก่วานร

ลิโป้จึงตอบว่าแต่ข้าพเจ้ามีความแค้น คิดจะฆ่าอ้ายศัตรูเฒ่าก็ได้ถึงเดือนเศษแล้ว แต่คิดรั้งรออดใจอยู่ด้วยได้เรียกว่าบิดาแล้ว ครั้นจะฆ่าเสียกลัวคนจะครหานินทาได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่าตัวเปนแซ่ลิ ตั๋งโต๊ะนั้นเปนแซ่ตั๋ง จะนับถือว่าเปนบิดาด้วยอันใด เมื่อตั๋งโต๊ะเอาทวนพุ่งจะฆ่าท่านนั้นมิได้คิดว่าเปนบุตร ซึ่งท่านจะกลัวนินทานั้นไม่ชอบ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสดุ้งขึ้น จึงตอบว่าความข้อนี้หากท่านว่าออกมา หาไม่ข้าพเจ้าก็คิดมิถึง

อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ลิโป้เอาใจออกหากจากตั๋งโต๊ะเปนมั่นคงอยู่แล้วจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ทุกวันนี้ตั๋งโต๊ะเปนศัตรูราชสมบัติท่านก็ย่อมแจ้งอยู่กับใจ ซึ่งท่านทำราชการอยู่ในตั๋งโต๊ะก็มีความชอบเปนอันมาก ตั๋งโต๊ะจะได้ปูนบำเหน็จให้เปนขุนนางตำแหน่งใดก็หามิได้ ถ้าท่านสัตย์ซื่อต่อพระมหากษัตริย์ ตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย แล้วท่านจะได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ มีชื่อในกฎหมายพระราชพงศาวดารสืบไป

ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับอ้องอุ้นแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาแผ่นดิน แลแก้แค้นฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ ท่านอย่าสงสัยข้าพเจ้าเลย อ้องอุ้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดบำรุงแผ่นดินดังนี้ก็ขอบใจแล้ว แต่เกรงอยู่ว่าท่านกับเรานี้จะคิดการไปมิตลอดก็จะพากันตายเสีย ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงชักเอากระบี่มาแทงข้อมือเอาโลหิตใส่ลงในจอกสุราแล้วสา บาลว่า ถ้าข้าพเจ้ามิได้ฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียเหมือนคำว่านี้ ขอให้อาวุธต่าง ๆ สังหารข้าพเจ้าเถิด แล้วก็เอาสุรานั้นกินเข้าไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับลิโป้แล้วว่า ครั้งนี้พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรจะได้อยู่เย็นเปนสุขก็เพราะสติปัญญา ของท่าน แลจะทำการได้เมื่อใดเราจึงจะบอกให้ท่านแจ้ง ลิโป้ก็ลาไป

ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้หาซุนซุยกับอุยอ๋วน ซึ่งเปนที่ปรึกษามาบอกเหตุซึ่งคิดกับลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียนั้นทุกประการ อุยอ๋วนจึงว่า ซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรนั้น ตั๋งโต๊ะก็แจ้งอยู่ บัดนี้คลายประชวรขึ้นได้สองวันแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยังมิได้แจ้ง ขอให้จัดหาคนซึ่งมีสติปัญญาไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า รับสั่งให้หาเข้ามาจะปรึกษาราชการข้อใหญ่ แล้วให้แต่งเปนหนังสือรับสั่งลอบให้ลิโป้คุมทหารซุ่มอยู่ข้างที่เสด็จออก ถ้าตั๋งโต๊ะเข้ามาให้มีสัญญากัน แล้วการซึ่งคิดไว้นั้นก็จะทำได้สดวก ซุนซุยจึงว่าซึ่งคิดทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่จะหาผู้ใดซึ่งถือรับสั่งออกไปหาตั๋งโต๊ะได้ อุยอ๋วนจึงตอบว่า ลิซกนั้นทำราชการมีความชอบอยู่ ตั๋งโต๊ะก็มิได้เพททูลให้เลื่อนที่ขึ้นไปหามิได้ ลิซกนั้นก็มีความน้อยใจอยู่ ถ้าให้ลิซกถือรับสั่งไปเห็นตั๋งโต๊ะจะไม่มีความสงสัย อ้องอุ้นเห็นชอบด้วย จึงให้หาลิโป้มา แล้วบอกเนื้อความซึ่งปรึกษากันนั้นให้ฟังทุกประการ ลิโป้เห็นชอบด้วย แล้วจึงว่าอันลิซกนั้นได้ไปเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าเมื่อครั้งอยู่กับเต๊งหงวน ถ้าลิซกมิไปแลทำเนื้อความให้แพร่งพรายออก ข้าพเจ้าจึงจะฆ่าลิซกเสีย อ้องอุ้นกับลิโป้จึงให้ไปหาลิซกมา ลิโป้จึงว่าแก่ลิซกว่า เมื่อครั้งเราอยู่กับเต๊งหงวนนั้น ท่านได้เกลี้ยกล่อมให้เราฆ่าเต๊งหงวนเสีย ชักชวนให้เรามาอยู่กับตั๋งโต๊ะ บัดนี้เราเห็นตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลเราทั้งปวงคิดอ่านจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย เราจะให้ท่านถือรับสั่งออกไปหาตัวตั๋งโต๊ะเข้ามา แล้วเราจะฆ่าเสีย ท่านจะยอมไปหรือไม่ไป

ลิซกได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้เราคิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะอยู่ แต่ยังหาผู้ช่วยดำริห์การมิได้ ซึ่งท่านว่าทั้งนี้เรามีความยินดีนัก จะขอรับอาสาไปหาตั๋งโต๊ะเข้ามา ขณะนั้นลิซกจึงเอาลูกเกาทัณฑ์มาหักเปนสองท่อน แล้วจึงสาบาลตัวว่า ถ้าเนื้อความนี้เรามิได้ทำตาม แลกลับเอาไปแพร่งพรายให้ตั๋งโต๊ะรู้ ขอให้ตัวเราขาดออกเปนสองท่อนด้วยอาวุธต่าง ๆ เหมือนเราหักลูกเกาทัณฑ์นี้เถิด อ้องอุ้นได้ฟังลิซกว่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงลุกขึ้นคำนับแล้วตอบว่า ซึ่งท่านสุจริตต่อแผ่นดินจะทำการทั้งนี้ ถ้าสำเร็จแล้วท่านก็จะได้เปนขุนนางผู้ใหญ่

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า อ้องอุ้นจึงแต่งหนังสือรับสั่ง แล้วให้เกณฑ์ทหารม้ายี่สิบให้ไปด้วยลิซก ๆ มาถึงหน้าเมืองใหม่ ทหารคนหนึ่งจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกตั๋งโต๊ะ ๆ รู้ก็ออกมาคำนับหนังสือ แล้วพาลิซกเข้าไปในเมืองใหม่ ลิซกจึงบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรอยู่ หาผู้ใดจะว่าราชการมิได้ ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันให้มาเชิญมหาอุปราชเข้าไปจะมอบราชสมบัติให้ ตั๋งโต๊ะจึงถามลิซกว่า ซึ่งขุนนางทั้งปวงปรึกษากันฉนี้ ท่านได้ยินอ้องอุ้นนั้นว่าประการใดบ้าง ลิซกจึงบอกว่า ซึ่งจะมอบราชสมบัติให้แก่ท่านนี้อ้องอุ้นเปนผู้เสนอขุนนางทั้งปวงจึงเห็น ด้วย บัดนี้อ้องอุ้นก็จัดแจงตราสำหรับว่าราชการเมืองไว้ให้ท่าน

ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงบอกแก่ลิซกว่า เวลาคืนนี้เรานิมิตฝันว่า มีมังกรตัวหนึ่งมาเกี้ยวกระหวัดอยู่รอบกายเรา ครั้นเวลาวันนี้มีข่าวดีมาถึงเรา จำเราจะยกไปเมืองหลวง แลลิซกได้ถือรับสั่งมาหาเราก็มีความชอบอยู่ ถ้าเราได้ราชสมบัติแล้วจะตั้งให้ท่านเปนอัครมหาเสนาผู้ใหญ่ ลิซกทำทีประหนึ่งว่าจะรับเอา ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารสามพันอยู่รักษาเมือง ตั่งโต๊ะนั้นไปหามารดาแล้วบอกว่า บัดนี้ขุนนางทั้งปวงปรึกษาจะมอบราชสมบัติให้แก่ข้าพเจ้า แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปครองราชสมบัติแล้ว ท่านผู้เปนมารดาก็จะได้เปนหองไทฮอ แปลภาษาไทยว่าสมเด็จพระพันปีหลวง มารดาจึงตอบว่า ตัวแม่ก็แก่ชราแล้วอายุได้เก้าสิบเศษ แม่ได้พึ่งบุญเจ้าก็ค่อยมีความสุขมา ครั้งนี้แม่ให้ประหลาทใจ ด้วยให้เขม่นไปทั่วทั้งกาย แลใจก็ให้สดุ้งตกประหม่ามาเปนหลายเวลาแล้ว ซึ่งเจ้าจะเข้าไปนั้นให้คิดการระมัดตัวจงดี

ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งมารดาเปนเช่นนั้นเพราะบุญจะมาถึงแล้วจึงพะเอิญให้เปนทั้งนี้ แล้วตั๋งโต๊ะก็ลามารดาไปหานางเตียวเสียน จึงเอาเนื้อความทั้งนั้นเล่าให้ฟังแล้วว่า ถ้าเราได้ครองราชสมบัติแล้ว เราจะให้เจ้าเปนมเหษีฝ่ายซ้าย นางเตียวเสียนได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงให้มาว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย นางเตียวเสียนคำนับแล้วทำเปนยินดี ตั๋งโต๊ะก็ให้จัดแจงทหารแล้วขึ้นรถยกไปทางประมาณสามร้อยเส้น เพลารถซึ่งตั๋งโต๊ะขี่นั้นหัก ตั๋งโต๊ะจึงขึ้นม้าไปทางประมาณร้อยหนึ่ง ม้านั้นมีพยศบังเหียนขาด ตั๋งโต๊ะจึงเหลียวหลังมาถามลิซกว่า ซึ่งเพลารถหัก แลม้ามีพยศบังเหียนขาดฉนี้ ท่านยังเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่า ซึ่งเปนเหตุทั้งนี้ เพราะมหาอุปราชจะได้ครองราชสมบัติ แลจะได้ทรงรถประดับด้วยหยกกับม้าที่นั่ง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมิได้รู้กลมารยาก็มีความยินดี ครั้นมาถึงประตูเมืองหลวงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ออกมารับตั๋งโต๊ะ แต่ลิยูนั้นป่วยอยู่มิได้มารับ ตั๋งโต๊ะก็เข้าไปในที่อยู่

ฝ่ายลิโป้ก็เข้ามาเยือนแล้วคำนับ ตั๋งโต๊ะจึงว่าถ้าเราได้ราชสมบัติเราจะให้ท่านเปนใหญ่คุมทหารทั้งปวง ลิโป้ได้ฟังดังนั้นทำเปนยินดีรับคำตั๋งโต๊ะแล้วลาไป

ครั้นเวลาค่ำเดือนหงาย เด็กลูกชาวบ้านสามสิบคนชวนกันเล่นอยู่หน้าบ้านตั๋งโต๊ะ แล้วทำเพลงเปนใจความว่า หญ้าเหล่านี้มีใบเขียวสดชุ่มอยู่ เห็นไม่ช้าประมาณเก้าวันสิบวันก็จะตาย ฝ่ายตั๋งโต๊ะได้ยินเด็กทำเพลงเสียงนั้นดังร้องไห้ ตั๋งโต๊ะคิดประหลาดจึงหาลิซกมาถามว่า ซึ่งเด็กทำเพลงเปนเสียงร้องไห้ดังนี้ ท่านเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่าซึ่งเด็กทำเพลงดังนี้ เปนศุภนิมิตของท่านใหญ่หลวง เพราะแซ่เล่าจะสาบสูญแล้ว แซ่ตั๋งจะรุ่งเรืองสืบไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าแต่งตัวแล้วขึ้นรถจะเข้าไปในพระราชวัง

ครั้นมาถึงกลางทางพอพบโต้หยิน ๆ นั้นใส่เสื้อเขียวหมวกขาวมือถือไม้รวก แล้วเอาผ้านางเอี๋ยวยาวแปดศอก ผูกทำธงมีอักษรอยู่ต้นธงตัวหนึ่งว่า เคา ปลายธงตัวหนึ่งก็ว่า เคา ทั้งสองนั้นประสมกันเรียกว่าลี่ แปลภาษาไทยว่าแซ่ลี ผ้าขาวนั้นภาษาจีนเรียกว่าโป้ ซึ่งโต้หยินทำปฤศนาดังนี้ว่า ลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย แลตั๋งโต๊ะมิได้รู้ในปฤศนา แต่มีความสงสัยจึงถามลิซกว่า ซึ่งโต้หยินทำทั้งนี้ท่านยังเห็นประการใด ลิซกนั้นแจ้งในปฤศนาอยู่ จึงอุบายบอกตั๋งโต๊ะว่า โต้หยินทำทั้งนี้เพราะเสียจริตอยู่ จะถือเอาว่าดีแลร้ายนั้นมิได้ แล้วลิซกก็ให้ทหารขับโต้หยินเสียให้ไกลทาง ครั้นตั๋งโต๊ะเข้าไปถึงประตูวัง ลิซกจึงอุบายให้ตั๋งโต๊ะห้ามทหารไว้แต่นอก แลลิซกนำรถตั๋งโต๊ะเข้าไปในลับแลที่เฝ้า ตั๋งโต๊ะแลเห็นขุนนางถือกระบี่อยู่ทุกคน ตั๋งโต๊ะตกใจถามลิซกว่า เหตุใดขุนนางจึงถือกระบี่อยู่ฉนั้น ลิซกมิได้ตอบประการใดก็เร่งชักรถเข้าไปในที่เสด็จออก

อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงร้องประกาศว่า ศัตรูราชสมบัติมาถึงแล้ว เปนไฉนทหารเราจึงมิได้ลงมือเล่า ฝ่ายทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นได้ยินเสียงอ้องอุ้นร้องดังนั้น ก็ชวนกันออกมาเอาทวนแทงตั๋งโต๊ะ ๆ เห็นก็หลบลงอยู่ในรถแล้วร้องเรียกให้ลิโป้ช่วย แลลิโป้นั้นก็ออกมาจึงตอบว่า ตัวเปนศัตรูราชสมบัติ เปนไฉนร้องให้กูช่วย แล้วลิโป้เอาทวนแทงตั๋งโต๊ะถูกที่ฅอตกรถตาย ลิซกนั้นก็ตัดสีสะตั๋งโต๊ะแล้วร้องประกาศว่า ทีนี้ศัตรูราชสมบัติตายแล้วแผ่นดินจะเปนสุข แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มีความยินดีนัก ลิโป้จึงร้องว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้เพราะฟังคำลิยู ผู้ใดจะอาสาไปจับตัวลิยูมาได้

ฝ่ายลิซกก็รับอาสาไปจับตัวลิยูกับบุตรภรรยาพรรคพวกพี่น้องมาสิ้น อ้องอุ้นจึงให้เอาบุตรภรรยาพรรคพวกไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้เอาศพตั๋งโต๊ะไปตระเวนรอบเมือง เอามาประจานไว้ที่ทางสามแพร่งให้ทหารอยู่รักษา แลผู้รักษานั้นจึงฟั่นชุดใส่ลงที่สะดือ แล้วเอาเพลิงจุดตามต่างตะเกียงประจานไว้ แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้น มีใจเจ็บแค้นชวนกันมาด่าว่าศพตั๋งโต๊ะ แล้วเอามือชี้ชกสีสะบ้างเอาเท้าถีบบ้าง จนศพนั้นแหลกละเอียดเปื่อยไป

ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้ลิโป้ลิซกห้องหูโก๋ สามนายคุมทหารห้าหมื่นไปฆ่าพรรคพวกตั๋งโต๊ะซึ่งอยู่ ณ เมืองใหม่เสียให้สิ้น เชิง แล้วให้ริบทรัพย์สิ่งของนั้นมา แลลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ซึ่งตั๋งโต๊ะให้อยู่รักษาเมืองใหม่ ครั้นรู้เนื้อความดังนั้น ก็พาทหารสามพันหนีไปอยู่เมืองเซียงไส

ฝ่ายลิโป้กับลิซกห้องหูโก๋ครั้นมาถึงเมืองใหม่ ลิโป้นั้นเข้าไปเอาตัวนางเตียวเสียนมาไว้ แล้วฆ่ามารดากับญาติพี่น้องพรรคพวกตั๋งโต๊ะเสียสิ้น แต่หญิงแปดร้อยนั้นส่งให้บิดามารดาพี่น้องรับไป แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินของตั๋งโต๊ะนั้นบันทุกเกวียนเปนอันมาก คุมเอาเข้าไปให้อ้องอุ้นในเมืองหลวง อ้องอุ้นจึงเอาทรัพย์สิ่งของทั้งนั้นแจกให้แก่ทหารทั้งปวง แล้วจึงว่าแก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า บัดนี้ศัตรูราชสมบัติก็ตายแล้ว แผ่นดินจะมีความสุขสืบไป เราจงชวนกันเล่นให้สบายเถิด แล้วก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวง

ในขณะนั้นมีทหารมาบอกอ้องอุ้นว่า มีขุนนางคนหนึ่งชื่อซัวหยงมาร้องไห้รักศพตั๋งโต๊ะอยู่ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารทั้งปวงไปจับตัวซัวหยงมาถามว่า ตัวเปนขุนนางมาร้องไห้รักตั๋งโต๊ะนั้น ตัวเข้าด้วยศัตรูราชสมบัติหรือ ซัวหยงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะได้เข้าด้วยผู้ผิดนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้ามาร้องให้รักตั๋งโต๊ะนั้น เพราะคิดถึงคุณตั๋งโต๊ะว่าเอาข้าพเจ้ามาตั้งเปนขุนนาง แลซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดทั้งนี้ ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ทำราชการสนองแผ่นดินสืบไป แลขุนนางทั้งปวงซึ่งได้เห็นใจซัวหยงสัตย์ซื่อ จึงชวนกันขอโทษไว้ ม้าหยิดจึงค่อยกระซิบบอกแก่อ้องอุ้นว่า ซัวหยงนี้เปนคนมีสติปัญญา ทำราชการสัตย์ซื่อ มีคนรักเปนอันมาก ถ้าท่านจะฆ่าเสียก็ตามโทษผิดนั้นควรอยู่ แต่ราษฎรทั้งปวงจะครหานินทาท่าน อ้องอุ้นจึงตอบว่าบ้านเมืองเปนจลาจลพึ่งสงบลงวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ แลซัวหยงนั้นมีสติปัญญาก็จริง แต่จะให้เปนขุนนางปรึกษาราชการด้วยเรานั้นไม่ได้ กฎหมายทั้งปวงจะฟั่นเฟือนไป ม้าหยิดได้ยินดังนั้นก็ถอยออกมาแล้วว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ธรรมดาแผ่นดินถ้าหาผู้มีสติปัญญามิได้ เมืองนั้นก็จะพลันมีอันตรายหายืดยาวไม่ อ้องอุ้นจึงให้เอาตัวซัวหยงไปจำคุกไว้ แล้วลอบสั่งให้ผู้คุมจำตรากตรำเสียให้ตาย ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าซัวหยงตายแล้ว ก็มีความสงสารเปนอันมาก

[๑] มีในเรื่องเลียดก๊ก


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 7

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnZFgwYnIyN2Jsanc/view?resourcekey=0-ojRyflNF9lqIeZOnjmMjMA



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #8 on: 21 December 2021, 20:09:34 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 8


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-8.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 8

เนื้อหา
ลิฉุย กุยกีแก้แค้นแทนตั๋งโต๊ะ
พวกลิฉุย กุยกีได้มีอำนาจในเมืองหลวง
ม้าเท้งกับหันซุยอาสาปราบลิฉุย กุยกี
โจโฉได้เป็นเจ้าเมืองกุนจิ๋ว


ฝ่าย ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวทหารตั๋งโต๊ะที่หนีไปอยู่เมืองเซียงไสจึงปรึกษา กันแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงอ้องอุ้นว่า ซึ่งได้เปนพวกตั๋งโต๊ะนั้นด้วยความจำเปน โทษข้าพเจ้าทั้งสี่ซึ่งได้ทำผิดนั้นขออภัยเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอทำราชการด้วยท่านสืบไป

ฝ่ายอ้องอุ้นเห็นหนังสือดังนั้นจึงว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าก็เพราะลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ถ้ารับสั่งให้ยกโทษคนทั้งปวงเสียเราก็จะยอม แต่ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวนั้นจะขอเอาตัวมาฆ่าเสียให้ได้ แลผู้ถือหนังสือจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวตามคำอ้อ งอุ้นว่า ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวจึงปรึกษากันว่า ซึ่งจะเข้าเกลี้ยกล่อมอ้องอุ้นก็มิยอม แลเราทั้งปวงต่างคนต่างเอาตัวรอดเถิด

ฝ่ายกาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ซึ่งจะคิดหนีนั้นเห็นไม่พ้น ขอให้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเซียงไสได้แล้วประจบกับกองทัพเรายกไปทำการตีเอา เมืองเตียงฮัน ถ้าได้เมืองแล้วจึงจะให้ฆ่าอ้องอุ้นเสีย แลท่านทั้งสี่คนนี้จึงจะได้ทำราชการในเมืองหลวงสืบไป แม้ไม่สมคิดจึงพากันหนี ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวเห็นชอบด้วย จึงแต่งทหารซึ่งมีสติปัญญาไปเจรจากับชาวเมืองเซียงไสว่า บัดนี้อ้องอุ้นได้เปนใหญ่แล้ว จะยกทหารมาฆ่าชาวเมืองเซียงไสซึ่งหาความผิดมิได้เสียให้สิ้น แล้วลิฉุยให้ตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่นอกเมือง จึงให้ทหารเที่ยวร้องป่าวชาวเมืองเซียงไสว่า ถ้าผู้ใดรักชีวิตกลัวอ้องอุ้นจะฆ่าเสีย ก็ให้มาเข้าด้วยเรา จึงจะรอดจากความตาย

ฝ่ายชาวเมืองเซียงไส ครั้นแจ้งดังนั้นก็ตกใจกลัวความตาย จึงชวนกันมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ประมาณสิบห้าหมื่น ลิฉุยจึงแบ่งทหารให้กุยกีเตียวเจหวนเตียวยกไปสี่กอง ครั้นไปถึงกลางทางพบงิวฮูบุตรเขยตั๋งโต๊ะ คุมทหารห้าพันจะไปแก้แค้นอ้องอุ้น นายทัพทั้งสี่กองจึงให้งิวฮูเปนทัพหน้า แล้วยกไปใกล้จะถึงเมืองเตียงฮัน

ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นรู้ข่าวดังนั้นจึงปรึกษากับลิโป้ว่า ซึ่งลิฉุยกุยกียกมาดังนี้เราจะคิดประการใด ลิโป้จึงตอบว่าลิฉุยกุยกียกมานี้ท่านอย่าวิตกเลยไว้เปนธุระข้าพเจ้า แล้วให้ลิซกคุมทหารออกไปรบ ลิซกนั้นยกออกมาพบทัพงิวฮูได้รบพุ่งกันเปนสามารถ งิวฮูเห็นจะต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา แลลิซกนั้นมีใจกำเริบ จึงให้ทหารตั้งเปนชุมนุมอยู่ มิได้ตรวจตราป้องกันโดยกระบวรทัพ แลงิวฮูเห็นลิซกประมาท ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยาม งิวฮูก็ยกทหารเข้าโจมตีปล้นเอาทัพลิซก ฆ่าทหารเสียเปนอันมาก ลิซกนั้นหนีได้จึงเอาเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิโป้ ๆ รู้ดังนั้นก็มีใจโกรธ จึงให้เอาตัวลิซกไปตัดสีสะเสีย แล้วเสียบไว้ณประตูเมือง

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงยกทหารออกไปต่อรบงิวฮู ๆ แตกหนีไป แล้วงิวฮูจึงปรึกษากับเอาซกยีว่า ลิโป้นั้นมีกำลังนักเห็นเราจะสู้ลิโป้มิได้ จำจะคิดอ่านหนีไป เอาซกยีเห็นชอบด้วย ครั้นเวลากลางคืนงิวฮูจึงจัดเอาทรัพย์สิ่งสินที่ดีของตัว แล้วพาเอาซกยีกับพรรคพวกซึ่งสนิธสี่คนห้าคนหนีไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง แลเอาซกยีคิดเอาใจออกหากฆ่างิวฮูเสีย แล้วเอาทรัพย์สิ่งของๆ งิวฮู พาเอาคนสี่ห้าคนกับสีสะงิวฮูไปให้ลิโป้ ณ เมืองเตียงฮัน ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดสงสัยเอาซกยี จึงลอบถามคนสี่ห้าคนซึ่งมาด้วยว่า เกิดเหตุขัดเคืองกันเปนประการใด เอาซกยีจึงฆ่างิวฮูเสียแล้วตัดเอาสีสะมาให้เรา คนทั้งนั้นจึงบอกความแต่หลังให้ฟัง

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เอาซกยีนั้นเปนคนโลภหาความสัตย์มิได้ จะเลี้ยงไว้นั้นไม่ควร จึงสั่งให้ทหารเอาเอาซกยีไปฆ่าเสีย แล้วลิโป้จัดแจงทหารยกกองทัพไป พบลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ก็ขับม้าแลพาทหารเข้าไล่โจมตี ทหารลิฉุยกุยกีไม่ทันเตรียมตัวก็แตกพ่ายไปทางประมาณห้าร้อยเส้น ถึงเขาแห่งหนึ่งจึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ลิฉุยจึงปรึกษากุยกีเตียวเจหวนเตียวว่า ลิโป้นั้นมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญแต่หาปัญญาความคิดมิได้ เราจะคิดอุบายให้กุยกีคุมทหารไปคอยสกัดทางซึ่งจะเข้าไปเมือง ตัวเราจะคุมทหารรบล่อ ถ้าได้ยินเสียงม้าฬ่อก็ให้ขับทหารเข้ารบ ถ้าได้ยินเสียงกลองก็ให้ทำเปนถอยทหารมา แลเตียวเจหวนเตียวนั้นให้คุมทหารแยกกันเข้ารบเมืองเตียงฮันเปนสองด้าน เห็นลิโป้จะรบป้องกันหน้าหลังมิทัน จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง กุยกีเตียวเจหวนเตียวเห็นชอบด้วยก็คุมทหารยกไปทำตามคำลิฉุยว่า

ฝ่ายลิโป้ก็ยกตามมาถึงท้ายเขา พบกองทัพลิฉุยได้รับกันเปนสามารถ ลิฉุยจึงให้ตีกลอง แล้วถอยทหารขึ้นบนเนินเขา ลิโป้ก็ตามรบขึ้นไป ครั้นเห็นทหารลิฉุยยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ลิโป้ก็ให้ถอยทหารลงมา

ฝ่ายกุยกีแลเห็นดังนั้นก็ให้ตีม้าฬ่อ ยกทหารเข้าไป ลิโป้ก็ให้กลับหน้ามารบ ฝ่ายกุยกีก็ให้ตีกลองแล้วถอยทหารมา ลิฉุยก็ยกทหารลงมาจากเนินเขาเข้ารบด้วยลิโป้แล้วถอยมา กุยกีรบกระหนาบเข้ามา แต่ลิฉุยกุยกีรบยั่วลิโป้อยู่ถึงสามวันสามคืน แลลิโป้นั้นอยู่ในระหว่างทัพกระหนาบ มิรู้ที่จะป้องกันรบพุ่งข้างไหน จะถอยไปก็มิได้ พอม้าใช้เล็ดลอดมาบอกแก่ลิโป้ว่า บัดนี้กองทัพเตียวเจหวนเตียวยกเข้ารบเมืองเตียงฮันอยู่เปนสามารถ เห็นข้าศึกได้ทีจวนจะได้เมืองอยู่แล้ว ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดจะเข้าไปช่วยเมืองเตียงฮัน จึงคุมทหารรบฝ่าหักออกไป แล้วลิฉุยกุยกีนั้นตามรบลิโป้มา ลิโป้มิได้เปนกังวลรบทัพข้างหลัง ตั้งหน้ารีบจะไปช่วยเมืองเตียงฮันไว้ให้รอด ลิโป้นั้นเสียทหารเปนอันมาก ครั้นมาใกล้เมืองเห็นทหารเตียวเจหวนเตียวล้อมเมืองไว้ แลทหารลิโป้นั้นกลัวความตาย ก็ไปเข้าด้วยเตียวเจหวนเตียวเปนอันมาก ลิโป้เห็นดังนั้นก็เสียใจ จึงพาทหารซึ่งเหลืออยู่นั้น รวนเรไปมาอยู่ถึงสองวันสามวัน

ฝ่ายลิบ้องอ่องหองสองคนนี้ เปนขุนนางอยู่ในเมืองเตียงฮันเปนพรรคพวกตั๋งโต๊ะ จึงคิดกันเปนไส้ศึกคุมทหารของตัวลอบเปิดประตูทั้งสี่ด้านออกรับกองทัพ ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวเข้าไปได้ในเมือง แลลิโป้นั้นก็หักเข้าไปในเมืองรบพุ่งฆ่าฟันทหารลิฉุยกุยกีเสียเปนอันมาก แลลิโป้นั้นเหลือกำลัง จึงพาทหารประมาณร้อยเศษรบหักออกไปจากประตูวัง พอพบอ้องอุ้นเข้าลิโป้จึงว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ซึ่งจะอยู่ต่านทานนั้นเห็นเหลือกำลัง ขอท่านเร่งขึ้นม้าหนีเอาตัวรอดไว้ก่อนจึงจะได้คิดการต่อไป

อ้องอุ้นจึงตอบว่าเดิมเรากับท่านคิดกัน จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุขก็สมคิดแล้ว บัดนี้เกิดเหตุขึ้นเพราะพวกตั๋งโต๊ะ แลเราจะหนีเอาตัวรอดนั้นไม่ควร ถึงจะตายก็เอาความชอบไว้ภายหน้า ท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ช่วยเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งแก่หัวเมืองทั้งปวงว่าเราคำนับไปด้วย บัดนี้เกิดเหตุขึ้นในเมืองหลวง ให้หัวเมืองทั้งปวงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินยกกองทัพเข้ามาช่วยกำจัดศัตรูราช สมบัติเสีย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็พูดจาชักชวนเปนหลายครั้งอ้องอุ้นก็มิไป พอเห็นแสงเพลิงซึ่งข้าศึกจุดเผาขึ้นนั้นเปนหลายตำบล ลิโป้ก็ทิ้งครอบครัวเสีย ขึ้นม้าพาทหารร้อยเศษหนีออกจากเมือง ไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง อ้องอุ้นนั้นเข้าไปในวัง

ฝ่ายลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียว ซึ่งหักเข้าไปในเมืองนั้นก็ฆ่าฟันขุนนางแลทหารเสียเปนอันมาก แล้วยกเข้าถึงในพระราชวัง ขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับอ้องอุ้นขึ้นไปบน พระตำหนักหอสูง ลิฉุยกุยกีกับทหารทั้งปวงก็ถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ จึงตรัสถามลิฉุยกุยกีว่า ซึ่งตัวบังอาจทำการเข้ามาในพระราชวังจะประสงค์สิ่งใด ลิฉุยกุยกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าทำการทั้งนี้จะได้คิดขบถต่อพระองค์หามิได้ เดิมตั๋งโต๊ะเปนมหาอุปราชได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน แลอ้องอุ้นคบคิดกับลิโป้ฆ่ามหาอุปราชเสีย ข้าพเจ้าจึงเข้ามาหวังจะฆ่าอ้องอุ้นเสียให้หายแค้น ถ้าพระองค์ทรงพระเมตตาส่งตัวอ้องอุ้นให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะพาทหารออกไป อ้องอุ้นได้ยินลิฉุยกุยกีว่าดังนั้นก็ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้ามีสัตย์สุจริตต่อแผ่นดิน จึงฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ลิฉุยกุยกีจะเอาตัวข้าพเจ้า ครั้นข้าพเจ้าจะรักชีวิตบิดพลิ้วอยู่ก็จะเกิดอันตรายในพระราชฐานมากไป ข้าพเจ้าจะขอเอาชีวิตไปให้ลิฉุยกุยกีฆ่าเสียสนองพระคุณพระองค์ ว่าแล้วอ้องอุ้นก็โจนลงไปในช่องแกลพระตำหนักร้องว่า ตัวกูอยู่นี่มึงจะทำประการใดก็มาเถิด ลิฉุยกุยกีได้ยินดังนั้นจึงถามอ้องอุ้นว่า มหาอุปราชมีความผิดสิ่งใดตัวจึงคบคิดกับลิโป้ฆ่าเสีย อ้องอุ้นจึงตอบว่า อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเปนศัตรูราชสมบัติ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดินเปนอันมากกูจึงฆ่าเสีย ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีด้วย เหตุไฉนตัวมึงจึงมีความเจ็บแค้นด้วยอ้ายขบถ ลิฉุยกุยกีจึงตอบว่า มหาอุปราชทำความผิดตัวจึงฆ่าเสีย แลเราทั้งสี่นี้ได้มีหนังสือมาอ่อนน้อมจะขอทำราชการด้วยตัวมิยอมว่าจะฆ่า เสียนั้น เรามีความผิดประการใด อ้องอุ้นจึงร้องตวาดแล้วตอบว่า ซึ่งกูมิเอามึงทั้งสี่ไว้ทำราชการด้วยนั้น เพราะมึงเปนพวกขบถกลัวแผ่นดินจะเปนอันตราย ซึ่งมึงคิดการทั้งนี้จะปราถนาสิ่งใดก็เร่งทำเถิดกูมิได้กลัวความตาย ลิฉุยกุยกีได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงเอากระบี่ฟันอ้องอุ้นถึงแก่ความตาย แล้วให้ทหารไปจับบุตรภรรยาญาติพี่น้องอ้องอุ้นมาฆ่าเสียสิ้น แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวง ครั้นรู้ว่าอ้องอุ้นตายก็ชวนกันร้องไห้รัก

ลิฉุยกุยกีจึงคิดกันว่า เราทำการเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว จะละไว้นั้นมิได้ จำจะคิดเอาราชสมบัติฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียจึงจะควร เตียวเจหวนเตียวจึงห้ามว่า ซึ่งจะทำจลาจลถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเราไม่เห็นด้วย หัวเมืองทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรเห็นจะไม่ยอมด้วยเรา ก็จะยกทหารเข้ามาทำการรบพุ่งเปนการใหญ่เราจะได้ความขัดสน ขอให้ชวนกันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทูลขอทำราชการในเมืองหลวง แล้วจึงค่อยคิดอ่านแอบรับสั่งให้หาหัวเมืองเข้ามาจับฆ่าเสียให้สิ้น ราชสมบัตินั้นจะได้แก่เราโดยง่าย ลิฉุย กุยกี เห็นชอบด้วย จึงพาเตียวเจหวนเตียวเข้าไปถวายบังคม

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสถามลิฉุยกุยกีว่า เดิมตัวบอกว่าจะขอเอาตัวอ้องอุ้นแล้วจะยกทหารกลับออกไป บัดนี้ตัวฆ่าอ้องอุ้นเสียแล้วแลยังมิยกกลับไป เองยังอยู่จะประสงค์สิ่งใด ลิฉุยกุยกีจึงทูลว่าแต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าได้ทำราชการมีความชอบต่อแผ่นดิน มากอยู่ หาผู้ใดพิททูลพระองค์มิได้ พระองค์จึงมิได้ปูนบำเหน็จข้าพเจ้าให้เปนที่ขุนนาง บัดนี้ข้าพเจ้าสี่คนจะขอทำราชการเปนที่ขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ถ้าพระองค์โปรดให้ตามปราถนา ข้าพเจ้าจึงจะยกทหารออกไปจากพระราชวัง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า แลตัวทั้งสี่จะพอใจเปนที่ขุนนางตำแหน่งใดก็ให้ว่ามา

ลิฉุยกุยกีเตียวเจหวนเตียวปรึกษากันแล้ว จึงเขียนหนังสือถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ทอดพระเนตรเห็นหนังสือนั้นว่า ลิฉุยเปนที่กีจงกุ๋น ภาษาไทยว่าเปนนายทหารใหญ่กองใน แล้วเปนผู้สำเร็จราชการด้วย กุยกีนั้นเปนที่ฮอจงกุ๋น ภาษาไทยว่าเปนนายทหารกองหลัง แล้วว่าที่จางวางขุนนางทั้งปวงด้วย เตียวเจแลหวนเตียวนั้นเปนนายทหารซ้ายขวา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ประทานให้ แลลิฉุย กุยกีครั้นได้รับสั่งแล้วจึงออกมาตั้งอยู่นอกวัง จึงปรึกษากันว่า เมืองฮองหลงนั้นเปนเมืองหน้าด่านจะไว้ใจแก่ข้าศึกมิได้ จึงให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปรักษาอยู่ แลลิบ้องอ่องหองซึ่งเปิดประตูรับนั้น เลื่อนที่ขึ้นเปนขุนนาง แลทหารซึ่งมีสติปัญญาก็ตั้งขึ้นเปนขุนนางด้วย แล้วให้ทหารไปสืบเสาะเก็บเอากระดูกตั๋งโต๊ะมาให้แต่งการศพอย่างที่มหาอุปราช แล้วให้แห่ออกไปจะฝังศพไว้ตามธรรมเนียม ในขณะทำการเมื่อจะฝังศพนั้น พอเกิดลมพายุพัดหนักฝนตกห่าใหญ่น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอก อัสนีผ่าถูกศพ กระดูกนั้นกระจายไป ครั้นฝนสงบลง ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกมาผสมกันเข้า แล้วจะให้ฝังเวลากลางคืนนั้น ซ้ำเกิดพายุฝนตกฟ้าผ่าถูกกระดูกนั้นกระจายไป ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกนั้นมาผสมกันเข้าอีกเปนหลายครั้ง ฝนก็ตกฟ้าคนองผ่าลงทุกครั้ง จนกระดูกนั้นสาบสูญไปสิ้นมิได้ฝัง ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลลิฉุย กุยกี ก็กลับเข้าไปเมืองหลวง ทำการกำเริบหยาบช้าต่างๆ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน แลลิฉุยกุยกีเอาเงินทองไปถึงใจแก่ขันทีซึ่งรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วสั่ง ว่า ถ้าได้ยินพระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสดีแลร้ายประการใด ก็ให้เอาเนื้อความมาบอก

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังทรงพระเยาว์อยู่ จะตรัสตราสินราชการเมืองก็ผันแปรฟั่นเฟือนไป ราชการแลขุนนางในเมืองหลวงนั้นก็เปนสิทธิ์อยู่ในบังคับบัญชาลิฉุยกุยกีสิ้น ลิฉุยกุยกีจึงให้หาจูฮีซึ่งเปนขุนนางนอกราชการนั้น มาตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการ

ฝ่ายม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง กับหันซุยเจ้าเมืองเป๊งจิ๋วปรึกษากันว่า บัดนี้ลิฉุยกุยกีได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ทำการหยาบช้าเหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ จำเราจะคิดอ่านกำจัดเสีย บ้านเมืองทั้งปวงจึงจะเปนสุข จึงแต่งหนังสือเข้าไปถึงม้าฮูหนึ่ง ตงเซียวหนึ่ง เลาเฉียหนึ่ง สามคนนี้เปนขุนนางข้าหลวงเดิมของพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ลิฉุยกุยกีทำการหยาบช้าทุกวันนี้แผ่นดินได้ความเดือนร้อนเหมือนครั้งตั๋ง โต๊ะ แลเนื้อความทั้งนี้จงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทราบ เราจะยกกองทัพเข้าไปล้างลิฉุยกุยกีเสีย ท่านทั้งสามจงคิดกระทำข้างในเมือง

ม้าฮูตงเซียวเลาเฉีย ครั้นรู้ในหนังสือนั้นแล้ว จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ก็มีพระทัยยินดี จึงทรงพระอักษรเปนใจความว่า ซึ่งม้าเท้งกับหันซุยคิดทั้งนี้เราขอบใจนัก ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วส่งให้ทหารม้าเท้งหันซุยถือกลับมา

ม้าเท้งหันซุยเห็นลายพระหัตถ์ก็มีความยินดีนัก จึงจัดแจงทหารสองหัวเมืองได้ประมาณสิบเอ็ดสิบสองหมื่น ยกไปถึงกลางทาง แล้วให้ทหารร้องประกาศแก่ชาวเมืองว่า ซึ่งยกมานี้จะทำการกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย

ฝ่ายม้าใช้แจ้งดังนั้นก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ลิฉุยกุยกี ๆ จึงให้หาเตียวเจหวนเตียวมาปรึกษาว่า ม้าเท้งหันซุยยกมานี้ใครยังจะคิดประการใด กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ม้าเท้ง หันซุยยกมานั้นเปนทางไกลกันดาร เราจะรักษาหน้าที่ไว้ให้ยกเข้าล้อมถึงเชิงกำแพง ถ้าเห็นว่าขาดสเบียงลงแล้ว จึงให้ยกทหารออกโจมตีก็จะจับม้าเท้งกับหันซุยได้โดยง่าย

ลิบ้องอ่องหองจึงว่า ซึ่งกาเซี่ยงว่านั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าพเจ้าจะขอทหารหมื่นหนึ่ง จะยกออกไปตัดเอาสีสะม้าเท้งหันซุยมาให้ท่าน กาเซี่ยงจึงตอบว่า ลิบ้องอ่องหองจะยกไปนั้นเห็นจะเสียทีเปนมั่นคง ลิบ้องอ่องหองจึงตอบว่า ถ้าเราสองคนออกไปไม่ได้สีสะม้าเท้งกับหันซุยเข้ามา ท่านจงตัดสีสะเรานี้แทนเถิด ถ้าได้สีสะนายทัพทั้งสองนั้นเข้ามา ท่านจงตัดสีสะท่านให้แก่เราด้วย กาเซี่ยงจึงว่าแก่ลิฉุยกุยกีว่า ลิบ้องอ่องหองจะอาสาออกไปรบก็ตามเถิด แต่เขาเจียวจิดนั้นทางไกลเมืองหลวงประมาณสองพันเส้น อยู่ฝ่ายตวันตกมีทางจำเพาะเดิรตามซอกเขา ขอให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปซุ่มอยู่ตำบลนั้นให้จงมาก ภายหลังถ้าลิบ้องอ่องหองเสียทีมาประการใดก็จะได้ช่วย

ลิฉุยกุยกีจึงตอบว่า ซึ่งจะให้เตียวเจหวนเตียวยกออกไปตั้งอยู่ ณ ซอกเขานั้นเราไม่เห็นด้วย แล้วลิฉุยกุยกีจึงเกณฑ์ทหารหมื่นห้าพันให้ลิบ้องอ่องหองยกออกไปทางประมาณสอง พันเส้น พบกองทัพม้าเท้งหันซุยก็ตั้งประชิดกันอยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้านายทัพทั้งสองฝ่ายยกทหารออกตั้งอยู่นอกค่าย ม้าเท้ง หันซุย จึงร้องว่า อ้าย ลิบ้อง อ่องหองเปนศัตรูราชสมบัติผู้ใดจะอาสาไปจับมาให้เราได้

ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งอายุสิบแปดปี หน้าดังสีหยกกิริยาว่องไวรับอาสา แล้วถือทวนขับม้าฝ่าทหารขึ้นไป อ่องหองเห็นม้าเฉียวยังเด็กอยู่ก็คิดประมาท ขับม้ารำง้าวออกมารบด้วยม้าเฉียวได้ห้าเพลง ม้าเฉียวเอาทวนแทงอ่องหองตกม้าตาย แล้วม้าเฉียวชักม้าจะกลับมา ลิบ้องเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวไล่ตามม้าเฉียวมาข้างหลัง ม้าเฉียวชำเลืองดูแต่ทำเปนไม่เห็น ม้าเท้งเห็นลิบ้องตามมา จึงร้องบอกแก่ม้าเฉียวว่า ศัตรูตามมาจะทำร้ายข้างหลัง ให้เร่งระวังตัว ลิบ้องเห็นจวนจะทันเข้า จึงเอาง้าวฟันเอาม้าเฉียว ๆ หลบได้ จึงชักม้ากลับหลังโถมเข้าจับลิบ้องได้ เอามาให้แก่บิดา แลทหารม้าเท้งหันซุยได้ทีดังนั้น ก็ไล่ฆ่าฟันทหารลิบ้องล้มตายเปนอันมาก ม้าเท้งกับหันซุยจึงยกทหารเข้าไปตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองเตียงฮัน แล้วให้เอาลิบ้องไปฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะเสียบไว้หน้าค่าย

ฝ่ายม้าใช้จึงเอาเนื้อความมาบอกแก่ลิฉุย กุยกี ๆ ครั้นแจ้งดังนั้นก็คิดว่ากาเซี่ยงว่านั้นชอบ เรามิได้ทำตามคำจึงเสียทหารไปทั้งนี้ แต่นั้นมาลิฉุยกุยกีก็นับถือเชื่อฟังกาเซี่ยง แล้วก็ให้จัดแจงค่ายคูประตูหอรบ เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินพร้อมมั่นคงทุกด้าน

ฝ่ายม้าเท้งกับหันซุยก็ยกทหารถึงเชิงกำแพงเมืองได้ประมาณสองเดือน ทหารในกองทัพนั้นขาดสเบียงอดเข้าปลาอาหารอิดโรย ม้าเท้งหันซุยเห็นทหารขาดสเบียง จึงปรึกษากันจะให้ยกกองทัพถอยไป ยังมิตกลงกัน

ขณะนั้นคนใช้สนิธของม้าฮู ลอบเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิฉุยกุยกีว่า ม้าฮูนายข้าพเจ้าคบคิดกับตงเซียวเลาเฉียรับเปนไส้ศึก ม้าเท้งจึงยกมาทำการสงคราม ลิฉุยกุยกีครั้นแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารไปจับตัว ม้าฮูหนึ่ง ตงเซียวหนึ่ง เลาเฉียหนึ่ง กับบุตรภรรยาญาติพี่น้องมาฆ่าเสียสิ้น แล้วก็ตัดสีสะตัวนายทั้งสามคนเสียบประจานไว้บนหน้าที่เชิงเทินให้ข้าศึกเห็น ม้าเท้งหันซุยเห็นดังนั้นจึงปรึกษากันว่า ไส้ศึกในเมืองก็เปนเหตุแล้ว ฝ่ายทหารในกองทัพเราก็ขาดสเบียงลง ถ้าจะตั้งล้อมไว้ดังนี้ก็จะเสียทหารมาก ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันก็เลิกทัพถอยไป ลิฉุยกุยกีเห็นดังนั้นจึงให้เตียวเจคุมทหารยกไปตามม้าเท้งกองหนึ่ง แล้วให้หวนเตียวยกทหารไปตามหันซุยกองหนึ่ง ครั้นมาถึงเขาตันฉอง หันซุยเหลียวมาเห็นหวนเตียว หันซุยจึงร้องว่า ตัวท่านกับเราเปนชาวบ้านเดียวกันมาแต่น้อย เปนไฉนท่านหามีความเมตตาไม่ จะมาทำอันตรายแก่เรา หวนเตียวจึงตอบว่า ทุกวันนี้ราชการในเมืองหลวงเปนสิทธิ์อยู่กับลิฉุยกุยกี ๆ ให้เรายกออกมาตามท่านทั้งนี้ก็เปนการใหญ่ แลเราจะเห็นแก่หน้าท่านอยู่นั้นมิได้ หันซุยจึงตอบว่า เรายกมาทำการทั้งนี้ก็เพราะหวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข ถึงท่านจะมิคิดถึงเราก็จงคิดถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งครองราชสมบัตินั้นเถิด หวนเตียวได้ยินหันซุยว่าดังนั้น เปนข้อกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ หวนเตียวก็ให้ทหารทั้งปวงหยุดตั้งมั่นอยู่ แลหันซุยนั้นก็เร่งขับทหารทั้งปวงรีบไปถึงเมืองเป๊งจิ๋ว

ฝ่ายเตียวเจซึ่งไปตามม้าเท้งนั้น ครั้นไม่ทันแล้วก็ยกทหารกลับมาตั้งอยู่กับหวนเตียว แลลิเบียดซึ่งเปนหลายลิฉุยนั้น มาในกองทัพหวนเตียว ครั้นเห็นหวนเตียวมิได้จับหันซุย ก็เอาเนื้อความทั้งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิฉุยผู้เปนอาว์ ลิฉุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จะให้ทหารออกไปจับตัวหวนเตียวมา กาเซี่ยงจึงห้ามว่าบัดนี้บ้านเมืองยังมิสงบ ซึ่งจะให้ทหารออกไปจับหวนเตียว เห็นว่าหวนเตียวจะไม่ยอมให้จับโดยง่าย ก็จะเกิดรบพุ่งกันขึ้นอีก ขอให้แต่งคนออกไปบอกแก่เตียวเจหวนเตียวโดยดีว่า ซึ่งยกไปตามม้าเท้งหันซุยไม่ทันนั้นก็แล้วไปเถิด บัดนี้เราแต่งโต๊ะเชิญขุนนางทั้งปวงมาเสพย์สุรา จึงให้เตียวเจ หวนเตียวเข้ามากินโต๊ะด้วย ถ้าเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะแล้วจึงค่อยจับเอา การจึงจะไม่วุ่นวาย ลิฉุยเห็นชอบด้วย จึงให้คนออกไปหาเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะ เตียวเจหวนเตียวมิได้รู้เหตุก็ยกทหารกลับเข้ามาเมืองเตียงฮัน แล้วเข้าไปกินโต๊ะด้วยลิฉุยกุยกี เมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นลิฉุยจึงว่าแก่หวนเตียวว่า เราให้ยกทหารไปตามจับหันซุย แลตัวมิได้ทำตามคำเรา เอาน้ำใจไปแผ่เผื่อกับหันซุยนั้น ตัวจะคิดร้ายแก่เราหรือ หวนเตียวได้ยินดังนั้นก็ตกใจยังมิทันตอบประการใด บู๋ซูก็ลากเอาตัวหวนเตียวไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะหวนเตียวมาให้ลิฉุยดู เตียวเจเห็นดังนั้นยังมิได้รู้เหตุประการใดก็ตกใจหมอบลงกับริมโต๊ะ ลิฉุยเข้าประคองเตียวเจขึ้นแล้วจึงว่า หวนเตียวนั้นเอาใจออกหากเราคิดกับหันซุยจะทำร้ายเรา ท่านหาความผิดมิได้อย่าตกใจกลัว แล้วยกเอาทหารซึ่งหวนเตียวคุมนั้นให้แก่เตียวเจ ให้เตียวเจยกออกไปรักษาเมืองฮองหลงอยู่ดังแต่ก่อน

ขณะนั้นขุนนางทั้งปวงในเมืองหลวง ก็ยิ่งคิดเกรงกลัวลิฉุยกุยกีขึ้นเปนอันมาก แลกาเซี่ยงนั้นว่ากล่าวให้ลิฉุย กุยกี เกลี้ยกล่อมเอาใจขุนนางแลราษฎรทั้งปวงให้มีน้ำใจรัก แลขุนนางทั้งนั้นก็อยู่ในอำนาจลิฉุยกุยกีสิ้น

ขณะนั้นมีหนังสือบอกเมืองเซียงจิ๋วมาว่า มีโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบสี่สิบหมื่นเที่ยวทำร้ายอาณาประชาราษฎร ลิฉุยกุยกีเห็นหนังสือบอกดังนั้น จึงปรึกษาแห่ขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งเกิดโจรทำอันตรายหัวเมืองดังนี้ เราจะคิดประการใดจึงจะบำราบโจรได้ จูฮีจึงว่า ซึ่งเกิดโจรขึ้นณแดนเมืองเซียงจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นแต่โจโฉผู้เดียว มีฝีมือจะไปปราบโจรฝ่ายตวันออกได้ ลิฉุยกุยกีจึงถามว่า โจโฉนั้นอยู่แห่งใด จูฮีจึงบอกว่า โจโฉนั้นได้มาทำการกับอ้วนเสี้ยวเมื่อครั้งรบตั๋งโต๊ะ บัดนี้กลับไปอยู่เมืองตงกุ๋นมีทหารอยู่เปนอันมาก ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกไป ให้โจโฉยกออกไปปราบโจรณแดนเมืองเซียงจิ๋วเห็นจะได้โดยง่าย ลิฉุยกุยกีเห็นด้วย จึงแต่งหนังสือรับสั่งสองฉบับ ๆ หนึ่งให้เปาสิ้นเจ้าเมืองปักเป๋งยกทหารไปเข้าด้วยโจโฉปราบโจร ฉบับหนึ่งให้โจโฉกับเปาสิ้นยกไปปราบโจรณแดนเมืองเซียงจิ๋ว

ฝ่ายเปาสิ้นครั้นแจ้งในหนังสือรับสั่งแล้ว ก็จัดแจงยกทหารไปหาโจโฉ แลโจโฉนั้นครั้นทราบในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดีจึงจัดแจงทหารเปนอันมาก แล้วพาเปาสิ้นยกไปถึงตำบลซิวสุนแดนเมืองเซียงจิ๋ว พบโจรโพกผ้าเหลืองพวกหนึ่งตั้งอยู่เปนอันมาก เปาสิ้นจึงอาสายกเข้าโจมตีพวกโจร พวกโจรต่อรบเปนสามารถ แล้วแต่งทหารโจรวกหลังฆ่าเปาสิ้นตายในที่นั้น ฝ่ายโจโฉเห็นเปาสิ้นตายก็โกรธ จึงยกทหารเข้ารบฆ่าพวกโจรล้มตายเปนอันมาก แลโจโฉคุมทหารไล่พวกโจรไปถึงแดนเมืองเจปัก ทหารทั้งปวงจับโจรได้บ้าง โจรมาเข้าเกลี้ยกล่อมบ้าง ได้คนประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น แล้วโจโฉให้พวกโจรชเลยนั้นเปนกองหน้ายกไปเที่ยวปราบโจรทุกตำบล แต่โจโฉยกทหารเที่ยวปราบโจรนั้นได้ประมาณสองเดือน โจรทั้งปวงนั้นมาเข้าเกลี้ยวกล่อมทั้งเก่าทั้งใหม่ได้ประมาณสามสิบหมื่น บันดาหญิงชายชาวเมืองซึ่งโจรจับไว้ได้นั้นประมาณร้อยหมื่น โจโฉเลือกจัดเอาที่ฉกรรจ์นั้นไว้เปนทหารประมาณยี่สิบหมื่นเศษ ชายชรากับหญิงนั้นให้กลับไปทำมาหากินอยู่ตามภูมิลำเนา โจโฉจึงบอกหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้าปราบโจรสงบแล้ว ลิฉุยกุยกีแจ้งในหนังสือโจโฉดังนั้น จึงเอาขึ้นกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ตรัสว่า โจโฉครั้งนี้มีความชอบเปนอันมาก ให้มีหนังสือไปตั้งให้โจโฉเปนใหญ่กว่าหัวเมืองตวันออกทั้งปวง ลิฉุยกุยกีนั้นหาทันคิดไม่ ก็ให้มีหนังสือตั้งโจโฉตามรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้

โจโฉครั้นได้หนังสือรับสั่งก็มีความยินดีนัก จึงยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋ว แล้วให้ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คน แลจัดหาผู้มีสติปัญญาไว้ จะได้เปนที่ปรึกษาไปภายหน้า แลผู้คนทั้งปวงมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยเปนอันมาก

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ซุนฮกผู้เปนอาว์ ซุนสิวผู้หลาน ซึ่งอยู่กับอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษากันว่า อ้วนเสี้ยวเปนคนหยาบช้า เห็นเราจะอยู่ด้วยสืบไปนั้นมิได้ บัดนี้หัวเมืองฝ่ายตวันออกนั้นโจโฉได้เปนใหญ่ มีใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง เราพากันไปอยู่ด้วยจึงจะควร ซุนสิวผู้หลานเห็นด้วยจึงพากันหนีอ้วนเสี้ยว ไปเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉ ณ เมืองกุนจิ๋ว โจโฉเห็นซุนฮก ซุนสิวนั้นคมสัน เห็นจะมีสติปัญญาจึงหาเข้ามาพูดจาแล้วตั้งไว้เปนที่ปรึกษา ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าได้ยินคนทั้งปวงเล่าลือว่า เทียหยกชาวเมืองตงกุ๋นนั้นมีสติปัญญา บัดนี้อยู่ในเมืองกุนจิ๋ว เปนไฉนท่านมิเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ โจโฉจึงว่าเราได้ยินเขาลืออยู่ช้านานแล้วแต่เรายังมิรู้จักตัว แล้วโจโฉจึงให้คนไปสืบเสาะเกลี้ยกล่อมได้เทียหยกมา โจโฉเห็นก็มีความยินดี จึงเอาเทียหยกไว้ทำราชการด้วย

ฝ่ายเทียหยกรู้ว่าซุนฮกเสนอความดีแก่โจโฉทั้งนั้น เทียหยกจึงว่าแก่ซุนฮกว่า ซึ่งท่านสรรเสริญข้าพเจ้า ๆ นี้มีสติปัญญาน้อย แลกุยแกชาวเมืองเดียวกันกับท่าน มีสติปัญญาเปนอันมาก เปนไฉนท่านมิว่าให้เอาตัวกุยแกมาไว้ทำราชการด้วย ซุนฮกจึงตอบว่าเราลืมไป ต่อท่านมาว่าบัดนี้จึงระลึกขึ้นได้ ซุนฮกจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ๆ ก็ให้ไปเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ กุยแกจึงบอกแก่โจโฉว่า เล่าหัวเปนเชื้อพระเจ้าฮั่นกองบู๊หนึ่ง บวนทงชาวเมืองซันหยงหนึ่ง ลิเกียนชาวเมืองบู๊เสงหนึ่ง มอกายชาวเมืองตันลิวหนึ่ง สี่คนนี้มีสติปัญญาเปนอันมาก โจโฉจึงให้เกลี้ยกล่อมทั้งสี่คนนั้นมาไว้เปนที่ปรึกษา

ฝ่ายอิกิ๋มชาวเมืองกิเป๋งซึ่งเปนโจรมีพรรคพวกเปนอันมาก ก็คุมพวกเพื่อนมาเข้าเกลี้ยกล่อม ขอเปนทหารอยู่ด้วยโจโฉ ครั้นอยู่มาแฮหัวตุ้นพาเตียนอุยมาหาโจโฉ แล้วบอกว่าเตียนอุยคนนี้เปนชาวเมืองตันลิว แลเตียนอุยนั้นมีกำลังกล้าแขง ฆ่าบ่าวเตียวเมาเสียเปนอันมาก แล้วหนีไปอยู่ป่า พอข้าพเจ้าออกไปเที่ยวเล่นเห็นเตียนอุยตีเสือตาย แล้วข้ามแม่น้ำมาพบข้าพเจ้า ๆ เห็นสมควรเปนทหาร ข้าพเจ้าจึงเกลี้ยกล่อมมาอยู่เปนทหารท่าน โจโฉได้ยินดังนั้นก็พิศดูเตียนอุย เห็นรูปร่างนั้นโตใหญ่เข้มแข็งสมควรเปนทหาร จึงถามเตียนอุยว่า ตัวจะเปนทหารนั้นถืออาวุธสิ่งใด เตียนอุยจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเคยชำนาญถือทวนสองเล่ม หนักเล่มละแปดสิบชั่งจีน มีสำหรับตัวข้าพเจ้าอยู่แล้ว โจโฉได้ยินดังนั้นจึงให้จัดม้ามีฝีเท้า ให้แก่เตียนอุยขึ้นขี่ม้ารำทวนดูโจโฉเห็นเตียวอุยขี่ม้ารำทวนนั้นเข้มแข็ง ว่องไว ขณะนั้นโจโฉเห็นธงใหญ่สำคัญสำหรับทัพซึ่งปักอยู่หน้าเมืองนั้น ต้องพายุเอนจะล้มลง ทหารประมาณยี่สิบห้าคน เข้าประคองยกขึ้นก็ไม่ไหว เตียนอุยเห็นดังนั้นจึงโจนลงจากม้าวิ่งไปขับทหารทั้งปวงเสีย เตียนอุยจึงเข้ายกธงนั้นตรงขึ้นดังเก่า โจโฉเห็นดังนั้นจึงสรรเสริญเตียนอุยว่า มีกำลังดุจหนึ่งคนโบราณ แล้วให้จัดเกราะให้แก่เตียนอุย ตั้งให้เตียนอุยเปนนายทหาร สำหรับรักษาตัวโจโฉ


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 8

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnODVEMTlKSzVMcjg/view?resourcekey=0-qDt6igbBDNxQeEUiZgJvKQ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #9 on: 21 December 2021, 20:16:49 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 9


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-9.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 9

เนื้อหา
บิดาโจโฉถูกฆ่าตาย
โจโฉตีเมืองชีจิ๋วแก้แค้นโตเกี๋ยม
โตเกี๋ยมขอกำลังเล่าปี่
เล่าปี่ห้ามทัพโจโฉ
ลิโป้ตีได้เมืองตันลิวของโจโฉ
โจโฉอุบายรับคำเล่าปี่
โตเกี๋ยมเชิญเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว
เล่าปี่รับเป็นแต่เจ้าเมืองเสียวพ่าย
โจโฉรบกับลิโป้

ขณะ เมื่อโจโฉตั้งเกลี้ยกล่อมนั้น ได้ที่ปรึกษาแลทหารเปนอันมาก โจโฉมีความยินดีนัก จึงให้เองเตียวถือหนังสือคุมทหารไปรับโจโก๋ซึ่งเปนบิดาซึ่งอยู่ ณ เมืองตันลิว ครั้นเองเตียวไปถึงจึงเอาหนังสือนั้นให้แก่โจโก๋ ๆ เห็นหนังสือสำคัญของโจโฉผู้บุตรมิได้มีความสงสัย จึงจัดแจงทรัพย์สิ่งของ แล้วชวนโจเต๊กกับพี่น้องครอบครัว แลพรรคพวกประมาณสองร้อยเศษ เกวียนบันทุกสิ่งของนั้นร้อยหนึ่ง แล้วก็ยกไปเมืองกุนจิ๋ว ครั้นมาใกล้เมืองชีจิ๋ว

ฝ่ายโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้น น้ำใจกว้างขวางอารีคิดอยู่ว่า จะไปเข้าด้วยโจโฉ ครั้นรู้ว่าโจโฉให้ไปรับโจโก๋ผู้บิดามาใกล้เมืองนี้แล้วก็มีความยินดี จึงออกไปคำนับแล้วให้เชิญเข้ามาในเมืองชีจิ๋ว แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงครอบครัวพรรคพวกโจโก๋ ๆ นั้นก็ยั้งอยู่ในเมืองชีจิ๋วสองวัน แล้วโตเกี๋ยมจึงให้เตียวคีคุมทหารห้าร้อยให้ไปส่งโจโก๋ ณ เมืองกุนจิ๋ว ครั้นมาถึงตำบลวัดแฮหุย พอเวลาจวนค่ำฝนตกห่าใหญ่ โจโก๋ให้หยุดอาศรัยอยู่ แล้วให้เตียวคีซึ่งคุมทหารมาส่งนั้นล้อมวงอยู่ภายนอก ครั้นเวลาเที่ยงคืนเตียวคีจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่ก่อนนั้นเราเปนโจรโพกผ้าเหลือง ครั้นมีผู้มาปราบปราม เราจึงหลบหลีกจำใจเข้าอยู่ด้วยกับโตเกี๋ยม ๆ ก็มิได้ให้สิ่งใดเรา ซึ่งเราจะทำราชการด้วยสืบไปนั้นเห็นจะไม่ได้ดี บัดนี้โตเกี๋ยมให้เรามาส่งโจโก๋ ๆ นั้นมีทรัพย์สิ่งของบันทุกเกวียนมาเปนอันมาก เราจะลอบฆ่าโจโก๋เสียเราจะเก็บทรัพย์สิ่งของพากันหนีไปอยู่ซอกเขา ทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย แลฝนนั้นยังมิสงบเตียวคีก็คุมทหารเข้าไปจะฆ่าโจโก๋ ๆ ได้ยินทหารอื้ออึงเข้ามา จะพาภรรยาน้อยหนีไปก็มิทัน เตียวคีไล่รุกเข้าไปฆ่าโจโก๋กับพรรคพวกตายเสียเปนหลายคน แล้วเตียวคีเก็บเอาทรัพย์สิ่งของ จึงเอาเพลิงเผาวัดเสียแล้วพากันหนีออกไปอยู่ในป่าซอกเขา

ฝ่ายเองเตียวเห็นโจโก๋ตายแล้วก็คิดกลัวโจโฉ จึงหนีไปหาอ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว แลทหารโจโฉซึ่งเองเตียวคุมมานั้นหนีได้ก็รีบมาบอกโจโฉตามเนื้อความซึ่งมีมา แต่หลัง แล้วว่าโจโก๋บิดาท่านตายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโตเกี๋ยมคิดเปนกลอุบาย ให้เตียวคีมาส่งแล้วแกล้งลอบฆ่าบิดาท่านเสีย เก็บเอาทรัพย์สิ่งของไปให้โตเกี๋ยม โจโฉครั้นแจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รักบิดาจนล้มลงจากเก้าอี้ ทหารทั้งปวงเข้าอุ้มโจโฉขึ้นบนเก้าอี้ โจโฉนั้นมีความโกรธจึงว่า ซึ่งโตเกี๋ยมทำกลอุบายมาฆ่าบิดาเราเสียนั้น เราจะยกทหารไปเหยียบเมืองชีจิ๋วให้ราบเปนแผ่นดิน จึงจะหายความแค้น แล้วเกณฑ์ให้ซุนฮกหนึ่ง เทียหยกหนึ่ง กับคนสามหมื่นอยู่รักษาเมือง แล้วโจโฉจัดแจงทหารทั้งปวง ยกไปใกล้เมืองชีจิ๋วก็ให้ตั้งค่ายอยู่ จึงให้แฮหัวตุ้นหนึ่ง อิกิ๋มหนึ่ง เตียนอุยหนึ่ง ยกทหารเปนกองหน้า ถ้าตีได้เมืองชีจิ๋วแล้ว ให้ฆ่าหญิงชายชาวเมืองเสียให้สิ้น จึงจะหายความแค้นเรา

ฝ่ายเปียนเหยียงเจ้าเมืองกิวกั๋งนั้นชอบกันกับโตเกี๋ยม ครั้นรู้ว่าโจโฉยกมาจะรบเมืองชีจิ๋ว จึงเกณฑ์ทหารห้าพันยกมาจะช่วยโตเกี๋ยม ฝ่ายโจโฉรู้จึงให้แฮหัวตุ้นคุมทหารไปสกัดตีเปียนเหยียง แลแฮหัวตุ้นก็ยกไปฆ่าเปียนเหยียงแลทหารเสียสิ้น

ฝ่ายตันก๋งซึ่งหนีโจโฉครั้งก่อนนั้น ไปขอทำราชการอยู่ด้วยเจ้าเมืองตองกุ๋น แลตันก๋งนั้นเปนมิตรกับโตเกี๋ยม ครั้นรู้ว่าโจโฉยกทหารมาจะตีเมืองชีจิ๋ว แล้วโจโฉจึงสั่งว่าถ้าได้เมืองแล้ว จงฆ่าหญิงชายใหญ่น้อยชาวเมืองเสียให้สิ้น จึงขึ้นม้าแต่ผู้เดียวรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน หวังจะห้ามโจโฉมิให้ทำร้ายโตเกี๋ยม ครั้นมาถึงหน้าค่ายจึงบอกแก่ทหารโจโฉว่า เราจะขอเข้าไปหาโจโฉ ทหารทั้งนั้นจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่โจโฉ ๆ ได้ยินดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งตันก๋งจะมาหาเรานี้ เห็นจะว่ากล่าวด้วยความโตเกี๋ยม ครั้นเราจะมิให้เข้ามา ก็คิดถึงคุณเมื่อครั้งเราหนีตั๋งโต๊ะ ตันก๋งจับได้แล้วมิได้ส่งขึ้นไปเราจึงรอดชีวิตอยู่ จึงให้หาตัวตันก๋งเข้ามา โจโฉคำนับแล้วถามว่า ท่านมาหาเรานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ตันก๋งจึงตอบว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านยกทหารมาจะรบโตเกี๋ยม หวังจะแก้แค้นซึ่งบิดาท่านตาย แลโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นเปนคนสัตย์ซื่ออารี จึงให้เตียวคีคุมทหารไปส่งบิดาท่าน ซึ่งเกิดเหตุขึ้นทั้งนี้เพราะเตียวคีเปนคนโลภฆ่าบิดาท่านเสีย เก็บเอาทรัพย์สิ่งของหนีไปอยู่ป่า โตเกี๋ยมนั้นจะได้คบคิดให้ทำหามิได้ ซึ่งท่านสั่งทหารว่า ถ้าได้เมืองชีจิ๋วแล้วจงฆ่าหญิงชายชาวเมืองเสียให้สิ้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าชาวเมืองทั้งปวงหาความผิดมิได้ จะให้ฆ่าเสียนั้นไม่ชอบ ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ขอท่านดำริห์ดูจงควรเถิด

โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงตอบว่าครั้งเราหนีตั๋งโต๊ะนั้น ท่านยอมไปด้วยเราแล้ว ทิ้งเราเสียหนีไปกลางทาง บัดนี้กลับมาหาเรา แลโตเกี๋ยมนั้นคิดเปนกลอุบายให้ทหารไปส่งบิดาเรา แล้วทำร้ายบิดาเรากับพรรคพวกตายเปนอันมาก เรายกมาหวังจะแก้แค้นโตเกี๋ยม แลท่านมีหน้ามาห้ามนั้นเราหาฟังไม่ ตันก๋งเห็นโจโฉโกรธมิรู้ที่จะตอบประการใด ก็ลาโจโฉออกมาจากค่าย จึงคิดแต่ในใจว่า กูมาห้ามโจโฉก็มิสมความคิด ครั้นจะไปหาโตเกี๋ยมก็มีความละอายใจเปนอันมาก จึงรีบไปหาเตียวเมา ณ เมืองตันลิว

ฝ่ายโจโฉก็ยกทหารเข้าไปใกล้เมืองชีจิ๋ว ทหารโจโฉก็ฆ่าฟันหญิงชายซึ่งอยู่นอกเมืองเสีย แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งของมาไว้เปนอันมาก

ฝ่ายโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วรู้ดังนั้น ก็มีความเสร้าหมองร้องไห้รักราษฎรทั้งปวงด้วยความเอ็นดู แล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งนั้นว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะกรรมของเรามาตามทัน ชาวเมืองพลอยล้มตายเปนอันมาก

โจป้าจึงว่าท่านหาความผิดมิได้ โจโฉยกมาทำอันตรายทั้งนี้จะนิ่งไว้ข้าศึกก็จะกำเริบ จำเราจะยกออกไปรบพุ่งต้านทานไว้จึงจะได้ โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารทั้งปวง ครั้นเวลาเช้าก็เปิดประตูเมืองยกทหารออกไป เห็นทหารโจโฉนั้นตั้งอยู่เปนอันมาก ดังคลื่นในท้องมหาสมุทร

ฝ่ายโจโฉเห็นโตเกี๋ยมยกออกมา จึงขับม้าขึ้นมาแล้วให้ทหารทั้งปวงตั้งรับไว้เปนหน้ากระดาน โตเกี๋ยมจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร ก็ย่อตัวลงคำนับแล้วว่ากับโจโฉว่า เดิมข้าพเจ้าคิดว่าจะไปทำราชการด้วยท่าน ครั้นรู้ว่าบิดาท่านมาถึงเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าได้รับเข้ามาเลี้ยงดูแล้ว แต่งให้เตียวคีคุมทหารไปส่งหวังจะทำความชอบไว้ต่อท่าน แลเตียวคีนั้นเอาใจออกหากข้าพเจ้า ฆ่าบิดากับพรรคพวกท่านเสีย แลข้าพเจ้าจะได้คิดอ่านเปนกลอุบายให้เตียวคีทำร้ายนั้นหามิได้ ซึ่งท่านโกรธข้าพเจ้า ยกมาฆ่าชาวเมืองซึ่งหาความผิดมิได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร ขอท่านดำริห์ดูจงชอบก่อน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ด่าโตเกี๋ยมเปนข้อหยาบช้าแล้วร้องตอบว่า มึงคิดกลอุบายแกล้งให้ทหารฆ่าบิดาแลพรรคพวกกูเสีย แลเอาความดีมาแก้ตัว จึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปจับเอาตัวโตเกี๋ยมมาให้เราได้ แฮหัวตุ้นรับอาสาแล้วขับม้ารำทวนออกไปจะจับเอาตัวโตเกี๋ยม โจป้าเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบด้วยแฮหัวตุ้นได้ห้าเพลง พอเกิดพายุฝนตกห่าใหญ่ ต่างคนต่างยกทหารกลับไป โตเกี๋ยมนั้นกลับเข้ามาถึงเมือง จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เห็นเราจะสู้โจโฉมิได้ ซึ่งจะคิดรบพุ่งไปฉนี้ทหารแลชาวเมืองก็จะพลอยตายเสียสิ้น ท่านทั้งปวงจงเอาตัวเรามัดออกไปส่งให้โจโฉ ทหารแลชาวเมืองจึงจะรอดชีวิต

ฝ่ายบิต๊กชาวเมืองตองไฮ เปนพ่อค้ามีทรัพย์สินเปนอันมาก เมื่อครั้งพาพวกเพื่อนไปค้าเมืองลกเอี๋ยงนั้นขายของเสร็จแล้ว เข็นเกวียนจะกลับมา พบหญิงคนหนึ่งรูปงามอายุประมาณสิบหกปี ขอโดยสารบิต๊กจะมาเมืองตองไฮด้วย บิต๊กเอ็นดูว่าเปนหญิง จึงลงเดิรให้หญิงนั้นนั่งไปบนเกวียน หญิงนั้นจึงว่าข้าพเจ้าเปนคนโดยสานจะนั่งไปบนเกวียน จะให้ท่านเดิรไปนั้นไม่ควร เชิญท่านขึ้นมานั่งไปบนเกวียนเถิด บิต๊กก็ขึ้นเกวียนขับไป ในขณะเมื่อบิต๊กนั่งมานั้นชิดกับหญิง แลบิต๊กจะได้แลดูแลคิดผูกพันธ์รักใคร่หญิงนั้นหามิได้ ครั้นถึงเมืองตองไฮ หญิงนั้นจึงว่าแก่บิต๊กว่า เรานี้มิใช่มนุษย์เปนนางในเมืองบน เทวดาผู้ใหญ่ให้เราเอาเพลิงลงมาจุดเผาเรือนท่านเสีย ตัวเราเปนหญิงแกล้งลองใจ โดยสารท่านมาท่านมิได้ทำอันตรายแก่เรานั้น ก็เห็นว่าท่านมีความสัตย์อยู่มั่นคง ครั้นเราจะไม่เอาเพลิงไปเผาเรือนท่าน ก็ขัดเทวดาผู้ใหญ่มิได้ ท่านจงเร่งไปขนทรัพย์สิ่งของที่เรือนท่านเสียให้พ้นในเวลากลางคืนวันนี้ จะเอาเพลิงเผาเรือนท่านเสียตามคำเทวดา ครั้นบอกแล้วหญิงนั้นก็หายไป

บิต๊กได้ฟังดังนั้นเห็นประหลาทใจจึงรีบไปถึงเรือน แล้วขนทรัพย์สิ่งสินเข้าของเสียจากเรือนนั้น ครั้นเวลากลางคืนก็เกิดเพลิงไหม้เรือนบิต๊กขึ้น แล้วบิต๊กจึงเอาทรัพย์สิ่งของนั้นให้ทานยาจกทั้งปวงเสียสิ้น แลกิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงโตเกี๋ยม ๆ จึงให้ไปรับเอาตัวบิต๊กมาไว้เปนที่ปรึกษา ขณะเมื่อบิต๊กได้ฟังโตเกี๋ยมว่าดังนั้น จึงตอบว่าท่านเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วแลมีน้ำใจสัตย์ซื่อโอบอ้อมอารี ราษฎรชาวเมืองมีใจรักใคร่ท่านเปนอันมาก ซึ่งจะให้เอาตัวท่านส่งไปให้โจโฉนั้นไม่ควร ราษฎรทั้งปวงก็จะหาที่พึ่งมิได้ ท่านจงเกณฑ์ทหารแลชาวเมืองขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินให้มั่นคง เห็นโจโฉจะหักเอาเมืองโดยง่ายยังมิได้ ขอให้แต่งหนังสือให้ข้าพเจ้าถือไป ขอกองทัพขงหยงเจ้าเมืองปักไฮมาช่วยรบโจโฉฉบับหนึ่ง ๆ ให้แต่งทหารถือไปขอกองทัพเต๊งไก่เจ้าเมืองเซียงจิ๋วมาช่วยทำการรบพุ่งโจโฉ เปนทัพกระหนาบ โจโฉก็จะแตกไป โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย จึงถามว่าผู้ใดจะอาสาถือหนังสือไปให้เต๊งไก่ได้ ตันเต๋งจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไป โตเกี๋ยมจึงให้แต่งหนังสือ ให้ตันเต๋งถือไปขอกองทัพเต๊งไก่เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว แล้วแต่งอีกฉบับหนึ่ง ให้บิต๊กถือไปถึงขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ จงเห็นแก่ไมตรีเร่งยกกองทัพมาช่วยรบโจโฉ

ฝ่ายขงหยงเจ้าเมืองปักไฮนั้น มีใจกว้างขวางอารีมักคบเพื่อนฝูงเปนอันมาก ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงมีใจรักใคร่ แลขงหยงนั้นหาทหารมากินโต๊ะพร้อมกันอยู่ พอบิต๊กเอาหนังสือมาให้ ขงหยงแจ้งในหนังสือแล้วจึงว่า โตเกี๋ยมกับเราเปนคนรักกัน แลโจโฉมิได้มีความผิดกับเรา ถ้าจะให้หนังสือไปห้ามโจโฉ ก็เห็นว่าจะฟังคำเราอยู่ ถ้าขัดแขงประการใด เราจึงจะยกทัพไปช่วยโตเกี๋ยมรบโจโฉต่อภายหลัง บิต๊กจึงตอบว่าโจโฉนั้นโกรธว่า โตเกี๋ยมคิดกลอุบายฆ่าบิดาโจโฉเสีย ซึ่งท่านจะให้มีหนังสือไปห้ามนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะมิฟัง ก็จะป่วยการเสียเปล่า ขงหยงจึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เราจะให้คนถือหนังสือกับกองทัพยกไปให้พร้อมกัน

ขณะนั้นพอม้าใช้มาบอกขงหยงว่า กวนไฮคุมโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น ยกตีเข้ามาใกล้แดนเมืองเรา ขงหยงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงเกณฑ์ทหารแล้วยกออกไปรบด้วยพวกโจร กวนไฮขับม้าขึ้นมาหน้าโจรทั้งปวง แล้วร้องว่าแก่ขงหยงว่า ซึ่งเรายกมาทั้งนี้ปราถนาจะเอาสเบียง ถ้าท่านเอาสเบียงมาให้เราหมื่นถัง เราจะยกกลับไป แม้นท่านมิให้เราก็จะคุมพวกเพื่อนเข้าตีเอาเมืองปักไฮนี้ให้ได้ แล้วจะฆ่าบุตรภรรยาพี่น้องท่านเสีย

ขงหยงได้ยินดังนั้นจึงร้องตอบว่า ตัวเราเปนขุนนางรักษาขอบขัณฑเสมาของพระมหากษัตริย์ แลมึงเปนแต่โจร จะมาทำโอหังเรียกเอาสเบียงแก่กูนั้นกูมิได้ยอมให้ ซึ่งมึงจะยกเข้าหักเอาเมืองให้ได้นั้นหากลังมึงไม่ กวนไฮได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำง้าวเข้ารบด้วยขงหยง จงโปทหารขงหยงก็ขับม้าเข้ารบด้วยกวนไฮได้ห้าเพลง กวนไฮเอาง้าวฟันจงโปตกม้าตาย ขงหยงเห็นจะต้านทานมิได้ ก็พาทหารถอยหนีเข้าเมือง กวนไฮจึงยกพวกโจรเข้าล้อมเมืองปักไฮไว้ บิต๊กซึ่งโตเกี๋ยมให้หนังสือมานั้น ก็เปนทุกข์อยู่ในเมืองปักไฮนั้นด้วย

ครั้นเวลารุ่งเช้าขงหยงจึงขึ้นดูบนเชิงเทิน เห็นพวกโจรล้อมเมืองไว้ จึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่อยู่เปนมั่นคง แล้วขงหยงเห็นทหารคนหนึ่งขี่ม้ารบฝ่าพวกโจรเข้ามาถึงประตูเมือง ร้องให้เปิดรับ ขงหยงมิได้เปิดประตูรับด้วยไม่รู้จัก ขณะนั้นพวกโจรทั้งปวงตามเข้ามา ทหารคนนั้นชักม้ากลับหน้าไปฆ่าพวกโจรตายเปนอันมาก ขงหยงเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงให้เปิดประตูรับทหารคนนั้นเข้ามา ขงหยงจึงถามว่า ท่านนี้ชื่อใดมาแต่ไหน จึงรบฝ่าพวกโจรเข้ามานั้น ด้วยเหตุประการใด

ไทสูจู้โจนลงจากม้าเอาทวนวางไว้คำนับขงหยง แล้วตอบว่าข้าพเจ้าชื่อไทสูจู้อยู่เมืองอุยก๋วน แลมารดาข้าพเจ้านั้นสรรเสริญถึงคุณท่านว่าได้ให้เสื้อผ้าเข้าปลาอาหารแก่ มารดาข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้มารดาข้าพเจ้าแจ้งว่าโจรมาล้อมเมืองจึงให้ข้าพเจ้ามาช่วยรบ หวังจะแทนคุณท่าน ข้าพเจ้าจึงรบฝ่าพวกโจรเข้ามา ได้ฆ่าฟันโจรเสียเปนอันมาก ขงหยงได้ยินดังนั้นก็ระลึกได้ แล้วตอบว่าเมื่อท่านยังน้อยอยู่นั้น เราเห็นว่าท่านจะมีสติปัญญา ควรจะเปนทหารได้คนหนึ่ง เราจึงเอาของไปให้ทำไมตรีไว้แก่มารดาท่าน ซึ่งท่านมาช่วยเราครั้งนี้ เรามีความยินดีนัก แล้วขงหยงก็เอาเกราะกับเสื้อให้แก่ไทสูจู้เปนบำเหน็จ ไทสูจู้ก็รับเอาเกราะกับเสื้อด้วยความยินดี จึงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารพันหนึ่งยกออกไปตีพวกโจรให้แตกไปจงได้ ขงหยงจึงห้ามว่าตัวท่านมีฝีมือกล้าหาญก็จริงอยู่ แต่พวกโจรครั้งนี้เข้มแขงนัก เห็นท่านจะต้านทานมิได้ ไทสูจู้จึงตอบว่าท่านมีคุณต่อมารดาข้าพเจ้าเปนอันมาก ถึงมาทว่าข้าพเจ้าจะตายในที่รบ ก็จะเอาชีวิตสนองคุณท่านซึ่งมีคุณแก่มารดาข้าพเจ้า แลท่านจะมาห้ามไว้นี้ไม่ควร เหมือนหนึ่งมิให้ข้าพเจ้าแทนคุณมารดา ข้าพเจ้าจะกลับไปนั้นมารดาก็จะว่ามิได้ทำตามคำ โทษก็จะมีแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ขงหยงจึงตอบว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ จะใคร่ได้ท่านไว้เปนที่ปรึกษา เราจึงห้ามเพราะทหารในเมืองเราก็น้อย แลเล่าปี่นั้นมีสติปัญญาได้กวนอูเตียวหุยไว้เปนกำลัง ถ้าได้เล่าปี่มาช่วยรบเปนทัพกระหนาบพวกโจรก็จะแตกไป แต่หาผู้ใดจะถือหนังสือฝ่าพวกโจรออกไปไม่ ไทสูจู้จึงตอบว่า ถ้าท่านมิให้ข้าพเจ้าออกไปรบ จงเร่งแต่งหนังสือเถิด ข้าพเจ้าจะอาสาถือไปให้เล่าปี่

ขงหยงจึงแต่งหนังสือเปนใจความว่า ขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ อวยพรมาถึงเล่าปี่เจ้าเมืองเพงงวนก๋วน ด้วยบัดนี้กวนไฮคุมพวกโจรประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น ล้อมเมืองไว้เปนสามารถ จงมีความเมตตายกมาช่วยรบโจรเปนทัพกระหนาบ ไมตรีจะมีต่อกันสืบไป ครั้นแต่งแล้วจึงให้ไทสูจู้ ๆ รับเอาหนังสือแล้วใส่เกราะถือทวนขับม้าออกจากประตูเมือง ไปถึงหน้าค่ายโจร กวนไฮเห็นดังนั้นจึงขับทหารโจรทั้งปวงออกไล่จับไทสูจู้ ๆ เอาทวนแทงถูกพวกโจรนั้นล้มตายเปนอันมาก ไทสูจู้รบฝ่าออกไปได้ ครั้นถึงเมืองเพงงวนก๋วนก็เข้าไปคำนับเล่าปี่ แล้วส่งหนังสือให้เล่าปี่ ๆ แจ้งในหนังสือดังนั้นยังมิได้ว่าประการใด จึงพิศดูรูปร่างผู้ถือหนังสือเห็นเข้มแขงสมควรเปนทหาร แล้วถามว่าท่านนี้ชื่อใด ไทสูจู้จึงบอกว่าข้าพเจ้านี้ชื่อไทสูจู้ จะได้เปนญาติพี่น้องแลทหารขงหยงนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้าอาสามาครั้งนี้ เพราะขงหยงมีคุณแก่มารดาข้าพเจ้า เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสรรเสริญไทสูจู้ว่ามีกตัญญูต่อมารดา จึงว่าซึ่งขงหยงนับถือให้มาขอกองทัพเรา ๆ ก็จะยกไปช่วย แลเล่าปี่นั้นให้กวนอูเตียวหุยจัดทหารได้สามพัน แล้วก็พาไทสูจู้ยกไปใกล้เมืองปักไฮ

ฝ่ายกวนไฮนายโจรครั้นเห็นกองทัพยกมา ก็เห็นว่าจะยกมาช่วยขงหยง จึงคุมพวกโจรออกมาตั้งรับ แลเล่าปี่เห็นดังนั้น จึงชวนกวนอูเตียวหุยกับไทสูจู้ขับม้าขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวง กวนไฮเห็นทหารซึ่งยกมานั้นน้อยก็มีใจกำเริบ จึงขับม้ารำทวนเข้าไปจะรบด้วยนายทัพ ไทสูจู้เห็นดังนั้นก็ขับม้าออกรบ พอเห็นกวนอูขับม้าออกไปก่อน ไทสูจู้ก็ชักม้ายั้งไว้ แลกวนอูนั้นขับม้าไปรบด้วยกวนไฮได้สามสิบเพลง กวนอูเอาง้าวฟันถูกกวนไฮตัวขาดออกสองท่อนตาย แลกวนอูไทสูจู้ก็ไล่ฆ่าฟันพวกโจร เล่าปี่เตียวหุยก็คุมทหารยกหนุนไป

ฝ่ายขงหยงได้ยินเสียงอื้ออึงก็ขึ้นดูบนเชิงเทิน เห็นกองทัพเล่าปี่ไปฆ่าฟันพวกโจร อุปมาดังเสือไล่ฝูงเนื้อ ขงหยงมีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารรีบออกไปรบกระหนาบ พวกโจรนั้นล้มตายเปนอันมาก ซึ่งหนีไปได้นั้นก็กลับมาเข้าด้วยเล่าปี่ ขงหยงจึงเชิญให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยไทสูจู้เข้าไปในเมือง แล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงดูตัวนายแลทหารทั้งปวง

ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้น ขงหยงให้บิต๊กคำนับเล่าปี่ แล้วขงหยงเล่าเนื้อความซึ่งโตเกี๋ยมให้บิต๊กถือหนังสือมาขอกองทัพข้าพเจ้าไป รบโจโฉ พอกองทัพโจรมาล้อมเมืองไว้ บิต๊กจึงค้างอยู่ เล่าปี่จึงตอบว่าโตเกี๋ยมเปนคนสัตย์ซื่ออารี แลจะคิดกลอุบายให้เตียวคีฆ่าโจโก๋เสียนั้นเราไม่เห็นด้วย ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะกรรมของโตเกี๋ยมทำไว้แต่หลัง ขงหยงจึงว่าบัดนี้โจโฉหมายใจผูกแค้นโตเกี๋ยมซึ่งหาความผิดมิได้ เพราะโจโฉมีทหารเปนอันมาก จึงยกมาทำการหยาบช้า ฆ่าชาวเมืองชีจิ๋วเสียเปนอันมาก ตัวท่านเปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ควรที่จะทำนุบำรุงให้ราษฎรทั้งปวงอยู่เย็นเปนสุขสืบไป ขอเชิญท่านไปกับข้าพเจ้าจะได้ช่วยโตเกี๋ยมรบโจโฉ

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ แต่เราเกรงว่าทหารเรานี้มีน้อย ถ้าจะยกไปทำการเห็นจะเสียทีแก่โจโฉ ขงหยงจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะยกไปช่วยโตเกี๋ยมนั้น ใช่จะเห็นแก่ลาภสักการแลชอบใจกันนั้นหามิได้ ข้าพเจ้าคิดว่าโตเกี๋ยมมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ทำนุบำรุงราษฎรชาวเมืองให้อยู่เย็นเปนสุข แลตัวท่านเปนเชื้อพระวงศ์รู้ว่าผู้มีกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดเหตุทั้งนี้ท่านจะ ละเสียไม่ควร เล่าปี่จึงตอบว่าเราจะได้บิดพลิ้วมิไปนั้นหามิได้ ขอท่านยกไปก่อนเถิด เราจะไปยืมทหารกองซุนจ้านให้ได้สักห้าพัน แล้วจึงจะยกไปตามต่อภายหลัง

ขงหยงจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งท่านจะยกไปตามนั้นแล้วอย่าลวงเรา เล่าปี่จึงตอบว่าท่านได้ยินคำเล่าลือว่าเราล่อลวงผู้ใดบ้าง ถ้าเราไปยืมทหารได้ก็ดี มิได้ก็ดี เราจะยกไปตามท่านให้ได้ แล้วเล่าปี่ก็ลาขงหยงยกทหารไปหากองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง ฝ่ายขงหยงจึงให้บิต๊กรีบไปบอกโตเกี๋ยมว่า เราจะยกไปช่วยเปนมั่นคง บิต๊กรับคำขงหยงแล้วก็ลาไป

ขณะนั้นมีคนมาบอกไทสูจู้ว่า เล่าอิ้วให้หาไป ไทสูจู้จึงเข้าไปคำนับขงหยงแล้วว่า ซึ่งมารดาข้าพเจ้าใช้ให้มาแทนคุณท่านนั้น การก็สำเร็จแล้ว บัดนี้เล่าอิ้วเจ้าเมืองเอียงจิ๋วนั้นใช้คนถือหนังสือมาหาข้าพเจ้าว่าจะ ปรึกษาราชการ ครั้นข้าพเจ้ามิไปก็จะเสียไมตรีซึ่งชอบกันมา ข้าพเจ้าจะขอลาท่านไป ขงหยงได้ยินดังนั้นก็มีความอาลัย จึงจัดเงินทองเสื้อผ้าให้แก่ไทสูจู้เปนบำเหน็จ ไทสูจู้จึงว่าของทั้งนี้ท่านเอาไว้แจกทหารเถิด แล้วก็ลาขงหยงกลับไปหามารดา แล้วบอกเนื้อความให้มารดาฟังทุกประการ มารดาได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าซึ่งเล่าอิ้วเจ้าเมืองเอียงจิ๋วให้มาหานั้นจงรีบไปเถิดเจ้า ไทสูจู้ก็ลามารดาไปหาเล่าอิ้ว ณ เมืองเอียงจิ๋ว

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นมาถึงเมืองปักเป๋งจึงบอกแก่กองซุนจ้านว่า บัดนี้โจโฉยกมารบโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะขอยืมทหารท่านสักห้าพันจะยกไปช่วยโตเกี๋ยมรบโจโฉ กองซุนจ้านได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า โจโฉนั้นหาความผิดสิ่งใดกับท่านมิได้ ท่านจะยกไปช่วยโตเกี๋ยมนั้นเราไม่เห็นด้วย เล่าปี่จึงตอบว่าข้าพเจ้าได้รับคำขงหยงมาแล้ว ครั้นจะมิยกไปขงหยงก็จะว่าเจรจาไม่จริง กองซุนจ้านจึงว่า ท่านได้รับคำเขามาแล้วเราก็จะให้ทหารม้าไปด้วยแต่สองพัน เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้าจะขอจูล่งไปด้วย กองซุนจ้านก็ยอมให้ เล่าปี่มีความยินดีนัก จึงเอาทหารของกองซุนจ้านสองพันนั้นให้จูล่งคุมเปนกองหลัง เล่าปี่กวนอูเตียวหุยนั้นคุมทหารสามพันเศษก็พากันยกไปเมืองชีจิ๋ว

ฝ่ายบิต๊กครั้นมาถึงเมืองชีจิ๋ว จึงเอาเนื้อความบอกแก่โตเกี๋ยมว่าขงหยงนั้นได้ชักชวนเล่าปี่ให้มาช่วยท่าน แลขงหยงกับเล่าปี่ก็ยกตามมา

แลตันเต๋งซึ่งไปขอกองทัพเต๊งไก๋นั้น ก็กลับมาบอกโตเกี๋ยมว่าเต๊งไก๋จะยกมาช่วย โตเกี๋ยมได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลายใจ

ฝ่ายขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ แลเต๊งไก๋เจ้าเมืองเชียงจิ๋วก็คุมทหารยกมาถึงเมืองชีจิ๋ว เห็นกองทัพโจโฉตั้งประชิดอยู่ ขงหยงกับเต๊งไก๋ก็ให้ตั้งค่ายอยู่ข้างหลังทัพโจโฉทั้งสองด้านหวังจะดูทีศึก โจโฉเห็นดังนั้นจึงคิดว่าบัดนี้มีกองทัพมาตั้งอยู่ข้างหลังเปนสองด้าน ครั้นจะยกเข้าหักเอาเมืองชีจิ๋วก็ระวังหลังอยู่ เกรงจะเปนศึกกระหนาบ จึงให้ทหารทั้งปวงกลับหน้าออกมาตั้งรับไว้ทั้งสองด้าน

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นยกทหารมาถึงเมืองชีจิ๋ว เห็นกองทัพขงหยงเต๊งไก๋ตั้งประชิดทัพโจโฉอยู่เปนสองกอง เล่าปี่ก็เข้าไปหาขงหยง ๆ มีความยินดีจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โจโฉคุมทหารมาทำการครั้งนี้เปนอันมาก แล้วโจโฉก็มีสติปัญญาคิดอ่านชำนาญในสงคราม ซึ่งเราจะยกทหารเข้าหักเอาโดยเร็วนั้นเห็นจะเสียการ จำจะตั้งยั้งไว้ดูทีก่อน ถ้าเห็นได้ท่วงทีแล้วเราจึงจะยกเข้ารบด้วยโจโฉ

เล่าปี่ตอบว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เราเกรงว่าจะตั้งอยู่ช้านั้นสเบียงในเมืองชีจิ๋วก็น้อย ชาวเมืองจะอดอยาก เราจะให้กวนอูกับจูล่งคุมทหารสี่พันไปตั้งมั่นอยู่กับท่าน แต่เรากับเตียวหุยจะคุมทหารพันเศษ รบฝ่ากองทัพโจโฉเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว จะได้ปรึกษาราชการกับโตเกี๋ยม แล้วจะประมาณดูสเบียงอาหารในเมืองซึ่งมีอยู่นั้นมากน้อยสักเท่าใด จึงจะคิดการต่อไป ขงหยงเห็นขอบด้วย เล่าปี่กับเตียวหุยก็คุมทหารเข้าไปหน้าถึงค่ายโจโฉ ฝ่ายทหารโจโฉเห็นดังนั้นก็ยกออกตั้งรับเปนอันมาก ดังคลื่นในท้องมหาสมุทร

แลอิกิ๋มนั้นขี่ม้าขับขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง แล้วจึงร้องว่าแก่เล่าปี่เตียวหุยว่า มึงมานี่จะไปไหน แลทหารซึ่งคุมมาประมาณพันหนึ่งนี้ ยังจะครั่นฝีมือทหารเราหรือ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ มิได้ตอบประการใด ก็ขับม้ารำทวนเข้าไปรบด้วยอิกิ๋มได้สิบเพลง เล่าปี่ถือกระบี่ขับม้าเข้าไปช่วยเตียวหุยรบ แลอิกิ๋มนั้นกำลังน้อยเห็นจะสู้เตียวหุยมิได้ ก็ชักม้าหนีเตียวหุย ๆ ขับม้าไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉตายเปนอันมาก เล่าปี่กับเตียวหุยก็พาทหารเข้าไปถึงประตูเมือง

ฝ่ายโตเกี๋ยมขึ้นดูบนเชิงเทิน แลเห็นทหารยกเข้ามาถึงประตูเมืองดูธงแดงสำคัญ ก็เห็นอักษรว่าเล่าปี่เจ้าเมืองเพงงวนก๋วน โตเกี๋ยมมีความยินดีนัก ก็ให้ทหารเปิดประตูรับเล่าปี่เข้าไปในเมือง จึงเชิญให้นั่งแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่เตียวหุยกับทหารทั้งปวง เล่าปี่จึงบอกแก่โตเกี๋ยมว่าเราเข้ามาบัดนี้ ได้รบพุ่งฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก โตเกี๋ยมได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี แล้วดูรูปร่างเล่าปี่เห็นสมเปนเชื้อพระวงศ์ ทั้งพูดจาก็อารีเห็นน้ำใจจะกว้างขวาง โตเกี๋ยมจึงใช้ให้บิต๊กเข้าไปเอาตราสำหรับที่เจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นออกมาส่ง ให้เล่าปี่ ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า ซึ่งท่านเอาตราสำหรับที่มาให้เรานี้ด้วยเหตุสิ่งใด โตเกี๋ยมจึงตอบว่า ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัติ พระชันสานั้นยังเยาว์อยู่ ขุนนางที่มิได้มีใจสัตย์ซื่อนั้นมักทำจลาจลต่าง ๆ แผ่นดินได้ความเดือดร้อนเนือง ๆ มา ข้าพเจ้าก็แก่ชราแล้ว จะคิดการบำรุงแผ่นดินต่อไปนั้นก็ขัดสน ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเปนเชื้อพระวงศ์ แล้วก็มีสติปัญญาโอบอ้อมอารีควรที่จะทำนุบำรุงราษฎรให้เปนสุข ข้าพเจ้าจึงเอาตราสำหรับที่มาให้ หวังจะเชิญให้ท่านเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว จะได้คิดการกำจัดศัตรูราชสมบัติต่อไป แล้วข้าพเจ้าจะแต่งหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้

เล่าปี่ได้ยินดังนั้นจึงคำนับโตเกี๋ยมแล้วว่า เรานี้เปนเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่สติปัญญาน้อย ทำราชการยังหาความชอบข้อใหญ่มิได้ เปนแต่เจ้าเมืองจัตวา เราก็ยังคิดเกรงอยู่ว่าจะไม่ควรกับสติปัญญา ซึ่งเรายกมาทั้งนี้เพราะมีน้ำใจหวังจะช่วยท่านรบโจโฉ หรือท่านแคลงอยู่ว่า เราจะมาชิงเอาเมืองชีจิ๋ว ถ้าเราคิดดังนั้นก็ขออย่าให้เทวดารักษาชีวิตเราเลย

โตเกี๋ยมจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะยกเมืองให้ท่านนี้ เปนความสุจริตใช่จะคิดสงสัยล่อลวงสิ่งใดหามิได้ แต่โตเกี๋ยมอ้อนวอนมอบเมืองชีจิ๋วให้เล่าปี่เปนหลายครั้ง เล่าปี่ก็มิได้รับ บิต๊กจึงว่าแก่โตเกี๋ยมว่า ทัพโจโฉมาตั้งประชิดเมืองอยู่ เล่าปี่จะมาช่วยทำการศึก แลท่านจะมาว่ากล่าวมอบเมืองให้ช้าอยู่ดังนี้ไม่ควร ให้ท่านเร่งคิดกันทำการสงครามให้สำเร็จแล้วจึงค่อยมอบเมืองให้เล่าปี่ต่อภาย หลัง

เล่าปี่จึงว่าแก่โตเกี๋ยมว่า เราจะแต่งหนังสือไปห้ามโจโฉให้กลับไป ถ้าโจมิฟัง จึงจะคิดอ่านยกกองทัพออกช่วยรบต่อภายหลัง โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วย เล่าปี่จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือออกไปถึงโจโฉเปนหลายคน แล้วให้ลอบไปบอกขงหยงกับเต๊งไก๋ว่า ให้ตั้งมั่นไว้อย่าเพ่อยกออกรบพุ่งก่อน ทหารก็เอาหนังสือไปให้โจโฉ

ฝ่ายทหารโจโฉก็พาเอาตัวผู้ถือหนังสือเข้าไปหาโจโฉ แลทหารเล่าปี่จึงบอกว่าบัดนี้เล่าปี่ใช้ข้าพเจ้าเอาหนังสือมาให้ท่าน โจโฉรับเอามาอ่านดู ในหนังสือนั้นใจความว่า เล่าปี่ขออวยพรมายังโจโฉ ให้คิดถึงครั้งเมื่อไปทำการณด่านเฮ่าโลก๋วน แล้วต่างคนต่างจากกันไปมิได้พบเห็น ข้าพเจ้าก็มีใจคิดถึงท่านอยู่มิได้ขาด ซึ่งบิดาท่านตายนั้นเพราะเตียวคีทำร้าย แลโตเกี๋ยมนั้นจะได้ร่วมคิดหามิได้ ซึ่งท่านโกรธโตเกี๋ยมยกกองทัพมาทำให้ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนั้นไม่ ควร แลทุกวันนี้ลิฉุยกุยกีได้เปนขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองเตียงฮัน พระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางอาณาประชาราษฎรก็ได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงก็เกิดโจรโพกผ้าเหลือง ทำร้ายแก่ราษฎรอยู่เนือง ๆ ท่านจงคิดถึงแผ่นดินยกทัพไปปราบพวกโจรให้ราบ ราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเปนสุข เพราะบุญแลปัญญาของท่าน ซึ่งท่านสงสัยว่าโตเกี๋ยมคิดเปนกลอุบายให้ฆ่าบิดาท่านเสียนั้น ขอท่านจงดำริห์ดูให้แน่ก่อน ถ้าเห็นว่าโตเกี๋ยมคิดร้ายต่อท่านจริงแล้ว จึงยกมาตีเอาเมืองชีจิ๋วเถิด ซึ่งข้าพเจ้าห้ามมาทั้งนี้ขอท่านจงเห็นแก่ข้าพเจ้าด้วย

ครั้นโจโฉแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็โกรธ จึงปรึกษากับกุยแกว่าเล่าปี่นี้ใจใหญ่ บังอาจให้มีหนังสือมาห้ามเรา เมื่อพิเคราะห์ดูก็เห็นว่าเล่าปี่จะคิดล่อลวงเราด้วยกลอุบาย ชอบให้ตัดสีสะผู้ถือหนังสือเสีย แล้วให้เร่งยกเข้าตีเอาเมืองชีจิ๋วนี้จงได้ กุยแกจึงว่าเล่าปี่เปนคนสัตย์ซื่อ ซึ่งจะให้ฆ่าผู้ถือหนังสือนั้นไม่ควร ขอให้ตอบเข้าไปเอาใจเล่าปี่ไว้ ต่อภายหลังจึงยกเข้าตีเอาเมืองชีจิ๋วเห็นจะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เลี้ยงดูผู้ถือหนังสือ แล้วยังตรึกตรองคิดการที่จะแต่งหนังสือตอบเล่าปี่อยู่

ฝ่ายลิโป้เมื่อหนีลิฉุยกุยกีออกจากเมืองเตียงฮัน ไปถึงเมืองลำหยงจะเข้าไปอาศรัยอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ๆ ไม่เอาไว้ ลิโป้จึงเข้าไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ลิโป้ได้ทำความชอบไว้ต่ออ้วนเสี้ยวครั้งหนึ่ง แล้วลิโป้ทำหยาบช้าแก่ทหารสนิธของอ้วนเสี้ยว ๆ โกรธจะฆ่าเสีย ลิโป้จึงหนีไปอยู่กับเตียวเอี๋ยนเจ้าเมืองเซียงต๋ง

ขณะเมื่อบังสีเปนขุนนางอยู่ในเมืองเตียงฮัน เปนคนชอบใจกันกับลิโป้ จึงลอบเอาพรรคพวกครอบครัวลิโป้ส่งไปให้ลิโป้ ณ เมืองเซียงต๋ง ลิฉุยกุยกีรู้จึงให้ฆ่าบังสีเสีย แล้วแต่งหนังสือไปถึงเตียวเอี๋ยนให้จับลิโป้ฆ่าเสีย ลิโป้รู้จึงหนีไปอยู่กับเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิว

ฝ่ายตันก๋งซึ่งไปห้ามโจโฉ ๆ มิฟัง ตันก๋งจึงไปหาเตียวเจี๋ยวผู้น้องเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิว เตียวเจี๋ยวจึงพาตันก๋งไปให้เตียวเมาผู้พี่ใช้อยู่ ตันก๋งจึงว่าแก่เตียวเมาว่า โจโฉได้เปนใหญ่อยู่ฝ่ายหัวเมืองตวันออกมีทหารเปนอันมาก บัดนี้ทิ้งเมืองกุนจิ๋วเสีย ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกุนจิ๋วนั้น หาผู้ใดซึ่งมีฝีมือกล้าหาญอยู่รักษามิได้ ขอท่านให้ลิโป้ยกทัพไปตีเมืองกุนจิ๋วเห็นจะได้โดยสดวก แลเมืองตันลิวเปนฝ่ายตวันออกก็จะพ้นอำนาจโจโฉ ถึงจะคิดการใหญ่ไปภายหน้าก็เห็นจะไม่ขัดสน เตียวเมาได้ยินดังนั้นจึงจัดทหารให้ลิโป้เปนนายทัพ เอาตันก๋งไปด้วย ลิโป้ก็ยกทหารรีบไปตีเอาเมืองกุนจิ๋วได้ แล้วก็ยกตีหัวเมืองรายทางไปถึงเมืองปักเอี้ยง ยังแต่เมืองเอียงเสียหนึ่ง เมืองตองไฮหนึ่ง เมืองฮวนกวนหนึ่ง แลสามเมืองนี้เทียหยกกับซุนฮกรักษาไว้ได้ แต่โจหยินทหารโจโฉซึ่งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋วนั้นแตกหนีจะไปหาโจโฉ ฝ่ายม้าใช้นั้นรีบไปถึงทัพโจโฉก่อน ก็เอาเนื้อความทั้งปวงบอกให้แจ้งทุกประการ โจโฉครั้นแจ้งดังนั้นก็ตกใจปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ลิโป้ยกมาตีเมืองกุนจิ๋วนั้นเห็นว่าครอบครัวเรากระจัดกระจาย จำเราจะยกทัพกลับไปต่อรบด้วยลิโป้

กุยแกจึงว่าซึ่งท่านจะยกไปก็ควรอยู่ ซึ่งเล่าปี่ได้มีหนังสือมาห้ามท่าน ท่านจงมีหนังสือตอบเล่าปี่ไปให้เปนไมตรีไว้ ว่าเล่าปี่ห้ามนั้นท่านเห็นแก่เล่าปี่ แล้วจึงยกกลับไปเมืองกุนจิ๋ว โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำกุยแกว่า แล้วส่งให้ทหารเล่าปี่ โจโฉก็ยกทัพกลับไป ณ เมืองกุนจิ๋ว

ฝ่ายผู้ถือหนังสือนั้น ครั้นเข้าไปถึงเมืองชีจิ๋ว ก็เอาหนังสือนั้นให้แก่เล่าปี่ต่อหน้าโตเกี๋ยม เล่าปี่กับโตเกี๋ยมเห็นหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี โตเกี๋ยมจึงให้ออกไปเชิญขงหยงหนึ่ง เต๊งไก๋หนึ่ง กวนอูหนึ่ง จูล่งหนึ่ง เข้ามา แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยง แล้วโตเกี๋ยมจึงเชิญเล่าปี่ขึ้นนั่งบนที่สมควร โตเกี๋ยมจึงคำนับเล่าปี่แล้วว่า ข้าพเจ้าแก่ชราแล้ว ครั้นจะมอบเมืองให้บุตรสองคนก็หาสติปัญญามิได้ ข้าพเจ้าจะขอให้ท่านเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะอยู่นอกราชการช่วยทำนุบำรุงสืบไป เล่าปี่ได้ฟังโตเกี๋ยมว่าดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เดิมขงหยงให้เรามาช่วยโตเกี๋ยม เราเห็นกับไมตรีเราจึงมา บัดนี้โตเกี๋ยมจะมอบเมืองชีจิ๋วให้แก่เรา แลราษฎรทั้งปวงซึ่งไม่แจ้งก็จะครหานินทาเรา ว่าเปนคนโลภเห็นแก่ทรัพย์สิ่งสิน

บิต๊กจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ทุกวันนี้เกิดจลาจลต่าง ๆ เมืองเตียงฮันจวนจะสูญอยู่แล้ว ซึ่งใครมีสติปัญญาจงเร่งคิดตั้งตัวครั้งนี้เถิด แลโตเกี๋ยมยกเมืองให้ท่านเปนไฉนท่านจึงบิดพลิ้วอยู่ แลเมืองชีจิ๋วนี้เมืองขึ้นก็มีเปนอันมาก ถ้าจะประมาณผู้ซึ่งมีทรัพย์สิ่งสินนั้นก็ได้ถึงร้อยหมื่นเศษ จงรับเอาเถิดจะได้คิดการสืบไป เล่าปี่จึงว่าท่านอย่าว่าเลยเราไม่รับ

ตันเต๋งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โตเกี๋ยมนั้นเปนคนชราโรคก็มี ท่านจงเอ็นดูแก่ราษฎรทั้งปวง รับเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วเถิด เล่าปี่จึงตอบว่าอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้น เปนเชื้อขุนนางมาถึงสี่ชั่วคนแล้ว ๆ ก็มีเมืองขึ้นเปนอันมาก เปนไฉนท่านมิมอบเมืองให้

ขงหยงจึงตอบว่า อ้นเสี้ยวนั้นอุปมาดังศพอยู่ในหลุมนับวันก็จะเปื่อยโทรมไป ทั้งสติปัญญาก็ไม่มี จะนับถือให้เปนผู้ใหญ่สืบไปนั้นไม่ได้ แลบุญมาถึงแล้วท่านจะมิรับไว้ภายหน้าไปท่านก็จะได้คิด เล่าปี่ก็มิยอม โตเกี๋ยมได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ว่า ท่านมิรับเปนเจ้าเมืองนี้เหมือนหนึ่งท่านหาเมตตาข้าพเจ้าไม่ เมื่อข้าพเจ้าจะตายนั้นเห็นจะไม่ปรกติเพราะมีกังวลอยู่

กวนอูเตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โตเกี๋ยมมอบเมืองให้ท่านโดยสุจริตจนทุกข์ร้อนถึงเพียงนี้ เปนไฉนท่านจึงมิรับ เล่าปี่ก็มิได้รับ โตเกี๋ยมจึงว่าท่านมิยอมเปนเจ้าเมืองนี้แล้ว จงเอ็นดูข้าพเจ้าไปอยู่รักษาเมืองเสียวพ่าย เมืองนั้นก็ขึ้นแก่เมืองชีจิ๋ว ถ้าข้าพเจ้ามีทุกข์ร้อนสิ่งใดจะได้อาศรัยท่าน แลคนทั้งปวงนั้นก็ช่วยกันว่ากล่าวอ้อนวอนให้เล่าปี่รับไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ตามคำโตเกี๋ยมว่าเถิด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รับเอา โตเกี๋ยมมีความยินดีนักจึงเอาเงินทองเสื้อผ้ามาแจกทหารเล่าปี่ขงหยงเต๊งไก๋ เปนอันมาก

ในขณะนั้นจูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านมาช่วยการโตเกี๋ยมก็เสร็จแล้วข้าพเจ้าจะของลาไปหากองซุนจ้าน เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยุดมือจูล่งไว้ แล้วก็ร้องไห้สั่งความกันเปนอันมาก แล้วจูล่งก็ลาเล่าปี่ยกทหารสองพันกลับไปยังเมืองปักเป๋ง

แลขงหยงเต๊งไก๋ก็ลาเล่าปี่โตเกี๋ยมกลับไปเมือง โตเกี๋ยมจึงแต่งหนังสือแล้วให้ทหารไปส่งเล่าปี่ไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ราษฎรทั้งปวงก็มีใจรักเล่าปี่เปนอันมาก

ฝ่ายโจโฉมาถึงกลางทางพบโจหยิน ๆ จึงบอกว่า ลิโป้ซึ่งเปนนายทัพยกมานั้น รูปร่างโตใหญ่มีกำลังกล้าหาญ ได้ตันก๋งมาเปนที่ปรึกษา ครั้นตีได้เมืองกุนจิ๋วแล้ว ยกล่วงตีเมืองรายทางไปถึงเมืองปักเอี้ยง แลเทียหยกซุนฮกนั้น รักษาเมืองไว้ได้สามเมือง โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ลิโป้นั้นมีฝีมือกล้าหาญก็จริง แต่หาความคิดมิได้ ท่านอย่าเปนทุกข์เลย จึงให้ยกทหารรีบไปถึงเมืองเต๊งกวน แล้วให้หยุดตั้งค่ายมั่นไว้

ฝ่ายลิโป้ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่า โจโฉยกมาตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองเต๊งกวน จึงให้ลิฮองกับซิหลันคุมทหารหมื่นหนึ่งไปอยู่รักษาเมืองกุนจิ๋ว

ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงถามว่า เมืองกุนจิ๋วนั้นเปนที่สำคัญ ท่านจะให้ลิฮองซิหลันไปอยู่รักษานั้นตัวท่านจะไปข้างไหน ลิโป้จึงตอบว่า เราจะยกไปตั้งรับทัพโจโฉที่เมืองปักเอี้ยง จะได้ป้องกันเมืองไว้ให้กว้างขวาง ตันก๋งจึงว่าท่านจะไว้ใจให้ลิฮองซิหลันอยู่รักษาเมืองกุนจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะเสียแก่โจโฉฝ่ายเดียว แลเขาไทสันนั้นอยู่ข้างทิศใต้เมืองกุนจิ๋ว ทางใกล้กันประมาณแปดร้อยเส้น มีที่จำเพาะเดิรตามซอกเขาแต่เปนทางลัดเร็ว เห็นโจโฉจะรีบยกมาทางนั้น ขอให้ท่านแต่งทหารหมื่นหนึ่ง ไปซุ่มอยู่สองข้างทางซอกเขา ถ้ากองทัพหน้าโจโฉยกมาก็ให้สงบไว้ ต่อโจโฉมาถึงจึงให้รบกระหนาบ กองหน้าจะกลับไปช่วยทัพหลวงมิทันที เห็นจะจับโจโฉได้โดยง่าย

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งเราจะตั้งรับโจโฉอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยงนั้น ความคิดของเราเห็นว่า จะแก้ไขรบพุ่งได้เปนหลายฝ่าย ซึ่งจะแต่งทหารไปซุ่มอยู่นั้นเห็นจะป่วยการเปล่า แล้วลิโป้จึงให้ลิฮองกับซิหลันคุมทหารไปรักษาเมืองกุนจิ๋ว ลิโป้จึงจัดแจงทหารตั้งรับอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยง

ฝ่ายโจโฉรู้ข่าวดังนั้นก็ยกทหารรีบมาถึงเขาไทสัน กุยแกจึงห้ามโจโฉว่า ที่เขาไทสันนี้มีทางจำเพาะเดิร เกลือกลิโป้จะแต่งทหารมาซุ่มอยู่ ขอให้ท่านหยุดทัพไว้ก่อน แล้วแต่งม้าใช้ให้ไปสอดแนมดูจึงจะได้คิดการสืบไป โจโฉได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วตอบว่า ลิโป้นั้นเปนคนหาความคิดมิได้ ซึ่งจะให้ทหารมาซุ่มอยู่นั้นเห็นเหลือความคิดลิโป้ บัดนี้ลิโป้ให้ลิฮองกับซิหลันคุมทหารไปรักษาเมืองกุนจิ๋ว ตัวนั้นตั้งรับอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยง แล้วโจโฉให้โจหยินคุมทหารเปนอันมาก ยกไปล้อมเมืองกุนจิ๋วไว้ โจโฉก็ยกทหารไปจากเขาไทสัน

ฝ่ายตันก๋งรู้ดังนั้นจึงว่าแก่ลิโป้ว่า โจโฉรีบยกมาด้วยกำลังโกรธ เห็นทหารทั้งปวงจะอิดโรย ขอท่านเร่งยกทหารออกรบเห็นจะมีชัยชนะแก่โจโฉเปนมั่นคง ถ้าละไว้ช้าทหารจะมีกำลังขึ้นจะเอาชัยชนะยาก ลิโป้จึงตอบว่าเดิมเราตั้งตัวมาก็แต่ตัวผู้เดียวกับม้า คิดทำการเที่ยวรบพุ่งมาจนได้ทหารมากขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว เราจะคิดย่อท้อโจโฉนั้นหามิได้ ให้โจโฉตั้งค่ายมั่นลงแล้ว เราจะหักเอาให้ได้

ฝ่ายโจโฉครั้นยกมาถึง ณ เมืองปักเอี้ยงก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงยกทหารออกไปตั้งอยู่นอกค่าย โจโฉจึงขับม้าขึ้นไปยืนอยู่หน้าทหาร เห็นลิโป้กับทหารเอกแปดนายยืนอยู่สองฝ่ายซ้ายขวา ซื่อเตียวเลี้ยวหนึ่ง จงป้าหนึ่ง หลันเป้งหนึ่ง โซซนหนึ่ง เซ้งเหลียมหนึ่ง บุยซกหนึ่ง ซงเหียนหนึ่ง โฮเสงหนึ่ง กับทหารเลวเปนอันมาก โห่ร้องอื้ออึงมา โจโฉจึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าลิโป้แล้วว่า ตัวกับเราจะได้มีความผิดกันสิ่งใดหามิได้ เปนไฉนตัวจึงยกทหารมาตีเอาเมืองของเรา

ลิโป้จึงตอบว่าเมืองเหล่านี้เปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็เหมือนหนึ่งของคนทั้งปวงซึ่งอยู่ในแผ่นดิน ถ้าผู้ใดมีบุญแลเข้มแขงก็จะครอบครองเมืองได้เหมือนกัน เหตุใดท่านจึงว่าบ้านเมืองทั้งนี้เปนของท่าน หามีความลอายไม่ แล้วลิโป้จึงให้จงป้าออกไปจับเอาตัวโจโฉ ๆ จึงให้งักจิ้นขับม้าออกรับด้วยจงป้า ๆ กับงักจิ้นรบกันได้สามสิบเพลง แฮหัวตุ้นจึงขับม้าออกไปช่วยงักจิ้น เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นก็ออกมารบด้วยแฮหัวตุ้น แลทหารสี่นายรบกันเปนสามารถ ก็มิได้แพ้ชนะกัน ลิโป้เห็นดังนั้นก็โกรธจึงขับม้ารำทวนออกไปรบกับแฮหัวตุ้นงักจิ้น แลแฮหัวตุ้นงักจิ้นสู้ลิโป้มิได้ก็ขับม้าหนี ลิโป้นั้นขับม้าไล่ฟันเข้าไป ทหารโจโฉก็แตกพ่ายไป ลิโป้ก็ชักม้ากลับมา โจโฉเสียทีแก่ลิโป้ ก็คุมทหารกลับเข้าค่าย แล้วปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ลิโป้มีกำลังกล้าหาญ ผู้ใดจะคิดรบพุ่งด้วยลิโป้ได้ อิกิ๋มจึงว่าข้าพเจ้าขึ้นไปดูบนเขา เห็นค่ายลิโป้ฝ่ายทิศตวันตกนั้นผู้คนเบาบาง แลลิโป้รบชนะเข้าไปครั้งนี้เห็นจะมีใจกำเริบ ทหารก็จะประมาทมิได้รักษาค่าย เวลากลางคืนวันนี้ขอให้ยกทหารเข้าปล้นเอาค่ายลิโป้เห็นจะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์โจหองหนึ่ง ลิเตียนหนึ่ง ลิยอยหนึ่ง อิกิ๋มหนึ่ง เตียนอุยหนึ่ง กับทหารเลวประมาณสองหมื่นเตรียมไว้ ฝ่ายลิโป้เมื่อกับมาถึงค่าย จึงให้เลี้ยงดูแล้วปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงตามสมควร

ตันก๋งจึงว่า ซึ่งโจโฉแตกไปเห็นจะมีความคิดกลับมาทำการ ข้าพเจ้าเห็นว่าค่ายตวันตกนั้นผู้คนเบาบาง ขอให้เกณฑ์ทหารเติมไปรักษาไว้ให้มั่นคง ลิโป้จึงตอบว่า โจโฉแตกไปเพราะเสียทีแก่เรา เห็นจะไม่คิดกลับมาทำการปล้นค่าย ตันก๋งจึงว่าท่านอย่าไว้ใจ อันโจโฉนั้นมีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม ข้าพเจ้าเห็นว่าจะยกกลับมาปล้นค่ายเปนมั่นคง ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้โกซุ่นหนึ่ง งุยซกหนึ่ง โฮเสงหนึ่ง คุมทหารเปนอันมาก ไปรักษาค่ายฝ่ายตวันตกไว้ให้มั่นคง

ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยามเศษ โจโฉจึงคุมทหารซึ่งจัดไว้นั้น ยกอ้อมทางไปข้างทิศใต้ ครั้นถึงค่ายซึ่งตั้งอยู่นั้น ก็ให้เข้าล้อมรอบไว้ แล้วโห่เข้าปล้นหักเอาค่ายนั้นได้ ทหารซึ่งอยู่ในนั้นก็แตกตื่นหนีออกไปได้ งุยซกหนึ่ง โฮเสงหนึ่ง แลโกซุ่นหนึ่ง ซึ่งลิโป้ให้คุมทหารไปอยู่รักษาค่ายนั้น ครั้นมาใกล้ค่ายเวลาสามยามเศษ เห็นทหารโจโฉปล้นเอาค่ายได้ ก็คิดกลัวลิโป้จึงคุมทหารออกรบจะเอาค่ายคืน โจโฉเห็นดังนั้นจึงคุมทหารออกรบนอกค่าย เสียงทหารทั้งสองฝ่ายโห่ร้องอื้ออึงจนเวลารุ่งขึ้น

ฝ่ายลิโป้รู้จึงคุมทหารรีบมาค่ายทิศใต้ ม้าใช้เห็นจึงบอกแก่โจโฉว่าทัพลิโป้ยกทหารมาใกล้จะถึงอยู่แล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงยกทหารบ่ายหน้าจะหนีกลับไป โกซุ่น งุยซก โอเสง เห็นโจโฉยกบ่ายหนีก็คุมทหารรบตามหลังมา พอพบทัพลิโป้ที่ปากทาง จึงให้อิกิ๋มกับงักจิ้นเข้ารบด้วยลิโป้เปนสามารถ อิกิ๋มงักจิ้นกำลังน้อยเห็นจะสู้ลิโป้ไม่ได้ ก็ชักม้ากลับมา พาโจโฉหนีไปข้างทิศเหนือ ลิโป้กับทหารทั้งปวงไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก แลโจโฉกับอิกิ๋มงักจิ้นคุมทหารหนีมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอพบเตียวเลี้ยวกับโจป้าคุมทหารเปนสองกองตั้งรบกระหนาบไว้ โจโฉจึงให้โจหองกับลิยอยเข้ารบด้วยเตียวเลี้ยวโจป้าเปนสามารถ โจหองลิยอยสู้มิได้ก็ชักม้ากลับมา พาโจโฉกับทหารหนีวกหลังไปทางทิศใต้ พอพบหลันเป้ง โจเสง เซ้งเหลียม ซงเหียน สี่คนคุมทหารเปนสองกองตั้งรบกระหนาบไว้

ฝ่ายทหารโจโฉก็ชวนกันเข้ารบพุ่งหักหาญป้องกันอยู่ แลโจโฉนั้นเห็นจวนตัวนัก ก็ขับม้ากับทหารห้าคน รบฝ่าหนีไปถึงเนินเขา ได้ยินเสียงประทัด แล้วเห็นทหารยิงเกาทัณฑ์ลงมาดังห่าฝน โจโฉชักม้าจะกลับมา ทหารทั้งปวงเข้าล้อมรบสกัดได้ โจโฉตกใจจึงร้องว่า ผู้ใดมีกำลังจงช่วยชีวิตเราครั้งนี้

เตียนอุยได้ยินโจโฉร้องดังนั้น จึงว่าข้าพเจ้ากำลังตามมาท่านอย่าทุกข์เลย แล้วเตียนอุยก็ลงจากม้า จึงเอาทวนสองเล่มหนีบลักแร้ไว้ แล้วชักเอาหอกซัดถือไว้ประมาณสิบห้าเล่ม จึงสั่งทหารห้าคนซึ่งมาด้วยกันว่า ถ้าเห็นพวกศัตรูตามมาใกล้ประมาณห้าวาก็ให้บอกเราด้วย แล้วก็นำหน้าม้าโจโฉฝ่าเกาทัณฑ์เข้าไป แลทหารลิโป้ตามรบมาประมาณยี่สิบคน พวกโจโฉจึงร้องบอกแก่เตียนอุยว่า ศัตรูตามมาใกล้ได้ห้าวาแล้ว เตียนอุยได้ยินก็หยุดอยู่ แล้วเอาหอกซัดพุ่งไปเล่มไรก็ถูกทหารตกม้าตายเล่มนั้น จนสิ้นหอกซัดที่มือ ทหารซึ่งตามมาเหลือกลับไปแต่สี่คนห้าคน แล้วเตียนอุยก็ขึ้นม้าพาโจโฉรีบหนีจะกลับไปค่าย

ครั้นมาถึงกลางทางพอเวลาเย็น ได้ยินทหารโห่ร้องตามมาเปนอันมาก โจโฉจึงเหลียวหลังไป เห็นลิโป้ขับม้ามาหน้าทหารทั้งปวง โจโฉก็ตกใจ แลทหารซึ่งตามมาห้าคนนั้นหิวโหยหากำลังมิได้ ม้านั้นก็สิ้นแรง ต่างคนก็ต่างหนีเอาตัวรอด แต่เตียนอุยนั้นตามโจโฉไป พอเห็นแฮหัวตุ้นคุมทหารลัดทางออกมาข้างหลังโจโฉ แฮหัวตุ้นเข้ารบสกัดหน้าลิโป้ไว้จนเวลาพลบค่ำ พอฝนตกห่าใหญ่ลิโป้ก็ยกทหารกลับไป

ฝ่ายโจโฉก็พาแฮหัวตุ้นกับเตียนอุยกลับมา ณ ค่าย แล้วเอาเงินทองปูนบำเหน็จให้แก่เตียนอุยเปนอันมาก

ครั้นเวลารุ่งเช้าตันก๋งจึงว่าแก่ลิโป้ว่า เจ้าเมืองปักเอี้ยงนั้นหนีไป แลในเมืองนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อเตียนซี มีใจสัตย์ซื่อเปนที่นับถือแก่ชาวเมืองทั้งปวง ถ้าเตียนซีจะว่าประการใดชาวเมืองก็ทำตาม ขอให้หาเตียนซีออกมาว่ากล่าว ให้มีหนังสือไปถึงโจโฉว่า ท่านมีชัยแก่โจโฉแล้ว บัดนี้ให้โกซุ่นอยู่รักษาเมืองปักเอี้ยง ท่านยกทหารไปตีเอาเมืองลิหยง ให้โจโฉยกทหารเข้าปล้นเอาเมืองปักเอี้ยง เตียนซีจะคุมชาวเมืองรบกระหนาบ เราจึงลอบยกทหารเข้าไปอยู่ในเมืองปักเอี้ยงแล้วจะเอาฟืนมากองตรงประตูทั้ง สี่ด้าน ถ้าโจโฉเข้ามาแล้วเราจึงจุดเพลิงเผาเมืองแลกองฟืนทั้งสี่ประตูขึ้น ถึงโจโฉจะมีความคิดแก้ไขประการใดก็เห็นจะไม่พ้นมือเรา ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้หาเตียนซีออกมา แล้วพูดจาปลอบโยนเอาใจตามตันก๋งว่า เตียนซีก็ยอมทำตาม ลิโป้กับเตียนซีก็พากันกลับเข้าไปในเมือง แล้วแต่งหนังสือให้คนสนิธถือไปให้โจโฉ ณ ค่าย

โจโฉรับเอาหนังสือมาอ่านดู ในหนังสือนั้นว่าข้าพเจ้าเตียนซีคำนับมาถึงโจโฉ ซึ่งลิโป้เปนคนหยาบช้ายกทหารมาตีเมืองปักเอี้ยงทำอันตรายแก่ราษฎรชาวเมือง ให้ได้ความเดือดร้อนนั้น บัดนี้ลิโป้มีความกำเริบยกทหารไปตีเมืองลิหยง โกซุ่นโฮเสงอยู่รักษาเมือง ขอให้ท่านยกทหารเข้าไปปล้น ข้าพเจ้าจะปักธงขาวไว้เปนสำคัญ แล้วจะคุมชาวเมืองตีกระหนาบ เห็นจะได้เมืองคืนโดยง่าย ครั้นแจ้งในหนังสือดังนั้น โจโฉมีความยินดีหาสงสัยมิได้ จึงเอาเสื้อผ้าให้แก่ผู้ถือหนังสือมาเปนบำเหน็จ แล้วให้ไปบอกแก่เตียนซีว่าเราจะทำตาม โจโฉจึงว่าเราเสียทหารครั้งนี้ก็จนความคิดอยู่แล้ว แลเตียนซีให้หนังสือมาว่าแก่เราดังนี้ อุปมาเหมือนจักษุมืดมีผู้มาช่วยนำทางให้ แล้วก็ให้จัดแจงทหารเตรียมไว้

เล่าหัวจึงว่าลิโป้นั้นหาความคิดมิได้ก็จริง แต่ได้เปนแม่ทัพใหญ่มีที่ปรึกษาเปนอันมาก ทั้งตันก๋งก็มีสติปัญญา ซึ่งท่านจะเชื่อเตียนซีจะยกทหารไปทำการนั้นก็ตามเถิด แต่ให้มีดำริห์ยกเปนสามกอง ให้ตั้งกระหนาบไว้นอกเมืองสองกอง ๆ หนึ่งให้ยกเข้าไปทำการ ฟังดูดีแลร้ายในเมืองก่อน ถ้าเห็นไม่จริงต่อท่าน จึงให้ถอยทหารกองนั้นออกมา โจโฉเห็นชอบด้วย จึงจัดทหารออกเปนสามกอง แล้วยกไปถึงเมืองปักเอี้ยง เห็นธงขาวปักอยู่ฝ่ายประตูตวันตกเปนสำคัญตามคำเตียนซีว่า

ครั้นเวลาเที่ยงคืนโฮเสงคุมทหารออกเปนกองหน้า โกซุ่นเปนกองหลังเปิดประตูด้านตวันออก ๆ มารบด้วยโจโฉ ๆ จึงให้เตียนอุยออกมารบด้วยโฮเสงเปนสามารถ โฮเสงแตกไป ทัพโกซุ่นก็พากันถอยกลับเข้าเมือง เตียนอุยขับม้าไล่ตามไปถึงเชิงกำแพง พอคนใช้เตียนซีถือหนังสือออกมาข้างประตูทิศตวันตกเอาหนังสือส่งให้โจโฉ ๆ อ่านดูเปนใจความว่า เวลากลางคืนวันนี้ข้าพเจ้าเตียนซีจะเปิดประตูทิศตวันตกออกรับ ถ้าได้ยินเสียงม้าฬ่อแล้วก็ให้เร่งยกทหารตีเข้าไปเถิด

โจโฉมีความยินดี จึงสั่งให้แฮหัวตุ้นคุมทหารป้องกันฝ่ายซ้าย ให้โจหองคุมทหารเปนฝ่ายขวา โจกับแฮหัวเอี๋ยน ลิเตียน งักจิ้น เตียนอุยคุมทหารเปนกองกลาง ครั้นเวลากลางคืนเปนเดือนมืด ได้ยินเสียงม้าฬ่อเห็นประตูฝ่ายตวันตกก็เปิด โจโฉจะให้ยกทหารเข้าไป ลิเตียนจึงห้ามโจโฉว่า ตัวท่านเปนแม่ทัพจะด่วนยกเข้าไปนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจะขออาสาเข้าไปก่อน ถ้าเห็นสุจริตต่อท่านแล้วจึงค่อยยกเข้าไป โจโฉจึงตอบว่าซึ่งเรามิเข้าไปด้วยนั้นเห็นว่าทหารทั้งปวงจะมิพร้อมใจกันทำ การ แล้วโจโฉก็ขี่ม้ารีบขับไปหน้าทหารทั้งปวงถึงกลางเมือง มิได้เห็นผู้คนเดิรไปเดิรมา โจโฉก็คิดสดุ้งใจเห็นจะเปนกลอุบาย จึงร้องสั่งทหารทั้งปวงให้รีบกลับออกจากเมือง พอได้ยินเสียงประทัดแลม้าฬ่อทหารโห่ร้องอื้ออึงเปนอันมาก เห็นแสงเพลิงโพลงขึ้นทั้งสี่ทิศ ติดลามไหม้เรือนราษฎรทั้งเมือง

ฝ่ายโจป้าขับม้าไล่ทหารโจโฉมาข้างทิศตวันออก เตียวเลี้ยวนั้นขับม้าไล่ทหารโจโฉกระหนาบมาข้างทิศตวันตก โจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงขับม้าหนีไปจะออกประตูทิศเหนือ พบหลันเป้งโจเสงขับม้าคุมทหารรบต้านหน้าไว้ โจโฉก็กลับม้าหนีไปจะออกประตูทิศใต้ พบโกซุ่นโฮเสงรบสกัดไว้ เตียนอุยตามโจโฉไปเห็นดังนั้นก็ขับม้ารบฟันฝ่าทหารโกซุ่นโฮเสงออกไปนอกเมือง ได้ ครั้นเหลียวหลังมาไม่เห็นโจโฉ เตียนอุยก็ตกใจ จึงรื้อกลับเข้าไปถึงประตูเมือง พอพบลิเตียนจึงถามว่าท่านพบโจโฉบ้างหรือไม่ ลิเตียนบอกว่าเราก็เที่ยวหาไม่รู้ว่าไปแห่งใด เตียนอุยจึงว่า ท่านรีบออกไปซ่องสุมทหารของเราซึ่งหนีออกไปได้นั้นอย่าให้แตกตื่นไป เราจะกลับเข้าไปเที่ยวหาโจโฉ แล้วเตียนอุยรื้อรบฝ่าทหารลิโป้เข้าไปเที่ยวหาโจโฉในเมือง ครั้นไม่พบก็ฟันฝ่าทหารออกมาถึงคูเมืองพบงักจิ้น ๆ ถามเตียนอุยว่าพบโจโฉหรือไม่ เตียนอุยบอกว่าเราเที่ยวหาถึงสองกลับสามกลับก็มิได้พบ งักจิ้นจึงชวนเตียนอุยกลับเข้าไปถึงประตูเมือง ทหารลิโป้ซึ่งอยู่บนเชิงเทินจึงเอาเพลิงพเนียงจุดชนวนโยนลงมา งักจิ้นตกใจขับม้าถอยออกมา แต่เตียนอุยนั้นขับม้าฝ่าเพลิงพเนียงเข้าไปได้ เที่ยวหาโจโฉในเมือง

ฝ่ายโจโฉเมื่อพลัดกับเตียนอุยนั้น ขับม้าฝ่าเพลิงหนีไปทางประตูทิศเหนือ พอพบลิโป้ถือทวนขับม้ามา โจโฉกลัวจึงเอามือขวาขึ้นบังหน้าไว้ มือซ้ายขับม้าฝ่าเลี่ยงเข้าไปถึงหน้าลิโป้ ๆ ไม่ทันสังเกตคิดว่าทหารของตัว ก็เอาทวนเคาะสีสะลงแล้วจึงถามว่าเห็นโจโฉไปข้างไหน โจโฉได้ยินดังนั้นก็เบือนหน้าเสีย แล้วเอามือชี้บอกว่า โจโฉขี่ม้าเหลืองหนีไปทางโน้น ลิโป้มิได้สงสัยคิดว่าจริงก็ขับม้ากลับไปข้างหลัง โจโฉก็รับขับม้าจะหนีออกไปทางประตูตวันออก พอพบเตียนอุย ๆ มีใจยินดีจึงพาโจโฉรบฝ่าทหารออกไปถึงประตูเมือง เห็นกองฟืนซึ่งเพลิงไหม้นั้นขวางทางอยู่ แลประตูหอรบก็ไหม้ด้วย เตียนอุยจึงเอาทวนเขี่ยเพลิงซึ่งไหม้กองฟืนให้พ้นทาง เตียนอุยก็นำออกไปถึงประตูเมือง แต่โจโฉนั้นออกมาพอถึงตรงประตู พอเพลิงไหม้ขื่อหอรบพลัดลงมา ถูกท้ายม้าซึ่งโจโฉขี่ล้มลงกับกองเพลิงตาย แต่โจโฉนั้นดิ้นออกจากกองเพลิงได้ แต่เสื้อแลผมกับหนวดนั้นไหม้ โจโฉฉีกเสื้อทิ้งเสีย แล้วเอามือซ้ายขวาลูบดับเพลิงซึ่งไหม้หนวดแลผมนั้นดับแล้ว ก็ออกมาจากประตูเมืองได้ เตียนอุยเหลียวหลังมาเห็นดังนั้นก็โจนลงจากหลังม้า พอแฮหัวเอี๋ยนมาทันก็ช่วยกันเข้าประคองโจโฉมาให้ขึ้นม้าแฮหัวเอี๋ยน

ฝ่ายทหารลิโป้ตามออกมาเปนอันมาก เตียนอุยกับแฮหัวเอี๋ยนก็รบป้องกันไปถึงค่าย พอรุ่งขึ้นแลเห็นทหารใหญ่น้อยแตกหนีมาได้ ก็ชวนกันมาเยียนโจโฉ ๆ หัวเราะแล้วว่า ครั้งนี้เราเสียรู้ จึงเสียทหารเปนอันมาก ตัวเรายังไม่ตายก็จะคิดแก้แค้นลิโป้ให้จงได้ กุยแกจึงว่าท่านจะคิดแก้แค้นลิโป้ ก็เร่งคิดให้ทันที โจโฉจึงว่าท่านซึ่งเตือนเราทั้งนี้ก็สมควร แลเขาม้าเล้งนั้นเปนทางจำเพาะเดิร เราจะยกทหารไปซุ่มอยู่ข้างซอกเขา แล้วจะให้ทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้นนุ่งขาวห่มขาวทำเปนร้องไห้รักเราว่า เพลิงไหม้ลำบากมาถึงค่ายจึงตาย กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ถึงลิโป้ ๆ ก็จะกำเริบยกทหารมาตีค่ายเราทางเขาม้าเล้ง เราจะนิ่งสงบไว้ เห็นทัพหน้าล่วงขึ้นมาถึงปากทาง เราจึงจะยกทหารออกตีตัดกองทัพลิโป้ ก็เห็นจะจับตัวลิโป้ได้โดยสดวก กุยแกจึงว่าซึ่งท่านคิดทั้งนี้ดีหาผู้เสมอมิได้ โจโฉจึงสั่งแก่ทหารทั้งปวงให้นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำร้องไห้รักเราว่าเพลิงไหม้ลำบากมาถึงค่ายอยู่เวลาค่ำจึงตาย ให้กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงทหารลิโป้จงได้ ทหารทั้งปวงก็ทำตาม โจโฉจึงจัดแจงทหารแล้วยกไปตั้งซุ่มอยู่ ณ เขาม้าเล้ง

ฝ่ายทหารลิโป้รู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉตายจึงเอาเนื้อความบอกแก่ลิโป้ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นหมายใจว่าจริง จึงว่าครั้งนี้จะสมความคิดเราแล้ว เราจะยกไปตีทหารโจโฉไว้เปนกำลัง แล้วก็จัดแจงทหารทั้งปวงยกไปถึงเขาม้าเล้ง ทหารกองหน้านั้นยกล่วงออกไปถึงปากทางจะใกล้ถึงค่ายโจโฉ แลโจโฉนั้นเห็นได้ทีจึงให้จุดประทัดสัญญาขึ้น จึงยกทหารเข้าตีตัดกลางทัพลิโป้แล้วให้ทหารล้อมไว้ ลิโป้นั้นรบพุ่งต้านทานเปนสามารถเสียทหารเปนอันมาก จึงพาทหารที่เหลือนั้นรบฝ่ากลับหลังมาเมืองปักเอี้ยง แล้วเกณฑ์ทหารทั้งปวงขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง ฝ่ายโจโฉก็ยกทหารกลับไปค่าย

ขณะนั้นฝ่ายหัวเมืองตวันออกบังเกิดหนอนเปนอันมาก บ่อนเข้าในนาแลยุ้งฉางเสียทั่วทั้งแผ่นดิน เข้าเปนราคาถังละห้าเหรียญ บันดาคนทั้งนั้นอดอยากล้มตาย บ้างก็ฆ่าฟันกันเอาเนื้อมากิน แลทหารในกองทัพโจโฉนั้นก็อดเข้าปลาอาหาร โจโฉจึงยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเอียนเสีย ลิโป้เห็นดังนั้น ก็เกณฑ์ทหารออกไปรักษาด่านเขตเมืองปักเอี้ยงไว้ทุกตำบล


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 9

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnaG9OamJLeVVuMGM/view?resourcekey=0-4eq7jG4P26QO0azSKsKq0A



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,514


View Profile
« Reply #10 on: 21 December 2021, 20:37:13 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 10


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-10.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 10

เนื้อหา
เล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว
โจโฉได้เมืองกุนจิ๋วคืน
ลิโป้หนีโจโฉไปอาศัยเล่าปี่ที่เมืองเสียวพ่าย

ฝ่าย โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นอายุหกสิบสามปีป่วยหนักอยู่ จึงหาบิต๊กกับตันเต๋งมาปรึกษาว่าตัวเราชราแล้วก็ป่วยหนักอยู่ ถ้ามีศึกมาเห็นจะขัดสน บิต๊กจึงว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ก็ควรอยู่ ข้าพเจ้าแจ้งว่าทัพโจโฉซึ่งเลิกไปนั้นเพราะเหตุว่าเปนห่วงหลัง ด้วยทัพลิโป้ยกมาตีเมืองกุนจิ๋ว แลโจโฉกับลิโป้ตั้งรบกันอยู่พอเกิดเข้าแพง โจโฉจึงเลิกทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองเอียนเสีย ถ้าเข้าปีใหม่เข้าปลาอาหารบริบูรณ์ขึ้นเห็นโจโฉจะยกมาทำศึก แม้มีชัยชนะลิโป้แล้วก็จะยกมารบเมืองเราเปนมั่นคง ขอท่านให้เชิญเล่าปี่มาว่ากล่าวอ่อนน้อมมอบเมืองให้ ครั้งนี้เห็นเล่าปี่จะรับครองเมือง ราษฎรทั้งปวงก็จะมีความยินดีด้วย โตเกี๋ยมเห็นชอบด้วยจึงให้คนใช้ไปเชิญเล่าปี่ซึ่งอยู่ ณ เมืองเสียวพ่ายมา เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็พากวนอูเตียวหุยมาหาโตเกี๋ยม ๆ จึงให้เชิญเล่าปี่เข้าไปถึงที่ข้างใน แล้วว่าทุกวันนี้ตัวเราก็ชราทั้งโรคก็บังเกิดป่วยหนัก มิรู้ว่าความตายจะมาถึงวันใด แต่วิตกอยู่ว่าเมืองชีจิ๋วหาผู้ใดว่าราชการเมืองมิได้ จึงให้เชิญท่านมาหวังจะมอบให้ท่าน จงมีใจเมตตาเรารับตราสำหรับที่นี้ไว้ทำนุบำรุงราษฎรชาวเมืองสืบไปให้เราสิ้น วิตก

เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านมีบุตรอยู่ถึงสองคนซึ่งชื่อว่าโตสงผู้พี่ โตเอ๋งผู้น้องนั้น เปนไฉนท่านจึงมิมอบเมืองให้ โตเกี๋ยมจึงว่าบุตรเราทั้งสองหาสติปัญญามิได้ ถ้าจะมอบเมืองให้นานไปราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความเดือดร้อน เราเห็นแต่ท่านมีใจกว้างขวางอารี จะครองเมืองได้ เราจึงเชิญมาว่ากล่าว ถ้าเราหาชีวิตไม่แล้วท่านอย่าให้บุตรเราทั้งสองครองเมืองเลย

เล่าปี่จึงตอบว่าตัวเรากำลังน้อย ซึ่งจะเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นเห็นจะขัดสน โตเกี๋ยมจึงว่าทหารในเมืองนี้ก็มีเปนอันมาก แล้วเราจะให้ซุนเขียนชาวเมืองปักไฮซึ่งมีสติปัญญาไว้เปนที่ปรึกษาด้วย แล้วโตเกี๋ยมจึงว่าแก่บิต๊กว่า ซึ่งเล่าปี่จะเปนเจ้าเมืองสืบไปนั้น ท่านจงฝากตัวอยู่ทำราชการด้วยเล่าปี่เถิด เล่าปี่ยังมิได้รับคำโตเกี๋ยมประการใด โตเกี๋ยมนั้นโรคกำเริบหนักขึ้นมา เจรจาออกมิได้ เอาแต่นิ้วมือชี้เข้าที่ตัวแล้วโตเกี๋ยมก็สิ้นใจตาย แลทหารโตเกี๋ยมก็เอาตราสำหรับที่มามอบให้เล่าปี่ ๆ ก็มิได้รับ ในขณะนั้นชาวเมืองทั้งปวงรู้ ก็พากันเข้ามาคำนับเล่าปี่แล้วว่า ซึ่งท่านไม่รับเปนเจ้าเมืองชีจิ๋วก็เห็นว่าข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้ความเดือด ร้อนไปภายหน้า

กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็มีใจเอ็นดูแก่ชาวเมือง จึงอ้อนวอนเล่าปี่ว่า ให้ท่านรับตราเปนเจ้าเมืองเถิด เล่าปี่ได้ฟังกวนอูเตียวหุยว่า มีความเอ็นดูก็รับตราเปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วตั้งให้ซุนเขียนบิต๊กเปนที่ปรึกษาซ้ายขวา จึงให้กวนอูเตียวหุยไป ณ เมืองเสียวพ่าย รับเอาทหารเข้ามา ณ เมืองชีจิ๋วนั้นสิ้น เล่าปี่กับทหารแลชาวเมืองทั้งปวงนั้นให้นุ่งขาวห่มขาวแล้วแต่งการศพโตเกี๋ยม ตามธรรมเนียม แล้วเอาศพไปฝังไว้ตำบลอุยโห เล่าปี่จึงเอาหนังสือซึ่งโตเกี๋ยมแต่งไว้นั้นบอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยน เต้ ในใจความนั้นว่า โตเกี๋ยมแก่ชราแล้วจึงยกให้เล่าปี่เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว พระเจ้าเหี้ยนเต้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็มิได้ตรัสประการใด

ฝ่ายโจโฉอยู่ ณ เมืองเอียนเสียรู้ข่าวไปว่า โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วนั้นตายแล้ว เล่าปี่ได้เปนเจ้าเมือง โจโฉก็โกรธว่าซึ่งความแค้นของเรายังมิได้แก้แค้นโตเกี๋ยม บัดนี้โตเกี๋ยมตายเสีย แลเล่าปี่นั้นมิได้ทำการศึกเสียทหารแลลูกเกาทัณฑ์แต่ดอกหนึ่ง มาได้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋วโดยง่าย เราจำจะยกไปรบจับเล่าปี่ฆ่าเสีย แล้วจะขุดเอาศพโตเกี๋ยมขึ้นสับให้ละเอียดจึงจะหายความแค้น แล้วให้จัดแจงทหารจะยกไปเมืองชีจิ๋ว ซุนฮกจึงห้ามโจโฉว่า ซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองชีจิ๋วนั้น ข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย ธรรมดาผู้คิดการใหญ่ซึ่งจะตั้งตัวขึ้นได้นั้นยากนัก ร้อยคนจึงคิดการตลอดได้คนหนึ่ง เหมือนครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจ แลพระวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อกันมาถึงสิบสองพระองค์ อองมังคิดเปนขบถ ได้ราชสมบัติถึงสิบแปดปี ฮั่นกองบู๊ผู้เปนหลานพระมหากษัตริย์ ซึ่งเสียสมบัติแก่อองมังนั้น คิดฆ่าอองมังเสีย จึงได้ราชสมบัติต่อกันมาอีกสิบสองพระองค์ จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลทุกวันนี้ท่านจะคิดทำการใหญ่จงหาที่มั่นไว้ ให้เหมือนพระมหากษัตริย์แต่ก่อน จึงค่อยคิดการสืบไป ซึ่งท่านจะยกไปเอาเมืองชีจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าราษฎรทั้งปวงมีใจรักเล่าปี่อยู่เปนอันมาก เห็นจะไม่ได้เมืองชีจิ๋วโดยง่าย ฝ่ายเมืองเอียนเสียซึ่งให้ทหารไปอยู่รักษานั้น ลิโป้รู้ก็จะยกมาตีชิงเอาเมือง ท่านยกไปข้างโน้นก็จะไม่สมความคิด จะกลับมาข้างนี้ก็จะเสียที ทหารก็จะน้อยลง กว่าจะหาที่ตั้งตัวขึ้นได้ก็ช้านานไป ซึ่งท่านจะทิ้งที่กว้างจะไปหาที่แคบนั้น ขอท่านดำริห์ดูแต่ควร

โจโฉจึงตอบว่า ฝ่ายแดนหัวเมืองตวันออกก็ขัดสนด้วยอาหาร ซึ่งจะให้ค่อยคิดอ่านการนั้น เราเห็นว่าทหารทั้งปวงจะอดอาหารล้มตายเสียเปล่า

ซุนฮกจึงตอบว่าบัดนี้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่า โฮงีกับอุยเซียวคุมพวกโจรโพกผ้าเหลืองอยู่ ณ เมืองเอ๊งจิ๋ว เที่ยวทำอันตรายแก่ราษฎร ถ้าท่านจะยกไปตีโจรนั้นแตกก็จะได้สเบียงมาเลี้ยงทหาร ราษฎรทั้งปวงก็จะมีความยินดีจะเข้าเกลี้ยกล่อมบ้าง ถ้าทราบไปถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็จะมีความชอบแก่ท่าน โจโฉเห็นชอบด้วย ให้แฮหัวตุ้นกับโจหยินอยู่รักษาเมือง แล้วจัดแจงทหารยกไป ณ เมืองเอ๊งจิ๋ว

ฝ่ายโฮงีอุยเซียวรู้ดังนั้น ก็คุมพวกโจรไปตั้งรับอยู่ตำบลเขาเองสัน โจโฉจึงออกไปดูพวกกองทัพโจรเห็นที่ตั้งผิดกระบวรศึก จึงให้เตียนอุยออกรบด้วยพวกโจร โฮงีจึงให้ทหารรองออกรบด้วยเตียนอุยได้สามเพลง เตียนอุยเอาทวนแทงทหารโจรนั้นตกม้าตาย โจโฉจึงขับทหารไล่ฆ่าฟันพวกโจรข้ามเขานั้นไปแล้วตั้งค่ายลงไว้ ครั้นเวลารุ่งอุยเซียวจึงยกทหารออกมาถึงหน้าค่ายโจโฉ

โฮปันทหารโจรนั้นมีกำลังถือกระบอกเหล็ก จึงวิ่งออกมาหน้าทหารแล้วร้องประกาศว่า ผู้ใดจะสู้กันก็ให้เร่งออกมา โจหองได้ยินดังนั้นก็รำง้าวเข้าไปสู้ด้วยโฮปันได้ห้าสิบเพลง โจหองก็ทำทีถอยหนี โฮปันก็แกว่งกระบองเหล็กเข้าไปจะตีโจหอง ๆ หลบได้ทีจึงเอาง้าวฟันถูกโฮปันตัวขาดออกสองท่อนตาย

ลิเตียนเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนไล่ฆ่าฟันพวกโจรเข้าไปจับตัวอุยเซียวได้ โจโฉก็คุมทหารตามเข้าไปถึงค่ายโจร พวกโจรนั้นแตกตื่นล้มตายบ้าง ทหารโจโฉก็เก็บเอาทรัพย์สิ่งของไว้เปนอันมาก

โฮงีนั้นก็พาพวกเพื่อนประมาณสองร้อยเศษ หนีออกจากค่ายไปถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง แลเห็นเคาทูขี่ม้าถือง้าวยืนขวางทางอยู่ โฮงีควบม้าเข้ารบเคาทูได้เพลงหนึ่ง เคาทูจึงจับตัวโฮงีได้ แลพวกโจรประมาณสองร้อยเศษนั้น ก็เข้าหาเคาทูยอมเปนทหาร เคาทูก็พาโฮงีแลพวกโจรนั้นเข้าไปอยู่ในถ้ำที่เคยอาศรัยอยู่นั้น โจโฉเห็นโฮงีหนีไปดังนั้น ก็ให้เตียนอุยตามไปจับตัว

เตียนอุยคุมทหารขับม้าไปถึงเชิงเขา เห็นเคาทูคุมพวกออกยืนสกัดอยู่จึงถามว่า ท่านเปนโจรโพกผ้าเหลืองหรือ เคาทูตอบว่าเรามิใช่พวกโจร พวกโจรโพกผ้าเหลืองนั้นเราจับมาไว้ในถ้ำ เตียนอุยจึงว่าท่านเร่งส่งพวกโจรมาให้เรา เคาทูจึงว่า ท่านเอาสีสะรับเอาง้าวซึ่งเราถือนี้ได้เราจึงจะส่งพวกโจรให้ เตียนอุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำทวนเข้ารบด้วยเคาทูแต่เช้าคุ้งเที่ยงมิได้แพ้ชนะกัน ต่างคนต่างหยุดหายเหนื่อยแล้ว จึงลุกขึ้นชวนเตียนอุยรบอีก แลเตียนอุยกับเคาทูรบกันแต่เที่ยงจนเย็นม้านั้นสิ้นกำลัง เคาทูเหนื่อยก็กลับเข้าไปในถ้ำ เตียนอุยจึงให้ทหารเอาเนื้อความนั้นไปบอกแก่โจโฉ ๆ รู้ดังนั้นก็ยกทหารมาในเวลากลางคืน

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า เคาทูก็คุมพรรคพวกออกจากถ้ำ โจโฉเห็นรูปร่างเคาทูใหญ่โตสูงประมาณหกศอก สมเปนทหาร โจโฉคิดจะใคร่ได้ไว้เปนทหาร จึงสั่งเตียนอุยว่าท่านออกไปรบแล้วทำถอยเข้ามา เตียนอุยก็ออกไปรบด้วยเคาทูได้สามสิบเพลงแล้วทำถอยหนีเข้ามา เคาทูก็ขับม้าไล่ตาม โจโฉเห็นดังนั้นก็ให้ทหารทั้งปวงยิงเกาทัณฑ์ระดมไปเคาทูเห็นจะต้านทานมิได้ ก็ขับม้าพาพรรคพวกกลับเข้าไปในถ้ำ

ครั้นเวลากลางคืนโจโฉให้ขุดหลุม เอาบ่วงใส่ปากหลุม แล้วเอาหญ้าเกลี่ยไว้มิให้สังเกต ครั้นรุ่งขึ้นเช้าโจโฉจึงให้เตียนอุยคุมทหารร้อยหนึ่ง เข้าไปร้องท้าทายที่ปากถ้ำ ถ้าเห็นเคาทูออกมาก็ให้รบล่อมาทางหลุมซึ่งขุดไว้ เตียนอุยก็คุมทหารร้อยหนึ่งไปทำตามโจโฉสั่ง เคาทูได้ยินดังนั้นก็คุมพวกออกมา เห็นเตียนอุยจึงร้องว่า อ้ายทหารขี้หนีจะมารบกับกูอีกหรือ แล้วก็ขับม้าเข้ารบด้วยเตียนอุยได้สิบเพลง เตียนอุยทำชักม้าหนีไปข้างหลุมซึ่งขุดไว้ เคาทูมิได้รู้กลอุบายก็ขับม้าไล่เตียนอุยไป ม้านั้นก็ถลำหลุมลงเคาทูตกลงในหลุม บ่วงนั้นติดเท้าอยู่กับพวกคนหนึ่ง ทหารโจโฉชักไว้แล้วเข้ากลุ้มรุมกันจับตัวเคาทูมัดไปให้โจโฉ ๆ เห็นดังนั้นทำเปนตกใจ จึงลุกลงไปแก้มัดเคาทูออกเสีย ให้เอาเสื้ออย่างดีมาให้เคาทูใส่แล้วจูงมือมาให้นั่งจึงถามว่า ท่านนี้ชื่อใดอยู่บ้านเมืองไหน เหตุใดจึงมาอยู่ในถ้ำ

เคาทูจึงตอบว่าข้าพเจ้าชื่อเคาทู ชาวเมืองเจียวก๊ก ครั้งเมื่อเกิดโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ข้าพเจ้าคุมครอบครัวสมัครพรรคพวกประมาณห้าร้อยหนีมาซุ่มซ่อนอยู่ในถ้ำนี้ แล้วให้พรรคพวกเก็บเอาก้อนศิลามากองไว้ปากถ้ำเปนอันมาก สำหรับจะได้ต่อสู้พวกโจร ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพวกโจรยกมาตีข้าพเจ้า ๆ จึงเอาก้อนศิลาทิ้งไปก้อนใด ถูกโจรตายทุกก้อน แลพวกโจรนั้นก็ล้มตายเปนอันมาก โจรซึ่งเหลือตายนั้นก็ยกหนีไป

ครั้นอยู่มาข้าพเจ้ากับพวกเพื่อนขาดสเบียง มีโจรพวกหนึ่งยกมาเห็นโคข้าพเจ้า จึงเอาสเบียงนั้นมาแลกเอาโคคู่หนึ่งไป ข้าพเจ้าก็ยอมให้ ครั้นโจรพาเอาโคไปทางไกลประมาณห้าสิบเส้น โคนั้นตื่นหนีเข้าในป่า ข้าพเจ้าจึงตามไป แล้วเอามือซ้ายขวาลากเอาหางโคทั้งคู่กลับมาถึงถ้ำ พวกโจรทั้งนั้นเห็นข้าพเจ้ามีกำลังก็มิอาจตามมา

โจโฉได้พังดังนั้นจึงตอบว่า เราได้ยินกิตติศัพท์เล่าลืออยู่ ซึ่งเรามาพบท่านทั้งนี้เปนบุญของเรา เราจะเลี้ยงท่านไว้เปนทหาร ท่านจะยอมทำราชการด้วยเราหรือประการใด เคาทูจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะอยู่ทำราชการด้วยท่านสืบไป แล้วเคาทูจึงให้พวกคนหนึ่งนั้นเข้าไปพาเอาครอบครัวพรรคพวกกับโฮงีและโจรสอง ร้อยเศษนั้นออกมาให้โจโฉ โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงตั้งให้เคาทูเปนโตอุ้ย แปลภาษาไทยว่านายทหารเอก แล้วให้เงินทองเสื้อผ้าแก่พรรคพวกเคาทูเปนอันมาก จึงให้ทหารเอาตัวโฮงีและอุยเซียวไปฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะเสียบไว้มิให้ผู้ใดดูเยี่ยง แล้วโจโฉก็ยกทหารกลับมา ณ เมืองเอียนเสีย

แฮหัวตุ้นโจหยินได้ยินดังนั้น ก็ออกมารับโจโฉเข้าไปในเมือง แล้วบอกแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าลิฮองซิหลัน ซึ่งลิโป้ให้อยู่รักษาเมืองกุนจิ๋ว ทหารนั้นอดเข้าปลาอาหาร คุมพวกออกเที่ยวตีชิงอาณาประชาราษฎร แลทหารในเมืองนั้นเบาบาง ขอท่านยกกองทัพไปตีเอาเมืองกุนจิ๋วก็จะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วยก็ยกทหารไปจะตีเอาเมืองกุนจิ๋ว

ฝ่ายลิฮองซิหลันรู้ดังนั้น ก็คุมทหารซึ่งมีอยู่นั้นออกมาจะรบด้วยโจโฉ เคาทูเห็นดังนั้นจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งนายทหารทั้งสองยกออกมานี้ ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาสีสะมาให้แก่ท่าน โจโฉได้ฟังก็มีความยินดีจึงว่า ท่านจะอาสาไปก็ตามเถิด เคาทูก็ขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยลิฮองได้สามเพลง เคาทูก็เอาทวนแทงลิฮองตกม้าตาย ซิหลันเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัว พาทหารหนีกลับจะเข้าไปในเมือง พอพบลิเตียนสกัดหน้าไว้ริมคูเมือง ซิหลันก็ขับม้าจะบ่ายหนีเข้าป่า พอลิยอยเห็นก็ขับม้าขึ้นเกาทัณฑ์ยิงถูกซิหลันตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นไป

ขณะนั้นโจโฉก็ได้เมืองกุนจิ๋วคืน แล้วโจโฉให้เคาทูกับเตียนอุยคุมทหารเปนกองหน้า ให้แฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารเปนกองขวา ให้ลิเตียนกับงักจิ้นเปนกองซ้าย โจโฉนั้นคุมทหารเปนกองหลวง แลอิกิ๋มกับลิยอยเปนกองหลัง ยกไปจะตีเอาเมืองปักเอี้ยง

ฝ่ายลิโป้รู้ดังนั้นจะยกทหารออกมารบโจโฉ ตันก๋งจึงห้ามลิโป้ว่า ซึ่งท่านจะรีบยกออกไปนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ชอบ ขอให้งดอยู่กว่าทหารทั้งปวงซึ่งไปหาเข้าปลาอาหารกลับมาพร้อมกันแล้วจึงยกออก ไปรบด้วยโจโฉ ลิโป้จึงตอบว่าเกิดมาเปนชาติทหารแล้วจะคิดกลัวการสงครามใย ลิโป้มิได้ฟังคำตันก๋ง ก็ยกทหารออกไปจากเมือง ลิโป้จึงขับม้ารำทวนไปถึงทัพหน้าโจโฉ แล้วร้องประกาศว่า ผู้ใดมีกำลังกล้าหาญจะสู้ด้วยเราก็เร่งออกมา

ฝ่ายเคาทูได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำทวนออกรบด้วยลิโป้ได้ยี่สิบเพลง มิได้แพ้ชนะกัน โจโฉเห็นดังนั้นจึงว่า เคาทูผู้เดียวจะเอาชนะลิโป้นั้นขัดสน จึงให้เตียนอุยออกช่วยเคาทูรบลิโป้ แลแฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน งักจิ้น ลิเตียน ซึ่งเปนกองซ้ายขวาก็ขับม้าออกไปรบกระหนาบลิโป้ไว้ ลิโป้รบพุ่งป้องกันอยู่กลางทหารทั้งหกนาย ลิโป้เห็นจะต้านทานมิได้ก็ขับม้าหนีไปจะเข้าเมือง

ฝ่ายเตียนซีอยู่บนเชิงเทิน เห็นลิโป้หนีกลับมา จึงเร่งให้พรรคพวกออกไปชักสะพานคูเมืองเสีย หวังมิให้ลิโป้แลทหารทั้งปวงเข้ามาได้ ลิโป้ครั้นถึงคูเมืองเห็นดังนั้น ก็เรียกให้ชาวเมืองทอดสะพานรับ เตียนซีจึงร้องตอบลิโป้ว่า เราเข้าด้วยโจโฉแล้ว ท่านอย่าเข้ามาในเมืองเราเลย ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงร้องด่าเตียนซีเปนข้อหยาบช้า แล้วก็ขับม้าพาทหารหนีกลับไปยังเมืองตันลิว ตันก๋งเห็นดังนั้นก็พาครอบครัวของลิโป้ไปตามลิโป้

โจโฉจึงคุมทหารเข้าไปในเมืองปักเอี้ยงได้ แล้วหาตัวเตียนซีมาว่ากล่าวว่า ซึ่งเตียนซีมีหนังสือไปล่อลวงเราให้มาเสียทีแก่ลิโป้นั้น โทษใหญ่หลวงนัก แลครั้งนี้เตียนซีมีความชอบ มิได้ให้พรรคพวกทอดสะพานรับลิโป้นั้น โทษกับคุณกลบลบกันหาย

เล่าหัวจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งลิโป้หนีไปครั้งนี้ ถ้าจะละไว้ช้าเห็นจะมีกำลังความคิดขึ้น อุปมาดังเสือปล่อยไปอยู่ในป่า นานไปเห็นจะจับยาก โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เล่าหัวคุมทหารอยู่รักษาเมืองปักเอี้ยง โจโฉก็จัดแจงทหารใหญ่น้อยทั้งปวงแล้วยกไปเมืองตันลิว

ฝ่ายเตียวเลี้ยว จงป้า โฮเสง โกซุ่น ซึ่งเปนทหารลิโป้นั้น พาพรรคพวกออกไปหาเข้าปลาอาหาร แลทหารทั้งนี้มิได้รู้ว่าลิโป้แตกหนีกลับไปเมืองตันลิว ก็พากันเที่ยวตีชิงเอาเข้าปลาอาหารของราษฎรชาวเมืองปักเอี้ยง ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน

ฝ่ายลิโป้เมื่อหนีโจโฉมาถึงเมืองตันลิว ครั้นรู้ว่าโจโฉตามมาก็มิได้ออกรบพุ่ง จึงปรึกษากับเตียวเมาผู้เปนเจ้าเมือง แล้วให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ โจโฉนั้นให้ยกทหารเข้าตั้งประชิดเมืองตันลิวอยู่ถึงสิบวัน ก็มิได้เห็นลิโป้ออกมารบ ทหารโจโฉนั้นขาดเข้าปลาอาหาร พอเปนเทศกาลเข้าโภชน์สาลีจะใกล้สุก โจโฉก็ให้เลิกทัพถอยมาตั้งอยู่ทางไกลประมาณสี่ร้อยเส้น จึงให้ทหารทั้งปวงไปเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีมากิน มีผู้เอาเนื้อความไปบอกลิโป้ว่า ทหารโจโฉขาดสเบียงจึงถอยไปเกี่ยวเข้าโภชน์สาลี ลิโป้จึงคุมทหารออกไปจับคนเกี่ยวเข้า ทหารโจโฉเห็นดังนั้นก็พากันวิ่งหนีเข้าค่าย ลิโป้ขับม้าไล่ไปใกล้ค่ายโจโฉ เห็นข้างซ้ายทางนั้นเปนป่าอยู่ ก็คิดเกรงว่าโจโฉจะซุ่มทหารไว้ ลิโป้จึงพาทหารกลับเข้าเมือง

โจโฉรู้ดังนั้นจึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ซึ่งลิโป้ออกมาไล่คนเกี่ยวเข้าแล้วกลับเข้าไป เห็นจะคิดเกรงว่าเราซุ่มทหารไว้ บัดนี้เราจะให้เอาธงไปปักไว้ในป่าจงมาก ให้ทหารอยู่ในค่ายนั้นแต่ห้าสิบคน เรากับทหารทั้งปวงจะได้ไปซุ่มอยู่ริมตลิ่งหลังค่าย ฝ่ายลิโป้เห็นดังนั้นก็จะเอาเพลิงมาจุดป่านั้นเสีย ถ้าลิโป้มาถึงชายป่าเห็นค่ายเราเงียบอยู่ก็จะยกเข้าตีเอาแล้วให้ทหารในค่าย ตีม้าฬ่อแลกลองให้อื้ออึงขึ้น เราจะยกทหารซึ่งซุ่มไว้นั้นออกตีวกหลัง เห็นจะจับลิโป้ได้โดยสดวก ทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย เวลาค่ำโจโฉก็ให้ไปทำตามซึ่งคิดไว้นั้นทุกประการ

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงปรึกษากับตันก๋งว่า วานนี้เราออกไปไล่ทหารโจโฉซึ่งเกี่ยวเข้า เราเห็นโจโฉซุ่มทหารอยู่เปนอันมากเราจึงกลับเข้ามา วันนี้เราจะยกกองทัพใหญ่ออกไปเผาป่าซึ่งซุ่มทหารไว้นั้น แล้วจะยกเข้าตีค่ายโจโฉให้ได้ ตันก๋งจึงห้ามว่า โจโฉนั้นมีความคิดในกลศึกเปนอันมาก ซึ่งท่านจะยกทัพออกไปทำการนั้นให้ดำริห์ดูจงควรก่อน ลิโป้มิได้ฟังคำตันก๋ง ให้ตันก๋งอยู่รักษาเมืองกับเตียวเมา ลิโป้คุมทหารยกออกไปจากเมือง แลเห็นป่าข้างซ้ายทางนั้น ธงปักอยู่เปนอันมาก ลิโป้คิดว่าโจโฉยกทหารมาซุ่มไว้ จึงคุมทหารรีบเข้าล้อมป่านั้นไว้ แล้วลิโป้ให้จุดเพลิงเผาป่านั้นขึ้นทั้งสี่ด้าน ก็มิได้เห็นทหารโจโฉนั้นแต่สักคนหนึ่ง ในขณะนั้นลิโป้เห็นทหารในค่ายโจโฉนั้นเงียบอยู่ จึงยกทหารจะเข้าตีเอา ครั้นมาถึงกลางทางพอได้ยินเสียงกลองม้าฬ่ออื้ออึงขึ้น ลิโป้สดุ้งใจก็หยุดอยู่ แล้วได้ยินเสียงทหารข้างหลังค่ายนั้นโห่ขึ้นแล้วยกทหารอ้อมมา ลิโป้เห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนเข้ารบ พอเสียงประทัดจุดขึ้น แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน เคาทู เตียนอุย ลิเตียน งักจิ้น ทั้งหกนายก็คุมทหารขึ้นจากริมตลิ่ง ตีวกหลังทัพลิโป้เข้ามา ลิโป้รบป้องกันเปนสามารถ เห็นจะต้านทานมิได้ก็ทิ้งทหารทั้งปวงเสีย จึงขับม้าหนีไปกับเซ้งเกี๋ยม งักจิ้นเห็นดังนั้นก็ขับม้าตามไปแล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกเซ้งเกี๋ยมตกม้าตาย ฝ่ายทหารลิโป้นั้นล้มตายเปนอันมาก ซึ่งเหลือนั้นก็หนีรีบกลับเข้าเมือง จึงเอาเนื้อความนั้นบอกแก่ตันก๋ง ๆ รู้ก็ตกใจจึงคิดว่า ทหารในเมืองตันลิวนี้เห็นจะต้านทานกองทัพโจโฉไม่ได้ ตันก๋งก็พาครอบครัวลิโป้หนีออกจากเมือง

ฝ่ายโจโฉจึงคุมทหารเข้ารบหักเอาเมืองตันลิวนั้นได้ ก็ให้ทหารทั้งปวงเอาเพลิงจุดเผาเมืองขึ้น เตียวเจี๋ยวนั้นหนีไปไม่ทันตายในเพลิง แต่เตียวเมาเจ้าเมืองนั้นหนีไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง แลราษฎรชาวเมืองตันลิวนั้น ก็เข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉสิ้น แลโจโฉนั้นก็กลับเปนใหญ่อยู่ในหัวเมืองตวันออก จึงให้แต่งค่ายคูประตูหอรบไว้ให้พร้อมทุกเมือง แล้วซ่องสุมทหารชาวเมืองได้เปนอันมาก

ฝ่ายลิโป้หนีไปถึงกลางทางพอพบเตียวเลี้ยวจงป้าโฮเสงโกซุ่น ซึ่งคุมทหารไปหาเข้าปลาอาหารครั้งเมืองปักเอี้ยง ลิโป้บอกเนื้อความยังมิทันสิ้นคำ พอตันก๋งพาครอบครัวตามมาทัน ลิโป้ค่อยมีความยินดี จึงพาครอบครัวแลทหารทั้งปวงไปตั้งอยู่ริมชายทเลแดนเมืองตันลิว แล้วปรึกษากับตันก๋งแลทหารทั้งสี่นายว่า เราแตกโจโฉมาครั้งนี้ ใช่จะคิดย่อท้อหามิได้ เราคิดจะยกไปรบหักเอาโจโฉให้จงได้

ตันก๋งจึงห้ามว่า โจโฉครั้งนี้มีทหารเปนอันมาก แลราชการฝ่ายหัวเมืองตวันออกก็สิทธิ์ขาดอยู่กับโจโฉ แลทหารเราครั้งนี้ก็น้อยนัก ทั้งกำลังก็อิดโรยอยู่ ซึ่งท่านจะด่วนยกไปรบหักเอานั้นเห็นยังมิได้ก่อน ขอให้พาครอบครัวไปหาที่อาศรัยไว้ให้มั่นคง แล้วจึงค่อยคิดการสืบไป ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงปรึกษาตันก๋งว่า เราจะพาครอบครัวไปอาศรัยอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ท่านจะเห็นดีแลร้ายประการใด ตันก๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ แต่ขอให้แต่งทหารไปพูดจาฟังกิตติศัพท์ชาวเมืองกิจิ๋วดูว่าอ้วนเสี้ยวจะให้ อยู่อาศรัยหรือไม่ ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารรีบไปเมืองกิจิ๋ว

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ครั้นรู้กิตติศัพท์ว่า เมื่อโจโฉกับลิโป้ตั้งรบกันอยู่ ณ เมืองปักเอี้ยง จึงปรึกษากับสิมโพยว่า โจโฉกับลิโป้ตั้งรบกันอยู่ครั้งนี้ ถ้าลิโป้มีชัยชนะแก่โจโฉ ท่านจะเห็นดีแลร้ายประการใด สิมโพยจึงตอบว่า อันน้ำใจลิโป้ร้ายกาจดุจหนี่งเสือ ถ้าได้เมืองปักเอี้ยงแล้วก็จะกำเริบยกล่วงมาทำอันตรายรบเอาเมืองเรา ขอให้ท่านแต่งทหารห้าหมื่นยกไปช่วยโจโฉรบฆ่าลิโป้เสียได้แล้ว เมืองเราก็จะมีความสุข อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงให้งันเหลียงคุมทหารหกหมื่นยกไปช่วยโจโฉ

ขณะนั้นทหารลิโป้ซึ่งให้มาฟังกิตติศัพท์ ณ เมืองกิจิ๋วนั้น ครั้นมาถึงกลางทางรู้ดังนั้น ก็เอาเนื้อความกลับมาบอกลิโป้ว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวให้งันเหลียงคุมทหารไปช่วยโจโฉทำการสงครามด้วยท่าน ลิโป้แจ้งเนื้อความดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับตันก๋งว่า เมื่ออ้วนเสี้ยวเปนใจด้วยโจโฉฉนี้เราจะคิดประการใด ตันก๋งจึงว่าข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่า โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ยกเมืองให้เล่าปี่อันมีน้ำใจกว้างขวางอารีต่อคนทั้งปวง ขอให้ท่านพาครอบครัวไปอาศรัยเล่าปี่อยู่ ณ เมืองชีจิ๋ว เห็นเล่าปี่จะไม่สูญไมตรีท่าน ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงพาครอบครัวไปอาศรัยเล่าปี่อยู่ ณ เมืองชีจิ๋ว แล้วแต่งทหารให้เข้าไปบอกแก่เล่าปี่ว่า เราจะมาอาศรัยอยู่ด้วย

เล่าปี่จึงปรึกษากับบิต๊กว่า ลิโป้เสียทีแก่โจโฉ จะมาอาศรัยเรา ๆ จะออกไปรับเข้ามาในเมือง บิต๊กจึงตอบว่าน้ำใจลิโป้นั้นหยาบช้าร้ายกาจดังเสือ บัดนี้ตกถังอยู่ แลท่านจะไปรับขึ้นมาไว้นั้น นานไปมีกำลังขึ้นก็จะทำอันตรายแก่คนทั้งปวง เล่าปี่จึงตอบว่าโจโฉนั้นน้ำใจก็หยาบช้า แล้วเปนใหญ่อยู่ฝ่ายหัวเมืองตวันออก ฝ่ายลิโป้ไปรบได้เมืองกุนจิ๋ว เมืองเราจึงพลอยได้ความสุขด้วย หาไม่โจโฉก็จะยกมารบเมืองเรา ครั้งนี้ลิโป้ได้บ่ายหน้ามาหาเราแล้ว ครั้นจะมิรับไว้ก็เหมือนคนหาไมตรีไม่ เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า น้ำใจท่านอารีต่อคนทั้งปวงจะรับลิโป้เข้ามาไว้ก็ตามเถิด แต่ให้คิดระวังเหตุผลจงดี

เล่าปี่ก็พากวนอูเตียวหุยแลทหารทั้งปวงออกไปรับลิโป้ทางประมาณสามร้อย เส้น แล้วกลับเข้ามาในเมือง แล้วเชิญให้ลิโป้นั่งที่สมควร ลิโป้จึงเล่าเนื้อความให้เล่าปี่ฟัง ว่าเดิมอ้องอุ้นกับข้าพเจ้าคิดกันฆ่าตั๋งโต๊ะซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติเสีย ครั้นอยู่มาลิฉุยกุยกีได้เปนใหญ่ขึ้นจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจึงหนีไปพึ่งเปนหลายเมือง เจ้าเมืองมิให้อยู่ ข้าพเจ้าจึงไปอยู่ด้วยเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิว โจโฉยกมารบเมืองนี้ ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าท่านยกมาช่วยโตเกี๋ยม ข้าพเจ้าก็มีความยินดี จึงยกทหารไปตีเมืองกุนจิ๋วให้เปนกังวลหวังจะช่วยธุระท่าน ครั้งนี้ข้าพเจ้าแตกโจโฉมาเสียทหารเปนอันมาก ข้าพเจ้าพึ่งท่านหวังจะคิดการใหญ่กับท่านสืบไป แต่ยังไม่แจ้งในใจท่านว่าจะพร้อมร่วมคิดกันด้วยข้าพเจ้าหรือประการใด เล่าปี่จึงตอบว่าโตเกี๋ยมถึงแก่ความตายแล้ว แลเมืองชีจิ๋วนี้เราอยู่ปกป้องรักษาไว้ เพราะหาผู้ใดจะเปนผู้ใหญ่มิได้ บัดนี้ตัวท่านมาแล้วก็สมควรที่จะว่าราชการเมือง เรามีความยินดีจะยกเมืองชีจิ๋วให้ท่าน ๆ จะได้ทำการสืบไป แล้วเล่าปี่ก็ยกเอาตราสำหรับเมืองมอบแก่ลิโป้ ๆ กระหยับมือจะรับเอาตรา พอเหลือบเห็นกวนอูเตียวหุยซึ่งยืนอยู่หลังเล่าปี่นั้นโกรธ ลิโป้จึงทำเปนหัวเราะแล้วตอบเล่าปี่ว่า ตัวข้าพเจ้าเปนแต่ทหาร ซึ่งจะว่าราชการบ้านเมืองนั้นเหลือสติปัญญานัก

ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงว่า ธรรมดาเปนแขกมาหาท่าน แล้วหรือจะบังอาจเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินของเจ้าเรือนไปด้วยนั้นหาควรไม่ แลตัวลิโป้ซึ่งมาอยู่ในสำนักท่าน ซึ่งจะคิดชิงเอาเมืองนี้หามิได้ ท่านอย่าได้สงสัยเลย เล่าปี่จึงให้แต่งโต๊ะเชิญลิโป้แลทหารทั้งปวงกิน แล้วจัดแจงที่บ้านให้ลิโป้อยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้ให้แต่งโต๊ะแล้วให้ไปเชิญเล่าปี่กวนอูเตียวหุยไปกิน โต๊ะ แล้วเชิญเล่าปี่เข้าไปในที่ข้างใน กวนอูเตียวหุยก็ตามเข้าไปด้วย ลิโป้จึงให้บุตร์ภรรยาคำนับเล่าปี่ ๆ เจียมตัวจึงห้ามว่าอย่าคำนับเลย ลิโป้จึงตอบว่า น้องเราจงให้บุตร์ภรรยาเราคำนับเถิด

เตียวหุยได้ฟังลิโป้ว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตวาดว่า ตัวนี้เปนไฉนจึงบังอาจเรียกพี่กูว่าเปนน้อง พี่กูเปนเชื้อพระวงศ์ อุปมาเหมือนต้นไม้ทองใบแก้ว ซึ่งตัวอวดว่ากล้าหาญจงออกไปลองฝีมือกันดูสักสามร้อยเพลง เล่าปี่จึงว่ากล่าวห้ามปรามเตียวหุย กวนอูก็พาเตียวหุยออกไปอยู่ภายนอก เล่าปี่จึงว่าแก่ลิโป้ว่า ซึ่งเตียวหุยหยาบช้าแก่ท่านนั้น เพราะเสพย์สุราเมาเราขออภัยเสียเถิด ท่านอย่าถือโทษเลย ลิโป้ก็สั่นสีสะมิได้ตอบประการใด เล่าปี่ก็ลาลิโป้กลับไป ครั้นมาถึงกลางทาง เตียวหุยจึงขับม้ารำทวนกลับไปถึงหน้าบ้านลิโป้แล้วร้องว่า เมื่อกี้นั้นกูเกรงพี่กูอยู่ บัดนี้พี่กูไปแล้วให้ลิโป้เร่งออกมาลองกันดูสักสามร้อยเพลง ให้รู้จักฝีมือกันไว้ เล่าปี่เหลียวมาไม่เห็นเตียวหุย จึงให้กวนอูตามมาพาเอาตัวเตียวหุยกลับไป

ครั้นเวลารุ่งเช้าลิโป้จึงไปว่าแก่เล่าปี่ว่า เดิมมาขออาศรัยท่านก็ยอมให้อยู่ บัดนี้เตียวหุยน้องท่านไปว่ากล่าวหยาบช้าดูหมิ่นเรา ๆ จะอยู่สืบไปก็จะเคืองใจท่าน เราจะลาท่านไปอยู่ที่อื่นแล้ว เล่าปี่จึงตอบว่าท่านจะไปอยู่ที่อื่นนั้น ความครหานินทาก็จะอยู่แก่เรา ซึ่งเตียวหุยเปนใจหนุ่มได้ว่ากล่าวหยาบช้าต่อท่านนั้น วันอื่นเราจะพาตัวเตียวหุยไปขอขะมาท่าน ถ้าท่านมิฟังก็ให้ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายเถิด แต่ที่นั้นเปนเมืองน้อยขึ้นแก่เมืองนี้ ถ้าขาดเข้าปลาอาหารเราจะให้เอาไปส่ง ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงคำนับลาเล่าปี่ แล้วพาครอบครัวกับทหารทั้งปวงไปอยู่เมืองเสียวพ่าย


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 10

https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnM2JNMUdtX1g2Tjg/view?resourcekey=0-DxbVi8tuE7rssbktphpWTA



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.435 seconds with 18 queries.